ขอบคุณที่กดคะแนนให้นะครับ ได้เก้าร้อยกว่า ตื่นเต้นจริงๆ ให้ตายสิ
มาต่อบทที่ 4 จนจบครับ
ถ้าว่างจะเอาคำแปลเพลงที่อยู่ในบทนี้มาโพสให้นะครับ
เมื่อก้าวพ้นจากห้องนักดนตรี วิธวินท์ก็ได้ยินเสียงร้องเพลงของนักร้องที่มีน้ำเสียงก้องกังวาน ไพเราะจนเขาเร่งเท้าเดินให้พ้นด้านข้างของเวทีเพราะต้องการเห็นตัวคนร้อง ทันทีที่ออกมายืนในห้องโถงที่ชายหนุ่มเชื่อว่าเป็น The Center Arena ตามที่เพื่อนบอกเพราะเห็นโคมไฟคริสตัลขนาดใหญ่มากกล้างห้องที่เพดานสูงมากจนเกือบต้องแหงนคอตั้งบ่าขึ้นไปมอง วิธวินท์ก็ตะลึง คลับนี้ใหญ่จริงๆ เฉพาะโคมไฟนั้นก็เหมือนว่ามีใครเอาจานบินมนุษย์ต่างดาวไปแขวนไว้ นักร้องสาวสวยร่างสูงโปร่งในชุดปักเลื่อมระยิบระยับยืนเด่นอยู่กลางเวทีกำลังครวญเพลงสะกดคนฟัง วิธวินท์ฟังไม่รู้เรื่อง แต่เขารู้สึกขนลุก แล้วก็ต้องอึ้งเมื่อเห็นภาพบนจอขนาดยักษ์ เพราะไม่นึกฝันว่านี่คือนักร้องดังระดับนานาชาติ ตัวจริงเสียงจริง
Je le sens
Je le sais
Quand t'as mal à l'autre bout de la terre
Quand tu pleures pendant des heures
Sur mon coeur je pourrais hurler
Le jurer même si je ne vois rien
D'où je suis je sens ton chagrin
Quand je me vois
Sans tes mains
Sans tes bras je ne peux plus respirer
Et j'entends si souvent
Le chant du vent
Qui vient pour me ramener
Vers tes landes sous ton ciel d'Irlande
เมื่อเสียงเพลงจบลง เสียงปรบมือก็ดังกึกก้อง นักร้องกล่าวขอบคุณ ไฟบนเวทีหรี่ดับลง แล้วเพลงจังหวะเต้นร่ำก็ดังกระหึ่ม แสงสีวูบวาบจนวิธวินท์ต้องยืนนิ่งปรับสายตาครู่ใหญ่ก่อนจะก้าวไปข้างหน้าเพื่อ "เดินทาง" ค้นหา เสาเพ้นท์รูปเทพจูปีเตอร์ที่อยู่ใกล้บาร์เหล้า
...จูปีเตอร์นี่หน้าตาเป็นยังไงนะ คิดว่าตัวเองเคยเห็น แต่ตอนนี้ไม่ค่อยแน่ใจแล้ว ถ้าเพนท์รูปบิล เกตต์ หรือสตีฟ โจบส์ก็คงหาง่าย...
...แล้วทำไม่ย้ำนักหนาว่าไม่ให้ขึ้นชั้นบน...
วิธวินนท์เดินไปเรื่อยๆ สอดส่ายสายตาหาจุดนัดพบ พร้อมๆ กับมองหญิงชายแต่งตัวหรูหราที่ยืนสังสรรค์กันอยู่ มองไปกลางฟลอร์เต้นรำก็เห็นว่าหนุ่มสาวกำลังวาดลวดลายกันอย่างสนุกสนาน
...เอ...หาบาร์เหล้าไม่เจอ ทำยังไงดี...
...หากขึ้นไปยืนบนที่สูง น่าจะมองหาได้ง่ายขึ้น...
ถ้าศรายุธมายืนอยู่ใกล้ๆ และเห็นวิธวินท์กำลังก้าวขึ้นบันไดที่เป็นกระจกใส คุณอาหนุ่มของวิศวกรคอมพิวเตอร์ก็คงส่ายหน้าแล้วบ่นว่า “บอกไม่ฟัง ยิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยุ”
วิศวกรหนุ่มก้าวเท้าช้าๆ รู้สึกว่าตัวเองกำลังลอยอยู่ในอวกาศเพราะบันไดกระจกหนานั้นใสแจ๋วจนมองเห็นทุกอย่างใต้เท้า วิธวินท์ยิ้มอย่างถูกใจ รู้สึกชอบการออกแบบของคลับหรูแห่งนี้ขึ้นมาทันที แต่ทว่า เมื่อเงยหน้าขึ้นก็เห็นชายร่างใหญ่สองคนยืนกอดอกทำหน้าบึ้งแข่งกับยักษ์วัดแจ้งและยักษ์วัดโพธิ์อยู่เหนือบันได
“ห้ามเข้า ขึ้นมาได้ยังไง ชั้นบนซุปเปอร์วีไอพีเท่านั้น” ยักษ์วัดแจ้งเสียงห้วน ยกมือขึ้นห้ามไม่ให้วิธวินท์ก้าวเท้าต่อ
“ผมหลงทาง” ชายหนุ่มตอบสั้นๆ
“หลงหรือแอบเข้ามา” ยักษ์วัดโพธิ์ตะคอก “ออกไป เข้ามาได้ยังไง ใครปล่อยเข้ามา”
ทันทีที่พูดจบ ยักษ์ทั้งสองก็ก้าวเข้ามาล๊อคแขนวิธวินท์แล้วหิ้วปีกเดินลงมาข้างล่างอย่างรวดเร็ว
“ค่อยๆ สิ เดี๋ยวกระจกบันไดแตก” วิธวินธ์โวยวาย “ผมเป็นแขกมาเที่ยว คุณทำกับแขกแบบนี้ได้ยังไง”
“แขกกำมะลอนะสิ จะออกไปดีๆ หรือให้โยนออกไป” ยักษ์ตัวที่อยู่ด้านซ้ายของวิธวินท์เสียงกร้าว
“อยากเจ็บตัวหรือไงไอ้น้อง ที่นี่ไม่ใช่ผับเพื่อชีวิต ออกไปเดี๋ยวนี้เลย” ยักษ์ตัวที่อยู่ด้านขวาเสียงเข้มไม่แพ้อีกคน
ธีรดนย์แหงนหน้ามองเพดานอย่างเบื่อๆ ก่อนจะเอียงหน้าไปมองร่างสูงโปร่งของพเนศวร์ ไฮโซหนุ่มทายาทเจ้าของสายการบิน Trans Asian Airlines ที่เป็นคู่ควงและคู่นอนของเขาคืนนี้
“ฮึ ไหนว่าคลับหรู ไม่นึกว่าเด็กช่างกลจะแอบย่องเข้าคลับคุณได้” พเนศวร์ละสายตาขึ้นจากจอคอมพิวเตอร์แล้วหันมายิ้มขำๆ ให้กับเจ้าของคลับหรูที่นั่งเอนตัวอยู่บนเก้าอี้หนังตัวใหญ่
“หมายความว่ายังไง” ธีรดนย์ถาม
“มาดูสิครับ การ์ดชั้นซุปเปอร์วีไอพี Dusitia กำลังหิ้วแขกที่ไม่ได้รับเชิญออกไปทิ้งหน้าคลับ”
ธีรดนย์ลุกขึ้นแล้วเดินมาก้มดูจอของกล้องระบบรักษาความปลอดภัยจึงเห็นชายร่างใหญ่กับหิ้วชายหนุ่มร่างสูงคนหนึ่งไปที่ประตูทางออก
“ผมจะไล่การ์ดประตูหน้าออกให้หมด” ธีรดนย์เค้นเสียงแล้วเดินกลับไปที่เก้าอี้ แต่ทันใดก็ชะงัก เดินกลับมายืนมองภาพในจออีกครั้ง แล้วกวาดสายตามองภาพในจออื่นๆ ที่จับภาพโถงประตูทางออกมุมต่างๆ
...หน้าคุ้นๆ...
เจ้าของคลับ The Dazzle ขยับตัวไปทางด้านขวาเพื่อดูจอภาพของกล้องตัวสุดท้ายที่จับภาพใบหน้าของ “ผู้บุกรุก” ได้ใกล้และชัดเจนที่สุด ก่อนจะตาลุกวาบ แล้วรีบล้วงกระเป๋ากางเกงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาสั่งผู้ช่วยคนสนิท แต่อีกฝ่ายไม่รับสาย
“อย่าเพิ่งนะ อย่าเพิ่ง” ธีรดนย์จ้องหน้าจอภาพนิ่ง ลุ้นให้นิวัฒน์ผู้ช่วยมือขวาของเขารับสาย “นิวัฒน์ รับสายสิวะ รับสิ”
พเนศวร์หันไปมองคนที่ยืนรอโทรศัพท์อย่างงงๆ ไม่เข้าใจว่าทำไมธีรดนย์ต้องออกอาการถึงขนาดนี้
“โธ่โว๊ย” เมื่อนิวัฒน์ไม่รับสาย ธีรดนย์จึงเปลี่ยนใจ ก้าวเท้าไปที่ประตูทิ้งให้คนที่ยืนอยู่ใกล้ๆ มองตามด้วยสายตาฉงน
ธีรดนย์ใช้ลิฟทิ์ด่วนพิเศษเฉพาะผู้บริหารซึ่งอยู่หน้าห้องควบคุม ไม่ถึงสิบยี่สิบวินาทีเขาก็ลงมาถึงทางเดินด้านข้างคลับที่นำไปสู่ทางออกฉุกเฉินด้านหน้าใกล้ประตูทางเข้าออกหลัก
“นิวัฒน์ คนที่การ์ดกำลังลากไปฟร้อนท์ดอร์ กักตัวเอาไว้ อย่าเพิ่งปล่อยออกไป” ธีรดนย์สั่งผู้ช่วยๆ ทันทีที่ฝ่ายนั้นรับโทรศัพท์แล้วเปิดประตูฉุกเฉิน วิ่งออกนอกตึกแล้วอ้อมไปด้านหน้าคลับอย่างรวดเร็ว
...แต่ช้ากว่าการ์ดของเขาเสียแล้ว...
ไม่ถึงครึ่งนาที นิวัตน์รายงานว่าสั่งการ์ดไม่ทัน คนที่แอบเข้ามาในคลับถูกนำตัวออกไปข้างนอกเรียบร้อยแล้ว
...เสียดาย ถ้ากักตัวได้ เขาจะเอาเรื่องให้น่าดู จะปรับเป็นเงินซักหมื่น ข้อหาบุกรุกสถานที่ ดูซิว่าคนหน้าขาวๆ คิ้วเข้มๆ จมูกโด่งๆ ปากแดงๆ คนนั้นจะว่ายังไง...
...คิดจะลองดีกับธีรดนย์ ไม่ง่ายนักหรอก...
...รอดตัวไปได้ แต่หลักฐานมี คอยดูนะ ตอนที่มาขอโทษเขาที่บริษัท จะเปิดไฟล์วีดีโอตอนการ์ดหิ้วปีกไปโยนทิ้งหน้าประตูให้ดู...
ธีรดนย์พ่นลมหายใจออกมาแรงๆ ด้วยความหงุดหงิด ก่อนจะตีหน้ายักษ์ เดินออกไปที่โถงด้านหน้าเพื่อจัดการกับเจ้าหน้าที่หน้าประตูทางเข้า
วิธวินท์เดินเข้าไปในห้องทำงานของภิรายุ เห็นเพื่อนนั่งเหม่อจึงค่อยๆ ย่องเข้าไปยืนหน้าโต๊ะแล้วทุบเสียงดังจนเจ้าของโรงเรียนอนุบาลสะดุ้งตกใจ
“เล่นอะไรน่ะวินท์” ภิรายุดุ แต่ถึงดุก็ยังอดทำหน้ายิ้มๆ ไม่ได้
“ฝันกลางวัน ฝันถึงเจ้าของรถสปอร์ตที่มาส่งวันนั้นใช่หรือเปล่า” วิธวินท์ล้อยิ้มๆ
“ใช่ ยอมรับก็ได้ อยากได้ยินแบบนี้ใช่ไหมล่ะ” คนฝันกลางวันยิ้มกว้าง ทำตาลอย แล้วถามโพล่งออกว่า “วินท์ นายเชื่อในรักแรกพบหรือเปล่า”
“เชื่อตายล่ะ” คนที่ถูกถามเบ้ปาก
“ก็เพราะวินท์ไม่ใช่คนโรแมนติกนี่นา”
“เราไม่เชื่อหรอก อะไรกัน พอเจอกันแค่แป๊บเดียวจะรักได้ยังไง ของแบบนี้มันต้องใช้เวลา”
“เราเจอเขาตั้งสามสิบนาที” ภิรายุยิ้มหวาน ทำตาฝันเฟื่อง
“จะบ้าหรือคุณภิรายุ” วิธวินท์ตาเหลือก “อย่าบอกนะว่าเจอกันครึ่งชั่วโมง นายก็ไปนอนกับเขา แล้วค้างคืนด้วยกันจนมาทำงานสายเอาครึ่งวัน ทิ้งหมูน้อยที่โรงเรียนให้นั่งคอยกันหน้าสลอน”
“ก็ไม่เชิง พอไปถึงบ้านเขาก็นั่งคุยกันอยู่เหมือนกัน ก่อนที่เขาจะทำเหล้าหกใส่เสื้อเรา” ภิรายุยิ้มอายๆ ตัดสินใจที่จะเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้เพื่อนฟังคร่าวๆ เพราะตัวเองเริ่มอึดอัดทนไม่ไหว หากเขาไม่ได้ระบายความรู้สึกที่อยู่ข้างในออกมาคงต้องขาดใจตายแน่ และอีกอย่าง วิธวินท์ก็คงล้อไม่ยอมหยุด
“สรุปว่านายโกหกที่เจอเพื่อนตรงสี่แยกแล้วให้เขามาส่ง” วิธวินท์พยักหน้าเป็นสรุปเรื่องราว
“เราขอโทษ ตอนนั้นเราสับสน ตั้งตัวไม่ติด อย่าโกรธเลยนะวินท์นะ”
“โกรธไม่ลงหรอก แต่เป็นห่วง กลัวจะอกหัก นายท่าทางเป็นเอามาก นั่งทำตาลอยทั้งวัน” วิธวินท์ยิ้มขำๆ เมื่อเห็นอาการของเพื่อน
“เขาเป็นคนที่น่ารักมาก อ่อนโยนแต่เร่าร้อน นุ่มนวลแต่เข้มแข็ง เซ็กซี่ โรแมนติก รูปร่างหน้าตาไม่มีที่ติ รวยด้วยนะ”
“ตอนสุดท้ายนี่ล่ะสำคัญ” วิธวินท์สรุป
“เปล่านะ ไม่ใช่อย่างนั้น เราไม่ได้ชอบเขาที่ฐานะ เราชอบเขาเพราะว่าเขาทำให้เรารู้สึกเป็นคนพิเศษ ทำให้เรารู้สึกตัวลอย เบาหวิวเหมือนนุ่น เหมือนกำลังเดินอยู่บนปุยเมฆ เราก็เห็นว่า ในเมื่อถูกใจกัน เจอคนที่เราชอบมากตั้งแต่แรกพบแบบนั้นแล้วจะรออะไรอีก เราก็เลยตัดสินใจ” ภิรายุยิ้มกว้าง ทำท่าเหมือนจะลุกขึ้นมาทำท่าประกอบคำพรรณา
“เป็นเอามาก” วิธวินท์ถอนหายใจแล้วก้าวเดินตรงไปยังประตูห้อง แต่ภิรายุเรียกเอาไว้และถามเรื่องการวางระบบคอมพิวเตอร์
“เดี๋ยวมาทำต่อให้ วันนี้ต้องไปขอโทษคนบ้าชอบหาเรื่องซะก่อน เล่นสั่งมาว่าให้ไปพบให้ได้บ่ายสองโมงตรง ไม่งั้นจะยกเลิกสัญญาจ้างงาน” วิธวินยักไหล่ ท่าท่าไม่เกรงกลัว “คนบ้า” คนนั้นแม้แต่นิด
“อย่าไปหาเรื่องกับเขานะวินธ์ ไม่มีเรื่องนั้นดีกว่ามีเรื่องนะ เวลาไปคุยกับเขาก็ให้พยักหน้ารับว่า ครับๆ เอาไว้ก่อน ส่วนจะยังไงนั้นก็เก็บไว้ในใจ ลูกค้าสำคัญ ต้องมาก่อนเหนือสิ่งอื่นใด”
“ครับผม คุณอาภิรายุ นายนี่พูดเหมือนคุณอาศรายุธเลยนะ” วิธวินท์ส่ายหน้าแล้วเดินออกจากห้องไป ทิ้งอีกฝ่ายให้นั่งฝันกลางวันต่อถึงชายหนุ่มคนนั้น
...คนที่ทำให้ภิรายุนอนฝันถึงเกือบทั้งคืน...
******4****
