ร้ายซ่อนรัก
บทที่ 9
นี่เป็นครั้งแรกที่โมกข์รู้สึกกังวลในสิ่งที่เขาไปทำลงไป
ความกังวลที่หาสาเหตุไม่ได้เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อเขาคายพิษอยู่ในช่องทางของกานต์จนหมด แล้วเขาก็ถอนร่าง
ตัวเองออก ก่อนที่จะดึงกางเกงขึ้นมาสวมกลับคืน เดินไปนั่งจุดบุหรี่อัดเข้าปอดอยู่ที่เก้าอี้ยาวในสวนสวยไม่
ไกลจากจุดเกิดเหตุนัก โดยที่ไม่ได้สนใจกานต์ที่ยืนพิงต้นไม้ ตาลอย ขาสั่น น้ำเมือกไหลรินจากช่องทางลับ
ลงสู่ท่อนขาเลยแม้แต่น้อย
กานต์เดินกระปลกกระเปลี้ยตามมานั่งอยู่ข้างๆ ได้ในที่สุด แล้วจึงเอนตัวซบหน้าลงกับบ่าของเขา
“โมกข์ วิเศษที่สุด คุณทำให้ผมหมดแรงเลยรู้ไหม”
กานต์รำพัน
“เราจะพบกันอีกได้ไหม ผมอยากอยู่กับโมกข์ให้นานกว่านี้”
โมกข์เบี่ยงไหล่แล้วลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว กานต์ที่ซบอยู่ถึงกับเซเกือบตกเก้าอี้ ร่างสูงเดินไปยืนหันหลังให้
ยกบุหรี่ขึ้นสูบอัดเข้าไปอีกครั้งแล้วทิ้งลงพื้นขยี้มันด้วยปลายเท้าจนแหลก เพื่อระบายความรู้สึกอัดอั้น
โอ๊ย…อยากจะบ้า
โมกข์ตะโกนอยู่ในใจ
ความรู้สึกผิดแล่นมาเกาะกุมอยู่เต็มหัวสมอง โมกข์ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมเขาต้องรู้สึกผิดด้วย
ยิ่งเมื่อคิดไปถึงคนที่นั่งฟังการบรรยายอย่างตั้งใจอยู่ในห้องจัดงานเลี้ยงที่เขาเฝ้ายืนมองอยู่เป็นนาน
เขาก็ยิ่งว้าวุ่น
พ่อเลี้ยงเจ้าของไร่ทางภาคเหนือคว้าโทรศัพท์มาโทรหาลูกน้องคนสนิททันทีที่นึกถึงพัทธ์
“อาจารย์ถึงบ้านหรือยังคำปัน …อืม…ดี…งั้นเดี๋ยวเจอกันที่บ้าน”
โมกข์ถอนหายใจโล่งอกที่อย่างน้อย พัทธ์ก็ไม่ได้อยู่บริเวณนี้ ไม่ได้รับรู้อะไรเลวๆ อย่างที่เขาทำ
คุณพระ!!
นี่เขาด่าตัวเองว่าเลวงั้นหรือ
ทั้งที่ตลอดชีวิตของโมกข์ เขาต้องผจญมาอย่างโชกโชนแต่โมกข์ก็ไม่เคยคิดว่าเขาเคยทำอะไรเลวเลย
นอกจากครั้งนี้ เพียงแค่เขามีเซ็กส์กับกานต์ แฟนของคนที่เขากำลังไขว่คว้า โมกข์กลับด่าตัวเองว่าเลว
เขาไม่อยากจะคิดเลยว่าถ้าพัทธ์รู้ เขาคงไม่เหลือความดีอย่างอื่นแน่ๆ
ช่างเถอะ
ปัญหาย่อมมีทางออก ในเมื่อตอนนี้ ปัญหายังมาไม่ถึง เขาก็ไม่ควรกังวลจนเกินไปนัก
โมกข์ชะงักเมื่อกานต์โผมากอดจากด้านหลัง
“ว่าไงล่ะครับโมกข์ เราจะเจอกันอีกเมื่อไหร่ มะรืนนี้ พรุ่งนี้ หรือ คืนนี้”
ร่างสูงแกร่งดึงแขนที่กอดรัดไปทั้งตัวออก เขาถอนหายใจก่อนที่จะหันกลับไปมองสบตากานต์อย่างเฉยชา
“คืนนี้ผมเหนื่อย พรุ่งนี้ไม่ว่าง มะรืนก็ไม่ว่าง”
“ไม่นะ โมกข์”
กานต์พุ่งเข้าไปกอดโมกข์อีกครั้ง
“ผมอยากเจอคุณอีก อยากกอดคุณ อยากให้คุณ เอ่อ… โมกข์ครับ อย่าทำให้ผมใจเสียสิ”
โมกข์ไม่สนใจน้ำเสียงตัดพ้อ เขายังคงผลักให้กานต์อยู่ห่างการคลอเคลีย ก่อนตัดรอนไม่ไว้หน้า
“ไม่ว่างก็คือไม่ว่าง ถ้าผมอยากเจอคุณผมจะบอกคุณเอง แต่ตอนนี้ผมอยากพักผ่อนแล้ว ถ้าอยากให้ผมไป
ส่งที่บ้านก็ตามมา แต่ถ้าไม่ จะกลับเองก็เชิญ”
แล้วโมกข์ก็เดินดุ่มๆ ออกมาจนกานต์ต้องวิ่งตาม จนเมื่อเขาไปส่งกานต์ที่หน้าทางเข้าหมู่บ้านจัดสรรแล้ว
โมกข์จึงได้ขับรถกลับมาที่บ้านด้วยอารมณ์ขุ่นมัว
เมื่อโมกข์จอดรถแล้วเดินเข้าไปในตัวบ้าน เขาก็ต้องมึนงงกับสภาพที่เห็น
คำปัน ลูกน้องของเขา ยืนหน้าเคร่งอยู่ที่มุมหนึ่ง ปากเจ่อพร้อมรอยเลือดที่เริ่มแห้ง ส่วนคนที่นั่งหน้าบึ้งยก
มือกุมท้อง นั่นคือโอบกิจ
“โอบ มาที่นี่ทำไม แล้วนั่นเป็นอะไรกัน ทั้งคู่เลย”
คำตอบคือความเงียบ โมกข์มองทั้งคู่สลับไปมาแล้วส่ายหน้า ทำท่าจะเดินหนีขึ้นชั้นสอง
“พี่โมกข์”
โอบกิจฝืนความจุกแน่นที่ถูกต่อยตรงลิ้นปี่ ผวาไปกอดโมกข์
“โอบมาเพราะคิดถึง ก็พี่โมกข์มากรุงเทพนานเกินไป โอบโทรหาก็ไม่รับสาย โอบเลยหนีพ่อมาหาพี่นี่แหละ”
โอบกิจซุกหน้าลงกับแผ่นอกของโมกข์
“ให้โอบนอนห้องเดียวกับพี่โมกข์นะ โอบจะ…”
“โอบ”
โมกข์ขัดขวางการรำพันของโอบกิจ เขาดันตัวโอบกิจให้ห่างแล้วพูดอย่างจริงจัง
“พี่ไม่อยากนอนกับโอบแล้ว”
“พี่โมกข์ว่าอะไรนะ”
โอบกิจอุทานเสียงดังพลางเบิกตากว้าง
“โอบทำอะไรผิดพี่โมกข์ถึงตัดรอนขนาดนี้ บอกโอบสิโอบจะได้ปรับปรุง แต่อย่าพูดอย่างนี้นะ โอบรับไม่ได้”
โมกข์ถอนหายใจเมื่อเห็นอาการของโอบกิจ
“โอบไม่ผิด ผิดที่พี่เอง เอาเป็นว่าถ้าโอบอยากอยู่บ้านนี้ก็อยู่ได้ นอนห้องไหนก็ได้บอกให้คำปันจัดการให้ก็
แล้วกัน”
เจ้าของบ้านเดินจากไปแล้ว หลังจากที่พูดให้อาคันตุกะยามค่ำคืนยืนงงเป็นไก่ตาแตก
เสียงหัวเราะดังขึ้นจากเบื้องหลัง คำปันเดินเข้ามายืนอยู่ข้างโอบกิจ แล้วปล่อยเสียงหัวเราะหยัน
“เฮอะ ถ้าเป็นผมนะ ผมจะรีบไปซื้อแชมพูสระผมใหม่ เพราะอะไรรู้ไหม เพราะคุณน่ะ กำลังจะหัวเน่า”
“ไอ้คำปัน ไอ้…”
โอบกิจชี้หน้า แต่คำปันกลับลอยหน้าลอยตาใส่
“อ๊ะๆ อย่านะคุณ อยากโดนจูบอีกรอบหรือไง ถ้าอยากก็ด่าเข้า”
โอบกิจลดระดับมือลงอย่างช้าๆ ดวงตาคุโชนด้วยความแค้น
เอาเถอะ ตอนนี้โมกข์อาจจะอารมณ์เสียมาจากข้างนอก พอพักผ่อนแล้วโมกข์ก็จะกลับมาเป็นโมกข์คนเดิม
ของเขา โอบกิจคนนี้จะไม่ยอมแพ้
หนุ่มนักซิ่งรำพึงในใจก่อนที่จะหันหลังเตรียมเดินไปชั้นสอง
“เดี๋ยว จะไปไหน”
“กูจะไปห้องพี่โมกข์”
โอบกิจสะบัดเสียงใส่
“พ่อเลี้ยงบอกว่าไม่ให้คุณนอนห้องพ่อเลี้ยง หูหนวกหรือไง ขืนเข้าไปก็ได้โดนถีบออกมาพอดี อยากลองตีน
พ่อเลี้ยงก็ลองดู”
“แล้วมึงจะให้กูนอนไหน กูง่วง ขับรถมาตั้งไกลนะโว้ย”
คำปันส่ายหน้าอย่างเบื่อหน่าย ก่อนกวักมือเรียกให้โอบกิจเดินตาม
อนิจจา ชีวิตอันสงบสุขของคำปันคงจบสิ้นลง ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
กานต์ปรือตาขึ้นมาเมื่อรู้สึกถึงแสงสว่างที่ส่องเข้ามาในห้อง เขามองหาคนข้างเตียงแต่ก็เห็นว่ามันว่างโล่ง
ลุกขึ้นออกเดินไปที่ห้องโถงด้านนอกก็เห็นพัทธ์ที่แต่งตัวเสร็จแล้วกำลังนั่งใส่ถุงเท้าอยู่ที่โซฟา
“พัทธ์วันนี้วันเสาร์ไม่ใช่เหรอ จะแต่งตัวออกไปไหน”
กานต์ถามอย่างแปลกใจ
พัทธ์ชะงักมือเล็กน้อย แล้วใส่ถุงเท้าจนเรียบร้อย ก่อนที่จะลุกขึ้นยืน
“โปรเจ็คมันกำลังไปได้สวย พัทธ์จะไปดูหน่อย ถ้าเสร็จช่วงนี้ไปก็จะถึงขั้นทดลองงานแล้ว”
อาจารย์หนุ่มเดินตรงมาหยุดอยู่ที่หน้าคนรัก แล้วมองด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“กานต์ เสื้อผ้าชุดที่กานต์ใส่เมื่อคืนพัทธ์ซักให้แล้วนะ”
กานต์นิ่งฟัง แล้วจึงฉุกคิดใจหายวาบ เหลือบตามองดูพัทธ์อย่างกริ่งเกรง ก็เห็นแต่ความว่างเปล่าของ
สายตา
“พัทธ์จะซักทำไม กานต์กะว่าวันนี้กานต์จะซักเอง”
“มันเหม็นคาวกลิ่นอะไรก็ไม่รู้พัทธ์เลยรีบซัก กลัวว่าถ้าทิ้งไว้มันจะส่งกลิ่นเหม็นมากกว่านี้”
ดวงตาที่ว่างเปล่ามีร่องรอยเจ็บช้ำแสดงขึ้นมาวูบหนึ่งก่อนที่จะกลับไปเป็นปกติ
“คงจะเปื้อนอาหารที่กินมาใช่ไหม คราวหน้าก็อย่ากินมูมมามนักสิ คนอื่นจะว่าได้ ว่าเป็นคนตะกละ”
ความเจ็บแล่นจี๊ดเข้ามาตามเส้นเลือด จนกานต์ต้องกัดริมฝีปากเบือนหน้าไปทางอื่น ฟังดูอาจเป็นคำหยอก
ล้อปกติ แต่ใบหน้าจริงจังนั้นไม่ได้บอกว่าล้อเล่น แต่กานต์ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากนิ่งไว้
“กานต์ พัทธ์รักกานต์มากนะ จำที่แม่พัทธ์สอนได้ไหมว่าสิ่งสำคัญที่สุดของความรักคือความซื่อสัตย์ นี่เป็น
สิ่งที่พัทธ์ยึดถือ พัทธ์มาจากครอบครัวที่พ่อมีเมียน้อย ทำให้แม่ต้องเจ็บช้ำ พัทธ์ตั้งใจไว้ว่าถ้าพัทธ์มีความรัก
พัทธ์จะไม่ปันใจทำให้คนที่พัทธ์รักเจ็บเหมือนที่พ่อทำกับแม่”
พัทธ์เอื้อมมือไปดึงใบหน้าของกานต์มาใกล้แล้วจูบแผ่วเบาไปที่หน้าผาก
“อย่าทำให้พัทธ์ต้องเจ็บเหมือนที่พ่อทำกับแม่นะ กานต์”
พัทธ์ปีนขึ้นไปบนโต๊ะสูงระดับศีรษะเพื่อก้มลงตรวจงานเครื่องจักรเพื่อการเกษตรที่เขาเป็นผู้ควบคุมอยู่ใน
โรงงานเล็กๆ ท้ายคณะ มีนักศึกษาอยู่จำนวนหนึ่งที่มาช่วยงาน ยืนกระจายทำงานโดยรอบ
อาจารย์หนุ่มไม่อยากจะยอมรับว่า เขาไม่มีสมาธิเอาเสียเลยในวันนี้ ในขณะที่นั่งดูข้อมูลในคอมพิวเตอร์
เขาก็เหม่อจนเด็กๆ ต้องเรียกชื่อดังๆ ให้สะดุ้งหลายรอบ
“จ๊านนน อาจารย์เป็นอะไรครับ วันนี้ดูเอ๋อนะจารย์”
ลูกศิษย์ห่ามหน่อยก็แซวให้เขารู้สึกหงุดหงิดกับความไม่เป็นตัวของตัวเอง
พัทธ์เรียกสติตัวเองให้อยู่กับงาน เขาใช้สายวัดความยาวส่องลงไปในซอกลึกของเครื่องจักร แต่เขาก็เผลอ
ทำมันหล่นไปจนได้
ฮึดฮัดกับความเผลอไผล แล้วพัทธ์ก็ใช้มือเรียวล้วงลงไปเพื่อหยิบเจ้าสายวัดขึ้นมา แต่แล้วเขาก็ต้องสะดุ้ง
เมื่อปลายแหลมของฟันเฟืองที่มองไม่เห็นบาดไปที่ปลายนิ้วจนเจ็บแปลบ
เมื่อยกมือขึ้นมาดู ก็เห็นบาดแผลเปิดลึกที่ปลายนิ้ว เลือดแดงเข้มไหลรินเป็นทางมาจนถึงข้อมือ
พัทธ์เวียนศีรษะขึ้นมาทันที
เขาไม่ชอบเลือด เขาเกลียดกลิ่นของเลือด เวลาที่เห็นเลือดมันทำให้เขาตื่นเต้น
อย่างเช่นตอนนี้ ที่เขามองเลือดจากปลายนิ้วด้วยสายตาที่พร่าเลือน หูดับจนไม่ได้ยินเสียงเอะอะของ
นักศึกษาที่ตะโกนให้เขาระวัง
ระวังไม่ให้เขาโงนเงนจนพลัดตกจากโต๊ะที่เขายืนอยู่ แต่พัทธ์ก็ไม่รู้สึกตัวลอยละลิ่วลงมาในที่สุด
เขาเพิ่งรู้สึกตัวเมื่อตอนที่ร่างกายสัมผัสแต่ความว่างเปล่าของอากาศ พัทธ์หลับตาแน่น เกร็งตัวรับการ
ร่วงหล่นลงกระแทกพื้น
ตุ้บ!!
ถึงแล้ว พัทธ์รำพึงทั้งที่ยังไม่ลืมตา เขากำลังสำรวจความเจ็บปวดของร่างกายตัวเองว่ามีส่วนไหนที่กระแทก
กับพื้นแข็ง แต่ทำไมเขากลับไม่รู้สึกเจ็บปวดเลยสักนิด พัทธ์จึงค่อยๆ ลืมตาขึ้นมองเหตุการณ์
เขานอนหงายอยู่ อันนี้แน่นอน ท่ามกลางสายตานักศึกษาที่กรูเข้ามามองอย่างห่วงใย แต่เขาไม่ได้นอนบน
พื้นปูนแข็งๆ แน่ เมื่อรู้สึกถึงความหยุ่นตัวเบื้องล่าง
พัทธ์เอี้ยวใบหน้าไปมองสิ่งที่อยู่ภายใต้ตัวเขาแล้วก็ใจหายวาบ เมื่อสิ่งที่กันไม่ให้ร่างของเขากระแทกกับพื้น
ก็คือร่างใหญ่ๆ ของโมกข์นั่นเอง
-------------------------------------------------------------------------------------------
พูดคุยกับคนแต่ง
ชอบมากเลยค่ะ กับความเห็นที่บอกว่าโมกข์เลว
ด้วยจิตที่ผิดปกติ คนแต่งชอบแบดบอยมาก เวลาแต่งพระเอกก็แทบจะเลวกว่าตัวร้ายด้วยซ้ำ
แต่อยากให้อ่านต่อไป ยิ่งพระเอกเลว ผลกรรมมันก็ยิ่งเยอะ นายเอกก็เกลียดขี้หน้า
เรามาคอยดูกัน ว่ากว่าที่โมกข์และพัทธ์จะเข้าใจกัน กว่าที่พัทธ์จะเปลี่ยนนิสัยโมกข์ให้ดีขึ้นมาได้
ต้องใช้ความสามารถแค่ไหน
ป.ล.ยังไง ๆ คนแต่งก็ยืนยันว่า เรื่องนี้พระเอก นายเอกคือ โมกข์และพัทธ์ นะคะ ^^