ตอนที่ ๑๐
“แต่งตัวซะ”
เสียงของพันเอกดังขึ้นในช่วงเช้าตรู่ของวันรุ่งขึ้นหลังจากที่เจ้าตัวโยนเสื้อผ้าเนื้อดีสีเข้มใส่หน้าของนาวาเต็มแรง ร่างโปร่งขมวดคิ้วมองสูทที่ตกลงไปกองอยู่บนพื้นก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองพันเอกอย่างฉงน
“ใส่ทำไมครับ” เอ่ยถามเรียกสีหน้าขัดใจให้ฉายชัดบนใบหน้าของอีกคน
“วันนี้ฉันมีธุระต้องทำ และนายเองก็ต้องไปกับฉัน” ร่างสูงพูดขึ้น นาวาถอนหายใจ ไม่วายประชดกลับ
“ไม่ใช่ว่าผมมีหน้าที่แค่บริการคุณบนเตียงอย่างเดียวหรอกเหรอครับ”
“โฮ่ ช่างกล้าพูดจริงนะพ่อตัวดี ลีลาก็ห่วยแตกซะขนาดนั้น อ้าขาให้ทั้งชาติยังเทียบกับเงินค่าเทอมของน้องนายเทอมเดียวไม่ได้ด้วยซ้ำ”
“...”
“อย่างนายน่ะ ยี่สิบบาทฉันยังคิดหนักเลย” จบประโยคดูถูกนั้นนาวาก็คว้าเสื้อผ้าขึ้นมาก่อนจะเบี่ยงตัวเข้าห้องน้ำ ได้ยินเสียงหัวเราะเยาะเย้ยดังไล่หลัง เกลียดนักกับคำดูถูกถากถางของอีกคน แต่ที่อดทนก็เพื่อความปลอดภัยของตัวเอง
ไม่นานร่างสูงโปร่งก็เดินออกมา สูทสีเข้มที่สวมใส่ขับให้นาวาดูมีเสน่ห์น่าหลงใหลจนคนมองหัวใจเต้นผิดจังหวะไปชั่วขณะ
เบื้องหน้าของพันเอกในตอนนี้คือผู้ชายหน้าตาดีคนหนึ่ง ปฏิเสธไม่ได้เลยว่านาวาดูดีมากจริงๆ
“ลงไปรอที่โต๊ะอาหารซะไป เดี๋ยวตามลงไป” ประมุขของบ้านสั่งเสียงเรียบก่อนจะเบือนหน้าหนีพลางกัดฟันกรอดกับความรู้สึกแปลกๆ ที่เกิดขึ้นกับตัวเอง นาวาพยักหน้ารับคำก่อนจะเดินออกจากห้องนอนมา ดีแล้วที่ไม่ต้องอยู่ต่อล้อต่อเถียงกับพันเอก เดี๋ยวพาลจะโดนอีกฝ่ายลงไม้ลงมือใส่อีกจนได้
ออกมาจากห้องนอนได้ไม่เท่าไหร่ก็เห็นพระพายที่เพิ่งออกมาจากห้องเช่นกัน เขายิ้มส่งไปให้ อีกฝ่ายพอเห็นเขาก็เดินเข้ามาหาและจับตัวนาวาใหญ่
“โดนพี่เอกทำอะไรบ้างหรือเปล่าครับคุณวา เจ็บตรงไหนหรือเปล่า” พระพายถามเสียงเครียด นาวาส่ายหน้า ตอบกลับไปว่าไม่มีอะไร ทั้งที่ความจริงมันมี แต่เขาไม่อยากพูด เพราะคิดว่าอีกหน่อยก็คงจะชินไปกับมันไปเอง
“ไม่มีอะไรหรอกครับ คุณพายสบายใจได้”
“จะให้ผมสบายใจได้ยังไง ผมช่วยอะไรคุณไม่ได้เลยสักนิด”
“ช่างมันเถอะครับ อีกเดี๋ยวก็คงชินไปเอง ลงไปกินข้าวกันเถอะ หิวจะแย่แล้ว” นาวารีบตัดบท ส่วนหนึ่งเพราะรู้สึกหิวมากจริงๆ อีกทั้งไม่อยากขุดคุ้ยเรื่องราวให้มันใหญ่โตไปอีก อะไรที่ผ่านไปแล้วก็จะพยายามไม่เก็บเอามาใส่ใจก็แล้วกัน
เมื่อลงมาถึงโต๊ะอาหารก็เห็นนะโมในชุดนักเรียนนานาชาติดูน่าเอ็นดูกำลังช่วยเอื้องคำจัดสำรับ เมื่อเงยหน้าขึ้นมาเห็นนาวาเจ้าตัวก็ยกยิ้มและทักทายเสียงใส
“พี่วามากินข้าวกัน วันนี้นะเข้าครัวช่วยป้าเอื้องด้วยล่ะ”
“พี่จะท้องเสียไหมเนี่ย” นาวาเย้าน้อง นะโมหน้าหงิกในขณะที่พระพายกลั้นหัวเราะ บรรยากาศโดยรอบดูสดใส ทั้งสามชีวิตนั่งประจำที่เมื่อสำรับอาหารเช้าถูกจัดเรียบร้อยแล้ว พระพายเป็นคนแรกที่ลงมือกินอย่างไม่เกรงใจใครจนเอื้องคำได้แต่ส่ายหน้า ยกยิ้มเอ็นดูคุณหนูคนเล็กของบ้าน
“ช้าๆ ค่ะคุณพาย ประเดี๋ยวจะติดคอเอาได้นะคะ”
“โหยไม่หรอกป้า เรื่องกินผมมืออาชีพอยู่แล้ว ว่าแต่ผัดบวบนี่อร่อยดีนะครับ ไม่คุ้นรสเลย นะทำป่ะ” ท้ายประโยคหันมาถามน้องชายของนาวาที่กำลังนั่งยิ้ม ตามองไปที่ใบหน้าขาวรออย่างคำตอบ แต่มือกลับตักผัดบวบเข้าปากช้อนต่อช้อนจนคนรอบข้างนึกขำ
“ครับ พี่พายชอบเหรอ ไว้คราวหน้านะทำให้อีกนะ” นะโมพูดอย่างเอาใจ พระพายพยักหน้าหงึกหงัก
“เอาๆ พี่ชอบผัดบวบ เป็นผักอย่างเดียวที่กินได้ ยิ่งถ้าเป็นพี่จักรทำยิ่งอร่อย แต่รายนั้นกว่าจะเข้าครัวทำให้ทีต้องอ้อนเป็นอาทิตย์เลย” บ่นอุบอิบไปถึงลูกน้องคนสนิทของพันเอก นะโมเลิกคิ้วก่อนจะยิ้มกรุ้มกริ่ม
“พี่พายชอบพี่จักรเหรอครับ” เอ่ยปากถามในสิ่งที่สงสัย ทำเอาพระพายถึงกับสำลักข้าวหน้าดำหน้าแดงจนนาวาต้องลูบหลังเบาๆ
“จะบ้าเหรอ คิดได้ไงน่ะ ถ้าชอบแบบคนรักนี่ไม่มีทางอ่ะ อีกอย่างพี่จักรน่ะชอบผู้หญิง อย่างพี่น่ะไม่ใช่สเป็คหรอก” พระพายพูดขึ้นคอตั้งตรง แก้มขาวอวบอูมก่อนจะก้มหน้าก้มตาจัดการอาหารตรงหน้าต่อ นะโมหัวเราะคิกคักก่อนจะหันมาถามนาวาด้วยน้ำเสียงสดใส
“แล้วนี่พี่เอกยังไม่ลงมาเหรอครับ” สิ้นคำถามทำเอานาวาชะงัก เหลือบมองหน้าพระพายที่มองมาเช่นกันก่อนจะปั้นยิ้ม
“คงกำลังแต่งตัวอยู่น่ะ วันนี้คุณเขาจะให้พี่ตามไปทำธุระด้วย”
“อ๋อ มิน่าล่ะพี่วาแต่งตัวซะน่ารักเชียว” นะโมกระเซ้า นาวาส่งยิ้มให้น้องก่อนจะก้มหน้าก้มตาตักข้าวกินเงียบๆ ท่ามกลางเสียงพูดคุยกันระหว่างน้องชายของเขากับพระพาย
“อ๊ะพี่เอก มาทานข้าวครับ” เสียงนะโมดังขึ้นเรียกให้ใบหน้าซูบซีดหันกลับไปมองด้านหลัง พันเอกในสูทสีเทาก้าวเดินเข้ามาอย่างมั่นคง ใบหน้าหล่อเหลายกยิ้มให้น้องชายเขาเพียงเล็กน้อยก่อนจะเดินมาแตะแผ่นหลังของเขาเบาๆ
“อิ่มแล้วหรือยัง” ร่างสูงเปิดปากถาม นาวาพยักหน้าตอบรับ พันเอกจึงดึงให้ลุกขึ้นยืนพร้อมกับหันไปบอกน้องเขาเสียงราบเรียบ
“ช่วงนี้ขอยืมตัวพี่ชายเราหน่อยนะนะโม งานพี่เยอะมากน่ะ ไม่ว่ากันใช่ไหม”
“อ่า...ครับ” นะโมรับคำแต่นาวายืนตัวแข็งทื่อ
“แล้วแกล่ะเจ้าพาย ช่วงนี้งานเป็นยังไงบ้าง” พันเอกหันไปถามผู้เป็นน้องชาย พระพายเบือนหน้าหนี แสดงอาการเด่นชัดว่าไม่อยากสุงสิงกับพันเอกจนร่างสูงถอนหายใจ กระนั้นฝ่ามือใหญ่ที่เคยทำร้ายนาวาสารพัดก็ยื่นไปวางแหมะบนหัวพระพายนิ่งๆ แล้วพูดเสียงนุ่ม
“ไปนะ ฝากดูความเรียบร้อยที่บ้านด้วยก็แล้วกัน” จบประโยคก็ดึงแขนนาวาออกจากบ้าน ร่างโปร่งเดินตามแต่โดยดี ในหัวยังคงมีภาพเหตุการณ์ก่อนหน้าอยู่ในห้วงความคิด
เดิมทีนาวาคิดมาตลอดว่าพันเอกเลือดเย็น ยอมทำได้ทุกอย่างเพื่อสิ่งที่ตัวเองต้องการ แต่วันนี้ ตอนที่ร่างสูงพูดคุยและมองไปยังน้องชายทำให้เขาเริ่มไม่มั่นใจ
ดูเหมือนว่าพันเอกยังมีความเป็นคนอยู่ ไม่มากก็น้อยนั้นแหละ ผู้ชายคนนี้รักครอบครัวมากกว่าอะไรทั้งสิ้น แม้จะรักในแบบของตัวเองแต่นาวาก็ดูออกเพราะเขาเองก็มีน้องชาย ดูแววตาก็รู้ว่าพันเอกรักพระพายมาก รักมากกว่าชีวิตเสียด้วยซ้ำ เพราะหากไม่รักคงไม่นั่งลูบนาฬิกาเรือนโปรดที่ใส่ประจำแบบนั้นหรอก พระพายเป็นคนบอกเองว่าเจ้าตัวซื้อให้พันเอกเป็นของขวัญวันเกิด ดูก็รู้ว่ามันไม่ใช่ของมีราคา เป็นแค่นาฬิกาข้อมือธรรมดาที่ไม่ได้เสริมความภูมิฐานให้คนใส่เลยแม้แต่น้อย ออกจะราบเรียบและไม่สวยเสียด้วยซ้ำเพราะพระพายบอกว่าตอนที่ซื้อนั้นเขาอยู่เพียงแค่ชั้นประถมปลาย เก็บเงินหยอดกระปุกแล้วทุบมันซื้อด้วยตัวเอง แม้จะไม่สวยเหมือนนาฬิกามียี่ห้อแต่พันเอกกลับใส่มันทุกวัน นาวาไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่ามันยังใช้การได้อยู่ไหม
“คุณก็ดูมีหัวใจ แต่ทำไมถึงได้ทำตัวเลวนัก” นาวาตัดสินใจเอ่ยขึ้นท่ามกลางความเงียบบนรถ พันเอกหยุดมือที่กำลังไล้ไปบนตัวเรือนของนาฬิกาก่อนจะผินหน้ามามองหน้าเขาด้วยแววตาไร้อารมณ์
“ใครใช้ให้นายเปิดปาก” ร่างสูงเอ่ยถาม นาวาหยุดคำพูดที่กำลังจะเอ่ยทันทีพลางส่ายหน้าไปมา เห็นแบบนั้นอีกคนจึงได้แต่หัวเราะในลำคอพลางยกยิ้มสมเพช
“นั่งเงียบไปก็ไม่มีใครว่านายเป็นใบ้นะนาวา เพราะไม่มีคนใบ้ที่ไหนเรียกชื่อฉันแทบเป็นแทบตายตอนอยู่บนเตียงหรอก”
“คุณมันก็เก่งแต่รังแกคนไม่มีทางสู้ ปากก็เอาแต่จิกกัดกันอยู่ได้ เคยมีคนพูดไหมว่านี่มันนิสัยของผู้หญิง” นาวาสวนขึ้น ที่กล้าต่อปากต่อคำขนาดนี้เพราะเริ่มระอากับความเยอะของพันเอกเต็มทน จ้องแต่จะพูดแขวะเขาทุกทีที่มีโอกาส
และดูเหมือนคำพูดของนาวาจะไปสะกิดต่อมโมโหของอีกคนเข้าอย่างจัง ร่างสูงหันหน้ามามองนาวาด้วยดวงตาวาวโรจน์ก่อนจะเอื้อมมือไปคว้าคอของคนตัวขาวให้เข้ามาใกล้
“ปากว่างเป็นไม่ได้เลยหรือไงวะ เห็นไม่แตะนะโมเข้าหน่อยนี่ได้ใจสินะ อย่าลำพองตัวให้มันมากนักนาวา ตัวเองอยู่ในฐานะตัวขัดดอกก็ควรทำตัวให้สมกับหน้าที่ตัวเองหน่อย”
“ผมก็คนนี่ ไม่มีใครทนโดนดูถูกโดนทำร้ายทั้งๆ ที่ไม่ผิดอะไรได้หรอก ยอมรับหน่อยเถอะว่าคุณมันงี่เง่า คนพาล” นาวาเปิดปากด่า พันเอกกัดฟันกรอด ออกแรงบีบต้นคอของร่างโปร่งจนคนตัวขาวนิ่วหน้าด้วยความเจ็บ ร่างสูงไม่สนใจ ตะคอกใส่หน้านาวาเสียจนพายุและจักรที่กำลังขับรถแอบมองหน้ากันอย่างอึดอัดใจ
คุณนาวานี่ขยันยั่วให้เจ้านายของพวกเขาโมโหเสียจริงๆ
“เป็นแค่อีตัวไอ้ตัวก็เก็บปากไว้ครางเก็บขาไว้อ้าดีกว่าไหม อย่าเสนอเอาหน้าโง่ๆ กับสมองกลวงๆ ที่จบแค่ชั้นมัธยมมาต่อปากต่อคำกับฉันหน่อยเลย ยิ่งพูดยิ่งน่าสมเพช” พันเอกกราดเสียงด่า นาวาชะงักกึก ตัวแข็งทื่อ หัวใจวูบโหวงกับคำด่าที่รุนแรงกระทบจิตใจ
“ใช่สิ คุณไม่เป็นผมคุณไม่รู้หรอก ผมยังเรียนไม่จบมหาลัย ใช่ ผมมันโง่ นั่นก็ถูกอีก ผมมันคนตกอับ เด็กกำพร้า เออผมไม่เถียง แล้วยังไง แล้วผมไม่ใช่คนเหมือนคุณหรือไง ผมเจ็บเป็นร้องไห้เป็น ทั้งๆ ที่ผมไม่รู้เรื่องอะไรสักนิดแต่กลับต้องเหมือนตกนรกทั้งเป็นเพียงเพราะความแค้นบ้าๆ ของคุณ ผมผิดใช่ไหมที่เกิดมาเป็นคนที่คุณรามรัก ผมผิดมากไหมที่เกิดมาเป็นคนที่เขามีใจให้ ทั้งๆ ที่ผมแทบไม่รู้จักเขาด้วยซ้ำ ถ้าแค้นมากก็ไปลงที่เขาสิ มาพาลเอาชีวิตผมกับน้องไปทรมานเพื่ออะไร ผมเจ็บนะคุณเอก เจ็บจนไม่อยากจะหายใจแล้ว ฮึก...” นาวาพรั่งพรูสิ่งที่อัดอั้นออกมาลั่นรถ น้ำตาร่วงเผาะผ่านแก้มขาว ต่อว่าพันเอกเสียงสั่นเครือ ดวงตาฉายแววตัดพ้อระคนเจ็บปวด ร่างทั้งร่างสั่นระริกก่อนจะหลั่งน้ำตาต่อหน้าพันเอกที่นิ่งอึ้งไปแล้ว
“เป็นบ้าอะไรวะ ผีเข้าหรือไง” เมื่อตั้งสติได้พันเอกก็ถามขึ้นเสียงห้วน เสยผมขึ้นอย่างหงุดหงิด นาวากลั้นสะอื้น ขยับกายออกห่างจากพันเอกและเปลี่ยนไปเป็นมองวิวข้างถนนแทน ปล่อยให้อีกคนพรูลมหายใจด้วยความหงุดหงิดเพราะทำตัวไม่ถูกกับกิริยาของนาวาก่อนหน้านี้
“ทีหลังอย่ามาตะคอกใส่หน้ากันแบบนี้อีก ฉันขอเตือน” ทว่าพันเอกก็ยังคงเป็นพันเอกอยู่วันยันค่ำ ไม่คิดสำนึกหรือสนใจกับสิ่งที่นาวารู้สึก ได้แต่เอ่ยสั่งเสียงเฉียบกลับมา นาวาสูดลมหายใจเข้าปอดเพื่อเรียกกำลังใจก่อนจะเอนหัวพิงกับเบาะรถอย่างอ่อนล้า ปากอิ่มเม้มแน่นกลั้นเสียงสะอื้น น้ำตาไหลอาบแก้มอย่างเงียบๆในขณะที่พันเอกเองก็ได้แต่ถอนหายใจซ้ำๆ
เมื่อกี้ยังด่าเขาว่านิสัยเหมือนผู้หญิงแท้ๆ แต่ตัวเองกลับมาเป็นเสียเอง...
บรรยากาศภายในรถเงียบลงถนัดตา ไม่มีใครปริปากอะไรออกมาจนสร้างความอึดอัด นาวาเหม่อมองไปยังวิวทิวทัศน์ด้านนอก มองท้องฟ้าสีสันสดใสและหมู่นกที่กำลังบินว่อน แม้จะมีตึกบดบังแต่ทว่าความงดงามของฟ้าผืนกว้างยังคงฉายชัด ร่างโปร่งมองตามนกคู่หนึ่งที่กำลังกางปีกบินเคียงคู่ไปกับรถของเขา ดวงตากลมมองปีกที่แผ่สยายลู่ลมลอยละล่องแล้วก็เผลอยกมือขึ้นแตะกระจกรถโดยไม่รู้ตัว
อิจฉา
นาวารู้สึกอิจฉานกที่มันมีอิสระ สามารถโบยบินไปทั่วฟ้าได้อย่างใจต้องการ ไม่ต้องถูกล่ามอยู่ในกรงทั้งเป็น ไม่ต้องถูกหักปีกลิดรอนอิสระภาพเฉกเช่นเขา นาวาอยากโบยบินออกจากกรงขังที่แสนทรมานนี้แล้วล่องลอยไปในที่ที่จะให้อิสระเขาได้อย่างที่ใจต้องการ ที่ไหนสักแห่งที่ไม่สนว่าเขาเป็นใครหรือจบอะไรมา เป็นที่ที่ได้ใช้ชีวิตอยู่อย่างไม่ต้องกังวล อาจจะเป็นเหนือสุดของประเทศ หรือเกาะสักแห่งทางภาคใต้ หรือแม้แต่หมู่บ้านเล็กๆ ทางแถบภาคอีสาน อยู่กันแบบพอเพียง ไม่ต้องพึ่งเงิน เกื้อหนุนกันด้วยน้ำใจ นอนกลางดินกินกลางผืนหญ้าสีเขียวขจี ไม่ต้องตื่นขึ้นมาบนเตียงหรูหราและออกมาเจอตึกสูงตระหง่านระฟ้าอย่างที่เป็นดังเช่นทุกวันนี้
แต่นั่นมันก็แค่ความฝัน ฝันลมๆ แล้งๆ ที่ไม่มีวันเป็นความจริง ร่างโปร่งยกยิ้มสมเพชตัวเองก่อนจะปิดเปลือกตาลง พับความฟุ้งซ่านเก็บเอาไว้และสั่งให้ร่างกายหยุดพัก กระทั่งผล็อยหลับไปในที่สุด
นาวาถูกปลุกให้ตื่นหลังจากนั้นเพียงไม่นาน ร่างโปร่งก้าวลงจากรถด้วยอาการสะลึมสะลือ ในหัวยังมึนงงอีกทั้งเปลือกตาเองก็กึ่งปิดกึ่งปรือขึ้น ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองขยับตัวมาลงฝั่งพันเอกทั้งๆ ที่ควรเปิดประตูฝั่งตัวเองลงตั้งแต่เมื่อไหร่ และเพราะยังจับต้นชนปลายไม่ถูกนาวาจึงเกิดอาการวูบไปเล็กน้อย เกือบจะทรุดลงไปกองกับพื้นเสียแล้ว แต่ทว่ามือแข็งแรงของพันเอกกลับไวยิ่งกว่า คว้าหมับเข้าที่เอวของเขาก่อนจะรั้งนาวาให้เข้าไปอยู่ในอ้อมกอด
“โอ๊ะ!” ร่างโปร่งอุทานด้วยความตกใจ หายง่วงเป็นปลิดทิ้ง เพราะอะไรน่ะหรือ...จะเพราะอะไรเล่าถ้าไม่ใช่คนที่กำลังกอดเขาเอาไว้อยู่ตอนนี้
“เป็นบ้าอะไรนักหนา ทำไมชอบทำตัวให้ขายขี้หน้าอยู่เรื่อย” เสียงทุ้มดังขึ้นในระยะประชิด นาวาเงยหน้าขึ้นไปมองเล็กน้อยแล้วก็ต้องผงะเมื่อปลายจมูกของตัวเองสัมผัสกับจมูกของอีกคนเข้า
!!!
คนตัวขาวเบิกตากว้างเล็กน้อย ร่างกายแข็งทื่อชั่วขณะ ลมหายใจอุ่นๆ รินรดกันและกันในขณะที่ริมฝีปากเฉียดกันเพียงเสี้ยว นาวาไม่กล้าพูดอะไร เพราะมั่นใจว่าถ้าขยับปากเพียงนิดเดียวเขากับพันเอกต้องจูบกันแน่ๆ
ทางด้านพันเอกเองก็ผงะไปเล็กน้อยก่อนจะจ้องใบหน้าขาวของอีกคนนิ่ง ไม่บ่อยนักที่จะได้มีโอกาสพิจารณาใบหน้าของนาวาเช่นนี้ นาวาเป็นคนผิวเนียนละเอียด ผิวเนื้อก็มีเฉดสีระเรื่อน่ามอง แม้จะไม่สวยขนาดหญิงสาวแต่นาวาก็ไม่ได้ถึงกับขี้เหร่จนดูไม่ได้ สิวเม็ดเล็กๆ ขึ้นประปรายคงเพราะนอนดึก ใต้ตาคล้ำเล็กน้อย ดูโทรมกว่าที่เจอกันแรกๆ แต่ก็ไม่ซูบซีดเป็นผีตายซาก คงเพราะผ่านการร่วมรักกับเขามาทำให้ดูเปล่งปลั่งขึ้นเล็กน้อยจากสารแห่งความสุขที่หลั่งเมื่อถึงจุดสุดยอด บวกกับการได้กินอาหารครบห้าหมู่เลยทำให้นาวาดูเป็นผู้เป็นคนมากขึ้น อดไม่ได้ที่จะเลื่อนสายตาลงไปมองกลีบปากอิ่มที่เขาเคยประทับจูบด้วยความใคร่กระหาย ริมฝีปากคู่นี้หวานแค่ไหนนั้นพันเอกรู้ดี เขาชิมมันมาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้ว แต่น่าแปลกที่กลับไม่รู้สึกเบื่อเลยสักนิด มันหอมหวาน เย้ายวน น่าดึงดูดใจยิ่งกว่าน้ำหวานบ่อไหนๆ ที่เคยได้ลิ้มลอง
สองร่างยืนแนบชิดกันท่ามกลางผู้คน เหมือนหลงอยู่ในโลกส่วนตัวชั่วขณะ นาวารู้สึกว่าร่างสูงกระชับอ้อมกอดแน่นขึ้น หน้าท้องแกร่งที่มีเสื้อผ้าขวางกันสัมผัสกับกายของเขาทำเอาไปไม่เป็น
อยู่ๆ ก็ใจสั่นขึ้นมา
และก่อนที่พวกเขาจะจ้องกันนานไปมากกว่านี้ เสียงกระแอมไอของลูกน้องคนสนิทก็ดังขึ้น พันเอกได้สติ ผละกายออกห่างจากนาวาราวกับโดนของร้อนในขณะที่นาวาได้แต่มึนงง พอหันไปมองข้างกายก็เห็นร่างสูงของจักรและร่างโปร่งของพายุยืนกลั้นยิ้ม นาวาเก้อเขินขึ้นทันทีอย่างไม่มีสาเหตุ ยกมือขึ้นเกาแก้มและยิ้มแหยๆ ไม่ยอมมองไปยังร่างสูงของอีกคนแม้แต่น้อย
“ไว้ก่อนนะครับนาย ตอนนี้งานสำคัญที่สุด” เป็นจักรที่กล้าเอ่ยแซวพันเอกพร้อมกับยิ้มขำ พันเอกตวัดตามองมาอย่างดุๆ แต่คนโดนเขม่นไม่เคยนึกกลัว ในขณะที่พายุย้ายตัวเองเข้าไปใกล้นาวาที่ยืนนิ่งก่อนจะยกยิ้มแต้
“คุณวาหิวไหมครับ อยากทานอะไรเป็นพิเศษไหม” พายุเอ่ยถาม นาวายกยิ้ม กำลังจะพยักหน้าตอบรับแต่กลับโดนดึงแขนให้ไปยืนใกล้พันเอกแทน คนดึงไม่ใช่ใคร ก็เจ้าตัวนั่นแหละ
“ฉันไม่ได้พานาวาออกมาเที่ยวเล่น หมอนี่ต้องเข้าไปกับฉันด้วย” พันเอกพูดขึ้นเสียงเรียบทำเอาพายุหุบยิ้ม
“อ้าว ผมนึกว่านายจะไปกับพี่จักรซะอีก”
“วันนี้จักรจะไปกับนาย ให้เวลาพักผ่อนจนกว่าฉันจะคุยธุระเสร็จแล้วจะโทรเรียก”
“ว้า ว่าจะพาคุณวาไปซนแถวนี้สักหน่อย ... โอ๊ยๆ ล้อเล่นครับนาย” พายุเอ่ยขึ้นเสียงทะเล้นก่อนจะเบี่ยงตัวหนีแทบไม่ทันเมื่อเห็นว่าพันเอกมองมาอย่างอาฆาต คนเป็นลูกน้องได้แต่ยิ้มชอบใจก่อนจะกระโดดเหยงเข้าไปเกาะไหล่นาวาแล้วหอมแก้มใสอย่างรวดเร็วทำเอาคนโดนหอมถึงกับยืนแข็งทื่อ
ฟอดดด
“คุณวาแก้มหอมจริงๆ ด้วย มิน่านายผมถึงจ้องเอาๆ ขนาดนั้น อ๊ะๆ...ผมไปแล้วก็ได้ ฮ่าๆๆๆ” พายุยกยิ้มตาหยีเมื่อเจอสายตาวาวโรจน์จากผู้เป็นนาย รีบคว้ามือจักรที่ยืนนิ่งให้เดินไปขึ้นรถ ขับออกไปอย่างรวดเร็วปล่อยให้นาวายืนงงอยู่ที่เดิม
จะว่าไปความสัมพันธ์ระหว่างพายุกับพันเอกนี่ก็แปลก ดูเหมือนพายุจะเป็นลูกน้องคนเดียวที่กล้าเล่นหัวเจ้านายโดยไม่ดูสถานการณ์หากไม่นับยามที่เจ้าตัวทำให้เจ้านายโกรธ พันเอกเองก็ไม่ได้ไม่พอใจ ออกจะชอบใจเสียด้วยซ้ำ ต่างจากจักรและคนอื่นๆ ที่วางตัวอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าและให้ความเคารพพันเอกอยู่มาก จะว่าพายุเป็นเด็กปีนเกลียวไร้มารยาทก็ไม่ใช่ ยามใดจริงจังพายุก็ทำหน้าที่ได้ไม่ขาดตกบกพร่องเลยแม้แต่น้อย
“จะมองตามมันอีกนานไหม” เสียงแขวะดังขึ้นด้านหลังทำให้นาวาหลุดจากภวังค์ พอหันไปมองก็เจอคนตัวโตยืนมองเขาด้วยใบหน้าราบเรียบ นาวาถอนหายใจอย่างระอา เดินเข้าไปยืนข้างกายของพันเอกก่อนจะเอ่ยเสียงนุ่ม
“มีอะไรให้ผมรับใช้ล่ะครับ”
“หึ” คนตัวโตกว่าแค่นหัวเราะ ก้าวขาเดินนำนาวาเข้าไปภายในตัวอาคารอย่างเงียบๆ รอบตัวของคนทั้งคู่ดูสงบราวกับทะเลนิ่งที่ไร้คลื่นลมพายุ หากแต่จะมีสักกี่คนกันที่รู้ว่าอาการนิ่งเงียบของพันเอกนั้น มันก็คือสัญญาณของพายุลูกใหญ่ที่ใกล้จะปะทุขึ้นและทำลายสิ่งรอบข้างให้พังพินาศนั่นเอง
...
-(มีต่อค่ะ)-