และแล้ว อะไรที่มันค้างๆ คาๆ ก็มาเฉลยกันตอนนี้แหละครับ
.................................................................
ตอนที่ 75 ปัจฉิมบท ดินกับชลตอนนี้เป็นเรื่องสดๆ ที่เกิดขึ้นไม่นานมานี่เองครับ...
กรกฏาคม 2557
ก่อนหน้านี้ไม่กี่วัน พี่ธีร์ โทรศัพท์หาผม (หลังจากที่ผมกลับจากอเมริกา ผมก็ยังติดต่อกับพี่ธีร์อยู่นะครับ แต่ไม่ได้มีอะไรกันแล้ว ความสัมพันธ์เป็นพี่เป็นน้องกันเฉยๆ พบปะพูดคุยกันบ้าง) ให้ไปหาที่บ้าน บอกว่ามีเรื่องสำคัญจะคุยด้วย พอผมไปถึงเจอหน้ากัน พี่ธีร์ก็บอก...
“ดิน... พี่มีข่าวจะบอก”
“เรื่องอะไรครับ”
“ก็... คนที่เราตามหามาหลายปีไง” พี่ธีร์บอกยิ้มๆ...
“ไอ้ชล”
“ฮื่อ...” พี่ธีร์พยักหน้า พร้อมกับยื่นที่อยู่มาให้พร้อมกับแผนที่ระบุว่าเป็นวัดๆ หนึ่งในจังหวัดราชบุรี ทางไปซับซ้อนพอควร
พอเห็นชื่อสถานที่ ผมก็ใจหวิวๆ ถามพี่ธีร์เสียงแหบ “ชลมันไปทำอะไรที่นั่นครับ พี่”
“ไปก็รู้เองแหละ” พี่ธีร์ไม่บอก ก่อนจะตัดบท “พี่ไปเจอโดยบังเอิญ แต่เค้าไม่เห็นพี่หรอกนะ
นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้ผมขับรถจากบ้านที่กรุงเทพฯ ไปบนเส้นทางสายบรมราชชนนี เลี้ยวขวา เข้าถนนเพชรเกษม ผ่านจังหวัดนครปฐม ไล่เรื่อยไปจนถึงจังหวัด ราชบุรี ตามเส้นทางที่พี่ธีร์เขียนบอกในวันเสาร์ถัดมา จนกระทั่งมาถึงจุดหมาย
มาถึงแล้ว ผมจึงพบว่า วัดนี้เป็นวัดที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำแม่กลอง บรรยากาศร่มรื่น เงียบสงบ ผมจอดรถใต้ร่มหูกวางสองต้นที่ปลูกห่างกัน เว้นช่องตรงกลางเป็นที่จอดรถพอดีก่อนจะดับเครื่องยนต์เปิดประตูเดินลงมา
หันซ้ายขวา ไม่รู้จะไปไหนดี จู่ๆ ก็ได้ยินเสียง
“มาหาใครหรือโยม”
ผมหันไปตามเสียง เป็นภิกษุชรารูปหนึ่ง กำลังเดินมาจากทางด้านหลัง ในมือมีไม้กวาดทางมะพร้าวสำหรับกวาดลานวัด อยู่ด้ามหนึ่ง ผมยกมือไหว้
“ผมมาหาคนชื่อ...สายชลครับ หลวงพ่อ”
“สายชล... เอ ไม่มีนี่นา ที่นี่ไม่มีโยมคฤหัสถ์ ชื่อสายชล มีแต่พระ... พระสายชลหรือเปล่า” หลวงพ่อย้อนถาม
“ไม่ทราบครับ...ผมไม่ทราบว่าท่านบวชหรือเปล่า”
“โยมจะลองไปดูก็ได้ พระสายชลท่านชอบนั่งอยู่ที่ศาลาท่าน้ำโน่นแน่ะ” หลวงพ่อชี้ไปที่หลังวัด “เดินไปตามทางข้างกุฏินี้ เลี้ยวซ้ายก็จะเห็นทางเดินไปแม่น้ำ มีศาลาท่าน้ำอยู่ ไม่หลงหรอก”
“ครับ หลวงพ่อ ขอบพระคุณครับ” ผมพนมมือไหว้ ก่อนจะหันเดินไปตามทาง พอเลี้ยวซ้ายผมก็เห็นทางเดินไปแม่น้ำอย่างที่หลวงพ่อบอกไม่ผิด พอผ่านต้นไม่ใหญ่ ผมก็เห็นศาลาที่สร้างยื่นลงไปในแม่น้ำแม่กลอง ดูร่มรื่น น่านั่งพักผ่อน... เดินเข้าไปใกล้... ใครคนหนึ่ง... ไม่ใช่สิ ต้องบอกว่า ภิกษุรูปหนึ่ง ห่มจีวรสีฝาดนั่งหลังตรง หันหน้าเฉียงไปทางแม่น้ำ นั่งอ่านหหนังสืออยู่ที่ม้านั่งด้านหนึ่งบนศาลา
วันเวลาที่ล่วงเลยผ่านไป เกือบยี่สิบสองปี ไม่ทำให้ภาพของคนๆ หนึ่งเลือนหายไปจากมโนจิตของผมเลยสักนิด ขอบตาผมร้อนผ่าว เป็นทั้งปิติที่ได้เจอบุคคลที่ตามหา ทั้งเศร้ากับตัวเอง ที่มาช้า แต่ยินดีกับสถานภาพของบุคคลตรงหน้า
ผมเดินเข้าไป ถอดรองเท้า นั่งคุกเข่าที่พื้นศาลา ก้มลงกราบสามครั้ง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาสบตากับผู้ที่นั่งอยู่ก่อนแล้ว ยิ้มบางๆ ให้ผม
“มาเจอจนได้นะ โยม นึกแล้วตั้งแต่เห็นโยมธีร์เมื่อวันก่อน”
“พระ เอ้อ... หลวงพี่ หายไปไหนมาครับ ผมตามหาอยู่เป็นนาน”
“ไปตามกระแสกรรม ตามพรหมลิขิตน่ะ โยม อย่ากังวลเสียใจไปเลย” หลวงพี่สายชลเอ่ยเสียงเรียบ
“หลวงพี่บวชนานแล้วเหรอครับ”
“อืมมม ก็ เข้าห้าพรรษาแล้ว” หลวงพี่ตอบเบาๆ
“ห้าพรรษา... ก็หลังจากที่ผมเริ่มเขียนเรื่องของผมกับ... สายชล”
หลวงพี่พยักหน้า... “เขียนได้ดีนะ บรรยายซะละเอียดเลย...” มองมาที่ผมสายตายิบๆ ขบขัน
ผมหน้าร้อนผ่าว เพราะ ช่วงแรกๆ ที่เขียน เมื่อ ห้า-หก ปีที่แล้ว เรื่องของ “ดินกับชล” ผมบรรยายบทเลิฟซีนค่อนข้างโลดโผน ติดเรทมากกว่า เรื่อง “คำสารภาพของเด็กขาย (รุ่นเก่า)” เยอะ
“ก็คิดถึงนิครับ” ผมพูดอุบอิบ...
“โยมสบายดีรึ” หลวงพี่ถามเบาๆ
“ครับก็สบายดีครับ... หลวงพี่ดูไม่ค่อยเปลี่ยนไปเลยนะครับ” ผมพูดตามความเป็นจริง พระสายชลที่อยู่ตรงหน้าผมกับ “ชล” ที่ผมเคยเห็น เมื่อยี่สิบกว่าปีที่แล้วดูไม่ค่อยแตกต่างเท่าไร
“อือมมม แก่แล้ว ปีนี้ ห้าสิบกว่าแล้ว... แล้วโยมล่ะ” หลวงพี่มองผมอย่างพิจารณา “ตัวหนาขึ้นนะ”
“ครับ เกือบห้าสิบแล้วเหมือนกันนี่ครับ...” ผมยิ้มให้หลวงพี่ “หลวงพี่ทราบเรื่องม้าเสียไปแล้วใช่ไหมครับ”
“อืมมมม เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นธรรมดา โยมแม่ต่อสู้มานาน... ท่านไปสบายแล้ว...” หลวงพี่สายชลเอ่ยเบา แต่มีแววเจือความเศร้าอยู่ไม่น้อย “อาตมาตอนนั้นยังไม่ได้บวช ยังไปเยี่ยมท่านที่โรงพยาบาลหลายครั้ง แต่โยมแม่หลับ...และโยมดินคงไม่ทราบ... ไปตอนดึก โยมกลับแล้ว ตอนนั้นยังไม่ได้บวชเลย... คืนก่อนวันที่โยมแม่เสีย... คืนนั้นอาตมายังไปเยี่ยมท่าน จับมือท่านไว้... ท่านยิ้มให้อาตมาด้วย ท่านยังบีบมือตอบ...”
ผมตะลึงกับคำพูดของพระ นี่แสดงว่า พระรับรู้เรื่องของผมอยู่ตลอดเวลา...น้ำตาผมเอ่อท้นขอบตา และหยดลงมาเมื่อผมกระพริบตา อย่างไม่รู้สึกตัว
“หลวงพี่ครับ หลวงพี่ใจร้ายมากนะครับ... ไม่เคยติดต่อผมสักนิด ทั้งที่หลวงพี่ทราบเรื่องของผมอยู่ตลอดเวลา”
หลวงพี่มีสีหน้าหม่นลงเมื่อได้ยินคำพูดของผม “โยมดิน... ชีวิตของสองคนนั้นไม่มีทางที่จะอยู่ด้วยกันได้หรอก ชีวิตของโยม เดินบนเส้นทางที่เจริญเติบโตในหน้าที่การงาน แต่ ชีวิตของสายชลไม่มีอะไรสักอย่าง ทำอะไรก็ล้มเหลว ลุ่มๆ ดอนๆ มาตลอด...” หลวงพี่พูดเนิบๆ “ทุกวันนี้ อาตมาก็มีความสุขดีแล้ว สุข สงบ ไม่ต้องแก่งแย่งชิงดีชิงเด่น ศึกษาพระธรรม ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ... มีบาตรอยู่ใบเดียว ก็เหมือนมีนามีสวนเป็นร้อยไร่”
ผมสว่างวาบในคำพูดของพระ... “หลวงพี่ครับ หลวงพี่บอกว่า บวชมา 5 พรรษา... โยมแม่เสีย... 5 ปี...”
หลวงพี่สายชลพยักหน้า... “บุญกุศลทั้งหลาย หลวงพี่อุทิศให้โยมแม่ด้วย”
“สาธุครับ” ผมยิ้มชื่น... “โยมแม่คงดีใจ มีลูก... เอ่อ บวชให้” ผมเกือบหลุดคำว่า “สะใภ้” อย่างที่เคยล้อกันเล่นๆ ออกมา
หลวงพี่มีสีหน้าแดงขึ้นมานิดนึง ก่อนจะบอกอุบอิบในคอ... “อะไรที่ลืมได้ ก็ลืมๆ มันไปซะ โยม”
ผมยิ้มทะเล้น... “ล้อพระนี่บาปไหมครับ หลวงพี่”
“ล้อน่ะไม่บาป แต่คิดน่ะ บาป” หลวงพี่ตอบมา
“อุ๋ย” ผมทำคอย่น ยิ้มแห้งๆ เพราะเผลอคิดไปหลายหน...
“กะล่อนไม่เลิกนะโยม กับพระกับเจ้า ยังคิดลามก” หลวงพี่บริภาษเบาๆ “ที่เป็นอยู่กันตอนนี้ ก็มีความสุขกันดีทุกคนอยู่แล้วไม่ใช่รึ จะมาดึงกลับให้เข้าไปวุ่นวายกันอีกทำไม...”
ผมยกมือไหว้ “ครับหลวงพี่ งั้นผมก็ขออนุโมทนาบุญกับการบวชด้วยครับ”
“อืมมมม หลวงพี่สวดมนต์ขอพรให้โยมทุกครั้งแหละ” หลวงพี่ยิ้มให้...
“มิน่า...พักหลังอิ่มๆ... ได้บุญจากหลวงพี่นี่เอง...” ผมบ่นอุบอิบในคอ
“เอาเชียว... ได้ที ทะเล้นไม่เลิก อายุเยอะแล้วนะโยม...”
ผมมองดูหลวงพี่สายชลตรงหน้า ด้วยสายตาและใจที่อิ่มสุข ดูเหมือนว่า หลวงพี่จะเลือกแล้ว กับทางเดินชีวิตในสายนี้ สายที่อาบอิ่มไปด้วยรสพระธรรมคำสั่งสอนจากพระศาสดา... พระสัมมาสัมพุทธเจ้า...
จากนั้น ก็เป็นการเล่าความหลัง...
หลวงพี่เล่าว่าสิ่งที่ทำให้ตัดใจจากก็คือวันที่เห็นผมหรือ “ดิน” เดินมากับพี่ธีร์ที่สนามบินในวันที่ผมไปอเมริกาเมื่อยี่สิบกว่าปีที่แล้ว (ตอนที่แล้วนี่เอง) วันนั้น เป็นวันที่หลวงพี่ หรือ “ชล” มองเห็นว่า...
นับวันความแตกต่างระหว่าง “ดิน” กับ “ชล” ช่างมีมากเหลือเกิน “ดิน” ในวันนั้น เป็นวันที่ดูมั่นใจกับการดำเนินชีวิตที่รุ่งโรจน์ไปข้างหน้า จะกลับมาพร้อมกับดีกรีปริญาโท นักเรียนนอก ที่น่าภาคภูมิใจ
หากแต่ “ชล” จบมัธยมต้น ประวัติชีวิตที่แสนจะด่างพร้อย... ไม่มีอะไรเทียบได้เลย... จริงอยู่ “ดิน” เองอาจจะบอกว่าตัวเองก็มีประวัติด่างในชีวิต หากแต่เส้นทางการดำเนินชีวิตที่ “ดิน” เลือก ดูเหมือนว่า จะทะเยอทะยานไม่รู้จบ...
ดังนั้น มันจะเป็นความต่างอย่างที่สุด ระหว่างสองคน “ดินกับชล”...
“ชล” จึงเลือกที่จะเดินจากมาเงียบๆ ไม่ติดต่อ หากแต่ยังติดตามดู “ดิน” อยู่เป็นระยะๆ ไม่ขาดตอน โดยมีไอ้เพชรเป็นสายให้อย่างลับๆ (เดี๋ยวต้องหาเรื่องไปอีสาน เขกหัวไอ้เพชร ไม่ปริปากเลย)
ขณะที่ “ดิน” เจริญเติบโตในหน้าที่การงาน หากแต่ “ชล” กลับล้มเหลวในชีวิตไม่หยุดหย่อน ครั้งแล้วครั้งเล่า ธุรกิจร้านอาหารที่ทำก็ขาดทุน เป็นหนี้เป็นสิน ต้องไปขายบ้าน “ป้า” ที่นครพนมมาใช้หนี้เค้าจนหมด หลังจากนั้น ก็ลุ่มๆ ดอนๆ มาตลอด ปากกัดตีนถีบ...
“เหนื่อยเหลือเกินกับชีวิต” หลวงพี่สายชลบอกในตอนท้าย “วันที่โยมแม่เสีย...วันนั้น เป็นวันที่คิดได้ ว่า ชีวิตคนเราก็เท่านี้ เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นวัฏจักร ไม่มีใครหลีกพ้น แล้วจะดิ้นรนไปทำไม...”
“วันที่เผาโยมแม่ หลวงพี่ก็ไปงานเผา แต่โยมดินคงยุ่งๆ ไม่ทันสังเกต” หลวงพี่บอก “หลังจากนั้น ก็กลับไปบ้านที่อุบล ลาพี่ลาน้อง ญาติทุกคน บวชที่วัดในอุบลฯ ก่อนจะเดินทางมาจำพรรษาที่นี่แหละ”
ผมนั่งฟังหลวงพี่เล่าอย่างสงบ... ยกมือพนมท่วมหัว ก่อนจะบอกว่า “สาธุครับ หลวงพี่ ผมคงไม่ดึงหลวงพี่ลงมาเกลือกกลั้วกับทางโลกย์ กับผมอีกแล้วละครับ... ขอให้หลวงพี่สงบในเส้นทางที่เลือก อันใดที่ผมล่วงเกินหลวงพี่ ทำหลวงพี่เสียใจ ร้องไห้ ผมขออโหสิกรรมจากหลวงพี่ด้วยครับ และผมขออโหสิกรรมทั้งปวงให้กับหลวงพี่... ขอให้เจริญในสายธรรมที่เลือกแล้วครับ... สาธุ”
ผมกราบลงตรงหน้าภิกษุที่มีเวรกรรมต่อเนื่องกับผมมา ได้ยินเสียงหลวงพี่กล่าวเจริญภาวนาเบาๆ ก่อนจะลงท้ายว่า
“อโหสิ สาธุ ขอให้โยมเจริญด้วยอายุ วรรโณ สุขัง พลัง”
ผมกราบลา หลวงพี่สายชล ขับรถกลับบ้านด้วยใจอันอิ่มเอิบ เบาหวิว... บอกกับหลวงพี่ว่า ขอเป็นโยมอุปฐาก หากหลวงพี่มีกิจธุระหรือติดขัดอันใด ก็ขอให้แจ้งไปทางผมด้วย... วันหลังผมขออนุญาตมาเยี่ยมหลวงพี่บ้างตามแต่สะดวก ซึ่งหลวงพี่สายชลก็รับปากรับคำเป็นอันดี...
เป็นเวลากว่า 5 ปี ที่ผมเขียนเรื่องนี้มา... และแล้วก็มาถึงย่อหน้าสุดท้ายของเรื่องรักระหว่าง “ดินกับชล” ที่จบลงอย่างสมบูรณ์ที่บรรทัดนี้ครับ...
THE END
เขียนเรื่องนี้ ใช้เวลานานมากครับ ตั้งแต่วันที่ 27 เมษายน 2009 ถึงวันที่ 29 มกราคม 2015 เป็นเวลา 5 ปี 9 เดือน กับ 2 วัน... บนกระดาษ A4 ตัวอักษร Angsana UPC ขนาดตัวอักษร 14 ทั้งหมดกว่า 350 หน้า และกว่า 238,000 คำ รู้สึกเกรงใจคนอ่านอยู่เหมือนกันครับ เพราะติดตามกันนานมาก จนหลายคนเลิกอ่านไปแล้ว หุ หุ...