.......... เพลงรัก ........... by fingers-crossed ...
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: .......... เพลงรัก ........... by fingers-crossed ...  (อ่าน 129879 ครั้ง)

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
ตามอ่านรวดเดียวเลย
ชอบมาก ๆๆๆๆๆ

ไหมนี่ไม่ไหวแล้ววววว  :angry2:
ต้นกับพี่นนท์เข้าใจกันเถอะนะ ๆๆ

ออฟไลน์ ปี้ปี้ปี้~PalmY

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2427
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +273/-1
ดีนะ ต้นรู้ตัวเร็วเหมือนกัน  :z3:


ออฟไลน์ Chatcha

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 717
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-0
ร้ายจริงๆ

ดีนะที่ต้นรู้ทันแล้ว

ออฟไลน์ Tifa

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1474
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +417/-2
ตามไปเลยน้ำต้นนนน


เอาให้เสร็จๆไปเลย จะได้ตกลงปลงใจกันเสียที ซิกๆ

C2U

  • บุคคลทั่วไป
หวังว่า น้ำต้น คงได้เคลียร์กับพี่นนท์ซะทีนะ 

เฮ้อ  เหนื่อยใจ   :เฮ้อ:


ออฟไลน์ pongsj

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +213/-9
สะใจชะนีไหมอย่างรุนแรง อิอิ

mecon

  • บุคคลทั่วไป
พี่นนท์ใจแข็งมากมาย ตัดวงจรทุกอย่างกับน้ำต้นเลยอ่ะ น่าสงสารน้องนะ
แต่พี่นนท์ก็โชคไม่ดีอีกเช่นกันที่มาเจอ นังนีน้อยในช่วงเวลาที่ตัวเอง
ตัดสินใจยอมลดทิฐิทุกอย่างแล้ว เฮ้ออออ นุ้งน้ำต้นไปง้อมพี่นนท์ไวไวนะลูก
อธิบายให้พี่นนท์ฟังให้หมดนะ ว่าอะไรเป็นอะไร

Forever_ever

  • บุคคลทั่วไป
ค้างค่ะ ค้าง
อยากอ่านต่อแล้ววว
น้ำต้นรีบๆ ตามไปเลยน้า
คุยกันให้เข้าใจไวไวน้า


bixzz

  • บุคคลทั่วไป
 :m31: ไหม....อย่างนี้มันต้อง  :beat: :z6: :z3:
แล้วนนท์กับน้ำต้นจะเคลียร์กันได้ไหมเนี่ย...ลุ้นจนปวดตับจริงๆ
รออ่านต่อนะครับ

ออฟไลน์ Namehoto

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 780
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +696/-9
บทที่ 9 มาแล้วนะคะ เรื่องราวของพี่นนท์และน้ำต้น

กับปัญหาที่เข้ามา ทั้งสองคนจะเข้าใจกันไหม หาคำตอบได้เลยค่ะ

*********************

เพลงรัก

บทที่ 9

วันนี้มีประชุม

เป็นการประชุมที่น้ำต้นตั้งหน้าตั้งตารอเลยก็คงไม่ผิดนัก เขาติดต่อนนท์ไม่ได้เลย ถึงขนาดที่ตามไปหาที่บ้านก็ไม่เจอ เหมือนนนท์จะอ่านใจเขาออกไปเสียทุกย่างก้าว ที่ออฟฟิศไม่ต้องพูดถึง นนท์ไม่โผล่มาหลายวันแล้ว แม้แต่มิ่งก็บอกแค่ว่าได้คุยกับนนท์ผ่านทางโทรศัพท์เท่านั้น พอไปหาที่บ้าน ป้าชื่นก็ทำหน้าเป็นกังวล และได้แต่บอกว่า “คุณนนท์บอกว่าจะขอไปค้างที่อื่นซักพัก บอกว่าเป็นเรื่องงาน แต่ป้าไม่แน่ใจเลยค่ะคุณต้น พักนี้คุณนนท์ไม่ค่อยอยู่บ้านเลย แล้วท่าทางก็ไม่สดชื่นเหมือนเดิม” ป้าชื่นระบายให้กับเด็กหนุ่มฟัง “คุณต้นขา ป้าฝากดูคุณนนท์หน่อยนะคะ” แม่นมร่างอวบยื่นมืออูมๆมาจับมือเขาราวกับไม่อาจจะไหว้วานใครได้อีกแล้ว

อับจนหนทางเข้า ก็พอดีกับที่เมษโทรมาบอกว่า เช้าวันนี้ทุกคนต้องเข้าประชุมร่วมกัน เขาจึงมั่นใจว่าจะต้องได้เจอนนท์แน่นอน เมื่อคืนน้ำต้นไม่ได้นอนเลย เขานอนไม่หลับ ที่จริงหลับไม่ลงตั้งแต่ที่ไม่ได้เจอหน้านนท์ในวันแรกๆแล้วด้วยซ้ำ ในใจก็นึกแปลกใจว่าเขาไม่เคยเป็นอย่างนี้มาก่อน และไม่เคยรู้สึกแคร์ใครมากเท่านี้มาก่อนเลยนอกจากพ่อกับแม่เท่านั้น

เมื่อคืนแม่ของเขาโทรมา ราวกับจะรู้ว่าลูกชายของแม่กำลังมีเรื่องไม่สบายใจ

“น้ำต้น เป็นอะไรหรือเปล่าลูก” เธอออกปากถามลูกชาย เมื่อจับน้ำเสียงที่ไม่ร่าเริงเหมือนปกติของลูกชายได้

“แม่นี่เหมือนมีตาทิพย์เลยนะ” น้ำต้นหัวเราะออกมาเบาๆ

“ก็แม่เป็นแม่นี่ลูก ไหนต้นบอกแม่ซิ มีอะไรหรือเปล่า”

“ต้นกับพี่นนท์ เรามีเรื่องเข้าใจผิดกัน” น้ำต้นพูดถึงนนท์โดยที่ไม่ต้องเท้าความอะไรอีก เพราะทุกครั้งที่คุยกับผู้เป็นแม่ เด็กหนุ่มไม่เคยปิดบังอะไรอยู่แล้ว ก็เขาปลื้มพี่นนท์ออกจะขนาดนั้น จะไม่ให้เล่าให้แม่ฟังได้อย่างไร “หลายวันแล้ว เรายังไม่มีโอกาสได้คุยกันเลย ต้นไม่สบายใจอ่ะแม่”

“ใจเย็นๆนะครับลูก” ปลายสายเรียกเขาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “อย่าเพิ่งกังวลเกินไปนะ ไม่มีประโยชน์หรอก”

“ต้นไม่อยากให้พี่นนท์เข้าใจผิด ไม่อยากให้พี่นนท์คิดอะไรไปเอง” เมื่อได้เริ่ม ทุกอย่างก็พรั่งพรูออกมา “ต้นไม่สบายใจเลยแม่ ต้นแคร์พี่เขามาก เขาจะรู้ไหมว่าเขาทำแบบนี้มันโหดร้ายมากเลย” น้ำต้นทำเสียงเหมือนจะร้องไห้ออกมา

“น้ำต้นครับ แม่ไม่รู้จักพี่นนท์ของลูกหรอกนะ” ผู้เป็นแม่พูดปลอบใจ “แต่ถ้าต้นรู้สึกว่าไม่อยากเสียคนดีๆอย่างนี้ไป ก็ต้องอดทนหน่อยนะลูก เรื่องบางเรื่องมันจะมีอะไรเข้ามาทดสอบเราเสมอ แม่เชื่อว่าถ้าเราผ่านมันไปได้ ต่อไปทุกอย่างก็จะราบรื่นนะ ขอแค่เราอย่าเพิ่งเสียกำลังใจไปก่อนนะครับ”

“แม่... แล้วพี่นนท์...” เขาอึกอักไปราวกับไม่อาจจะเรียบเรียงคำพูดที่เหมาะสมออกมาได้

“ไปคุยกันก่อนดีไหม แล้ววันหลังถ้ามีเวลาก็พาพี่นนท์ของลูกมาให้แม่รู้จักหน่อย แม่อยากรู้เหลือเกินว่าคนที่ทำให้ลูกแม่ร้อนอกร้อนใจได้ขนาดนี้ เป็นคนแบบไหน”

“ฮะแม่” น้ำต้นยิ้มออกมาได้ในที่สุด

“ไปนอนซะนะลูก” ผู้เป็นแม่สั่งก่อนที่จะวางสายไป

แล้วช่วงเวลาที่เขาเฝ้าบอกให้ตัวเองอดทนก็หมดลง เมื่อเขามองเห็นร่างๆหนึ่งเดินเข้ามาในห้องประชุมเป็นคนสุดท้าย ไม่บอกก็รู้ว่านนท์จงใจมาเป็นคนสุดท้าย เพื่อที่จะเลี่ยงไม่ต้องพูดคุยกับเขา ตลอดช่วงเวลาที่นั่งประชุมกันนั้น น้ำต้นไม่มีสมาธิเลย เขาเอาแต่นั่งขยับไปมา สายตาก็จับจ้องอยู่ที่ชายหนุ่มที่สวมกางเกงยีนส์สีเข้ม ท่อนบนก็สวมเสื้อสีดำโดยมีแจ็กเก็ตสีดำสวมทับอีกที นนท์เองก็ดูไม่สดชื่นไม่ต่างอะไรกับเขา และเห็นได้ชัดว่านนท์จงใจไม่หันมามองเขาเลยแม้แต่นิดเดียว น้ำต้นบอกไม่ถูกว่าภายใต้ใบหน้าอันเรียบเฉยนั้นแฝงไปด้วยความรู้สึกอย่างไร เขารู้แต่ว่ามันช่างหมางเมินและห่างเหินเหลือเกิน เวลาที่นนท์เปิดปากคุยกับใครสักคนในที่ประชุม น้ำต้นจะอดรู้สึกปวดแปลบในใจไม่ได้ เขาอิจฉา ทำไมพี่นนท์พูดคุยกับคนอื่นได้ แต่เลือกที่จะไม่พูดคุยกับเขา

“เพลงส่วนใหญ่ที่นนท์แต่งมาน่ะ พี่ฟังแล้วโอเคมาก ยิ่งได้พี่มิ่งมาช่วยเกลาด้วย โอ้โห... ไม่ต้องพูดถึง” นรเศรษฐ์ว่าอย่างชื่นชม

“แหมไอ้น้อง อันนี้ต้องยกผลประโยชน์ให้นนท์เขาไป แนวมันเข้าทางเขาด้วยแหละ” มิ่งว่าบ้าง

“ไม่หรอกครับพี่ แต่เนื้อเพลง... มันยังติดๆอยู่นะครับ ผมก็เลยยังไม่ค่อยอยากเอามาให้ดูเท่าไหร่ มันยังไงไม่รู้” นนท์ได้แต่ยิ้มบางๆ “ขอเวลาผมอีกหน่อยได้ไหมครับ”

“ถ้านนท์ต้องการเวลาอีกหน่อย เพื่องานที่ดีกว่า พี่ก็ไม่ติดอะไรนะ” มิ่งว่าสบายๆ “น้ำต้นล่ะ ว่าไง”

“ต้นแล้วแต่พี่ๆครับ แต่ยังไม่มีโอกาสได้ฟังเพลงที่แต่งเลย” เขาว่าพลางมองไปยังนนท์ที่ยังคงนั่งนิ่งและไม่สบตากับเขา “ต้นอยากฟังนะพี่” น้ำต้นเหมือนจะเจาะจงคำพูดนี่ไปให้ชายหนุ่มร่างเล็กที่นั่งอยู่ไม่ไกลกัน แต่ก็เสไปมองคนอื่นๆด้วย

นนท์ข่มความรู้สึกภายในเอาไว้อย่างเต็มที่ เขาอยากจะให้น้ำต้นได้ฟังเพลงพวกนี้ยิ่งกว่าใคร แต่ในใจของเขาตอนนี้มันช่างแห้งแล้งเหลือเกิน วันนี้เขาไม่อยากมาประชุมเลย แต่รู้ว่าอย่างไรก็ไม่อาจเลี่ยงได้ ก็จำต้องมาในที่สุด แล้วหลังจากเลิกประชุมล่ะ เขาจะทำตัวอย่างไร ทุกครั้งที่เห็นน้ำต้น เขารู้สึกเจ็บปวดข้างในอย่างไม่เคยรู้สึกมาก่อน และคิดแต่ว่าอยากจะหนีไปเสียให้พ้นเร็วๆเท่านั้น

“นนท์ เดี๋ยวหลังจากนี้พี่มิ่งกับพี่ขอคุยอะไรกับนนท์หน่อยได้ไหม” นรเศรษฐ์หันมาถามชายหนุ่มที่ปกติก็พูดน้อยอยู่แล้ว วันนี้ยิ่งดูเหมือนจะพูดน้อยลงไปอีก ชายหนุ่มได้แต่พยักหน้างงๆ แต่ก็ไม่ได้คิดจะถามอะไรออกไปแต่อย่างใด

น้ำต้นทำหน้าผิดหวังอย่างเห็นได้ชัด เขาอยากจะคุยกับนนท์ ทำไมนนท์จะไม่รู้ แต่เขาไม่พร้อมที่จะพูดคุยอะไรในตอนนี้จริงๆ

“นนท์ เป็นอะไรไปหรือเปล่า พี่ว่าพักนี้นนท์แปลกๆไปนะ” มิ่งออกปากถามอย่างอดไม่ได้จริงๆ

“ก็ มีปัญหาส่วนตัวนิดหน่อยครับพี่”

“ไหวไหม” นนท์เงยหน้ามองไปที่มิ่งอย่างนึกขอบคุณ ทำไมเขาจะไม่รู้ว่ามิ่งเป็นห่วงเขา แต่เขาเองก็ไม่รู้จริงๆว่าควรจะรับมือกับมันอย่างไรดี

“คิดว่าไหวครับ ขอโทษนะครับพี่มิ่งที่พักนี้นนท์ทำตัวเหลวไหล”

“ไม่เอาน่านนท์ เราไม่ใช่เด็กๆแล้ว งานของนนท์พี่เองก็แฮ้ปปี้ จะว่าไป นนท์ทำงานได้เร็วกว่าที่พี่คิดเอาไว้ด้วยซ้ำ ตอนนี้เรามีปัญหาพี่เองก็พอจะมองออก แต่พี่จะไม่ถามล่ะนะ” มิ่งว่าอย่างเข้าใจ “แต่ก็อยากให้นนท์แก้ไขมันเสีย ปัญหาบางอย่างปล่อยเอาไว้นานๆไม่ดีหรอก”

“งั้นมาเข้าเรื่องของเรากัน” นรเศรษฐ์ตัดบทขึ้นมา นนท์ทำหน้างงเหมือนแปลกใจเล็กน้อยที่เรื่องที่มิ่งและนรเศรษฐ์อยากคุยกับเขาไม่ใช่แค่เรื่องปัญหาส่วนตัวที่เขากังวลนักหนาแค่เพียงเรื่องเดียว

“พี่มีข่าวดีสำหรับนนท์นะ” ทั้งโปรดิวเซอร์และมิวสิกไดเร็กเตอร์หันไปมองหน้ากันยิ้มๆ ก่อนที่จะเปิดปากเล่าถึงข่าวดีให้แก่ชายหนุ่ม

************************

น้ำต้นหงุดหงิดหนักขึ้นไปอีก เขาจะต้องรีบไปทำงานต่อ ในขณะที่ยังไม่ได้พูดคุยอะไรกับนนท์เลย ความตั้งใจทั้งหมดถูกทำลายลงสิ้น เห็นทีหนนี้จะเป็นครั้งแรกก็ว่าได้ที่เขารู้สึกเคืองทั้งมิ่งและนรเศรษฐ์ เวลาอื่นมีตั้งมากมาย ไม่เคยเรียกนนท์คุย แล้วจู่ๆ จำเพาะเจาะจงว่าต้องเป็นวันนี้เสียด้วยที่อยากจะคุยกับนนท์ให้ได้ แล้วนี่เขาจะหาโอกาสแบบนี้ได้อีกเมื่อไหร่กัน

“พี่เมษ ต้นต้องไปตอนนี้เลยเหรอ” น้ำต้นอิดออด เห็นได้ชัดว่าเขาไม่อยากจะออกไปไหนเลยในตอนนี้ เมษมองเด็กน้ำต้นอย่างเข้าใจและเห็นใจ แต่งานก็คืองาน และเด็กหนุ่มก็เลี่ยงไม่ได้

“ถ้าเป็นงานอื่น พี่ก็พอจะบอกปัดเค้าได้นะต้น แต่งานนี้มันงานใหญ่ ยังไงต้นก็ต้องไปครับ” เมษเข้าไปแตะที่ต้นแขนของเด็กหนุ่มเบาๆ “ต้น พี่เข้าใจนะ” เธอมองหน้าเขา “แต่ต้นมีหน้าที่ที่ต้องทำ นนท์ก็มีหน้าที่ของเขา เรื่องส่วนตัวอะไรก็ตามคงต้องเก็บเอาไว้ก่อน”

น้ำต้นหน้างอ เขาหันไปมองที่ห้องประชุมที่ยังคงปิดเงียบ นนท์หายเข้าไปคุยกับมิ่งและนรเศรษฐ์นานเป็นชั่วโมงแล้ว และยังไม่มีทีท่าว่าจะออกมาง่ายๆ

“ต้น” เธออดไม่ได้เมื่อเห็นสายตาที่ทอดมองไปทางห้องประชุมอย่างอาลัยอาวรณ์ “เดี๋ยวนนท์ออกมา พี่จะบอกให้” น้ำต้นหันมามองเมษด้วยแววตาหม่นแสง “อย่าเพิ่งหมดหวัง เชื่อพี่ นนท์ต้องมีเหตุผลของเขา แต่ตอนนี้พี่ขอล่ะ ต้นต้องไปทำงานนะครับ”

น้ำต้นคอตก ท่าทางของเด็กหนุ่มน่าสงสาร อีกใจหนึ่งก็น่าเอ็นดูนัก น้ำต้นในตอนนี้ไม่เหลือมาดนักร้องคนดังอีกต่อไป ดูยังไงเมษก็ว่าเหมือนลูกหมาถูกทิ้งมากกว่า นนท์หนอนนท์ ทำไมใจแข็งกับน้องได้ถึงเพียงนี้ น้ำต้นได้แต่พยักหน้า หยิบหมวกที่วางบนโต๊ะมาสวมก่อนที่จะถือกระเป๋าสะพายลงลิฟท์ไป

นนท์เดินออกมาจากห้องประชุมหลังจากใช้เวลาอยู่ในนั้นเป็นนาน ด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูกว่าดีใจ หรือตกใจ หรือสับสน แน่นอนเรื่องที่มิ่งและนรเศรษฐ์บอกแก่เขาเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อ เป็นสิ่งที่เขาไม่คาดคิดมาก่อน และถ้าเป็นเมื่อสองสามเดือนก่อน เขาคงจะตะโกนและกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจเป็นแน่ แต่ตอนนี้ คนที่เขาอยากจะบอกมากที่สุด กลับกลายเป็นคนที่เขาคอยหลบหน้ามาตลอดหลายวันที่ผ่านมา เขาบอกไม่ถูกว่าควรจะรู้สึกอย่างไร และเขาควรจะทำอย่างไรดี

“เก็บไปคิดนะนนท์ว่าจะเอายังไง” มิ่งเดินมาตบไหล่เขาเบาๆ ก่อนจะเดินผละเข้าไปในห้องทำงานของนรเศรษฐ์เพื่อคุยงานต่อ

นนท์ชั่งใจอยู่เป็นครู่ ก่อนที่จะเดินไปหาเมษที่ตั้งอกตั้งใจจดจ่ออยู่กับตารางงานบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ มองจากด้านหลังแบบนี้ เมษดูแปลกตากว่าที่เคย อันที่จริงเมษเป็นผู้หญิงในแบบที่เขาไม่ค่อยได้เห็นนัก เธอเป็นคนเปิดเผย อารมณ์ดี และยิ้มแย้มอยู่เสมอ แต่ที่พิเศษคือเมษเหมือนมีพลังบางอย่างดึงดูดให้ใครๆก็อยากเข้าไปพูดคุยด้วย ทั้งที่เธอไม่ใช้ผู้หญิงหน้าตาจัดว่าสะสวยอะไร แต่ก็มีเสน่ห์ในแบบที่ไม่เหมือนใคร เวลาคุยกับเมษ แม้แต่คนที่ชอบเก็บอะไรในใจอย่างนนท์ก็ยังอดรู้สึกอยากเปิดใจกับผู้หญิงคนนี้ขึ้นมาไม่ได้จริงๆ

“พี่เมษครับ” เมษหันขวับทันทีที่รู้ว่าเจ้าของเสียงคือใคร

“นนท์ ดีจริง” เธอยิ้มอ่อนโยน ก่อนจะเอื้อมมือแตะไปที่เก้าอี้ตัวข้างๆ “นึกว่าจะหนีกลับไปเสียแล้ว มานั่งนี่มา”

“ขอบคุณครับ” นนท์นั่งลงอย่างว่าง่าย

“ยังไม่ได้คุยกันล่ะสิ ทั้งสองคน” นนท์พยักหน้า “เฮ้อ...” หญิงสาวระบายลมหายใจออกมา แต่สีหน้าไม่ได้แสดงความหนักใจสักเท่าไหร่นัก

“นนท์มีอะไรอยากคุยกับพี่เมษหน่อยครับ”

เมษหันไปมองหน้าชายหนุ่มตรงๆ ก่อนที่จะเอ่ยว่า “พี่ฟังอยู่ค่ะ”

“เรื่องน้ำต้นน่ะครับ” พูดได้เท่านั้น นนท์ก็เงียบไป ทำเอาเมษที่รอฟังอยู่อดหัวเราะออกมาเบาๆไม่ได้

“เอาเถอะ พี่เข้าใจ” เธอว่าพลางส่ายหน้าเบาๆ “นนท์นี่ ถ้าเป็นเรื่องตัวเองนี่แทบไม่เปิดปากเลยจริงๆนะ” ได้ยินดังนั้น ชายหนุ่มก็ได้แต่มองหน้าเมษ

“คุยกันเถอะนะ ถือว่าพี่ขอร้องก็ได้นนท์ คุยกับน้องซะ” เมษพูดน้ำเสียงจริงจัง “พี่ไม่รู้หรอกว่า ระหว่างเราสองคนมันเกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่พี่จะรู้หรือเปล่ามันไม่สำคัญเท่ากับทั้งสองคนควรจะได้รับรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง”

“แต่นนท์รู้สึกเหมือนยังไม่พร้อม”

“นนท์ ถ้าจะรอให้พร้อมน่ะต้องรอถึงเมื่อไหร่ พี่ว่ามันไม่ใช่นนท์ไม่พร้อมหรอก นนท์เป็นกังวลมากกว่า เชื่อพี่ ถึงเวลาที่ต้องคุยกันได้แล้ว” นนท์สะอึก เขากลัว! เมษพูดถูกแล้ว เขากลัวสิ่งที่จะได้ยินจากปากน้ำต้นมากกว่า เขาจึงพยายามหลบหน้าอยู่อย่างนี้ คงถึงเวลาที่ต้องคุยกันจริงๆแล้วสินะ

“พี่อยากจะบอกอีกอย่างนึงนะ” เมษยิ้ม “เรื่องบางเรื่องมันอาจจะไม่เป็นอย่างที่เราคิดเสมอไปหรอก”

“ครับ”

“แล้วก็ อย่างที่พี่เคยบอก พี่ฝากน้องด้วยนะ” เมษพูดแค่นั้นแล้วก็ยิ้ม นนท์ยกมือไหว้ ก่อนที่จะเดินออกมา

************************

น้ำต้นนั่งซุกตัวอยู่ในร้านกาแฟแห่งหนึ่ง งานสำคัญจบลงแล้ว พอร่ำลาเจ้าภาพของงานเสร็จ เขาก็เดินอย่างไม่มีจุดหมายไปเรื่อยๆ จนมาลงเอยที่ร้านแห่งนี้ โทรศัพท์มือถือในมือ ถูกกดแล้ววาง กดแล้ววางไปแล้วไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง เขากลัวว่าปลายสายจะไม่ยอมรับโทรศัพท์จากเขาอีก แต่สุดท้ายเขาก็ตัดสินใจได้ในที่สุด เขาไม่อยากจะปล่อยให้มันเป็นอย่างนี้ต่อไปอีกแล้ว ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เขาก็ยอมรับได้ทุกอย่าง แต่ต้องไม่ใช่การที่ไม่ได้พูดคุยและไม่ได้ทำความเข้าใจอะไรกันเลยแบบนี้ เขายอมไม่ได้

“ฮัลโหล” น้ำต้นใจเต้น เขากลับพูดไม่ออกเมื่อได้ยินเสียงที่คิดถึงมาหลายวันตอบรับเขาที่ปลายสายเสียที

“น้ำต้น”

“พี่นนท์ อยู่ที่ไหน”

“พี่อยู่ที่บ้าน”

“ต้นไปหานะ”

“ครับ”

“อย่าเพิ่งหนีต้นไปไหนนะพี่” น้ำเสียงของน้ำต้นเจือคำขอร้องเอาไว้อย่างไม่ปิดบัง

“พี่ไม่ไปไหนหรอก จะรอที่บ้านนะ” ปลายสายวางไปแล้ว ตอนนั้นเองที่นนท์บอกกับตัวเองว่า น้ำต้นมีความหมายกับเขามากเสียจน เขาไม่อาจะทำร้ายจิตใจเด็กหนุ่มได้อีกต่อไปแล้ว ไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไร เขาก็จะยอมรับมันทุกอย่าง เขาพร้อมแล้วที่จะพูดคุยกับน้องชายของเขาอย่างเปิดอกที่สุด

***********************

น้ำต้นขับรถออกไป ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่เขาคุ้นเคยกับเส้นทางนี้ ถึงขนาดไม่ต้องคิดเท้าก็พาเขาไปถึงจุดหมายได้ทุกครั้ง ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เขารู้สึกชอบถนนหนทางสายนี้ เพราะมันจะพาเขาไปยังที่ที่เขารู้สึกสบายใจและผ่อนคลายที่สุด และมั่นใจว่าคนที่เขารอคอยอยากพบมากที่สุดก็จะอยู่ที่นั่นเพื่อต้อนรับเขาด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่นอยู่เสมอ วันนี้น้ำต้นไม่ได้ขับรถด้วยอาการร้อนอกร้อนใจเหมือนอย่างหลายๆวันที่ผ่านมา เพราะเขารู้ว่า วันนี้คนที่เขาอยากเจอกำลังรอเขาอยู่เช่นกัน

เขาเลี้ยวรถเข้าไปในบ้านหลังใหญ่ ลัดเลาะเข้าไปอีกนิดก็เป็นเรือนหลังเล็ก และจอดมันเอาไว้ในที่ที่เขามักจะจับจองอยู่เสมออย่างคุ้นเคย รถอเนกประสงค์สีน้ำเงินที่สะอาดสะอ้านมันปลาบเป็นเงาอยู่เสมอจอดเอาไว้ในที่ของมัน ไม่เหมือนพักหลังที่มันมักจะหายไปพร้อมกับเจ้าของ และทำให้เขารู้สึกผิดหวังทุกครั้งที่ไม่เห็นมันในโรงรถ

น้ำต้นเดินลงมาจากรถ เขาหยุดยืนดูที่เรือนหลังเล็ก และยังไม่ทันจะเดินเข้าไปด้วยซ้ำ ประตูก็เปิดออกเจ้าของบ้านใส่ชุดลำลองเป็นเสื้อแขนยาวสีขาวและกางเกงขายาวสีครีม ราวกับรอต้อนรับเขาอยู่พักใหญ่แล้ว ท้องฟ้าด้านนอกมืดครึ้มลงอย่างรวดเร็วทั้งๆที่ยังแค่เลยเวลาหกโมงเย็นไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ช่วงปลายปีก็อย่างนี้ ค่ำเร็วกว่าปกติ อากาศก็เย็นลงกว่าเมื่อกลางวันอย่างรู้สึกได้ เจ้าของบ้านทอดสายตามายังร่างของเขา ทำไมเขาจะไม่รู้ จนกระทั่งเขาเดินมาถึงประตู นนท์จึงเปิดมันให้กว้างออก และปล่อยเอาไว้แบบนั้น ด้วยรู้ว่าแขกจะปิดประตูเองเมื่อเดินเข้ามาแล้ว

นนท์ยืนหันหลังให้เขา น้ำต้นใจหายเมื่อสังเกตเห็นว่าแท้จริงแล้ว นนท์ตัวเล็กกว่าที่คิด แต่เหนือสิ่งอื่นใด เขาคิดถึงร่างเล็กๆอันคุ้นเคยนี่เหลือเกิน นนท์หันหน้ากลับมาพร้อมกับเงยหน้าขึ้นสบตากับน้ำต้นที่เดินเข้ามาหยุดอยู่ข้างหลังเขา ทั้งคู่ไม่พูดอะไรกันสักคำ ได้แต่มองตากันและนิ่งเงียบอยู่อย่างนั้น จนกระทั่งนนท์ยื่นแขนทั้งสองข้างออกมา สองคนจึงสวมกอดกันอย่างไม่ปิดบังความรู้สึกอีกต่อไป

“พี่คิดถึงน้ำต้นนะครับ” พูดได้เท่านั้น น้ำอุ่นๆก็ไหลอาบแก้มนนท์ แขนทั้งสองข้างของเขากอดน้ำต้นเอาไว้แน่น ราวกับจะบอกว่าไม่อยากให้ร่างที่สูงใหญ่ในอ้อมแขนนี้จากไปไหนเลย

“พี่นนท์ พี่นนท์ อย่าทำแบบนี้อีกนะพี่” น้ำต้นร้องไห้ออกมาในที่สุด เขาโล่งใจอย่างที่ไม่เคยรู้สึกอย่างนี้มาก่อน เหมือนกับความหนักหน่วงที่ถ่วงอยู่ในใจเขามาหลายวันได้มลายหายไปจนหมดสิ้น “อย่าหนีต้นไปแบบนี้อีก” เด็กหนุ่มกระชับวงแขนนั้นให้แน่นขึ้น ในที่สุดเขาก็ได้พี่นนท์กลับมาแล้ว

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Namehoto

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 780
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +696/-9
ทั้งสองคนยืนกอดกันอยู่อย่างนั้นเป็นนาน ราวกับอยากจะซึมซับความอบอุ่นจากกันและกันเอาไว้ให้นานที่สุด ราวกับว่าหากปล่อยมือไป จะไม่มีโอกาสได้โอบกอดกันเช่นนี้อีก ก่อนที่นนท์จะค่อยๆคลายวงแขนออก น้ำต้นเหมือนจะยังคงดื้อดึงแข็งขืนที่จะไม่ปล่อยนนท์ แต่ด้วยแรงผลักเบาๆที่ไม่ใช่การผลักไสแต่เป็นสัมผัสที่อ่อนโยน เขาจึงยอมคลายวงแขนของตัวเองลงบ้าง นนท์เงยหน้าขึ้นมองน้ำต้นแล้วยิ้ม เขาหยุดร้องไห้นานแล้ว แต่เจ้าน้องชายนี่สิท่าทางต่อมน้ำตาจะไม่หยุดทำงานเอาง่ายๆเลยจริงๆ เขานึกขันระคนเอ็นดู ก่อนที่จะยกมือขึ้นปาดน้ำตาบนใบหน้าคมคายของน้ำต้นอย่างแผ่วเบา

“พอแล้ว ไม่ร้องแล้ว ตัวโตซะเปล่า ทำไมขี้แยอย่างนี้ล่ะเรา” นนท์ว่าล้อๆ แต่นิ้วยังคงปาดคราบน้ำตาออกให้อย่างอ่อนโยน

“ยังจะพูดอีก ก็เพราะพี่นั่นแหละ ดูดิ๊ เสียฟอร์มหมดเลย” ปากแม้จะบ่นแต่ในใจกลับเบาหวิวปลอดโปร่งยิ่งนัก น้ำต้นยกมือขึ้นจับมือนนท์ที่ตอนนี้แนบอยู่บนแก้มของเขา ก่อนที่จะสวมกอดร่างเล็กแต่แข็งแรงนั้นอีกครั้งเบาๆ

“น้ำต้น”

“ครับ”

“เราต้องคุยกันนะ”

“ต้นก็คิดว่าเราต้องคุยกันเสียที”

น้ำต้นยังคงจับมือข้างนั้นเอาไว้ไม่ปล่อย เขากึ่งเดินกึ่งจูงพี่ชายไปที่โซฟา ทั้งคู่นั่งลง ไม่มีใครพูดอะไรอยู่เป็นนาน

“พี่นนท์บอกต้นได้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้น” น้ำต้นที่เป็นฝ่ายอดรนทนไม่ไหวออกปากขึ้นมาก่อน

“พี่ไม่รู้จะเริ่มยังไงดีเหมือนกันนะ มันสับสนไปหมด” นนท์เอ่ย

“เอาอย่างนี้ ทำไมวันนั้นพี่ถึงไม่รอต้น เราสัญญาจะเล่นดนตรีกัน แต่พอต้นไปหา พี่เค้าก็บอกพี่กลับไปแล้ว”

“วันนั้นมีคนมาหาพี่”

“ใคร ผู้หญิง ผู้ชาย”

“ผู้หญิง”

“งั้นต้นพอจะนึกออกแล้ว แล้วยังไงต่อ”

“เขาบอกว่า มันจะดีกับต้นถ้า เอ่อ... พี่อยู่ห่างจากต้น”

“แล้วพี่ก็เชื่อเขางั้นเหรอ” น้ำต้นเริ่มไม่พอใจขึ้นมาแล้ว

“ต้น พี่ไม่ได้เชื่อเขาหรอกนะ แต่ลำพังพี่อ่ะ พี่ไม่ห่วงตัวเองเลย พี่ห่วงต้นมากกว่า แล้วก็คงทนไม่ได้แน่ๆถ้าชื่อเสียงของต้นจะมัวหมองไปเพราะ ต้นมาใกล้ชิดกับพี่” นนท์มองหน้าน้ำต้น “ต้นเข้าใจความรู้สึกพี่หรือเปล่า”

“เข้าใจครับ” ทีนี้เป็นเขาที่เสียงอ่อนลง

“แต่พี่ก็รู้นะว่าพี่ทำไม่ถูกที่หนีหน้าต้นไปเลย อันนี้พี่ยอมรับผิด และพี่ขอโทษ” น้ำต้นคว้ามือนนท์มาบีบกระชับเอาไว้ในมือ

“พี่ไม่ต้องขอโทษ”

“แต่พี่มีโอกาสได้คุยกับเพื่อนเก่า แล้วก็อีกคนที่ต้นควรจะขอบคุณมากๆก็คือพี่เมษ พี่ถึงคิดได้ แล้วก็ตัดสินใจว่าควรจะเปิดใจคุยกับเราเสียที”

“พี่ไปหาต้นใช่ไหมวันนั้น” ใบหน้าของน้ำต้นเคร่งเครียดขึ้นมาทันทีที่ถามออกไป

“อือม์” นนท์ก้มหน้ากัดริมฝีปากอย่างอดกลั้นความรู้สึกทั้งหมดเอาไว้อย่างเต็มที่

“แล้วพี่ทำไมไม่รอเจอต้น”

“เขาบอกพี่ว่า ต้นอยากจะใช้เวลาส่วนตัว อยู่กับเขา”

“แล้วพี่ทำยังไง”

“พี่ก็ตัดสินใจกลับ”

“แล้วก็ปิดเครื่อง ไม่ยอมคุยกับต้นอีก” น้ำต้นหันมามองหน้าพี่ชายอีกครั้งพร้อมกับน้ำตาที่รื้นอยู่ในดวงตากลมโตคู่นั้น “ทำไมพี่ไม่ถามต้นซักคำ”

“พี่ขอโทษ แต่พี่บอกตามตรง พี่ช็อกมากเลยนะ... พี่ไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมถึงได้ช็อก แล้ววูบนั้นมันทั้งเสียใจ ทั้งผิดหวัง พี่บอกไม่ถูกจริงๆ” มือของเขาบีบกระชับตอบมือของน้องชาย “อีกอย่าง พี่ไม่รู้เลยว่าต้นคิดกับพี่ยังไง พี่ไม่เคยรู้เรื่องเขากับต้น พี่ไม่รู้อะไรเลยนะ ต้นเข้าใจพี่ใช่ไหม”

“พี่นนท์”

“หือม์”

“ต้นอยากรู้ว่า...” น้ำต้นหันไปสบตานนท์ “พี่นนท์รู้สึกยังไง”

“รู้สึกยังไง กับอะไร”

“กับเรื่องของต้นและเขา”

“พี่ไม่แน่ใจ แต่พี่ไม่อยากเห็นต้นอยู่กับเขา”

“พี่หวงน้อง” น้ำต้นยิ้มออกในที่สุดแต่ก็ไม่วายว่าล้อๆ

“หวงสิ” นนท์ว่าตรงๆ ก่อนที่จะทันได้ว่าอะไรต่อ เขาก็รู้สึกร้อนผ่าวที่ใบหน้าขึ้นมาเสียเฉยๆ

“พี่นนท์”

“ครับ”

“ขอต้นบอกอะไรพี่หน่อยนะ” น้ำต้นก้มหน้ามองไปที่มือนุ่มนิ่มเรียวยาวของคนข้างๆที่เขาจับเอาไว้ไม่ยอมปล่อย “เรื่องของต้นกับเขาน่ะมันจบไปนานแล้ว ต้นกลับไปรักเขาไม่ได้แล้ว ยิ่งพอมาเกิดเรื่องแบบนี้ ต้นก็ยิ่งรู้สึกว่าไม่สามารถรักผู้หญิงคนนั้นได้อีกแล้ว จะเป็นเพื่อนได้หรือเปล่าต้นยังไม่รู้เลย”

“เพราะพี่หรือเปล่า”

“ไม่ใช่ ไม่ใช่เลยพี่นนท์ เราไม่เหมาะกันมาตั้งแต่แรก และมันควรจะจบไปได้ตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว กลับมาคราวนี้ ต้นไม่รู้เขาต้องการอะไรเหมือนกัน เหมือนเขาอยากจะกลับมาคืนดีด้วย เพราะอะไรต้นก็ไม่รู้ รู้แต่เราไม่ได้รักกันแล้ว เราอาจจะไม่เคยรักกันมาแต่แรกแล้วก็ได้ เพราะตอนนั้นเราก็ยังเด็กกันมาก” น้ำต้นพูดยืดยาว “แล้ววันนั้นน่ะ ที่พี่ไปเจอเขาที่ห้องน่ะ เขาอาสาไปส่งต้นเอง ไอ้เราก็จิตตกเพราะโดนพี่ทิ้งไปไม่ไยดี ก็เลยยังไงก็ได้ ใครจะไปคิดว่าเรื่องราวมันจะบานปลายไปขนาดนี้”

“แต่ต้นต้องเข้าใจนะ ว่าถ้าต้นเป็นพี่ ชั่วโมงนั้น เจอแบบนั้นยังไงก็ต้องคิด” นนท์ว่าบ้าง

“แต่ก็ไม่เห็นถึงกับต้องปิดเครื่องหนีเลยนี่นา ใจร้ายชะมัด”

“ใครว่าใจร้าย คนกำลังคิดมาก”

“แล้วทำไมพี่ต้องคิดมากขนาดนั้น”

“มันก็เสียใจน่ะ”

“ทำไมต้องเสียใจล่ะพี่” เด็กน้ำต้น ถามต้อนเขาเสียจนไม่เปิดจังหวะให้เขาได้แก้ตัวอะไรได้เลย

“แล้วจะมาคาดคั้นพี่ทำไมเนี่ย” คนพี่เริ่มบ่นกระปอดกระแปดออกมาบ้าง

“พี่นนท์ ต้นถามพี่จริงๆนะ” จู่ๆน้ำต้นก็พูดโพล่งขึ้นมา

“พี่คิดกับต้นยังไง”

นนท์อึ้งไปกับคำถามนี้ เขาได้แต่นั่งเงียบราวกับจะชั่งใจอะไรบางอย่าง ทำเอาคนถามใจคอไม่อยู่กับเนื้อกับตัวไปเลยทีเดียว

“ก่อนจะตอบ พี่ขอถามอะไรต้นบ้างได้ไหม”

“ถามมาเลยพี่”

“ต้นรู้เรื่องพี่มาบ้างแล้วใช่ไหม”

“ก็พอรู้นะ คิดว่ารู้”

“แล้วต้นคิดยังไง มันไม่ใช่เรื่องง่ายนะต้นสำหรับพี่น่ะ”

น้ำต้นหันไปมองคนที่นั่งอยู่ข้างๆ หนนี้นนท์ไม่สบตาน้ำต้น ท่าทางเหมือนเขากำลังครุ่นคิดอะไรในใจอย่างหนัก มือทั้งสองข้างของพี่ชายประสานกันแน่นจนเห็นว่าข้อนิ้วมือขาวซีดจนไม่มีสีเลือด

“แต่มันไม่ใช่เรื่องยากสำหรับต้นเลย” น้ำต้นพูดออกมาอย่างหนักแน่น เขาแทบไม่ต้องคิดเลยด้วยซ้ำ

“ต้นยังเด็กก็จริงนะพี่ แต่ต้นก็พอจะรู้ว่าอะไรเป็นอะไร อย่างหนึ่งที่ต้นอยากให้พี่รู้ไว้ก็คือ ต้นไม่เคยตัดสินใคร ถ้าต้นไม่ได้สัมผัสหรือพูดคุยรู้จักกับคนคนนั้นด้วยตัวเองเสียก่อน” น้ำต้นหยุดและหันกลับไปมองนนท์อีกครั้ง “และต้นพูดได้เลยว่าต้นรู้จักพี่นนท์ดี พี่เป็นคนที่ดีมาก ดีขนาดที่ว่าชีวิตนี้นนท์จะหาคนที่ดีแบบนี้เจออีกหรือเปล่าก็ไม่รู้ หลังจากที่เกิดเรื่อง ต้นบอกตัวเองไว้เลยว่า จะไม่ยอมเสียพี่ไปเด็ดขาด นอกจากพี่จะเกลียดต้นแล้ว”

“พี่จะเกลียดต้นได้ยังไง”

“ไม่รู้แหละ พูดไว้ก่อน” ว่าแล้วก็ยังไม่วายหันไปทำหน้าทะเล้นใส่พี่อีกต่างหาก ทำเอานนท์หัวเราะออกมาจนได้

“แล้วต้นไม่รู้สึก...” นนท์พูดค้างเอาไว้อย่างนั้น

“ต้นรู้สึกดีมากเวลาอยู่กับพี่นนท์” น้ำต้นสวนกลับมาทันควันทั้งที่อีกฝ่ายยังพูดไม่จบ หนนี้ไม่แค่สบตา น้ำต้นคว้ามือข้างหนึ่งของนนท์ขึ้นมากุมเอาไว้ก่อนจะเอ่ยออกมาอย่างไม่ลังเลว่า

“ต้นชอบพี่นนท์นะครับ” นนท์ทำตาโตเมื่อได้ยินคำสารภาพที่ออกจากปากน้ำต้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ราวกับไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน “เอ๊า มัวแต่ช็อก”

“ต้นว่าอะไรนะ” ถามไปทั้งที่ก็ได้ยินชัดเจนเต็มสองหูอยู่แล้ว

“ต้นชอบพี่ไง”

“เป็นไปได้ยังไง ก็ต้น...” เขาอึกอัก “แล้วพี่ก็...”

“หยุดเลยพี่นนท์” น้ำต้นยกมือยกไม้ราวกับจะห้ามอะไรสักอย่าง “ไม่ต้องพูด ถ้าต้นแคร์ว่าพี่เป็นอะไรต้นคงไม่มาคุยกับพี่หรอก ต้นแคร์แค่พี่เป็นพี่นนท์แค่นี้ก็พอแล้ว โอเคไหม”

นนท์ก้มหน้าเงียบ น้ำต้นไม่รู้เลยว่าคนพี่คิดอะไรอยู่ในใจ จนกระทั่งร่างที่นั่งข้างๆเอนตัวและซบศีรษะลงบนไหล่เขา

“ขอบคุณนะน้ำต้น”

น้ำต้นเอียงศีรษะตอบรับสัมผัสนั้นแผ่วเบาแทนคำตอบ

“ทีนี้พี่ตอบคำถามต้นได้รึยัง”

“ว่า?”

“ว่าพี่คิดยังไงกับน้องคนนี้ไง”

“จะเอาจริงๆหรือแบบรักษาน้ำใจดีล่ะ” แม้จะไม่เห็นสีหน้าของคนถาม แต่น้ำต้นก็พอจะเดาได้ว่า พี่นนท์ของเขาคงกำลังแอบยิ้มอยู่เป็นแน่

“ขอความจริงแบบที่ช่วยรักษาน้ำใจด้วยจะดีมากพี่” นนท์ได้ยินถึงกับหัวเราะชอบใจออกมา เขาหันไปมองหน้าเจ้าเด็กโข่งที่นั่งทำตาแป๋วมองเขาอยู่ นนท์เห็นหน้าน้ำต้นแล้วก็ได้แต่พยายามจะกลั้นหัวเราะสุดชีวิต

“ขำอารายพี่นนท์” เจ้าน้องชายทำเสียงยียวน “นี่ถามจริงจังนะพี่ เห็นเป็นเรื่องตลกไปซะได้”

“ไม่หัวเราะแล้ว เอ๊า” นนท์อมยิ้ม

“ต้นรอฟังอยู่นะ”

“ยังจะต้องให้พี่บอกอีกเหรอ”

“อ้าว ทีต้นยังบอกพี่เลย” น้ำต้นเริ่มตัดพ้อ “ไหนบอกว่าเราต้องคุยกันไง มันก็ควรจะคุยให้ครบทุกเรื่องสิพี่” เจ้าน้องชายอ้างโน่นอ้างนี่ไปเรื่อย

“พี่ไม่ถนัดบอกความรู้สึกตัวเองกับใคร”

“ก็นี่แหละ จะได้ถนัดขึ้นอีกหน่อย ต่อไปมีอะไรต้องคุยกันรู้ไหมพี่ ถ้าเอาแต่เงียบแล้วต้นจะรู้ได้ยังไงว่าพี่คิดยังไง อ่ะ ทีนี้บอกได้รึยังว่าพี่คิดยังไง”

“พี่ก็...” นนท์ก้มหน้าก้มตางุดไม่ยอมสบตาคู่สนทนาเสียอย่างนั้น

“อะไรพี่ ต้นไม่ได้ยิน” เจ้าเด็กตาหวานทำท่าเอียงคอยื่นหูเข้าไปใกล้ๆคนข้างตัวที่พูดอะไรงึมงำอยู่คนเดียว

“พี่ก็ชอบน้ำต้น”

“ก็แค่นี้แหละ” ปากบอกว่าแค่นี้ แต่หน้าตาคนพูดบานเป็นกระด้ง “แล้วก้มหน้าก้มตาทำไม” เจ้าตัวดียังไม่เลิกตอแย

“ไม่เอาแล้ว” นนท์ผลุนผลันลุกขึ้นทำท่าเหมือนจะเดินหนีคู่สนทนาไปเสียดื้อๆอย่างนั้น แต่ก็ยังไวไม่เท่าเด็กน้ำต้นที่คว้าข้อมือเขาเอาไว้ไม่ให้หนีไปไหนได้ เขาไม่เห็นหน้าพี่นนท์ เห็นแต่ใบหูที่แดงก่ำผิดปกติกว่าทุกครั้ง

“จะหนีไปไหนพี่ มานั่งนี่ก่อน” ไม่พูดเปล่า แต่ออกแรงดึงเพียงนิดเดียว คนพี่ที่ตัวเล็กกว่าก็เซกลับลงมานั่งปุลงข้างๆเขา ไหล่กับไหล่ชนกัน เข่ากับเข่าแนบชิดกัน ต่างฝ่ายต่างก็รู้สึกถึงไออุ่นของอีกฝ่าย ที่ผ่านมาก็พวกเขาไม่เคยสังเกตเลยด้วยซ้ำว่า ได้เข้ามาใกล้ชิดกันมากถึงเพียงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน จำได้แค่ว่า เวลาที่มีอีกคนอยู่ข้างๆมันช่างอุ่นใจและผ่อนคลายยิ่งนัก

“น้ำต้น” นนท์เรียกชื่อคนข้างๆเบาๆพอแค่ได้ยินกันสองคนเมื่อทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง

“ครับพี่นนท์” เสียงตอบรับจากอีกฝ่ายไม่ได้ดังไปกว่ากัน

“มันไม่ใช่เรื่องง่ายนะ ต้นเข้าใจที่พี่พูดใช่ไหม”

“พี่นนท์ บอกต้นซิ พี่กังวลอะไร”

“พี่ก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน” ใบหน้าที่อยู่ห่างจากน้ำต้นไม่กี่นิ้ว ฉายแววกังวลออกมาอย่างไม่อาจปิดบัง

“พี่รู้มั้ยว่าตัวเองเป็นคนคิดเยอะ บางทีคิดอะไรพี่ก็ไม่ยอมพูดออกมา ต้นเป็นห่วงพี่นะ แล้วก็...” เด็กหนุ่มปล่อยให้คำพูดทิ้งค้างไว้อย่างนั้น เขายกมือขึ้นตีไปบนเข่าของพี่ชายเบาๆราวกับอยากจะเน้นทุกคำที่เขากำลังจะบอกออกไปว่า “เชื่อใจต้นมากกว่านี้ ได้ไหม”

นนท์หันไปมองหน้าน้ำต้นราวกับจะประเมินอะไรบางอย่าง

“จริงอยู่ เราอาจจะยังไม่รู้จักกันมากมายสักเท่าไหร่ แต่ต้นอยากจะให้พี่เชื่อใจต้น อยากให้ไว้ใจ อยากให้รู้ว่าพี่ไม่ได้เหงาอยู่คนเดียวอย่างที่ผ่านๆมา”

“ดูพี่ออกด้วยเหรอ”

“ไม่งั้นจะเป็นน้องพี่ได้เหรอ” น้ำต้นสวนกลับไปยิ้มๆ “ได้ไหมพี่” น้ำต้นบีบที่หัวเข่านนท์เบาๆ

เขายกมือขึ้นวางทับมือที่สากกว้างของเด็กหนุ่ม และปล่อยให้ห้องตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง เงียบเสียจนเข็มตกลงพื้นก็คงจะได้ยินกันถนัดถนี่ทีเดียว ก่อนที่นนท์จะระบายลมหายใจออกมาราวกับตัดสินใจอะไรบางอย่างได้แล้ว

“น้ำต้นลางานได้ไหม”

“อะไรนะพี่” น้ำต้นถามกลับด้วยใบหน้าประหลาดใจ

“ลางานได้ซักสองสามวันหรือเปล่า”

“ก็ต้องถามพี่เมษก่อน แต่ช่วงนี้งานต้นไม่ค่อยเยอะแล้ว น่าจะไม่ติดอะไร” เขามองไปที่นนท์ราวกับรอคำตอบจากปากชายหนุ่ม “มีอะไรเหรอพี่นนท์”

“ต้นโทรไปถามพี่เมษนะ ได้วันว่างเมื่อไหร่มาบอกพี่” ใบหน้าของเด็กหนุ่มยังคงเต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถามอยู่นั่นเอง “พี่จะพาต้นไปบ้านพี่ที่เชียงใหม่”

________________________________

โปรดติดตามตอนต่อไป


****************************

คนเขียนลงไว้ว่า

จบไปแล้วอีกตอนนึง และคาดว่าน่าจะทำให้คนอ่านหลายๆท่านโล่งใจขึ้นมาได้บ้าง หลังจากที่คนเขียนทำร้ายจิตใจเอาไว้เยอะเลย นับว่าคลี่คลายไปได้เปลาะนึงแล้วนะคะ หวังว่าจะเรียกรอยยิ้มจากทกุคนได้บ้างนะคะ

หวังว่าจะติดตามกันไปเรื่อยๆอย่างนี้ เช่นที่ผ่านมาค่ะ

จาก นิ้วไขว้ fingers-crossed

ออฟไลน์ ปี้ปี้ปี้~PalmY

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2427
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +273/-1
คืนดีกันแล้ว
แต่ว่ามันยังคุนเครือไม่มั่น
ใจในความสัมพันธ์

ออฟไลน์ Chatcha

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 717
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-0
เฮ้อ

โล่งอก

ในที่สุดก็เข้าใจกัน

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
เย้ ๆๆๆ เข้าใจกันแล้ววว
ว่าแต่ว่า พี่นนท์ให้ต้นลางานนี่ จะไปเที่ยวไหนกันหว่า ๆๆ

ออฟไลน์ ● MaYa~Boy ●

  • ฉันมันคนขี้อิจฉา
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3990
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-2
เข้าใจกันแล้ว เย้ๆ

C2U

  • บุคคลทั่วไป
แหม พอเข้าใจกันปุ๊บ  พี่นนท์ ก็ชวนน้องเที่ยวเชียวนะ 

ถือโอกาสกระชับความสัมพันธ์ หลังจากห่างหายกันไปนาน    :-[

ช่างคิดจริง พี่นนท์ 

mecon

  • บุคคลทั่วไป
โล่งอก :เฮ้อ:
อุปสรรคที่พี่นนท์กลัวหนะ คงต้องมีแน่ๆ
แต่ถ้าเชื่อใจกันให้มากกว่านี้ มีอะไรก็คุยกัน ทุกอย่างคงจะดีขึ้นนะคะ
น้ำต้นเป็นคนที่ใครๆก็จับตามอง และในเมื่อมีคนรักก็ย่อมมีคนชัง
และรอคอยให้น้ำต้นสะดุดขาตัวเองอะไรนี้ยังไงก็ต้องรักแบบรอบคอบ อิอิ

ขอบคุณคะ พี่นาเมฮ์

ออฟไลน์ pongsj

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +213/-9

ออฟไลน์ panpan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 366
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-2
ไม่ว่าต่อไปจะเกิดอะไรขึ้น   ความรักชนะทุกสิ่ง

ออฟไลน์ Tifa

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1474
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +417/-2
คริๆ

อ่านไปอายไปตอนนี้

น่ารักดีๆ


ตอนไปเชียงใหม่ต้องสนุกแน่ๆเลย รีบลางานนะจ๊ะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ EverGreen™

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1684
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +192/-1
เย่  :mc4:

พาไปบ้านแล้วว

(อ่าว ต้องดีใจเพราะเค้าดีกันไม่ใช่??)

Forever_ever

  • บุคคลทั่วไป
อ่านตอนนี้แล้วโล่งอก
ในที่สุดก็ได้คุยกันซะที
ดีใจดีใจ สองคนดีกันแล้ว
แถมมีโปรแกรมไปเที่ยวกันอีกต่างหาก
รอตอนต่อไปนะคะ

ขอบคุณพี่นาเมฮ์ด้วยค่ะ

twin2g

  • บุคคลทั่วไป
เพิ่งตามอ่านตั้งแต่แรก

ครบทุกรสจริงๆ


ขอน้ำตาลเว่อร์เลยน้าตอนหน้าอ่ะ

เรื่องนี้อ่านแล้ว อินเนอร์มันแร๊ง!

ออฟไลน์ nin@

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
บทจะเข้าใจกัน ก็ดูจะเดินเรื่องรวบรัดเสียเหลือเกิน ไม่เนียนเลยอ่ะ
2-3 ตอนหลัง อ่านแล้วมันแหม่งๆแฮะ

ออฟไลน์ ToeyTato

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1289
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-1
อ่าาา อ่านรวดเดียวเลย หุหุ จะว่างัยดีอ่ะเนี้ย 555
ชอบพี่นนท์มากๆเลยอ่ะค่ะ บุคลิกแบบนี้มันโดน 555 แบบพี่เค้าดูนิสัยดีมากก ขี้กังวลดีแท้น้อ
เหมาะกับน้ำต้นมากๆเลยอ่ะ แล้วก็ดูเป็นคู่ที่ลงตัวมากๆด้วย นิสัยเข้ากันดีจิง
ว่าแต่เกลียด ยัยไหม กับเห้เอ้จังเลย คิดว่ามันคงไม่จบแค่นี้แน่ๆเลย แล้วคิดว่าอุปสรรคคงมีมาอีกมากมาย
อ่านไปมาละครไทยมากเลยอ่ะ 555 แต่ชอบน้าสนุกดี
สู้ต่อไปน้ำต้นกับพี่นนท์ Fightinggg (ชอบพี่นนท์อ่ะ :o8: :-[)

ออฟไลน์ LoveAholic

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 318
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +66/-0
เย้...เข้าใจกันแล้ว   ดีใจที่สุด

วันข้างหน้ามีอะไรเกิดขึ้นก็ตาม

พี่นนท์ห้ามคิดแทนน้ำต้นอีกนะ

ต้องคุยกันเน้อ    :กอด1:

ขอบคุณคนแต่งและคนโพสต์ค่ะ







ออฟไลน์ Namehoto

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 780
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +696/-9
นนท์จะพาน้ำต้นไปที่บ้าน จะเป็นอย่างไรบ้างหนอ มาติดตามกันต่อนะคะ

************************

เพลงรัก

บทที่ 10

“ว่าไงเมษ ตัวยุ่งไม่อยู่กรุงเทพฯ เหงาไหม” โปรดิวเซอร์มือทอง เดินถือแก้วกาแฟหอมกรุ่นเดินเข้ามาอย่างสบายอารมณ์ ก่อนจะเริ่มต้นบทสนทนาแรกกับลูกน้องคนสนิท

“มาแต่เช้าเลยพี่นอ เมียไม่บ่นเหรอกลับดึกตื่นเช้าแบบนี้” เมษแซวยิ้มๆหลังจากที่รับรู้ว่าคนที่เดินเข้ามาเป็นใคร

“เอาน่า ขออนุญาตเค้าไปแล้วไง” นรเศรษฐ์หัวเราะชอบใจ ใครจะแซวเขาว่ากลัวภรรยา ไม่เพียงแต่จะไม่เก็บมาใส่ใจ แต่กลับหัวเราะชอบอกชอบใจไปเสียอย่างนั้นทุกทีไป เมษมีหรือจะไม่รู้ว่านรเศรษฐ์รักภรรยาและครอบครัวของเขามากเพียงไร นี่ถ้าไม่เห็นว่าสนิทสนมกันเป็นอย่างดีเธอก็คงไม่กล้าแซวเล่นแบบนี้เหมือนกัน

“ไม่รู้ป่านนี้ถึงเชียงใหม่แล้วหรือยัง” เมษมองดูนาฬิกาตั้งโต๊ะอันเล็กที่วางเอาไว้ไม่ไกลนัก นรเศรษฐ์ลากเก้าอี้มานั่งลงไขว่ห้าง พลางยกแก้วกาแฟขึ้นจิบ

“เมษ พี่ถามอะไรหน่อยสิ”

“ค่ะพี่” เมษละมือจากแป้นคีย์บอร์ด ก่อนที่จะหันไปรอฟังว่านรเศรษฐ์จะพูดอะไรกับเธอ

“เมษว่า สองคนนั่นเขาเป็นยังไง”

“แล้วจากสายตาพี่นอ พี่ว่าเค้าเป็นยังไงล่ะ” เมษย้อนถามกลับไปบ้าง “หนูน่ะ มีคำตอบให้พี่อยู่แล้ว แต่ก็อยากจะรู้เหมือนกันว่า พี่เราจะคิดยังไง”

“พี่ก็ไม่ยังไงหรอก ทีแรกก็รู้สึกเบาใจนะว่า ดีจริงที่น้ำต้นกับนนท์เข้ากันได้ดี ทำให้การทำงานมันง่ายขึ้นเยอะ แต่พักหลังพี่เห็นตัวติดกันเป็นเงา มีคนนึงก็ต้องมีอีกคนนึงอยู่ด้วยตลอด” นรเศรษฐ์ชั่งใจก่อนจะเอ่ยออกมาว่า “ก็เลยค่อนข้างแน่ใจว่ามันคงต้องมีอะไรมากกว่านั้นแล้วล่ะ”

“พี่นอว่าไงล่ะคะ”

“พี่ก็ไม่ว่าไงหรอก”

“อ้าว...” เมษมีสีหน้าประหลาดใจขึ้นมา

“ทำไมล่ะ”

“ก็... แปลกใจนิดหน่อยน่ะพี่” พอได้เห็นสีหน้าของคู่สนทนาที่มีศักดิ์เป็นทั้งหัวหน้าและเหมือนจะเป็นพี่ชายอยู่กลายๆ ดูไม่เป็นทุกข์ร้อนอะไรกับเรื่องที่กำลังพูดคุยกันเลยสักนิด เมษก็อดยิ้มกว้างออกมาไม่ได้

“เห็นอย่างนี้พี่ไม่ใช่พวกจิตใจคับแคบนะเมษ”

“เปล่าเลยพี่ หนูไม่เคยคิดเลยนะว่าพี่จะเป็นคนใจแคบหรืออะไร”  เมษว่า “แต่พี่ต้องเข้าใจนิดนึง นี่ไม่ใช่เรื่องที่ผู้ชายปกติทั่วไป โดยเฉพาะคนที่มีลูกมีเมียแล้วอย่างพี่จะยอมรับได้ง่ายๆไงคะ แล้วที่ผ่านมาหนูก็ไม่รู้ว่าพี่นอมีทัศนคติกับเรื่องแบบนี้ยังไง”

“โธ่เอ๊ย เมษ ทำงานในวงการนี้ก็น่าจะเห็นๆกันอยู่ ไอ้เพื่อนๆที่รู้จักคบหากันอยู่นี่ก็มีไม่น้อยที่เป็น พี่ก็ไม่เห็นต้องเดือดร้อนอะไรเลย”

“แต่นี่เรากำลังพูดถึงน้ำต้นอยู่นะคะ” เมษหยั่งเชิงอีกครั้ง

“ก็...“ นรเศรษฐ์ยักไหล่อย่างไม่เห็นว่าเป็นเรื่องใหญ่อะไร “น้องมันก็คน ถ้ามันจะรักใครชอบใครก็เป็นสิทธิ์ของมัน”

“แล้วพี่ไม่กลัวเหรอคะว่า นักร้องหนุ่มที่พี่ปั้นขึ้นมากับมือ จู่ๆก็เกิดมีรสนิยมชอบผู้ชายขึ้นมาเสียอย่างนั้น”

“เป็นเมื่อก่อนก็อาจจะกังวลหน่อย” นรเศรษฐ์จิบกาแฟต่อ “แต่ตอนนี้ดูเอาสิเมษ ว่านักร้อง ดารา นักแสดง ในบ้านเราเนี่ย มีแบบนี้กี่คน พอเวลาผ่านไป พี่ก็ไม่ได้รู้สึกว่าเขาจะแตกต่างจากเราตรงไหน แค่รสนิยมของเราไม่เหมือนกันเท่านั้นเอง แล้วบอกตามตรงนะ” เขาหันไปพูดกับเมษ “เคสน้ำต้นเนี่ย พี่แทบไม่เป็นห่วงอะไรเขาเลย”

“เพราะอะไรคะพี่”

“เอาตรงๆนะ เราก็รู้จักเด็กของเราดีอยู่แล้ว ว่าเขาเป็นยังไงเป็นเด็กดีแค่ไหน พี่เชื่อในการตัดสินใจของต้นนะ อีกอย่างดูนนท์สิ พี่เองเป็นผู้ชายแท้ๆ พี่ยังถูกใจเด็กคนนี้เลย มันมีอะไรไม่รู้ชวนให้ดึงดูดใจ แถมที่ผ่านมา พอได้พูดคุยกันบ่อยๆ พี่ก็เห็นแล้วว่า นนท์เป็นเด็กดีขนาดไหน ถึงไม่แปลกใจเลยถ้าต้นมันจะชอบนนท์ขนาดนั้น ไม่ว่าจะในฐานะอะไรก็ตามน่ะนะ แล้วก็อีกอย่าง...” นรเศรษฐ์ยักไหล่ทำท่ายียวนขึ้นมา “ถ้าไอ้ต้นมันจะเป็นอะไร มันก็ไม่ได้เป็นบนหัวกะบาลใครนี่หว่า พี่ปั้นมันขึ้นมาให้เป็นนักร้องที่ดี มันก็ได้ทำหน้าที่ของมันไปแล้วอย่างดี ที่เหลือก็เรื่องของมัน คนเรามันก็ต้องมีชีวิตเป็นของตัวเองบ้างสิ”

“โอ้โห” เมษทำตาโต

“อะไรของเอ็งอีกวะเมษ” นรเศรษฐ์ทำเสียงฮึดฮัดเมื่อเห็นปฏิกิริยาของลูกน้องสาวที่ทำหน้าทึ่งออกมาอย่างไม่ปิดบัง “ฉันพูดผิดตรงไหน”

“ไม่ผิดจ้ะพี่ แค่ทึ่งในความคิดของพี่น่ะ” เมษหัวเราะพรืดออกมา “ถ้าไม่ได้มาคุยกันแบบนี้ เมษจะคิดไม่ถึงเลยนะ”

“แต่เราก็จะไปคาดหวังให้ทุกคนคิดแบบนี้ไปทั้งหมดไม่ได้หรอก เรื่องนี้พี่ก็รู้ ว่าแต่เอ็งล่ะ ตกลงคิดยังไงกับสองคนนี้บ้าง” นรเศรษฐ์ใช้สรรพนามที่แสดงถึงความสนิทสนมที่ใช้กับเมษอยู่บ่อยๆ

“หนูมองออกตั้งแต่แรกแล้ว” เมษว่ายิ้มๆ

“ผู้หญิงนี่เซ้นส์เรื่องแบบนี้แรงนะ” นรเศรษฐ์ทึ่ง

“ก็ไม่ทุกคนหรอกนะพี่นอ อย่างเมษเนี่ย มันเป็นความสามารถพิเศษน่ะ” นรเศรษฐ์พยักหน้ารับอย่างเห็นด้วย “สองคนนี่เขาดึงดูดกันมาตั้งแต่แรกที่ได้เจอกันแล้ว อีกอย่างเมษน่ะใกล้ชิดต้นขนาดนี้ เมษจะไม่รู้เชียวหรือว่าน้องเป็นคนเก็บความรู้สึกไม่เก่งเลย เวลาชอบอะไร หรือถูกใจใคร ต้นมันจะหยุดตัวเองไม่ค่อยได้ ว่างเป็นต้องพูดถึงตลอด แล้วดูสิ ตั้งแต่รู้จักกันมา ยังไม่เคยเห็นต้นติดใครหนึบขนาดนี้มาก่อน”

“เห็นด้วยเลย”

“ระยะหลังมันก็เกิดเรื่องอะไรขึ้นด้วย ก็ยิ่งได้เห็นว่าทั้งต้นทั้งนนท์เขาผูกพันกันมากด้วยอะไรบางอย่างบอกไม่ถูกนะพี่”

“แต่ไม่รู้เป็นยังไงนะ ไอ้คู่นี้นี่ เวลาพี่มองดูสองคนอยู่ด้วยกันแล้วมันไม่รู้สึกขัดตาเลย กลับรู้สึกดีไปซะงั้น พี่ว่า ส่วนหนึ่ง มันก็วางตัวกันดีด้วยแหละ ไม่ได้ทำอะไรน่าเกลียด พี่ถึงไม่ว่าอะไรไง ถ้ามันเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆนะ ใครก็ว่ามันไม่ได้หรอก”

“ถามจริงๆนะพี่นอ พี่เป็นห่วงว่ามันจะเป็นข่าวขึ้นมาหรือเปล่า เมษไม่รู้นะ มันอาจจะไม่มีอะไรก็ได้ แต่ใครจะไปรู้ใช่ไหมพี่ ยังไงต้นมันก็คนของประชาชนน่ะ”

“ห่วงนิดหน่อย แต่ไม่มาก ถ้ามีอะไรขึ้นมาเราก็คงต้องช่วยน้องเต็มที่อยู่แล้ว พี่นะ อะไรที่ดีกับน้องทุกคน พี่ไม่เคยห้าม มีแต่จะช่วย แล้วเรื่องนี้มันไม่ใช่เรื่องเสียหายนะ เอ่อ... ในความคิดของพี่หรอกนะ แต่ถ้ามีอะไรล่ะก็ พี่อยากให้เมษรู้ไว้เลยว่า พี่พร้อมจะช่วยน้องเสมอ”

“เมษไม่ห่วงสองคนนี้ เท่ากับคนรอบตัวเขาหรอก” เมษถอนหายใจอย่างอดกังวลขึ้นมาไม่ได้

“แต่ตอนนี้มันก็ยังไม่มีอะไรใช่ไหม” เมษส่ายศีรษะเบาๆ “ถ้างั้นก็อย่าเพิ่งไปกังวลกับเรื่องที่ยังมาไม่ถึง” นรเศรษฐ์ยื่นมือไปขยี้ศีรษะของเมษเบาๆ “พี่ก็ฝากสองคนให้เราดูแลหน่อยก็แล้วกัน”

เมษเลิกคิ้วขึ้นอย่างที่ทำจนติดเป็นนิสัยเวลาที่นึกฉงนสงสัยอะไรขึ้นมา

“หมายความว่ายังไงคะพี่”

“เออ จริง” นรเศรษฐ์ว่า “พี่ยังไม่ได้บอกเมษนี่นา ไป...” ว่าแล้วโปรดิวเซอร์อารมณ์ดีก็ลุกขึ้นยืน เขาผลักเก้าอี้ออกไปเบาๆ ก่อนจะถือแก้วกาแฟที่เหลืออยู่ไม่ถึงครึ่งในตอนนี้ขึ้นมา

“งั้นเราไปคุยรายละเอียดกันหน่อย”

เมษจึงได้แต่ลุกเดินตามหัวหน้าของตัวเองออกไปทั้งกึ่งอยากรู้และกึ่งประหลาดใจเมื่อเห็นท่าทางที่เต็มไปด้วยลับลมคมในนั้น

***********************

เด็กหนุ่มที่สวมแว่นตาและหมวกแก๊ปใบโปรด ยืนรอชายหนุ่มอีกคนที่กำลังรอกระเป๋าเดินทางที่ถูกลำเลียงบนสายพานอย่างต่อเนื่อง ทั้งสองคนแต่งตัวตามสบาย แต่ถึงแม้จะสวมเพียงแค่เสื้อแจ๊กเก็ตกันหนาวตามสภาพอากาศในท้องที่ บวกกับกางเกงยีนส์สีซีดและรองเท้าผ้าใบคู่สบาย ก็ยังนับว่าเป็นภาพที่น่าดูยิ่งนัก น้ำต้นนั้นไม่ต้องพูดถึง หลายคนเหมือนจะจำใบหน้าอันโดดเด่นของเขาได้ แต่ก็ทำได้แค่ชี้มือมาและทำท่าพยักเพยิดให้กับคนข้างๆและหัวเราะคิกคักอย่างตื่นเต้นเท่านั้น ด้านนนท์ที่เดินเคียงข้างน้องชาย แม้ไม่ใช่คนโด่งดังมีชื่อเสียง แต่ด้วยรูปสมบัติที่มีอยู่ อีกทั้งยังได้เดินเคียงข้างนักร้องชื่อดังอย่างน้ำต้นด้วยแล้ว จึงเป็นเรื่องช่วยไม่ได้ที่เขาเองก็พลอยตกเป็นเป้าสายตาไปด้วย

“พี่ว่า พี่ชักเข้าใจความรู้สึกต้นแล้วแฮะ” นนท์ว่าอย่างรู้สึกทึ่งกับปฏิกิริยาของผู้คนที่มีต่อน้ำต้น

“เดี๋ยวก็ชิน พี่” น้ำต้นว่าอย่างไม่เห็นเป็นเรื่องสำคัญ

“ไม่ลืมอะไรแล้วใช่ไหม” นนท์ถามย้ำ

“ไม่ลืมแล้ว ข้าวของไม่ได้เยอะแยะอะไร” ปากว่าไปอย่างนั้น แต่ก็ไม่ลืมที่จะหันซ้ายหันขวาดูว่าหลงลืมอะไรเอาไว้บ้างหรือไม่

“อากาศเย็นเหมือนกันนะเนี่ย ถ้าเสื้อกันหนาวที่เอามาไม่พอก็ยืมของพี่ไปก่อนก็ได้”

“คร้าบบบบบ” คนน้องลากเสียงตอบรับอย่างร่าเริง

“ท่าทางมีความสุขจังนะ ทำยังกับไม่เคยเดินทางไปไหน” นนท์อดแซวออกมาด้วยความเอ็นดูไม่ได้

“ก็นานๆต้นจะได้มาเที่ยวอย่างนี้ซักที แถมยังได้มากับพี่นนท์ด้วย ไม่ให้ดีใจได้ไง” น้ำต้นว่าออกมาซื่อๆ ทำเอาพี่นนท์ยิ้มหน้าบานเป็นกระด้งไม่แพ้กัน “ดีจังที่มาช่วงนี้ อากาศกำลังดีเลยเนาะ” เด็กน้อยว่า

“พี่ชอบอากาศหนาวนะ แต่ขี้หนาวไปหน่อย” นนท์ว่า

“อะไรพี่ ไปเรียนถึงเมืองนอกเมืองนามาแท้ๆ”

“เออ แต่เวลาหนาวพี่ก็ต้องหาเสื้อกันหนาวมาใส่ใช่ไหมล่ะ ไม่ใช่หนาวแล้วทำเท่ทนหนาวไม่ยอมใส่เสื้อเมื่อไหร่” นนท์ท้วงขึ้นมาด้วยน้ำเสียงขึ้นจมูกเหมือนอย่างที่ชอบทำเวลานึกฉิวเจ้าน้องชาย

“ไม่แข็งแรงเอาซะเลยพี่เรา” น้ำต้นลอยหน้าลอยตาพูด

“พี่แข็งแรงนะ” นนท์ยังไม่วายส่งเสียงประท้วง “ถือว่าตัวสูงกว่าหรือ”

น้ำต้นหัวเราะชอบใจที่เห็นพี่นนท์เถียงเขาแบบไม่ยอมแพ้เป็นเด็กๆ พลางโอบแขนกอดกระชับพี่ชายเอาไว้ก่อนจะบีบเบาๆเหมือนจะเอาใจเต็มที่ “น่า พี่นนท์ ล้อเล่น”

เมื่อเดินออกมาถึงประตูด้านหน้า น้ำต้นทำหน้าเหมือนเพิ่งจะนึกได้ ก่อนจะหันไปถามนนท์ว่า

“แล้วเราจะไปบ้านพี่กันยังไงล่ะเนี่ย แท็กซี่มีไหมพี่”

“ไม่ต้อง เดี๋ยวรถของที่บ้านมารับ พี่โทรไปบอกเขาแล้วตอนรอเอากระเป๋าน่ะ” พูดยังไม่ทันขาดคำ รถอเนกประสงค์สีดำคันใหญ่ก็เข้ามาจอดเทียบอยู่ตรงหน้าของทั้งสองคนแทบจะทันที เมื่อเปิดไฟฉุกเฉินแล้ว ประตูด้านคนขับก็เปิดออก ชายวัยกลางคนผิวขาว หน้าตาใจดีรีบเดินลงมารับกระเป๋าจากมือของชายหนุ่มทั้งคู่

“คุณนนท์ สวัสดีครับ”

“น้าเปี๊ยก” นนท์ทักชายผู้นั้นด้วยท่าทางที่คุ้นเคยและเป็นกันเอง “สวัสดีครับน้า” เขายกมือไหว้ ทำเอาเจ้าน้องชายที่ยืนงงอยู่เผลอยกมือขึ้นมาด้วยอาการเดียวกันโดยอัตโนมัติ

“ขึ้นรถเลยครับคุณๆ เดี๋ยวผมจัดการกับกระเป๋าเอง” นนท์เปิดประตูด้านหลังออกอย่างคุ้นเคยก่อนที่จะพยักเพยิดให้น้ำต้นขึ้นไปก่อน โดยเขาปีนขึ้นตามไปติดๆ

“ไม่เจอคุณนนท์ตั้งนาน หน้าตาสดใส ดูหล่อขึ้นเป็นกองเชียวครับ” คนขับรถประจำบ้านชวนคุณนนท์คุยอย่างเป็นกันเองด้วยใบหน้าแสดงความยินดีไม่ปิดปัง

“พ่อกับแม่เป็นยังไงบ้างครับ” นนท์ถาม

“สบายดีครับ นี่พอรู้ว่าคุณนนท์จะกลับบ้าน ดีใจกันใหญ่ คุณผู้ชายน่ะท่านไม่ออกอาการเท่าไหร่ แต่คุณผู้หญิงสิครับ ตื่นเต้นใหญ่เลย”

“แล้วนี่ตกลงไปบ้านไหนครับน้า”

“บ้านพักบนดอยครับ คุณผู้หญิงบอกคุณนนท์พาเพื่อนมาทั้งที อยากให้พักผ่อนกันสบายๆ ถ้าพักที่บ้านเห็นท่านว่าคนพลุกพล่านเกินไป”

นนท์อมยิ้มเมื่อนึกถึงหญิงวัยกลางคนท่าทางบุคลิกดูภูมิฐาน สวยสง่า และดูดีอยู่เสมอ ใครๆก็มักจะบอกว่านนท์เหมือนแม่ ไม่ว่าจะเป็นดวงตา รอยยิ้ม หรือนิสัยใจคอหลายๆอย่าง แต่ก็มีอีกหลายอย่างที่นนท์ได้รับการถ่ายทอดมาจากพ่อไม่น้อย น่าแปลกที่เวลาอยู่บ้านที่กรุงเทพฯ เขากลับไม่ได้รู้สึกโหยหาพ่อกับแม่มากเท่าตอนที่ได้เหยียบลงผืนแผ่นดินเชียงใหม่บ้านเกิดของเขาเองเหมือนอย่างในตอนนี้

บ้านบนดอยที่พูดถึงนั้นอยู่นอกเขตตัวเมืองไกลออกไปพอสมควร แต่ยิ่งไกลจากตัวเมืองมากเท่าไหร่ สภาพทิวทัศน์ข้างทางก็ยิ่งน่าดูมากขึ้นเรื่อยๆ แม้ว่าในตอนนี้จะใกล้เที่ยงเข้าไปเต็มที และแสงแดดในช่วงปลายปีแบบนี้ก็จะเจิดจ้ากว่าทุกฤดู แต่บรรยากาศรอบๆตัวกลับดูอบอุ่นแม้อากาศจะหนาวเย็นอยู่บ้างก็ตาม ช่างเป็นความขัดแย้งที่ชวนให้มีความสุขยิ่งนัก น้ำต้นเมื่อได้เห็นก็อดคิดถึงบ้านของเขาที่เชียงรายขึ้นมาไม่ได้ เขาอยากให้พี่นนท์ได้รู้จักพ่อกับแม่ของเขาเหมือนกับที่เขาเองกำลังจะได้ไปพบกับพ่อและแม่ของนนท์อีกไม่นานนี้แล้วบ้างเหลือเกิน

“เชียงใหม่กับเชียงรายใกล้กันแค่นี้เองนะน้ำต้น” นนท์พูดทำลายความเงียบขึ้นมาเบาๆ เหมือนจะรู้ว่าน้องชายที่นั่งอยู่ข้างๆเขากำลังคิดอะไรอยู่ในใจ น้ำต้นยิ้มออกมา

“เหมือนพี่นนท์กับต้นเลยนะ อยู่ใกล้กันแค่นี้ แต่ไม่รู้ทำอะไรกันอยู่ กว่าจะได้มาเจอกัน” นนท์ยิ้มออกมาเมื่อได้ยินคำเปรียบเปรยนั้น

“ตอนนี้ก็ได้เจอแล้วไง” นนท์ตบมือลงบนขาของน้ำต้นเบาๆ “แล้วก็ ถ้าอยากจะไปหาพ่อกับแม่ที่เชียงรายก็บอกได้นะ พี่พาไปได้” น้ำต้นหันไปมองหน้าพี่ชายก่อนจะยิ้มและวางมือของตัวเองทับมือเรียวยาวข้างที่ยังวางอยู่บนขาของเขาก่อนจะรวบมันเอาไว้ในอุ้งมือของตัวเอง

“ขอบคุณนะพี่นนท์” ยิ่งอยู่ใกล้ ยิ่งได้มอง น้ำต้นก็ได้แต่บอกตัวเองว่า คนคนนี้ช่างมีอิทธิพลต่อเขามากขึ้นทุกวัน

ทันทีที่รถเอนกประสงค์สีดำมันปลาบเลี้ยวผ่านประตูขนาดใหญ่เข้าไป น้ำต้นถึงกับอ้าปากค้าง กับความใหญ่โตของ “บ้านบนดอย” ที่นนท์พูดถึง ตอนแรกที่ได้ยินว่าเป็นบ้านบนดอย ภาพในความคิดของเขาก็คือบ้านไม้หลังกระทัดรัด ที่ตั้งอยู่บนเนื้อที่ขนาดไม่กี่ไร่ที่ปลูกพืชไร่พืชสวนเอาไว้พอร่มรื่นเหมือนอย่างที่เขาเคยได้เห็นหรือได้ไปพักมาแล้ว แต่บ้านบนดอยของนนท์นั้น เป็นบ้านไม้หลังใหญ่ขนาดสองชั้น ที่ประตูและหน้าต่างเป็นกระจกบ้านใหญ่ จำนวนของมันมากมายขนาดที่ไม่อาจจะประมาณได้ด้วยสายตา หน้าบ้านมีบันไดที่นำไปสู่ชานขนาดใหญ่ที่ยื่นออกมา เนื้อที่ด้านหน้าก่อนถึงตัวบ้านเป็นสนามหญ้าอันกว้างใหญ่ที่ปลูกไม้ดอกไม้ประดับเอาไว้อย่างเรียบร้อยสวยงามอย่างยิ่ง  ต้นไม้ขนาดใหญ่ที่ขึ้นห้อมล้อมอยู่สร้างความร่มรื่นเย็นสบายให้กับตัวบ้านได้ตลอดไม่ว่าจะเป็นช่วงฤดูไหนของปี ถัดออกไปทางด้านหลังเป็นสวนหรือไร่ของต้นอะไรสักอย่างเขาเองก็ไม่รู้เหมือนกัน รู้แค่ว่า มันกินเนื้อที่กว้างไกลสุดลูกหูลูกตา จะกี่ไร่เขาไม่อาจประมาณถูก หันกลับมามองที่ตัวบ้านอีกครั้ง เท่าที่ประเมินดู บ้านหลังนี้น่าจะมีห้องหับไม่ต่ำกว่าสิบห้อง เห็นจากสภาพภายนอกแล้ว ภายในน้ำต้นไม่อยากจะคิดว่ามันจะสวยสบายน่าอยู่เพียงไร

นนท์ตบหลังน้องชายที่ยังคงยืนอ้าปากค้างอยู่อย่างนั้นทันทีที่ลงจากรถและเห็นว่า บ้านบนดอย ที่เขาพูดถึงเป็นอย่างไร

“ไป เข้าบ้าน เดี๋ยวน้าเปี๊ยกเขาก็ให้เด็กมาเอาประเป๋าเข้าไปเอง”

“พี่...” น้ำต้นยังคงไม่อาจจะละสายตาจากบ้านไม้หลังใหญ่ไปได้เลย

“อะไรครับ”

“นี่มันบ้านหรือรีสอร์ท” นนท์ถึงกับอดหัวเราะออกมาไม่ได้ เขาไม่ตอบคำถามอะไรอีก ได้แต่ตบหลังน้องชายอีกครั้งและเดินนำเข้าไปในตัวบ้านอย่างคุ้นเคย

ทันทีที่เปิดประตูเข้าไป น้ำเสียงอบอุ่นที่คุ้นหูนนท์เหลือเกินก็เรียกชื่อของเขาออกมาด้วยความยินดี

“นนท์” สตรีวัยกลางคนในชุดเสื้อสีฟ้ากางและกางกางขายาวสีขาวเดินมาทางชายหนุ่มทั้งสองด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม

“แม่” นนท์กึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้าไปพร้อมกับกางแขนออกเพื่อที่จะโอบร่างของสตรีผู้นั้นเข้ามากระชับเอาไว้อย่างแสนคิดถึง “คิดถึงแม่จัง”

“แม่ก็คิดถึง เป็นยังไงบ้างลูก” นางจับบ่าทั้งสองข้างของลูกชายเอาไว้ พลางเงยหน้ามองไปที่ใบหน้าของเขาด้วยแววตารักใคร่

“สบายดีจ้ะแม่ แม่เป็นยังไงบ้าง” นางยกมือขึ้นลูบไปที่ศีรษะของลูกชายอย่างอ่อนโยน “สบายดีครับ แล้วนี่เพื่อนของนนท์ใช่ไหมลูก แนะนำให้แม่รู้จักหน่อยสิครับ”

น้ำต้นที่ยืนยิ้มอยู่กับภาพที่เห็นตรงหน้า ตอนนี้ตัวเองกลายเป็นเป้าสายตาของสองแม่ลูกไปเสียแล้ว นนท์ยิ้มมาทางน้องชายก่อนจะยกมือโอบไหล่ผู้เป็นแม่ และพากันเดินมาทางเขา มองแบบนี้แล้ว นนท์เหมือนแม่เหลือเกิน แต่อะไรบางอย่างบอกน้ำต้นว่าสตรีผู้นี้ดูแข็งแกร่งและมีความเด็ดเดี่ยวอยู่ในที สมกับท่วงท่าที่ดูสง่างามน่าชมอย่างยิ่ง

“แม่ นี่น้ำต้นครับ”

นางหยุดมองดูใบหน้าของเด็กหนุ่มราวกับจะประเมินอะไรบางอย่าง ก่อนที่จะเอียงคอพร้อมกับยิ้มให้เมื่อน้ำต้นก้มศีรษะยกมือขึ้นไหว้อย่างนอบน้อม

“สวัสดีครับคุณแม่” เมื่อไรที่น้ำต้นยิ้ม ดวงตาของเขาก็เหมือนจะยิ้มตามไปด้วย ใครได้เห็นก็เป็นอดเอ็นดูขึ้นมาไม่ได้ แม้แต่วารีริน แม่ของนนท์เองก็ตาม

“เดินทางมาเหนื่อยๆ พักผ่อนหาอะไรทานกันดีไหม” วารีรินว่า

“ดีครับ” น้ำต้นว่าพลางยกมือขึ้นไหว้ในความอารีของวารีริน ทำเอานางอดยิ้มออกมาในความใสซื่อและตรงไปตรงมาของเด็กน้อยตัวโตที่ยืนยิ้มแฉ่งต่อหน้านางขึ้นมาไม่ได้ วารีรินหันกลับมามองนนท์ที่ยืนยิ้มมองมาทางเธอและเจ้าน้องชายตัวดี “ไปครับ นนท์พาน้องไปที่ห้องก่อนแล้วค่อยมาหาอะไรทานกัน แม่ให้เด็กเตรียมอะไรไว้ให้แล้ว” ผู้เป็นแม่ว่า ก่อนจะหันมาพูดกับน้ำต้น “ตามสบายนะลูก ให้นึกเสียว่าเป็นบ้านของตัวเองก็แล้วกันนะ” น้ำต้นยกมือขึ้นไหว้อีกครั้ง

ชายหนุ่มทั้งสองคนจึงพากันเดินขึ้นไปบนชั้นสอง โดยมีนนท์นำทางไป

“พี่” น้ำต้นเรียกชื่อเขาเบาๆ

“ครับ”

“แม่พี่สวยจัง ใจดีด้วย”

“อ่ะแน่ล่ะ ไม่งั้นจะมีลูกชายน่ารักแบบนี้เหรอ” นนท์พูดออกมาหน้าตาเฉย

“โห...” น้ำต้นโห่ประท้วงออกมาเบาๆ “กล้าพูด”

“ทำไม” ทำเอานนท์หยุดเดินแล้วหันหน้ามาอย่างจะเอาเรื่อง แต่ก็ดูไม่ขึงขังเอาเสียเลย “พี่มันไม่ดีตรงไหน หือม์”

น้ำต้นหัวเราะก๊ากออกมาก่อนจะเดินเข้าไปกอดเอวพี่ชายของเขาจากทางด้านหลังอย่างเอาใจ “โถ่ ล้อเล่นน่าพี่ ใจน้อยไปได้”

“ใครใจน้อย แต่พูดจาไม่เข้าหูเจ้าของบ้านแบบนี้ เขาเรียกว่าวอน รู้ไหม” นนท์กอดอกว่าอย่างมีแต้มต่อ “อยากโดนเอาไปปล่อยไหม เอาแบบกลับกรุงเทพฯไม่ถูกเลยดีไหม”

“ยอมแล้วคร้าบพี่... โห พี่นนท์อ่ะ เป็นเจ้าบ้านประสาอะไร ดุแขกเป็นบ้าเลย” เจ้าตัวแสบยกมือทั้งสองข้างขึ้นอย่างยอมจำนน

“ก็ดูแขกทำตัวดิ” ว่าแล้วก็หันหลังเดินตรงไปยังห้องที่น้ำต้นจะจับจองตลอดช่วงเวลาสองสามวันต่อจากนี้ไป ยังออกเดินไปได้ไม่กี่ก้าว นนท์ก็รู้สึกถึงร่างอุ่นๆหนักๆที่กอดกระชับเขาจากทางด้านหลัง พร้อมกับเสียงกระซิบที่ข้างหูเบาๆว่า “ไม่รักน้องแล้วเหรอพี่” ทำเอาเจ้าตัวออกอาการหน้าแดงหูแดงขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ เมื่อหันไปมอง ก็เห็นเจ้าเด็กโข่งทำหน้าทะเล้นใส่เขาจนน่าซัดมะเหงกลงบนหัวทุยๆนั่นสักที ติดตรงที่แขนทั้งสองข้างของเขาโดนล็อกเอาไว้แน่นเสียแล้ว

“ปล่อยพี่ก่อน เดินไม่ได้แล้วเห็นไหม” นนท์ขืนตัวอย่างไม่สู้จะจริงจังนัก

“ไม่เอา” ไม่พูดเปล่า ยังเอาหน้าซุกไปที่หลังของเขาอย่างดื้อดึงอีกต่างหาก “บอกมาก่อน ไม่รักกันแล้วใช่ไหม”

ดูเอาเถอะ บทจะออดอ้อนเอาแต่ใจขึ้นมา เขาไม่เคยเอาชนะเจ้าน้องชายคนนี้ได้เสียที นนท์ถอนหายใจพลางส่ายศีรษะเบาๆด้วยรอยยิ้มที่เปื้อนหน้าอยู่อย่างนั้น

“ใครบอกไม่รัก แต่ถ้ายังไม่ยอมปล่อยแบบนี้ จะไม่รักขึ้นมาจริงๆแล้ว”

“ว้า พี่นนท์อ้ะ” น้ำต้นร้องออกมาในที่สุด “เล่นพูดแบบนี้ ต้นก็แย่สิ”

“ก็เราน่ะมันรุ่มร่ามนัก เอะอะเป็นต้องปากว่ามือถึงเรื่อย มันก็ต้องขู่กันบ้างล่ะ” นนท์ว่าขำๆ “เอ้า ปล่อยได้แล้ว ไปดูห้องก่อน แล้วเดี๋ยวจะได้ลงมาทานข้าว จะให้แม่พี่รอแย่หรือยังไง”

เจอไม้นี้เข้า น้ำต้นจึงยอมคลายวงแขนออกในที่สุด ก่อนจะเอามือดุนดันหลังให้พี่ชายเดินนำต่อไป ห้องพักของน้ำต้นอยู่ไม่ไกลจากบันไดสักเท่าไรนัก เมื่อนนท์เปิดประตูห้อง น้ำต้นจึงเห็นว่าภายในห้องนั้นน่าอยู่เพียงไร เตียงขนาดย่อมตั้งอยู่ตรงมุมหนึ่งด้านใน ภายในห้องยังประกอบไปด้วยตู้เสื้อผ้าขนาดไม่ใหญ่จนเกินไป มีโทรทัศน์ตั้งอยู่อีกมุมหนึ่ง หน้าต่างบานใหญ่มีผ้าม่านสีเข้ากับพรมที่ปูพื้นพอดี แถมห้องนี้ยังมีห้องน้ำในตัวอีกด้วยต่างหาก

“พี่เป็นเศรษฐีเหรอเนี่ย” น้ำต้นหันไปถามพี่นนท์ของเขาซื่อๆ ทำเอาคนถูกถามหัวเราะพรืดออกมา

“จะอาบน้ำ ล้างหน้าล้างตาหน่อยไหม” นนท์ถาม

“ขอล้างหน้าหน่อยพี่ เดี๋ยวต้นตามลงไป พี่นนท์ลงไปอยู่เป็นเพื่อนแม่เหอะ”

“เด็กยกกระเป๋าขึ้นมาให้แล้ว งั้นพี่ลงไปรอข้างล่างนะ” แต่ยังไม่ทันได้เดินออกไป นนท์ก็รู้สึกถึงแรงฉุดเบาๆตรงข้อมือที่ทำเอาเขาเซไปเล็กน้อย ก่อนที่จะรู้สึกถึงริมฝีปากและลมหายใจอุ่นๆสัมผัสอยู่ตรงข้างแก้มของเขาอย่างไม่ทันตั้งตัว

“ขอบคุณนะพี่นนท์”

“ชอบทำอย่างนี้อยู่เรื่อยเลยน้ำต้น” หนนี้นนท์ไม่ดุเขา แต่กลับคลี่ยิ้มจางๆบนใบหน้าแทน

“มันอดไม่ได้ ไม่โกรธต้นนะ”

นนท์ส่ายศีรษะช้าๆ ก่อนจะบีบมือข้างที่เพิ่งทำเอาเขาเสียหลักเมื่อครู่เอาไว้เบาๆ

“พี่ลงไปรอข้างล่างนะ” ว่าแล้วก็ปล่อยมือและเดินออกไป ปล่อยให้แขกยืนยิ้มไม่หุบเอาไว้เบื้องหลัง

*********************

ออฟไลน์ Namehoto

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 780
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +696/-9
ร้านอาหารแห่งนี้แม้จะไม่ได้ดูใหญ่โตอะไรนัก แต่บรรยากาศรวมถึงการตกแต่งภายในร้าน บ่งบอกถึงสถานะของลูกค้าที่เดินเข้ามาใช้บริการได้เป็นอย่างดี ภายในไม่ได้จัดไฟให้ดูสว่างจ้าจนเกินไป แต่เลือกที่จะใช้ไฟสีเหลืองนวลสบายตาแทน โต๊ะแต่ละตัวที่ตั้งวางอยู่ตามจุดต่างๆก็ราวกับถูกคัดสรรและวางแผนมาอย่างดีว่ามุมไหนจะเหมาะที่สุด สำหรับลูกค้าจำนวนกี่คน ช้อนส้อมและจานชามถูกจัดวางเอาไว้อย่างเป็นระเบียบ แม้ว่าในยามนี้จะเลยเวลาเที่ยงวันมาหลายนาที ลูกค้าในร้านก็ต้องเรียกได้ว่าบางตายิ่งนัก อาจจะเป็นเพราะวันนี้เป็นวันธรรมดา ไม่ใช่สุดสัปดาห์ที่หากจะมาทานอาการมื้อหนักก็อาจจะต้องรอคิวยาวเหยียด

หญิงสาวในชุดสวยสีเข้มเลือกนั่งโต๊ะตัวข้างในสุดมุมหนึ่งของร้าน โทรศัพท์มือถือสีสดวางอยู่ตรงหน้า นิ้วเคาะโต๊ะไม่เป็นจังหวะ ติดจะร้อนรนเสียด้วยซ้ำ บนโต๊ะยังไม่มีอาหารใดๆมาเสิร์ฟ เพราะเธอยืนยันอยากจะดื่มแต่น้ำเพียงอย่างเดียวขณะที่รอใครคนหนึ่งให้มาตามนัด ซึ่งตอนนี้เลยเวลานัดไปแล้วเกือบครึ่งค่อนชั่วโมง ทำเอาเธอหงุดหงิดอยู่ไม่ใช่น้อย

“คุณไหม” เสียงชายหนุ่มที่เรียกชื่อเธอ ทำให้ตื่นจากภวังค์ในที่สุด

“คุณเลท” เธอว่าห้วนๆบ่งบอกถึงความไม่พอใจ

“โธ่ ผมขอโทษ เมื่อคืนจัดรายการดึกแล้วยังมีปาร์ตี้ต่อ แค่ตื่นมาให้ทันก่อนบ่ายได้นี่ก็นับว่าเจ๋งแล้ว” เจ้าตัวว่าอย่างไม่รู้สึกผิดอันใด ก่อนจะเลื่อนเก้าอี้ลงนั่ง พร้อมหยิบเมนูเตรียมสั่งอาหาร โดยไม่สนใจจะไถ่ถามหญิงสาวตรงหน้าด้วยซ้ำว่าเธออยากจะทานอะไรหรือไม่ ไหมได้แต่ส่ายหน้าก่อนที่จะเรียกพนักงานของร้านมาสั่งอาหารมื้อแรกของวัน

“แล้วไหนคุณบอกว่าเรียบร้อยแล้วไงล่ะ เกิดอะไรขึ้น” เอ้ถามออกมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยหลังจากพนักงานเดินจากไปแล้ว

“ก็เรียบร้อยอยู่แค่พักเดียว ฉันก็คิดว่าเอาอยู่แล้วเชียว” เธอเบือนหน้าออกไปมองความเคลื่อนไหวด้านนอกพลางกัดริมฝีปากอย่างขัดใจที่อะไรๆก็ไม่เป็นไปอย่างที่คิด “คนของคุณก็มีทีท่าว่าจะถอยอยู่หรอกนะ”

“อ้าว แล้วยังไงล่ะ” เอ้ยังคงสงสัยอยู่นั่นเอง

เห็นได้ชัดว่าไหมต้องอดกลั้นความขัดเคืองใจเอาไว้อย่างเต็มที่ทีเดียว นักแสดงสาวในตอนนี้ไม่อาจจะแยกแยะอารมณ์ของตัวเองได้ด้วยซ้ำว่าตกใจ ประหลาดใจ แค้นเคืองใจ หรือเจ็บใจกันแน่ เธอเอาน้ำต้นคืนมาไม่ได้ แล้วยังเสียเขาให้กับผู้ชายอีกคน ทั้งที่เธอคิดว่าไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่เธอต้องการน้ำต้นเขาจะต้องกลับมาหาเธอจนได้แท้ๆ เธอมั่นใจในเสน่ห์ของตัวเองเกินไป และคาดการณ์อะไรผิดไปมากทีเดียว

“ตอนนี้มันติดอยู่ที่คนของฉันน่ะสิ” กว่าเธอจะกัดฟันพูดออกมาได้มันช่างยากลำบากนัก

“อะไรนะ!” เอ้ร้องออกมาอย่างไม่เชื่อหู “หมายความว่า...”

“เขาเลือกมัน! คุณเชื่อไหมล่ะ... ผู้ชายแท้ๆอย่างต้น คนที่เคยคบหาเป็นแฟนกับฉัน ตอนนี้กลับไปเลือกคบผู้ชายคนนั้นแทน!” เธอพรั่งพรูออกมาอย่างเหลืออด

“คุณแน่ใจเหรอ เขาอาจจะแค่... สนิทกัน” แม้ปากจะพูดไปอย่างนั้น แต่เอ้เองก็ชักจะไม่แน่ใจขึ้นมาเสียแล้ว

“ต้นด่าว่าฉัน เขาปกป้องนนท์ของคุณชนิดออกหน้า จะให้ตีความหมายว่ายังไงอีกล่ะ!” เธอเหวขึ้นมา “แต่ฉันไม่เชื่อหรอก ฉันว่ามันเป็นความหลงผิดชั่วครู่ชั่วยามเท่านั้นแหละ น้ำต้นน่ะเป็นผู้ชายแท้ๆนะ คนของคุณมันร้ายนักไม่ใช่เหรอ มันต้องเป็นเพราะอย่างนั้นแน่ๆ”

“ใจเย็นๆสิคุณ เดี๋ยวคนก็ได้ยินกันหมด” เอ้จุ๊ปากปรามหญิงสาวก่อนที่จะหันไปมองรอบๆร้าน

“ฉันไม่ยอมหรอกนะ” เธอกัดฟันพูดออกมาอย่างขัดเคือง

“ไม่ยอมแล้วคุณจะทำยังไง” เอ้ถามอย่างสงสัยใคร่รู้ขึ้นมาจริงๆ ดูเหมือนว่าความต้องการของเขาที่อยากจะได้นนท์กลับมายังไม่ได้ครึ่งของที่ไหมอยากจะได้น้ำต้นกลับมาด้วยซ้ำ แต่ถึงอย่างนั้นเขาเองก็ไม่แน่ใจว่าความต้องการอันแรงกล้าของเธอเกิดจากความรักในตัวเด็กน้ำต้นหรือความอยากเอาชนะกันแน่

“ฉันจะทำทุกอย่างนั่นแหละเพื่อให้ได้ต้นกลับมา หรือไม่... อย่างน้อยก็ไม่ต้องมีใครสมหวังสักคน!”

“คุณจะทำยังไง คราวที่แล้วก็เหลวไม่เป็นท่า”

“นี่คุณไม่คิดอยากจะได้คนของคุณกลับไปหรือไง” เธอชักพาลเมื่อไม่เห็นความกระตือรือร้นในน้ำเสียงของคู่สนทนาสักเท่าไร

“โธ่ ไอ้อยากมันก็อยากนะ” เขาตอบอ้อมแอ้มไม่เต็มเสียงนัก ถ้าเป็นคนอื่นเขาคงเลิกสนใจไปแล้ว แต่นี่เป็นนนท์ที่ไม่เหมือนใคร และเขาก็ถูกใจนนท์อย่างยิ่งเสียด้วย

“งั้นคุณก็ต้องร่วมมือกับฉัน ถึงยังไงเราก็ลงเรือลำเดียวกันแล้ว” อันที่จริงจะบอกว่าลงเรือลำเดียวกันก็ไม่ถูกนัก สำหรับคนจับจดอย่างเอ้ เขาไม่ใช่คนที่มีความมุ่งมั่นกับสิ่งใดเป็นเวลานานๆ แต่ในเมื่อเห็นความจริงจังของหญิงสาวตรงหน้า บวกกับความเสียดายที่ยังมีต่อนนท์ เขาจึงต้องปล่อยตามน้ำไปก่อน เผื่อว่าเมื่อไหมได้ตัวต้นกลับไปจริงๆ เขาก็ยังพอจะมีหวังในเรื่องของนนท์ขึ้นมาได้อีกครั้ง

“จะเอายังไงก็ว่ามาก็แล้วกัน” เอ้ปล่อยให้ขึ้นอยู่กับนักแสดงสาว ก่อนที่จะการสนทนาจะหยุดลงเมื่อบริกรเดินเข้ามาเสิร์ฟอาหาร

“ขอเวลาฉันหน่อย” เธอพูดขึ้นมาเมื่อบริกรเดินห่างออกไปแล้ว “แล้วจะบอกคุณอีกที” แล้วจึงหันไปสนใจอาหารตรงหน้าพร้อมกับสมองที่ครุ่นคิดไปตลอดมื้ออาหารนั้น

************************

เมษนั่งฟังอย่างตั้งใจก่อนจะยิ้มกว้างออกมาเมื่อนรเศรษฐ์เล่าเรื่องสำคัญให้เธอฟัง

“ก็ดีสิพี่” เมษว่าออกไปตามความรู้สึกที่แท้จริงของตัวเอง “เป็นเรื่องที่ดีแหละเหมาะสมมากๆ”

“พี่ก็ว่าอย่างนั้นแหละ” นรเศรษฐ์ว่าอย่างพอใจเมื่อเมษเห็นดีด้วยกับเรื่องที่เขาเพิ่งออกปากบอกลูกน้องสาวไป “เหลือแค่ว่าเราน่ะจะไหวหรือเปล่าเท่านั้นแหละ”

“ไหวสิพี่” เมษรับคำทันทีโดยไม่ต้องเสียเวลาคิดแม้แต่น้อย

“ไม่คิดก่อนหน่อยหรือ” คนเป็นหัวหน้าย้อนถามเหมือนเป็นการหยั่งเชิง ทั้งที่รู้ว่าคำตอบก็จะยังคงเป็นอย่างเดิม

“ไม่ต้องคิดเลย นี่เมษดีใจแทนน้องมากเลยนะพี่นอ” เธอว่าด้วยสีหน้าที่ยังคงเต็มไปด้วยความยินดีอยู่นั่นเอง “พี่นอบอกน้องแล้วใช่ไหม”

“ก็บอกเจ้าตัวเขาไปแล้ว แต่กับคนใกล้ตัว เขายืนยันว่าอยากจะบอกด้วยตัวเอง พี่ก็เลยแล้วแต่เขา”

“ความสามารถเขาขนาดนั้น เขาควรที่จะได้รับโอกาสนี้มาตั้งนานแล้วล่ะ”

“พี่มิ่งก็ว่ายังงี้ แต่เหมือนที่ผ่านมา มันยังไม่ใช่ช่วงเวลาที่เหมาะสมไง ตอนนี้แหละกำลังเหมาะ” นรเศรษฐ์ว่า “ขอแค่อย่าเพิ่งมีเรื่องอะไรเข้ามาก็พอ”

เมษหรี่ตา แม้ว่าเรื่องที่ได้ยินจะเป็นข่าวดีสำหรับใครหลายคน แต่ลางสังหรณ์แปลกๆข้างในทำให้เธออดเป็นกังวลไม่ได้

“แล้วถ้าเกิดมีเรื่องอะไรขึ้นมาล่ะพี่” เมษถาม

“พวกพี่น่ะไม่เท่าไหร่ แต่มันจะกลายเป็นเรื่องของข้างบนทันทีเลย” นรเศรษฐ์ว่า “แต่อย่างที่บอก” เขาหันไปราวกับจะเป็นการยืนยันกับเมษว่า “ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น พี่จะยืนเคียงข้างน้องของพี่เสมอ”

“นั่นสิคะพี่” เมษยิ้มออกมาในที่สุด “ของบางอย่างกว่าจะได้มา ก็อาจจะต้องผ่านบททดสอบเสียก่อน จะยากจะง่ายก็ถือว่าวัดดวงกันไปเลย” เธอว่า “เมษก็จะขอลุยกับมันซักตั้งเหมือนกันพี่”

นรเศรษฐ์ถึงกับหัวเราะชอบใจก่อนที่จะเอามือตบหลังลูกน้องคนสนิทเบาๆอย่างนับถือน้ำใจโดยไม่จำเป็นต้องเอ่ยอะไรออกมาอีก


***********************

พระอาทิตย์ยามเย็นบนดอยในฤดูนี้สวยงามยิ่งนัก แสงสีส้มเหลืองระบายอยู่อย่างอ่อนโยนบนท้องฟ้า ท่ามกลางอากาศที่เย็นลงอย่างรู้สึกได้ ชายหนุ่มคิดถึงภาพนี้รวมทั้งบรรยากาศแบบนี้เหลือเกิน เขาห่างบ้านไปนาน กลับจากต่างประเทศไม่ทันไร เขาก็ต้องลงไปอยู่กรุงเทพฯเพราะถูกเรียกให้ไปทดลองงาน นับแต่ตอนนั้นถึงตอนนี้ชีวิตของเขาก็มีแต่งานมาตลอด ว่างเมื่อไรจึงได้คิดถึงบ้านสักที

และในวันนี้ วันที่เขาเลือกจะกลับมาเยี่ยมบ้าน เขาไม่คิดเลยว่าจะได้พาใครคนหนึ่งที่แสนพิเศษกลับมาด้วย แม่เองก็คงรู้สึกเหมือนกัน ถ้านนท์พาเพื่อนมาที่บ้าน มันมักจะหมายถึงบ้านในตัวเมืองนั่นต่างหาก บ้านบนดอยคือที่พิเศษของนนท์ มันคือที่พักใจของเขาโดยแท้ แต่หนนี้นนท์กลับอยากพาน้ำต้นมาด้วยอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด เมื่อไหร่กันหนอที่เด็กน้ำต้นได้เข้ามามีส่วนสำคัญในชีวิตของเขาจนเขาเผลอปล่อยให้ล่วงล้ำเข้ามาจับจองพื้นที่ในหัวใจได้ถึงเพียงนี้

นนท์เพิ่งคุยกับแม่ แม่ที่ไม่ว่าเมื่อไรหรือไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็เข้าใจนนท์มากที่สุดอยู่เสมอ แม่ที่ยอมรับลูกในแบบที่เป็นและรักในความเป็นตัวเขามาตลอด นนท์ยิ้มอย่างผ่อนคลายที่สุดในรอบหลายเดือนที่ผ่านมา นี่แหละสิ่งที่เขากังวลและนึกหวั่นใจมากที่สุด และแม่ก็ทำให้มันคลี่คลายลงด้วยวิธีของแม่นี่เอง

“นนท์แน่ใจแล้วใช่ไหมครับ” คำพูดของแม่ยังคงก้องในหู นนท์จำได้ว่าแม่มองเข้าไปในดวงตาของเขาก่อนจะถามเพื่อที่จะให้แน่ใจอย่างที่สุด

“แน่ใจครับแม่” นนท์กุมมือแม่เอาไว้

“แม่เชื่อใจนนท์นะลูก และถ้าเป็นสิ่งที่นนท์ตัดสินใจแล้ว แม่ก็แน่ใจว่ามันจะต้องดีสำหรับนนท์” เขาพูดไม่ออก ได้แต่ตื้นตันในคำพูดของมารดาที่ทำเอาน้ำตาคลอหน่วย “ท่าทางน้องเป็นเด็กดีนะ” วารีรินว่า

“น้ำต้นเป็นเด็กดีจริงๆนะแม่ เขาเป็นคนจิตใจดี นนท์อยู่กับเขาแล้วเป็นตัวเองอย่างที่สุดและสบายใจที่สุด” นนท์ยืนยัน “แล้ว... นนท์ก็ดีใจนะ ที่แม่เชื่อในการตัดสินใจของนนท์”

“แม่เป็นแม่นะลูก” เธอว่าพลางยิ้มให้ลูกชายอย่างอ่อนโยน

“แล้วพ่อ...” นนท์เอ่ยออกมาอย่างยากลำบากเมื่อนึกถึงบิดา นักธุรกิจมือหนึ่งของจังหวัด ชายวัยกลางคนท่าทางน่าเกรงขาม หัวหน้าครอบครัวที่เข้มแข็ง และเจ้าของกิจการขนาดใหญ่ระดับภาคเหนือที่มีคนในปกครองนับพันชีวิต คนที่ไม่ว่าเมื่อไหร่ นนท์ก็นึกเกรงใจเสมอแม้จะรักไม่แพ้ผู้เป็นแม่เลยสักนิด

“แม่เชื่อว่าพ่อเขาต้องเข้าใจ” วารีรินว่า “พ่อเขาอาจจะอยากคุยกับนนท์หน่อยนะลูก” เธอยิ้มให้กับใบหน้าดูเป็นกังวลของลูกชายที่มองกลับมา “แม่อาจจะพูดแทนใจพ่อไม่ได้ทุกอย่าง แต่อย่างหนึ่งที่แม่บอกนนท์ได้เลยก็คือ พ่อเขาภูมิใจในตัวนนท์มากเลยนะ แม้ว่าอาจจะไม่ได้พูดออกมาก็ตาม”

นนท์ไม่พูดอะไรอีกนอกจากเดินเข้าไปกอดแม่อย่างรักใคร่ ถ้าไม่มีแม่ นนท์จะเป็นอย่างไรหนอ เขาอดคิดไม่ได้จริงๆ

ดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้ว สีส้มจางๆถูกแทนที่ด้วยสีเทาและเปลี่ยนเป็นสีดำมืดไปในที่สุด อากาศในตอนนี้เย็นเยือกขึ้นกว่าเดิม จนเขาไม่อาจจะทนยืนตากลมโดยไม่สวมอะไรให้อุ่นกว่านี้ได้อีกต่อไป เขาหันหลังเดินกลับเข้าไปในห้องนอน แม้นนท์จะบอกว่าเขาชอบห้องที่ดูเรียบง่าย แต่ห้องของเขาก็ถูกจัดแต่งเอาไว้อย่างดีเพื่อรอต้อนรับเขากลับมาอยู่เสมอ ข้าวของทุกอย่างในห้องเป็นสีออกโทนขาวและน้ำตาลอ่อนอย่างที่เขาชอบ นนท์เป็นคนเจ้าระเบียบ เขาไม่ชอบให้ห้องของเขารกรุงรัง และชอบให้ห้องดูกว้างและโล่งที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ถัดจากห้องนอนก็เป็นห้องแต่งตัวที่เต็มไปด้วยเสื้อผ้ามากมายที่เขาเลือกซื้อมาเองกับมือ ไม่ว่าจะเป็นเสื้อยืดที่พับเรียงกันเอาไว้ เสื้อเชิ้ตและแจ็กเก็ตที่แขวนเรียงกันเป็นตับ รวมไปถึงกางเกงหลากแบบสำหรับโอกาสอันหลากหลายที่พับวางเอาไว้อย่างเป็นสัดเป็นส่วน

นนท์หยิบเสื้อกันหนาวมาตัวหนึ่งก่อนที่จะไม่ลืมหยิบอีกตัวหนึ่งติดมืออกมาเผื่อน้องชายของเขา ไม่รู้ว่าน้ำต้นอาบน้ำเสร็จหรือยัง ท่าทางเด็กหนุ่มจะอ่อนเพลียจากการทำงานและการเดินทางไม่น้อย เจ้าตัวจึงของีบสักหน่อยในช่วงบ่าย นนท์จะเข้าไปปลุกอยู่หนหนึ่ง แต่พอเห็นใบหน้าที่หลับใหลอย่างสบายอกสบายใจของน้องชายแล้ว ก็นึกเปลี่ยนใจ ปล่อยให้น้ำต้นได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ แต่กลายเป็นว่าพอเจ้าตัวตื่นขึ้นมา ก็มาโวยเอากับเขาว่าไม่ยอมปลุก ทำให้เสียเวลาไปเปล่าๆปลี้ๆตั้งวันหนึ่ง ก่อนจะขอไปอาบน้ำให้สบายตัวเตรียมพร้อมสำหรับอาหารมื้อเย็นดีกว่า นนท์เดินไปก็นึกขำไป เด็กกำลังโต ในหัวก็ยังหนีไม่พ้นเรื่องกินกับนอนอยู่นั่นเอง

“คร้าบ” เสียงจากในห้องตอบรับเสียงเคาะประตูไม่ดังไม่เบานั้น

“พี่เข้าไปได้ไหม” นนท์ถามจากหน้าห้อง ก่อนที่ประตูจะเปิดผลัวะออกมา

“เข้ามาสิพี่” น้ำต้นสวมเสื้อยืดกับกางเกงขายาวท่าทางใส่สบาย หัวยุ่งที่ยังหมาดน้ำกระจายตัวไม่เป็นทรงยิ่งขับให้ใบหน้าเด็กลงกว่าเดิมลงไปอีก เขาผละไปหยิบผ้าเช็ดตัวที่วางกองอยู่บนเตียงเพื่อนำไปแขวนเอาไว้ให้เรียบร้อย ก่อนจะหยิบผ้าขนหนูผืนเล็กขึ้นมาขยี้ไปบนศีรษะของตัวเองอย่างไม่ประณีตบรรจงอะไรทั้งสิ้น

“อ่ะ นี่” นนท์ยื่นเสื้อแจ็กเก็ตสีขาวในมือให้กับน้ำต้น “ใส่แค่นี้กันอะไรไม่ได้หรอก” เจ้าน้องชายยื่นมือรับเสื้อจากมือพี่ด้วยสีหน้าเริงร่าเกินเหตุ

“เสื้อพี่เหรอ” รู้ทั้งรู้แต่ก็ยังอยากถามอยู่นั่นเอง

“อื้อ พี่เห็นว่าอากาศมันเย็นมาก เสื้อที่เราเอามาไม่น่าจะอุ่นพอหรอก”

“เสื้อพี่นนท์หรือนี่” ว่าแล้วน้ำต้นก็รีบสวมเข้าไปทันทีก่อนจะร้องออกมาว่า “อุ่นดีจังเนาะ” หน้าตาของน้ำต้นในตอนนี้เหมือนเด็กๆไม่มีผิด นนท์ถึงกับหัวเราะออกมาเบาๆด้วยความเอ็นดู

“หล่อไหม” เจ้าเด็กตาหวานหันมาถามพี่ชายหน้าตาเฉย

“เกินไป แค่เสื้อตัวเดียว”

“แหม มันก็อยู่ที่คนใส่ด้วยแหละพี่ เชื่อว่าต่อให้พี่นนท์ใส่ก็หล่อไม่ได้เท่านี้” ไม่พูดเปล่า เจ้าตัวยังทำหน้าตากรุ้มกริ่มราวกับมั่นอกมั่นใจในความหล่อของตัวเองเสียเต็มประดา

“หล่อตายล่ะน้ำต้น” นนท์ว่าพลางส่ายหน้าระอา แต่ยังไม่ทันได้ตั้งตัวจู่ๆร่างที่สูงใหญ่กว่าก็ล็อกคอเขาเอาไว้เบาๆแต่ก็มีน้ำหนักมากพอที่จะทำให้ร่างทั้งร่างลงไปนอนแผ่บนเตียง ก่อนที่จะจับต้นชนปลายอะไรได้ ร่างนั้นก็ทับขวางตัวของเขาเอาไว้ไม่ให้ขยับไปไหนได้ “โอ๊ย เล่นอะไร หนักนะเนี่ย” เจ้าของร่างเล็กว่าที่ถูกทับเอาไว้โอดขึ้นมา

“น้องพี่หล่อไหม บอกความจริงมาซะดีๆ”

“ลุกก่อน นึกว่าตัวเองตัวเล็กหรือไง” นนท์โวยออกมา พลางใช้มือดันร่างของน้ำต้นออกไป แต่ไม่เป็นผล

“ไม่ลุก ตอบมาให้ชื่นใจหน่อย เร็ว” เจ้าเด็กแสบยังยียวนแกล้งพี่ต่อไป

อดรนทนไม่ได้ นนท์ถึงกับหมั่นไส้และมันเขี้ยวในความกวนของเจ้าน้องชายตัวดี จึงใช้ไม้อ่อนจี้เอวเข้าไปไม่ยั้ง ก่อนที่น้ำต้นจะบิดตัวผละลงจากร่างของเขาในที่สุด ตอนนั้นเองที่นนท์กลายเป็นฝ่ายได้เปรียบผลักน้ำต้นให้ลงไปนอนก่อนที่เขาจะลุกนั่งและจี้ไปตามจุดบ้าจี้ของน้องชาย

“โอ๊ยพี่นนท์ พอแล้ว... พอแล้วพี่” น้ำต้นร้องลั่นสลับกับหัวเราะไม่หยุด

“จะยอมไหม หือม์” นนท์เองก็หัวเราะชอบใจออกมาไม่แพ้กัน

“ยอมๆๆๆ ยอมแหล่ว...” น้ำต้นจับข้อมือข้างหนึ่งของนนท์เอาไว้ อีกข้างยกมือยอมแพ้ พร้อมกับหัวเราะด้วยความเหนื่อยอ่อน

“บอกแล้วใช่ไหมว่าพี่แข็งแรง” นนท์ว่าอย่างมีชัย

“เชื่อแล้วพี่ เชื่อแล้ว แรงมหาศาลจริงๆ”

“ปล่อยมือพี่ได้แล้ว” เด็กน้ำต้นที่ตอนนี้นอนแผ่อยู่ เริ่มรู้ตัวว่าจับแขนนนท์เอาไว้แน่น แต่แทนที่เขาจะคลายมือออก ก็กลับคว้าข้อมืออีกข้างหนึ่งของพี่มาจับเอาไว้ ดวงตาของเขาจับจ้องเข้าไปที่ดวงหน้าและในดวงตาของอีกฝ่าย เขาค่อยๆดึงมือนั้นลงวางไว้เหนือบ่าของเขา และค่อยๆรั้งร่างที่เป็นต่อเขาในตอนนี้ลงมาก่อนที่จะได้สัมผัสอีกฝ่ายมากกว่านั้น นนท์ก็ซัดหน้าผากลงมากระแทกหน้าผากของเขาดังโป๊ก

“โอ๊ย...” น้ำต้นร้องลั่น “พี่นนท์เล่นอะไร”

นนท์ลุกขึ้นนั่งก่อนจะก้าวลงจากเตียงแล้วยืนกอดอกเอียงคอมองเด็กน้ำต้นที่นอนเอามือลูบหน้าผากตัวเองป้อยๆอยู่บนเตียง

“ทีนี้จะลุกได้แล้วหรือยัง” นนท์ว่ายิ้มๆอย่างมีชัย

“จะลุกก็บอกดีๆก็ได้ ไม่เห็นต้องใช้กำลังเล้ย” เจ้าตัวบ่นอุบ

“อย่ามา...” นนท์ลากเสียงยาว “ใครกันชอบใช้กำลัง มาเลย ลุกเดี๋ยวนี้ ข้าวปลาจะกินไหม” นนท์ว่าเสียงเขียว แต่กลับไม่ได้ฟังน่ากลัวเลยสักนิด “ยังจะมาทำปากยื่นปากยาว” นนท์ดักคอน้ำต้นเมื่อเห็นน้องชายนอนทำปากยื่นอย่างไม่สบอารมณ์อยู่บนเตียง “ไม่ไป พี่ไปนะ หิวแล้วเนี่ย” ว่าแล้วก็เดินผละไป ตอนนั้นเองที่น้ำต้นกระวีกระวาดลุกขึ้นจากเตียงจนได้

“พี่ รอด้วยดิ” น้ำต้นถลาเข้าไปจับมือนนท์เอาไว้ “ไปด้วยนะ”

“จะไปก็ตามมา จะต้องมาจับมือพี่ทำไม” นนท์หันไปมองหน้าน้ำต้นก่อนจะก้มลงไปมองมือที่จับมือของเขาเอาไว้ ท่าทางเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน

“จูงหน่อย”

“นี่อายุเท่าไหร่แล้ว”

“อายุเท่าไหร่ก็หลงได้นาพี่นนท์” น้ำต้นทำหน้าทะเล้นใส่นนท์

“บ้านพี่ไม่ใช่เขาวงกตสักหน่อย” นนท์คำราม

“นะพี่นะ” น้ำต้นอ้อนสำทับลงไปอีก

“ลงไปข้างล่างต้องปล่อยนะ”

“คร้าบพี่” นนท์ฟังแล้วได้แต่ส่ายหน้า ใจอ่อนทุกทีสิเรา

*********************
เด็กหนุ่มกระชับเสื้อแจ็กเก็ตที่สวมอยู่ให้แนบตัวมากขึ้นไปอีกเมื่อสำเหนียกถึงอากาศหนาวยะเยือก นานเท่าไหร่แล้วหนอที่เขาไม่ได้สัมผัสกับอากาศแบบนี้ ยิ่งนึกก็ยิ่งคิดถึงบ้าน พ่อกับแม่จะเป็นอย่างไรบ้าง อากาศที่เชียงรายจะหนาวเท่ากับบนดอยนี่ไหมนะ น้ำต้นปล่อยความคิดให้ล่องลอยไปกับไอหมอกยามค่ำคืน ในใจสงบนิ่งในแบบที่ไม่ได้รู้สึกมานาน สักพักเขาก็รู้สึกถึงไออุ่นข้างตัวเขา นนท์เดินมายืนอยู่ใกล้ๆเคียงข้างเขาโดยไม่พูดอะไร เพียงแค่นี้น้ำต้นก็รู้สึกอบอุ่นในหัวใจขึ้นมาได้แล้ว

“หนาวเนาะพี่” น้ำต้นเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นมา ระเบียงหน้าห้องบนชั้นสองของบ้านที่เป็นส่วนห้องนอนของนนท์ที่ยื่นออกมาถูกเจ้าน้องชายตาหวานขึ้นมาจับจองทันทีที่เขาพาขึ้นมาชมห้อง แน่ล่ะว่าต้องเป็นหลังจากที่ทนเสียงออดอ้อนของเด็กน้ำต้นไม่ไหวแล้วนั่นเอง

“มุมนี้เวลามองลงไปสวยจังเลย” น้ำต้นเปรยขึ้นมาก่อนจะหันไปมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของนนท์ ผิวที่ขาวอยู่แล้วของชายหนุ่มยิ่งดูขาวสว่างมากขึ้นไปอีกท่ามกลางบรรยากาศที่หนาวเย็นแบบนี้ ดวงตาที่ไม่ได้กลมโตเหมือนอย่างเขา กลับดูรับกับใบหน้าเรียวเล็กและจมูกโด่งเป็นสัน ริมฝีปากของนนท์ในตอนนี้พ่นลมหายใจเป็นไอสีขาวออกมา พลางเผยรอยยิ้มบางๆที่คลี่ออกอย่างสบายใจ

“พี่ ทำไมคุณแม่พี่ไม่ค้างที่นี่ล่ะ” น้ำต้นถาม

“แม่เขาห่วงพ่อ ถ้าพ่อไม่มาแม่ก็ไม่ค้างหรอก” และแม่ก็ดูเหมือนมีเรื่องจะต้องคุยกับพ่อด้วย เพียงแต่นนท์ไม่ได้พูดออกไปเท่านั้นเอง

ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบ มีแต่เสียงหรีดหริ่งเรไรที่ร้องอยู่เท่านั้น ต่างฝ่ายต่างก็ครุ่นคิดเรื่องราวต่างๆอยู่ในหัวราวกับรอให้อีกฝ่ายเอ่ยอะไรออกมาก่อน

“หนาวไหม” นนท์เปิดปากถามขึ้นมาในที่สุด

“พี่ล่ะหนาวหรือเปล่า” น้ำต้นย้อนถามกลับมาบ้าง

“หนาวแต่ดาวสวย พี่ยังไม่อยากกลับเข้าไป” นนท์หันไปยิ้มให้น้องชายก่อนจะว่า “แต่พี่มีวิธีดีๆ ตอนเด็กๆพี่ทำบ่อยๆเวลาอยู่กับพี่น้ำ” นนท์พูดถึงพี่สาวเพียงคนเดียวของเขาที่ตอนนี้ยังคงศึกษาอยู่ต่างประเทศ ก่อนจะเดินกลับเข้าไปในห้องก็หันมาบอกกับน้ำต้นว่า “มาช่วยพี่หน่อย”

น้ำต้นเดินตามหลังนนท์ไปแบบงงๆ แต่ก็ไม่ได้ถามอะไรให้มากความ เขารับผ้าห่มจากนนท์มาถือเอาไว้สองผืน และเห็นนนท์หยิบหมอนติดมือมาด้วยสองใบ เมื่อเดินกลับมาที่ระเบียงอีกครั้ง นนท์จึงจัดแจงปูผ้าผืนหนึ่งบนพื้นระเบียงก่อนจะวางหมอนลงไปพิงกับผนังห้องด้านนอก แล้วก็วางผ้าอีกผืนลงไป เขาสอดตัวลงไปในผ้าผืนนั้น ก่อนจะยื่นมือไปหาน้ำต้นที่ยืนมองอยู่

“จะเข้ามานั่งด้วยกันไหม อุ่นดีนะ” นนท์ว่ายิ้มๆ เด็กหนุ่มยื่นมือมาจับมือของเขาก่อนจะสอดร่างลงไปและดึงผ้าห่มให้ขึ้นมาคลุมถึงคอ หลังก็เอนพิงหมอนใบเขื่องแต่นุ่มสบายที่วางเอาไว้

“อุ่นสบายดีจัง”

“ใช่ไหม”

นนท์และน้ำต้นไม่ได้คุยอะไรกันอีก ทั้งสองคนนั่งเงียบๆ ดวงตาจับจ้องอยู่บนฟ้า มองดาวดวงนั้นบ้างดวงนี้บ้าง ท้องฟ้ายามค่ำคืนของที่นี่ในฤดูนี้ช่างกระจ่างตายิ่งนัก พระจันทร์ดวงสวยส่องสว่างจนแทบไม่ต้องอาศัยแสงไฟในบ้าน ดวงดาวก็กระจัดกระจายอยู่เต็มไปหมดราวกับมีใครทำกากเพชรหล่นกระจายเอาไว้ ลมหนาวลดความยะเยือกลงไปได้มากเมื่อได้ผ้าห่มและร่างของคนสองคนแบ่งปันไออุ่นให้กันและกันอยู่อย่างนี้

“แม่พี่นนท์นี่เท่ดีนะ”

“นี่คือคำชมแม่พี่เหรอ” นนท์นึกขำ

“จริงๆนะ แม่พี่เนี่ย ทั้งเท่ ทั้งทันสมัย สมบูรณ์แบบสุดๆเลย”

“แล้วคุณแม่ของน้ำต้นล่ะ”

“แม่เป็นแม่บ้านธรรมดานี่แหละ แต่ก็มักจะมีคำพูดดีๆมาสอนลูกอยู่เสมอ ต้นพูดได้เลยว่า ถ้าไม่ใช่เพราะคำสอนของแม่ ต้นจะไม่มีวันนี้แน่นอน”

“พี่ชักอยากเจอแม่ต้นแล้วสิ” นนท์หันไปมองน้ำต้นราวกับจะยืนยันคำพูดนั้นจริงๆ

“แม่เขารู้เรื่องพี่ด้วยนะ” น้ำต้นเงยหน้าขึ้นมองดาวดวงหนึ่งที่ส่องแสงสว่างกว่าดาวดวงอื่น

“จริงหรือ” นนท์เลิกคิ้วขึ้นอย่างประหลาดใจ “รู้แบบไหนล่ะ”

“ก็ ต้นบอกแม่ไปว่า ได้รู้จักพี่ชายคนหนึ่ง เขาเป็นคนดีมาก เป็นคนที่ต้นไว้ใจและเชื่อใจสุดๆ” น้ำต้นหันไปมองหน้าพี่ชายที่ตอนนี้ยิ้มออกมาอย่างไม่ปิดบังความรู้สึกใดๆ “ตอนที่พี่หายไป ต้นก็โทรไปปรึกษาแม่นะ”

นนท์เลื่อนมือกุมมือน้ำต้นใต้ผ้าห่ม ราวกับจะทดแทนคำขอโทษที่ไม่อาจจะจะเอ่ยออกมาได้

“แต่ก็แม่นี่แหละที่บอกว่า พี่คงมีเหตุผลของพี่ แล้วถ้าคิดว่าไม่อยากเสียพี่ไปก็ให้คุยกันให้เข้าใจซะ”

“แม่ของน้ำต้นก็เท่เหมือนกันนะ” นนท์พูดออกมาดังนั้นแล้วทั้งคู่ก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาพร้อมกัน

“ต้นว่าเราสองคนโชคดีที่มีแม่แบบนี้นะว่าไหม” นนท์พยักหน้า

ออฟไลน์ Namehoto

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 780
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +696/-9
“น้ำต้น” เด็กหนุ่มหันไปตามเสียงเรียกที่อยู่ใกล้แค่เอื้อม “พี่มีอะไรจะบอกแน่ะ”

“เรื่องดีหรือเปล่า” เขาแสร้งทำหน้าระแวงเสียจนน่าหมั่นไส้ ทำเอานนท์อดรนทนไม่ได้ซัดมะเหงกลงบนศีรษะน้องชายทีหนึ่งอย่างไม่สู้จะจริงจังนัก

“ชอบใช้กำลังจริงๆเลยพี่เรา” ปากบ่นไปมือก็คลำบนหัวป้อยๆ ดูอย่างไรก็มารยาชัดๆ

“เคยคิดอยากเป็นนักแสดงบ้างไหมเรา แอ๊กติ้งเก่งเหลือเกิน”

“แหมพี่ ไม่เห็นต้องประชดกันเลย ไม่เอาแล้ว... ไหนมีอะไรจะบอกไม่ใช่เหรอ” น้ำต้นเปลี่ยนท่าที ทำท่าสนใจเรื่องของนนท์ขึ้นมาทันที

“วันก่อนพี่คุยกับพี่มิ่งกับพี่นอมา”

“เรื่องอะไร”

“เรื่องของพี่” นนท์หรุบตาลงต่ำ ท่าทางเป็นกังวลอย่างเห็นได้ชัด

“ทำไมอ่ะพี่นนท์” ตอนนี้น้ำต้นชักใจไม่ดีขึ้นมาบ้างแล้ว

“ต่อไปพี่อาจจะไม่ได้ทำงานกับต้นแล้ว”

“เฮ้ย...” เจ้าตัวร้องเสียงหลง “ได้ไงอ่ะ  ต้นไม่ยอมนะพี่”

“ถ้าไม่ยอมแล้วต้นจะทำยังไง”

“ไม่รู้ล่ะ ต้นจะไปคุยกะพี่มิ่งกะพี่นอเองเลย มันเรื่องอะไร พี่นนท์ทำงานออกจะดี มันไม่มีเหตุผลนี่แบบนี้” พอได้เห็นท่าทางฮึดฮัดของน้องชายแบบนั้น นนท์ก็ทนไม่ไหว หัวเราะพรืดออกมาทันที

“นี่ไม่ตลกนะพี่นนท์ นี่ซีเรียสมาก ต้นจะไปบอกเลยว่า ถ้าไม่ใช่พี่นนท์ ต้นไม่ยอมเด็ดขาด” น้ำต้นยังโวยวายต่ออย่างไม่สบอารมณ์ “แล้วดูดิ๊ พี่ก็ยังทำท่าเย็นใจ นี่ก็ไม่อยากทำเพลงให้ต้นเหมือนกันแล้วใช่ไหม” ดู ดูความพาลของเจ้าเด็กนี่เสียก่อน

“พี่ยังไม่ได้พูดอะไรสักหน่อยน้ำต้น” นนท์พูดกึ่งขำกึ่งทึ่ง

“แล้วพี่ยอมได้ยังไง หือม์” เจ้าตัวแสบยังคงเหวี่ยงไม่หยุด

“เดี๋ยวๆๆ ฟังพี่ให้จบก่อนได้ไหม”

“ยังมีอะไรอีก นี่ใจอยากจะโทรหาพี่เมษมันเดี๋ยวนี้เลย”

“พี่จะได้เป็นนักร้องแล้ว”

“ต้นไม่ยอม...” ราวกับสติกลับมาอยู่กับตัวอีกครั้ง ก่อนที่น้ำต้นจะหันไปมองหน้านนท์อย่างไม่เชื่อหู “อะไรนะพี่นนท์”

“พี่มิ่งกับพี่นอบอกว่า พี่จะได้เป็นนักร้อง จะมีอัลบั้มเป็นของตัวเองแล้ว” นนท์มองน้องชายด้วยแววตาที่เป็นประกายเปี่ยมไปด้วยความยินดี

“จริงเหรอพี่นนท์” น้ำเสียงของน้ำต้นเต็มไปด้วยความตื่นเต้น ท่าทางของเขาดีใจยิ่งกว่านนท์เสียอีก ไม่ทันขาดคำ เขาคว้าตัวพี่ชายเข้าไปสวมกอดเอาไว้แน่นปากก็พร่ำบอกแต่ว่า จริงหรือ ไม่หยุด นนท์ตกใจกับกริยาของน้องชายไปเล็กน้อยก่อนจะยิ้มออกมาและกอดตอบไปด้วยความซาบซึ้งใจ

“จริงๆ”

“ต้นดีใจมากๆเลย ดีใจกับพี่ด้วยจริงๆ”

“พี่ก็ดีใจที่ต้นดีใจกับพี่”

“นี่มีใครรู้แล้วบ้าง”

“ไม่รู้สิ พี่ยังไม่ได้บอกใคร อยากจะบอกน้ำต้นให้ได้รู้เป็นคนแรก”

“ขอบคุณนะพี่นนท์ นี่เป็นข่าวดีที่สุดในรอบปีของต้นเลย” เด็กหนุ่มพูดออกมาจากใจจริง อะไรที่เป็นเรื่องของนนท์เขาจะให้ความสำคัญเป็นอันดับแรกเสมอ และหากมันเป็นเรื่องน่ายินดี เขานี่แหละเป็นคนแรกที่จะยินดีกันนนท์ก่อนใครและมากกว่าใคร

เขารักนนท์ และเชื่อเหลือเกินว่า นนท์ก็รักเขา

จู่ๆเจ้าน้องชายก็ผละออกจากอ้อมกอดนั้น แล้วจึงขมวดคิ้วมองหน้าพี่ชายเหมือนกับข้องใจอะไรบางอย่าง

“แล้วงี้อัลบั้มต้นจะเสร็จไหมล่ะเนี่ย” ทำเอานนท์หัวเราะออกมาพรืดใหญ่

“ปัดโธ่ ไอ้เราก็นึกว่าจะพูดอะไร” เขายิ้มให้กับน้องชายก่อนจะกระชับมือบนต้นแขนเพื่อที่จะตอกย้ำอย่างเป็นมั่นเป็นเหมาะว่า “ถ้าอัลบั้มนี้ของต้นไม่เสร็จ พี่ก็ยังคงเริ่มงานของตัวเองไม่ได้หรอก” ได้ยินดังนั้น น้ำต้นก็หัวเราะชอบใจออกมาพร้อมกับส่ายหน้า

“ต้นพูดเล่นพี่นนท์”

“อ้าว”

“จริงๆ ต้นอยากจะให้พี่นนท์มีงานของตัวเองออกมาเร็วๆล่ะมากกว่า ถึงพี่จะไม่ได้ทำเพลงให้ต้น ต้นก็ไม่ว่าอะไรหรอก”

“ทีเมื่อกี้ยังโวยวายลั่นอยู่เลย”

“ก็มันไม่เหมือนกัน เมื่อกี้พี่หลอกอำน้องนี่นา แต่อันนี้เรื่องจริง แถมเป็นเรื่องที่ดีด้วย ใครจะไปโกรธลง” น้ำต้นว่าออกไปอย่างซื่อตรงไม่อ้อมค้อม ยิ่งทำให้หัวใจของนนท์พองฟูขึ้นมาอีกครั้ง จะมีใครอีกหนอ นอกจากพ่อกับแม่ที่รักและหวังดีกับเขาอย่างจริงใจได้ถึงเพียงนี้

“แต่พี่พูดจริงๆนะ พี่อยากทำงานให้ต้นให้เรียบร้อยก่อน แล้วค่อยเริ่มงานของตัวเอง ถึงตอนนั้นพี่มิ่งกับพี่นอก็คงเข้ามาช่วยเหมือนเดิม พี่ไม่ห่วงเท่าไหร่หรอก”

“งั้น... ถ้าต้นจะขอมีส่วนร่วมด้วย จะได้ไหม”

“อันนั้นไม่รู้แล้ว ลองไปถามพี่เขาดูสิ” นนท์ว่า

น้ำต้นยิ้มกว้าง เด็กหนุ่มไม่เอ่ยอะไรออกมาอีก เพราะความรู้สึกสุขใจมันท่วมท้นมากเสียจนไม่อาจจะเอ่ยออกมาเป็นคำพูดใดๆได้ เขาจึงถือวิสาสะอย่างที่ชอบทำ ยื่นแขนข้างหนึ่งออกไปโอบเอวพี่ชายเอาไว้ก่อนจะเอนร่างลงไปเอาศีรษะนอนหนุนตักของชายหนุ่มอย่างสบายใจ เหมือนอยากจะบอกแก่พระจันทร์และดวงดาวเบื้องบนว่า คนคนนี้เป็นคนสำคัญของเขาแต่เพียงคนเดียวเท่านั้น

นนท์ไม่ได้ห้ามปรามแต่อย่างใด เขาปล่อยให้น้องชายหนุนนอนบนตักนั้นได้ตามใจ มือข้างหนึ่งวางบนศีรษะทุยๆนั้นเอาไว้อย่างเอ็นดู มืออีกข้างดึงผ้าห่มให้คลุมร่างนั้นเอาไว้ด้วยเกรงว่าลมหนาวจะทำอันตรายน้องชายที่เขารักเหลือเกินอย่างไรอย่างนั้น

“สบายไหม” พี่ชายเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

“สบายกว่าครั้งไหนๆ” น้องชายว่าพลางหลับตาลง

บรรยากาศรอบตัวตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง ชายหนุ่มทั้งสองคนไม่ได้เอื้อนเอ่ยอะไรแก่กันอยู่เป็นนาน พวกเขาปล่อยให้ความเงียบพูดแทนความรู้สึกทุกอย่างที่เอ่อท่วมท้นอยู่ในใจ เวลาไม่มีความหมายอีกต่อไป สิบนาที สามสิบนาที หรือชั่วโมงหนึ่ง ไม่มีใครรู้ รู้แต่อยากจะให้เวลาเดินช้าลงและน่าจะยืดยาวต่อไปแบบนี้นานๆ

“พี่นนท์”

“หือม์”

“พี่นนท์เริ่มรู้สึกดีๆกับต้นตั้งแต่เมื่อไหร่”

“นึกยังไงถามขึ้นมาเนี่ย” นนท์กึ่งพูดกึ่งหัวเราะ

“น่า อยากรู้”

“ไม่รู้สิ พี่ก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน” นนท์ละมือจากศีรษะที่นอนหนุนตักเขา เงยหน้าแหงนมองขึ้นไป “น่าจะเป็นตอนที่ต้นมาเล่นดนตรีกับพี่ครั้งแรกหรือเปล่านะ”

“เหรอ ตอนนั้นเองเหรอ” น้ำต้นพึมพำออกมากับตัวเองทั้งที่เปลือกตายังปิดสนิทอยู่ “แต่เชื่อไหม…”

“หือม์?” นนท์เลิกคิ้วขึ้น

“ว่าต้นชอบพี่ตั้งแต่เห็นพี่ครั้งแรกเลย” ได้ยินดังนั้นไม่เพียงแต่จะหายสงสัยเป็นปลิดทิ้ง ยังทำเอาคนฟังหน้าแดงจนรู้สึกได้ถึงความร้อนที่แผ่นซ่านออกมาบนใบหน้าอย่างห้ามไม่อยู่

“ตั้งแต่เมื่อไหร่” นนท์ก้มลงถามเสียงเบา

“ซักปีนึงได้แล้วมั้ง ตอนนั้นเห็นพี่เดินๆอยู่ในตึกนี่แหละ”

“นานขนาดนั้นเชียวเหรอ”

“ก็ขนาดนั้นแหละ พี่ก็ไม่เคยหันมามองต้นเลย ไอ้เราก็ไม่รู้จะไปถามใครดี ชื่อเสียงเรียงนามก็ไม่รู้จัก”

“ขอโทษ”

“เอ๊า จะขอโทษทำไมเนี่ย” น้ำต้นลืมตาขึ้นมองหน้าพี่ชาย “แต่พี่อ่ะ เวลาเดินอยู่ในตึก ต้นก็ไม่เห็นจะมองใครเลย ก้มหน้าก้มตาเดินงุดๆ ไม่แปลกใจซักนิดถ้าจะไม่รู้ว่ามีใครมองอยู่”

“บทพี่จะสมองช้าก็ช้าได้ใจจริงๆนั่นแหละ” นนท์ออกปากบ้าง

“ก็จนก่อนหน้าที่จะได้มาทำงานด้วยกัน อดรนทนไม่ได้ก็เลยถามพี่เมษ พี่เมษก็ดันไม่รู้จักพี่อีก ก็คิดว่า หรือสงสัยจะต้องลุยเข้าไปเองเสียแล้ว” นนท์ฟังก็ได้แต่หัวเราะออกมา

“แสดงว่าเป็นโชคหรือเปล่าที่จู่ๆพี่มิ่งก็เสนอให้พี่มาทำเพลงให้ต้น”

“โชคดีมหาศาลเลยล่ะ” น้ำต้นยิ้มออกมาทั้งริมฝีปากทั้งแววตา “วันนั้นที่ประชุม ต้นไม่เป็นอันประชุมเลยล่ะ”

“พี่ไม่เห็นรู้เรื่องเลย”

“ความรู้สึกช้าได้อีกนะ พี่นนท์เนี่ย”

“ก็มีนึกแปลกใจอยู่นิดหน่อยเหมือนกัน ว่าทำไมเด็กคนนี้ถึงตอแยกับเราจัง” ว่าแล้วก็หัวเราะชอบใจออกมา

“ไม่งั้นจะเช้าถึงเย็นถึงขนาดนั้นเหรอพี่” ได้ยินอย่างนั้นนนท์ก็อดจะตีเบาๆลงบนหน้าผากของเจ้าเด็กแผนสูงไม่ได้จริงๆ

“โอ๋ย... ทำไมขยันทำร้ายร่างกายกันจริง” ปากถึงจะบ่นแต่นัยน์ตาแฝงแววขี้เล่นเต็มที่ “จะช้ำในตายเสียก่อนไหมนี่”

“เว่อละ”

“ช้ำในตายไม่เป็นไร ขอแค่อย่าช้ำใจตายเสียก่อนเป็นพอ” เด็กหนุ่มพูดขึ้นมาหน้าตาเฉย

“โห... นี่ถ้าไม่เห็นว่านอนอยู่อย่างนี้จะวิ่งไปคายของเก่าออกมาให้หมดเลย” น้ำต้นถึงกับหัวเราะก๊ากออกมาทันทีที่ได้ยิน

“ใจร้ายว่ะพี่เนี่ย”

“ทนไม่ได้ก็ลุกไป”

“ไม่เอา” ว่าแล้วก็โอบแขนข้างหนึ่งไปที่เอวของพี่ชายอีกคราด้วยแน่ใจว่า จะไม่ถูกปฏิเสธแน่นอน

“น้ำต้น” เขากระซิบเบาๆที่หูน้องชาย

“อือ”

“น้ำต้นครับ”

“เรียกอีกสิพี่”

“ทำไมเหรอ”

“ต้นชอบเวลาพี่เรียกชื่อเต็มๆของต้นแบบนี้”

“น้ำต้น”

“ครับ”

“ลุกไปนอนไหม”

“พี่เมื่อยแล้วเหรอ”

“ยัง แต่กลัวนอนไม่สบาย”

“ใครบอก เนี่ยแหละ สบายที่สุดแล้ว”

“แล้วถ้าพี่เมื่อยขึ้นมาล่ะ”

“ก็รอให้เมื่อยก่อนค่อยปลุก ถึงตอนนั้นจะยอมลุกให้” นนท์หัวเราะเบาๆอย่างยอมแพ้กับการต่อรองครั้งนี้

“งั้นนอนไปก่อนเถอะ”

ดวงดาวที่ส่องกระจ่างอยู่เต็มท้องฟ้าในตอนนี้ราวกับจะเป็นประจักษ์พยานกับภาพอันอบอุ่นเบื้องล่าง บนชั้นสองของบ้านระเบียงไม้หลังใหญ่ ที่ตอนนี้ไม่มีเสียงพุดคุยอันใดอีกต่อไป เหลือแต่เพียงความเงียบอันอบอุ่นท่ามกลางอากาศที่หนาวเย็นและสายหมอกยามค่ำคืนที่ห่มคลุมชายหนุ่มสองพี่น้องต่างสายเลือด แต่กลับมีความผูกพันอันเหนียวแน่นอันน่าอัศจรรย์ใจระหว่างกันและกัน

นนท์เองก็ไม่รู้เหมือนกันว่า ต่อจากนี้ไป หนทางของพวกเขาทั้งคู่จะเป็นอย่างไร รู้แต่เพียงว่า ในเมื่อเขาเลือกแล้ว และได้ตัดสินใจไปแล้ว เขาก็พร้อมที่จะรับมือกับเรื่องราวอันวุ่นวายต่างๆที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตข้างหน้านี้แล้ว นนท์ละสายตาจากท้องฟ้ายามค่ำคืนที่สวยงามดึงดูดใจ พลางก้มหน้าลงพินิจมองดูใบหน้าของเด็กหนุ่มวัยยี่สิบที่นอนหนุนตักเขาอย่างสบายอารมณ์ น้ำต้นยามเข้าสู่ห้วงนิทราแบบนี้ ไม่ต่างอะไรกับเด็กน้อยขี้อ้อนคนหนึ่ง เขาใช้มือเขี่ยปอยผมยุ่งๆที่ปรกอยู่บนหน้าฝากเด็กหนุ่มออกอย่างเบามือ ก่อนจะดึงผ้าห่มให้กระชับร่างที่นอนอยู่นั้นมากขึ้นไปอีก

“แล้วถ้าพี่เมื่อยขึ้นมาจริงๆ จะบอกเราได้ไหมเนี่ย หือม์ น้ำต้น” เขาบ่นออกมาเบาๆ พร้อมกับคลี่ยิ้มออกมาอย่างนึกขันระคนเอ็นดู ก่อนที่เงยหน้าขึ้นมองแสงดาวและผล็อยหลับไปทั้งอย่างนั้น

__________________________________

โปรดติดตามตอนต่อไป

********************

อ่านมาถึงตอนนี้ คิดว่าหลายๆท่านคงจะชินกันแต่ละตอนที่ยาวได้ใจกันไปแล้วล่ะนะคะ พอมานั่งย้อนอ่านดู โอ้โห... ทำไม แต่งออกมาแต่ละตอนมันยาวได้ใจอย่างนี้เล่า แล้วอย่าคิดว่าจะจบง่ายๆนะคะ คงอีกพักนึงล่ะค่ะ สำหรับนิยายเรื่องนี้ เพราะอย่างที่เคยบอกว่า ยาวกว่า Beats of Life ประมาณนึงเลยทีเดียว

ตอนนี้ถือว่าเป็นตอนคลายเครียดนะคะ เป็นคนที่คนเขียนเองก็รู้สึกว่า กดดันมาเยอะ เลยขอผ่อนคลายสักหน่อย ตอนต่อๆไปนี่เรื่องราวก็คงจะเข้มข้นขึ้นอีก ซึ่งก็ยังอยากจะให้ตามอ่านกันต่อไปเรื่อยๆ อ่านแล้วชอบใจอะไรยังไง ก็บอกให้คนเขียนได้รับรู้บ้างสักนิดก็จะขอบคุณมากเลยล่ะค่ะ

จากคุณ : fingers-crossed

Forever_ever

  • บุคคลทั่วไป
ตามมาอ่านตอนหวานหวานค่ะ
บรรยากาศก็ดี
สองคนนี้ก็เข้าใจกัน หวานจริงจริ๊ง

แต่เริ่มเห็นเค้าลางของปัญหาแล้วสิคะ
ไหมกับเอ้จะทำอะไรเนี่ย
ขอให้เรื่องร้ายๆ ที่จะเกิดขึ้น
ผ่านไปได้ด้วยดีน้า

ขอบคุณนะคะ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด