สวัสดีตอนสายๆ ครับ
ขอบคุณผู้อ่านทุกท่านที่รักและเป็นห่วงธีรดนย์นะครับ
บทที่ 15
ภมรกระโดดตัวลอยเมื่อได้รับฟังข่าวดี ส่วนบารมีนั้นนั่งฟังเงียบๆ ในใจพยายามคิดหาเหตุผลที่ธีรดนย์ทำอย่างที่วิธวินท์เล่าให้ฟัง
"แต่คนแบบนี้ไว้ใจไม่ได้ เขาต้องกำลังคิดอะไรไม่ดีอยู่ นี่คงแค้นมากที่เราเข้าไปกระตุกหนวดเสือได้ถึงสองครั้ง" วิธวินท์เตือน
"ก็แล้วทำไมเขาให้บัตรสมาชิกเราล่ะ" ภมรยังไม่รู้เรื่องอยู่ดีเพราะมัวแต่ดีใจ
"เขาหลอกล่อให้เราเข้าไปหาเขาเพื่อที่จะหาทางแกล้งได้โดยง่าย เพราะฉะนั้นเราจะต้องวางแผนให้เฉียบคม ต่อสู้กับพลังอธรรม" วิธวินท์มุ่งมั่น "คุณธีรดนย์อะไรนี่ต้องเอาประเด็นรักเพื่อนหรือทำเพื่อเพื่อนมาเป็นจุดโจมตีเราแน่ๆ ด้วยการมาวุ่นวายอะไรกับนาย"
"ภมรจะแกล้งอ่อนระทวย ทำหน้าหวาดกลัว วิธวินท์ขี่ม้าขาวมาช่วย คุณธีรดนย์ก็จะบีบให้วิธวินท์ยอมแพ้โดยเอาภมรเป็นตัวประกันต่อรอง แต่ภมรก็สะบัดแขน ยืดตัวขึ้นอย่างทรนงแล้วแสดงให้คุณรูปหล่อพ่อรวยเห็นว่า เราเหนือกว่า" ภมรคิดวางแผนเพิ่มเติมแล้วหัวเราะขัน
"อย่าไปยุ่งกับเขาเลยวินท์" บารมีหน้าเคร่ง "สนุกนักหรือไงได้เล่มเกมอะไรแบบนี้"
"ก็แค่อยากดัดหลังคนหลงตัวเอง" วิธวินท์ยักไหล่
"เล่นกับไฟ"
"จะดับไฟให้เหลือแต่ขี้เถ้าคอยดูเถอะ" วิธวินท์เสียงแข็ง นัยน์ตาไม่ยอมแพ้
"วินท์ก็พูดถูกที่บอกว่าเขากำลังคิดอะไรไม่ดี" บารมีพูดเสียงเนือยๆ "และก็พูดถูกอีกที่บอกว่าเขาไว้ใจไม่ได้ เขากำลังคิดอะไรอยู่ เรามองออก"
"เราก็มองออก" ภมรแทรก "คุณธีรดนย์กำลังคิดจะฟันไอ้วินท์"
"ปากไม่ดี" วิธวินท์เอื้อมมือออกไปเพื่อตบปากเพื่อน ภมรกระโดดหนีไปยืนหลบอยู่หลังบารมีแล้วร้องออกมาว่า "บารมีจ๋า ช่วยผึ้งด้วย"
"ถอยไปนะ อย่ามาจับ" บารมีปัดมือของภมรออกเมื่อฝ่ายนั้นทำท่าจะโอบเอว
"ช่วยปกป้องเราหน่อยสิบารมี เอาร่างกายแข็งแกร่งสมชายชาตรีของนามมากขวางกั้นซาตานที่กำลังจะทำร้ายเรา ถ้านายปกป้องเราได้ จะยอมเป็นของนายคนเดียว...ซะที" ภมรหัวเราะสนุกสนาน
"ไอ้บ้า ทะลึ่ง"
"หรือนายไม่อยากได้เรา แต่นายแอบอยากได้คนอื่น" ภมรแกล้งทำหน้ามุ่ย
"ปากหนอปาก เดี๋ยวได้โดนต่อย" บารมีหันไปเงื้อหมัดจะต่อยภมรจริงๆ
"เฮ้อ ปัญญาอ่อน" วิธวินท์ส่ายหน้า ถอนหายใจแล้วเดินไปที่รถ โดยมีบารมีรีบตามมาใกล้ๆ ส่วนภมรยังคงหัวเราะขำอยู่ไม่ยอมเลิก
"จะไปไหนวินท์" ภมรถาม
"จะไปไหนมายุ่งอะไรด้วย" วิธวินท์ขมวดคิ้ว
"ถามดีๆ " บารมีหน้าเจื่อนที่อยู่ๆ ก็โดนดุ
"จะไปหาภิรายุ ไปทำงานให้เสร็จ" วิธวินท์ลดน้ำเสียงให้อ่อนลง
"ภิรายุ คนที่ทำโรงเรียนใช่หรือเปล่า"
"นั่นล่ะ คุยกับภิรายุถึงได้สาระหน่อย คุยกับนายสองคนแล้วปวดกระโหลก" วิธวินท์หยิบหมวกนิรภัยแล้วขึ้นคร่อมมอเตอร์ไซด์
"คุยกับเราสิ ไม่ต้องไปคุยกับภมร เราอยากให้วินท์ปวดกระโหลกที่ไหน" บารมียิ้ม สายตาเริ่มเปล่งประกายบางอย่างชัดเจนขึ้น
วิธวินท์ก้มหน้ามองถังบรรจุน้ำมันรถมอเตอร์ไซด์นิ่งอยู่ชั่วครู่ราวกับตรึกตรองอะไรบางอย่าง จากนั้นจึงเงยหน้าขึ้นพูดกับบารมีด้วยเสียงราบเรียบ
"อย่าคิดอะไรบ้าๆ นะบารมี"
"ทำไมล่ะ" บารมีถามกลับด้วยเสียงเรียบเช่นกัน
"ก็รู้อยู่ว่าอะไรเป็นอะไร" วิธวินท์ตอบแล้วสตาร์ทรถ เข้าเกียร์ทะยานรถออกไปโดยไม่พูดอะไรต่ออีก ทิ้งให้บารมียืนมองตามจนสุดสายตา
...เราไม่ได้คิดอะไรบ้าๆ สิ่งที่เราคิดจะเรียกว่าบ้าได้ยังไง แต่ถ้าจะหาว่าบ้า เราก็บ้ามานานเกินเยียวยาแล้ว นายไม่รู้หรอกวินท์...
"ถ้าเราแต่งงานได้ วันนี้เราก็คงจะบอกวินท์ว่าเรากำลังจะหมั้น" ภิรายุยิ้มกว้างแล้วนั่งลงข้างวิธวินท์ที่กำลังทดสอบระบบอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ "เราตัดสินใจแล้ววินท์ เราพร้อมจะกระโจนลงไปในห้วงเหวแห่งความรัก แม้เราจะรู้ว่ามันน่ากลัวและอาจถูกสายน้ำเชี่ยวพัดพาเราไปกระแทกโขดหินแห่งความทุกข์เราก็ไม่กลัว"
"อือ" วิธวินท์พยักหน้า
"แต่สายน้ำเชี่ยวก็เย็นฉ่ำ บางช่วงก็ไหลเอื่อย เราลอยคลอหรือตีกรรเชียงมองท้องฟ้าสีครามสดใส แล้วก็หลับตาลงซึมซับเอาความสุขช่วงนั้น" ภิรายุยิ้มอย่างเคลิบเคลิ้ม "เรายอมแลกมันกับความทุกข์ที่อาจจะเกิดขึ้นบ้าง"
"ถ้าเป็นเราจะยืนทำกระแสน้ำอุ่น" วธิวินท์ยักไหล่
"รักมันก็ต้องเสี่ยงบ้าง เราไม่เคยเจ็บไม่เคยทุกข์ ชีวิตมีแต่ความสุขและราบรื่นมาตลอด ถือซะว่าคราวนี้เป็นการผจญภัยครั้งแรกในชีวิตของเรา" ภิรายุไม่สนคำพูดห่ามๆ ของเพื่อน
"อยากผจญภัยระวังหลงป่านะ" วิธวินท์เตือน
"หลงป่าก็ช่าง คิดแบบนี้สิ ในป่ามีออกซิเจนเยอะ ความอุดมสมบูรณ์จะทำให้เราสดชื่น สิ่งดีไม่ดีมันแทรกอยู่ด้วยกันนั่นล่ะ เราพร้อมแล้ว ถ้าไม่ยังงั้นเราก็ไม่ยอมไปนอนกับเขาหรอก"
"ทำไมไวไฟยังงั้นคุณภิรายุ เสียอิเมจหมดเลย"
"อย่าคิดว่าเราไร้เดียงสานะ" ภิรายุหัวเราะเสียงดัง
"เลิกคิดแล้ว" วิธวินท์ยิ้ม "ตั้งแต่รู้จักกันมา มองนายผิดไปจริงๆ"
"เราอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริง วินท์" ภิรายุยักไหล่
"โลกแห่งความรัก" วิธวินท์เติม "แต่คนนั้นของนายล่ะ อยู่โลกเดียวกันหรือเปล่า ไม่ใช่เขาปล่อยให้นายถูกสายน้ำเชี่ยวกรากพัดพาไปคนเดียวหรอกนะ ที่นี้ตอนที่จะลอยคลอดูท้องฟ้าอย่างเดียวดายน่ะ คงไม่ค่อยสุขเท่าไหร่"
"โอ้โห พูดอุปมาเปรียบเทียบก็ได้ด้วยแฮะ"
"ไม่ได้รู้จักภาษาคอมพิวเตอร์อย่างเดียวนะ" วิธวินท์ทำท่าภูมิใจ
"เขาว่าคนเราเมื่อมีความรักก็มักกลายเป็นกวี" ภิรายุพูดยิ้มๆ
"แต่อกหักก็เป็นนักกลอนได้เหมือนกัน" วิธวินท์เติมความแล้วถามเพื่อนว่า "แล้วนี่เป็นใครชื่ออะไรเมื่อไหร่จะบอกเสียที"
"เดี๋ยว รอเดี๋ยว ถ้าพร้อมเปิดตัวจะแนะนำให้รู้จักตัวเป็นๆ ก่อนใครเลยล่ะ" ภิรายุอมยิ้ม นัยน์ตาฝันเฟื่อง
"เราไม่อยากให้นายเสียใจ เป็นห่วง เคยเห็นแต่รอยยิ้ม อยากเก็บหน้านายเอาไว้ให้โลกมันสดใสนานๆ สงสารพวกหมูน้อยทั้งหลายด้วย" วิธวินท์หันไปมองเด็กจ้ำม่ำที่วิ่งผ่านหน้าห้องคอมพิวเตอร์
"เราไม่ทิ้งเด็กหรอก แต่สมมุตินะว่าหากเราอกหัก เราก็อาจจะเสียใจ นั่นเป็นเรื่องธรรมดา แต่คงไม่สติแตก หมดอาลัยตายอยากจนปิดกิจการโรงเรียนหรอกน่า อีกอย่าง มีวิธวินท์ผู้เข้มแข็งและรักเพื่อนคอยเป็นกำลังใจให้ เราก็คงกลับมายืนหยัดได้เหมือนเดิม เลิกกังวลไปร้อยแปดพันอย่างได้แล้ว" ภิรายุตบไหล่วิธวินท์ "ว่าแต่ว่า ระบบคอมพิวเตอร์เสร็จทันงานคริสต์มาสแน่นะ เราเชิญคนสำคัญๆ มาเยอะ กลัวเสียหน้า"
"นี่นะไม่กังวล บอกแต่เขา ตัวเองเริ่มจะขมวดคิ้วแล้วเนี่ย เอ๊า ยิ้มเร็วเข้า เดี๋ยวโลกไม่สดใส" วิธวินท์ล้อเพื่อน แล้วสองหนุ่มก็หัวเราะประสานกันดังก้องไปทั่วห้อง
เต้ยลงจากรถแล้วก้าวเดินข้ามถนนอย่างคล่องแคล่ว วันนี้เขาตั้งใจมาชวนศรายุธไปทานอาหารเย็นด้วยกันเพื่อขอบคุณที่ช่วยเหลือเรื่อง 'ส่งตัว' วิธวินท์ไปหาเจ้านาย หลังจากวันนั้นแล้วธีรดนย์อารมณ์ดีขึ้นเยอะ คนอื่นๆ รอบข้างก็พลอยมีความสุขไปด้วยเพราะไม่โดน 'พายุรูปหล่อ' พัดถล่มเหมือนสองสามอาทิตย์ที่ผ่านมา
...ศรายุธดูเหมือนจะรู้ว่าเขาชอบ แต่หากจะให้เป็นคนเริ่มจีบก่อนอย่างที่ควรจะเป็นคงไม่ได้การ กว่ารถไฟขบวนธรรมดาอย่างศรายุธจะแล่นมาหาเขาก็คงรอจนหลับไปหลายตื่น เขาต้องเป็นรถไฟหัวกระสุนชินคันเซ็นวิ่งเข้าชน ศรายุธไม่รอดแน่...
...แต่เอ๊ะ มีอุปสรรคมากีดขวาง...
...ใครนั่งอยู่กับศรายุธ...
"คุณเต้ย มาพบอายุธหรือครับ" วิธวินท์เดินเข้ามาในห้องจากประตูด้านหลังของออฟฟิส เลิกคิ้วอย่างแปลกใจที่เห็นเลขาของธีรดนย์ยืนอยู่กลางห้อง แต่งตัวเนี้ยบตรงกันข้ามกับเขาและภิรายุที่นั่งคุยอยู่กับศรายุธในห้อง
"ครับ ผมมาเชิญคุณยุธไปทานอาหารเย็นเพื่อเลี้ยงขอบคุณ" เต้ยยิ้มกว้างแล้วหันไปมองศรายุธ
"อีกหน่อยก็คุยกันเสร็จครับ" วิธวินท์พูดเบาๆ มองไปยังศรายุธกับภิรายุ และแอบสังเกตุเห็นแววตาไม่พอใจของเลขาหนุ่ม "เชิญนั่งก่อนสิครับ"
"ทำงานกันเย็นเลยนะครับ จนป่านนี้คุณศรายุธยังมีนัดประชุมกับลูกค้า"
"ไม่ใช่ลูกค้าหรอกครับ ภิรายุเป็นเพื่อนผม รู้จักกับอายุธมานานแล้วเหมือนกัน แต่พักหลังๆ ไม่ค่อยเจอกัน ที่จริงวันนี้จะชวนกันไปทานอาหาร อายุธคงทำงานจนเบลอเลยนัดซ้อน ถ้ายังงั้นไปด้วยกันทั้งหมดเลยนะครับ"
"ไม่เป็นไรครับ ผมไม่อยากเข้าไปขัดจังหวะ ไม่ได้เจอกันนานคงอยากคุยเรื่องเก่าๆ ถ้าผมไปด้วยก็ดูแปลกๆ เพราะจะคุยไม่สะดวกแล้วผมก็ไม่รู้จะคุยเรื่องอะไรด้วย" เต้ยรีบตอบ
ยังไม่ทันที่วิธวินท์จะเอ่ยอะไรออกมา ประตูห้องทำงานของศรายุธก็เปิดออก ภิรายุเดินนำออกมาก่อนด้วยใบหน้ายิ้มแย้มเช่นเคย มีศรายุธตามมาติดๆ แต่เมื่อเห็นเต้ยลุกขึ้นยืนแล้วก้าวออกมาทางด้านข้างเพราะวิธวินท์ยืนบังอยู่ก็ต้องเลิกคิ้วแปลกใจ
"เต้ยต้องขอโทษคุณยุธที่มาโดยไม่ได้นัด" เลขาหนุ่มยิ้มกว้างแล้วหันไปหาภิรายุซึ่งวิธวินท์รีบแนะนำให้รู้จัก ในใจนึกเปรียบเทียบกับ 'ชายหนุ่ม' คนล่าสุดของธีรดนย์ทันที
...ยิ้มสวย สดใสร่าเริง ยิ้มอยู่ได้ตลอดเวลา อยู่ใกล้ๆ แล้วเหมือนได้รับการบำบัดทางจิตอีกแบบ เพลินดี...
คำบอกเล่าสั้นๆ ของเจ้านายดังขึ้นมาในหัว
...แต่อีกคน ถามสองคำตอบคำเดียว กวนอารมณ์ ดื้อรั้น น่าตี...
...คนที่สองที่ธีรดนย์เล่าให้ฟังนี่คือวิธวินท์แน่ๆ ล่ะ แต่คนแรกอดคิดไม่ได้ว่าบุคลิกเหมือนภิรายุ...
หลังจากวิธวินท์ไปพบขอโทษธีรดนย์ที่ทำงาน เจ้านายของเต้ยก็อดไม่ได้ที่จะ 'นินทา' ชายหนุ่มสองคนให้เขาฟัง แล้วถามความเห็นว่า หากเป็นเขาจะเลือกใคร คำตอบที่ให้ธีรดนย์ไปทำให้เจ้านายหัวเราะลั่นแล้วบอกว่า เราสองคนนี่ไม่เหมือนกันจริงๆ เลยนะเต้ย...
...ใครจะไปเหมือนธีรดนย์ล่ะ...
"ไปทานข้าวด้วยกันนะครับคุณเต้ย ร้านอาหารอร่อยไม่ไกลจากที่ออฟฟิสหรอกครับ ไม่ค่อยหรู แต่อร่อยมาก" เสียงศรายุธปลุกให้เต้ยตื่นจากภวังค์
"ครับ" ทั้งที่ก่อนหน้านี้ปฏิเสธกับวิธวินท์แล้วแต่เลขาคนเก่งกลับพยักหน้าตอบตกลงกับศรายุธง่ายๆ
...เขาอยากจะสังเกตภิรายุ อยากจะรู้ว่าบุคลิกหน้าตาแบบนี้จะเหนือกว่าเขาซักเท่าใด...
...วิธวินท์ก็นะ ดูท่าทางจะเชียร์เพื่อนจนออกนอกหน้า ทำอย่างกับว่าอยากจะให้คุณอาของตัวเองมีเหย้ามีเรือน ฮึ เราอุตส่าห์ช่วยเรื่องธีรดนย์ แต่มาทำตัวเป็นมารผจญทางรักเต้ยหรือนี่...
ศรายุธยืนรอวิธวินท์กับภิรายุหน้าร้านอาหาร มีเต้ยยืนสงบนิ่งอยู่ข้างๆ คืนนี้เลขาหนุ่มผู้คล่องแคล่วดูเงียบ และแปลกไปจากที่เคยเห็นพูดจาฉะฉาน
"ไม่สบายหรือเปล่าครับคุณเต้ย หรือว่าอาหารไม่อร่อย" ศรายุธถามเสียงนุ่ม
...กำลังงอน ไม่รู้หรือ ฉุนวิธวินท์ หมั่นใส้ภิรายุ งอนศรายุธ...
..หึงด้วย...
"รู้สึกปวดศีรษะนิดหน่อยครับ" เต้ยยกนิ้วขึ้นคลึงขมับ "นี่ไม่รู้จะขับรถกลับถึงบ้านหรือเปล่า บ้านผมอยู่ใกลมาก พรุ่งนี้ต้องไปผจญกับอารมณ์คุณดนย์ต่อ ตอนนี้ที่บริษัทกำลังเครียดมาก คุณยุธก็คงเห็น เวลาคุณดนย์ร้ายนี่เต้ยแทบจะโดนบีบคอ"
"จอดรถทิ้งไว้หน้าบริษัทผมก็ได้ครับ นั่งแท๊กซี่กลับบ้านดีกว่า" ศรายุธพูดโดยไม่ทันคิดให้ดี
...บ้าหรือ แทนที่จะบอกว่าจะไปส่ง มาให้เขานั่งแท๊กซี่กลับ ที่จริงเขาอยากให้พูดว่า งั้นไปนอนบ้านผมก็ได้ แต่อย่างศรายุธคงไม่มีวันพูด เป็นธีรดนย์ไม่ได้ คงอุ้มไปขึ้นรถแล้วพาไปฉีดยาให้หายป่วยไปแล้ว...
"ไม่เป็นไรครับ ผมนั่งรถเมล์กลับก็ได้" เต้ยอดประชดไม่ได้
"จริงสิ บ้านคุณเต้ยอยู่ที่ไหนครับ" ศรายุธหน้าเสีย
...สงสัยคงรู้สึกตัวแล้วสิว่าไม่น่าพูดอะไรไม่ได้เรื่องแบบนั้น...
"จรัญสนิทวงศ์ครับ" เต้ยตอบแล้วรอฟังคำพูดของศรายุธที่อาจจะพูดว่า...ใกล้บ้านผม เดี๋ยวผมจะไปส่งเอง
"ภิรายุอยู่สาธรครับ"
...อยากต่อยศรายุธจริงเลย นี่จะพูดต่อว่า งั้นก็ติดรถภิรายุไปก็ได้ยังงั้นสิ...
"ไม่อยากรบกวนคุณภิรายุหรอกครับ สงสัยคุณวินท์กับคุณภิรายุอยากจะไปเที่ยวกันสองต่อสอง เห็นเขาสนิทกันมาก" เต้ยรีบตอบ
"อ๋อ สองคนนั้นเขาเป็นเพื่อนกันครับ ไม่ได้เป็นอะไรกันแบบนั้น" ศรายุธหัวเราะ
"แสดงว่าคุณยุธจะให้ผมติดรถคุณภิรายุไปใช่ไหมครับ ส่วนคุณก็กลับพร้อมหลานชาย" เต้ยทนไม่ไหว บอกใบ้ให้ศรายุธรู้ว่าควรทำอย่างไรในสถานการณ์ที่เขาปวดหัวไม่สบาย
"เอ่อ ผมกับวินท์ไม่ได้พักอยู่ด้วยกันครับ รายนั้นพักอพาร์ทเมนท์ แต่ก็อยู่ไม่ค่อยเป็นที่เป็นทาง ชอบแอบมานอนที่บริษัท" ศรายุธยังไม่เข้าใจความต้องการของเต้ยอยู่ดี
"นอนที่บริษัท" เต้ยทวนคำ แล้วเก็บเอาไว้เป็นข้อมูลในสมอง
"บ้านผมอยู่ใกล้ๆ บริษัท" ศรายุธพูดต่อ แล้วหันหลังไปมองว่าวิธวินท์กับภิรายุที่เข้าห้องน้ำเดินตามออกมาหรือยัง
"คุณยุธไปส่งเต้ยหน่อยนะครับ"
...ไม่ไหวแล้ว จะรอให้พูดเองคงไม่มีโอกาสได้ยิน...
"เอ่อ ครับ" ศรายุธลงท้ายด้วยเสียงสูง ดังจะเป็นการถามคำถามย้ำว่าตัวเองได้ยินชัดเจนหรือไม่
...ดีนะเต้ยไม่ถามว่า ขอไปนอนด้วยหน่อย ไหนๆ ก็บ้านใกล้ที่ทำงานแล้วนี่นา...
"แต่ถ้าไม่สะดวกก็ไม่เป็นไรครับ" เต้ยเบือนหน้าออกไปด้านข้างแล้วยกมืออีกข้างขึ้นกดเบ้าตา ก่อนจะสะบัดศีรษะเพื่อให้ทำให้ตัวเองรู้สึกสดชื่นขึ้น
...แค่นี้ศรายุธก็เสร็จเต้ย...
"ได้ครับ" ศรายุธรับคำสั้นๆ
*********15*********
ใครชอบคนเจ้าชู้บ้างยกมือขึ้น
