เอามาให้อ่านกันเล่นๆ อ่ะครับ...
..................................................................................
ตอนพิเศษ ถวายเพลเย็นวันศุกร์ หลังจากเลิกงาน ผมขับรถแวะเข้าห้างสรรพสินค้า เจ้าดังที่ชื่อเป็นดอกบัวในภาษาอังกฤษ คว้ารถเข็นมาได้คันนึง ก็เข็นเดินไปตามทางเพื่อหาของที่ต้องการ พวกสิ่งของที่จำเป็นสำหรับการดำรงชีพ ผงซักฟอก กระดาษทิชชู สบู่ ยาสีฟัน แปรงสีฟัน สมุด ปากกา ดินสอ ฯลฯ จนได้ของที่ต้องการครบ
ครับ พรุ่งนี้ผมจะไปเยี่ยมหลวงพี่ชลที่วัด เลยจะหาของที่จำเป็นไปถวายท่านด้วยนั่นเอง (ไปกับผมนะครับ)
... เจ็ดโมงเช้า ผมขับรถออกจากบ้าน ไม่ลืมแวะที่ตลาด ซื้ออาหารใส่ปิ่นโตเถา พร้อมกับขนมเล็บมือนาง และสาคูไส้หมู ของโปรดของหลวงพี่ไปด้วย ใช้เวลาขับรถสองชั่วโมงกว่าๆ ผมก็มาถึงวัดที่หลวงพี่ชลพำนักจำพรรษาอยู่ ผมขับเลยเข้าไปในจุดที่ใกล้กับกุฎิของท่านมากที่สุด
กุฏิของหลวงพี่เป็นกุฏิครึ่งตึกครึ่งไม้ สองชั้น ด้านล่างเป็นที่เก็บของพวกอัฐะบริขารต่างๆ ด้านหนึ่งเป็นห้องของลูกศิษย์ เด็กวัดที่มาอยู่คอยรับใช้ โดยเรียนหนังสืออยู่โรงเรียนใกล้ๆ
ผมหิ้วปิ่นโตเดินขึ้นบันไดด้านข้าง ขึ้นไปชั้นบนที่เป็น กุฏิไม้ที่พื้นถูกขัดถูจนเลี่ยมเป็นเงาวับ หลวงพี่นั่งรออยู่แล้ว พอผมไปถึง ก็วางหนังสือในมือลง
“มาถึงแล้วรึ โยม”
“ครับ” ผมนั่งคุกเข่า วางปิ่นโตลงข้างๆ ก่อนจะก้มลงกราบ
“เจริญพร แล้วเอาอะไรมาล่ะ”
“อาหารเพลครับ หลวงพี่ มีขนมเล็บมือนาง กับสาคูไส้หมูที่หลวงพี่ชอบมาด้วยครับ” ผมบอก ก่อนจะเดินลงไปขนของที่ซื้อมาถวายท่านขึ้นมาวางแอบไว้ด้านหนึ่ง
“ซื้ออะไรมาเยอะแยะ โยม... ลำบากเปล่าๆ”
“ไม่ลำบากหรอกครับ” ผมบอกก่อนจะคลานเข่าเข้าไปใกล้หลวงพี่ ชะโงกหน้าเข้าไปจนเกือบชิดหน้าท่าน มองอย่างพิจารณา “แผลหายดีแล้วเหรอครับ หลวงพี่”
“อือมมม ก็หายแล้วละ เหลือแต่แผลเป็นจางๆ เหนือคิ้วนี่” หลวงพี่ชี้ให้ดู ถ้าเป็นคนธรรมดาก็อาจจะมองไม่ชัดเท่าไรเพราะมีคิ้วบัง แต่หลวงพี่โกนคิ้วออกหมด เลยเห็นค่อนข้างชัดว่าเป็นแผลยาวร่วมกว่านิ้ว แตกเป็นสองแฉกแบบปากฉลาม ท่าทางลึกเอาเรื่อง
“นี่เหรอครับ ที่หลวงพี่ว่า นิดหน่อย” ผมย่นหัวคิ้วบ่นเบาๆ “ต่ำลงมาอีกหน่อย ก็ตาบอดแล้วครับ”
“บุญยังมีมั้ง เลยไม่ต้องเป็นพระแก่ๆ ตาบอด” หลวงพี่บอกยิ้มๆ
“ยังมาพูดเล่นอีก... นี่ก็เกือบเพลแล้ว หลวงพี่จะฉันเลยหรือเปล่าครับ” ผมถาม
หลวงพี่เงยหน้าขึ้นมองนาฬิกาที่ผนัง 10:55 น. พยักหน้า ก่อนจะเคาะที่พื้นกุฏิ สองสามที ครู่เดียว เด็กชายวัยรุ่นอายุราว สิบสองสิบสามปี ก็เดินขึ้นบันไดมา
“ต้น รับปิ่นโตจากโยมไปจัดสำรับเถอะ” หลวงพี่บอกเด็กชาย
“ครับ หลวงลุง” เด็กชายวัยรุ่นรับคำ ก่อนจะคลานมารับปิ่นโตไปจัดที่สำหรับฉันอย่างคล่องแคล่ว ก่อนจะเดินลงไปจากกุฏิ เพราะเห็นว่าผมประเคนได้ ขณะที่หลวงพี่ ลุกจากอาสนะที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ เดินไปที่ด้านในห้อง ประเดี๋ยวเดียวก็ห่มจีวรออกมาเรียบร้อย... (ก่อนหน้านี้ท่าน สรวมแค่อังสะ กับนุ่งผ้าสบงอันเป็นปกติของพระที่อยู่ที่กุฏิครับ) มานั่งที่อาสนะฉัน ผมจัดแจงประเคนภัตตาหารที่ซื้อมาถวายแล้วถอยออกมานั่งอีกทางหนึ่งไม่ไกลนัก
“เป็นไงโยม... สบายดีอยู่รึ” หลวงพี่ถามเหมือนชวนคุยขณะฉันภัตราหาร
“ก็เรื่อยๆ ครับ เหนื่อยๆ ไม่มีคนดูแลบ้าน” ผมบอก
“ก็ไม่หาคนมาดูแลล่ะ” หลวงพี่บอกยิ้มๆ พลางฉันท์ภัตาหารต่อไปเรื่อยๆ
“ไม่ดีกว่าครับ หลวงพี่ หาแล้วไม่ถูกใจ อยู่คนเดียวอย่างนี้ดีกว่า”
“ทิฐิ ในตัวก็ลดๆ ลงบ้างก็ดีนะโยม... ยึดติดมากๆ มันเหนื่อย...”
“อย่ามายุ...” ผมบอกเบาๆ “หลวงพี่ก็รู้...”
“ก็เพราะรู้น่ะสิ... ถึงบอกให้ปล่อยๆ วางบ้าง ถือไว้ทำไม มันหนัก”
“หากแผ่นดิน สิ้น “คน” ที่พึงเชย.... อย่ามีคู่เสียเลยจะดีกว่า” ผมบอกเบาๆ...
“เรื่องมาก... ปากหนัก ตั้งแต่หนุ่มยันแก่... ก็ต้องอยู่คนเดียวไปอย่างนี้แหละ...” หลวงพี่บ่นออกมา
“ตอนหนุ่มน่ะไม่เถียงครับ แต่ ตอนแก่ อยากจะสารภาพ ก็ไม่รู้จะมีใครฟังหรือเปล่า” ผมพูดโต้...
หลวงพี่หัวเราะ ส่ายหน้า... “อะไรที่มันผ่านไปแล้ว ก็ให้มันผ่านไป มันไม่มีประโยชน์จะรื้อฟื้นหรอกโยม... แต่สิ่งที่จะเข้ามาใหม่ๆ ก็แล้วแต่โยมที่อยากจะไขว่คว้า และจะถือครองไว้ได้หรือเปล่า”
“ช่างมันเถอะครับ หลวงพี่ มันจะมีก็ให้มี ถ้ามันจะไม่มี ก็อยู่ไปอย่างนี้แหละครับ” ผมบอกอย่างไม่เอาเรื่องเอาราว
“รั้น ไม่เคยเปลี่ยน” หลวงพี่พูดออกมาตรงๆ
“ครับ ผมไม่เคยเปลี่ยนอยู่แล้ว... ยังไงก็อย่างนั้น ตั้งแต่หนุ่มแล้วนี่ หลวงพี่ก็ทราบ”
“หนุ่มๆ ทำ... ก็ยังพอรับได้ ถือว่า ยังไม่มีประสบการณ์ แต่อายุเยอะๆ แล้วยังรั้นเนี่ยะ... ไม่รู้ว่า ถ้าโยมแม่ยังมีชีวิตอยู่ โยมแม่จะว่ายังไง?”
“หุ หุ โยมแม่ของหลวงพี่ เคยจะหาสาวมาให้ผมเหมือนกันแหละ เป็นลูกสาวของเพื่อน ย้ายไปอยู่ทางเหนือ เคยให้ผมไปดูตัวแต่เค้าไม่ชอบผมอ่ะ”
“ไปทำอะไรให้เค้าไม่ชอบล่ะ” หลวงพี่ถามยิ้มๆ “โยมน่ะนะ... เมื่อก่อนเห็นเล็งใครไม่มีพลาด”
ผมยักไหล่นิดนึง... “คนมันไม่ชอบ จะให้ทำยังไงล่ะครับ”
“ใครไม่ชอบ โยมไม่ชอบ หรือ เค้าไม่ชอบ” หลวงพี่ตอบอย่างรู้ทัน “อายุเยอะแล้ว จะรออะไร”
“รอถ่านไฟเก่าอยู่ แต่ไม่ยักกะติด...” ผมตอบลอยๆ...
หลวงพี่นิ่ง ฉันท์ภัตตาหารต่อไปอย่างเงียบๆ ไม่เซ้าซี้อีก... จนผมอมยิ้ม...
“เอาน่า หลวงพี่ ผมก็อยู่ของผมไปอย่างนี้แหละ เลี้ยงหลานๆ ไป ตอนนี้หลานสาวคนเล็กขวบครึ่ง กำลังเป็นขวัญใจลุงดิน... อ้อนเก่งชะมัด พาไปห้างทีไร ลุงดินกระเป๋าฉีกทุกที...”
“หึ หึ... ก็ดี...” หลวงพี่อมยิ้ม “นึกภาพลุงดินอุ้มหลานไม่ออกเลย”
“โธ่ ไม่อยากจะคุย หลวงพี่... หลานผมติดผมมากกว่าพ่อมันอีก เจอหน้าผมวิ่งเข้าหา ฟ้องจ๋อยๆ เลยว่าพ่อมันดุบ้าง ขัดใจบ้างสารพัด”
หลวงพี่หัวเราะหึๆ “มีเสน่ห์กับผู้หญิงเหลือเกินนะ ตั้งแต่เด็กตัวเล็กๆ จนกระทั่ง สาวๆ”
“เดี๋ยวนี้ถอดเขี้ยวเล็บหมดแล้วละครับ...กับสาวคนอื่นๆ น่ะ เหลือแต่หลานสาวคนเดียวนี่แหละว่าจะรับเป็นลูกอยู่เหมือนกัน”
หลวงพี่ฉันท์ต่ออีกครู่ใหญ่ ก็อิ่ม บอกให้ผมไปเอาแก้วใส่น้ำสะอาดมาหนึ่งใบ พร้อมกับจานใบนึง ก่อนจะบอกให้ผมกรวดน้ำเพื่อแผ่กุศล...
หลังจากนั้น ก็เป็นพิธี ข้าวก้นบาตร หุ หุ ก็ไม่มีอะไรครับ ผมกับเจ้าต้นเด็กวัด ก็จัดการกับอาหารที่หลวงพี่ฉันท์เหลือมานั่นแหละครับไม่นานก็เรียบร้อย ขึ้นมานั่งเล่นบนระเบียงกุฏิที่ทำเป็นนอกชานกว้างยื่นออกไปด้านนอกใต้เงาไม้ใหญ่ครึ้มลมพัดเย็นสบายเพราะกุฏิหลวงพิ่ติดกับกำแพงวัด ด้านนอกเป็นนาข้าวที่เพิ่งปักดำ เขียวชอุ่ม... หลวงพี่เอาเสื่อกับหมอนสามเหลี่ยมมาให้ผม ปูนั่งอย่างสบายที่นอกชานนั้น
“นึกๆ ดู ก็อิจฉาหลวงพี่เหมือนกันนะครับ บวชเป็นพระก็ดีไปอย่าง ไม่ต้องแก่งแย่ง ชิงดีชิงเด่น ทะเยอทะยาน... ไม่ต้องต่อสู้ กับกิเลสต่างๆ นาๆ” ผมบอกเหมือนชวนคุย
หลวงพี่มองผมอย่างขบขัน นัยน์ตาระริก... “ปลงได้อย่างนั้นเลยเหรอโยม... เมื่อก่อนโยมดินไม่เป็นอย่างนี้นะ”
“ต่อสู้มานานๆ มันก็เบื่อ ก็เหนื่อยเหมือนกันละครับ หลวงพี่”
“เอา เหนื่อยนัก ก็นอนเล่นไปก่อนละกัน เดี๋ยวหลวงพี่มา” หลวงพี่ตัดบท ก่อนจะห่มจีวรเดินลงไปด้านล่าง
หลวงพี่ไปนานเท่าไรไม่รู้ครับ เพราะผมนอนเล่นไปอีกสักพัก อากาศสดชื่น ลมพัดเย็นๆ ผมก็ผล๋อยหลับไปตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้... รู้สึกตัวตื่นขึ้นมาอีกที ก็บ่ายแก่ๆ แล้ว นอกจากหมอนที่รองหัว ยังมีผ้าแพรห่มอยู่บนอกของผม
เหลือบตาไปมอง เห็นหลวงพี่นั่งอ่านหนังสืออยู่บนอาสนะผืนสี่เหลี่ยมประมาณเมตรคูณเมตร มีตั่งเล็กๆ สูงประมาณฟุต อยู่ตรงหน้า สวมแว่นสายตาสำหรับอ่านหนังสือทำให้หลวงพี่ดูแปลกไป อย่างที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน
นอกจากบนหัวกับคิ้วที่โกนจนเกลี้ยงเกลา หลวงพี่สายชลไม่เปลี่ยนไปเลย หน้าขาว จมูกโด่งสวย ปากแดง แทบไม่มีริ้วรอยของความสูงวัยที่มาเยือน ทั้งที่หลวงพี่อายุเลย 50 ไปแล้วหลายปี
ผมขยับตัวลุกขึ้นมานั่ง หลวงพี่เงยหน้าขึ้นมอง ก่อนจะยิ้มให้
“เป็นไงโยม ได้พักผ่อน สบายขึ้นไม๊”
“ครับ อากาศเย็น สบายดีจังครับ หลวงพี่... ขอบคุณนะครับ ที่เอาผ้ามาห่มให้ผม”
“อือ... กลัวโยมจะหนาว เดี๋ยวตื่นมาไม่สบาย... ไปล้างหน้าล้างตาก่อนไหมโยม จะได้สดชื่นขึ้น...”
“ครับ ขอบพระคุณครับ...” ผมยกมือไหว้ ก่อนจะลุกขึ้น พับผ้าแพรผืนนั้นเรียบร้อย วางไว้กับหมอน เดินไปเข้าห้องน้ำที่หลวงพี่บอก ไม่นาน ก็กลับมานั่ง พิงหมอนมองหลวงพี่อ่านหนังสือ
“อ่านอะไรอ่ะครับ หลวงพี่”
หลวงพี่ยิ้ม ก่อนจะพลิกหน้าปกให้ดู “ภาษาบาลี”
“ก็อ่านไปเรื่อยๆ น่ะ โยม อาตมาสอบนักธรรมเอกได้แล้ว เมื่อปีที่แล้ว ว่าจะสอบเอาเปรียญปีหน้า...”
ผมทำหน้าเบ้... แต่หลวงพี่หัวเราะ “มาทำหน้าเบ้... ทีเมื่อก่อนโยมอ่านหนังสือมาเท่าไร ได้มากี่ใบแล้วล่ะดีกรีน่ะ”
“ก็อย่างนั้นแหละครับ หลวงพี่... เมื่อก่อนตอนกลับมาจากอเมริกาใหม่ๆ ก็ดูตื่นเต้น ภูมิใจตัวเอง ที่เป็นนักเรียนนอกนะครับ แต่เดี๋ยวนี้ก็ธรรมดา ไม่ได้รู้สึกอะไรบางทีก็ไม่รู้เหมือนกันว่า เรียนมาทำไม ไอ้ปริญญาโทสองใบสามใบน่ะ”
หลวงพี่หัวเราะหึๆ “ธรรมดา... ไอ้ที่ยังไม่ได้ ก็อยากได้ อยากมี พอได้มาแล้ว ก็อย่างงั้นๆ แหละ กิเลสมนุษย์”
“ก็คงจะจริงครับ หลวงพี่”
หลวงพี่หันมามองผมนิ่งๆ สักพัก ก่อนจะถาม “ไม่คิดจะมีครอบครัวจริงๆ เหรอ โยมดิน”
“ม่ายละครับ มาป่านนี้แล้ว อยู่คนเดียวสบายกว่า ไม่ต้องมีห่วงกังวลอะไร”
“แก่ตัว ไม่หาคนมาดูแล”
“พูดเหมือนม้า ก่อนเสีย... กังวลเหลือเกิน ว่าผมจะไม่มีคนดูแล... แก่ๆ หลังเกษียน ผมอาจจะมาบวชตามหลวงพี่มั่ง ได้ไหมครับ”
หลวงพี่หัวเราะหึๆ “บวชรับ บวชลับ บวชลอง บวชครองประเพณี บวชหนีสังสาร บวชผลาญข้าวสุก บวชสนุกตามเพื่อน บวชเลื่อนลอย บวชคอยงาน เอาอะไรดีล่ะ...”
“ยังไงครับ อันอื่น พอได้ แต่บวชหนีสังสาร คืออะไรครับ”
“ก็เหมือนกับการบวชเพราะเบื่อหน่ายการครองเพศฆราวาส นั่นแหละ...” (หลวงพี่อธิบายยืดยาว แต่ผมจำมาได้แค่นั้น)
“เอาน่ะ เดี๋ยวถึงตอนนั้นผมจะมาบอกหลวงพี่ ว่าผมบวชเพราะอะไร...” ผมบอกยิ้มๆ
“ตามใจโยมเหอะ” หลวงพี่บอกมายิ้มๆ อย่างรู้ๆ กันอยู่
วันนั้น ผมขับรถกลับกรุงเทพอย่างอิ่มเอมใจ อย่างน้อย ผมก็ได้คุยกับคนรู้จัก รู้ใจ ถึงจะขี้บ่นไปหน่อยก็ตาม แล้วก็พูดอะไร ดูเหมือนจะอ้างอิงพระธรรมคำสั่งสอนอยู่ตลอด...
ผมบอกหลวงพี่ว่า มีคนอ่านเค้าชอบหลวงพี่มาก อยากมาหาก็มี แต่ผมหวง ไม่ให้มา หลวงพี่ก็หัวเราะ หน้าแดง... ก่อนจะบอก “อะไรที่มันจบแล้ว ก็จบไปเถอะโยม... ขอความสวัสดี มีแก่คนอ่านของโยมทุกคน”
รับคำอวยพรกันไปนะครับทุกคน... สาธุ