รีบโพสรีบไปสปาแล้วล่ะ bye bye แล้วเจอกันใหม่ ใครอยาก
ก็เชิญไปทำคุณคฑาวุธนะครับ ผมเป็นคนโพสเฉยๆ
11
ธีรดนย์มอบหมายงานให้ผู้ช่วยคนสำคัญและเลขานุการแล้วเดินแยกตัวขึ้นไปบนชั้นสามเพื่อตรงไปยังบันไดที่นำขึ้นไปสู่พื้นที่ใต้หลังคาเหนือชั้นพิเศษสำหรับสมาชิกคลับระดับซุปเปอร์วีไอพี
ขณะที่กำลังเดินขั้นบันไดแคบๆ สู่ชั้นบน ธีรดนย์ก็อดคิดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมเวลามีปัญหาระบบคอมพิวเตอร์ช่างจะต้องปีนขึ้นไปไล่สายเคเบิลบนรางเหล็กที่แขวนอยู่เหนือเพดาน แต่คราวนี้เขาชอบใจที่ ‘วิศวกรใหญ่’ เป็นคนขึ้นไปเอง
...ลิงรูปหล่อหน้าขาวๆ คิ้วเข้มๆ จมูกโด่งๆ ปากแดงๆ อีกแล้ว...
...ดูซิจะทำหน้าอย่างไรหากรู้ว่าเขาเป็นเจ้าของคลับ...
ไม่นาน เจ้าของคลับหรูก็มาหยุดยืนอยู่บนแคทวอล์คใต้หลังคาเหนือส่วนที่เป็นทางเข้า Dusitia ครั้นแหงนหน้าขึ้นไปเหนือศีรษะก็มองเห็นร่างของชายหนุ่มที่อยู่ในชุดช่างสีกรมท่ากำลังก้มหน้าง่วนอยู่กับสายเคเบิ้ล
...แน่ะ ฮัมเพลงซะด้วย ทำงานอารมณ์ดีจังเลยนะ นี่จะรู้หรือเปล่าว่าเสือร้ายมายืนจ้องเขมือบอยู่ข้างล่าง...
...ห้อยตัวแบบนั้นไม่กลัวตกหรือยังไงนะ...
...อืม แต่ก้นสวยเหมือนเคย...
ธีรดนย์เผลออมยิ้มเมื่อมองขึ้นไปเห็นบั้นท้ายแน่นๆของชายหนุ่มที่ทำใหเขาหัวหมุนมาสองอาทิตย์กว่า ในใจอดไม่ได้ที่จะนึกภาพเปลือยเปล่าของชายหนุ่มนักซิ่งกำลังห้อยโหนอยู่ใต้หลังคา แล้วมีเขานอนเปลือยแผ่หรารออยู่ข้างล่าง ควันสีขาวค่อยๆ เจือจาง เผยให้เห็นใบหนาขาวๆ ของวิธวินท์กำลังมองลงมาที่เขาด้วยตาวาบหวาม ปากแดงๆ เผยอขึ้นช้าๆ แล้วเรียกชื่อเขาด้วยเสียงกระเส่า
...ช่วยไม่ได้ รูปร่างหน้าตาถูกใจเขานี่ ขอแอบคิดอะไรทะลึ่งหน่อยเถอะ...
“คุณวิธวินท์” ธีรดนย์กระแอมแล้วเรียกชื่อวิศวกรหนุ่มเสียงดัง ฝ่ายที่ถูกเรียกสะดุ้งสุดตัว หันหน้ามาก้มมองคนที่ยืนเท้าสะเอวแหงนหน้ามองอยู่เบื้องล่าง ตาคมกริบเบิกกว้างขึ้นอย่างตกใจพร้อมๆ กับดวงตาของธีรดนย์ที่เบิกกว้างขึ้นด้วยเช่นตกัน และตามมาด้วยเสียงร้องดังลั่น
...โอ๊ย...
...เจ็บ เจ็บจริงๆ โลกหมุนในทันใด ทุกอย่างพร่าเลือนไปหมด...
...โอย อย่าบอกนะว่าเขาโดนประแจหล่นลงกลางหัว...
...วิธวินท์...ทำไม...
เต้ยเดินตรงไปที่ห้องคนไข้หมายเลข 1976 แล้วเอื้อมมือจะเปิดประตูแต่เป็นจังหวะเดียวกับที่ประตูเปิดออกแล้วพยาบาลร่างท้วมเดินออกมาจากห้อง ในมือลากเสาสเตนเลสห้อยขวดน้ำเกลือที่มีรอบโค้งงอตรงกลางเสาออกมาด้วย
"ผมมาเยี่ยมคุณธีรดนย์ครับ" เต้ยแจ้งความประสงค์ แล้วก้มลงมองเสาน้ำเกลือ "เกิดอะไรขึ้นครับ"
"คนไข้นะสิคะ ขนาดเจ็ยยังมีแรงทำให้เสาน้ำเกลือหัก พยาบาลไม่เคยพบเคยเจอ"
...เขาเคยเจอ บ่อยด้วย คนที่จะทำแบบนี้ได้มีอยู่คนเดียวนี่ล่ะ...
เต้ยยิ้ม รอให้พยาบาลเดินจากไปแล้วจึงเปิดประตูเข้าไปเยี่ยม 'คนเจ็บ'
...ทั้งสงสาร ทั้งขำธีรดนย์ คราวที่แล้วโชคดีที่ประแจหล่นเฉียดหัว คราวนี้โดนไปเต็มๆ จนไม่ได้สติต้องหามส่งโรงพยาบาล...
...ฝีมือคนหน้าขาว คิ้วเข้ม จมูกโด่ง ปากแดง คนเดิม...
“ผมจะเอาเรื่องวิธวินท์ จะฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายซักสองสามแสน ข้อหาจงใจทำร้ายร่างกายจนได้รับบาดเจ็บสาหัส” ธีรดนย์พูดทันทีที่เห็นหน้าเลขา
“ระบบคอมพิวเตอร์ซ่อมเสร็จตอนหนึ่งทุ่มนิดๆ ครับ ทุกอย่างเรียบร้อยทันเวลาคลับเปิดได้ตอนสี่ทุ่ม ฝีมือเยี่ยมมาก จะหาช่างคอมพิวเตอร์เน็ตเวิร์กไหนเก่งเท่านี้ไม่มีอีกแล้ว” เต้ยรายงานความเป็นไปที่คลับ
“ยังดีนะหัวไม่แตก” ธีรดนย์ยกมือขึ้นคลำศีรษะตัวเอง
“นี่ถ้าไม่ได้คนเก่งอย่างคุณวิธวินท์ป่านนี้แขกที่มาเที่ยวคงยืนรอกันหน้าคลับ ทุกอย่างคงป่วนไปหมด” เต้ยยังสรรเสริญเยินยอวิธวินท์
“หรือว่าเขาจงใจกะจะเอาผมให้หัวแตกจริงๆ” ธีรดนย์หรี่ตา
“เต้ยแนะนำว่าให้ยกเลิกสัญญากับบริษัทเดิมแล้วจ้าง Network Solutions ดูแลระบบให้ The Dazzle ซะเลย” เลขากับเจ้านายยังพูดคนละเรื่อง
“อย่าเพิ่งให้จ่ายเงินค่าซ่อมระบบนะ รายการนี้ผมไม่เซ็นเช็คจ่ายเงินเด็ดขาด” เข้าของคลับหรูทำเสียงเข้ม
“ได้ยินคุณนิวัตเล่าว่าคุณวิธวินท์เขาวิ่งตาเหลือกลงมาตามคนไปช่วย พอมีคนพาคุณไปโรงพยาบาลแล้วก็ปีนขึ้นไปทำงานต่อ”
“จนป่านนี้ยังไม่ยอมมาเยี่ยมขอโทษผม โทรมาถามอาการหน่อยก็ไม่มี” ธีรดนย์ส่ายหน้าด้วยความไม่พอใจ
“คุณไม่ได้เจ็บอะไรมาก”
“ลองมาโดนบ้างไหมล่ะ” ธีรดนย์มองเลขาตาขวาง
“ยังดีนะที่เป็นซองหนังใส่เครื่องมือ มีประแจเล็กๆ กับไขควงไม่กี่อัน คุณก็ช่างหาอะไรเล่น อยู่ดีๆ ก็ไปจ๊ะเอ๋ให้เขาตกใจ ดีนะที่คุณวิธวินท์ไม่ตกลงมา สูงขนาดนั้นได้คอหักตาม” เลขาดุเจ้านาย
“พอหรือยังคุณเต้ย” ธีรดนย์เสียงเรียบ “นี่ขนาดผมล้มตึงถูกหามส่งโรงพยาบาล พ่อคุณยังนั่งทำงานต่อหน้าตาเฉย ไม่ตระหนกตกใจมือไม้สั่นบ้างเลยหรือ”
“เขาเป็นคนมีสมาธิดี แบบนี้ไงครับถึงเรียกว่ามืออาชีพ ในสถานการณ์น่าตกใจแบบนั้นยังทำงานต่อได้อย่างมีประสิทธิภาพ ถ้าไม่ทำงานต่อ ระบบก็ไม่เสร็จ คลัยจะเปิดได้ยังไง ขายหน้าตายล่ะ The Dazzle ต้องปิดฉุกเฉินคืนวันพฤหัสบดี เพราะเปิดไฟไม่ได้” เลขาบริษัทผลิตเหล้าจีบปากจีบคอพูด
“อ๋อ ที่ผมโดนเครื่องมือตกใส่หัวนี่ผมเป็นหนี้บุณคุณเขาหรือ” ธีรดนย์กระชากเสียง ตาขุ่นเคืองที่คนซึ่งควรจะเป็นฝ่ายเขากลับเข้าข้าง ‘ฝ่ายโน้น’
“เปล่า เขาเป็นหนี้ชีวิตคุณดนย์ที่ไม่ตกลงมาคอหัก” เลขาพูดกระทบกระเทียบด้วยน้ำเสียงเย็นชา
ภมรหัวเราะจนน้ำตาเล็ดเมื่อได้ยินวิธวินท์เล่ารายละเอียดของ ‘อุบัติเหตุ’ ที่เกิดขึ้นกับธีรดนย์ให้ฟังโดยไม่รู้ว่ามีใครบางคนกำลังยืนกอดอกพิงประตูฟังอยู่ด้านหลัง
“ตาเขาโตเหมือนไข่ห่าน ปากอ้ากว้างจนนกบินเข้าได้ทั้งตัว เสียงร้องดังยิ่งกว่าไมโครโฟนอีก นึกภาพแล้วอยาจะเลิกดูวีซีดีตลกคาเฟ่เลยล่ะ” วิธวินท์หัวเราะประกับภมร
“หน้าตาแตกต่างไปจากคนที่ลงมาจะเอาเรื่องเราที่สี่แยกเพชรบุรีโดยสิ้นเชิงใช่หรือเปล่า” ภมรหัวเราะไม่ยอมหยุด
“นี่คงนอนกัดฟันกรอดๆ เพราะโกรธเรา”
“ได้หาหมอฟันต่ออีกโรค” ภมรเสริม
“รอให้ถึงตอนไปขอโทษเขาก่อนเถอะแล้วจะหัวเราะไม่ออก” เสียงศรายุธดังขึ้นข้างหลังเมื่อฟังมาจนพอแล้ว แต่หุ่นส่วนบริษัทอีกสองคนที่นั่งหัวเราะกันอยู่ยังคงคุยกันต่อ
“ทำเป็นเรื่องสนุก คุณธีรดนย์ต้องนอนโรงพยาบาลเลยนะวินท์” ศรายุธผลักไหล่ภมร แล้วหันไปตบแก้มวิธวินท์เบาๆ
“อายุ” วิธวินท์เบี่ยงหน้าหนี “ไม่ใช่เด็กแล้วนะ เลิกตบแก้มผมซะที”
“รู้หรือเปล่าว่าผมลัพท์เป็นยังไง” ศรายุธถาม
“เขาไม่ได้เจ็บเท่าไหร่หรอก ที่นอนโรงพยาบาลเพราะหมอแค่อยากดูอาการ แล้วเงินเขาก็เหลือเฟือ เลยนอกพักอยู่เฉยๆ สุดสัปดาห์แทนที่จะไปตากอากาศที่หัวหิน” วิธวินท์อธิบาย
“วินท์ไม่ได้จงใจแกล้งทำประแจตกใส่หัวเขาจริงๆ หรอกนะ” ศรายุธทำเสียงเรียบ “เห็นพูดมาหลายครั้ง”
“เปล่านะครับอายุธ ผมก็พูดไปยังงั้นเอง แต่คราวนี้เขาโชคร้ายเอง มีที่ไหน อยู่เงียบๆ คนเดียวก็มีคนมากระแอมเรียกชื่อให้ตกใจ”
“คุณเลขาโทรมานัดวันให้ไปพบเจ้านายเขาต้อนสิบโมงเช้าวันพุธ คุณธีรดนย์ให้เคลียร์นัดอื่นๆ ทุกอย่าง เลื่อนการประชุม บอกว่าจะเข้าออฟฟิสตอนเช้าเพื่อมานั่งรอเวลานัด” ศรายุธพูดเสียงเรียบ ใบหน้าเคร่งขรึม
“มาทำงานได้แล้วหรือ” ภมรยังคงหัวเราะเบาๆ
“คงถือไม้เท้าช่วยเดินเพราะยังมึนๆ อยู่ เดินไม่ตรงทาง” วิธวินท์เสริมแล้วยิ้มมุมปาก
“นายต้องไปขอโทษเขาพร้อมกับผู้ปกครอง” ภมรแนะนำ แล้วหัวเราะหนักกว่าเดิม
“คุณธีรดนย์อะไรนี่ ยังไม่เลิกคิดอีก” วิธวินท์เบ้ปาก
“เขายับยั้งการจ่ายเช็คเงินสิบกว่าล้าน ค่าจ้างส่วนขยายระบบคอมพิวเตอร์ของคุณานนท์บริวเวอรี่ก็ถูกแช่แข็งเอาไว้” ศรายุธบอกข่าวร้ายข่าวแรก
“โอ๊ยตายแล้ว” ภมรผู้ห่วงเรื่องเงินยิ่งกว่าสิ่งใดยกมือขึ้นตบหน้าผากตัวเอง
“จะบ้าหรือ” วิธวินท์ลุกขึ้นยืน น้ำเสียงไม่พอใจมาก
“ค่าซ่อมระบบที่ The Dazzle เขาก็ไม่เซ็นเช็ค” ศรายุธแจ้งข่าวร้ายข่าวที่สอง
“ฟ้องเลยอายุธ” วิธวินท์เสียงกร้าว
“ตามเข้าไปคุยกับอาในห้อง” ศรายุธถอนหายใจเบาๆ แล้วหันหลังเดินกลับเข้าห้องทำงาน
“ฟ้องก็อีกเป็นปีๆ กว่าจะจบเรื่อง” ภมรเบ้ปาก “ไม่มีเรื่องจะดีกว่านะวินท์ เพื่อปากเพื่อท้องของพวกเรา”
“ยังจะมาพูดอีก เมื่อกี้ฟังไปก็หัวเราะสนุกสนาน” วิธวินท์ยกสันมือขึ้นทำท่าจะฟาดเพื่อน แล้วพ่นลมหายใจออกมาแรงๆ ก่อนจะเดินตามศรายุธเข้าไปในห้องทำงาน เตรียมฟังคำเทศนาและการโน้วน้าวใจแกมบังคับที่จะให้เขาไปขอโทษคนจิตป่วน
...แย่จริงๆ คนอะไร ชอบหาเรื่องเป็นที่หนึ่ง ธีรดนย์นี่จงใจจะเกิดมาเป็นคู่ปรับเขาแท้ๆ เชียว...
ธีรดนย์นอนพลิกตัวไปมาอย่างเบื่อหน่าย วันจันทร์เขาไม่ได้ไปทำงานเพราะโดนทั้งพ่อทั้งเลขาห้าม แต่ว่าเต้ยก็ถูกเขาดุที่โทรศัพท์ไปรายงานพ่อ กระนั้น คุณเลขาผู้ไม่เคยและไม่มีวันจนมุมก็หาเหตุผลมาอธิบายแย้งจนได้
“คุณพ่อจะได้รู้ว่าคุณทำงานหนักมากทั้งสองที่จนเพลียและเบลอ ทำสารพัดอย่างแม้กระทั่งขึ้นไปตรวจงานช่างคอมใต้หลังคาด้วยตัวเอง ที่นี้คุณพ่อก็จะเห็นใจ แล้วกลับมาทำงานช่วยคุณโดยเร็ว...
...รอดตัวไป แม้จะเข้าข้างเขาบ้างแต่เต้ยก็ไม่ลืมเหน็บแนม...
...พเนศว์ คู่ขาอีกคนของเขาก็รู้เรื่องจึงบอกว่าจะมาดูแลเขาถึงที่บ้าน...
...ดูแลเขาด้วยการจับถอดเสื้อผ้าแล้วขึ้นคร่อมละสิ ไม่ไหวแล้ว ขอพักซักหน่อยเถอะ พเนศว์เรี่ยวแรงเยอะและอารมณ์จัดเหลือเกิน ชอบเล่นบทรักแผลงๆ ขืนมาตอนนี้เขาอาจพิการ...
...เจ็บใจวิธวินท์จริงๆ ตอนนี้ชักไม่แน่ใจว่าสิ่งที่หล่นลงมาใส่หัวเขานั้นเป็นอุบัติเหตุจริงหรืออุบัติเหตุหลอก แล้วนี้ก็ยังทำเย็นชา เป็นคนทำเขาบาดเจ็บ สองวันที่อยู่ในโรงพยาบาล ไม่ไปเยี่ยมแม้แต่นิด มีศรายุธไปขอโทษเขาคนเดียว เกิดอะไรขึ้นก็ต้องให้คุณอาเป็นคนออกหน้าแทน…
...ที่ไม่เห็นมาเยี่ยมขอโทษเขาที่โรงพยาบาลก็คงเพราะคุณอาหน้าจืดไม่บังคับ มีหลานดื้อรั้นแบบนี้น่าสงสารศรายุธ...
...คอยดูนะ พอมาพบเขาที่บริษัทตามที่เขายื่นคำขาดและขีดเส้นตายเอาไว้ วิธวินท์ก็จะมีประเด็นที่จะต้องขอโทษเขาเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งอย่าง...
ธีรดนย์ลุกขึ้นมาจากเตียงแล้วเดินออกมานอกห้องนอนหยุดยืนอยู่ที่ริมสระว่ายน้ำ ก่อนจะเดินไปยืนเกาะราวระเบียง มองออกไปยังท้องฟ้าเบื้องนอก ลมเย็นๆ พัดมาปะทะใบหน้า อากาศเช้าวันนี้สดชื่น หน้าหนาวมาเยือนกรุงเทพฯ นานแล้วแต่ความเย็นเพิ่งมาเยือนเมื่อใกล้จะปลายเดือนธันวาคม
...แม้วันนี้อากาศดี แต่เขากลับรู้สึกเบื่อ ดูหดหู่อย่างไรก็ไม่รู้...
...วันนี้เขาไม่อยากออกไปไหนเสียแล้ว อยากมีใครมาอยู่เป็นเพื่อน ลอยคลอในสระว่ายน้ำด้วยกัน แล้วเดินคลอเคลียกันไปรอบๆ อาณาจักรส่วนตัวของเขาที่ชั้นบนสุดของตึกที่พักอาศัย The River Heights...
...ภิรายุ...
...คมยิ้มสวย ร่าเริ่ง อ่อนโยน และคุยสนุก อยู่กับภิรายุแล้วสบายใจ และดูท่าทางจะทำอาหารให้เขาทานได้ ช่วงนี้เขาไม่อยากทานข้าวคนเดียวและเบื่อที่จะออกไปทานอาหารนอกบ้านทุกมื้อ...
...และที่สำคัญ ไม่ขัดใจเขา...
…ไม่เหมือนวิธวินท์...
...คนอะไร ดื้อรั้นเป็นที่หนึ่ง จงใจจะเกิดมาเป็นคู่ปรับเขาแท้ๆ เชียว...
...นี่ถ้าหน้าตาไม่ถูกใจตั้งแต่แรกพบ เขาไม่ปล่อยให้ลอยนวลหรอก...
...อ้อ เพราะก้นสวยด้วยถึงยอมให้...
...ปากอิ่มเต็ม แดงระเรื่อ แก้มป่องนิดๆ จมูกโด่ง คิ้วเข้ม ตาคมแฝงประการหลายหลาย ทั้งไร้เดียงสา ทั้งดื้อรั้น ทั้งดูเศร้าๆ ทั้งเอาเรื่อง แต่ดูๆ ไปก็น่ารักเหมือนกัน...
หลังจาก ‘จัดการ’ พ่อตัวดีที่พักหลังขยันสร้างเรื่องปวดหัวให้เขาต้องตามแก้ ศรายุธก็โทรศัพท์ไปแจ้งต่อคุณเต้ยเพื่อยืนยันว่า ‘ผู้ต้องหายินดีมอบตัว’
...“เพื่อบริษัทนะผมถึงยอมทำ ที่ผมจะไปขอโทษคุณธีรดนย์นี่ไม่ได้หมายความผมยอมรับผิด เพราะผมไม่ได้ผิดอะไร”...
กระนั้น แม้ศรายุธจะยืนยืนเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าวิธวินท์จะไปพบธีรดนย์ตามวันและเวลาที่ ‘เจ้านายสั่ง’ แต่เต้ยก็ยังอยากจะพบศรายุธเพื่อ ‘ซักซ้อมความเข้าใจ’ กันก่อนถึงวันนัด ด้วยการขอให้มาเจอกันที่ร้านอาหาร
“ผมจะได้สอนคุณยุธส่งรูปทางมือถือด้วย” เต้ยให้เหตุผล
ศรายุธเดินเข้ามาในสวนอาหาร “ระเบียงดาว” ที่มีบรรยากาศสบายๆ สายตามองหาชายหนุ่มหน้าขาวร่างบางที่ยิ้มสดใสร่าเริงเป็นเอกลักษณ์ประจำตัว ขณะที่กำลังมองหาคุณเลขาอยู่นั้น ศรายุธก็ต้องสะดุ้งเมื่อจู่ๆ มีคนเข้ามาทักจากทางด้านหลัง
“อายุธจำผมได้ไหมครับ”
“ภิรายุ” ศรายุธเอ่ยเสียงเบาพร้อมยิ้มให้อย่างอ่อนโยน “ทำไมจะจำไม่ได้”
“ไม่ได้เจอกันเป็นปีๆ เลยนะ”
“ได้ยินวินท์บอกว่าภิรายุยุ่งกับเรื่องโรงเรียน” ศรายุธพูดแล้วหันไปมองรอบๆ ก่อนจะถามต่อว่า “มาทานข้าวคนเดียวหรือครับ”
“เปล่าครับ” ภิรายุส่ายหน้ายิ้มๆ “มากับเพื่อน เขาเบื่อก็เลยชวนผมมาทานข้าวเป็นเพื่อน เขาทานข้าวคนเดียวไม่ได้”
“ไม่เหมือนวินท์ รายนั้นทานง่าย ได้ข้าวจานเดียวก็นั่งทานที่บันไดขึ้นออฟฟิสได้แล้ว” ศรายุธพูดถึงหลานชาย
“แปลกนะ วินท์ไม่เหมือนอายุธ และก็ไม่เหมือนผมด้วย แต่ทำไมไปกันได้” ภิรายุพูดยิ้มๆ เช่นเคย ทำให้ศรายุธอกนึกเปรียบกับใบหน้าของอีกคนไม่ได้ซึ่งเต็มไปด้วยร้อยยิ้มสดใสเช่นกันเพียงแต่คล่องแคล่งกว่า
“อาว่าเราเกิดมาเพราะมีโชคชะตาร่วมกันเลยไปกันได้ทั้งที่แตกต่างกัน” ศรายุธยิ้มอ่อนโยนเช่นเคย “ว่างๆ จะนัดกันไปทานข้าวพร้อมกันทั้งสามคน”
ภิรายุรับปากแล้วขอตัวไปหาเพื่อน ศรายุธจึงเดินเข้าไปข้างในของสวนอาหารด้านที่ติดกับบึงใหญ่ จึงเห็นเต้ยกำลังยกมือขึ้นโบกทักทาย
เลขาหนุ่มดูแปลกตาเพราะผมค่อนข้างยุ่งไม่ได้จัดทรง สวมเสื้อยืดและกางเกงกีฬาขายาว ส่วนศรายุธนั้นอยู่ในชุดทำงานผูกเน็คไทเรียบร้อย
“คุณยุธดูเท่จังเลยครับ” เต้ยชม ประกายตาชื่นชมอย่างที่พูด
“ขอบคุณครับ ผมก็แต่งตัวแบบนี้ทุกวัน”
“ไม่น่าเชื่อเลยนะครับว่าเป็นคุณอาของคุณวิธวินท์ บอกว่าเป็นพี่ชายถึงจะพอเชื่อ” เต้ยเท้าคางมองคนตรงหน้าด้วยแววตาหลงไหลอย่างเปิดเผย ทำให้ศรายุธยิ้มเขินๆ เพราะไม่เคยพบใครแสดงท่าทางสนใจเขาตรงๆ แบบนี้มาก่อน
“ที่จริงอายุเราห่างกันแค่สิบปี”
“จริงหรือครับ” เต้ยทำตาโต “งั้นคุณยุธก็อายุแค่ 34 เท่าๆ กับคุณดนย์”
“เปล่าครับ ผม 37 กำลังจะ 38” ศรายุธยิ้มเขินอีกแล้ว
“ฮ้า ไม่น่าเชื่อ งั้นคุณวิธวินท์ก็อายุ 27 ย่าง 28 แล้วสิ รู้ไหมครับ คุณดนย์ว่าหลานคุณยุธเป็นเด็กเพิ่งจบใหม่”
“วินท์เขาหน้าเด็กครับ ให้ใครเดาก็เดาไม่ถูก เวลาเขาใส่เสื้อแขนสั้นสีขาวกับกางเกงสีดำยิ่งดูเป็นนิสิต” ศรายุธหัวเราะเบาๆ เมื่อพูดถึงหลานหนุ่มตัวโต
“คุณดนย์ฉุนใหญ่ที่โดนเด็กจบใหม่ลูบคม” เต้ยพูดแล้วหัวเราะเสียงใส “แต่ถ้ารู้ว่าคุณวินธ์อายุจะ 28 ปีแล้วก็คงหายฉุนลงไปเยอะ”
“คุณดนย์เขาโกรธและไม่ชอบวินท์มากขนาดนั้นเลยหรือครับ วินท์บ่นว่าคุณดนย์หาเรื่องเขา” ศรายุธทำหน้าขรึม กังวลใจ
“คุณยุธไม่รู้อะไร” เต้ยลดเสียงลงแล้วโน้วตัวมาข้างหน้า ทำประหนึ่งว่ากำลังจะเล่าความลับให้ศรายุธฟัง “เต้ยจะเล่าอะไรให้ฟัง เต้ยทำงานอยู่กับคุณดนย์มาได้ก็ช่วงหนึ่งแล้ว แต่ก่อนเป็นเลขาให้คุณพ่อคุณดนย์แล้วเปลี่ยนมาทำงานกับคุณทิน น้องชายผู้น่ารัก ก่อนที่จะถูกผลักใสไล่ส่งให้มารองรับคุณดนย์จนเท่าทุกวันนี้ ตั้งแต่รู้จักกันมา คราวนี้เต้ยเห็นว่าคุณดนย์แปลกไปจากที่เคยเป็น ซึ่งเป็นสัญญาณว่ากำลังมีบางอย่างไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้น”
“ผมไม่เข้าใจ” ศรายุธทำหน้างง
“เดี๋ยวคุณก็เข้าใจเอง เต้ยจะคอยป้อนข้อมูลให้คุณยุธทีละน้อย เราต้องทำงานกันเป็นทีม” คุณเลขาทำเสียงจริงจัง ส่วนศรายุธยังทำหน้าไม่เข้าใจเช่นเดิม
“คุณยุธมีแฟนหรือยังครับ” อยู่เฉยๆ เต้ยก็ถามโพล่งขึ้นมา ทำให้ศรายุธยิ้มเขินๆ แล้วเผลอยกมือขึ้นเกาศีรษะ โดยที่เจ้าตัวไม่รู้ว่าอากัปกิริยาแบบนี้ทำให้อีกฝ่ายยิ่งหลงไหลมากกว่าเดิม
“ผมเอ่อ...”
“แล้วคุณยุธอยากมีแฟนหรือเปล่า”
“ก็...” ศรายุธยิ่งเขินมากกว่าเดิม
“อ้าว ถามใหม่ก็ได้ ทำไมคนถึงอยากจะมีแฟน” เต้ยเปลี่ยนคำถาม
“ก็...เอ่อ...คิดว่าอยู่คนเดียวนานก็คงเหงา มีใครซักคนมาเป็นเพื่อนคู่ใจก็จะทำให้มีความสุข” ศรายุธตอบเสียงเบา
“เหงาและเบื่อ” เต้ยพยักหน้า “คุณดนย์กำลังอยู่ในขั้นวิกฤติ พอมีอะไรมาทำให้ตื่นเต้น ท้าทาย คุณดนย์เลยมีปฏิกิริยาแปลกๆ”
“คุณเต้ยหมายความว่า...” ศรายุธเริ่มจะเข้าใจ
“แล้วตอนนี้คุณยุธเหงาและเบื่อบ้างไหมครับ” เต้ยเปลี่ยนเรื่องกระทันหัน
“ก็...เอ่อ...” ศรายุธอึกอักอีกครั้ง
“ผมก็เหงาและเบื่อเหมือนกัน” เต้ยทำหน้าประกอบคำพูด “เห็นไหมครับ คนเราในสภาพปัจจุบันตอนนี้ ต้องการใครซักคนมาอยู่เคียงข้าง มาเป็นเพื่อน มาแบ่งปันความสุขและความทุกข์ในชีวิต มาเป็นเพื่อนคู่ใจ มาทำให้กันและกันมีความสุขอย่างที่คุณยุธพูด”
“ครับ” ศรายุธพยักหน้าเห็นด้วย
“คุณยุธอยากให้หลานมีความสุขไหมครับ” เต้ยถามเสียงจริงจัง ใบหน้าจริงจังอย่างที่พูด
“แต่ผมก็ไม่เห็นว่าวินท์เขาจะเหงาหรือเบื่อนะครับ เขาก็เป็นของเขาแบบนี้เอง ดูเงียบๆ นิ่งๆ มีโลกส่วนตัวเล็กๆ คนก็เลยคิดว่าเขาอาจจะ...”
“แน่ใจหรือครับว่าเขาไม่เหงา” เต้ยแทรก “คุณยุธไม่ได้อยู่กับเขาตลอดเวลา”
...เฮ้อ แบบนี้ต้องฝึกกันอีกนาน ศรายุธนี่ท่าทางเก่งเรื่องบริหารธุรกิจ แต่เรื่องบริหารความรักนี่ดูไม่ค่อยจะช่ำชอง...
...แบบนี้เซ็กซี่ที่สุดเลย ผู้ชายติ๋มๆ ไม่เจนจัด แค่เห็นหน้าและท่าทางของศรายุธ เขาก็แทบจะถึงจุดสุดยอด คนอะไร ไม่รู้ตัวเองว่าน่ารัก...
ศรายุธเผลอขมวดคิ้วทำท่าคิด เต้ยจึงถือโอกาสตอกย้ำความมั่นใจว่า “คุณยุธครับ คนอายุจะ 28 แล้วไม่ควรจะอยู่คนเดียวนะครับ”
...คนอายุย่าง 38 ก็ไม่ควรจะยังโสดเช่นกัน...
...ส่วนคนอายุ 34 ปีอย่างธีรดนย์นั้นไม่รู้จะเรียกว่าอย่างไร จะว่าโสดก็ไม่ใช่ จะว่าไม่โสดก็ไมเชิง แต่ที่แน่ๆ คือไม่สด ธีรดนย์ควรจะรู้จักความรักกับเขาสักครั้งและมีแฟนเป็นตัวเป็นตนแบบจริงจังเสียที ที่เป็นอยู่ตอนนี้ขวางหูขวางตาเต้ยเหลือเกิน...
“คุณยุธรักหลาน ต้องทำให้หลานมีความสุข” เต้ยตอกย้ำอีกครั้งด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
******11*****