ตอน 25
ทั้งสี่ตกอยู่ในสถานการณ์เคร่งเครียดอย่างเห็นได้ชัด.. โดยแบ่งเป็นสองส่วนใหญ่ได้แก่ส่วนขรึมอย่างกรณ์ผู้โดดเดี่ยวแต่ยามแข็งน่ากลัวยิ่งกว่าใครไหนๆรวมกัน ส่วนอีกฝ่ายก็เป็นฝ่ายหวั่นๆ อย่าง กฤษฏิ์ พิสิษฐ์ และก็วิชญ์ภาส
รายหลังนี้เป็นแรงหนุน ยังไงกฤษฏิ์ก็ช่วยเขามาหลายเรื่อง แถมยังเป็นเพื่อนคุยที่ดีของเขา .. ชายหนุ่มเลยเอนใจไปทางอีกฝั่งเพราะยังไงก็อยากให้เรื่องราวจบลงด้วยดี เขาเองก็สร้างปัญหาให้มากแล้ว ... ถ้ายังมีปัญหาเรื่องกฤษฏิ์กับหมอพิสิษฐ์อีกคงวุ่นวายไม่รู้จักจบจักสิ้นแน่ๆ
“ ถ้าจะโทษก็เป็นความผิดของผม” วิชญ์ภาสยืดอกรับอย่างเต็มภาคภูมิ ..
“ หมายความว่ายังไง ..” กรณ์จ้องมองเข้าไปในดวงตาของอีกคน เพื่อค้นหาคำตอบที่มี ... ยังไงสัญชาตญาณของการปกป้องและดูแลยังเต็มเปี่ยม กรณ์ยังคงเป็นพี่ชายของกฤษฏิ์ ยังต้องดูแลและเอาใจใส่ แม้กฤษฏิ์จะโตแล้วแต่ยังไงเขาก็ตัดความรักที่มีให้ไม่ได้หรอก
“ คืนที่ผมไปส่งคุณกรณ์ .. เป็นคืนที่เกิดเรื่อง ถึงมันจะเกิดจากความผิดพลาดจะมีเหล้าเข้ามาเป็นตัวแปร แต่ยังไงผมก็มั่นใจว่าสิ่งที่ทำลงไปเพราะผมรักกฤษฏิ์จริงๆ” หมอหนุ่มที่มักเงียบ และเฝ้าวิ่งตามเงาของกรณ์มาตลอดเวลา กลับรู้ใจตัวเองเมื่อกฤษฏิ์หมางเมินและเฉยชาต่อเขา แท้จริงรักกับชื่นชมมันคาบเกี่ยวกันไม่น้อย .. คนเรากว่าจะรู้ค่าของบางสิ่งก็ต่อเมื่อมันสาย .. แต่เวลานี้มันยังเป็นเวลาของเขา เขารู้ตัวก่อนก็เท่ากับเขามีสิทธิ์ที่จะไขว่คว้าความรักไม่ใช่เหรอ
“ กรณ์แค่อยากรู้ว่าอาจะเอายังไง... บ้านสายลมไม่ใช่ตระกูลเล็กๆ อีกอย่างกฤษฏิ์ก็เติบโตมาบนกองเงินกองทอง อาคิดว่าเงินของตัวเองจะมีพอให้กฤษฏิ์ผลาญเล่นหรือเปล่าล่ะ..” ดวงตาคู่เรียวชะงักเล็กน้อย แต่ก็สวนกลับไปอย่างไม่รอช้า
“ พี่กรณ์..ทำไมพี่พูดอย่างนี้ล่ะ” กฤษฏิ์ที่ยืนฟังด้วยใจสั่นๆ ถึงกับตัวชารู้สึกว่าความร้อนในกายของตนเพิ่มขึ้นอย่างคุกรุ่น การที่กรณ์พูดเช่นนี้มันไม่ต่างอะไรจากดูถูกพิสิษฐ์เลยสักนิด
“ ผมรู้ครับว่าผมมันไม่ได้ดีเด่มาจากไหน ถ้าไม่ใช่เพราะคุณท่านชุบเลี้ยงและส่งเสีย ผมคงไม่ได้ยืนจนถึงทุกวันนี้ ถึงผมจะไม่ได้มีเงินมากมายเหมือนคนของสายลม แต่ผมเชื่อว่าผมจะสามารถดูแลกฤษฏิ์ได้จนตลอดรอดฝั่ง” พิสิษฐ์ไม่ต่างอะไรจากต้นไม้ที่เติบโตจากดิน ..แต่เขากลับเป็นต้นไม้ที่งดงามและออกดอกออกผลดกหนากว่าผู้ใดเพราะแรงอุปถัมภ์จากอดีตประมุขสายลม ทุกลมหายใจจึงไม่เคยหลงลืมบุญคุณของผู้ล่วงลับทั้งสอง
“ ความรัก กับ คำพูดอันสวยหรูกรณ์ว่ามันไม่มีอะไรมันคงหรอกนะ ... แต่เอาเถอะ ... ไหนๆ กฤษฏิ์กับอาหมอก็เป็นอะไรกันแล้ว กรณ์จะห้ามก็คงว่ากรณ์เป็นพวกหัวแข็งเผด็จการ แต่ถ้าอาไม่ผ่านโปรสามเดือน กรณ์พาน้องกรณ์กลับแน่...” กรณ์ปรายยิ้มเล็กน้อยก่อนจะยกเหยียดแล้วพูดต่อ ด้วยดวงตาที่เปลี่ยนไป
“ พี่กรณ์..พี่หมายถึงอะไร”
“ ต่อไปไม่ต้องกลับไปที่สายลมอีก.. สามเดือนนี้พี่จะดูสิว่าอาหมอจะผ่านโปรหรือเปล่า จำไว้ว่านี่คือสิ่งที่กฤษฏิ์เลือกเอง หากสุดท้ายปลายทางมันไม่ได้ดั่งใจ กฤษฏิ์มีสิทธิ์ที่จะเสียใจแต่ไม่สามารถโทษใครได้ ..” ใช่สินะ ตอนนี้น้องๆของกรณ์เองก็โตกันหมดแล้ว เขาควรเปิดอิสระและทางเดินให้เลือกเอง .. แม้สุดท้ายจะต้องเสียใจ แต่อย่างน้อยมันจะเป็นบทเรียนล้ำค่าให้ก้าวข้างหน้ามั่นคงกว่าเก่า
“ ขอบคุณ..” หมอหนุ่มยิ้มให้กับโอกาสที่เปิดให้กฤษฏิ์และเขา ...
“ การที่กรณ์ให้กฤษฏิ์มาอยู่กับอาหมออย่างนี้.. หวังว่าอาหมอเองก็คงรู้ว่าตอนนี้กฤษฏิ์มีหน้าที่อะไร ถ้าพี่รู้ว่าเราไม่สนใจการเรียนรับรองเราได้ถูกดัดนิสัยแน่..” กรณ์หันไปคาดโทษกับเจ้าน้องชายตัวบาง .. กฤษฏิ์เพิ่งจบไฮสกูลและยังต้องต่อเข้ามหาวิทยาลัยอีก .. แม้บ้านจะร่ำรวยด้วยทรัพย์สินแต่ทั้งหมดมันก็ไม่จีรังเท่ากับวิชาความรู้ .. ด้วยความเป็นผู้ใหญ่ของหมอพิสิษฐ์ กรณ์เชื่อว่าอีกคนคงรู้ว่าควรทำอะไรบ้าง ..
“ ครับ ..” กฤษฏิ์ยิ้มรับกับพี่ชายของตัวเอง พร้อมทั้งเดินเข้ามากอดร่างที่บางกว่าเขาอย่างดีใจ เวลานี้ได้เกิดเรื่องดีๆมากมายในชีวิต กาณฑ์ได้รู้ความจริงและยอมเปิดทางให้กรณ์และวิชญ์ภาส ส่วนกรณ์ก็ได้รู้ถึงความสัมพันธ์ของน้องชายกับหมอประจำบ้านสายลม และเปิดโอกาสให้ต่อ .. นับจากนี้มันคงมีรอยยิ้มปรากฏในแทบทุกมุมของความรู้สึกกระมัง ขอให้มันสดใสและเจิดจ้าแค่นี้ก็พอแล้ว
“ เอ๊ะ... ว่าแต่กฤษฏิ์ พี่กรณ์ก็มีเหมือนกันนะ” เด็กหนุ่มที่โอบกอดร่างของพี่ชายเหลือบเห็น ร่องรอยความรักที่เจ้าตากลมของพี่ชายฝากไว้และเอ่ยถามขึ้นเสียงใส
“ ไอ้เด็กบ้า ... งั้นไม่ต้องอยู่ที่นี่เลย” กรณ์รีบผลักร่างที่กอดเขาอยู่ แล้วแหวกอากาศบ่นเจ้าน้องชายปากมากที่ดันตาดีมาเห็นร่องรอยใต้ร่มผ้าของกรณ์อย่างฉุนๆ
“ อ้าว..กฤษฏิ์ไม่พูดก็ได้” กฤษฏิ์รีบปลีกหลบไปอยู่ข้างหมอหนุ่มที่ยืนขำอยู่.. กรณ์ได้ทีต้องรีบหนีก่อนจะอายไปมากกว่านี้ ส่วนวิชญ์ภาสก็ต้องรีบตามกลัวกรณ์จะงอนเขาอีก.. ถึงเขาจะไม่ได้ล้อ แต่ยังไงเขาก็เป็นตัวต้นเรื่องขืนไม่รีบตามรับรองได้ถูกงอนชัวร์
คนตัวสูงเดินมาทันก่อนกรณ์จะขึ้นรถ.. วิชญ์ภาสคว้าร่างแบบบางไว้อย่างเร็ว
“ งอนผมหรือเปล่านี่คุณกรณ์” วิชญ์ภาสเอ่ยถามเสียงหวั่นๆ กลัวเสียจริงที่จะโดนอีกคนเหวี่ยง ยังไงเขาก็แคร์ความรู้สึกของกรณ์มากที่สุด เขาคงไม่สบายใจหากเห็นคนที่เขารักต้องเจ็บปวดหรือกังวลใจ
“ เปล่า .. กลับบ้านได้แล้ว” กรณ์บอกเบาๆ จริงๆไม่ได้งอนอะไรแต่มันอายที่จะสู้หน้าอีกคนน่ะสิ ทั้งๆที่รู้ว่าเรื่องราวและร่องรอยระหว่างเขากับเจ้าตากลม มันจะไม่มีวันจางหาย เพราะความรักที่มีผลักดันให้อีกคนไม่กล้าแยกออกจากกรณ์ .. ทุกสัมผัส ทุกตารางนิ้วในร่างกาย มีเจ้าของเพียงคนตัวสูงผู้เดียวเท่านั้น
“ ครับ..กลับบ้าน” วิชญ์ภาสพยักหน้าให้พร้อมอมยิ้มสื่อความหมาย .. กลับบ้าน .. คำนี้มันช่างน่าฟังจริงๆ เขารู้สึกเหมือนตัวเองเป็นหนึ่งในเจ้าของ เหมือนสายลมคือบ้านของเขาและกรณ์ ... ในความคิดเขาอยากเป็นเจ้าของสายลมหาใช่ตัวบ้านที่แสนโอ่อ่า แต่ในฐานะที่มันเป็นจุดเริ่มต้นของความรักที่เขามีต่อกรณ์ จุดเริ่มแรกของเรื่องราวที่อาจดูเจ็บปวด แฝงด้วยแรงแค้นมากกว่าใครผู้ใดจะคาดคิด
“ ยิ้มอะไร” กรณ์อดจะถามไม่ได้
“ ผมแค่มีความสุข และดีใจที่เห็นคนรอบกายผมมีความสุข” คำตอบที่ออกจากใจ .. สำคัญเหนือคำไหนที่กรณ์เคยได้ยินมา เจ้าปีศาจร้ายล่าสวาทที่แสนน่ากลัว บัดนี้ไม่ต่างอะไรจากเทพบุตรสุดแสนน่ารัก ทั้งสุภาพ และให้เกียรติ
“ อืม” กรณ์พยักหน้าให้แล้วเดินขึ้นรถไปพร้อมกับหัวใจที่สุขยิ่งกว่า ... เวลานี้กรณ์รู้สึกไม่แตกต่างจากอีกคนหรอก เขาทั้งสุข ทั้งยิ้ม และร่าเริงกว่าช่วงชีวิตไหนๆที่เคยผ่านมา
ทั้งสองกลับสู่สายลมด้วยจุดเริ่มต้นใหม่ของกันและกัน ..
ค่ำคืนของความรักจบลงด้วยการแต่งแต้มความสุข ไอร้อน และ เสน่หาที่ปรนเปรอให้แก่กันและกัน ไม่มีสิ่งไหนสามารถแยกทั้งสองออกห่างกันได้
ร่างบางถูกอีกคนโอบขึ้นนั่ง แล้วกระชับผ้าห่มคลุมกายท่อนล่างของอีกคนไว้พอเหมาะ ส่วนตัวเองก็หยิบกางเกงขาสั้นมาสวมใส่แล้วอุ้มกรณ์ลงจากเตียงไปนอกห้อง .. ก่อนออกพ้นก็คว้าเอาบางสิ่งบางอย่างติดมือของตัวเองออกไปด้วย
“ จะพาฉันไปไหน ..เหนื่อยแล้วนะ ง่วงนอน” กรณ์บ่นเบาๆ ไม่กล้าสบตากับคนที่อุ้มร่างของเขาอยู่ วิชญ์ภาสทำให้ใจของกรณ์รู้สึกเต้นแรงอย่างไม่อาจห้ามปราม ความรักครั้งนี้เหมือนจะเป็นครั้งแรก ที่ทำให้กรณ์เข้าใจถึงคำว่ากันและกัน
“ ผมไม่พาเมียตัวเองไปขายหรอกน่า..” วิชญ์ภาสเย้าเข้าให้อดจะแหย่คนที่เขารักไม่ได้จริงๆ ยิ่งเห็นกรณ์หน้าแดง ยิ่งเห็นกรณ์อายก็ทำให้ใจเขาเต้นแรงเช่นกัน มันมีความสุขปรากฏอยู่แทบทุกพื้นที่ในหัวใจ ความสุขที่ได้มีกันและกัน
“ ไอ้บ้า” กรณ์ค้อนยกใหญ่พร้อมทั้งยกกำปั้นทุบอกหนาๆ ที่มีร่องรอยขีดข่วนจากฝีมือเขาเองไปหนึ่งที ตัวต้นเหตุได้แต่หัวเราะในลำคออย่างยิ้มแย้ม ..
“ ว้าย ..” แม่สาวร่างอวบที่ไม่รู้เรื่องรู้ราว เพิ่งเดินออกมาจากการแอบกินอาหารรอบดึกสงัดถึงกับร้องกรี๊ดเมื่อเห็นเจ้านายของตนกับวิชญ์ภาสในสถานะหมิ่นเหม่ ... พอดีมันเป็นช่วงตรงทางผ่านหน้าบันไดทำให้เธอเห็นจริงๆ สาวร่างอวบและคนอื่นๆในบ้านก็ล้วนรู้ดีว่าทั้งสองเป็นอะไรกัน แต่ไม่เค้ยไม่เคยเห็นจะจะอย่างนี้สักที
“ แอบไปกินรอบดึกมาใช่ไหม ..ถ้ายังไม่อยากโดนคุณกรณ์หักเงินเดือนก็ลืมเรื่องนี้ไปซะ แล้วกลับห้องตัวเองภายใน 1.9 วินาที” วิชญ์ภาสเหลือบมองอีกคนที่ยืนอยู่ด้านล่าง ...แล้วบอกไปด้วยเสียงดุๆ เขาไม่อยากให้กรณ์ต้องรู้สึกอายและงอนเขาอีก
“ ว้าย นุ่นไม่เห็นค่ะไม่เห็น..” หญิงสาวบอกเสียงสั่นกลัวโดนหักเงินเดือน ..จริงๆไม่ได้กลัวจะไม่พอใช้หรอกนะ แต่ที่กลัวคือกลัวปริมาณไขมันในร่างกายลดน้อยเพราะเงินน้อยลงก็เท่านั้น ว่าแล้วหญิงสาวก็วิ่งหายไปอย่างกับไม่เคยปรากฏกายขึ้นมาก่อน
“ หึหึ” เจ้าร่างบางที่อยู่ในอ้อมอกของคนตัวสูงหัวเราะเบาๆ ไม่ได้รู้สึกอายหรือเขินอย่างที่วิชญ์ภาสคิด .. กรณ์อดไม่ได้หรอกที่จะเห็นหน้าเหรอหราของยัยร่างอวบ .. ทุกอย่างที่คิดเลยผิดไปจากเดิมทั้งหมด
“ ตกลงจะพาไปไหนนี่..” เมื่อวิชญ์ภาสเริ่มสาวเท้าเดินต่อกรณ์เลยถามออกมาอีกครั้ง ..
“ เดี๋ยวก็รู้ครับ...” มุมปากของคนคิ้วหนาเผยออกเบาๆ พร้อมทั้งก้มลงกดจูบบนหน้าผากเนียนมนอย่างสุดรัก เท้าของชายหนุ่มยังคงเดินต่อโดยไม่ได้ให้คำตอบใดๆกับกรณ์
บรรยากาศรอบตัวของทั้วสองเริ่มมืดขึ้น ทางที่วิชญ์ภาสอุ้มพากรณ์ไปเป็นทางเดินวนขึ้นสู่ดาดฟ้าเหนือสุดแห่งคฤหาสน์สายลม มีพื้นที่รัศมี 1.9 เมตร สูงจากพื้นดิน 19 เมตร ลักษณะที่พุ่งสู่ท้องฟ้าทำให้ยามนี้ทั้งสองไม่แตกต่างจากยืนอยู่ท่ามกลางหมู่ดาว และ ท้องฟ้ามืดดำ ชายหนุ่มเอื้อมมือเปิดสวิทซ์โคมที่ติดอยู่ด้านนอกของรัศมี ไฟที่ติดอยู่เลยสว่างพอให้ทั้งสองเห็นกันและกัน
“ เพิ่งรู้ว่าสายลมจะมีที่อย่างนี้ด้วย” กรณ์เบิกตามองรอบๆอย่างตื่นเต้น เพราะไม่คิดมาก่อนว่าบ้านของเขาจะมีสถานที่แบบนี้ แม้จะเป็นเจ้าของ แม้จะครอบครองมาตลอดช่วงชีวิต แต่กรณ์กลับหลงลืมมองเห็นบางสิ่งที่งดงามนี้
“ ผมเห็นโดมบนหลังคาสามลมมานาน ..ก็แค่สงสัยเท่านั้นว่ามันน่าจะขึ้นมาได้” วิชญ์ภาสปรายยิ้มแสนกว้างให้กับคนที่ครองหัวใจของเขา .. และทำให้ใจเขาเต้นถี่ได้แทบทุกวินาทีที่อยู่ใกล้กัน
“ เหรอ..” คนหน้าสวยเงยขึ้นมองอีกฝ่ายอย่างแปลกใจ .. คำของเขาก็ทำให้กรณ์ยิ้มได้เหมือนกัน จากคนไม่รู้จักความสุข จากคนที่ใช้แต่ความเย็นชาปกปิดบาดแผลและความรู้สึก บัดนี้ทุกอย่างได้ถูกคำว่า ‘รัก’ เปิดออกจนหมดสิ้น .
“ ที่นี่สวยมากจริงๆ ..” กรณ์ยิ้มให้วิชญ์ภาสอย่างปิดทุกความกังวล ..มือบางเอื้อมไล้บนใบหน้าคมเข้มอย่างเบามือ นิ้วเรียวเลื่อนลูบไปบนใบหน้าของอีกคอย่างไม่เข้าใจตัวเอง ... ตัวตาคู่เรียวปิดออกแต่มือยังคงเลื่อนไปข้างหน้าอย่างเนิบนาบ ...
.. ทุกสัมผัส ทุกกลิ่นไอ ทุกคำว่าเรา ..
“ ดวงตาของนายสามารถหยุดมองที่ฉันเพียงคนเดียวได้หรือ... มือของนายจะสามารถหยุดสัมผัสไว้ที่ร่างกายของฉันเพียงคนเดียวได้หรือเปล่า หัวใจของนายจะสามารถเต้นเพียงชื่อของฉันได้จริงเหรอ ...” เสียงหวานดังขึ้นถาม ราวท่วงทำนองที่แผ่วบาง ราวสายลมเย็นๆที่พัดผ่าน แต่มันกลับสร้างความสุขและความมั่นคงในหัวใจได้มากมายที่สุดในชีวิต
“ หากเป็นเมื่อก่อน .. คำตอบของผมคงเป็น ‘ไม่ ’ ทั้งสามข้อ เพราะผมเชื่อมั่นในหน้าตา เชื่อมั่นในความคิด และการใช้ชีวิตของตัวเอง ผมจึงไม่คิดจะแคร์คนที่เรื่องมากเจ้าปัญหา แต่ตอนนี้มันไม่เหมือนกันเมื่อผมรู้จักกับความรักจริงๆ ผมมั่นใจในตัวเองอย่างถึงที่สุดแล้ว ..ดวงตาของผมคงไม่สามารถหยุดที่คุณเพียงคนเดียว แต่ผมเชื่อว่าจะมีเพียงคุณคนเดียวที่ผมใช้ดวงตามองพร้อมรัก มือของผมคงไม่สามารถหยุดแตะต้องเพียงที่ร่างกายคุณเพียงคนเดียว แต่ผมเชื่อว่าจะมีเพียงคุณคนเดียวที่ทำให้มือของผมสั่นทุกครั้งที่ใกล้กัน แต่ผมมั่นใจอยู่อย่างหนึ่ง ... หัวใจของผมจะเรียกเพียงชื่อของคุณเพียงคนเดียว..” ท่วงทำนองของความมั่นคงและจริงใจ ตอบกลับมาจนคนถามต้องหน้าแดงก่ำ ใจเต้นสั่นด้วยความรักที่มันมีมากมาย
“ พูดเหมือนจะดี..แต่แอบด่าฉันใช่ไหมนี่ที่เรื่องมากเจ้าปัญหา” ดวงตาคู่เรียวต้องหรุบหลีกอย่างเขินๆ แต่ไม่วายแก้เก้อให้บรรยากาศระหว่างทั้งสองไม่เงียบเชียบเกินไป ..กลัวจริงๆ กลัวว่าอีกคนจะได้ยินเสียงหัวใจที่เต้นจนแทบจะหลุดออกจากขั้ว
“ ถึงคุณจะเรื่องมาก จะเจ้าปัญหา จะขี้วีน จะชอบใช้กำลัง จะชอบข่มขู่ ... แต่ผมยินดีสมัครเข้าชมรมกลัวเมียนะครับ...” วิชญ์ภาสยิ้มกว้างพร้อมยิ้มกรุ้มกริ่มส่งให้
“ ..อยู่ก็อยู่ไปสิ.. มันไม่เกี่ยวกับฉันสักหน่อย” กรณ์ถลึงตาให้ตอนที่อีกคนบอกนิสัยเสียๆของเขา แต่ต้องอายม้วนตอนวิชญ์ภาสบอกว่าจะยอมให้กรณ์ได้ทุกอย่าง ..
“ เกี่ยวสิ...” ดวงตาคู่กลมทอประกายความรักพร้อมย้ำความเชื่อมั่นที่ตัวเองมี .. ริมฝีปากหยุ่นๆสัมผัสลงบนกลีบปากบางอย่างนุ่มนวล ..
“ ฉวยโอกาส” กรณ์บ่นเบาๆแก้อาย ลมที่พัดมาจากด้านบนสร้างความเหน็บหนาวให้กับสองกายได้มาก แต่เมื่ออุณหภูมิของความรัก สร้างความอบอุ่นให้ได้มากต่อมาก ... กายเจ็บ แต่ใจสุข มันก็มีคุณค่ามากเกินกว่าอะไรทั้งมวลแล้วล่ะ ..
เสียงดนตรีจากโทรศัพท์มือถือที่วิชญ์ภาสหยิบติดมือตอนออกจากห้องดังขึ้น .. ท่วงทำนองของเพลงสากลเพลงหนึ่งที่คุ้นเคยดังขึ้น พร้อมเสียงห้าวเครือของนักร้องคลอไปกับดนตรี
.. Close your eyes, give me your hand, darling
คนตัวสูงเลื่อนริมฝีปากของตนสัมผัสลงบนเปลือกตาบาง ..ยื่นมือทั้งสองไปสัมผัสกับมือของอีกฝ่ายแล้วตวัดให้มันขึ้นมาคล้องคอของตัวเอง .
Do you feel my heart beating
จากนั้นมือทั้งสองก็เลื่อนมาตรงเอวบาง ...ประคองร่างนั้นเคลื่อนไปตามจังหวะหัวใจที่เต้นแข่งกับบทเพลง
Do you understand
จากไม่เข้าใจ จากเคยตั้งคำถาม
Do you feel the same
แต่เวลานี้หัวใจของทั้งสองกลับรู้สึกถึงความอบอุ่นไม่แตกต่างกัน ดวงตาของความรักที่ทอประกายเพื่อกัน
Am I only dreaming
ร่างกายของความเร่าร้อนที่ต้องการเพียงคนที่อยู่ตรงหน้า ไม่ใช่ฝันกลางวันหรือหมอกควันที่ไม่อาจจับต้อง
Is this burning an eternal flame
หัวใจที่กำลังพร่ำเรียกกันและกัน ..กำลังทอแสงแห่งความหวัง เปลวไฟของความรักที่จะเป็นนิรันดร์เกินใครจะดับมันลง
I believe it's meant to be, darling
ดวงตาที่จับจ้องกัน .. สื่อความหมายของความอบอุ่นได้ดี ร่างกายเคลื่อนไปตามบทเพลงของทั้งสอง
I watch you when you are sleeping
หมู่ดาวและฟากฟ้าจะเป็นพยานของใจที่เคลื่อนไปด้านหน้า ในทุกๆยาม ...
You belong with me
นับจากนี้ แม้ตัวต้องห่างไกล แต่หัวใจกลับผูกโยงถึงกัน ..
Do you feel the same
แม้กรณ์ในยามนี้จะยังไม่ได้กล้าแสดงความรักเช่นที่วิชญ์ภาสกระทำ
Am I only dreaming
แต่วิชญ์ภาสก็มีความสุขแล้ว เมื่อนี่มันไม่ใช่เพียงฝันที่เขาสร้างขึ้นฝ่ายเดียว
Or is this burning an eternal flame
ความอบอุ่นที่เคียงคู่ หัวใจที่ใกล้ชิด.. รัก
Say my name, sun shines through the rain
ส่วนกรณ์ก็เคยผ่านอุปสรรค และความยากลำบาก ..
A whole life so lonely
ชีวิตที่ผ่านมาต้องแบกรักความรับผิดชอบอะไรมากมาย เคยต้องกางปีกเพื่อปกป้องผู้อื่น แต่ตนกลับไม่เคยมีใครเป็นที่พึ่ง ..
And then you come and ease the pain
แต่ในวินาทีที่วิชญ์ภาสได้นำพามาความรักมาสู่เขาทุกความเจ็บก็ค่อยๆ ถูกความรักรักษาและดูแล
I don't want to lose this feeling ...ooooohhhh....
นับจากนี้ลมหายใจของสองกายจะเป็นใกล้กัน .. ทั้งสองจำเป็นต้องมีกัน ไม่ใช่ต้องการ
วันใดที่รักต้องห่างหาย คงเป็นวันที่หัวใจพบกับคำว่าตายด้าน
“ ผมรักคุณ...” คำบอกรักดังขึ้นพร้อมเสียงดนตรีที่จบไป.. แสงดาวที่เคยสงบหนึ่งก็พร้อมใจกับพราวประกายพาดตัวรอบทิศ ...
“ ฝนดาวตก..” กรณ์ชะงักในคำของวิชญ์ภาส .. แต่ต้องชะงักอีกครั้งเมื่อรอบกายมีเพียงแสงวูบวาบ มือบางเอื้อมปิดไฟตรงรอบๆให้ดับลง ..พร้อมหันหลังไปมองรอบกายที่เริ่มมีปรากฏการณ์ฝนดาวตกอย่างตื่นตาตื่นใจ ..
“ นั่งดูดีกว่าครับ..” วิชญ์ภาสเชื้อชวนคนรักแล้วดึงมือให้กรณ์นั่งลงตามเขา ..ชายหนุ่มตัวบางยินยอมโดยไม่ขัดขื้นและนั่งลงตรงระหว่างกลางของวิชญ์ภาส อีกฝ่ายชันเข่าขึ้นป้องลมหนาว .. ทั้งกายมีเพียงกางเกงขาสั้นที่ติดตัวมา ส่วนกรณ์ก็มีผ้าห่มผืนใหญ่แต่ทั้งกายไม่เหลืออะไรสักชิ้น ..
“ หนาวไหม..” กรณ์เอ่ยถามอีกคนที่กอดเขาอยู่... ด้านหลังวิชญ์ภาสพึ่งเข้ากับผนังโดมที่เย็นชื้น
“ นิดหน่อยครับ..” วิชญ์ภาสพยักหน้าให้เล็กน้อย คนที่มีผ้าคลุมกายเลยตวัดผ้าไปด้านหลังเพื่อให้อีกฝ่ายได้รับไออุ่น...กายของทั้งสองที่ถูกผืนผ้าแยกห่างจากกันก็แนบชิดและรับรู้ถึงอุณหภูมิของกันและกัน
วิชญ์ภาสขยับให้ชายผ้าตรงมาหน่อยนึงเพื่อให้กรณ์ที่ไม่มีอะไรเลยในตัวได้นั่งลงตรงกลาง เมื่อผ้าคลุมเขาและกรณ์จากด้านนอกได้หมด..มือหนาก็เอื้อมเข้ามากอดอีกคนทำให้หลังของกรณ์ชนเข้ากับอกแกร่ง ..หน้าคมวางกดลงบนบ่าบางอย่างนุ่มนวล ..ดวงตาของทั้งสองยังจับจ้องไปยังปรากฏการณ์บนท้องฟ้าที่วูบวาบตื่นตาตื่นใจ
“ อุ่นจังเลยครับ..” วิชญ์ภาสกระซิบแผ่วๆตรงข้างหู กดจูบลงเบาๆ จากนั้นก็ลากเลื่อนลงมาตามแนวลำคอสวย ... จงใจประทับร่องรอยความรักลงไปอย่างนุ่มนวล แต่ลิ้นชื้นและแรงที่กระทำก็อดจะทำให้กรณ์สะดุ้งสั่นไหวไม่ได้ มือหนาเองก็เริ่มเคลื่อนไหวไปตามร่างกายนุ่มๆอย่างหลงใหลและหมายจะครอบครองอีกครั้ง
“ ..ไม่เอาแล้วนะ เหนื่อย” กรณ์กัดฟันพูดอย่างสุดกลั้นอารมณ์ แม้จะรู้สึกดีแต่เขาก็เหนื่อยเกินกว่าจะรองรับความต้องการที่ปรากฏอีกรอบในค่ำคืนนี้ .. ตั้งแต่ที่เกิดเรื่องเมื่อสองสามวันก่อน กรณ์แทบจะนับไม่ได้เลยว่าระหว่างทั้งสองเคลื่อนไหวไปตามทำนองของอารมณ์กี่ครั้งแล้ว
“ ..อื้อ...” แต่คำห้ามของกรณ์ดูจะไร้ผล เมื่อร่างของเขาถูกยกให้ลอยขึ้นเล็กน้อยเพื่อต้อนรับความมุ่งหมายในปรารถนาที่แทรกผ่าน ..
“ ผมขออีกครั้งนะครับแล้วคืนนี้จะไม่กวนคุณอีก” คำกระซิบข้างๆหูบอกเจตนาแท้จริง บรรยากาศที่แสนเป็นใจอดจะปลุกอารมณ์ของคนหน้าหล่อขึ้นมาไม่ได้จริงๆ .. ลมหายใจที่กระหืดหอบเพราะการเคลื่อนไหว หยดเหงื่อที่เริ่มประสานกับไอร้อนในร่างกาย หรือจะเนื้อกายที่สัมผัสไปมาอย่างสุดห้าม
แสงดวงดาวที่ส่องประกายจากฟากฟ้า ..
เซ็กซ์ท่ามกลางหมู่ฝนดาวตก ..
พยานรักชั้นดีที่ยากจะมีผู้ใดได้มีโอกาสสัมผัส ยอดสูงแห่งสายลมที่สูงถัดฟากฟ้า กำลังสร้างความซ่านสุขในกายของสองคนที่รักกันได้มากมายเกินผู้ใดจะเอื้อมขวาง ทางข้างหน้ายังไม่มีอะไรเป็นตัวรับประกันแต่อย่างน้อยเวลานี้สุขใจ ... ก็พอแล้วไม่ใช่เหรอ
“ กลับห้องกันดีกว่า..” เมื่อทุกอย่างสิ้นสุดลง ร่างที่อ่อนแรงของกรณ์ก็ล้มลงกลางอกหนั่น คนตัวสูงจึงกระชับร่างของอีกคนขึ้นและเดินลงจากโดมสูงอย่างรวดเร็ว ความรัก เส้นทาง และหัวใจ
“ ถึงกับสลบเลยเหรอครับ..” วิชญ์ภาสยิ้มให้คนที่หลับลงเพราะอ่อนแรง ...และพาคนที่เขามอบหัวใจไปพักผ่อน ... เส้นทาง รอยยิ้ม และไออุ่นมีค่าให้ครอบครองเมื่อเข้าใจความหมายของมัน