.......... เพลงรัก ........... by fingers-crossed ...
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: .......... เพลงรัก ........... by fingers-crossed ...  (อ่าน 130067 ครั้ง)

mecon

  • บุคคลทั่วไป
ต่างคนต่างเปิดใจแบบนี้
ท่าทางนนท์จะมีแรงบันดาลใจแต่งเพลงที่เหมาะกันน้ำต้นแน่ๆ
น้ำต้นนี่ ชิวจริงๆน่ารักอ่ะ กินข้าวไปคุยไปดเป็นธรรมชาติมากๆมากกว่าสถานภาพค.เป็นนักร้องซุปเปอร์
สตาร์ที่พ่วงท้ายซะอีกนะเนี่ย

 :pig4: พี่นาเมฮ์คะ

ออฟไลน์ EverGreen™

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1684
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +192/-1
ถ้านักร้องจริงๆเป็นแบบนี้คงดีอ่ะนะ

 :z2:

ออฟไลน์ panpan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 366
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-2
รักตัวละครคู่นี้จัง :กอด1:

ออฟไลน์ nin@

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
ชอบคู่นี้นะ น้ำต้นก็น่ารักดี  แต่นนท์ดูนิ่งๆ น่าค้นหามาก ดูมีความหลังฝังใจในชีวิตพอสมควรนะเนี่ย

tk91

  • บุคคลทั่วไป
อ่านแล้วมีความสุข
โอ้วววว

น้ำต้น น่ารักมากๆๆๆค่ะ

ออฟไลน์ warin

  • รถไฟขบวนนั้น ได้แล่นผ่านไปแล้ว
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1937
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +60/-1
    • -
น้องน้ำต้นน่ารักจัง  ดูสดใสดีอ่ะ

ออฟไลน์ Namehoto

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 780
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +696/-9
มีตอนต่อมาให้นะคะ กับ บทที่สี่ ของเพลงรัก

เรื่องราวของน้ำต้นและนนท์ จะเป็นอย่างไรต่อไป เมื่อทั้งสองเริ่มทำงานด้วยกัน

************************

เพลงรัก

บทที่ 4

วันอาทิตย์แรกในรอบหลายเดือนวันนี้เป็นวันว่างที่หาได้ยากยิ่งสำหรับน้ำต้น แม้อัลบั้มชุดแรกจะหมดช่วงโปรโมตไปนานแล้ว แต่ผลจากความสำเร็จของมันก็ยังตามมาอย่างต่อเนื่อง ดูได้จากงานโชว์ตัว งานมินิคอนเสิร์ต และการถ่ายแฟชั่นที่ยังคงมีเข้ามาเรื่อยๆอย่างต่อเนื่อง หลายครั้งที่เขาอดคิดกับตัวเองไม่ได้ว่า เขาแค่ชอบร้องเพลงมากเท่านั้นเองแท้ๆ ไม่น่าเชื่อว่าจะทำให้คนชื่นชมเขามากมายถึงเพียงนี้ งานต่างๆที่ประเดประดังเข้ามาไม่ต่างอะไรกับผลพลอยได้ที่เปิดโอกาสให้เขาได้เก็บเกี่ยวประสบการณ์ในการทำงานด้านอื่นๆเพิ่มขึ้น และด้วยความรู้สึกซาบซึ้งใจนี้เอง ทำให้น้ำต้นไม่เคยอิดออดในเรื่องของการทำงานเลย อย่างเก่งก็บ่นกับเมษบ้างว่าเหนื่อยนิดหน่อยเท่านั้น แต่ก็ไม่เคยงอแงเลยสักครั้ง ยิ่งเวลาโทรคุยกับแม่ น้ำต้นยิ่งไม่เคยบ่น เพราะแม่เป็นคนบอกว่าเขาเป็นคนเลือกเส้นทางนี้เอง เพราะฉะนั้นจงยอมรับผลที่จะตามมาด้วยรอยยิ้มดีกว่า
เขานั่งกดรีโมททีวีเปลี่ยนช่องไปมาอย่างไม่ได้นึกอยากดูอะไรเป็นพิเศษ แม้จะได้ชื่อว่าเป็นห้องพัก แต่ก็ต้องนับว่าเป็นห้องที่น่าอยู่ไม่เลว ห้องของเขาอยู่บนชั้นสิบห้า สูงพอที่จะมีความเป็นส่วนตัวและได้เห็นวิวทิวทัศน์รอบๆได้ ในห้องถูกออกแบบเอาไว้เป็นสัดส่วนชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นห้องนอนที่มีห้องน้ำในตัว ถัดไปก็เป็นห้องครัวที่ว่าตามจริง เขาแทบไม่ได้ใช้งานอะไรสักเท่าไหร่ นอกจากเวลาที่อยากจะเข้ามาหาอะไรกินก๊อกๆแก๊กๆไปตามเรื่อง แล้วก็ห้องนั่งเล่นที่เขานั่งอยู่นี่ เขามองไปรอบๆห้องที่แม่ชอบแซวว่า ห้องหนุ่มโสดโดยแท้ แล้วก็หันไปเห็นกองของขวัญที่กองอยู่สูงพะเนินเทินทึกอยู่ตรงมุมห้อง ก่อนที่จะยิ้มออกมา “เยอะขนาดนี้ แกะเท่าไหร่ก็ไม่ทันสักที” เขารำพึง แต่ก็รู้สึกชื่นใจทุกครั้งที่ได้เห็น น้ำต้นไม่เคยไม่ใส่ใจของขวัญที่ได้รับมาเลยแม้แต่ชิ้นเดียว จดหมายทุกฉบับ กระดาษโน้ตทุกชิ้น เขาก็เก็บรักษาเอาไว้อย่างดี ในใจชักนึกหวั่นอยู่เหมือนกันว่า ถ้ามันล้นห้องขึ้นมา เข้าจะทำอย่างไรกับของที่ได้รับมาดีล่ะนี่ แล้วก็ส่ายหน้าก่อนที่จะยิ้มกับตัวเองและเลิกคิดถึงมันในที่สุด


อันที่จริงแม้จะได้วันหยุดกับเขาเสียที ไปๆมาๆน้ำต้นกลับไม่รู้ว่าจะทำอะไรกับวันหยุดที่มีดีเหมือนกัน เพื่อนฝูงก็ไม่ว่าง แต่อันที่จริงเขาอยากจะใช้เวลาทำอะไรเรื่อยเปื่อยคนเดียวมากกว่า อะไรก็ได้ ว่าแล้ว เหมือนจะตัดสินใจได้อย่างเด็ดขาด น้ำต้นหยิบเสื้อยืดธรรมดาตัวหนึ่งมาสวมคู่กับกางเกงยีนส์สีซีดกลางเก่ากลางใหม่ พอสวมรองเท้าผ้าใบเสร็จก็คว้าเป้คู่ใจออกมา โดยไม่ลืมถือหมวกแก๊ปที่ตอนนี้กลายเป็นของจำเป็นมากที่สุดไปแล้วติดมือออกมาด้วย


ค่าที่ว่าคอนโดหนุ่มโสดของเขาอยู่ใกล้กับรถไฟฟ้าอย่างยิ่ง น้ำต้นจึงเดินทอดอารมณ์ขึ้นบันไดรถไฟฟ้าไปอย่างง่ายๆและสบายใจที่สุด อากาศในกรุงเทพในช่วงปลายปีอย่างนี้สบายดีเหลือเกิน แม้มันจะไม่ได้เย็นสบายเหมือนกับตอนอยู่บ้านที่เชียงราย แต่ก็พอจะชดเชยไปได้พอกล้อมแกล้มเหมือนกันล่ะน่า น้ำต้นคิดกับตัวเองประสาคนมองโลกในแง่ดี


มองดูเผินๆ น้ำต้นในตอนนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับเด็กหนุ่มธรรมดาทั่วไป ขึ้นไปบนรถไฟฟ้าเขาก็ไม่ได้หันซ้ายหันขวา ทำท่ามีพิรุธ หรือดูว่ามีใครจ้องมองอยู่หรือไม่ แค่ยืนอยู่ใกล้ๆประตูและยืนมองทิวทัศน์เบื้องนอกอย่างเพลิดเพลินเท่านั้น เช้าวันอาทิตย์คนยังไม่หนาตาเท่าไร เขาก็ยิ่งปล่อยตัวสบายๆ ทิ้งความเป็นนักร้องเอาไว้เบื้องหลัง กลายเป็นนายน้ำต้นคนธรรมดาเท่านั้น
รถไฟฟ้าพาเขาไปหยุดตรงสถานีที่ขึ้นชื่อว่าเป็นย่านที่มีร้านน่านั่งอยู่มากมาย น้ำต้นไม่ได้อยากจะทำอะไรมากกว่าการไปนั่งหากาแฟอร่อยๆกินแล้วก็อ่านหนังสือหรือทำอะไรของตัวเองไป ตอนอยู่บ้านที่เชียงราย เขาก็เป็นแบบนี้ เขาไม่ค่อยชอบไปเที่ยวเตร็ดเตร่ที่ไหน วันๆก็อยู่บ้านฟังเพลง ร้องเพลงไปตามเรื่อง ขนาดพ่อกับแม่ยังเคยออกปากให้เขาออกไปไหนมาไหนกับเพื่อนฝูงบ้างก็ได้ น้ำต้นได้แต่ยิ้มแล้วก็บอกพ่อกับแม่ว่า “เพื่อนๆเขามาหาต้นอยู่แล้ว ต้นไม่ต้องออกไปหรอก” ซึ่งก็เป็นเรื่องจริง น้ำต้นเป็นขวัญใจเพื่อนๆ อยู่โรงเรียนเขาทั้งตั้งใจเรียนและขยันทำกิจกรรมไม่ได้หยุด เสาร์อาทิตย์บางทีเพื่อนๆก็มาหาเขาถึงบ้าน ออกจากบ้านกับเพื่อนทีไรถ้าไม่ไปหาอะไรกิน ก็ไปเล่นกีฬา มีเท่านี้จริงๆ จนเพื่อนบางคนถึงกับออกปากว่า “คนอะไรวะ ทำไมใช้ชีวิตน่าเบื่ออย่างนี้” น้ำต้นไม่ว่าอะไรนอกจากยืนยันคำพูดเดิมๆว่า “ความสุขของคนเราไม่เหมือนกันนี่หว่า”
น้ำต้นเดินลงสถานีรถไฟฟ้า เขาเรียกมอเตอร์ไซค์รับจ้างและบอกร้านจุดหมายที่ต้องการไปกับคนขี่ทันทีอย่างไม่ลังเล นี่ถ้าแฟนๆรู้ว่านักร้องชื่อดังอย่างน้ำต้นกำลังนั่งมอเตอร์ไซค์รับจ้างอย่างคล่องแคล่วเพื่อไปหากาแฟดื่ม คงได้แปลกใจไปตามๆกัน ความเป็นจริงกับสิ่งที่เห็นตามหน้าจอทีวีก็เป็นอย่างนี้แหละ มันขัดแย้งกันเสมอ เขาล้วงมือลงในกระเป๋าพร้อมหยิบเหรียญสิบบาทให้กับมอเตอร์ไซค์รับจ้างที่พาเขามาส่งถึงที่ ก่อนจะเดินเข้าไปสั่งกาแฟแบบที่เขาชอบดื่มเป็นประจำเมื่อมาร้านนี้
น้ำต้นถือกาแฟร้อนไปยังมุมที่เขามักจะนั่งอยู่เป็นประจำ ยังไม่สิบโมงเช้าแบบนี้ คนย่อมบางตาเป็นธรรมดา เขาหยิบไอพ็อตสีขาวออกมาจากเป้ ในนั้นบรรจุเพลงที่เขาชื่นชอบเอาไว้จำนวนนับไม่ถ้วน แม้จะชอบฟังเพลงมากเพียงไร น้ำต้นก็อดคิดไม่ได้จริงๆว่า คนคนนึงจะฟังเพลงได้มากมายขนาดไหนกันนะ เป็นพันเป็นหมื่นขนาดนี้เลยหรือเปล่า เพราะเอาเข้าจริงๆเขาเป็นคนมีนิสัยถ้าชอบเพลงไหนมากๆ ก็จะฟังเพลงนั้นซ้ำๆวนไปวนมาได้เป็นสิบเป็นร้อยเที่ยว เอาจนร้องได้นั่นแหละ เขาหยิบหนังสือแนวสืบสวนฆาตกรรมเล่มเขื่องอย่างที่ชอบขึ้นมาอ่าน เดี๋ยวนี้เวลาอ่านหนังสือของเขาเหลือน้อยลงเต็มที คงจะมีแต่วันแบบนี้นี่แหละที่จะได้หยิบเอาหนังสือที่ซื้อสะสมเอาไว้กองพะเนินมานั่งอ่านสักที


เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ น้ำต้นไม่ได้สนใจจะรับรู้ พออ่านหนังสือจนรู้สึกล้า เขาก็ลุกไปสั่งขนมมากินเพิ่มคู่กับนม กาแฟกินวันละแก้วก็พอแล้ว น้ำต้นพูดกับเมษบ่อยๆ เวลาที่เมษถามว่าจะเอากาแฟเพิ่มอีกไหม เขาหยิบสมุดบันทึกเล่มหนึ่งออกมา สภาพของมันเห็นได้ชัดว่าผ่านการใช้งานมาพอสมควรแล้ว ปกติเด็กหนุ่มไม่ใช่คนชอบเขียนบันทึกประจำวันสักเท่าไรนัก แต่เมื่อไรที่นึกครึ้มใจ หรือมีเรื่องอะไรที่โดนใจเข้ามา เขาก็อยากจะบันทึกความทรงจำเหล่านั้นเอาไว้บ้างเหมือนกัน ถึงอย่างไรเขาก็เป็นคนเล่นดนตรีมาก่อน เรื่องแรงบันดาลใจในการแต่งเพลงจึงจำเป็นกับเขาไม่น้อย และเพิ่งจะมาเริ่มจริงจังกับมันหลังจากที่มีอัลบั้มแรกของตัวเองออกมานี่แหละ ถ้าเขาอยากจะเป็นนักร้องที่ประสบความสำเร็จ เขาก็ควรจะทำอะไรได้มากกว่าแค่ร้องเพลงอย่างเดียว เสียดายก็ตรงที่มานั่งร้านแบบนี้ จะแบกกีตาร์มาด้วยเป็นที่เอิกเกริกไม่ได้เสียด้วยสิ เขาคิดกับตัวเองอย่างติดตลก


น้ำต้นใช้เวลาอยู่ที่ร้านกาแฟแห่งนั้นนานหลายชั่วโมง รู้ตัวอีกครั้งก็จะหกโมงเย็นเข้าไปแล้ว เป็นวันที่เขาได้ใช้เวลาอยู่กับตัวเองอย่างเรียบง่ายได้คุ้มค่าอย่างยิ่ง ขณะกำลังชั่งใจว่าจะออกไปหาอะไรกินเป็นมื้อเย็นก่อนกลับบ้าน หรือไปแวะที่ไหนต่อดี ต้นสังเกตเห็นใครคนหนึ่งที่คุ้นตาเหลือเกินเดินเข้ามาในร้าน เขายิ้มออกมาอย่างยินดีโดยไม่ปิดบัง แต่ตอนที่กำลังจะลุกขึ้นไปทักนั้น เขาเห็นใครอีกคนเดินเข้ามาติดๆ เมื่อฝ่ายแรกหันไปเห็นว่าคนที่เข้ามาทักทายด้านหลังเป็นใคร สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปกลายเป็นเคร่งเครียดทันที น้ำต้นนึกไม่ถึงว่าเขาจะได้เห็นสีหน้าแบบนั้นด้วย เขาชะงักก่อนที่จะตัดสินใจนั่งลงดังเดิม แต่สายตาจับจ้องไปที่คนสองคนนั้นอย่างสนใจ


“นนท์” เจ้าของชื่อหันไปทางต้นเสียงก่อนที่รอยยิ้มบางๆจะกลายเป็นความประหลาดใจและกลายเป็นความตึงเครียดในที่สุด
“เอ้… มาทำอะไรที่นี่” นนท์ถามด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยสู้ดีนัก
“ก็เรามาแถวนี้ เห็นหลังอยู่ไวๆยังคิดอยู่ว่าใช่นนท์หรือเปล่า แล้วก็ใช่จริงๆด้วย มาคนเดียวเหรอ”

นนท์ไม่ตอบ แค่พยักหน้าแล้วหันไปรับกาแฟที่สั่งเอาไว้เท่านั้น

“เรานั่งด้วยได้ไหม” เอ้ถาม
“ไม่ดีหรอก นายไม่ได้มาคนเดียวไม่ใช่เหรอ” นนท์ว่าแล้วก็ถือกาแฟไปนั่งอย่างไม่สนใจอะไรอีก ทำเอาอีกฝ่ายสะอึกไป แต่ดูเหมือนเขาจะไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เดินตามไปอย่างไม่ลดละ และนั่งที่โต๊ะตัวเดียวกับนนท์โดยที่เจ้าของโต๊ะไม่แม้แต่จะคิดเชื้อเชิญ
“แต่เรายังเป็นเพื่อนกันอยู่ไม่ใช่เหรอ” เอ้ท้วง
“ก็เป็นเพื่อนได้ เราไม่ได้ว่าอะไร แต่ถ้านายคาดหวังว่าเราจะเป็น “เพื่อน” กันเหมือนเดิม มันคงเป็นไปไม่ได้แล้วนะเอ้”
“อะไรกันนนท์ งอนอะไรไม่เข้าท่า” เอ้ว่าอย่างหงุดหงิด
“อย่ามายุ่งกับเราเอ้ นายต้องการอะไรกันแน่ถึงได้มาวุ่นวายกับเราอีก” นนท์หยุดก่อนจะมองผ่านกระจกออกไปด้านนอก “โน่น เพื่อนนายเขามองหาโน่นแล้ว”
“ไม่เป็นไรหรอกน่า” เอ้ว่าอย่างไม่สนใจ
“อย่า... เอานิสัยมักง่ายมาใช้แถวนี้เอ้ แล้วขอร้อง จะไปไหนก็ไป” นนท์ว่าอย่างเย็นชา และไม่ใส่ใจกับคนตรงหน้าอีกต่อไป
“เรายังคุยกันไม่รู้เรื่องนะนนท์”
“เราไม่จำเป็นต้องคุยกัน ไปเถอะเอ้ เราไม่อยากเจอนายอีก หรือจะให้เราย้ายโต๊ะเอง นายถึงจะพอใจ”
“เออ ไม่ต้อง” เอ้เริ่มหัวเสียขึ้นมาบ้าง “เราไปก็ได้ แต่เรายังไม่ยอมแพ้หรอกนะ” เขาว่าพร้อมกับลุกขึ้นอย่างเสียไม่ได้ “แล้วเจอกันนะนนท์”

น้ำต้นไม่รู้ว่าทั้งสองคนพูดคุยอะไรกัน เขารู้แต่ว่า นนท์ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมาคู่สนทนาอีก ใบหน้านิ่งๆที่ปกติจะดูอ่อนโยนในตอนนี้ ดูบึ้งตึงและไม่สู้ดีเอาเสียเลย ฝ่ายที่เข้ามาทักทายเดินออกจากร้านไปแล้ว น้ำต้นชั่งใจอย่างไม่รู้ว่าจะเข้าไปทักทายหรือจะปล่อยให้นนท์นั่งต่อไปคนเดียวดี สุดท้ายเขาได้แต่หันไปมองโต๊ะที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งของร้านอย่างไม่รู้จะทำอย่างไรดี จนกระทั่งอีกฝ่ายลุกเดินออกไปในที่สุด


สองทุ่มแล้ว น้ำต้นตัดสินใจกลับคอนโดหรือบ้านกลางเมืองของเขา โดยไม่สนใจจะทานมื้อเย็นอย่างที่ตั้งใจเอาไว้ ในหัวมีแต่ภาพที่ได้เห็นและมีอะไรที่ต้องคิดอยู่เต็มไปหมด ที่ผ่านมาเกิดอะไรขึ้นกับพี่นนท์หนอ ถึงได้ทำสีหน้าแบบนั้นตอนเดินออกจากร้านไป และมันก็ยังติดตาเขามาจนถึงตอนนี้


ในห้องประชุมเล็กบนชั้นสามสิบ


การประชุมในวันนี้สมาชิกไม่ได้หนาตาอย่างเช่นเมื่อหลายวันก่อน เพราะหลักๆแล้ววันนี้เป็นการพูดคุยถึงเรื่องของดนตรีเป็นหลัก หลายคนที่ไม่ได้มีความรู้เชิงลึกในเรื่องของดนตรี จึงขอตัวไปทำงานที่ล้นมืออยู่ให้เสร็จ และปล่อยให้คนที่ต้องรับผิดชอบเรื่องนี้โดยตรงอย่างนรเศรษฐ์ มิ่ง นนท์ และที่ขาดไม่ได้น้ำต้นรับมือกันไปก่อน


ตลอดระยะเวลาที่นั่งประชุมกันนั้น น้ำต้นสังเกตเห็นว่านนท์ไม่ค่อยพูดอะไรนัก หน้าตาของเขาแม้จะไม่เคร่งเครียดจนน่ากลัวเหมือนเมื่อคืน แต่จะเรียกว่าสบายดีก็คงไม่ใช่แน่ ไม่ว่าพี่มิ่งและพี่นอจะถามอะไร ก็ดูเหมือนว่า นนท์จะสงวนคำพูดเหลือเกิน เขาดูมีเรื่องอะไรในใจที่ต้องคิดอยู่ตลอดเวลา จนแม้แต่คนอื่นๆที่ไม่ได้ช่างสังเกตเหมือนน้ำต้นยังรู้สึกได้

“นนท์ พอจะมีไอเดียอะไรใหม่ๆสำหรับงานของต้นบ้างแล้วหรือยัง” มิ่งถาม
“ก็... พอจะมีอยู่เหมือนกันครับ แต่ว่ามันยังไม่ค่อยเรียบร้อย ผมก็เลยอยากทำให้มันเสร็จสมบูรณ์จริงๆก่อน ค่อยเอามาให้ดูกันอีกที”
“ต้นล่ะ”
“ก็... มีไอเดียที่พอจะเอามาเป็นวัตถุดิบในการแต่งเพลงบ้างแล้วนิดหน่อยครับพี่ พร้อมเมื่อไหร่ต้นจะเอามาให้พวกพี่ช่วยดูให้นะครับ”
“ได้ คือ... พี่ไม่ได้เร่งอะไรหรอก โปรเจ็กต์นี้ พี่อยากให้เวลากับมันเต็มที่หน่อย ไม่อยากจะเร่งออกมา อะไรที่ไม่ดีจริงๆ พี่ไม่อยากปล่อยหรอก แต่ก็ไม่อยากให้พวกเราวางใจเกินไป พี่ก็คงจะถามเราบ่อยๆแบบนี้แหละ อย่าเพิ่งเบื่อไปก่อนก็แล้วกัน”
“งั้นวันนี้เอาแค่นี้” นอปิดการประชุมอย่างไม่เป็นทางการนี้อย่างเรียบง่ายตามแบบฉบับของเขา
“ต้นเดี๋ยวออกมาคุยกับพี่แป๊ปนะ” พี่มิ่งบอกน้ำต้น หน้าตาจริงจัง

เดินออกมายังไม่ทันพ้นประตูดี มิ่งก็เอ่ยถามกับต้นด้วยสีหน้าที่แสดงความเป็นห่วงออกมาอย่างไม่ปิดบัง “นนท์เป็นอะไร ต้นรู้หรือเปล่า”
ต้นอึ้งไปเป็นครู่ก่อนจะตอบอย่างตรงไปตรงมาว่า “ต้นไม่แน่ใจเหมือนกันครับพี่มิ่ง แต่ท่าทางคงมีเรื่องไม่สบายใจเอามากๆ”
“พี่ฝากดูนนท์หน่อยนะต้น เขาไม่ค่อยมีเพื่อนที่เมืองไทยเท่าไหร่ แล้วเป็นคนไม่ค่อยแสดงความรู้สึก วัยพี่ห่างเขาเยอะ บางทีก็ไม่รู้จะเข้าไปถามยังไงดี พี่อดเป็นห่วงมันไม่ได้ ยังไงก็น้องน่ะนะ”
น้ำต้นยิ้มออกมาในที่สุด “ได้ครับพี่มิ่ง”
“ฝากหน่อย ฝากหน่อย มีกันอยู่แค่นี้แล้ว” พี่มิ่งตบบ่าเขาเบาๆก่อนจะเดินออกไป


การประชุมเลิกไปแล้ว นนท์ยังคงนั่งเหม่อบ้างสลับกับชั่งใจว่าจะจดอะไรลงไปในสมุดจดงานดี เขาไม่มีสมาธิเอาเลยจริงๆ ไม่ควรเลย ปกติแล้วเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัว นนท์จะแยกแยะได้ไม่เคยเอามาปนกัน ไม่น่าเชื่อว่าเรื่องบางเรื่องจะมีผลต่อจิตใจของเขามากถึงเพียงนี้


“พี่นนท์... พี่.. วู้ว...” เสียงของน้ำต้นปลุกนนท์ให้ตื่นจากภวังค์ทันที ก่อนที่จะเห็นว่านักร้องคนดังยืนโบกไม้โบกมืออยู่ตรงประตูราวกับเด็กๆก็ไม่ปาน เรียกร้อยยิ้มน้อยๆให้กับนนท์ได้เป็นครั้งแรกของวันเลยก็ว่าได้
“ครับน้ำต้น” เขาวางปากกา ปิดสมุดลงในที่สุด แล้วก็ค่อยๆถอดแจ๊กเก็ตสีดำออกเมื่อเครื่องปรับอากาศที่เย็นฉ่ำถูกปิดลง
“ค่ำแล้วพี่... ไปกินข้าวกันนะ” น้ำต้นยื่นหน้าแบ๊วเข้ามาใกล้และมองเขาด้วยตากลมใสคู่นั้น เขาไม่ได้อยู่ในอารมณ์อยากจะออกไปกินข้าวหรือไปไหนเลยจริงๆตอนนี้ “นะพี่นะ ต้นยังไม่ได้กินอะไรเลยเหมือนกัน หิวแล้วด้วย เพื่อนจะไปกินข้าวก็ไม่มี” เด็กหนอเด็ก ได้ทีก็อ้อนเอาอ้อนเอา


แล้วคนใจอ่อนอย่างนนท์ก็ตกปากรับคำไปในที่สุด


“เย้... มันต้องอย่างนี้สิพี่ ปาย... ลุกเลย เดี๋ยวนี้เลย... หิวไส้จะขาดอยู่แล้ว” นนท์อดหัวเราะไม่ได้กับท่าทางของน้ำต้นที่เอามือลูบพุงแบนๆป้อยๆ หน้าตาละห้อยเพราะความหิวอย่างไม่ปิดบังกันเลย หมดกัน... นักร้องขวัญใจวัยรุ่นแห่งยุค
“ไปครับ จะกินอะไรคิดเอาไว้รึยัง” นนท์ถามเอาใจขึ้นมาบ้าง
“วันนี้ตามใจพี่นนท์”
“อ้าว ไหงมาตามใจพี่”
“ขอสารภาพ หิวจนคิดไม่ออกแล้ว” น้ำต้นเอาหัวทิ่มผนังห้องเบาๆเหมือนคนที่อับจนหนทางเต็มที แหม... กะอีแค่เลือกร้านอาหารแค่นี้ นนท์ได้แต่ส่ายหน้ากับลีลาของอีกฝ่าย
“ไปกินอาหารญี่ปุ่นร้านข้างๆนี่ไหม พี่เองก็คิดไม่ออกเหมือนกัน แต่ถ้าหิวแบบนี้พี่ว่าดีกว่าขับรถออกไปตระเวนหาร้านนะ”
“จัดมาพี่!” น้ำต้นทำท่าพยักเพยิดให้นนท์เดินตามออกมา ส่วนตัวเองสะพายเป้เตรียมพร้อมเอาไว้อยู่แล้ว ก่อนที่จะกึ่งเดินกึ่งกระโดดออกไปอย่างเริงร่าเกินเหตุ


น้ำต้นฝ่าด่านแฟนเพลงตรงชั้นล่างของตึกออกมาอย่างไม่ยากเย็นนัก แค่เขาออกปากว่าขอออกไปคุยงานสักพักแล้วเดี๋ยวจะกลับมา แฟนๆก็เปิดทางให้เขาอย่างว่าง่ายแล้ว ก็เพราะไอ้ความใสซื่อนี่แหละ แฟนเพลงทั้งรุ่นเล็กรุ่นใหญ่ถึงได้ติดเขาหนึบชนิดตามไหนตามนั่นกันเลยทีเดียว




ออฟไลน์ Namehoto

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 780
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +696/-9
ร้านอาหารญี่ปุ่นที่ว่าอยู่ในอาคารที่อยู่ถัดไปใกล้ๆ มันอาจจะไม่ได้ดูใหญ่โตอะไร แต่เรื่องรสชาติอาหาร นนท์รับประกันเป็นมั่นเหมาะ เพราะลองคออาหารญี่ปุ่นตัวยงอย่างเขาได้มาฝากท้องด้วยบ่อยๆแล้วล่ะก็ แปลว่าเชื่อถือได้แน่นอน


“อิรัชไชมาเสะ!” เสียงร้องเรียกต้อนรับแขกดังออกมาถึงหน้าร้าน ทันทีที่พวกเขาเดินเข้าไป
“ยามาดะซัง คมบังวะ” นนท์ทักทายชายวัยกลางคนที่มือง่วนอยู่กับการทำซูชิอยู่อย่างขะมักเขม้น
“อา... นนท์ซัง เกงกิ?” เจ้าของร้านที่ชื่อยามาดะ ถามไถ่ลูกค้าคนล่าสุดอย่างเป็นกันเอง
“เกงกิเดส วันนี้พาเพื่อนมาทานด้วยครับ” นนท์ว่า
“โดโสะ โดโสะ” เขาผายมือไปยังเก้าอี้หน้าเคาน์เตอร์ “นนท์ซังกับเพื่อนวันนี้จะทานอะไรดี” ยามาดะถามอย่างอารมณ์ดีด้วยภาษาไทยที่แม้จะปนสำเนียงญี่ปุ่นออกมาด้วย แต่ฟังดูก็รู้ว่าคนพูดน่าจะอาศัยอยู่ที่เมืองไทยมานานปี
“พี่นนท์ว่ามาเลยเหอะ ต้นกินอะไรก็ได้”
“งั้นขอทงคัตสึราเม็งให้ผม แล้วก็คนนี้เอาอาหารชุดพิเศษมื้อเย็นมาเลย เขาหิว” นนท์ว่ากลั้วเสียงหัวเราะ
“ไฮ่ ชตโตะมัตเตะกุดาไซ” ว่าแล้วเจ้าของร้านก็ลงมือทำอาหารที่สั่งอย่างคล่องแคล่ว
“พี่นนท์มาบ่อยเหรอร้านนี้” น้ำต้นถามอย่างสนอกสนใจ หลังจากที่มองนนท์พูดคุยกับยามาดะซังอย่างเป็นกันเอง
“บ่อยครับ” ดูนนท์จะอารมณ์ดีขึ้นมาบ้างแล้ว
“พี่พูดภาษาญี่ปุ่นได้ด้วยเหรอ”
“นิดหน่อยเอง พี่เรียนมาบ้าง แต่ไม่เก่งหรอก” นนท์หยิบตะเกียบขึ้นมาพร้อมกับค่อยๆแยกออกเป็นสองซีกอย่างตั้งอกตั้งใจ
“ตกลงพี่พูดได้กี่ภาษาเนี่ย” นนท์กันไปมองหน้าคนถามอย่างอดที่แปลกใจไม่ได้ “ถามทำไมครับ”
“ก็พี่มิ่งบอก พี่นนท์เพิ่งกลับมาจากเมืองนอก”
“อ๋อ... พี่ก็พูดภาษาอังกฤษแหละ แล้วก็ภาษาญี่ปุ่นนิดหน่อย เพราะเลือกเรียนเป็นวิชาเลือกตอนอยู่มหาวิทยาลัย”
“โห ดีจัง ต้นได้แค่ภาษาเหนืออีกภาษาเดียวเอง” น้ำต้นพูดออกมาหน้าตาเฉย
“นับด้วยเหรอน้ำต้น ภาษาเหนือเนี่ย”
“ไม่รู้อ่ะ ใครไม่นับ ต้นนับของต้นก็แล้วกัน” ดู ยังแถต่อได้อีก นนท์หัวเราะออกมาแบบทึ่งๆ
“น้ำต้นนี่ดูร่าเริงเสมอเลยนะครับ”
“จริงเหรอพี่ บางคนก็บอกต้นไม่ค่อยช่างพูดเท่าไหร่”
“ฮื้อ ไม่นะ พี่เห็นต้นคุยเก่งออก” นนท์แย้ง
“แล้วแต่คนหรอกพี่นนท์ กับบางคนต้นก็กล้าคุย ถ้าไม่คุ้นเคยกันต้นไม่ค่อยคุยเท่าไหร่” เขาว่าพลางจ้องไปที่หน้าของคู่สนทนาตรงๆ
“พี่ว่า พี่ก็ไม่ใช่คนเงียบนะ” นนท์จ้องตอบยิ้มๆ “แต่ไม่รู้ทำไม อยู่ที่นี่คนถึงบอกว่าพี่ไม่ค่อยพูดก็ไม่รู้”
“เนาะ ต้นว่าพี่เป็นคนเรียบร้อยอ่ะ แต่ต้นคุยกะพี่สนุกนะ” เขาว่าซื่อๆแบบไม่ปิดบัง


อาหารที่สั่งไปถูกยกมาเสิร์ฟร้อนๆ น้ำต้นแค่ได้เห็นก็ลืมทุกอย่าง ดวงตาเป็นประกายด้วยความดีใจ มือข้างหนึ่งถือตะเกียบ อีกข้างก็หยิบโน่นหยิบนี่ขึ้นมาชื่นชม “หอม น่ากินจังพี่นนท์ สวรรค์เลย” ว่าแล้วก็ไม่ฟังเสียง ใช้ตะเกียบคีบเนื้อย่างที่ส่งกลิ่นหอมพร้อมควันฉุยใส่ปากทันที


“อ๊อยย.. ร้อน” เจ้าตัวดียกมือโบกไปมาเป็นระวิง
“อ่ะ น้ำ... พี่กำลังจะบอกเลยว่าร้อนนะ” นนท์ว่าพลางกลั้นหัวเราะสุดชีวิต “บอกไม่ทันเลย”
“มันหิวอ่ะพี่” น้ำต้นว่าเสียงอ่อยหลังจิบน้ำเข้าไปพร้อมกับแลบลิ้นออกมา ท่าทางจะโดนลวกเข้าไปอย่างจัง
“อ่ะ ค่อยๆกิน กินสลัดไปก่อน อันนี้ไม่ร้อน” นนท์เลื่อนจานสลัดให้ ก่อนที่จะค่อยๆจัดการอาหารของตัวเองไป
น้ำต้นเคี้ยวอาหารในปากตุ้ยๆ บางครั้งก็อดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้นมองเพื่อนร่วมโต๊ะอยู่เป็นระยะ จนอีกฝ่ายเริ่มรู้ตัว ก่อนจะเอ่ยปากถาม
“มีอะไรติดหน้าพี่เหรอน้ำต้น”
“เปล่า ไม่มีครับ”
“แล้วมองหน้าพี่ทำไม พี่ชักระแวงแล้วนะนี่”


น้ำต้นหัวเราะชอบใจ ว่าตามจริง นนท์เองก็รู้สึกว่าถูกมองอยู่บ่อยๆ เด็กคนนี้จะรู้ตัวไหมนะว่า ปิดบังอะไรใครไม่ได้เลย การแสดงออกของน้ำต้นตรงไปตรงมาเสียจนนนท์เองยังนึกขำด้วยความเอ็นดู ที่สะดุดใจเขาที่สุดก็คือ น้ำต้นมีนิสัยชอบจ้องตาคู่สนทนา ผิดกับคนอื่นๆส่วนใหญ่ที่นนท์รู้จัก นนท์เคยชินกับการมองหน้าคู่สนทนาอยู่แล้ว ด้วยว่าไปเรียนอยู่เมืองนอกเมืองนามาเสียนาน แต่ก็เพิ่งจะมาเจอกับน้ำต้นนี่แหละ เขาไม่แน่ใจว่ากับคนอื่นน้ำต้นจะเป็นอย่างนี้หรือเปล่า แต่กับเขา เขารู้สึกได้


“ก็กำลังคิดว่า ไปไงมาไงเราถึงมาลงท้ายที่กินข้าวด้วยกันทุกที” น้ำต้นเอียงคอว่าเหมือนเด็กๆ
“นั่นสิ” นนท์หัวเราะออกมาเบาๆ
“โทษทีนะพี่ ต้นลืมถามว่าพี่มีนัดที่ไหนรึเปล่า อยู่ดีๆก็ลากพี่มากินข้าวแบบนี้เลย”
“อ๋อ ไม่เป็นไรครับ พี่ไม่ค่อยไปไหนกับใครเท่าไหร่หรอก บางทีทำงานเสร็จ พี่ก็ไปแวะร้านหนังสือบ้าง อะไรบ้างตามเรื่อง แล้วก็กลับบ้านเลย”
“งี้ก็ดีดิ” น้ำต้นร้องออกมาอย่างพอใจ
“ดียังไงครับ” นนท์ทำหน้าแปลกใจ
“ก็เดี๋ยววันหลังต้นชวนพี่ไปกินข้าวบ่อยๆไง”
“หน้าพี่เหมือนตัวเจริญอาหารมากขนาดนั้นเลยเหรอต้น” นนท์ทำหน้าเหรอหรา ก่อนที่น้ำต้นจะหัวเราะก๊ากออกมาเมื่อเห็นสีหน้าของคนที่แก่กว่าเขาตั้งห้าปี
“พี่นนท์นี่ตลกดีเนาะ” น้ำต้นว่าอย่างใจนึก
“พี่เนี่ยนะ มีแต่คนบอกพี่หัวช้าจะตาย” นนท์ทำเสียงขึ้นจมูกเหมือนจะยอมรับอยู่กลายๆ
ทั้งคู่ยังคงพูดคุยเรื่องสัพเพเหระกันต่อไปอย่างไม่รู้เบื่อ ดูเหมือนจะมีเรื่องให้พูดคุยกันมากมายเหลือเกินสำหรับเพื่อนใหม่ทั้งสองคน เหลือบไปมองที่นาฬิกาอีกที ก็ใกล้จะห้าทุ่มแล้ว
“เอ๊ย... ตายล่ะ นี่ดึกขนาดนี้เลยเหรอ”
“นั่นสิ” นนท์ว่า “กลับเถอะ ดึกมากแล้ว”
น้ำต้นชั่งใจอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะถามออกไปแบบไม่อ้อมค้อม
“พี่นนท์ มีต้องขึ้นไปเอาอะไรบนตึกรึเปล่าพี่”
“ก็มีเหมือนกันครับ กุญแจรถพี่อยู่ข้างบน ไม่ได้หยิบลงมาด้วย”
“แล้วอย่างอื่น กระเป๋าเงิน มือถือ”
นนท์ชูของที่ว่ามาให้น้ำต้นดู
“งั้นพี่ไม่ต้องขึ้นไป เดี๋ยวกลับบ้านเลย ต้นไปส่งเอง”
“ไม่ได้...” นนท์ประท้วง “พี่จะให้ต้นไปส่งได้ยังไง พี่ขับรถมา เดี๋ยวขับกลับเองได้”
“ก็พี่จะเสียเวลาขึ้นไปอีกทำไม ไม่รู้ล่ะ เดี๋ยวไปส่งให้ อย่าปฏิเสธเลยน่าพี่... นะ นะ ถือว่านั่งไปเป็นเพื่อนกันก็ได้” น้ำต้นออด
“แต่พี่เกรงใจ...”
พูดยังไม่ทันจบ น้ำต้นก็ชิงพูดสวนขึ้นมาทันที
“งั้นมื้อนี้ต้นให้พี่เลี้ยง แลกกับการขับรถไปส่งบ้าน”
“น้ำต้น...” นนท์ทำเสียงอ่อนใจ “ทำไมพูดเองเออเองแบบนี้ล่ะ”
“พี่นนท์ น่า... ให้ต้นไปส่งนะพี่”
นนท์ถอนหายใจ ไตร่ตรองอยู่เป็นครู่แล้วในที่สุดก็พยักหน้า
“ก็ได้ครับ แต่ที่จริงต้นไม่เห็นต้องลำบาก”
“ไม่ลำบาก อยากไปส่ง ไป... คิดเงิน”

นนท์ทำได้แค่ส่ายหน้า แต่ก็อดที่จะยิ้มออกมาอย่างอารมณ์ดีไม่ได้ ทำเอาอารมณ์ขุ่นข้องหมองใจที่มีมาตลอดทั้งวันจางหายไปเหมือนปลิดทิ้งทีเดียว


“ต้นฟังแนวนี้ด้วยเหรอ” นนท์ที่นั่งอยู่ตรงที่นั่งข้างคนขับหยิบซีดีที่วางอยู่ในรถขึ้นมาพร้อมออกปากถามอย่างสนใจ คนขับที่นั่งหน้าระรื่นขับรถอย่างสบายอารมณ์หันมองเขาแวบหนึ่ง ก่อนจะมองถนนตรงหน้าต่อไป
“แผ่นไหนพี่” นนท์อ่านออกเสียงชื่ออัลบั้มและศิลปินที่เป็นภาษาต่างประเทศออกมาอย่างคล่องแคล่ว
“อ๋อ เพิ่งลองเอามาฟังครับ ปกติต้นฟังเพลงไทยมากกว่า แต่ก็เห็นว่าอัลบั้มใหม่จะมีอาร์แอนด์บี ก็เลยคิดว่า ลองหามาฟังดูบ้างคงไม่เสียหาย ต้นยืมพี่นอมาฟังอีกทีน่ะ”
“ชุดนี้ดีมาก” นนท์พึมพำเหมือนจะพูดกับตัวเองมากกว่า “ถ้าต้นสนใจอยากฟังเพลงอาร์แอนด์บีดีๆ เดี๋ยวพี่เอามาให้ยืมฟัง ดีมั้ย” นนท์หันไปถาม
น้ำต้นหันมามองหน้านนท์ครู่หนึ่ง ก่อนจะยิ้มและหันกลับไปมองถนนดังเดิม “ก็ดีสิพี่” น้ำเสียงของเขาไม่อาจปิดบังความยินดีที่ท่วมท้นนี้อยู่ได้เลยจริงๆ


นนท์คอยบอกทางให้กับน้ำต้นอย่างไม่มีติดขัด ย่านที่บ้านของนนท์ตั้งอยู่ เรียกได้ว่าเป็นย่านของคนที่มีฐานะแท้ๆ บ้านส่วนใหญ่ในบริเวณนี้เป็นบ้านเดี่ยวหลังใหญ่ที่เรียงตัวกันอย่างมีระเบียบ มีเนื้อที่กว้างขวาง ส่วนใหญ่ประตูบ้านจะมีขนาดใหญ่ มีรั้วรอบขอบชิดอย่างดี น้ำต้นหยุดรถอยู่หน้าบ้านที่มีประตูสีขาวขนาดใหญ่หลังหนึ่งในที่สุด


“ถึงแล้วครับ เอ่อ... ต้นจะแวะเข้ามาดื่มอะไรหน่อยมั้ย” นนท์ว่าอย่างไม่รู้จะตัดสินใจอย่างไรดี “คือมันดึกแล้ว พี่เกรงใจต้น แต่ถ้าเจ้าบ้านไม่ชวนแขกเลยก็ดูไม่มีมารยาท ตามใจต้นนะครับ” เขาขมวดคิ้วย่นเข้าหากัน ราวกับว่านี่เป็นเรื่องคอขาดบาดตายก็ไม่ปาน ก่อนที่น้ำต้นจะหัวเราะออกมาอย่างนึกขัน
“ยังจะมาเกรงใจอะไรกันอีกพี่ โธ่...” น้ำต้นว่า “มันดึกแล้ว พี่นั่นแหละสะดวกรึเปล่า ต้นน่ะนอนดึกเป็นประจำ ถ้าพี่ไหว ต้นก็อยากจะเห็นบ้านพี่อยู่เหมือนกัน”
นนท์ยิ้มออกในที่สุด “ไหวสิ พี่ก็นอนดึกอยู่แล้ว ถ้าอยากแวะ ก็ยินดีต้อนรับครับ”


ยังไม่ทันจะได้ทำอะไรต่อไป ประตูบานใหญ่ก็เปิดออก คนเปิดประตูทำหน้าประหลาดใจเล็กน้อยที่เห็นรถหน้าตาไม่คุ้นเคยมาจอดอยู่หน้าบ้านเป็นนาน นนท์เลื่อนกระจกลงก่อนจะยื่นหน้าออกไปบอกแก่ชายวัยกลางคนท่าทางแข็งแรงที่ยืนงงอยู่ตรงประตู


“นนท์มากับเพื่อนครับน้าชาย ไม่ต้องตกใจ”
“อ้าวแล้วรถคุณนนท์ล่ะครับ”
“อยู่ออฟฟิศครับ พอดีวันนี้ดึก เพื่อนก็เลยอาสามาส่ง ขอบคุณน้าที่มาเปิดประตูให้ครับ”
“ไม่เป็นไรครับคุณนนท์” ว่าแล้วก็วิ่งไปเปิดประตูอย่างขะมักเขม้น


น้ำต้นขับรถเข้าไปภายในบริเวณบ้าน ถึงกับอึ้งไปกับขนาดของบ้านหลังใหญ่ที่มีเนื้อที่กว้างขวางไม่เบา เขาหันซ้ายทีหันขวาทีด้วยความตื่นตาตื่นใจกับบรรยากาศรอบๆบ้าน ก่อนที่นนท์จะบอกให้เขานำรถไปจอดตรงหน้าบ้านหลังเล็กหลังหนึ่งที่อยู่ในบริเวณเดียวกัน


“นี่บ้านพี่ หลังใหญ่เป็นของญาติๆเค้าอยู่กัน” นนท์ว่าอย่างไม่เห็นเป็นเรื่องสำคัญอะไร ก่อนที่จะเปิดประตูลงไป “เชิญครับ”
น้ำต้นเดินลงมา อ้าปากค้าง “บ้านพี่ใหญ่มากเลย” เขามองหน้านนท์ด้วยตาโตเป็นประกาย เหมือนเด็กได้เจอของเล่นไม่มีผิด


นนท์หัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนที่จะพยักหน้าให้น้ำต้นเดินตามเข้าไป นนท์ไขกุญแจเปิดประตูบ้านหลังเล็กของเขา เมื่อเดินเข้าไปสิ่งแรกที่ได้เห็นก็คือเก้าอี้รับแขกขนาดไม่ใหญ่ไม่เล็กที่จัดวางเอาไว้อย่างเป็นระเบียบ ถัดเข้าไปเป็นโต๊ะอาหารขนาดที่พอนั่งได้ 5-6 คน แต่บนโต๊ะเต็มไปด้วยข้าวของที่มีตั้งแต่อาหารแห้งและขวดโหลใส่ขนมหลากชนิด


“บ้านพี่ของเยอะนะ แต่ก็ไม่ค่อยมีอะไรหรอก ก็บ้านธรรมดานี่แหละ ต้นนั่งก่อน เดี๋ยวพี่มา” นนท์เดินเอาของเข้าไปเก็บในห้องครู่เดียวก็ออกมา พร้อมหยิบซีดีติดออกมาด้วยหลายแผ่น โดยมีน้ำต้นจับตามองทุกอิริยาบถอยู่ไม่ห่าง
“เอาน้ำอะไรมั้ย” นนท์วางซีดีไว้บนโต๊ะก่อนทำท่าจะเดินไปที่ตู้เย็น น้ำต้นคว้าข้อมือเขาเอาไว้ก่อนจะเอ่ยปากอย่างเกรงใจ
“ไม่ต้องแล้วพี่ นั่งเหอะ ต้นไม่ได้จะแวะมากวนพี่สักหน่อย” นนท์ยิ้มและนั่งลงที่โซฟาข้างๆโดยดี
“แล้วก็นี่” เขาเลื่อนกองซีดีไปวางตรงหน้าน้ำต้น “ซีดีที่พี่บอก พอดีต้นมากะทันหันก็เลยหยิบมาให้เท่านี้ก่อน เดี๋ยววันหลังพี่จะหาแผ่นอื่นๆมาให้ลองฟังอีก พี่มีเยอะเลย”
“ขอบคุณครับพี่นนท์” น้ำต้นยกมือไหว้อย่างซาบซึ้งใจจริงๆ “ที่จริงพี่ไม่เห็นต้องรีบเลย แต่ก็ขอบคุณนะครับ” นนท์ส่ายหน้าเบาๆเหมือนจะบอกว่าอย่าเกรงใจกลายๆ
“บ้านพี่ใหญ่โตมากเลย” น้ำต้นพูดซ้ำเหมือนแผ่นเสียงตกร่อง สายตามองออกไปยังประตูกระจกที่มองเห็นทะลุออกไปภายนอก แม้จะมืดแต่ก็เดาได้ไม่ยากว่า สวนด้านนอกผ่านการจัดแต่งเอาไว้เป็นอย่างดี
“บ้านญาติทางแม่น่ะ ไม่ใช่บ้านพี่... ถ้าจะบอกว่าบ้านของตัวเองจริงๆก็ต้องเป็นหลังเล็กหลังนี้มากกว่า”
“งี้ก็มีเพื่อนมาบ่อยๆอ่ะสิ”
“ไม่มีครับ”
“อ้าว” น้ำต้นทำหน้าเหมือนไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน
“น้ำต้นเป็นคนแรกที่มาบ้านพี่”
“โห... “ น้ำต้นทำเสียงยินดีอย่างไม่ปิดบัง “ดีใจนะเนี่ย”
นนท์ยิ้มแต่กลับไม่ได้สบตากับอีกฝ่าย
“พี่นนท์...”
“ครับ” เขาสะดุ้งเล็กน้อย
“งั้นต้นปล่อยให้พี่นนท์พักดีกว่า ดึกแล้ว... ต้นกลับล่ะนะ” นนท์ยิ้มไม่ว่าอะไร เขาลุกขึ้นแตะบ่าน้ำต้น
“ไป เดี๋ยวพี่เดินไปส่งที่รถครับ”
น้ำต้นถือซีดีเอาไว้ในมืออย่างทะนุถนอม เขาเดินกลับไปที่รถพร้อมกับเจ้าบ้านที่เดินมาส่งอย่างเต็มอกเต็มใจก่อนจะเปิดประตู วางซีดีในมือเอาไว้ที่เบาะข้างคนขับแทนที่คนที่เขาเพิ่งจะขับรถมาส่ง
“ขอบคุณนะที่มาส่งพี่”
“ขอบคุณเหมือนกันที่เลี้ยงข้าวต้น” คนพูดทำท่าทะเล้น นนท์ถึงกับหัวเราะออกมาเบาๆ
“ขับรถกลับบ้านดีๆ ถึงแล้วโทรบอกพี่หน่อยก็ได้นะ” น้ำต้นยิ้ม พยักหน้า กำลังจะเปิดประตูรถแล้วก็เหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้
“พี่นนท์”
“ครับ”
“ถ้าพี่มีเรื่องอะไรไม่สบายใจ พี่คุยกับต้นได้นะ”

นนท์ถึงกับประหลาดใจ

“ต้นก็ไม่รู้หรอกว่าพี่มีปัญหาอะไร แต่ต้นอยากให้พี่สดชื่นกว่านี้ แล้วถ้ามันจะทำให้พี่รู้สึกดีขึ้นได้บ้าง ก็... คุยกับต้นได้” น้ำต้นมองหน้านนท์ตรงๆ ก่อนที่จะเอื้อมมือไปแตะที่ต้นแขนนนท์เบาๆ “แค่นี้ล่ะครับ พี่พักผ่อนเถอะ” ว่าแล้วเขาก็เข้าไปนั่งและปิดประตูรถโดยไม่รอคำตอบแต่อย่างใด ก่อนที่จะเลื่อนกระจกและโบกมือลา

นนท์โบกมือตอบกลับอย่างไม่รู้ตัว


รถเก๋งสีดำขับออกไปแล้ว ประตูปิดลงแล้ว แต่นนท์ยังยืนนิ่งอยู่อย่างนั้นเป็นครู่ คำพูดของเด็กน้ำต้นยังก้องอย่างอ่อนโยนอยู่ในหู ก่อนที่เขาจะยิ้มออกมา แล้วก็เดินกลับเข้าบ้านไปด้วยหัวใจที่เต็มตื้นอย่างบอกไม่ถูก


ไม่ถึงยี่สิบนาที โทรศัพท์มือถือของนนท์ก็ดังขึ้น เขาหยิบมันขึ้นมาและทำหน้าแปลกใจยิ่งกว่าเดิมเมื่อเห็นว่าปลายสายเป็นใคร
“ถึงบ้านแล้วเหรอ ทำไมเร็วจัง” นนท์ถามอย่างแปลกใจ
“ใกล้แล้วพี่ ไม่ต้องห่วง แต่เมื่อกี้ลืมถาม” เสียงนั้นว่ามาตามสาย
“อะไรครับ”
“พรุ่งนี้พี่รีบเข้าออฟฟิศรึเปล่า”
“ไม่รีบครับ ปกติพี่เข้าเกือบเที่ยงแล้ว”
“โอเคพี่ งั้นต้นไม่โทรหาแล้วนะ ใกล้ถึงคอนโดแล้ว พี่พักผ่อนเถอะ”
“อ้าว” ยังไม่ทันพูดอะไรต่อ ปลายสายก็วางไปเสียแล้ว นนท์กดวางสายอย่างไม่เข้าใจ แต่อย่างน้อยน้ำต้นกลับถึงบ้านแล้ว เขาก็เบาใจ


เฮ้อ... ช่างเป็นวันที่ยาวนานและมีอะไรให้คิดมากมายเหลือเกิน นนท์นอนห้อยขาอยู่บนเตียง คิ้วขมวดเคร่งเครียดอย่างคนที่มีเรื่องต้องคิดอยู่มากมาย แต่เมื่อคิดถึงอาหารมื้อเย็นและแขกยามวิกาลที่เพิ่งจากไป กลับทำให้จิตใจของเขาสงบลงได้อย่างประหลาด ก่อนที่จะสลัดความคิดยุ่งเหยิงออกไป และตัดใจลุกขึ้นไปอาบน้ำในที่สุด


**************************

โปรดติดตามตอนต่อไป

Forever_ever

  • บุคคลทั่วไป
มาอ่านสองตอนรวดเลยค่ะ
น้องน้ำต้นน่ารักจัง
สดใสตลอดเวลา
อยากมีอยู่ข้างๆ ตัวบ้าง 555
มีคนน่ารักๆ อย่างน้องน้ำต้นอยู่ใกล้ๆ
อีกไม่นานพี่นนท์คงจะลืมเรื่องไม่สบายใจได้แน่ๆ

ขอบคุณพี่นาเมฮ์นะคะ
ฝันดีค่ะ

ออฟไลน์ panpan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 366
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-2
ติดใจเรื่องนี้ซะแล้ว อ่านไปยิ้มไป

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Tifa

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1474
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +417/-2
น้องน้ำต้นนี่แอบแรงได้ใจ

ไปส่งถึงบ้านแต่ก็นะ

เป็นเราไม่ได้ ส่งถึงเตียงเลย คริๆ

ออฟไลน์ warin

  • รถไฟขบวนนั้น ได้แล่นผ่านไปแล้ว
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1937
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +60/-1
    • -

ออฟไลน์ LoveAholic

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 318
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +66/-0
น้ำต้น กับ นนท์

อ่านแล้วตกหลุมรักทันทีค่ะ

เหมือนมีภาพซ้อนขึ้นมาเลย

 :o8:


ขอบคุณคนแต่ง และคนโพสต์ ค่า

ออฟไลน์ PeeYaR

  • >///<
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 882
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +92/-3
เค้าเพิ่งเห็นแหละ ว่าพี่นาเมฮ์เอานิยายมาลงด้วย
ปกติเข้าแต่เรื่องของพี่เอกะพี่ป่านเลย ไม่ค่อยได้มาดูหน้าหลักเท่าไหร่
ขอแปะไว้ก่อนนะค๊า เดี๋ยวมาตามอ่าน อิอิ

Edit

อ่านแล้วจ้าาา
ไม่เคยอ่านนิยายแนวประมาณนี้มาก่อนเลยอ่ะ
น้ำต้น น่ารักดีจัง ดูใสๆจริงใจดี
แต่บทบรรยายมันเยอะดีจังเนาะ
ถ้าทำเป็นเล่มนี่ บทบรรยายของตอนเดียวปาไปสามหน้าได้มั้ง เหอๆ
อย่าว่ากันเน้อ
เอาใจช่วยคนแต่งต่อไป
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-07-2009 09:40:05 โดย PeeYaR »

ออฟไลน์ Namehoto

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 780
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +696/-9
อีกบทแล้วนะคะ บทนี้ค่อนข้างยาวหน่อยนึง แต่ฝากให้ติดตามด้วย

เปิดตัวเอ้ไปแล้วที่ตอนที่แล้ว หนนี้จะเปิดตัวอีกตัวละครนึงบ้าง

จะเป็นใครนั้น อ่านกันเลยค่ะ

***************

เพลงรัก

บทที่ 5


ชายหนุ่มลุกออกมาจากเตียงได้พักใหญ่แล้ว เขาหันไปมองนาฬิกาบนหัวเตียง สิบโมงเช้า ถือว่าสายกว่าปกติเล็กน้อย คงเพราะเมื่อคืนมีเรื่องให้ต้องคิดมากมายเหลือเกิน ทำให้หลับไม่สนิทเสียที กว่าจะปิดตาลงได้ก็ต้องนอนกระสับกระส่ายไปมาอยู่นานทีเดียว เขาหยิบผ้าเช็ดตัวเดินเข้าห้องน้ำ ทำธุระ แปรงฟัน และตอนที่กำลังตรียมตัวจะอาบน้ำอยู่นั่นเอง เสียงเคาะประตูห้องนอนก็ดังขึ้นเป็นจังหวะเบาๆ


“ครับ แป๊ปนึงครับ” นนท์เดินไปเปิดประตู “ป้าชื่น มีอะไรครับ”

แม่บ้านท่าทางใจดีที่คอยดูแลคุณนนท์มานานยิ้มอย่างอ่อนโยนให้เขา ไม่ว่าเมื่อไรก็ตาม ในสายตาของนาง คุณนนท์ก็ยังคงเป็นเด็กน้อยที่เธอรักเหมือนลูกอยู่นั่นเอง ป้าชื่นรักในจิตใจที่งดงามและความสุภาพเรียบร้อยของชายหนุ่ม เธอผูกพันกับบ้านนี้มานานค่าที่ว่าเจ้าของบ้านคนเก่าที่สิ้นไปนั้นเลี้ยงดูอุปการะเธอมาตั้งแต่ยังเป็นสาวรุ่นจนกลายเป็นคนเก่าคนแก่ของที่นี่ และพลอยผูกพันกับคุณนนท์ที่เธอเฝ้าดูแลมาแต่อ้อนแต่ออก คุณนนท์ของเธอเติบโตขึ้นเป็นชายหนุ่มที่น่ารักแสนดี เรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบไปเสียทุกอย่าง และเธอก็ได้เฝ้าดูการเติบโตนั้นอย่างภาคภูมิใจเหลือเกิน


“คุณนนท์ขา มีเพื่อนมาหาคุณนนท์แต่เช้าเลยค่ะ” เธอว่า “ป้าชื่นว่าเขาหน้าคุ้นๆยังไงไม่ทราบค่ะ”

“เขาบอกหรือเปล่าครับว่าชื่ออะไร” นนท์ถามอย่างสงสัยขึ้นมาจริงๆ

“เขาบอกป้าว่า จะมารับคุณนนท์ไปทำงานน่ะค่ะ เห็นว่าชื่อน้ำต้น ชื่อแปลกเชียว” ป้าชื่นว่าพลางนึกถึงหน้าตาทะเล้นน่าเอ็นดูของแขกยามเช้าที่มืออ่อนตีนอ่อน อีกทั้งยังขี้อ้อน พูดจาอ่อนหวานเป็นที่สุด จนเธออดนึกเอ็นดูขึ้นมาไม่ได้ นนท์ได้แต่ทำตาโตหายสงสัยทันที แต่ก็ยังงงกับสิ่งที่ได้ยินไม่หาย

“เขาว่ายังไงนะครับป้า” นนท์ถามซ้ำอย่างไม่เชื่อหู

“เขาบอกมารับคุณนนท์ไปทำงานค่ะ เมื่อคืนคุณนนท์ไม่ได้ขับรถกลับมาหรอกหรือคะ” ป้าชื่นถาม

“เปล่าครับ พอดีดึกแล้ว เพื่อนก็เลยมาส่ง” นนท์ว่า “เอ้อ... นนท์กวนป้าชื่นไปบอกเขาให้รอนนท์ยี่สิบนาทีได้ไหมครับ เดี๋ยวนนท์ออกไป ให้เขามารอในห้องนั่งเล่นนี่ก็ได้ ขอบคุณครับป้า” ไม่ทันขาดคำชายหนุ่มก็ยื่นหน้าเข้าไปหอมแก้มป้าชื่นฟอดใหญ่ แล้วจึงปิดประตู

ป้าชื่นยิ้มอย่างเอ็นดู ก่อนจะเดินออกไปบอกแก่แขกผู้มาเยือนยามเช้าตามที่คุณนนท์บอกทุกคำชนิดไม่ขาดตกบกพร่อง

*******************

“น้ำต้น” นนท์เรียกอย่างไม่หายประหลาดใจ

“เร็วดีจังพี่นนท์ ไหนบอกยี่สิบนาที” เจ้านักร้องหนุ่มตีหน้าเซ่อ ทำทีไม่สนใจสีหน้าที่เต็มไปด้วยคำถามของเจ้าบ้าน

“นั่นมันไม่สำคัญเท่ากับว่าต้นมาที่นี่ได้ยังไง”

“ขับรถมาสิพี่ เมื่อคืนเพิ่งมา ต้นไม่ได้ลืมทางมาบ้านพี่ง่ายขนาดนั้นซักหน่อย” น้ำต้นแถไปเรื่อย

“พูดเล่นกับพี่แต่เช้าเลยครับน้ำต้น” เขาเลิกถาม ได้แต่ส่ายหน้าอย่างอ่อนใจแล้วก็นั่งลงง่ายๆอย่างไม่สนใจใคร่รู้อะไรอีก

“ต้นมารับพี่ไปทำงานไง” เขาหันไปทำตาแป๋วใส่คนที่นั่งข้างๆ

“ไม่เห็นต้องลำบากขนาดนั้นเลย” นนท์ว่าอย่างเกรงใจ

“ก็มานึกดู ต้นลืมคิดไปว่ามาส่งพี่แล้ว พี่ก็ไม่มีรถสิ แล้วจะไปทำงานยังไง ก็เลยคิดว่าต้องรับผิดชอบพี่หน่อย” น้ำต้นว่าด้วยสีหน้าเป็นจริงเป็นจัง

“โธ่... พี่ให้คนที่บ้านไปส่งตรงรถไฟฟ้าก็ได้”

“ไม่ได้สิพี่... ต้นทำพี่ลำบาก ต้นก็ต้องรับผิดชอบ” แต่หน้าตาคนพูดยียวนยิ่งนัก

“แล้วนี่ เลยต้องตื่นแต่เช้าเพื่อมารับพี่”

“ก็วันนี้ ไม่มีงานตอนเช้า มีอีกทีค่ำเลย” นนท์เถียงต่อไม่ออก เพราะดูเหมือนน้ำต้นจะเตรียมคำพูดดักเขาไว้หมดทุกทางแล้ว เขาได้แต่ยิ้มแล้วก็ส่ายหน้า

“ไปกันเถอะ”

“ไปไหนแต่เช้า”

“ไปหาอะไรดื่มหน่อย ไปกินกาแฟกันเถอะ” น้ำต้นชวนเป็นเด็กๆ

“แล้วแต่เลยครับ” นนท์ว่าอย่างยอมแพ้

“พี่ไม่รีบต้องเข้าออฟฟิศใช่มั้ย”

“ไม่รีบครับ”

“งั้นไปกินกาแฟเป็นเพื่อนต้นนะ” น้ำต้นยื่นหน้าเข้ามาใกล้นนท์ ตาเป็นประกายมองช้อนขึ้นมาอ้อนเขาเต็มที่

“พี่ยอมแล้วครับน้ำต้น” เขาชูมือยอมแพ้พร้อมกับหัวเราะออกมาเห็นฟันเรียงตัวเป็นระเบียบ เกิดมาไม่เคยเจอใครที่อ้อนได้อ้อนดีขนาดนี้มาก่อน เขาเองก็เป็นคนใจอ่อนเสียด้วย ถึงต้องเป็นฝ่ายยอมอยู่ร่ำไปแบบนี้

น้ำต้นกึ่งเดินกึ่งกระโดดออกไปอย่างร่าเริงจนน่าหมั่นไส้ เกือบชนกับแม่นมของบ้านเข้าแล้ว “อุ๊ย ขอโทษครับคุณป้า เกือบไปแล้ว” ว่าแล้วก็เข้าไปประคองป้าชื่นอย่างไม่ถือเนื้อถือตัว

“ไม่เป็นไรค่ะป้าชื่นไม่เป็นไร” นางว่าพลางหัวเราะไม่ปิดบังความเป็นคนอารมณ์ดีเอาไว้เลยแม้แต่น้อย “แล้วนี่จะออกไปกันแล้วหรือคะ ไม่ทานอะไรกันก่อนซักหน่อยเหรอคะเนี่ย” ป้าชื่นโอดครวญ

“อยากทานอยู่เหมือนกัน แต่พอดีวันนี้แขกนนท์เขารีบจ้ะป้า” นนท์พูดกับแม่นมของบ้านด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน น้ำต้นมองภาพที่เห็นด้วยหัวใจที่เต้นผิดจังหวะเล็กน้อย ก่อนจะรีบเข้าไปอ้อนป้าชื่นอย่างคนรู้งาน

“ต้นขอโทษครับป้า แต่รับรอง ถ้าป้าไม่ว่าอะไร วันหลังต้นจะมาขอชิมฝีมือป้าแน่ๆ ได้มั้ยครับป้า” นนท์เลิกคิ้วพร้อมกับยิ้มออกมาอย่างไม่เชื่อหู นี่จะเรียกว่าเนียนได้ไหมนี่...

“จริงๆนะคะคุณ ขอให้มาเถอะค่ะ ป้าชื่นจะแสดงฝีมือให้ดูจนไม่อยากจะไปทานข้างนอกอีกเลย” ป้าชื่นว่าด้วยสีหน้าจริงจัง จนสองหนุ่มอดหัวเราะออกมาไม่ได้

“อันนี้ต้องอยู่ที่พี่นนท์ด้วยแหละครับป้า”

“อ้าว เกี่ยวอะไรกับพี่ครับเนี่ย” นนท์ไม่ทันได้ตั้งตัว

“ก็ถ้าพี่นนท์เขาไม่ต้อนรับ ต้นก็มาไม่ได้ใช่ไหม ก็ต้องขึ้นกับเจ้าบ้านเขา” ว่าแล้วเจ้าตัวดีก็เดินเข้าไปโอบไหล่กอดป้าชื่นหน้าตาเฉย ดูเอาเถอะ

“โอ๊ย ไม่ต้องถามหรอกค่ะ ปกติคุณนนท์ไม่เคยพาเพื่อนมาที่บ้านเลย คุณเป็นคนแรก แสดงว่าก็ต้องเป็นเพื่อนสนิท ป้าชื่นไว้ใจได้แน่นอน” นนท์ถึงกับทึ่งกับฤทธิ์ของน้ำต้น ไม่ทันไรก็ชนะใจป้าชื่นเสียแล้ว ก่อนจะหัวเราะอย่างยอมแพ้อีกครา

“ถ้าป้าชื่นว่าอย่างนั้น นนท์คงไม่กล้าขัดป้าแล้วล่ะ“ ได้ยินอย่างนั้นเจ้าเด็กจอมเนียนถึงกับซ่อนยิ้มเอาไว้ไม่ไหว แถมยังทำท่าชูกำปั้นเล็กๆแล้วก็ดึงเข้าหาตัวอย่างสมใจอีกต่างหาก ดูเอาเถอะ รู้จักกันได้ไม่ทันไร ก็ตีสนิทกับคนในบ้านได้เสียแล้ว

“ขับรถกันระวังค่ะคุณๆ คุณนนท์ไม่ต้องล็อกห้องนะคะ เดี๋ยวป้าให้เด็กเข้าไปทำความสะอาดให้”

นนท์ยกมือไหว้อย่างนอบน้อม “ขอบคุณครับป้า งั้นนนท์ไปนะ” ว่าแล้วก็เข้าไปกอดแม่นมแล้วก็หอมอีกฟอดใหญ่

“ไปนะคร้าบบบบ” น้ำต้นยกมือไหว้พร้อมบอกลาด้วยน้ำเสียงร่าเริง

ป้าชื่นมองตามรถเก๋งสีดำมันปลาบที่ขับออกไปอย่างเอ็นดู ก่อนจะเดินไปสั่งให้เด็กในบ้านทำหน้าที่ของตัวเองอย่างที่เคยทำจนเป็นกิจวัตร



นนท์มองตามเด็กหนุ่มที่สาละวนอยู่กับการถือแก้วกาแฟส่งกลิ่นหอมฉุยมาวางไว้ให้ที่โต๊ะ ภายในร้านกาแฟในวันธรรมดาสายๆแบบนี้ มีคนมานั่งอยู่ค่อนข้างบางตา ไม่พลุกพล่าน และเจ้าเด็กจอมเนียนที่นั่งหน้าแป้นอยู่ตรงกันข้ามกับเขาก็ไม่ต้องคอยระวังสายตาใครด้วย อันที่จริงน้ำต้นไม่ใช่คนที่จะมาคอยระวังอะไรสักเท่าไหร่อยู่แล้ว เพราะความซื่อและตรงไปตรงมาตามธรรมชาติของเจ้าตัวนี่เอง ที่บางครั้งทำให้ถึงกับลืมไปว่าเด็กหนุ่มคนนี้เป็นถึงนักร้องชื่อดัง

“อะไรครับน้ำต้น” นนท์เหลือบไปเห็นสายตาที่จ้องมาที่เขาแบบมีเลศนัยเสียจนอดถามออกมาไม่ได้

เจ้าเด็กตาแป๋วไม่ว่าอะไรนอกจากยิ้มสำทับ น้ำต้นเอาคางเกยกับโต๊ะ สายตายังช้อนมองไปที่นนท์ไม่เลิก

“อะไรกัน” นนท์หัวเราะ ชักเริ่มทนสายตาคู่นี้ไม่ได้แล้วเหมือนกัน

“ปล่าววววว” อีกฝ่ายยานคางตอบ

“แล้วไหน คุยกันหน่อยซิ มันเรื่องอะไรต้องลำบากไปรับพี่ด้วย”

“ต้นก็บอกไปแล้วไง”

“ไม่ใช่ละ เอาจริงๆสิ”

“เอาจริงๆเหรอ”

นนท์พยักหน้าพลางเลิกคิ้วขึ้นอย่างสงสัย

“ก็... ไม่รู้สิพี่ แค่รู้สึกอยากไปรับพี่นนท์ ก็เลยไป แค่เนี้ย”

“แค่เนี้ย?” นนท์ถามแบบไม่เชื่อหู

“แล้วเมื่อคืนที่โทรมาอ่ะ”

“ก็นึกได้ว่า ตอนเช้าพี่นนท์คงไม่มีรถไปทำงาน ก็เลยโทรไปถาม จะได้กะเวลามารับถูกไง”

“ฮื้อ” นนท์ทำเสียงขึ้นจมูก เด็กคนนี้มันอะไรกัน

“เอาน่าพี่ไม่ต้องสนใจหรอก ต้นอยากไปก็ไป แค่นี้เอง ไม่เห็นต้องคิดอะไรมาก อีกอย่างพี่ๆเค้าก็บอกว่าถึงยังไงเราก็ต้องทำงานด้วยกัน ทำความรู้จักกันไว้ไม่เห็นเสียหาย” น้ำต้นเริ่มตอบแบบยียวนเสียแล้ว

นนท์เอียงคอเหมือนจะประเมินสีหน้าของคนพูดว่าหมายความอย่างไรแน่


“พี่นนท์แต่งเพลงอย่างเดียวเลยเหรอตอนนี้” น้ำต้นชวนคุย

“ก็... ไม่เชิงครับ” นนท์จิบกาแฟด้วยท่าทีที่ผ่อนคลายขึ้น

“ไม่เชิง ก็แปลว่าทำอย่างอื่นด้วย”

“ก็ ทำงานแปลด้วยนิดๆหน่อยๆ” นนท์ว่าอย่างไม่คิดว่าเป็นเรื่องใหญ่อะไร

“แสดงว่า ภาษาพี่นี่ต้องเข้าขั้นเทพแล้วล่ะ” น้ำต้นว่าด้วยสีหน้าที่แสดงความทึ่งออกมาอย่างไม่ปิดบัง “พี่แปลอะไรบ้าง”

“ก็ พ็อกเก็ตบุ๊กอะไรประมาณนี้ แล้วก็มีเขียนอะไรก๊อกแก๊กไปเรื่อย พี่ยังไม่เก่งขนาดนั้นหรอก” เขาถ่อมตัว

“ไม่จริงอ่ะ ตอนพี่มิ่งชม พี่นนท์ก็ว่าอย่างนี้” น้ำต้นว่าตาเป็นประกาย “พี่ไปอยู่มืองนอกมากี่ปีครับ”

“ประมาณสิบปีนะ ถ้าจำไม่ผิด”

“แล้วทำไมภาษาไทยพี่เก่งจังล่ะ ต้นเห็นคนที่ไปอยู่เมืองนอกนานๆแล้ว กลับมาอย่าว่าแต่เขียนเลย แค่พูดก็ไม่ชัดละ แต่พี่นี่นอกจากจะไม่ลืมแล้วยังเอามาใช้ได้ด้วย” เขาชมซึ่งๆหน้า ทำเอาอีกฝ่ายถึงกับยิ้มเห็นฟันสวย

“ไม่ขนาดนั้นหรอกครับ แล้วน้ำต้นล่ะ ทำไมถึงอยากมาเป็นนักร้องครับ”

“ตอบแบบสมัยนิยมเลยนะ ผมชอบร้องเพลงมาตั้งแต่เด็กแล้วครับ” เขาทำมือเหมือนถือไมโครโฟนและเปลี่ยนป็นสีหน้าขึงขังทันที ทำเอานนท์ถึงกับหัวเราะชอบใจออกมา อีกฝ่ายจึงหัวเราะออกมาด้วย

“เอาจริงๆสิครับ” นนท์ว่า

“จริงๆพี่นนท์ ต้นชอบร้องเพลงมาก จำความได้ก็ร้องเพลงมาตลอด งานโรงเรียนบ้าง งานอะไรบ้าง มีโอกาสเป็นต้องกระโดดขึ้นไปร้องเพลงตลอดเลย พ่อกับแม่เค้าไม่ได้ว่าอะไร ยิ่งพ่อ พอเห็นเราชอบ ก็สนับสนุน อยากเรียนอะไรก็ให้เรียน อยากเล่นอะไรก็ซื้อให้เล่น”

“อย่างนี้ ต้นก็เล่นเครื่องดนตรีได้หลายอย่างสิ” นนท์ทึ่ง

“หลายอย่าง แต่ไม่น่าจะก่งซักอย่างนะพี่” น้ำต้นว่าอย่างติดตลก “ที่ถนัดกว่าอย่างอื่นคงเป็นกีตาร์ล่ะมั้ง นอกนั้นก็งูๆปลาๆ” เด็กหนุ่มว่าอย่างไม่เห็นเป็นเรื่องสำคัญ

“เก่งนะ”

“พอจบมอหก ก็เออ... เอาไงดี ความรู้สึกอยากทำตรงนี้ให้จริงจังไปเลยมันก็เกิดขึ้นมาเฉยๆ ก็เลยตัดสินใจเดินเข้ามาที่นี่เลย”

“แล้วต้นเคยไปไหนไกลบ้านมาก่อนรึเปล่า”

“ไม่เคยพี่ พ่อกับแม่ยังตกใจเลย เค้าก็ถามแน่ใจแล้วเหรอ เราก็แน่ใจ” น้ำต้นหยุดเหมือนพยายามที่จะคิดทบทวนถึงวันเวลาเก่าๆ “แต่พอมาจริงๆอ่ะ คิดถึงพ่อกับแม่มากเลย แต่เราก็ตัดสินใจแล้ว ไม่อยากให้เค้าผิดหวังกับเรา เพราะเราเลือกของเราเอง”

“แล้วมาอยู่คนเดียวทั้งที่ไม่เคยอยู่อย่างนี้ ไม่เหงาเหรอต้น”

“เหงาสิพี่” น้ำต้นว่าในขณะที่สายตาไม่ได้ละจากคนที่นั่งอยู่ตรงหน้าไปไหน “ตอนนี้ก็เหงา”

เกิดความเงียบขึ้นระหว่างคนทั้งสอง ราวกับรอบตัวไม่มีอะไรเคลื่อนไหวอยู่ชั่วอึดใจหนึ่ง

“แต่ก็ชินแล้วนะ” เสียงน้ำต้นดังทำลายความเงียบขึ้น นนท์สังเกตเห็นรอยยิ้มกว้างเปิดเผยอย่างคนมองโลกในแง่ดี ก่อนที่จะรู้สึกถึงหัวใจที่เต้นผิดจังหวะของตัวเอง อีกแล้ว “เราก็อยู่มาได้ตั้งสองสามปี อีกอย่าง แม่เค้าก็แวะมาหาบ้างเหมือนกัน ไม่ถึงกับเหงาอะไร งานก็เยอะด้วย... บางทีลืมเหงาไปเลยก็มี” น้ำต้นหัวเราะเบาๆ

นนท์มองนาฬิกาบนข้อมือ ก่อนจะพูดตัดบทอย่างนึกเสียดาย “พี่ต้องเข้าออฟฟิศแล้วล่ะครับน้ำต้น” เขาว่าด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

“โอ๊ย จะเที่ยงแล้ว ขอโทษทีพี่นนท์” เจ้าตัวกระวีกระวาดหยิบกระเป๋าขึ้นมา เตรียมพร้อมที่จะลุกเต็มที่ นนท์ถึงกับหัวเราะออกมาด้วยความเอ็นดู

“ไม่เป็นไร พี่ไม่ได้รีบขนาดนั้น ที่จริงเวลาเข้างานของพี่มันค่อนข้างไม่แน่นอนแล้วก็อิสระกว่าที่คิดเยอะนะ” นนท์ว่าอย่างสบายอารมณ์

“แล้วไป กลัวพี่ลำบากเพราะโดนต้นลากไปลากมา” เจ้าตัวว่าออกมาหน้าตาเฉย นนท์ได้แต่ส่ายหน้าหัวเราะเหมือนจะบอกว่า เขาไม่ได้ลำบากอะไรเลยสักนิด จนอีกฝ่ายเองก็อดยิ้มตอบไม่ได้เหมือนกัน

ออฟไลน์ Namehoto

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 780
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +696/-9
กว่าจะถึงบริษัทก็เที่ยงกว่าเข้าไปแล้ว นนท์ไม่นึกอยากทานมื้อกลางวันอีก จึงตัดสินใจเข้าออฟฟิศทันที เด็กน้ำต้นเดินขึ้นลิฟต์พร้อมๆกับเขา ก่อนจะบอกลากันเมื่อลิฟต์หยุดอยู่ตรงชั้นยี่สิบ

นนท์รู้สึกแปลกใจตัวเองเล็กน้อยที่ความตั้งใจว่าจะกลับมาทำงานอะไรนิดหน่อยที่โต๊ะจางหายไปอย่างง่ายดาย เขาทำได้แค่เพียงนั่งคิดอะไรเรื่อยเปื่อยและใจลอยเมื่อคิดถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น ตั้งแต่เมื่อวานตอนเย็นเป็นต้นมา เหมือนเขาแทบจะไม่ได้ห่างเด็กน้ำต้นนั่นเลยก็ว่าได้ ไม่เพียงแต่น้ำต้นจะเริ่มเข้ามาสนิทสนมกับเขา แต่ตัวเขาเองก็นับได้ว่าเปิดใจกับน้ำต้นมากอย่างที่ตัวเองก็ไม่คาดคิดมาก่อนเช่นกัน ทำไมนะ เขาสงสัย แต่ก็อีกเหมือนกันที่ตั้งแต่เกิดมา เขาเองก็ยังไม่เคยพบกับใครที่ใสซื่อและจริงใจกับความรู้สึกตัวเองเหมือนน้ำต้นมาก่อนเช่นกัน น้ำต้นมีอะไรมาทำให้เขาได้แปลกใจอยู่เรื่อยๆ นึกจะพาเขาไปไหนก็พาไป นึกอยากจะพาเข้าไปส่งบ้านหรือมารับก็ทำ นึกอยากจะทำอะไรก็ทำ และทำในแบบที่เขาเองมักจะปฏิเสธไม่ได้เสียด้วย ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน แต่เรื่องเพียงแค่นี้กลับทำให้เขารู้สึกสบายใจได้อย่างไม่น่าเชื่อ นึกแล้วก็ให้ประหลาดใจได้อีก

นนท์นั่งปล่อยความคิดให้ล่องลอยอยู่เป็นนาน ก่อนจะหยิบสมุดโน้ตที่เขามักจะจดอะไรต่อมิอะไรเอาไว้ในนั้นเสมอ ขึ้นมา ใช้ความคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงเขียนอะไรลงไปเงียบๆ และไม่ได้สนใจอะไรรอบข้างอีก


อันที่จริงวันนี้น้ำต้นไม่จำเป็นต้องเข้ามาที่บริษัทเลยสักนิด งานเพียงชิ้นเดียวที่เขาต้องทำในวันนี้ก็คืองานโชว์ตัวที่กว่าจะเริ่มก็ค่ำไปแล้วโน่นล่ะ แต่ด้วยความที่อยากจะหาเรื่องไปรับนนท์มาทำงาน เขาจึงทำเนียนว่าตัวเองก็มีงานต้องเข้ามาคุยเหมือนกัน ดังนั้นพอออกมาจากลิฟต์ได้ไม่ทันไร ก็โดนเมษทักเสียก่อนแล้ว

“น้ำต้น วันนี้ไม่มีงานในนี้นี่ ทำไมมาได้ล่ะเรา” เมษถามอย่างไม่ได้เจาะจงจะเอาคำตอบอะไร แต่ทำเอาอีกฝ่าย อึกอักขึ้นมาเสียอย่างนั้น ดูเอาเถอะ เจอกับใครไม่เจอ ต้องมาเจาะจงเจอกับคนที่รู้คิวของเขาหมดเสียด้วย

“เปล่าพี่เมษ พอดี...” เมษเลิกคิ้วขึ้น ก่อนจะหัวเราะ “ปัดโธ่... พี่ไม่ได้จะคาดคั้นอะไรสักหน่อย” เธอแตะไปที่ไหล่ของน้ำต้นเบาๆอย่างเป็นกันเอง “เอ๊า เข้ามา เข้ามา ไหนๆก็ไหนๆ มาเช็กคิวงานกันหน่อยก็แล้วกัน กินอะไรมาหรือยัง” เมษถาม

“ก็นิดหน่อยครับพี่ แต่คงไม่กินอะไรแล้ว” น้ำต้นยิ้มเมื่อนึกถึงกาแฟเมื่อตอนสายที่ดื่มเข้าไป “คุยกันเลยก็ได้ครับพี่เมษ” ว่าแล้วก็เดินหายเข้าไปในพาร์ทิชั่นของเมษนั่นเอง


“ฮัลโหล” นนท์รับสายโดยที่ไม่ทันมองด้วยซ้ำว่าปลายทางเป็นใคร “ครับ?” เขาว่าเมื่อปลายสายไม่ได้ทักทายกลับมา

“พี่นนท์” เสียงคุ้นหูดังขึ้น

“น้ำต้น? มีอะไรครับ” นนท์ถามอย่างแปลกใจ เพิ่งแยกกันได้ไม่ถึงสองชั่วโมงแท้ๆ

“ว่างปะพี่” น้ำต้นถามกระตือรือร้น

“พี่ก็ไม่ได้ยุ่งอะไรนะ มีอะไรรึเปล่าครับ”

“เดี๋ยวลงไปหานะ” ยังไม่ทันที่อีกฝ่ายจะตอบรับว่าอย่างไร คนที่โทรมาก็วางสายไปเสียแล้ว

“อะไรกัน” นนท์ทำเสียงขึ้นจมูกเหมือนทุกครั้งที่ลืมตัว




“พี่ แถวนี้มีกีตาร์หรือเปล่า” น้ำต้นไม่พูดพล่ามทำเพลง ทันทีที่เดินเข้ามาถึงโต๊ะทำงานของชายหนุ่มที่กำลังง่วนเขียนอะไรอยู่สักอย่างบนโต๊ะ

“หือม์” นนท์เงยหน้าขึ้นมองอย่างไม่ทันตั้งตัว

“กีตาร์ไงพี่” น้ำต้นยืนยัน

“อ๋อ... ในห้องเล็กน่ะ” นนท์ลุกขึ้นยืนพาน้ำต้นเดินไปห้องเล็ก ที่ดูกลายๆเหมือนจะเป็นห้องประชุมธรรมดา แต่มีเครื่องดนตรีวางอยู่หลายชิ้น ไม่ว่าจะเป็นเปียโน กีตาร์ทั้งกีตาร์โปร่งและกีตาร์ไฟฟ้า เบส และยังมีเครื่องเป่าหลายชิ้นวางอย่างเป็นระเบียบอยู่มุมหนึ่ง

“โห มีห้องอย่างนี้อยู่ด้วยเหรอพี่” น้ำต้นถามอย่างตื่นเต้น

“ไม่มีหรอก ถ้าพี่มิ่งไม่อยากได้แบบนี้” นนท์ว่า “ปกติถ้าอยากเข้ามาเล่นอะไร หรืออยากจะแต่งเพลง หรือคิดอะไรไม่ออก พวกพี่ก็จะเข้ามาทำอะไรก๊อกๆแก๊กๆกันในนี้แหละ”

“ยอดไปเลยพี่นนท์” น้ำต้นว่าพลางเดินสำรวจเครื่องดนตรีชิ้นนั้นทีชิ้นนี้ทีอย่างชอบใจ เหมือนเด็กที่ได้ของเล่นชิ้นใหม่ก็ไม่ปาน

“ว่าแต่น้ำต้นเถอะครับ มีอะไรหรือเปล่าเนี่ย” นนท์ถามอย่างสงสัยเต็มแก่

“พอดีเลย... เล่นดนตรีกันไหมพี่นนท์”

“หา...” นนท์อ้าปากค้างแบบไม่เชื่อหูตัวเอง

“เล่นดนตรีมั้ย” น้ำต้นว่าซ้ำ “ต้นเบื่อๆ ไม่มีอะไรทำแล้ว ห้องนี้ก็มีครบ พี่นนท์เล่นเปียโน เดี๋ยวต้นเล่นกีตาร์เอง”

“เฮ้ย... จะดีเหรอน้ำต้น”

“เค้าห้ามเล่นเหรอพี่”

“เปล่า ก็ไม่ได้ห้าม”

“ก็นั่นไง พี่ก็ไม่ได้ยุ่งด้วยใช่มั้ยล่ะ”

“ก็ไม่ยุ่ง”

“งั้นมาเล่นกัน” น้ำต้นพูดเองเออเอง “นะพี่นนท์ นะครับ นะ นะ นะ” เอาอีกแล้วไง นนท์หันไปมองหน้าเจ้าของเสียงออดอ้อนพลางเอียงคอราวกับจะประเมินอะไรบางอย่าง แล้วเขาก็แพ้ให้กับดวงตาหวานกลมโตคู่นี้อีกจนได้
“งั้นก็ได้”

“เย่!!!!!!!!!!!”

“แต่พี่ไม่รับประกันนะว่าจะเล่นได้ดีรึเปล่า” นนท์ว่าอย่างไม่รู้จะพูดอะไรดีแล้ว

“ดีสิ ต้องดีอยู่แล้วล่ะพี่”

เจ้าเด็กตัวแสบเดินอย่างร่าเริงไปหยิบกีตาร์ขึ้นมาลูบๆคลำ นนท์เดินไปที่เปียโนสีดำที่ตั้งอยู่ตรงมุมห้อง เขานั่งลงบนเก้าอี้บุนวมตัวยาว ก่อนที่จะหันไปมองเจ้านักร้องหนุ่มที่แสนจะเอาแต่ใจตัวเองอย่างยิ่ง แต่ไม่รู้เป็นเพราะอะไรเขากลับไม่เคยลุกขึ้นมาประท้วงได้สำเร็จเลยสักครั้ง เมื่อเลือกกีตาร์ตัวที่พอใจที่สุดได้แล้ว น้ำต้นก็เดินมาหานนท์ สายตากวาดไปรอบห้องเหมือนมองหาอะไรบางอย่าง

“หาอะไรเหรอน้ำต้น”

“เก้าอี้ ไม่มีเลยซักตัว” แล้วเหมือนจะฉุกใจขึ้นได้

“พี่นนท์กระเถิบหน่อย” นนท์ทำตามอย่างว่าง่าย ก่อนจะรู้สึกตัวก็หันไปเห็นน้ำต้นนั่งปุลงมาบนเก้าอี้เปียโนของเขาเสียแล้ว “อย่างนี้แหละ พอดีเลย”
นนท์หันไปมองหน้าที่อยู่ห่างเขาไม่กี่นิ้ว อีกฝ่ายหันมามองตอบพลางส่งยิ้มมาให้

“พี่นนท์”

“ครับ”

“เล่นอะไรก็ได้ให้ต้นฟังหน่อย ยังไม่เคยเห็นพี่นนท์เล่นเปียโนเลย” น้ำต้นว่า
“เอาเพลงอะไรดีล่ะ” นนท์นั่งคิดอยู่สักพัก “เอาเพลงนี้ก็แล้วกัน” ว่าแล้วนนท์ก็ร่ายมนตร์ลงบนเปียโนหลังใหญ่ เสียงของมันก้องกังวาน เพลงที่เล่นออกมานั้นน้ำต้นไม่รู้จัก แต่สำเนียงของมันช่างไพเราะอ่อนหวานอย่างยิ่ง เขามองนิ้วเรียวยาวที่พรมอยู่บนคีย์สีขาวสลับดำอย่างทึ่งจัด ขณะเดียวกันก็เหลือบมองไปที่ใบหน้าของคนเล่นที่ตอนนี้ดูจะอินกับบทเพลงที่เล่นเหลือเกิน นนท์หลับตาและยิ้มน้อยๆให้กับบทเพลงที่ตัวเองบรรเลงออกมาอย่างตั้งใจ ราวกับอยากจะให้คนข้างตัวได้ดื่มด่ำมันไปพร้อมๆกัน น้ำต้นไม่รู้หรอกว่าฝีมือการเล่นเปียโนระดับนี้จะเรียกว่าเก่งแค่ไหน แต่ที่รู้อยู่เต็มอกก็คือ เพลงที่นนท์เล่นมันช่างไพเราะจับใจเขาเหลือเกิน

นนท์กดไปที่โน้ตตัวสุดท้ายก่อนที่จะยกมือออกมา พร้อมกับหันไปมองน้ำต้นที่สายตายังคงจับจ้องอยู่ที่เสี้ยวหน้าของเขาอย่างลืมตัว

“เพราะมากเลยพี่นนท์ เพลงของใครครับ”

“พี่แต่งเองครับ ไม่มีเนื้อหรอกนะ พี่แค่แต่งเอาไว้เล่นกับเปียโนเท่านั้นเอง”

“ต้นชอบมากเลยพี่” น้ำต้นออกปากชมอย่างไม่ปิดบัง นนท์ยิ้มอย่างขัดเขินเมื่อถูกชมซึ่งๆหน้า อันที่จริงเขายังไม่เคยเล่นเพลงนี้ให้ใครฟังมาก่อนเลยด้วยซ้ำ น้ำต้นเป็นคนแรกที่ได้ยินมัน และเขาออกจะนึกแปลกใจอยู่เหมือนกันว่า ทำไมถึงได้ยอมเล่นเพลงนี้ให้น้ำต้นฟัง

สองชั่วโมงต่อจากนั้น บทสนทนาที่ออกจากปากของชายหนุ่มทั้งสองคนแทบจะเรียกได้ว่าน้อยมาก มีแต่เพียงเสียงเปียโนและกีตาร์เท่านั้นที่ทำหน้าที่สื่อสารระหว่างกันแทน ยิ่งเล่นก็ยิ่งดูเหมือนว่าเสียงของมันช่างสอดประสานรับกันอย่างลงตัว สองคนสลับกันร้องเพลงคุ้นหูด้วยกันได้อย่างไม่รู้สึกขัดเขินอันใด เมื่อฝ่ายหนึ่งร้อง อีกฝ่ายก็จะเล่นเครื่องดนตรีของตัวเองไป เมื่อถึงท่อนที่ต้องร้องประสานกัน ต่างฝ่ายต่างก็เหมือนจะรู้ว่าควรจะร้องคีย์ไหนอย่างไร บางครั้งก็มีเล่นผิดๆถูกๆ แต่ไม่มีใครเห็นเป็นเรื่องสลักสำคัญหนักหนา หนักๆเข้าก็หัวเราะไปกับความผิดพลาดนั้นเสีย เป็นที่สนุกสนานกันไป

“ว้า พี่” น้ำต้นมองที่นาฬิกาก่อนที่จะบ่นออกมาอย่างเสียดาย “เดี๋ยวต้นต้องไปงานแล้วอ้ะ“ น้ำเสียงบ่งบอกได้ชัดว่ารู้สึกขัดใจอย่างยิ่ง ที่ช่วงเวลานี้กำลังจะจบลงแล้ว

“ก็ไปงานก่อนเถอะ ชักช้าจะยิ่งสายนะ” นนท์ยิ้มอย่างเอ็นดูให้กับท่าทางหงุดหงิดเล็กๆนั้น

“ขับรถไปไม่ทันแน่นอน สงสัยต้องขึ้นรถไฟฟ้าแล้ว” น้ำต้นบ่นกระปอดกระแปดไปตามเรื่อง สีหน้าเห็นได้ชัดว่ายังไม่อยากไปแม้แต่น้อย

“ไปได้แล้วน้ำต้น วันหลังอยากมาเล่นเมื่อไหร่ก็มาได้ เปียโนกับกีตาร์นี่ไม่ได้จะหนีไปไหนซักหน่อย” พี่เองก็ไม่ได้หนีไปไหน นนท์เกือบหลุดปากออกไปแล้วก่อนที่จะยั้งเอาไว้ได้ทัน

“จริงเหรอพี่นนท์ ต้นมาเล่นได้อีกจริงๆนะ” ใบหน้าที่ไม่สบอารมณ์เมื่อครู่อารมณ์ดีขึ้นทันควัน เด็กหนอเด็ก ช่างแสดงออกทางสีหน้าชัดเจนดีเหลือเกิน

“ได้” นนท์ยิ้มอย่างเอ็นดู พลางยกมือขึ้นขยี้ผมเจ้าเด็กแสบอย่างมันเขี้ยว น้ำต้นที่ไม่ทันตั้งตัวหัวเราะไปกับกริยาของนนท์ ในหัวใจรู้สึกชื่นมื่นขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก “พี่ว่าต้นไปเถอะ”

“ครับ” น้ำต้นเดินถือกีตาร์ไปวางไว้ตรงที่เดิมของมัน เขาเดินไปที่ประตูก่อนที่จะเปิดมันอย่างอ้อยอิ่ง แล้วก็ชะงักไปนิดหนึ่งเหมือนฉุกคิดอะไรขึ้นมาสักอย่าง แต่ลังเลว่าจะพูดออกไปดีไหม เสียงเปียโนยังดังขึ้นเบาๆอยู่เบื้องหลัง น้ำต้นหันกลับไปมองชายหนุ่มที่ยังคงนั่งอยู่ที่เดิมและไม่มีทีท่าว่าจะลุกออกไปจากเปียโนหลังนั้น

“พี่นนท์”

“ครับ” นนท์หันกลับไปตามเสียงที่เรียกชื่อเขาอย่างแปลกใจ

“เดี๋ยวต้นโทรหาพี่อีกทีนะ”

นนท์ส่งยิ้มให้กับอีกฝ่ายก่อนที่จะพยักหน้า “ครับ” ดูท่าเขาจะเริ่มเคยชินกับการรับปากเด็กน้ำต้นนี่ไปเสียแล้วจริงๆ

น้ำต้นจึงตัดใจเดินออกไป โดยที่ไม่รู้ตัวว่ามีรอยยิ้มเปื้อนอยู่บนใบหน้าอย่างนั้นไปตลอดทาง

น้ำต้นวิ่งขึ้นรถไฟฟ้าไปอย่างรวดเร็ว เขามัวแต่เล่นกีตาร์เพลินเสียจนลืมเวลาไปเลย แม้จะรู้ว่าทันเวลาแน่นอน แต่ด้วยความที่เป็นคนรับผิดชอบต่องานเสมอ เขาควรจะต้องไปถึงก่อนเวลาเพื่อที่จะต้องไปแต่งหน้าเสียก่อน แม้จะต้องรีบเร่งเพียงใด แต่ความรู้สึกอิ่มเอมที่อยู่ในใจกลับไม่ได้ลดหายลงไปแต่อย่างใด เขาไม่ได้สนุกกับการเล่นดนตรีแบบนี้มานานมากแล้ว ว่างเมื่อไรก็ลุกขึ้นมานั่งเกากีตาร์คนเดียวทุกทีไป ก็สนุกดีหรอกนะ แต่บอกได้เลยว่า ไม่สนุกเท่ากับเล่นสองคนแน่นอน

ใช้เวลาเพียงไม่นาน รถไฟฟ้าก็พาเขามายังสถานีปลายทาง ที่เรียกได้ว่าเป็นย่านที่เหมือนกับรวบรวมห้างสรรพสินค้าชื่อดังขนาดใหญ่มากมายเอาไว้ด้วยกัน เขาเร่งฝีเท้าไปยังจุดที่มีการจัดงาน ทีมงานแจ้งเอาไว้แต่เนิ่นๆแล้วว่า ให้เดินเข้าไปด้านหลังของเวทีได้เลย น้ำต้นโล่งใจที่เขาไปถึงทันเวลา ทันเวลาน่ะทันอยู่แล้วล่ะ เขาแค่ต้องมาก่อนเวลาสักหน่อยเสมอเท่านั้นเอง

“สวัสดีครับ”

“น้องต้นมาแล้ว” เสียงทีมงานและช่างแต่งหน้าดังขึ้นตะเบ็งเซ็งแซ่ จนไม่แน่ใจว่าเป็นเสียงแสดงความยินดีที่เขามาทันเวลาหรือเป็นเสียงที่แสดงความชื่นชมเขาอยู่กันแน่เหมือนกัน น้ำต้นยกมือไหว้ทุกคนอย่างนอบน้อมและเป็นกันเอง มีเสียงทักทายเขาดังขึ้นจากมุมโน้นบ้างมุมนี้บ้าง เขาก็ทักทายตอบอย่างร่าเริงและไม่ถือตัวเช่นกัน

“นี่มีใครมาแล้วบ้างครับ”

“ก็มีน้องต้นแล้วก็น้องไหมค่า” ช่างแต่งหน้าร่างชายใจสาวนางหนึ่งตอบอย่างร่าเริงผิดธรรมชาติ “ที่เหลือ ก็ต้องขอเลตกันเป็นธรรมเนียมนิดนึง ไม่รู้ทำไม ไม่เข้าใจ” เธอจีบปากจีบคอว่า

ต้นหันไปมองดาราสาวอีกคนที่ถูกพาดพิงถึงเมื่อครู่ เธอเห็นเขาผ่านกระจกเงาบานใหญ่ ก่อนจะยิ้มให้ เด็กหนุ่มยิ้มตอบกลับไป

เขาไม่ได้เจอหน้าไหมมานานพอสมควรแล้ว หลังจากที่เขาง่วนอยู่กับการทำงานอัลบั้มชุดแรก ไหมก็ขอแยกทางกับเขา เด็กสาวเป็นรุ่นน้องที่เรียนการร้องเพลงมากับเขานี่แหละ เธอเข้ามาเรียนก่อนแล้วได้มาทำความรู้จักกับเขาที่แม้เข้ามาทีหลัง แต่ด้วยวัยแล้วน้ำต้นก็ยังถือว่าอาวุโสกว่าไหมอยู่สองปี ถึงอย่างนั้นทั้งคู่กลับยินดีที่จะเรียกชื่อของกันและกันเพื่อแสดงถึงความเป็นเพื่อนมากกว่า ตอนที่เรียนอยู่ด้วยกันทั้งคู่สนิทสนมกันมาก จนเพื่อนร่วมคลาสเข้าใจเหมือนๆกันว่า คู่นี้คบหากันเป็นแฟนอยู่ แม้จะยังเด็ก แต่ไหมก็ถือเป็นความรักครั้งแรกของน้ำต้น เขารักเธอ แม้ตอนนั้นจะยังไม่แน่ใจนักว่ารักในความคิดของเขาคืออะไรแน่ แต่เขาเชื่อว่าความรู้สึกที่เขามีต่อเธอน่าจะเรียกว่ารักได้เหมือนกัน

แต่ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป เมื่อต้นถูกเรียกตัวให้เข้าไปคุยเรื่องการทำเพลงก่อนไหม แม้ใบหน้าจะแสดงความยินดี แต่ลึกๆในใจแล้วเธออดคิดไม่ได้ว่าทำไมน้ำต้นที่เข้ามาเรียนหลังเธอหลายปี จึงได้รับโอกาสที่ดีรวดเร็วเช่นนี้ เธออิจฉาน้ำต้น ยิ่งเห็นน้ำต้นต้องวุ่นอยู่กับการทำงานอัลบั้มคราวใด ความรู้สึกต่อต้านก็กัดกร่อนจิตใจเธอมากขึ้นเรื่อยๆ น้ำต้นที่ต้องวิ่งไปวิ่งมาระหว่างการนัดพบกับไหมและการทำงาน ยิ่งสับสนหนักขึ้นไปอีกที่คนที่เขาคิดว่าน่าจะยินดีกับเขาไม่แพ้พ่อและแม่ กลับดูอารมณ์เสียและไม่พอใจเขาไปทุกเรื่องอยู่ตลอดเวลาจนเขาเหนื่อยหน่ายและอ่อนล้าเป็นอย่างยิ่ง ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับไหมไม่ช่วยทำให้ทุกอย่างง่ายขึ้นเลย น้ำต้นไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างเขาและเธอ สุดท้ายมันก็จบลง เมื่อไหมระเบิดอารมณ์ใส่เขาถึงความรู้สึกอัดอั้นและขัดเคืองใจกับโอกาสที่เขาได้รับ ในขณะที่เธอกลับถูกมองข้าม

“มันไม่แฟร์เลยต้น” เธอว่าทั้งน้ำตา ขณะที่เขาได้แต่นิ่งอึ้งไปกับคำพูดที่เขานึกไม่ถึง “โอกาสมันควรจะเป็นของไหมแท้ๆ แต่ต้นกลับได้มันไป ไหมอดคิดไม่ได้นะว่าถ้าไม่มีต้น ไหมอาจจะได้โอกาสนั้นมาก็ได้”

เขาอยากบอกเหลือเกินว่า ไม่ใช่ว่าโอกาสจะตกถึงใครก่อน แต่มันเป็นเรื่องของความพร้อมมากกว่า ในวันที่นรเศรษฐ์บอกว่าเขาพร้อมแล้ว เขาก็ไม่ลืมที่จะถามไปว่า แล้วคนอื่นเล่าทำไมจึงไม่ได้รับโอกาสอันนี้ นรเศรษฐ์บอกแก่เขาว่า “ต้น มันไม่ใช่ทุกคนที่จะมีโอกาสได้ออกอัลบั้มของตัวเองนะ บางคนร้องเพลงได้ แต่แค่นั้นมันไม่พอ บางคนหน้าตาดี แต่ยังไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นนักร้องที่ดี แบบนั้นก็ไม่มีประโยชน์เหมือนกัน” เขาว่าต่อ “และพี่ไม่ใช่คนที่จะยอมปล่อยให้ของไม่มีคุณภาพออกมาหรอกนะต้น และต้นก็คือเพชรในมือที่พี่เห็นว่าพร้อมแล้วสำหรับการเจียระไน” ถึงอย่างนั้นความรู้สึกผิดก็ยังคงถาโถมเข้ามาในใจของเขา คำพูดของไหมยิ่งตอกย้ำหนักลงไปอีก
“ต้น” นรเศรษฐ์ชั่งใจก่อนจะเตือนสติเขา “พี่พอจะรู้นะว่าต้นต้องเจอกับอะไร”

“ครับพี่” แววตาน้ำต้นยังคงดูหม่นหมอง ทั้งที่โอกาสเข้ามาหาเขาแล้ว แต่ความรู้สึกผิดอันนี้เป็นเรื่องที่เขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยจริงๆ

“ความรักเป็นสิ่งที่ดีถ้ามันเกื้อหนุนชีวิตเรา แต่ถ้าเมื่อไหร่ก็ตามที่มันบั่นทอนจิตใจเรา มันอาจจะไม่ใช่ความรักแล้วก็ได้” น้ำต้นมองหน้าคนพูดราวกับอยากจะถามอะไรบางอย่างออกไป

“ไม่รู้สินะต้น แต่พี่เชื่อเสมอนะว่า คนที่เขารักเราอย่างแท้จริง เขาย่อมอยากจะเห็นเราก้าวไปในหนทางที่ดี และพร้อมที่จะอยู่ตรงนั้นเพื่อเป็นกำลังใจให้เรา ไม่ใช่ทำให้เราท้อแท้ พี่จะบอกต้นแค่นี้แหละ ต้นเก็บเอาไปคิดดูดีๆนะ” นรเศรษฐ์ผละไป ปล่อยให้เด็กหนุ่มได้มีเวลาคิดกับตัวเอง

การตัดสินใจของน้ำต้น นำพาให้เด็กหนุ่มก้าวมาได้ไกลเกินกว่าจะคิด ไหมไม่ได้เสียอกเสียใจกับการเลิกรานั้น ทำให้เขารู้ว่าเธอหมดใจกับเขาแล้ว หรือที่ผ่านมาเธออาจจะไม่ได้มีใจกับเขามากถึงเพียงนั้น ทั้งคู่ยังเด็ก ความรักที่แท้จริงคืออะไรยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำ เขาเองก็นึกแปลกใจไม่แพ้กันเมื่อพบว่า ก็ไม่ได้รู้สึกอาลัยอาวรณ์เด็กสาวมากมายอย่างที่คิด ความรู้สึกผิดไม่เหลือในใจอีกต่อไป เหลือแต่ความมุ่งมั่นที่จะสานฝันของตัวเองและมีความสุขกับมันแต่เพียงอย่างเดียว

เขาเป็นนักร้องที่ประสบความสำเร็จ แต่กับไหมดูเหมือนว่าเส้นทางของเสียงเพลงไม่ได้เหมาะกับเธอนัก เธอจึงเบนความฝันของตัวเพื่อที่จะไปเป็นนักแสดงแทน ดูเหมือนเธอจะทำมันได้ดีและค่อนข้างประสบความสำเร็จทีเดียว แน่ล่ะ อาจจะไม่เท่ากับความสำเร็จที่ต้นได้รับ แต่เขาก็รู้สึกยินดีกับเธอในใจว่าอย่างน้อยเธอก็ได้ค้นพบตัวเองแล้ว

“ไม่ได้เจอกันนานนะต้น” ไหมในชุดเดรสสั้นสีขาวและมีริบบิ้นสีแดงคาดเอวเล็กคอดที่นั่งไขว่ห้างปล่อยให้ช่างจัดแต่งทรงผมให้อยู่นั้น หันมาทักทายน้ำต้น

“สบายดีหรือเปล่า ไหม” น้ำต้นยิ้มอย่างเป็นมิตร เขาเลือกนั่งเก้าอี้รอช่างแต่งหน้าทำผมใกล้ๆกับนักแสดงสาว

“ก็ตามอัตภาพน่ะ” เธอว่า “แต่ก็คงไม่สบายเท่ากับนักร้องชื่อดังที่ประสบความสำเร็จอย่างต้นหรอก” เธอว่าอย่างติดตลก

“ไหม” เขาหันไปมองเธอ

“โธ่ ไม่เอาน่า ไหมพูดเล่น” เธอหัวเราะประดิษฐ์ “เราไม่ได้คุยกันนานเลยนะ ตลกดี ทั้งที่อยู่ในวงการเดียวกันแท้ๆ”

“ต่างคนต่างก็งานยุ่งล่ะมั้ง แต่นี่เราไม่รู้เลยนะว่าไหมก็มาร่วมงานนี้ด้วย”
“แต่ไหมรู้ว่าต้นจะมานะ” เธอหันไปมองเขาเต็มตา ด้วยสายตาที่มีความหมายมากขึ้น

“เอ่อ เหรอ... แต่เราก็ดีใจที่ได้เจอไหมนะ” ต้นว่าอย่างไม่มีความหมายลึกซึ้งใดๆ ไหมในตอนนี้ก็คือเพื่อนคนนึงที่เขารู้จักเท่านั้นเอง

บทสนทนาดำเนินต่อไปเรื่อยๆอย่างไม่เฉพาะเจาะจงอะไรนัก เขาคงไม่ได้รู้สึกอะไรกับเธอเป็นพิเศษแล้วจริงๆนั่นแหละ ซึ่งอันที่จริงก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจอันใด แต่ทำไมลึกๆแล้ว เขากลับรู้สึกโล่งใจอย่างประหลาด

“ต้น”

“ครับ”

“ตอนนี้ต้นมีใครรึยัง” จู่ๆไหมก็ถามขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย

“หมายความว่ายังไง มีใคร?” น้ำต้นหันไปมองเธอบ้างด้วยสีหน้าที่ประหลาดใจ

“ก็ แฟน คนที่ดูกันอยู่ คนรู้ใจ อะไรแบบนั้นน่ะ”

“อ๋อ” น้ำต้นพยักหน้าเข้าใจ “ไม่มีหรอก ทำแต่งานอย่างนี้ ใครจะมาสนใจ” เขาว่าอย่างไม่ใส่ใจ แต่วูบหนึ่งกลับนึกถึงหน้าคนที่เพิ่งจะเล่นเปียโนคลอเสียงกีตาร์ไปด้วยกันเมื่อไม่กี่นาทีมานี้ แบบนั้น จะเรียกว่ารู้ใจได้ไหมนะ แหม เล่นดนตรีเข้าขากันขนาดนั้น

เกิดความเงียบระหว่างเด็กหนุ่มและหญิงสาวอยู่เป็นครู่ แต่ก่อนที่ไหมจะทันเอ่ยอะไรออกมาอีก ทีมงานคนหนึ่งก็เข้ามาเตือนช่างแต่งหน้าทำผมให้เร่งมือเร็วขึ้น

“ดาราคนอื่นๆทยอยมากันแล้วแก เร็วเลยนะ เดี๋ยวไม่ทัน” ว่าแล้วก็ผลุบออกไป พอดีกับที่น้ำต้นเสร็จจากการแต่งหล่อแล้วเช่นกัน

“เรียบร้อยค่ะน้องต้น แหมคนหล่อนี่ไม่ต้องทำอะไรมากก็หล่อได้แล้วเนาะ” ช่างคนสวยแต่เสียงห้าวไม่เข้ากับหน้าตาจีบปากจีบคอชื่นชมชายหนุ่มที่นั่งเอียงหน้าไปทางซ้ายทีขวาที่เพื่อเช็กความเรียบร้อยของตัวเอง

“แหม ไม่ขนาดนั้นหรอกครับพี่ ต้นว่าเพราะฝีมือพี่ต่างหาก ไม่มีพี่นี่ต้นคงแย่” เด็กหนุ่มหยอดลูกอ้อน

“วุ้ย... น้องต้นก็...” สาวเจ้าได้แต่เขินและปลื้มอยู่กับคำชมนั้นไม่หาย

“งั้นต้นไปเตรียมตัวนะครับพี่ ไปนะไหม เดี๋ยวคุยกันใหม่” น้ำต้นว่าแล้วก็เดินออกไป

ไหมได้แต่พยักหน้ายิ้มรับ สายตามองตามหลังน้ำต้นอย่างมีความหมาย ก่อนที่จะหันกลับไปมองเงาสะท้อนของตัวเองในกระจกราวกับจะประเมินอะไรบางอย่าง ไหมยิ้มให้กับเงานั้นด้วยแววตาเชื่อมั่น ก่อนจะเอ่ยปากกับช่างที่กำลังง่วนทำอะไรบางอย่างกับเส้นผมของเธอว่า

“เอาให้สวยสุดๆไปเลยนะคะพี่ วันนี้ไหมอยากจะสวยเป็นพิเศษเลย”

******************

โปรดติดตามตอนต่อไป

ISACBTMN

  • บุคคลทั่วไป
จิ้ม ๆ  :z13:

อ่านเขิน อิอิ แอบนึกถึงหนึ่งเก้า

bixzz

  • บุคคลทั่วไป
ชื่อคุณนาเมฮ์ไม่ทำให้ผิดหวังจริงๆ...สนุกมากมาย ขอชื่นชมคุณคนแต่งด้วยนะครับ
+1 ให้คุณนาเมฮ์แล้วครับ...เริ่มติดซะแล้วสิเนี่ย  :L2:
ลุ้นว่าไหม+เอ้จะมาไม้ไหนต่อไป ส่วนนนท์ก็เริ่มใจอ่อนกับความน่ารักใสซื่อของต้นซะแล้ว...
รออ่านต่อนะครับ


น้ำค้าง

  • บุคคลทั่วไป
แหม  หนูไหมเนี่ย ท่าทางจะร้ายเอาเรื่อง  คิดจะสานสัมพันธ์ต่อ ก่อสัมพันธ์ใหม่หรือไงจ๊ะหนู ชักจะไม่ปลื้มนะ  :m20:

ออฟไลน์ CMYK

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 395
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
เมื่อไรจะได้บรรเลงเพลงรักกันนะ หุหุ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






tk91

  • บุคคลทั่วไป
อร๊ายยยยยยยย
เปียโนกีต้าร์
เค้าคิดถึงงงงงงงง  :o8:

ออฟไลน์ LoveAholic

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 318
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +66/-0


อ่านแล้วคิดถึงเนอะ  :impress3:

ความหลังที่แสนมีความสุข

เปียโน กีตาร์ ที่แสนหวาน

ขอบคุณ ทั้งคนโพสต์และคนแต่งค่ะ










ออฟไลน์ pongsj

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +213/-9
มาแล้วของแรงงงงงงงงงงงงงงง

mecon

  • บุคคลทั่วไป
นุ้งไหมอยากรีเทริน์ เหอะเหอะสายไปแล้วนะคะคนสวย

ส่วนพี่นนท์  :o8: จะต้องให้ต้นออกตัวจีบมากกว่านี้ใช่ป่ะคะ
ถึงจะหันมาสนใจนุ้งน้ำต้นบ้าง น้องเค้ารักจริงนะแต่
เรื่องแบบนี้ต้องอาศัยเวลานิดส์ หุหุ


ออฟไลน์ EverGreen™

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1684
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +192/-1
เอิ๊กกกกส์

หวั่นไหวทั้งคุ่แล้วววว

น้ำต้นน่ารักเกิ๊นนน  :o8:

แต่ เจ๊ไหม..มาไงเพ่  :z3:

ออฟไลน์ PeeYaR

  • >///<
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 882
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +92/-3
แปะไว้ก่อนค่า
ได้ข่าวว่ามันเยอะ เดี๋ยวค่อยมาอ่านละกันนะ

nam-nueng

  • บุคคลทั่วไป
ชอบมากกกกกกเรื่องนี้ ตามไปอ่านในพันธุ์ทิพย์แล้วด้วยล่ะ   :L2:  :L2:

เรื่อง beats of life ด้วยนะคะ เรื่องนี้น่าจะเอามาโพสต์ในเล้า สนุกมากเลย อยากให้มี ตอนพิเศษของ beats of life อีกจัง   :impress2:


ปล. เค้าเป็นสาวกยุนแจด้วยน๊า

ออฟไลน์ Namehoto

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 780
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +696/-9
บทที่ 6 แล้วนะคะ

บทนี้เรียกว่า ยาวเหยียดเลยทีเดียว เพราะฉะนั้นนาเมฮ์ขอว่าอย่าเพิ่งคอมเมนท์จนกว่าจะมีคำว่า โปรดติดตามตอนต่อไปนะคะ เพราะว่าอาจจะต้องแบ่งโพสเป็นหลายความเห็นกว่าจะจบบทน่ะค่ะ


ไปอ่านเรื่องราวของนนท์และน้ำต้นกันต่อได้เลยค่ะ


**********************************

เพลงรัก

บทที่ 6

งานอีเวนต์ไหนๆก็เหมือนกันไปหมด น้ำต้นคิดกับตัวเอง อันที่จริงเขาก็ไม่ได้นิยมมางานแบบนี้สักเท่าไหร่ แต่บางอย่างบางครั้งมันก็เลี่ยงไม่ได้จริงๆนั่นแหละ ยิ่งถ้าเป็นงานจ้างให้มาโชว์ตัวแบบนี้ มันก็คือหน้าที่ดีๆนี่เอง น้ำต้นเคยบอกกับเมษตอนที่เออาร์ประจำตัวถามขึ้นมาอย่างสงสัยว่า ทำไมจึงไม่ค่อยชอบงานแบบนี้

“สงสัยเพราะเป็นเด็กต่างจังหวัดมั้งพี่” เขาตอบแบบทีเล่นทีจริง “ต้นไม่ค่อยชอบที่ที่คนเยอะๆ แย่งกันพูด แย่งกันกิน มันวุ่นวายยังไงก็ไม่รู้” แต่ก็ไม่ลืมที่จะยืนยันออกไปว่า ส่วนตัวเขาไม่ได้รู้สึกต่อต้านอันใด แค่รู้สึกไม่เป็นตัวเองเฉยๆ

น้ำต้นก้มลงดูนาฬิกาบนข้อมือ งานใกล้จะเลิกแล้ว ดีจริง

“ดูเวลาใหญ่เลย จะรีบไปไหนเหรอต้น” เขาเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของเสียงคุ้นเคย ไหมนั่นเอง พอได้แต่งหน้าทำผม ความสวยที่มีมากอยู่แล้วเป็นทุนเดิมดูจะเพิ่มมากขึ้นอีกเป็นเท่าทวีคูณจนเขาเองยังอดชื่นชมไม่ได้

“เปล่าหรอก” น้ำต้นยิ้มให้เธอ

“งั้น เสร็จจากนี้ต้นไปที่ไหนต่อรึเปล่า ไหมจะชวนไปทานข้าวน่ะ” ไหมเอ่ยปากชวน

“ถ้าวันนี้คงไม่ได้แล้วล่ะไหม” น้ำต้นปฏิเสธแทบจะทันที ไหมนิ่วหน้าแต่ก็เป็นเพียงแค่แวบเดียวจนไม่อาจจะสังเกตได้ทัน ลึกๆแล้วเธอไม่อยากจะเชื่อว่าจะมีคนปฏิเสธนักแสดงสาวสวยอย่างเธอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งน้ำต้นที่เคยได้ชื่อว่าเป็นอดีตแฟนเก่าด้วยแล้ว เพราะด้วยความที่ยังเชื่อมั่นเหลือเกินว่าเขาน่าจะยังมีใจให้เธออยู่บ้าง

“มีนัดแล้วเหรอต้น” เธอถามเหมือนจะไม่เห็นเป็นเรื่องใหญ่ แม้ในใจจะรู้สึกผิดหวังก็ตาม

“อื้อ แต่วันหลังถ้าอยากจะไปกินข้าวด้วยกันก็ได้นะ เพื่อนกันนานๆจะมาเจอกันสักที” ต้นว่าอย่างไม่คิดเป็นอื่น ใจของไหมกระตุกเล็กน้อยด้วยความผิดหวังขึ้นมาอีก แต่เธอก็เก่งพอที่จะปิดบังมันเอาไว้อย่างมิดชิด แม้จะรู้สึกเสียหน้าไปบ้าง แต่เธอก็ฉลาดพอที่จะไม่รุกเกินไปจนน่าเกลียด ให้มันเป็นแบบนี้ไปก่อนก็ได้

“งั้นไม่เป็นไรต้น ไว้ค่อยเจอกันนะ” ต้นพยักพลางยิ้มให้กับไหมที่หันหลังเดินจากไป


***********************

“ฮัลโหล พี่นนท์” เดินออกมาจากงานที่เลิกแล้วได้ไม่ถึงห้านาที น้ำต้นก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดก่อนจะกรอกเสียงลงไปทันที

“ครับ” ปลายสายตอบรับด้วยน้ำเสียงสุภาพนุ่มหูอย่างเคย

“เพิ่งจะทุ่มครึ่ง มากินข้าวกันมั้ยพี่” น้ำต้นว่าอย่างร่าเริง ปลายสายพ่นลมออกจมูกเหมือนจะรู้ ก่อนที่จะพูดกลั้วเสียงหัวเราะออกมา

“จะขุนพี่เหรอน้ำต้น จะชวนไปไหนเป็นไม่พ้นเรื่องกิน”

“เออ... จริง” น้ำต้นเพิ่งจะคิดได้ “แต่แหม ถึงเวลามันก็ต้องกินนะพี่ มามั้ย”

“ที่ไหนครับ” นนท์เลิกคิดที่จะปฏิเสธไปนานแล้ว

เมื่อบอกจุดหมายปลายทางเป็นที่เรียบร้อยแล้วก็วางสายไป นนท์ตัดสินใจเดินทางด้วยรถไฟฟ้าที่น่าจะสะดวกที่สุดในเวลาทุ่มกว่าๆเช่นนี้ ไม่รู้ทำไมเขาจึงรู้สึกชินกับการที่ถูกเด็กน้ำต้นชวนไปโน่นไปนี่เสียแล้ว หรือเป็นเพราะที่ผ่านมา เขาไม่ค่อยมีเพื่อนสนิทมากนัก เมื่อมาเจอคนที่พูดคุยกันถูกคอ จึงไม่ใช่เรื่องยากที่จะสานไมตรีต่อ น่าจะเป็นอย่างนั้น แม้จะยังไม่ค่อยจะเข้าใจความรู้สึกของตัวเองสักเท่าไรนัก ก็คิดเสียว่า มีเพื่อนกินข้าวก็ยังดีกว่ากลับไปนั่งกินอะไรคนเดียวที่บ้านล่ะน่า

“พี่ ทางนี้” เจ้าเด็กโข่งตัวโตแต่ตาหวานหน้าทะเล้นนั่งโบกไม้โบกมืออยู่ในร้านอาหารเล็กๆบนชั้นสามของห้างดัง เขาโบกมือตอบพลางยิ้ม ก่อนจะเดินเข้าไปยังโต๊ะตัวในสุดอันเป็นมุมสงบของร้าน

“รอพี่นานมั้ย” นนท์ถามอย่างเกรงใจ

“ไม่นานเลย มาสั่งกัน ต้นสั่งแต่น้ำ ยังไม่ได้สั่งอาหารเลย” ทั้งคู่สาละวนอยู่กับการสั่งอาหาร ร้านแห่งนี้ แม้จะไม่ได้ใหญ่โต แต่เมนูกลับมีตัวเลือกมากมาย นนท์ถึงกับนิ่วหน้า เพราะไม่รู้จะสั่งอะไรดี นั่นก็ดี นี่ก็อยากกินไปหมด ทำเอาน้ำต้นหัวเราะชอบใจออกมาเมื่อเห็นสีหน้าของพี่ชายจำเป็น จนตัวต้นเหตุต้องเงยหน้าขึ้นมอง

“หัวเราะอะไรน้ำต้น” เขาเลิกคิ้วขึ้นถาม

“ก็พี่อ่ะ” พูดยังไม่ทันจบก็หัวเราะออกมาอีก “นี่เราสั่งอาหารกันนะพี่นนท์ ไม่ได้จะสอบเอนทรานซ์ เห็นหน้าตัวเองมั้ยนั่น หน้านิ่วคิ้วขมวดใหญ่แล้ว”

“เออ เหรอ” ทีนี้เจ้าตัวเบิกตาเลิกคิ้วขึ้นเหมือนกับจะประหลาดใจในกริยาที่ไม่ทันคาดคิดของตัวเอง ก่อนที่จะยิ้มจนตาเรียวยาวคู่นั้นแทบจะปิดลงทีเดียว

“พี่ไม่เห็นรู้เลย” เขาว่าเขินๆ ก่อนที่จะเอะใจ “แล้วมันเรื่องอะไรต้นมาแอบดูหน้าพี่” เขาแกล้งทำเสียงเขียวขึ้นมาบ้าง

“พี่นนท์นี่น้อ” เจ้าเด็กตาโตส่ายหน้าแต่กลับไม่พูดอะไร ปล่อยให้อีกฝ่ายรอฟังเก้อไปเสียอย่างนั้น “ไม่เอาละ สั่งๆๆ เดี๋ยวก็หิวแย่หรอก” น้ำต้นว่าอย่างเอาใจ

ทำไมก็ไม่รู้เหมือนกัน พวกเขาจึงเข้ากันได้ดีและรวดเร็วถึงเพียงนี้ น้ำต้นรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นน้องชายที่สามารถเอาแต่ใจตัวเองได้เต็มที่เมื่ออยู่ต่อหน้านนท์ ในขณะที่นนท์เองก็รู้สึกเป็นตัวเองได้อย่างไม่ต้องปิดบังเมื่ออยู่ต่อหน้าน้ำต้น ที่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ที่เขาต้องกลายมาเป็นพี่ชายจำเป็นให้ ทั้งคู่ไม่รู้สึกว่าต้องระมัดระวังตัวเอง สามารถพูดคุยและหัวเราะไปด้วยกันได้ทุกเรื่อง ทั้งๆที่เพิ่งจะได้พบและรู้จักกันไม่นานแท้ๆ

ในขณะที่ทานอาหารและพูดคุยกันอย่างออกรส กลับมีสายตาคู่หนึ่งมองมายังพวกเขาอย่างข้องใจเป็นที่สุด ไหมที่พอดีเดินผ่านร้านอาหารแห่งนั้นก็พลันสายตาถูกดึงดูดให้มองไปยังเด็กหนุ่มท่าทางคุ้นหน้านั่งอยู่กับใครบางคน เด็กหนุ่มที่เพิ่งจะปฏิเสธไม่ไปทานมื้อเย็นกับเธอ แต่เลือกที่จะมานั่งพูดคุยระหว่างมื้ออาหารอย่างออกรสอยู่ที่นี่กับใครคนหนึ่ง ใครกัน เธอไม่คุ้นหน้าเอาเสียเลย แต่ที่แน่ๆความผิดหวังที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ได้กลายเป็นความรู้สึกเสียหน้าขึ้นมาอย่างรุนแรง นี่น้ำต้นไม่เห็นความสำคัญของเธอแล้วใช่ไหม จึงเลือกที่จะมาทานข้าวกับเพื่อนผู้ชายที่ไหนก็ไม่รู้ แทนที่จะเลือกสาวสวยที่เคยมีอดีตอันสวยงามด้วยกันมาอย่างเธอ เขากล้าปฏิเสธเธอ และเลือกที่จะหมางเมินกับเธอ นับเป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้สำหรับดาราสาวสวยที่มีชื่อเสียงที่ไม่นับว่าเป็นรองใคร แถมยังพกพาความมั่นใจอันล้นปรี่เอาไว้เต็มตัว เธอไม่เข้าใจเลย แต่ที่แน่ๆ ตอนนี้ความรู้สึกอยากเอาชนะเด็กหนุ่มมันท่วมท้นอยู่เต็มหัวใจ และที่สำคัญ หากได้ตัวน้ำต้นกลับมา ชื่อเสียงของเขาก็จะช่วยทำให้ชื่อเสียงของเธอยิ่งโด่งดังมากขึ้นไปอีก คุ้มค่าที่จะลงทุนยิ่งนัก แค่อาจจะต้องอดทนเอาอกเอาใจเสียหน่อย ยอมเสียหน้าบ้างก็ได้ เธอหันไปมองภาพในร้านอาหารอีกครั้ง ก่อนที่จะเดินเชิดคางออกไป

“พี่นนท์” น้ำต้นเรียกชื่อชายหนุ่มก่อนจะช้อนตาแป๋วขึ้นมอง

“จะเอาอะไรอีกน้ำต้น” ทำหน้าแบบนี้ เขานึกสังหรณ์อย่างไรพิกล ท่าทางนนท์จะเริ่มคุ้นเคยกับการอ่านท่าทางของเจ้าเด็กคนนี้เสียแล้ว

“คืนนี้พี่นนท์กลับยังไง” นั่นปะไร

“พี่ก็ต้องขับรถกลับสิครับ” น้ำต้นนิ่วหน้า “ทำไมครับต้น”

“ยังไงพี่ก็จะขับรถกลับเองให้ได้ใช่มั้ย” น้ำต้นถามย้ำ

“ก็งั้นสิ” นนท์ตอบกลั้วเสียงหัวเราะเหมือนพยายามจะเดาใจว่า เด็กน้ำต้นนี่จะมาไม้ไหน

“งั้น วันนี้ต้นติดรถพี่กลับมั่งได้ปะ” ว่าแล้วเจ้าคนตัวโตกว่าก็แยกเขี้ยวยิ้มอย่างชอบใจ

“ฮื้อ แล้วรถต้นล่ะครับ” นนท์เบิกตาคู่เรียวของเขาอย่างไม่ค่อยจะเข้าใจนัก

“เก๊าะ ทิ้งไว้ที่ออฟฟิศ” ง่ายๆแบบนั้นเลย

“แล้วทำไมไม่ขับกลับเองล่ะครับ” นนท์ถามกึ่งเอ็นดูกึ่งอ่อนใจ

“ก็ อยากนั่งรถพี่มั่งง่ะ” เจ้าตัวเอาคางท้าวโต๊ะอาหาร แล้วทำหน้ามู่ทู่อย่างไม่สบอารมณ์กับคำถามของชายหนุ่มนัก “ไม่ได้เหรอพี่ วันนี้ต้นก็ทำงานหนักน้า” เจ้าตัวปดหน้าซื่อๆ “เหนื่อยนา” ว่าแล้วก็ช้อนสายตาขึ้นมองพี่ชายอีกครา “ไปส่งหน่อยน่านะ พี่นนท์ นะ...” แถมยังสำทับมาด้วยน้ำเสียงออดอ้อนเต็มที่

“พี่ไม่ใช่ไม่อยากไปส่งซักหน่อยน้ำต้น” นนท์ว่าขำๆ “แค่คิดว่าแล้วพรุ่งนี้เราจะไปทำงานยังไงแค่นั้นเอง”

“โฮ้ย... รถไฟฟ้าก็มี้ นั่งรถไฟฟ้าเข้าสิ สบายจะตาย” น้ำต้นอ้าง แววตาเป็นประกายขึ้นมาอย่างมีหวัง

นนท์ได้แต่ทอดถอนใจ จะเถียงทีไรก็เหมือนกับน้ำต้นจะมีข้ออ้างที่ทำให้เขาพูดไม่ออกทุกที แต่ก็นั่นแหละ เขาก็ไม่ได้ขัดข้องที่จะไปส่งเด็กหนุ่มที่นั่งทำตาแป๋วที่นั่งอยู่ตรงหน้านี้อยู่แล้ว แค่สงสัยว่าทำไมจะต้องมาคะยั้นคะยออยากให้เขาไปส่งขนาดนี้เท่านั้นเอง เอาเถอะ

“งั้นพี่ไปส่งครับ” นนท์ว่ายิ้มๆ

“เยสสสสสสส!” น้ำต้นส่งเสียงแสดงความสมใจออกมาแบบไม่ปิดบัง “พี่นนท์ใจดี๊ใจดี”

“ไม่ต้องเลย มัดมือชกพี่แบบนี้ ขืนไม่ไปส่งจะโดนตราหน้าว่าแล้งน้ำใจปะไร” นนท์ว่าอย่างไม่ถือสา “อีกอย่าง เมื่อคืนต้นก็อุตส่าห์ไปส่งพี่ พี่ก็อยากจะตอบแทนบ้าง”

“จะมาตอบแทนอะไรกันพี่ เราต้องเจอกันไปอีกนาน มัวแต่คิดมาตอบแทน พอดีไม่เป็นอันทำอะไร ปะ คิดเงินเหอะ เดี๋ยวไปกัน” ตัดสินใจปุ๊ปก็ลงมือปั๊ป นี่คือลักษณะเฉพาะอีกอย่างของน้ำต้นจริงๆ นนท์ส่ายหน้าแต่ในใจก็อดนึกเอ็นดูน้ำต้นขึ้นมาไม่ได้

*******************

รถยนต์เอนกประสงค์สีน้ำเงินสะอาดเอี่ยมเลี้ยวเข้าไปยังคอนโดที่เด็กในร่างผู้ใหญ่ที่นั่งอยู่ข้างๆคนขับอย่างเขาเรียกว่าบ้านโดยใช้เวลาไม่นานนักทั้งที่ยังเพิ่งจะแค่สามทุ่มกว่านั้น ทำเอาคนขับเองก็ประหลาดใจ เพราะไม่คาดคิดว่าการจราจรจะเป็นใจถึงเพียงนี้

“คอนโดนี่สวยนะ พี่ยังชอบเลย” นนท์ว่าขึ้นมาขณะชะลอเพื่อหาที่จอดรถ
“พี่นนท์เคยมาด้วยเหรอ” น้ำต้นถามด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ

“อือ เคยคิดจะซื้อเก็บเอาไว้เหมือนกัน เพราะมันเดินทางสะดวกไง แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ซื้อ”

รถจอดสนิทแล้ว ก่อนที่นนท์จะทันได้พูดอะไร น้ำต้นก็ชิงพูดขึ้นมาเสียก่อน

“พี่” น้ำต้นหันไปมองร่างตรงที่นั่งคนขับ

“ว่าไงครับ” นนท์ตอบรับแต่ก็ยังไม่มีที่ท่าจะจะดับเครื่องยนต์แต่อย่างใด

“ยังไม่ดึกเท่าไหร่ ขึ้นไปห้องต้นมั้ย”

“อารมณ์ไหนเนี่ยน้ำต้น” นนท์หันมามองด้วยความแปลกใจ

“ก็... มาถึงเร็ว ขึ้นไปต้นไม่มีอะไรทำ พี่กลับไปก็ไปอยู่คนเดียว ไหนๆก็มาแล้ว ขึ้นไปหน่อยมั้ย ต้นก็อยากเป็นเจ้าบ้านที่ดีเหมือนกันนะพี่”

นนท์หัวเราะชอบใจก่อนที่จะตัดสินใจดับเครื่อง และหันไปพยักหน้ากับคนข้างๆ “เอาครับ เชิญเจ้าบ้านนำไปก่อนเลย”

น้ำต้นตาเป็นประกาย นี่ถ้าไม่ใช่ว่าที่จอดรถไม่สว่างนักล่ะก็ ป่านนี้นนท์คงได้เห็นไปแล้วว่า ใบหน้าของน้ำต้นในตอนนี้ไม่อาจซ่อนความยินดีได้เลย เขากระวีกระวาดเปิดประตูรถลงไป ก่อนที่จะเดินนำไปยังลิฟต์ที่จะพาทั้งคู่ขึ้นไปบนห้อง

“ห้องน่าอยู่มากเลยน้ำต้น” นนท์ว่าอย่างทึ่ง ห้องอาจจะไม่ถึงกับเนี้ยบมาก แต่ข้าวของก็ถูกวางเอาไว้อย่างถูกที่ถูกทางของมัน แต่ที่เขาชอบมากที่สุดเห็นจะเป็นการที่มันถูกจัดเอาไว้อย่างเป็นสัดเป็นส่วน ดูแล้วสบายตาแล้วก็มีชีวิตชีวาอย่างยิ่ง เหมือนกับบุคลิกของเจ้าของห้องไม่มีผิด

“จริงๆมันก็รกกว่านี้นะพี่ แต่พักหลังทนไม่ได้ วางอะไรก็หาไม่เจอ ไอ้เรายิ่งขี้ลืม เลยจัดการสังคายนาซะใหม่ ไม่งั้นคงไม่กล้าชวนพี่มาหรอก” น้ำต้นออกตัวพลางหัวเราะ

“พี่นนท์หาที่นั่งเอาเลยนะ ตามสบายพี่” ว่าแล้ว เจ้าของห้องก็เดินหายเข้าไปในห้องเล็กๆที่คาดว่าน่าจะเป็นห้องนอน ก่อนที่จะออกมาอีกครั้งหลังจากที่เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นเสื้อยืดธรรมดาและกางเกงขาสั้น ดูอย่างนี้แล้ว น้ำต้นก็คือเด็กหนุ่มธรรมดาคนหนึ่งนี่เอง

“พี่นนท์เอาอะไรหน่อยมั้ย” เจ้าของห้องส่งเสียงอู้อี้ออกมาขณะก้มลงค้นหาอะไรกุกกักตรงตู้เย็น “มีน้ำส้ม นม น้ำ ไอติม อะไรอีกนี่... “ เสียงนั้นเริ่มกลายเป็นเสียงบ่นกับตัวเองแทนที่จะเป็นเสียงถามไถ่ตามปกติ รู้ได้เลยว่าเจ้าของห้องคนนี้ไม่ได้ใส่ใจจะเปิดดูว่ามีอะไรอยู่ในตู้เย็นบ้างมานานแล้ว

“ไม่เป็นไรครับ” นนท์ลอบยิ้มออกมาในที่สุด

“โหพี่... นานๆต้นจะได้รับแขกที่ ช่วยสั่งหน่อยเถอะคร้าบว่าจะเอาอะไร” อาการของเจ้าบ้านเหมือนคนที่อยากจะรับแขกจนตัวสั่น

“งั้น ไอติมรสอะไร” นนท์ถามอย่างนึกสนุก

“ช็อกโกแล็ต”

“งั้นเอาไอติม”

“ต้องยังงั้นสิ” น้ำต้นชอบใจ


*********************

“อยู่คนเดียวแบบนี้ เหงามั้ยน้ำต้น” นนท์ถาม มือข้างหนึ่งถือช้อนอีกข้างถือไอติมควอตใหญ่ ที่ทีแรกทำเอาแขกงงไปเล็กน้อย ตอนที่เจ้าบ้านหยิบมาเสิร์ฟอย่างเป็นกันเองโดยไม่มีพิธีรีตองอะไรทั้งสิ้น นนท์ได้แต่หัวเราะและรับมาไว้ในมืออย่างว่าง่าย ก่อนจะตักกินอย่างเพลิดเพลิน ลดอายุจากหนุ่มวัย 25 กลายเป็นเด็กหนุ่มอายุสิบกว่าไปทันที น้ำต้นลอบมองวงหน้าที่กำลังมุ่งมั่นอยู่กับการตักไอศกรีมเข้าปากจนไม่ทันฟัง

“อะไรอีกทีนะพี่” น้ำต้นเกาศีรษะแก้เก้อ เมื่อถูกจับได้ว่าแอบมองหน้าแขกที่กำลังเพลินอยู่กับไอศกรีมในมือ

“ไม่เหงาเหรอ อยู่คนเดียวแบบนี้” นนท์ถามซ้ำ

“ก็... มันยังไงดีล่ะ” น้ำต้นครุ่นคิด “มันคงไม่ทันได้คิดมั้งพี่นนท์ เราอยู่แบบนี้มานาน แล้วมันก็มีอะไรให้ทำ ก็เลยไม่ทันได้เหงาเท่าไหร่” เขายิ้ม “ถ้าพี่ไม่ถามขึ้นมา ต้นก็ไม่ทันนึกถึงนะ” ว่าแล้วก็มองหน้านนท์

“แต่พี่อยู่บ้านแบบนั้น ท่าทางจะไม่เหงา หรือยังไง” น้ำต้นถามกลับบ้าง

“ก็ ไม่เสมอไปหรอก พี่ชอบอยู่แต่ในห้อง ไม่ค่อยอะไรกับใคร” นนท์ว่า เขาเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง “หรือ เราอาจจะไม่ทันได้นึกถึงมันก็ได้” เขารำพึงออกมาเหมือนจะพูดกับตัวเองมากกว่า

“เหมือนกันเลยเนาะ”

“หือม์”

“ก็ต้นกะพี่ไง เหมือนกันเลย”

บทสนทนาหยุดลงเพียงเท่านั้น น้ำต้นหยิบกีตาร์ขึ้นมาเกาเป็นเพลงโน้นเพลงนี้อย่างเพลิดเพลิน นนท์หยุดกินไอศกรีมไปแล้ว และหันมาตั้งใจฟังเสียงกีตาร์แทน เมื่อใดที่น้ำต้นเล่นเพลงที่เขาคุ้นเคย นนท์ก็จะร้องคลอไปด้วยเสียทีหนึ่ง ถ้าเขาหยุดเพราะจำเนื้อไม่ได้ น้ำต้นก็จะร้องเสริมขึ้นมา บางครั้งก็สลับบทบาทร้องนำบ้าง ร้องประสานบ้าง หากเพลงไหนต่างคนต่างจำเนื้อไม่ได้จนเสียงเงียบไป ก็จะกลายเป็นเสียงหัวเราะขึ้นมาทันที

เวลาจะผ่านไปเท่าใดไม่มีใครสนใจ จนกระทั่งมีเสียงโทรศัพท์ดังแทรกขึ้นมาก ทุกอย่างจึงหยุดลง น้ำต้นเดินไปรับโทรศัพท์ สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปเป็นความประหลาดใจพร้อมกับนิ่วหน้าเล็กน้อย เขาเดินเข้าไปในส่วนที่เป็นห้องครัว แต่ก็ไม่ลืมที่จะบอกแก่แขกคนแรกที่มาเยือนห้องเขาเสียก่อนว่า

“ขอตัวแป๊ปนะครับพี่” น้ำต้นปิดกระบอกเสียงก่อนจะหันมาพูดด้วยน้ำเสียงแสดงอาการขอโทษ

“น้ำต้น ไม่เป็นไร งั้นพี่กลับก่อนดีกว่า ดึกแล้ว” นนท์ว่าพลางลุกขึ้นยืน

“พี่นนท์ถึงบ้านแล้วโทรบอกต้นหน่อยนะ”

นนท์ชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะยิ้มและพยักหน้า เมื่อประตูห้องปิดลง น้ำต้นจึงกลับไปสนทนากับปลายสายต่อ

“มีเพื่อนมาหาเหรอต้น”

“อื้อม์ ไหมโทรมามีอะไรหรือเปล่า” น้ำต้นถามด้วยความแปลกใจจริงๆจังๆ เขาชักไม่แน่ใจเสียแล้วว่าไหมต้องการอะไรจากเขากันแน่ ร้อยวันพันปีไหมไม่เคยโทรมาหาเขาเลยสักครั้งแท้ๆ

“เพื่อนจะโทรหาเพื่อนบ้างไม่ได้เหรอ” ไหมทำน้ำเสียงน้อยอกน้อยใจเกินจริง

“เปล่า ก็แค่... แปลกใจ” และเขาก็รู้สึกอย่างนั้นจริงๆ

“ก็ วันนี้เห็นต้นไปกินข้าวกับใครไม่รู้มา แหม... มันน่าน้อยใจอยู่เหมือนกันนะ ปฏิเสธไหมแล้วไปกินกับคนอื่น” น้ำเสียงปลายสายเหมือนจะตัดพ้อและแสดงความเป็นเจ้าของอยู่กลายๆ แต่เจ้าตัวพยายามที่จะไม่ให้ฟังดูจริงจังอะไร

“ก็เรารับปากพี่เค้าไปแล้ว อีกอย่างพี่นนท์ก็ไม่ใช่คนอื่น” น้ำต้นว่าตรงๆ ไหมถึงกับสะอึกไปเล็กน้อย เมื่อได้ยินน้ำต้นทำเสียงแข็งราวกับจะปกป้องบุคคลที่สามขึ้นมาแบบนั้น

“ไหมก็ไม่ได้ว่าอะไรซักหน่อย แซวเล่นแค่นี้เอง ที่โทรมาเนี่ย ก็คิดว่าจะนัดต้นไปหาอะไรทาน ทบทวนความสัมพันธ์ครั้งเก่าของเราหน่อยน่ะ เราไม่ได้คุยกันมานานแล้วนะต้น”

ไม่รู้ทำไม เมื่อไหมพูดถึง ‘ความสัมพันธ์ครั้งเก่า’ ขึ้นมาแบบนี้ มันกลับทำให้เขารู้สึกอึดอัดใจนัก

“ก็ไหมว่างเมื่อไหร่ก็นัดมาได้ ไปกินข้าวกับเพื่อนเก่าน่ะ เราไม่ขัดข้องหรอก” น้ำต้นพยายามย้ำเมื่อพูดคำว่า เพื่อนเก่า เขาเริ่มแน่ใจแล้วว่า ไม่ได้เหลือความรู้สึกพิเศษใดๆกับไหมแล้วจริงๆ จึงพยายามที่จะไม่แปรเจตนาเป็นอื่นใดนอกเหนือจากคำว่าเพื่อนเท่านั้น

ไหมไม่พอใจน้ำเสียงของปลายสายเอาเสียเลย แต่การที่จะพูดอะไรออกไปในตอนนี้นับว่าเป็นเวลาที่ไม่เหมาะสักเท่าไหร่ และเธอเองก็ฉลาดพอที่จะรู้ว่า ควรเรียนรู้ที่จะอดทนเอาไว้บ้าง หากรุกเกินไป อีกฝ่ายก็จะมีแต่ถอยหนีเท่านั้น

“เอาเถอะ ถ้าอย่างนั้น เดี๋ยวไหมจะโทรมานัดต้นอีกทีก็แล้วกันนะ” ต้นรับคำก่อนที่จะวางสายไป เขาไม่เข้าใจว่าไหมยังจะต้องการอะไรจากเขาอีก แม้เขาจะใสซื่อเพียงใด แต่ก็ไม่โง่พอที่จะมองข้ามจุดประสงค์ที่แท้จริงของไหมไปได้ เพียงแต่ไม่แน่ใจเท่านั้นว่าไหมต้องการอะไรจากเขา

น้ำต้นเดินกลับมายังห้องนั่งเล่น กีตาร์ยังวางอยู่ตรงนั้น แต่แขกผู้มาเยือนจากไปเสียแล้ว ที่สำคัญความรู้สึกอาลัยอาวรณ์ที่อ้อยอิ่งอยู่นี่ คืออะไรกันหนอเขาเองก็ไม่เข้าใจ จนกระทั่ง

“ฮัลโหล” เขากรอกเสียงลงไปทันทีที่กดรับสาย

“น้ำต้น” ไม่รู้ทำไม เขาชอบจริงๆเวลาที่คนๆนี้เรียกชื่อเล่นเขาแบบเต็มๆในแบบที่ไม่ค่อยมีใครเรียกบ่อยนักแบบนี้

“พี่นนท์ ถึงบ้านแล้วเหรอพี่” น้ำต้นถามออกไปโดยไม่รอให้อีกฝ่ายได้พูดอะไรก่อน

“ถึงแล้วครับ” ปลายสายหัวเราะออกมาอย่างอารมณ์ดี

“ขอบคุณที่มาส่งต้นนะพี่ แล้วก็ เอ่อ... “ น้ำต้นเกิดอาการอึกอักขึ้นมาเสียอย่างนั้น “ขอบคุณที่มาอยู่เป็นเพื่อนกัน”

ปลายสายเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะตอบกลับด้วยเสียงอ่อนโยนว่า “พี่ก็ขอบคุณที่ต้นชวนพี่ไปบ้าน พี่สนุกมาก”

“งั้นพรุ่งนี้เจอกันนะพี่นนท์”

“ราตรีสวัสดิ์ครับต้น”

น้ำต้นวางสายด้วยหัวใจที่พองฟู ความรู้สึกโหยหาที่กรุ่นอยู่เมื่อครู่ หายไปราวกับปลิดทิ้ง เขาเดินเข้าไปในห้องนอน ทิ้งร่างลงบนฟูกนุ่มๆก่อนที่จะอมยิ้มอย่างสบายอารมณ์อยู่ครู่ใหญ่ แล้วจึงตัดใจลุกเดินไปอาบน้ำในที่สุด

ออฟไลน์ Namehoto

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 780
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +696/-9
หลายวันมานี้นนท์รู้สึกได้ว่า ไม่ว่าเขาจะไปไหนหรือทำอะไร จะต้องมีเงาของเจ้าเด็กตัวโตหน้าทะเล้นปรากฏอยู่ด้วยตลอดเวลา เขาในตอนแรกที่ไม่ได้ใส่ใจอะไรมากไปกว่าแค่เจ้านักร้องนี่เป็นเพื่อนร่วมงานคนหนึ่ง แต่ดูเหมือนว่าเจ้านักร้องคนที่ว่า ได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของเขาไปเสียแล้วตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ น้ำต้นติดเขาแจอย่างเห็นได้ชัด ไม่ว่าจะไปไหนหรือทำอะไร ถ้าไม่โทรมาถามเขาก็เป็นต้องโทรมาชวนเขาอยู่ร่ำไป แล้วก็ไม่รู้ทำไมเหมือนกันที่เขาถึงไม่เคยปฏิเสธเด็กคนนี้ได้เลย เผลอๆ ยิ่งนานวันเข้าก็ยิ่งตามใจเสียละมากกว่า แม้แต่เมษยังออกปากว่า “น้ำต้นติดพี่ชาย แถมยังได้พี่ชายตามใจไปซะทุกอย่างขนาดนี้ มีหวังเสียเด็กแน่”

มื้อเที่ยงกับมื้อเย็นกลายเป็นมื้ออาหารที่ถ้าไม่ติดงานอะไร ต่างฝ่ายต่างก็จะรอไปกินพร้อมกันโดยอัตโนมัติ เมื่อไรที่ว่างน้ำต้นก็จะลงมาหาพี่นนท์เพื่อเล่นดนตรีด้วยกัน ตกเย็นถ้าไม่ให้พี่นนท์ไปส่ง เขาก็จะอาสาไปส่งพี่นนท์ที่บ้านเอง ซึ่งส่วนใหญ่เขาจะได้เป็นแขกที่บ้านของนนท์มากกว่า โดยมีป้าชื่นและเด็กๆที่บ้านคุณนนท์คอยถือหางเอาใจ เพราะไม่เพียงแต่จะได้ชื่อว่าเป็นนักร้องชื่อดังเท่านั้น แต่เมื่อบวกกับนิสัยขี้อ้อนน่ารักเหลือประมาณ ทำให้น้ำต้นแทบจะกลายเป็นคุณต้นของบ้านนนท์ไปเสียแล้ว

ความสนิทสนมของสองพี่น้องนั้นก้าวหน้าไปพร้อมๆกับเนื้องานที่ทั้งทางมิ่ง นรเศรษฐ์ รวมไปถึงทีมงานคนอื่นๆได้วางแผนเอาไว้ นนท์ทำงานในส่วนของดนตรีคืบหน้าไปมาก โดยมีมิ่งคอยกำกับดูแลอยู่ตลอดเวลา

“นนท์ พี่ชอบทำนองที่นนท์แต่งมากเลยนะ” มิ่งถึงออกปากชมเมื่อได้ฟังเดโมเพลงใหม่ที่นนท์แต่งขึ้น “แต่งได้ดีกว่างานก่อนหน้านี้อีก” เขาว่าพลางฟังทำนองเพลงใหม่เหล่านั้นไปด้วย

“นนท์กะจะเอามาให้พี่มิ่งลองฟังแล้วก็เลือกดูก่อนน่ะครับว่าจะหยิบอันไหนไปใช้ได้บ้าง” นนท์ยิ้มอย่างโล่งใจ ลองว่ามิ่งได้ออกปากชมแบบนี้ก็แสดงว่างานของเขาผ่านแล้ว

“แล้วเรื่องเนื้อเพลงล่ะนนท์”

“ขอเวลาอีกนิดครับพี่มิ่ง ตอนนี้นนท์พอจะมีเขียนๆเอาไว้บ้างแล้ว แต่ว่ายังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะเลือกใส่ทำนองแบบไหนดี”

“ได้ทำนองมาขนาดนี้ พี่ไม่เร่งนนท์แล้วล่ะ เราลองไปดูๆมาก็แล้วกัน แล้ว... ต้นได้ฟังรึยัง”

“ยังครับ ยังไงนนท์ก็อยากให้พี่ลองฟังดูก่อนน่ะครับ แล้วถ้ามันออกมาสมบูรณ์กว่านี้ค่อยให้ต้นกับพี่นอฟังดูอีกที”

“พวกเพอร์เฟ็กชั่นนิสต์ งานไม่ดีไม่ปล่อยเลยนะเรา” มิ่งหัวเราะชอบใจ

“ก็ติดพี่มิ่งมาแหละครับ”

“แล้วต้นเป็นไงมั่ง” มิ่งถามถึงเจ้านักร้องว่าที่เจ้าของเพลงเหล่านี้ขึ้นมาบ้าง

“ก็” จู่ๆเมื่อถูกถามเกี่ยวกับน้ำต้นขึ้นมา ลึกๆข้างในหัวใจของนนท์เหมือนจะเต้นผิดจังหวะไปเล็กน้อย ก่อนที่จะตอบแบบไม่ต้องคิดว่า “ดีครับ น้ำต้นเป็นคนซื่อๆ ตรงไปตรงมาดี เขาจริงใจกับทุกอย่างเลย บอกตามตรง นนท์ไม่ห่วงเลยซักนิดเรื่องการถ่ายทอดอารมณ์ของเขา” นนท์ว่าอย่างมั่นใจ

“สนิทกันแล้วเหรอ” มิ่งถามอย่างแปลกใจ

“ก็ครับ” นนท์ตอบอ้อมแอ้ม

“ดีแล้ว พี่ก็ห่วงๆเราสองคน คนนึงก็สุภาพเรียบร้อยแถมเงียบดีเหลือเกิน อีกคนก็ร่าเริงแจ่มใส มนุษย์สัมพันธ์เป็นเลิศ ก็กลัวอยู่ว่าจะเข้ากันได้มั้ย”

“ครับ” นนท์พูดได้แค่นั้นก่อนที่จะยิ้มออกมา

********************

“พี่” เสียงที่เรียกเขาอย่างสนิทสนมนั้นคุ้นหูเสียจนเขาไม่ต้องหันไปมองก็รู้แล้วว่าเป็นใคร

“ไม่มีงานแล้วเหรอน้ำต้น” นนท์ถามอารมณ์ดี

“หมดแล้ววันนี้” เขาลงมานั่งแปะข้างๆเก้าอี้ทำงานของนนท์อย่างไม่ต้องรอให้เจ้าของอนุญาต “พักนี้งานอีเวนต์เยอะมากเลยพี่นนท์” เจ้าตัวโอด “แล้วต้นก็ไม่ช้อบไม่ชอบนะ มันเหนื่อยยิ้ม เหนื่อยทักทายคน รู้จักมั่งไม่รู้จักมั่ง ก็ต้องทำตามหน้าที่ไป”

นนท์หันไปมองหน้าคนที่นั่งเอาคางเกยโต๊ะด้วยทีท่าอ่อนแรงอย่างนึกขำ ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าน้องชายของเขาไม่นึกนิยมงานแบบนี้ และยังรู้ด้วยว่า แม้น้ำต้นจะบ่นกระปอดกระแปดให้เขาฟังบ่อยเพียงไร แต่ถ้าเป็นเรื่องของการทำงาน เขาก็ยังคงเต็มที่ทุกครั้ง “ชอบไม่ชอบมันไม่สำคัญเท่า เราต้องทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุดแหละพี่ ต้นรู้ว่าบางครั้งเราจะเลือกอะไรตามความพอใจของเราไปซะหมดคงไม่ได้หรอก” ครั้งหนึ่งน้ำต้นเปรยขึ้นมากับเขา ทำเอานนท์ถึงกับทึ่งกับความคิดอันนี้ของเด็กหนุ่ม แม้น้ำต้นจะยังเด็กแต่ความคิดอ่านโดยเฉพาะในเรื่องของการทำงานนั้นเป็นผู้ใหญ่เหลือเกิน นักร้องหลายคนที่เขามีโอกาสได้ร่วมงานด้วยหลายๆคน นอกจากจะไม่เคยคิดอะไรแบบนี้แล้ว เผลอๆก็เบี้ยวเจ้าของงานเสียเฉยๆ เรื่องความรับผิดชอบไม่ต้องพูดถึง มีแต่ความเอาแต่ใจตัวเองล้วนๆ นนท์ได้แต่มองดูอยู่เงียบๆ และนึกผิดหวังอยู่ในใจเมื่อนักร้องที่เขาเคยชื่นชอบบางคนก็เป็นหนึ่งในจำนวนคนเหล่านั้นด้วย

แต่น้ำต้นไม่ใช่ และไม่ใช่แค่เพราะน้ำต้นเป็นคนที่เขาสนิทสนมและผูกพันราวกับเป็นน้องชายแท้ๆคนหนึ่งในสายตาของเขาแต่เพียงเท่านั้นแน่นอน น้ำต้นในฐานะที่เป็นนักร้องคนหนึ่ง ไม่เพียงแต่จะทุ่มเทให้กับการทำงานให้สมกับที่เจ้าตัวยืนยันว่ารักการร้องเพลงเหลือเกินเท่านั้น เขายังใส่ใจคนรอบข้างไม่ว่าจะเป็นทีมงาน แฟนๆ หรือใครก็ตามที่เขามีโอกาสได้ร่วมงานด้วย บวกกับความสามารถที่น้ำต้นมีอย่างล้นเหลือ นนท์ไม่นึกแปลกใจเลยว่า เด็กหนุ่มจะไม่ก้าวมาไกลขนาดนี้ภายในระยะเวลาอันรวดเร็วได้อย่างไร ความรู้สึกของเขานั้นเป็นทั้งความชื่นชมบวกกับความภาคภูมิใจ และตอนนี้เขาก็กำลังทำผลงานให้กับนักร้องที่เขามีแต่จะชื่นชมมากขึ้นเรื่อยๆคนนี้ด้วยอีกต่างหาก

“แต่ต้นก็ทำได้ดีทุกครั้งนะ พี่ไม่เห็นมีใครบ่นว่าต้นเหลวไหลเลยซักครั้ง” นนท์กล่าวชม

“ก็ลองเหลวไหลดูสิ พี่เมษจะได้เล่นงานเข้าปะไร” น้ำต้นพูดติดตลก

“พี่” น้ำต้นว่าพลางเอามือดึงแขนเสื้อของนนท์เบาๆโดยไม่ได้หันไปมองด้วยซ้ำ

“เย็นนี้ไปกินข้าวบ้านพี่ได้ปะ” ทำน้ำเสียงแบบนี้อีกแล้ว “นะพี่นะ” น้ำต้นอ้อนต่อเมื่อไม่เห็นว่าอีกฝ่ายตอบรับว่าอย่างไร

“...”

“พี่นนท์” ปากเรียกชื่อ แต่ก็ยังคงไม่ลืมตาอยู่นั่นเอง “พี่” เอ๊ะ... ยังไง ทำไมพูดด้วยแล้วไม่ตอบ อดรนทนไม่ได้ เจ้าน้องชายก็ลืมตาหันไปมองพี่ จึงได้เห็นว่าพี่ชายกำลังหันมามองเขาพร้อมกับกลั้นยิ้มเต็มที่

“โห่... พี่นนท์อ้ะ” น้ำต้นหน้ามุ่ยขัดใจ “ไม่ตอบแล้วยังมาแกล้งกัน ต้นเหนื่อยนะวันนี้ ไม่เห็นใจกันบ้างเลย” เจ้าตัวส่งเสียงโอดครวญที่อีกฝ่ายฟังอย่างไรก็รู้สึกว่ามันออกจะเกินจริงไปนิด

“แล้วถ้าพี่บอกว่า ไม่ให้ไปล่ะ” นนท์หยั่งเชิง

“แล้วมันเรื่องอะไรพี่จะมาห้ามต้นอ่ะ พี่จะใจร้ายขนาดนั้นเชียวเหรอ น้องพี่ทั้งคนเลยนะ” เจ้าตัวแสบยังโอดครวญต่อไปไม่หยุด

“ก็นี่ไง” นนท์หัวเราะชอบใจออกมา “พี่เคยห้ามต้นได้มั้ย” ว่าแล้วก็หันไปมองหน้าหวานๆของเจ้าเด็กตัวโตที่กำลังขมวดคิ้วอยู่แบบไม่ค่อยสบอารมณ์นักที่คนเป็นพี่เดี๋ยวนี้ชักจะทันเกมเขามากขึ้นทุกที แล้วนนท์ก็ซบหน้าลงกับแขนตัวเองก่อนที่จะหัวเราะออกมาชุดใหญ่อีกครั้ง น้ำต้นถึงกับไม่อาจทนขมวดคิ้วต่อไปได้ แล้วก็เลยเลื่อนศีรษะทุยๆนั่นไปซบแขนนนท์ก่อนที่จะหัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้ พอเห็นพี่ชายหัวเราะชอบใจแบบนั้น ใจมันก็พลันมีความสุขไปด้วยอย่างไม่อาจจะห้ามได้จริงๆ

“บังอาจหัวเราะเยาะพี่รึ ตัวแสบ” นนท์ที่เงยหน้าเปื้อนยิ้มขึ้นมาเอามือขยี้เส้นผมของน้ำต้นอย่างมันเขี้ยว

“โอ๊ย... หมดกัน ความหล่อหายไปหมด” น้ำต้นคร่ำครวญจนน่าหมั่นไส้

เสียงหัวเราะค่อยๆเงียบลง นนท์นอนซบแขนตัวเองลงไปอีกครั้งแต่หันไปมองเสี้ยวหน้าของน้ำต้นอย่างพิจารณา น้ำต้นหันไปสบตากับนนท์ราวกับนัดกันไว้ มือที่ขยี้หัวเจ้าน้องชายเมื่อครู่กลายเป็นสัมผัสที่อ่อนโยนเมื่อเขาลูบเส้นผมที่ชี้ไปชี้มาอย่างเอ็นดู น้ำต้นไม่อาจอธิบายความรู้สึกที่เหมือนกับเวลาได้หยุดเดินไปชั่วขณะเหมือนในตอนนี้ได้เลย และดูเหมือนไม่อาจจะละสายตาที่น่าดึงดูดใจคู่นี่ได้ด้วย ความรู้สึกที่เขาเองก็ไม่ค่อยจะเข้าใจนัก แต่ที่แน่ๆมันเป็นความรู้สึกที่ดีเหลือหลาย แล้วนนท์ก็ยิ้มให้กับเขา

“ต้นไม่ถามพี่ก็จะชวนอยู่พอดี” น้ำเสียงนุ่มหูเอ่ยขึ้นทำลายความเงียบ “ป้าชื่นยังถามหาอยู่เลย ถ้าพี่ไม่พาไป เดี๋ยวจะโดนงอนเอา” มือนุ่มเรียวยาวเกินกว่าจะเป็นมือผู้ชายที่ลูบเส้นผมเขาอย่างอ่อนโยนผละจากศีรษะของเขา แต่ไม่ทันไร ก็ถูกสัมผัสอุ่นจากมือของน้ำต้นคว้าเอาไว้

“แล้วถ้าป้าชื่นไม่ถามหาล่ะ” น้ำต้นยังคงจับมือข้างนั้นเอาไว้ไม่ปล่อย นนท์ชะงักด้วยไม่ทันตั้งตัว “พี่ยังจะชวนต้นไปบ้านพี่อยู่หรือเปล่า” เจ้าน้องชายจ้องตรงไปที่ดวงตาของชายหนุ่มราวกับคาดคั้นจะเอาคำตอบให้ได้ นนท์ไม่เคยเห็นน้ำต้นทำสีหน้าและแววตาแบบนี้มาก่อน เขาได้แต่ยิ้ม ก่อนที่จะคลี่ยิ้มออกกว้างจนเหมือนจะหัวเราะออกมา

“ป้าชื่นไม่ชวน ต้นก็ไปบ้านพี่ได้เสมอนะครับ” นนท์มองเจ้าน้องชายล้อๆ “อะไร จะงอนพี่ซะแล้วเหรอเรา”

น้ำต้นหัวเราะออกมาในที่สุด “บ้า แหมพี่... ก็แค่อยากรู้ เห็นชอบเอาป้าชื่นมาอ้างทุกที ไอ้เราก็คิดว่าหรือเจ้าบ้านเค้าไม่อยากให้ไปก็ไม่รู้ ออกปากชวนไปบ้านทีไร เอาคนอื่นมาอ้างตลอด” เจ้าเด็กน้อยทำทีตัดพ้อ

“พี่ไม่เห็นต้องชวน น้ำต้นก็หาเหตุมาได้ทุกทีแหละ” นนท์ส่ายหน้าหัวเราะเบาๆ “ว่าแต่”

นนท์เงียบไป ไม่พูดอะไรต่อ จนน้ำต้นที่เงี่ยหูรอฟังอยู่อดรนทนไม่ได้ หันไปมองหน้าพี่ชายจำเป็นที่นั่งอยู่ใกล้ๆกัน พี่ชายก็ได้แต่มองหน้าแล้วก็ยิ้มอย่างเดียว ในที่สุดนนท์ก็เอ่ยออกมาอย่างติดตลก

“เมื่อไหร่จะปล่อยมือพี่ครับน้ำต้น”

“เอ๋า... ลืม” น้ำต้นยิ้มแหยแก้เก้อ เขาคลายมือออก แต่ก็ยังไม่ปล่อยมือของนนท์ไปเสียเลยทีเดียว “จับเพลินไปหน่อย นี่ถ้าหลับตาก็นึกว่าจับมือผู้หญิงอยู่เลยนะ มือนิ้มนิ่ม” ว่าไม่ว่าเปล่า ทำท่าจะยกมือข้างนั้นมาสัมผัสริมฝีปากตัวเองเสียอย่างนั้น

“เอ๊ย!” นนท์ดึงมือออกอย่างลืมตัวด้วยความตกใจ น้ำต้นหัวเราะชอบใจอาการของพี่ชาย ยิ่งเงยหน้าขึ้นมองหน้าเหวอๆของนนท์ตอนนี้ น้ำต้นก็ยิ่งหยุดหัวเราะไม่ได้

“แกล้งพี่เหรอ” นนท์ซัดมะเหงกลงบนศีรษะเจ้าน้องชายตัวแสบโป๊กใหญ่

“โอ๊ย!  พี่... ต้นล้อเล่น” น้ำเสียงเหมือนจะโอดครวญแต่ฟังไม่น่าเชื่อถือเอาเสียเลย

“ไป... จะไปไหนก็ไป” นนท์ออกปากไล่ด้วยหมั่นไส้เต็มแก่

“งั้น...” น้ำต้นลุกขึ้นยืนบิดขี้เกียจ “เดี๋ยวเย็นนี้พี่ไปกะต้นนะ เดี๋ยวต้นขับรถไปเอง ขากลับพี่จะได้ไม่ต้องเสียเวลาขับไปส่ง” เจ้าคนน้องว่าเป็นชุดชนิดไม่เปิดโอกาสให้พี่ได้โต้เถียงอะไรทั้งสิ้น

“แล้วก็... ระวังเถอะ” น้ำต้นหันกลับมาว่าด้วยสายตายียวนอย่างยิ่ง

“วันนี้รอดตัวไป แต่วันหน้าไม่รอดแน่” ว่าแล้วเจ้าตัวก็เดินออกไป โดยไม่รอดูปฏิกิริยาของอีกฝ่ายที่นิ่งอึ้งไปกับคำพูดนั้นอย่างไม่เชื่อหู

“เจ้าตัวแสบ” นนท์บ่นให้ตัวเองได้ยินเบาๆ รู้สึกแค่ความร้อนที่ผะผ่าวอยู่บนใบหน้าเท่านั้นในตอนนี้

**********************

“ป้าชื่นคร้าบบบบบ” เจ้าเด็กร่างใหญ่ตาหวานทำเสียงใสพลางเดินถลาเข้าไปหาหญิงชราร่างท้วมพร้อมกับสวมกอดนางอย่างร่าเริงและอบอุ่น ทันทีที่ดับเครื่องและก้าวลงจากรถ ทิ้งให้คนที่นั่งมาด้วยเปิดประตูออกมาและหยุดมองด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มอย่างอดเอ็นดูภาพที่เห็นตรงหน้าไม่ได้ ก็เพราะอย่างนี้ไงเล่า ถึงได้ชนะใจป้าชื่นและใครต่อใครได้อย่างไม่ต้องสงสัย ก็น้องชายของเขาช่างขี้อ้อนและช่างประจบเอาใจถึงเพียงนี้

“คุณต้น” ป้าชื่นเรียกชื่อเด็กหนุ่มอย่างเป็นกันเอง “แหม... ป้าคิดว่าคุณนนท์จะไม่ชวนคุณต้นมาเสียแล้วค่ะ”

“ก็” น้ำต้นหันไปมองนนท์ที่กำลังเดินเข้ามาสมทบ ก่อนจะเอ่ยปากเหมือนอยากจะให้คนมาทีหลังได้ยินชัดๆว่า “ถ้าต้นไม่ขอมาเอง ก็ไมรู้เหมือนกันว่าจะมีใครชวนหรือเปล่า” กล่าวหาเสร็จแล้วยังไม่พอ เจ้าเด็กขี้อ้อนยังทำตาแป๋วชวนให้น่าสงสารอีกต่างหาก

“จริงหรือคะคุณนนท์” ป้าชื่นหันไปถามคุณนนท์ที่เพิ่งจะเดินเข้ามาสมทบทันควัน

“อ้าว... แล้วมันเรื่องอะไรมากล่าวหาพี่ล่ะน้ำต้น” ว่าแล้วชายหนุ่มก็ชูมือทำท่าจะมะเหงกไปที่ศีรษะของเจ้าน้องตัวดีขี้ฟ้องอีกคำรบ

“อ๊ะ อ๊ะ... ดูสิครับป้าชื่น ยังไม่ทันไร พี่นนท์จะทำร้ายร่างกายต้นซะแล้ว” ไม่ว่าเปล่า ยังแสร้งทำเป็นวิ่งไปหลบอยู่ข้างหลังร่างท้วมๆของป้าชื่นที่บังร่างเด็กหนุ่มจนมิด ก่อนที่จะย่อตัวและชะโงกหน้าออกมาลอบมองนนท์อีกต่างหาก

“ดูเอาเถอะครับ ป้าชื่น” นนท์ได้แต่ส่ายหน้าราวกับระอากับพฤติกรรมป่วนของน้ำต้นเต็มแก่ แต่ก็อดยิ้มออกมาไม่ได้

ป้าชื่นหัวเราะชอบใจเด็กหนุ่มทั้งสองคน ยิ่งกับคุณนนท์ด้วยแล้ว นางให้รู้สึกแปลกใจเหลือคณา เพราะปกติคุณนนท์เป็นคนไม่ช่างจำนรรจา บุคลิกก็เงียบขรึมแม้จะสุภาพอ่อนโยนเพียงไร แต่ทุกครั้งที่มีชายหนุ่มหน้าทะเล้นนิสัยร่าเริงคนนี้อยู่ใกล้ๆ คุณนนท์จะดูสดชื่นและอารมณ์ดีเป็นพิเศษ อีกทั้งยังดูเปิดเผยแถมยังขี้เล่นเสียอีกด้วย นางไม่เห็นชายหนุ่มยิ้มหัวกับใครแบบนี้มานานมากเหลือเกินนับตั้งแต่คุณนนท์กลับมาจากเมืองนอก นางจึงได้นึกนิยมและชอบอกชอบใจเด็กหนุ่มน้ำต้นคนนี้มากเป็นพิเศษ

“ไม่เอาแล้วค่ะคุณๆ” นางว่าพลางเอามือไล่ต้อนสองหนุ่ม “ไปนั่งเล่นกันก่อนดีกว่าค่ะ ป้าชื่นยังเตรียมสำรับอาหารอะไรไม่เรียบร้อย ขอไปสั่งการอะไรเด็กๆก่อนดีกว่า ยังไม่หิวกันนะคะ”

ทั้งคู่ส่ายหน้า ก่อนที่คนตัวเล็กแต่แก่กว่าจะเข้าไปโอบนาง “ป้าชื่นตามสบายครับ นนท์กับต้นยังไม่หิวเท่าไหร่ เดี๋ยวหาอะไรทำกันไปก่อน แล้วค่อยให้เด็กมาเรียกก็ได้” ว่าแล้วก็หอมฟอดใหญ่ที่แก้มของแม่นม นางกอดตอบหลวมๆก่อนที่จะผละไป ปล่อยให้สองหนุ่มได้มีเวลาเป็นของตัวเอง


************************

“ต้นนั่งเล่นไปก่อน ขอพี่เอาของเข้าไปเก็บในห้องหน่อย” ว่าแล้วก็เดินหายเข้าไปในห้องนอนที่อยู่ไม่ไกลกัน

น้ำต้นแวะเวียนมาที่นี่หลายครั้งแล้ว นับตั้งแต่ที่พวกเขาเริ่มสนิทสนมกัน บ่อยครั้งที่เขาลืมตัวคิดว่าที่นี่เป็นบ้านอีกหลังของตัวเองไปเสียอย่างนั้น ระยะหลังเขามาที่นี่บ่อย ไม่รู้ทำไมจึงรู้สึกเหมือนทนกับความเหงาไม่ได้มากอย่างแต่ก่อน หรืออาจจะเป็นเพราะความเคยชินที่ได้รู้ว่า ไม่ว่าเขาจะอยู่ที่ไหนหรือทำอะไร ก็จะมีพี่นนท์คอยอยู่ข้างๆ ให้ได้รู้สึกอุ่นใจอยู่ตลอดเวลากันแน่ แม้น้ำต้นจะไม่ใช่ลูกคนเดียว แต่ด้วยความที่พี่คนโตเป็นพี่สาว ทั้งคู่จึงไม่อาจพูดคุยกันได้ทุกเรื่องแม้จะสนิทสนมกันเพียงไรก็ตาม เมื่อมีนนท์ก้าวเข้ามาทำความรู้จัก เขาที่ถูกชะตานนท์ตั้งแต่แรกเห็น จึงได้รู้สึกเปิดใจกับคนๆนี้มากเป็นพิเศษ ยิ่งไปกว่านั้น ตลอดระยะเวลาที่ได้ทำความรู้จักกัน เขาก็ยิ่งรู้สึกผูกพันกับคนที่เขาเรียกว่าพี่ได้อย่างเต็มปากและสนิทใจได้มากขึ้นเรื่อยๆ

น้ำต้นมองสำรวจห้องที่เขาเริ่มจะคุ้นเคยกับมันมากขึ้นเรื่อยๆ ก่อนจะชั่งใจเดินไปเคาะห้องของพี่ชายที่หายเข้าไปอยู่ในนั้นครู่ใหญ่แล้ว

“พี่นนท์” เขาเคาะประตูเบาๆ พร้อมกับเรียกพี่

ยังไม่ทันได้รอสักกี่มากน้อย ประตูก็เปิดออก “ขอโทษที่ช้า จะเอาอะไรหรือเปล่าต้น” นนท์ทำหน้าประหลาดใจเล็กน้อย

“ไม่อยากได้อะไร แต่ขอเข้าไปหน่อยได้ไหมพี่”

นนท์ไม่ได้ว่าอะไรนอกจากยิ้มและเปิดประตูออกกว้างขึ้นเพื่อให้คนตัวโตกว่าสอดร่างเข้ามาได้สบายๆ

“ห้องพี่นนท์นี่สะอาดเรียบร้อยมากเลยเนาะ ดูยังไงก็ห้องพี่ชัดๆเลยอ่ะ” คนพูดหันไปมองรอบๆห้องราวกับจะจดจำตำแหน่งข้าวของที่วางเอาไว้มุมนั้นบ้างมุมนี้บ้างเอาไว้ให้ขึ้นใจ

“พอดีพี่มาเปิดโน้ตบุ๊กแล้วมันก็เลยติดพันนิดหน่อย โทษทีที่ให้รอนานนะ” เจ้าของบ้านขี้เกรงใจว่าพลางนั่งลงบนเก้าอี้เข้าชุดกับโต๊ะเขียนหนังสือที่มีโน้ตบุ๊กกางอยู่

“พี่นนท์”

“ว่าไงครับ”

“พี่เล่นเปียโนให้ฟังหน่อยสิ” น้ำต้นนั่งลงบนขอบเตียงนุ่มพลางพยักเพยิดไปทางคีย์บอร์ดที่ตั้งอยู่ใกล้ๆโต๊ะเขียนหนังสือ “นะพี่ ต้นอยากฟัง เอาเพลงที่พี่แต่งเองที่เล่นให้ต้นฟังตอนที่เราเล่นดนตรีด้วยกันครั้งแรกนั่นก็ได้”

นนท์หันมามองหน้าน้ำต้นก่อนที่จะเดินไปนั่งหน้าคีย์บอร์ดที่เขามักจะใช้ทำงานหรือแม้แต่ใช้ผ่อนคลายอารมณ์ได้ด้วยในบางวัน นนท์ไม่ได้ตั้งโปรแกรมให้หวือหวามากมาย แค่เซ็ตเครื่องให้เป็นเสียงเปียโนเท่านั้น ก็ใช้ได้แล้ว นนท์ค่อยๆยกมือยาวเรียวดึงดูดสายตาคู่นั้นขึ้นมา ก่อนที่จะค่อยๆวางนิ้วลงบนคีย์ กลายเป็นคอร์ดที่สอดรับประสานกันอย่างอ่อนหวานจับใจ

แม้น้ำต้นจะเคยฟังเพลงนี้มาแค่ครั้งเดียว แต่ด้วยสำเนียงที่งดงามของมันที่เมื่อได้ยินอีกครั้ง เขาก็จดจำได้ทันที จากที่แค่ชอบเพลงนี้ มาครั้งนี้เขากลับหลงรักมันขึ้นมาจริงๆจังๆเสียแล้ว เสียงเพลงบางครั้งก็แสดงถึงตัวตนของคนที่บรรจงสร้างสรรค์มันขึ้นมา น้ำต้นเอนร่างลงครึ่งนั่งครึ่งนอนอยู่บนขอบเตียง ปล่อยอารมณ์และความคิดให้ล่องลอยไปกับเสียงเปียโนหวานซึ้งนั้น

เมื่อบรรเลงเพลงจบลง นนท์ก็หันกลับมามองเด็กหนุ่มที่ร่ำร้องอยากฟังเพลงของเขาหนักหนา ก่อนที่จะคลี่ยิ้มอันอ่อนโยนออกมา เขาลุกจากเก้าอี้ และเดินมาคุกเข่าอยู่ข้างเตียงตรงที่มีร่างสูงยาวครึ่งนั่งครึ่งนอนที่ตกอยู่ในห้วงนิทราไปแล้วเป็นที่เรียบร้อย นนท์หัวเราะออกมาเบาๆพร้อมกับจ้องมองไปที่ดวงหน้าที่ตอนนี้ดูเด็กกว่าอายุจริงของเจ้าตัวไปหลายปี

“นอนหลับเป็นเด็กๆไปเลย” ว่าแล้วก็เอื้อมมือไปบีบจมูกเจ้าน้องชายตัวดีเบาๆอย่างเอ็นดู ก่อนจะเลื่อนมือปัดเส้นผมยุ่งๆที่เคลียอยู่ตรงหน้าผากของน้ำต้นอย่างแผ่วเบายิ่ง ด้วยเกรงว่าคนที่นอนหลับสนิทอยู่จะสะดุ้งตื่นขึ้นมาเสียก่อน แล้วจึงเดินออกไป ปล่อยให้เด็กหนุ่มนอนพักผ่อนได้อย่างเต็มที่


**************************

ออฟไลน์ Namehoto

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 780
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +696/-9
น้ำต้นที่ตื่นขึ้นมามองไปรอบๆอย่างมึนงง จำไม่ได้ว่าตัวเองเผลองีบหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ พอตั้งสติได้ก็พลันนึกได้ว่า ไม่ได้อยู่ที่บ้านของตัวเองสักหน่อย แต่กลับมาหลับใหลไม่ได้สติอยู่แบบนี้ แย่จริงๆเรา พี่นนท์ก็ไม่อยู่ ไม่รู้หายไปไหน คิดได้ดังนั้นก็ทำท่าจะลุกขึ้นยืนบิดขี้เกียจ แต่พลันสายตาก็หันไปเห็นอะไรสักอย่างตกอยู่บนพื้นใต้โต๊ะเขียนหนังสือของเจ้าของห้องนั่นเอง น้ำต้นคลานมุดเข้าไปหยิบมันขึ้นมา

“รูปถ่าย” เขารำพึงเบาๆกับตัวเอง ก่อนจะนิ่วหน้าเมื่อหงายภาพขึ้นมาดู ในรูปมีคนอยู่สองคน คนหนึ่งก็คือพี่นนท์ของเขาที่ดูแตกต่างจากตอนนี้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่อีกคน เขาไม่รู้จัก แต่ก็รู้สึกว่าคุ้นหน้าคุ้นตาอย่างไรพิกล ที่แน่ๆ เขาไม่ชอบบรรยากาศในภาพนี่เอาเสียเลย พี่นนท์ยิ้มเหมือนอย่างที่มักจะยิ้มให้เขาบ่อยๆ และคนข้างๆนั่นก็ดูจะสนิทสนมกับพี่ชายของเขาเป็นพิเศษ น้ำต้นรู้สึกไม่พอใจและไม่พอใจเอามากๆชนิดที่เขาก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมจึงรู้สึกหงุดหงิดหนักหนา เขาว่าเขาคุ้นหน้าคนในรูป แต่ตอนนี้เขาไม่มีอารมณ์นึกถึงจริงๆว่าเคยเห็นหมอนี่ที่ไหนมาก่อน

จริงสิ เขาต้องตามหานนท์เสียก่อน เจ้าของบ้านหายไปไหนเสียแล้วก็ไม่รู้ ทิ้งให้เขานอนอยู่คนเดียว ว่าแล้วก็ตัดใจวางรูปถ่ายนั้นไว้บนโต๊ะ ก่อนที่จะเปิดประตูเดินออกไป ยื่นหน้าเข้าไปดูในห้องรับแขกก็ไม่เห็นวี่แววว่ามีใครนั่งอยู่ ในห้องครัวเล็กๆก็ไม่มี แต่พอเปิดประตูหน้าบ้านหลังเล็กออกไป น้ำต้นก็เห็นร่างเล็กๆสมส่วนนั่งหันหลังเขียนอะไรขยุกขยิกอย่างตั้งใจ มีหูฟังที่ต่อกับเครื่องเล่นเอ็มพีสามเสียบอยู่ที่หู อากาศเบื้องนอกกำลังสบาย มีลมเย็นพัดมาเบาๆ น้ำต้นสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ พอได้เห็นด้านหลังของนนท์ที่นั่งอยู่ตรงนั้น เขาก็รู้สึกสบายใจและโล่งใจอย่างบอกไม่ถูก

ต่อให้เรียกก็คงไม่ได้ยินหรอก ยิ่งพอได้ใส่หูฟังและตั้งหน้าตั้งตาทำอะไรแบบนี้ด้วยแล้ว น้ำต้นเดินเข้าไปหาทางด้านหลัง ใกล้ถึงเพียงนั้น นนท์ก็ยังไม่รู้ตัวอยู่ดีนั่นเอง จนกระทั้งน้ำต้นยื่นแขนข้ามไหล่ของชายหนุ่มแล้วเท้าลงบนโต๊ะพลางก้มหน้าพ่นลมหายใจรดหูของเขานั่นแหละ เจ้าตัวถึงกับสะดุ้งหันหน้าไปจนเกือบจะชนเข้ากับแก้มใสๆของเด็กหนุ่มขี้เล่นที่ยื่นหน้าเข้ามานั่นเสียแล้ว

“เอ๊ย!...” ก่อนที่จะผงะออกไป นนท์หน้าตาตื่น ก่อนที่จะเห็นว่าเสี้ยวหน้าที่อยู่ห่างไปไม่กี่เซนติเมตรกำลังยิ้มกว้างอย่างชอบอกชอบใจอย่างยิ่ง

“เล่นอะไรน้ำต้น!” นนท์โวยวายออกมา ด้วยเสียงที่ไม่ดังนัก เสียงโวยวายของพี่นนท์ก็ไม่ต่างอะไรกับเสียงพูดธรรมดาของคนทั่วไปนั่นแหละ เจ้าตัวแสบคิด “แล้วนี่ตื่นตั้งแต่เมื่อไหร่ มันเรื่องอะไรมาแอบดูพี่” นนท์ยังไม่เลิกประท้วง มือปิดสมุดที่เขาง่วนเขียนอะไรลงไปอยู่เป็นนานด้วยเกรงว่า คนใกล้ตัวจะเห็นเข้า

“ก็พี่นนท์ไม่ยอมปลุก ทิ้งให้ต้นนอนอยู่คนเดียว ใช้ได้ที่ไหน” เจ้าคนน้องที่นอกจากจะไม่สำนึกถึงบุญคุณของคนพี่ ยังกล้าดีมายียวนเขาเสียอีก

“อ้อ เป็นความผิดของพี่อีกใช่ไหม” นนท์เสียงอ่อนลงอย่างไม่นึกถือสาหาความอะไรอีก “แล้วนี่อะไรเนี่ย... ปล่อยซิ” เขาสั่ง เมื่อเริ่มรู้ตัวว่าโดนล็อกตัวเอาไว้จนไม่อาจลุกไปไหนได้

“ไม่ปล่อย ไม่รู้ล่ะ”

“ไม่ปล่อยแล้วพี่จะลุกได้ไงเล้า” คนพี่ทำเสียงขึ้นจมูกเหมือนมอดแทะไม้

“งั้น... บอกมาก่อน พี่นนท์ทำอะไรอยู่ ถึงได้ไม่รู้ตัวเอาเล้ยว่ามีคนเดินมาใกล้ขนาดนี้”

“ไม่บอก เรื่องอะไรพี่ต้องบอก” นนท์เอามือวางทับสมุดเอาไว้ราวกับกลัวว่าข้อความข้างในมันจะล้นทะลักออกมาให้คนข้างๆได้เห็นอย่างไรอย่างนั้น

“ไม่บอกใช่ไหม”

“ไม่มีทาง” เขาว่าอย่างดื้อดึง

“งั้นเจอนี่” ยังไม่ทันขาดคำแขนข้างหนึ่งของน้ำต้นก็รวบร่างที่นั่งอยู่เอาไว้ อีกข้างก็ลงมือจี้ไปที่เอวเสียเลย

“เฮ้ย... ไม่เอา... ปล่อยก่อน... น้ำต้น!” นนท์ถึงกับดิ้นไปมาและหัวเราะด้วยความจั๊กกะจี๋ แต่ก็ขยับไปไหนไม่ได้มากนัก เพราะแขนแข็งแรงอีกข้างที่ล็อกตัวเขาเอาไว้เรียบร้อย

“ยอมบอกรึยัง” น้ำต้นยังคงสนุกกับการแกล้งพี่ ว่าตามจริง เขาไม่ได้อยากรู้ขนาดนั้นหรอกว่าพี่นนท์ของเขาเขียนอะไรอยู่ แต่ด้วยความหมั่นไส้ที่ดูจะมีความลับเยอะเหลือเกิน แถมยังติดใจกับไอ้ผู้ชายที่ยิ้มทำหน้าระรื่นในรูปถ่ายนั่นอีก มันเขี้ยวนัก เลยขอเอาคืนเสียหน่อยเถอะ

“ไม่บอก ยังไงก็ไม่บอก” ใจแข็งจริงๆแฮะ โดยไม่ทันตั้งตัวน้ำต้นเลยช้อนร่างนั้นขึ้นมาอุ้มเอาไว้ในวงแขนเสียเลย

“เฮ้ยยยยยย!!!” นนท์ที่ถึงแม้จะตัวเล็กแต่ก็แข็งแรงพอตัวถึงกับตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น น้ำต้นหัวเราะชอบใจอย่างยิ่ง ที่ได้เห็นปฏิกิริยาของนนท์

“น้ำต้น ปล่อยพี่” เขาส่งเสียงประท้วงก็จริงแต่แขนข้างหนึ่งเกาะเกี่ยวที่คอของคนตัวใหญ่กว่าอย่างลืมตัว เมื่อเสียงหัวเราะจากน้ำต้นเบาลง เจ้าน้องชายตัวดีก็ก้มลงมองพี่ที่อยู่ในอ้อมแขนนั้น น้ำต้นจากที่รู้สึกชอบอกชอบใจเมื่อครู่ในตอนนี้เขากลับรู้สึกใจเต้นแรงขึ้นมาอย่างไม่อาจห้ามได้ เพราะพี่นนท์ที่เมื่อกี้พยายามบิดตัวหนีเขาอย่างเอาเป็นเอาตาย ในตอนนี้กลับก้มหน้างุดไม่ยอมสบตาเขา ใบหูทั้งสองข้างที่ไม่ได้อยู่ห่างระดับสายตาเขาเท่าไหร่ แดงก่ำขึ้นมาเอง ผิวพรรณขาวจัดแบบคนทางเหนือยิ่งขับให้มันเด่นชัดขึ้นไปอีก น้ำต้นรู้สึกได้ถึงความร้อนผ่าวจากใบหน้าของชายหนุ่มในอ้อมแขนแข็งแรงของเขาอย่างชัดเจน

“ปล่อยพี่ลงก่อนเถอะนะ” น้ำเสียงของนนท์ไม่ใช่เสียงประท้วงเหมือนก่อนหน้านี้ แต่เป็นเสียงนุ่มเบาที่น้ำต้นไม่เคยได้ยินมาก่อน น้ำต้นยอมปล่อยร่างนั้นลงยืนอย่างนึกเสียดาย นนท์ยังไม่ยอมสบตาเขา แต่รีบเดินเข้าไปเก็บสมุดพร้อมกับเครื่องเล่นเอ็มพีสามที่วางระเกะระกะอยู่บนโต๊ะนั้นอย่างรวดเร็ว และเดินกลับเข้าไปในบ้าน โดยไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว

น้ำต้นใจเสียทันทีเมื่อเห็นกริยานั้นจากนนท์

“พี่นนท์” น้ำต้นเรียกเสียงอ่อน ก่อนที่จะเดินตามเข้าไป “พี่” ตอนนี้เข้าเริ่มรู้สึกผิดขึ้นมาจริงๆแล้ว หรือเขาจะเล่นเกินไป เขาทำให้พี่นนท์ไม่พอใจมากถึงเพียงนี้เชียวหรือ

“พี่นนท์ครับ” เด็กหนุ่มเปิดประตูห้องที่เขาเพิ่งนอนหลับไปอย่างสบายเมื่อไม่กี่นาทีมานี้ นนท์นั่งนิ่งอยู่หลังคีย์บอร์ด น้ำต้นไม่เห็นว่านนท์ทำหน้าอย่างไรในเวลานี้ แต่เขาค่อยๆเดินเข้าไป นั่งลงข้างเตียงอย่างระมัดระวัง ไม่กล้าเข้าไปเล่นแบบถึงเนื้อถึงตัวอีก

“ถ้าต้นทำให้พี่โกรธ ต้นขอโทษครับพี่” น้ำต้นว่าอย่างสำนึกผิดจริงๆ เขาก้มหน้าเม้มปากด้วยความหวั่นใจ มือที่ประสานกันอยู่บนตักเครียดเกร็งอย่างเห็นได้ชัด ตั้งแต่รู้จักกันมา นนท์ไม่เคยโกรธหรือทำท่าเกรี้ยวกราดกับเขาเลยแม้สักครั้ง เด็กหนุ่มนึกกลัวขึ้นมาจริงๆเมื่อเห็นท่าทางที่เปลี่ยนแปลงไปของนนท์

แต่แล้วก็รู้สึกถึงน้ำหนักที่ยวบหยุ่นลงข้างๆตัว น้ำต้นหันไปมองเสี้ยวหน้าด้านข้างที่แม้ในยามนี้ก็ยังไม่ยอมสบตากับเขา แต่ก็รู้สึกได้ถึงความอบอุ่นจากร่างที่นั่งติดกันอยู่นี้

“จริงๆนะพี่ ต้นขอโทษ...” เขาระล่ำระลักออกมา

“ไม่ต้อง” เสียงพูดของนนท์ดังออกมาเพียงแผ่วเบา “ไม่ต้องขอโทษ” น้ำต้นยังคงมองไปที่นนท์อย่างเต็มตา จนกระทั่งชายหนุ่มหันหน้ามาสบตาเขา

“พี่ไม่ได้โกรธต้นเลยนะครับ” ได้ยินเพียงเท่านั้น หัวใจของน้ำต้นก็พองฟูขึ้นมา เหมือนต้นไม้อันแห้งแล้งที่จู่ๆก็ได้รับน้ำอันชุ่มฉ่ำอย่างไรอย่างนั้น “พี่เพียงแต่...” นนท์พูดได้เพียงเท่านั้นก็ก้มหน้าเงียบไป เป็นเวลาเนิ่นนานที่ความเงียบได้เข้ามาครอบงำในห้องนั้น ชายหนุ่มตั้งตัวไม่ทันและแปลกใจระคนกันเมื่อสัมผัสจากอุ้งมือที่สากกว่าจับมือเรียวยาวของเขาเอาไว้ น้ำต้นไม่ได้สบตานนท์เหมือนอย่างทุกครั้ง แต่มือที่จับมือของเขากระชับเอาไว้อยู่นั้น ราวกับจะบอกเขาว่า ไม่ต้องพูดอะไรออกมาอีกแล้ว

นนท์ยิ้มอย่างที่มักจะยิ้มให้กับน้ำต้นเสมอ เขาปล่อยให้น้ำต้นจับมือเอาไว้แบบนั้นก่อนที่จะเอนศีรษะซบลงบนไหล่กว้างของเด็กหนุ่ม เด็กหนุ่มที่อายุน้อยกว่าเขาห้าปีที่เขาเองยังไม่อยากเชื่อว่าจะสามารถทำให้เขารู้สึกอุ่นใจได้ขนาดนี้ทุกครั้งเวลาที่อยู่ใกล้กัน ทั้งคู่ไม่ได้พูดอะไรกันแม้แต่คำเดียว ได้แต่ปล่อยให้สัมผัสนั้นพูดแทนความรู้สึกอันมากมายที่ก่อตัวขึ้น ช่างอบอุ่นหัวใจยิ่งนัก

“คุณนนท์ คุณต้นขา... ป้าชื่นให้มาตามไปทานมื้อเย็นค่า” เสียงเด็กรับใช้ดังขึ้นที่ประตูหน้าบ้าน ก่อนที่นนท์ตะโกนบอกออกไปด้วยเสียงที่ดังพอได้ยินว่า

“เดี๋ยวตามไปครับ” นนท์หันไปสบตากับเด็กหนุ่มที่นั่งกุมมือเขาอยู่ข้างๆไม่ยอมปล่อย เขาเลิกคิ้วขึ้นเหมือนจะถามว่า จะเอายังไง จนกระทั่งเด็กหนุ่มพ่นลมหายใจออกมาอย่างขัดใจ

“ขัดคอ!” น้ำต้นคำรามออกมาเบาๆ ก่อนที่จะปล่อยมือข้างนั้นออกไปอย่างนึกเสียดาย นนท์ถึงกับหัวเราะออกมาเมื่อเห็นอาการกระฟัดกระเฟียดอย่างไม่เป็นจริงเป็นจังนักของน้องชายตัวดี นนท์เอื้อมมือขึ้นลูบศีรษะน้ำต้นอย่างอ่อนโยน

“ไป... ไปทานข้าวกัน พี่หิวแล้ว” นนท์ทำท่าจะลุกขึ้นยืน

“เดี๋ยวพี่” น้ำต้นคว้ามือนนท์เอาไว้ “แล้วบอกได้รึยังว่าเมื่อกี้เขียนอะไร ทำท่ามีความลับขนาดนั้น”

“ติดใจขนาดนั้นเชียวเหรอน้ำต้น” นนท์ว่าด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเอ็นดู

“ตอนแรกเฉยๆ ไม่รู้ก็ได้ แต่ตอนนี้ชักอยากรู้ขึ้นมาจริงๆแล้ว” น้ำต้นช้อนสายตาขึ้นมองพี่ชาย มือยังไม่ยอมปล่อย

“มันก็ ไม่ใช่ความลับอะไรหรอก” นนท์ชั่งใจก่อนจะบอกออกไปว่า “แต่เอาไว้ ถ้าเรียบร้อยเมื่อไหร่ พี่จะบอกต้นเป็นคนแรกเลย ตกลงไหม” ได้ยินอย่างนั้น น้ำต้นจึงยอมคลายมือออกพร้อมกับยิ้มออกมาได้ในที่สุด

“สัญญาแล้วนะ”

“สัญญา”

“งั้นไปกินข้าวได้” เจ้าเด็กตาหวานจู่ๆก็ตัดบทขึ้นมาง่ายเสียจนน่าทึ่ง ก่อนที่จะจูงมือคนพี่ให้เดินตามออกไป

*******************

“ฮัลโหล ต้น” เมื่อได้ยินเสียงจากปลายสาย น้ำต้นถึงกับชะงักไปจนนนท์ที่นั่งอยู่ข้างๆสังเกตเห็นได้ไม่ยากนัก มื้อเย็นค่ำวันนี้อาหารฝีมือการกำกับของป้าชื่น อร่อยไม่ผิดหวัง แถมต่างฝ่ายต่างก็เป็นคู่สนทนาที่พูดคุยกันออกรสอย่างยิ่ง อาหารมื้อนี้จึงอบอวลไปด้วยบรรยากาศที่ชื่นมื่นเป็นพิเศษ จนสำรับอาหารคาวถูกยกออกไปและมีของหวานเข้ามาแทนที่แล้ว ก็ยังดูเหมือนว่าช่วงเวลานี้จะยืดยาวออกไปได้อีกไม่มีที่สิ้นสุด จนกระทั่งเสียงเพลงจากโทรศัพท์มือถือของน้ำต้นดังขึ้นนั่นแหละ

“เอ่อ... ว่ายังไง” น้ำต้นอึกอักเมื่อรู้ว่าปลายสายเป็นใคร พร้อมกับหันไปสบตากับนนท์

ปลายสายถึงกับอึ้งไป เมื่อเสียงทักทายจากอีกฝ่ายฟังดูห่างเหินและหมางเมินอย่างรู้สึกได้

“ต้นถ้าไม่สะดวกคุยกับไหม ก็ไม่เป็นไรนะ” ยิ่งฝ่ายนั้นทำเสียงเครือเหมือนจะร้องไห้ออกมา น้ำต้นก็ยิ่งทำตัวไม่ถูก เขาไม่อยากคุยกับไหมเวลาอยู่กับพี่นนท์เลย ไม่รู้เป็นเพราะอะไร

“ไม่ใช่ไม่อยากคุย” ปากแม้จะบอกออกไป แต่สายตาของเขายังคงจับนิ่งอยู่ที่ใบหน้าของนนท์ ที่สีหน้าในตอนนี้น้ำต้นเองก็บอกไม่ถูกเหมือนกันว่ารู้สึกอย่างไร เขายิ้มให้น้องชาย ตบที่ต้นแขนเบาๆ ก่อนจะพูดเสียงค่อยพอแค่ให้ได้ยินว่า

“คุยธุระของต้นไปเถอะ เดี๋ยวพี่ขอตัวแป๊ปนึง” แล้วก็ผละออกจากโต๊ะไป น้ำต้นบอกได้แค่เขารู้สึกไม่สบอารมณ์เอามากๆ แต่ก็นั่นแหละ อีกคนก็พี่ อีกคนก็เพื่อนเก่า... เขาเองก็อยากรู้ว่าไหมต้องการอะไรจากเขานัก พักนี้จึงโทรหาเขาบ่อยเหลือเกิน

“มีอะไรหรือเปล่าไหม” น้ำต้นเปลี่ยนน้ำเสียงให้ฟังดูอ่อนโยนขึ้น

“ขอบคุณนะต้น... ไหมก็แค่” จู่ๆปลายสายก็ร้องห่มร้องไห้ออกมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย

“ไหม เป็นอะไรไป ร้องไห้ทำไม” ตอนนี้เองที่เขาก็เริ่มที่ตกอกตกใจขึ้นมาบ้าง

“ต้น ไหมรู้สึกแย่มากเลยตอนนี้ แต่ไหมไม่มีใครเลย...” ว่าแล้วก็ร้องไห้โฮออกมาอีก “มันเครียดไปหมด คนเดียวที่ไหมนึกถึงก็คือต้น” ไหมสะอึกสะอื้น ทำเอาน้ำต้นใจอ่อนยวบ ลืมความขัดเคืองใจมื่อครู่ไปสิ้น

“แล้ว จะให้ต้นช่วยยังไง”

“ถ้าไม่กวนใจจนเกินไป... ต้นมาอยู่เป็นเพื่อนไหมหน่อยได้ไหม” น้ำต้นนิ่งเงียบไป เขาหันหน้าไปมองทางที่พี่ชายของเขาเพิ่งผละไปเมื่อครู่อย่างลำบากใจ “แต่ถ้าไม่ได้ ก็ไม่เป็นไร ไหมเข้าใจนะ” ปลายสายทำเสียงเครือขึ้นมาอีกแล้ว

“ได้...”

“อะไรนะต้น”

“เดี๋ยวต้นจะไปหาก็แล้วกัน ยังอยู่ที่เดิมใช่ไหม”

“ใช่จ้ะ ดีใจนะที่ต้นยังจำได้”

ความรู้สึกอันหนักอึ้งในอกทบทวีขึ้นทันที่เขากดวางสาย ทำไมไหมชอบโทรมาตอนที่เขาอยู่กับนนท์นะ และมันก็ทำให้เขารู้สึกอึดอัดใจทุกครั้ง เขาไม่อยากให้นนท์รู้สึกไม่ดีเลยจริงๆ หรือนนท์อาจจะไม่ได้รู้สึกอะไรเลยก็ได้ แต่เขาก็ไม่ชอบอยู่ดี

“พี่นนท์” น้ำต้นเดินตามนนท์ออกไปตรงระเบียงของบ้านเล็ก สายตาของเขาจับไปที่แผ่นหลังของพี่ชายที่ยืนไม่ไหวติงอยู่ตรงนั้นคนเดียว นนท์เป็นผู้ชายตัวเล็กก็จริง แต่ก็ดูดีเหลือเกินแม้จะมองจากด้านหลังแบบนี้ก็ตามที

น้ำต้นเดินเข้าไปยืนข้างๆนนท์ สีหน้าของเขาลำบากใจอย่างยิ่ง ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมต้องลำบากใจ ถ้าเป็นพี่เมษโทรมาตาม เขาจะลำบากใจแบบนี้ไหม หรือเพราะนี่เป็นเรื่องของไหม... เรื่องของคนที่อาจจะทำให้พี่นนท์รู้สึกอะไรหรือเปล่า น้ำต้นจึงเป็นกังวล แต่เขาก็ไม่อาจจะตอบคำถามนี้ได้

“จะไปหาเพื่อนเหรอน้ำต้น” นนท์กลับเป็นฝ่ายเปรยขึ้นมาเสียเอง

“พี่เนี่ย เหมือนอ่านใจคนได้เลย” น้ำต้นพ่นลมหายใจออกมาเบาๆพร้อมรอยยิ้ม

“ไม่หรอก... พี่อ่านไม่ได้ทุกคนหรอก” นนท์หันหน้ามามองเขาตรงๆก่อนจะนิ่งไปเป็นครู่ “ไปเถอะ เขาคงต้องการความช่วยเหลือจากเราจริงๆนั่นแหละ ถึงได้โทรมา”

“จะดีเหรอพี่ ต้นเป็นคนคะยั้นคะยอขอมาบ้านพี่เองแท้ๆ” เขาก้มหน้าอย่างรู้สึกผิดเต็มที่

นนท์ยิ้มให้น้ำต้น เขายกมือขึ้นตบที่หลังของน้องชายเบาๆ ก่อนจะว่า “บ๊องหรือเปล่า คิดมากไปแล้ว”

“งั้นต้นกลับก่อนนะพี่นนท์”

“ไปเถอะ ขับรถดีๆล่ะ” น้ำต้นยกมือไหว้นนท์ ในใจเขาอยากจะบอกออกไปเหลือเกินว่า ไม่ได้อยากไปเลยซักนิด ยิ่งเห็นหน้าเหงาๆของนนท์ด้วยแล้ว เขาก็ยิ่งอยากจะเปลี่ยนใจไม่ไปเสียเดี๋ยวนั้น

“กลับถึงบ้านแล้ว จะโทรหานะพี่” น้ำต้นว่า ก่อนจะออกเดินไป

นนท์เลิกคิ้วขึ้น ก่อนจะยิ้มออกมาพร้อมกับรำพึงกับตัวเองเบาๆว่า “ต้นก็อ่านใจพี่ได้เหมือนกันนะ” เขายืนเหม่อมองท้องฟ้าไร้ดาวนั่นอีกครู่ใหญ่ ก่อนจะเดินหายเข้าไปในบ้าน

_____________________________________

โปรดติดตามตอนต่อไปค่ะ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด