♥♥♥ รัก...ที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต (Re-written Version)
CHAPTER 35 ✦ ปืนกระบอกนั้น
"พบศพสองหนุ่มคู่รักเกย์เกยตื้นชายหาดหัวหินในสภาพกอดกันกลม"
คุณทิพย์นภาขมวดคิ้วเมื่อเจอข่าวนี้ในหนังสือพิมพ์ในตอนเช้าก่อนที่เธอจะออกไปทำงาน อ่านหัวข้อแล้วก็ทำสีหน้าไม่ค่อยสบอารมณ์นัก อดค่อนขอดเบาๆ ไม่ได้ว่า
"จะรักอะไรกันนักกันหนา"
เธอวางหนังสือพิมพ์ลงแล้วก็ไม่หยิบมาอ่านต่ออีก ปกติเธอก็จะอ่านบ้างก่อนออกไปทำงาน แต่พอเห็นข่าวนี้แล้วก็พาลทำให้ไม่อยากอ่านหนังสือพิมพ์วันนี้ไปเลย จึงหันมานั่งจิบกาแฟที่เสิร์ฟมาพร้อมกับชุดอาหารเช้าแบบอเมริกัน
"อ้าวบูม...จะไปทำงานแล้วเหรอลูก กินอะไรก่อนไหม แม่พิน...จัดชุดอาหารเช้าให้คุณบูมชุดหนึ่ง"
คุณทิพย์นภาถามลูกชายคนเล็กที่กำลังเดินลงมาแล้วก็หันไปเรียกคนรับใช้ให้ยกชุดอาหารเช้ามาให้บูม
"แล้วพ่อล่ะ ยังไม่ลงมาอีกเหรอ" คุณทิพย์นภาถามพลางเมียงมองหา
บูมนั่งลงที่โต๊ะอาหารแล้วก็ตอบสั้นๆ โดยไม่มองหน้าแม่ไปว่า
"เดี๋ยวลงมาครับ"
จนถึงวันนี้บูมกับแม่ก็ยังคงมีช่องว่างระหว่างกันที่ทำให้บูมไม่รู้สึกสนิทใจกับแม่ หลังๆ มานี้เหมือนแม่จะพยายามเอาใจลูกชายคนเล็กมากขึ้น แต่สิ่งที่ผ่านมานั้นก็ทำให้บูมเจ็บปวดจนเกินที่จะทำใจได้ง่ายๆ
บูมหยิบหนังสือพิมพ์ที่แม่ทิ้งไว้บนโต๊ะมาอ่านระหว่างรอชุดอาหารเช้า พอเห็นข่าวเดียวกับที่แม่เพิ่งเห็นบูมก็นั่งนิ่งเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่าง คุณทิพย์นภาเองก็ลอบสังเกตดูด้วยความสนใจเหมือนอยากรู้ว่าลูกชายของเธอกำลังคิดอะไรอยู่เมื่อได้เห็นข่าวนั้น
แน่นอน...เมื่อเห็นแล้วบูมจะนึกถึงใครไปไม่ได้เลยนอกจาก...คนที่บูมเฝ้าตามหามาตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา บูมพยายามเรียนอย่างหนักเพื่อให้จบภายในสองปีเศษๆ เรียนหนังสืออย่างเดียว ไม่ทำอย่างอื่นเลยเพราะบูมอยากจะกลับมาหาทิวให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
ตอนที่เรียนอยู่บูมไม่สามารถติดต่อทิวได้ไม่ว่าจะด้วยวิธีใด โทรศัพท์ก็ไม่ติด อีเมล์ก็ไม่ตอบ เฟสบุ๊คก็เงียบเหมือนทิวหยุดอัปเดตไปนานแล้ว พอกลับมาก็ได้รู้ว่าทิวขายบ้านหลังนั้นไปแล้ว ไม่รู้ว่าย้ายไปอยู่ที่ไหน เบอร์โทรศัพท์ก็เปลี่ยน ที่มหาวิทยาลัยก็ไม่มีใครรู้ว่าทิวไปทำงานที่ไหนหลังจากเรียนจบแล้ว บูมพยายามสืบหาจากคนที่คิดว่าน่าจะรู้ข่าวคราวของทิวบ้างก็ไม่มีใครรู้ว่าทิวอยู่ที่ไหนเลยสักคน แม้แต่ต้องเองก็ยังไม่รู้ ทิวหายไปอย่างไร้ร่องรอย ไม่รู้ว่าเป็นตายร้ายดียังไง
กว่าหนึ่งปีแล้วที่ชีวิตในแต่ละวันของบูมมีแต่งานกับงาน งานเทานั้นที่จะทำให้บูมไม่ฟุ้งซ่านกับชีวิต ปีนี้บูมอายุย่าง 26 ปีแล้ว ก็ถือว่าโตเป็นผู้ใหญ่แล้วล่ะ เป็นช่วงเวลาของชีวิตที่กำลังจะสร้างความสำเร็จกับงาน แต่เมื่อขาดสิ่งสำคัญในชีวิตไปแล้วก็พลอยทำให้บูมขาดแรงจูงใจอื่นๆ ในชีวิตไปด้วย หลังๆ มานี้บูมจึงมีอาการคล้ายๆ คนเป็นโรคซึมเศร้าจนพ่อกับแม่เริ่มวิตกกังวล
"อ้าวหนูแพรว ตื่นแล้วเหรอ จะกินอะไรเลยไหม" คุณทิพย์นภาร้องทักลูกสะใภ้ที่เดินลงมากับลูกสาวคนเล็กพลางยิ้ม
"ยังหรอกค่ะ คงสายๆ หน่อย พอดีน้องพีมเขาอยากมาหาบูมน่ะค่ะคุณแม่ แพรวก็เลยพามา" แพรวบอกพลางยิ้มเช่นกัน
บูมวางหนังสือพิมพ์ลงแล้วก็อุ้มหนูน้อยที่เดินมาเมียงมองอยู่ข้างๆ ขึ้นมานั่งบนตัก อารมณ์เปลี่ยนไปเกือบจะทันทีเมื่อได้เห็นความน่ารักเด็กหญิงตัวน้อย
"ว่าไงครับน้องพีม วันนี้กวนคุณแม่แต่เช้าเลยนะครับ" บูมพูดแล้วก็หันไปยิ้มกับแพรว
"ร้องหาบูมตั้งแต่เช้าเลยค่ะ" แพรวบอกพลางยิ้ม
บูมเล่นกับน้องพีมสักพักคุณลิขิตก็ตามลงมาสมทบ
"คุณปู่มาแล้ว" เสียงใสร้องทักอย่างดีใจ
บูมจึงปล่อยน้องพีมให้วิ่งไปหาคุณปู่ คุณลิขิตอุ้มหลานสาวแล้วก็ยิ้มอย่างอารมณ์ดี
"คุณปู่ขา ไปทำงานกับปู่"
ได้ยินอย่างนั้นแล้วคนเป็นปู่ก็หัวเราะชอบใจ ตั้งแต่มีน้องพีมเข้ามาเป็นสมาชิกใหม่ในครอบครัว บ้านหลังนี้ก็มีความสดใสมากขึ้น น้องพีมกลายเป็นจุดสนใจและความรักของทุกคนในบ้าน โดยเฉพาะบูม ว่างเมื่อไรเป็นต้องมาเล่นด้วยหรือไม่ก็พาไปเที่ยวบ่อยๆ จนน้องพีมติดแจ ไปไหนก็ถามหาตลอด
"กินอาหารเช้าก่อนไหมคะ" คุณทิพย์นภาถามสามี
"ไม่เป็นไร เดี๋ยวผมต้องรีบไป มีประชุมแต่เช้า บูมพร้อมหรือยังลูก" คุณลิขิตหันมาถามลูกชาย
"ครับพ่อ ไปเลยก็ได้ครับ" บูมบอกพลางลุกขึ้นเตรียมตัว
"อ้าว...แล้วไม่กินข้าวเช้าก่อนล่ะบูม" แม่ร้องถามอย่างเป็นห่วง
"เดี๋ยวไม่ทันประชุมครับ" บูมตอบเสียงเรียบ
คุณทิพย์นภาหน้าเจื่อนเล็กน้อย บูมเงียบขรึมกับเธอมากตั้งแต่ที่เกิดเรื่องคราวนั้นเมื่อสามปีก่อน ลูกชายคนเล็กคงจะโกรธเธออยู่ในใจบ้างไม่มากก็น้อย ยิ่งนึกถึงข้อแม้ข้อที่สองของบูมที่ขอเธอไว้ตอนอยู่โรงพยาบาลแล้วก็ยิ่งทำให้คนเป็นแม่อย่างเธอเริ่มรู้สึกผิด ถึงบูมจะเลิกคบกับทิวไปแล้ว แต่เธอก็ไม่เห็นว่าชีวิตของบูมจะมีอะไรแตกต่างไป สิ่งที่เธอคาดหวังว่าจะได้เห็นก็มีแต่ริบหรี่ๆ ลงเรื่อยๆ
คุณลิขิตอุ้มหลานสาวมาส่งให้ลูกสะใภ้ พอร่ำลากันพอหอมปากหอมคอแล้วสองพ่อลูกก็รีบไปทำงานทันที
✢ ✣ ✤ ✥ ✦ ✧ ✩ ✪ ✫ ✬ ✭ ✮ ✯ ✰ ★ ✱ ✲ ✳ ✴ ✵ ✶ ✷
"เป็นไงมั่งบูม ได้ข่าวคราวของทิวบ้างไหมลูก"
คุณลิขิตถามขึ้นขณะนั่งรถไปทำงานด้วยกัน เมื่อก่อนต่างคนต่างแยกกันไป เดี๋ยวนี้บูมขับรถไปทำงานกับพ่อเป็นประจำ ยกเว้นวันไหนที่มีธุระคนละที่จึงค่อยไปคนละคัน
"ยังเลยครับพ่อ เห็นเจ้าของบ้านคนใหม่บอกว่าเขาเคยจดเบอร์โทรศัพท์ของทิวไว้อยู่ แต่ก็จำไม่ได้ว่าเอาไปไว้ตรงไหน ผมก็ขอให้เขาช่วยหาให้อีกทีแต่ก็ยังหาไม่เจอครับ วันเสาร์นี้ผมว่าจะลองไปหาอีกสักรอบ"
สีหน้าบูมเริ่มเครียดเมื่อพูดถึงการหายตัวไปของทิว
"พ่อขอโทษจริงๆ นะลูก วันนั้น...พ่อไม่น่าบอกให้ลูก..." แล้วคุณลิขิตก็ถอนหายใจ รู้สึกผิดทุกครั้งที่นึกถึงวันนั้น
"พ่ออย่าพูดถึงมันเลยครับ ไม่ใช่ความผิดของพ่อหรอกครับ ถ้าไม่ทำแบบนั้น...แม่ก็คง..." แล้วบูมก็ไม่รู้จะพูดอะไรต่อ
"บูม...พ่อว่าแม่เขาเริ่มอ่อนลงแล้วล่ะ อีกไม่นานนี้เราจะได้เห็นความเปลี่ยนแปลง แต่ว่าตอนนี้...เราต้องช่วยกันตามหาทิวให้เจอก่อน พ่ออยากเห็นลูกมีความสุข ไม่อยากให้ลูกเป็นแบบนี้เลย"
"เป็นแบบนี้" ที่คุณลิขิตพูดถึงก็คืออาการเศร้าซึมของบูมนั่นเอง พอไม่ได้ทำงานแล้วบูมก็ขลุกตัวอยู่แต่ในบ้าน ไม่ออกไปหาเพื่อน ไม่คบใคร อย่างมากก็พาพีมออกไปเที่ยวหรือซื้อของบ้าง เห็นลูกชายคนเล็กเก็บเนื้อเก็บตัวแล้วก็ยิ่งเป็นห่วง ถ้าปล่อยไว้ให้เป็นอย่างนี้เรื่อยๆ บูมคงเป็นโรคซึมเศร้าเข้าจนได้
พอพูดถึงแม่แล้วบูมก็เงียบ
"บูมยังโกรธแม่อยู่เหรอลูก..."
บูมไม่รู้ว่าจะตอบว่าอย่างไรเหมือนกัน ความจริงก็รู้สึกว่าโกรธ แต่อีกใจหนึ่งก็รู้ว่านั่นคือแม่ จะชั่วดีอย่างไรก็มีความผูกพันทางสายเลือด แต่บูมก็ยังทำใจไม่ได้ที่แม่ทรมานชีวิตลูกชายคนนี้มากเหลือเกิน แม่จะรู้ไหมว่าการพลัดพรากจากคนที่รักกันมากๆ เป็นอย่างไร ไม่ว่าจะกี่ปีผ่านไปบูมก็ไม่เคยลืมช่วงเวลาที่ได้ใช้ชีวิตอยู่กับทิว บูมยังคงทำตามสัญญานั้นที่บูมกับทิวให้กันไว้เสมอ แม้จะมีคนมาชอบหลายคนแต่บูมก็ไม่เคยเล่นด้วย กลายเป็นคนเก็บตัวเงียบจนดูเหมือนว่าแทบจะไม่มีสังคมไปแล้ว นอกจากสังคมในงานที่มีเท่าที่จำเป็น
"พ่อเข้าใจนะลูก แต่เชื่อพ่อ อีกไม่นานนี้แม่จะเข้าใจ"
คุณลิขิตพูดเสียเองเมื่อเห็นบูมนิ่งเงียบ
✢ ✣ ✤ ✥ ✦ ✧ ✩ ✪ ✫ ✬ ✭ ✮ ✯ ✰ ★ ✱ ✲ ✳ ✴ ✵ ✶ ✷
ดูเหมือนบรรยากาศในการกินข้าวเย็นด้วยกันดูกร่อยๆ ชอบกล คนที่นั่งอยู่ตรงหน้าไม่รู้ว่ามีความสุขหรือเปล่าที่มานั่งอยู่ตรงนี้ สีหน้าเหมือนกับถูกบังคับให้มาเสียมากกว่า คนชวนก็เลยชัดหงุดหงิดและอึดอัด
"พี่ทิว...เมื่อไรพี่จะใจอ่อนกับผมเสียที ผมรอมานานแล้วนะ" อยู่ๆ แต๋งก็ถามเรื่องนี้ขึ้นหลังจากที่เคยเลิกถามไปได้หลายเดือนแล้ว
ทิวใช้หลอดดูดเขี่ยแก้วน้ำผลไม้ไปมาพลางเลิกคิ้วมองคนที่นั่งอยู่ตรงหน้า ความจริงวันนี้ก็ไม่ได้อยากออกมาซื้อของหรอก แต่ทนแต๋งรบเร้าไม่ไหวก็เลยต้องยอมมาเป็นเพื่อน ทิวรู้สึกว่ายิ่งใช้เวลาอยู่กับแต๋งมากเท่าไรก็จะยิ่งกลายเป็นการสร้างความหวังให้แต๋งมาขึ้นเท่านั้น แต่ในความเป็นจริง ทิวรักใครไม่ได้อีกแล้ว ไม่ว่าแต๋งจะพยายามแค่ไหนก็ไม่มีประโยชน์หรอก สัญญาที่ให้ไว้กับบูมนั้นทิวรักษามันไว้เป็นอย่างดี ไม่เคยคิดจะผิดสัญญา ไม่เคยคิดที่จะขอให้เจอกับบูมเพื่อยกเลิกสัญญานั้น
"พี่..."
จะบอกยังไงดีหนอ จะบอกว่าไม่รักก็ดูจะทำร้ายจิตใจกันเกินไป จะบอกว่ายังไม่พร้อม ก็ไม่ไช่เรื่องนั้น ทิวไม่อยากโกหกแต่ก็ไม่อยากให้แต๋งมีความหวังใดๆ อีก ทิวอยากอยู่คนเดียว รู้สึกอึดอัดเหลือเกินที่มีคนมาคอยตามอย่างนี้
"ถ้าไม่อยากตอบก็ไม่เป็นไรหรอกพี่ ผมก็ถามไปงั้นแหละ ไม่มีอะไรหรอกครับ"
แต๋งบอกพลางหัวเราะกลบเกลื่อนเมื่อรู้ว่ากำลังสร้างความลำบากใจให้กับทิวอยู่
"อยากรู้จังว่า...คนนั้นที่พี่ทิวชอบเป็นใคร มีดีอะไรนักหนาพี่ถึงไม่เคยลืมเขาเลย" แต๋งก็ยังไม่วายที่จะพูดกระเง้ากระงอดอีกจนได้
สาเหตุหนึ่งที่ทำให้ทิวไม่ใจอ่อนง่ายๆ ก็เป็นเพราะแต๋งยังเด็กนี่แหละ แต๋งไม่สามารถทำให้ทิวรู้สึกอบอุ่นใจเหมือนเวลาที่อยู่กับบูม อ้อมกอดของบูมเท่านั้นที่ทิวเฝ้าโหยหา อ้อมกอดที่เต็มไปด้วยความรัก ความห่วงใยและความอบอุ่น กลิ่นกายที่หอมอุ่นๆ นั้นไม่เคยจางหายไปจากความทรงจำของทิวเลย แต่ทิวก็จำใจต้องจากมาด้วยความทรมาน ตัดช่องทางการติดต่อทุกอย่างที่บูมจะติดต่อได้เพราะแม่ของบูมได้ขอแกมบังคับเอาไว้
พอบูมไปแล้วทิวก็ยังถูกแม่ของบูมตามรังควานอยู่พักใหญ่เพราะยังไม่ไว้ใจว่าทิวได้ตัดขาดการติดต่อกับบูมไปจริงหรือเปล่า พอทิวได้งานทำจึงตัดสินใจขายบ้านและย้ายมาอยู่ที่นี่เสียเลย ครอบครัวของบูมจะได้สบายใจว่าทิวจะไม่กลับไปทำลายอนาคตของบูมอีก แล้วก็ได้มาเจอแต๋งที่ทำงานอยู่ที่เดียวกัน
"พี่ว่าเรากลับกันดีไหม ห้างใกล้จะปิดแล้ว"
ทิวรีบเปลี่ยนเรื่อง หลีกเลี่ยงที่จะสบตากับแต๋งเพราะกลัวว่าจะแสดงความไม่พอใจให้แต๋งเห็น แต๋งเเหมือนจะรู้ตัวว่าทำให้ทิวรู้สึกอึดอัดจนเกินไปจึงต้องยอมหยุด แล้วก็ยอมกลับบ้านแต่โดยดี
แต๋งขับรถมาส่งทิวถึงที่พัก แล้วก็จะขอช่วยถือของขึ้นไปส่งทิวที่ห้องพักด้วย
"เดี๋ยวผมช่วยถือขึ้นไปส่งละกันครับพี่ทิว"
แต๋งว่าพลางฉวยของใช้ส่วนตัวที่ทิวถืออยู่มาถือเสียเอง พอทิวจะร้องห้ามแต๋งก็รีบดักไว้
"ให้ผมช่วยเถอะนะพี่ อย่าปฏิเสธผมบ่อยๆ อย่างงี้สิครับ ผมรักพี่นะ พี่ไม่รักผมตอบผมก็ไม่ว่าหรอก ให้ผมทำอะไรให้พี่หน่อยไม่ได้เลยเหรอ"
ทิวก็เลยต้องยอม แต๋งล็อกรถแล้วก็เดินตามทิวขึ้นมาบนห้องพัก แล้วแต๋งก็ทำสิ่งที่ทิวคาดไม่ถึง เมื่อแต๋งเอาของวางไว้แล้วแต๋งก็วิ่งเข้ามกอดทิวจากทางด้านหลัง
"แต๋งจะทำอะไรครับ" ทิวร้องด้วยความตกใจพลางพยายามจะแกะมือนั้นออก
"พี่ทิว...ให้ผมกอดพี่บ้างได้ไหม พี่รู้ไหมว่าผมทรมานใจแค่ไหนเวลาที่อยู่ใกล้ๆ พี่แล้วทำอะไรไม่ได้ ทำไมพี่จะต้องคอยปฏิเสธผมอยู่ตลอดเวลา พี่ไม่เห็นใจผมบ้างเหรอ ผมขอแค่ได้กอดพี่บ้างเท่านั้น ผมไม่ทำอะไรมากกว่านี้หรอก นะพี่นะ อย่าปฏิเสธความรักของผมอย่างนี้สิครับพี่ทิว"
แต๋งพยายามร้องขอความเห็นใจสุดฤทธิ์ ทิวอึ้งกับคำขอร้องนั้นแล้วก็ปล่อยให้แต๋งกอด ที่ต้องคอยปฏิเสธนั้นเป็นเพราะว่าทิวไม่อยากพาตัวเองเข้าไปพัวพันกับความยุ่งยากโดยไม่จำเป็น แค่ที่เป็นอยู่นี้ก็ยุ่งยากมากพอแล้ว แต๋งไม่เคยลดละและพยายามที่จะเอาชนะใจทิวเลย ไม่ว่าทิวจะปฏิเสธยังไงก็ตาม
พอเห็นทิวนิ่ง แต๋งก็เริ่มได้ใจ ค่อยๆ เลื่อนมือลงต่ำจนถึงขอบกางเกงของทิว ทิวรู้สึกตกใจรีบจับมือนั้นไว้ทันทีก่อนที่มันจะเลื่อนลงต่ำไปมากกว่านั้น
"แต๋ง...อย่าทำแบบนี้นะครับ พี่ไม่ชอบ" ทิวบอกด้วยเสียงดุ
แต๋งรีบหดมือกลับ ปล่อยทิวแล้วก็ทำหน้าจ๋อยๆ
"ผมขอโทษ"
แต๋งบอกเสียงห้วนๆ คล้ายๆ กับเด็กเอาแต่ใจที่รู้สึกไม่พอใจเมื่อไม่ได้อย่างที่ต้องการ แต่นั่นก็คือนิสัยของแต๋งล่ะ จากนั้นก็ทำหน้าง้ำหน้างอ เดินไปหยิบรองเท้ามาใส่ แล้วก็เดินออกไปจากห้องทิวโดยไม่พูดกับทิวอีก
ทิวถอนหายใจยาวด้วยความโล่งใจเมื่อแต๋งไปแล้ว ต่อไปนี้คงจะต้องหลีกเลี่ยงการอยู่ตามลำพังกับแต๋งสองต่อสองแล้วล่ะ ไม่ไว้ใจเด็กคนนี้เลย มือไวใจเร็วอย่างนี้อาจจะทำให้ทิวพลาดท่าเสียทีได้
ทิวเดินไปที่เตียงนอนแล้วก็หยิบรูปที่หัวเตียงนั้นมาถือไว้ รูปที่ทำให้น้ำตาไหลแทบจะทุกครั้งที่นั่งมองและหวนคิดถึงความทรงจำเก่าๆ รูปนี้พี่บีมเป็นคนถ่ายให้ตอนงานเปิดตัวโครงการ บูมกอดทิวไว้จากข้างหลังแล้วก็ยิ้มสดใส ใครที่เห็นรูปนี้แล้วก็จะรู้ได้ทันทีว่าสองคนในรูปนี้มีความสัมพันธ์กันที่ดีต่อกันมากแค่ไหน
ความคิดถึงแล่นเข้าไปจนสุดขั้วหัวใจ แทบจะไม่มีวินาทีไหนที่ทิวไม่คิดถึงผู้ชายคนนี้เลย ยิ่งได้เห็นรูปนี้หรืออะไรก็ตามที่ทำให้นึกถึง ทิวก็ยิ่งคิดถึงมากขึ้น เบอร์โทรศัพท์ของบูมก็ยังจำได้ไม่เคยลืม บางทีอยากจะโทรหาใจจะขาดก็ไม่สามารถทำได้ ป่านนี้บูมคงจะกลับมาจากเมืองนอกแล้ว คงจะกลับมาช่วยพ่อทำงาน เป็นความหวังและอนาคตของครอบครัว อนาคตที่แม่ของบูมกลัวว่ามันจะดับลงถ้าบูมยังรักทิวอยู่
ป่านนี้แล้ว...บูมจะยังรักษาสัญญานั้นไว้หรือเปล่านะ บูมกำลังรอทิวอยู่หรือเปล่าหนอ ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสได้เจอกันในชาตินี้อีกหรือเปล่า บางครั้งทิวก็อยากจะไปหาบูมที่บ้านเหลือเกิน แค่ขอให้ได้เห็นหน้า ได้รู้ว่าสบายดี ไม่หวังว่าจะต้องกลับมารักกัน แค่อยากเห็นว่าคนที่ทิวรักที่สุดมีชีวิตที่สุขสบาย ไม่เจ็บไข้ได้ป่วย แค่นี้ทิวก็พอใจแล้ว ขอแค่นี้เอง ไม่รู้ว่าครอบครัวของบูมจะกีดกันอะไรกันนักหนา
✢ ✣ ✤ ✥ ✦ ✧ ✩ ✪ ✫ ✬ ✭ ✮ ✯ ✰ ★ ✱ ✲ ✳ ✴ ✵ ✶ ✷
"ผมไม่ไปครับแม่" บูมตอบสั้นๆ แล้วก็ท่าทางจะเดินออกไปจากห้องที่แม่เรียกเข้ามาคุยด้วย
"บูม...ลูกจะอยู่แบบนี้ได้ยังไง บูมควรจะคิดถึงการมีครอบครัวไว้บ้างนะลูก พี่บีมเขาก็แต่งงานแล้ว ก็เหลือแต่บูมนี่แหละที่แม่ยังเป็นห่วงอยู่ แม่ไม่สบายใจเลยที่บูมเอาแต่เก็บตัวแบบนี้"
บูมถอนหายใจแล้วก็หันกลับไปบอกแม่ว่า
"แม่ครับ เราเคยสัญญากันไว้แล้วไม่ใช่เหรอครับ"
คุณทิพย์นภาชะงักและอึ้งไป มันเป็นสัญญาที่เธอเองก็ไม่เต็มใจนักแต่ก็ต้องยอมสัญญาเพื่อแลกกับการที่บูมยอมเลิกกับทิว เธอก็ไม่คิดว่าบูมจะจริงจังกับสัญญานั้นขนาดนี้ คนวัยหนุ่มอย่างบูมไม่น่าจะทนอยู่เหงาๆ ได้นาน ไม่นานบูมก็คงอยากจะมีใครสักคน แต่ก็กลับไม่เป็นเช่นนั้นเมื่อบูมเอาแต่เก็บตัว ไม่ยอมออกไปพบเจอใครถ้าไม่จำเป็น ทำงานเสร็จแล้วก็กลับบ้าน เล่นกับหลานบ้าง อ่านหนังสือบ้าง หรือไม่ก็ทำงานอยู่ในห้อง เห็นบูมเป็นอย่างนี้เธอก็อดสงสารและเป็นห่วงลูกชายคนเล็กไม่ได้
"แม่รู้...แต่ว่า..."
"แม่จะเอายังไงกับผมอีกครับ ที่ผ่านมาผมยังทำให้แม่ไม่พออีกเหรอ แม่จะเอาชีวิตผมไปด้วยไหมครับ ไหนๆ ชีวิตนี้ผมก็ไม่เคยมีอิสระที่จะเลือกอะไรได้ด้วยตัวเองเลย แม่รู้บ้างไหมครับว่าผมทรมานแค่ไหน ทุกวันนี้...ที่ผมเป็นแบบนี้...ก็เป็นเพราะผมยังรักทิวอยู่ ผมจะทำให้แม่เห็นว่า...จนตายผมก็จะยังรักเขา"
บูมระเบิดอารมณ์ออกมาจนได้เมื่อรู้ว่าแม่คิดจะจับคู่ให้อีกทั้งๆ ที่เคยขอแม่ไว้แล้วว่าให้เลิกทำอย่างนี้ บูมอดทนและทำตามที่แม่ต้องการมามากพอแล้ว แม่ควรจะพอใจกับสิ่งที่ได้ไป การสูญเสียคนรักมันก็มากเกินไปด้วยซ้ำ บูมก็ยังอุตส่าห์ยอมทำให้
"ผมสูญเสียคนที่ผมรักไปแล้ว แม่เห็นไหมครับว่าชีวิตผมเป็นยังไง ผมรู้ว่าแม่หวังดี แต่แม่เห็นไหมครับว่ามันเกิดอะไรขึ้น แม่คิดว่าผมจะลืมเขาได้ง่ายๆ เหรอครับในเมื่อเรารักกันมากขนาดนั้น ทิวเขาดีกับผมมากขนาดไหน ตั้งแต่เรียนหนังสือด้วยกัน ถ้าผมไม่ได้เจอเขา ผมก็คงไม่รู้หรอกว่าความสดใสในชีวิตเป็นแบบไหน ที่ผมรักเขาเพราะเขาช่วยเปลี่ยนแปลงชีวิตผม เขาช่วยทำให้ผมได้รู้ว่าคนที่รักผมจริงๆ เป็นแบบไหน เขาคอยดูแลผม เป็นห่วงผม ช่วยผมทุกอย่าง เขารักผมมาก และผมก็รักเขามาก ผมลืมเขาไม่ได้ ผมคิดถึงเขาทุกลมหายใจ แค่ผมรู้ว่าทิวอยู่ที่ไหน ผมจะไปหาเขาทันที ผมจะไปอยู่กับเขา ชีวิตผมอยู่กับเขา หัวใจผมอยู่กับเขา ผมเอาไปให้คนอื่นที่ผมไม่รักไม่ได้ แม่รู้จักความรักไหมครับ แม่รู้จักมันหรือเปล่า ถ้าแม่รู้จักความรัก แม่ก็จะเข้าใจผม"
นี่คงเป็นครั้งแรกที่บูมพูดกับแม่ด้วยอารมณ์สะเทือนใจมากขนาดนี้ คุณทิพย์นภาได้แต่อ้าปากค้างด้วยอย่างคาดไม่ถึง สิ่งที่บูมพูดก็ทำให้เธอได้คิดอะไรหลายอย่าง เธอต้องคิดได้สิเพราะเธอก็เห็นอยู่ว่าชีวิตของลูกชายคนเล็กตอนนี้เป็นยังไง บูมอยู่เหมือนคนไม่มีชีวิตจิตใจ เธอคิดว่าจะเปลี่ยนใจบูมได้ แต่บูมก็ได้ทำให้เธอเห็นว่าไม่ง่ายขนาดนั้น เธอคิดผิดที่คิดว่าอะไรก็คงจะไม่ยาก แต่มันก็ยากกว่าที่เธอคิดไว้มากทีเดียว
ตอนนี้บูมกำลังจะทำให้เธอเห็นว่า "แม่" คือคนที่พรากชีวิตและอนาคตที่สดใสไปจากลูกเสียเอง
บูมหันหลังกลับแล้วเดินกลับขึ้นไปทำงานบนห้องนอนต่อ ทิ้งให้คุณทิพย์นภายืนตกตะลึงแล้วก็ร้องไห้ สิ่งที่เธอเรียกว่า "ความหวังดี" กำลังส่งผลและย้อนคืนกลับมาหาเธอแล้ว ความหวังดีนั้นได้ทำให้ลูกชายที่เธอรักต้องกลายเป็นคนซึมเศร้า เก็บตัวและไม่คิดจะแต่งงานมีครอบครัว เธอไม่เคยคาดคิดมาก่อนจริงๆ ว่าเธอกำลังทำให้ลูกของตัวเองต้องมีชีวิตแบบนี้ เธอบังคับได้แต่ตัว แต่หัวใจของลูกเป็นสิ่งที่เธอได้ตระหนักแก่ใจแล้วว่าเธอไม่สามารถเปลี่ยนได้
✢ ✣ ✤ ✥ ✦ ✧ ✩ ✪ ✫ ✬ ✭ ✮ ✯ ✰ ★ ✱ ✲ ✳ ✴ ✵ ✶ ✷
"คุณทิพย์คะ แม่พินเจออันนี้ในห้องของคุณบูมค่ะ"
แม่พินที่เป็นคนรับใช้ในบ้านหลังนี้มาอย่างยาวนานเดินมารายงานทิพย์นภาทันทีที่เธอกลับมาถึงบ้าน พอเห็นสิ่งที่คนรับใช้เอามาให้ดูแล้วเธอก็เบิกตากว้างด้วยความตกใจ
บูมเอาปืนมาทำไม ทำไมในห้องของบูมถึงมีปืน ลูกชายคนเล็กของเธอคิดจะทำอะไรกันแน่ ในบ้านของเธอไม่เคยมีสิ่งของแบบนี้เลย บูมเองก็ไม่มีศัตรูที่ไหนจนถึงกับต้องพกปืน หรือว่าบูมกำลังคิดที่จะ...
พอคิดมาถึงตรงนี้คุณทิพย์นภาก็แทบจะทรงตัวไม่อยู่
"แม่พินเอาปืนมานี่"
แม่พินยื่นปืนที่ห่อผ้าสีขาวให้ตามที่คุณทิพย์นภาบอก จากนั้นคุณทิพย์นภาก็รีบเดินลิ่วขึ้นไปบนห้องของตัวเอง วางปืนของลูกชายคนเล็กไว้บนโต๊ะในห้องแล้วก็รีบโทรหาสามีที่ยังคงอยู่ที่ทำงาน
"คุณคะ แม่พินเจอปืนในห้องของบูม ฉันกลัวค่ะ ฉันกลัวว่าลูกจะฆ่าตัวตัวตาย"
คุณทิพย์นภาพูดไปร้องไห้ไป
"จริงเหรอคุณ"
"ค่ะ ตอนนี้ปืนของบูมอยู่กับทิพย์แล้ว ฉันจะทำยังไงดีคะคุณ ฉันกลัว..."
คุณลิขิตเงียบไปนานพอสมควร ช่วงนี้อาการของบูมน่าเป็นห่วงมากเพราะเข้าข่ายเป็นโรคซึมเศร้าแล้ว ถ้าถึงขั้นมีปืนติดตัวไว้อย่างนี้ก็อาจจะนำไปสู่โศกนาฏกรรมที่คาดไม่ถึง คนที่เสียใจที่สุดก็คงจะเป็นคนที่หวังดีต่อลูกอย่างผิดๆ นั่นแหละ
"คุณทิพย์ คุณรู้ใช่ไหมว่าบูมกำลังเป็นโรคซึมเศร้า"
"ค่ะ" คุณทิพย์นภาตอบสั้นๆ
"แล้วคุณรู้ไหมว่าทำไม..."
คราวนี้คุณทิพย์นภาเป็นฝ่ายเงีบบบ้าง เธอคงรู้ดีอยู่แก่ใจว่าทำไมลูกชายคนเล็กถึงได้กลายเป็นเช่นนั้น
"แล้วทิพย์ควรจะทำยังไงดีคะ ทิพย์กลัวเหลือเกิน ทิพย์กลัวลูกจะ..."
คุณทิพย์นภาร้องไห้อีกคำรบ ยิ่งรู้ว่าสิ่งที่เธอทำทำให้ลูกเป็นหนักถึงขนาดนี้ก็ยิ่งรู้สึกผิด
"คุณเก็บปืนไว้ก่อน เดี๋ยวผมจะคุยกับลูกเอง แต่คุณ...คุณต้องเปลี่ยนตัวเองแล้วนะคุณทิพย์ ไม่อย่างงั้น...คุณจะเป็นคนที่ฆ่าลูกที่คุณรักเสียเอง คุณทำร้ายลูกมาเยอะแล้ว ผมก็ไม่อยากซ้ำเติมคุณหรอกนะคุณทิพย์ ผมแค่อยากให้คุณตะหนักว่าคุณกำลังทำร้ายลูก ไม่ใช่รักลูก ถ้าคุณยังไม่ยอมเปลี่ยนแปลงตัวเอง ผมกับคุณก็อาจจะต้องทำใจ ลูก...เราเลี้ยงเขาได้แต่ตัว ชีวิตมันเป็นของเขาตั้งแต่วันที่เขาเกิดมาแล้ว ผมรู้ว่าคุณหวังดี กลัวลูกจะเสียอนาคต กลัวคนจะไม่ยอมรับ แต่บูมไม่เคยเห็นกลัวเรื่องนั้นทั้งๆ ที่มันเป็นปัญหาของเขาเอง แต่พ่อแม่อย่างเรากลับตีตนไปก่อนไข้ กลัวไปสารพัด ต่อให้ลูกเจอปัญหาอย่างนั้นเข้าจริงๆ เขาก็ต้องเรียนรู้ที่จะแก้ปัญหา แล้วผมก็เชื่อว่าลูกจะแก้ปัญหาได้ สุดท้ายลูกเราก็จะได้รับการยอมรับเพราะเขาจะพิสูจนต์ตัวเองให้คนอื่นเห็นว่าเขาก็เป็นคนที่มีคุณค่า หน้าที่ของพ่อแม่อย่างเราก็คือสนับสนุนลูกให้ต่อสู้ชีวิตได้ ไม่ใช่ไปคิดแทน ชี้นำหรือครอบงำความคิด ถ้าลูกไม่มีความสุข พ่อแม่อย่างเราจะมีความสุขได้เหรอคุณทิพย์ คุณปล่อยลูกซะทีเถอะนะคุณทิพย์"
คุณทิพย์นภาอึ้งไปอีกรอบ ที่ผ่านมาสามีเคยคุยกับเธอเรื่องนี้อยู่บ่อยๆ แต่เธอก็ไม่เคยฟังและไม่เข้าใจ จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์อย่างนี้เธอถึงได้รู้ว่าที่สามีพยายามจะบอกเธอมาตลอดคืออะไร เธอเป็นคนดื้อและหัวแข็ง ใครๆ ก็รู้กันดี ลูกชายคนเล็กของเธอก็คงจะได้นิสัยดื้อๆ อย่างนี้ไปจากเธอบ้างไม่มากก็น้อย แต่บูมก็ดื้อรั้นเพื่อพิสูจน์ให้แม่เห็นว่าแม่เปลี่ยนสิ่งที่บูมเป็นไม่ได้
ตอนนี้ก็ขึ้นอยู่กับเธอแล้วว่าเธออยากจะเห็นลูกเป็นอย่างที่เธออยากให้เป็น หรืออยากจะเห็นลูกมีความสุขและมีชีวิตตามธรรมชาติและตัวตนของลูกเอง การตัดสินใจของเธอครั้งนี้สำคัญมากเพราะมันหมายถึง "ชีวิต" ของลูกที่เธอรักแสนรักนั่นเอง
TBCขอรณรงค์ให้คนอ่านสละเวลา 1 วินาทีบวกเป็ดเป็นกำลังใจให้ 'นักเขียนทุกคน' ทุกเรื่อง ทุกตอนนะครับ สร้างสรรค์ชุมชนแห่งการแลกเปลี่ยนแบ่งปัน