ร้ายซ่อนรัก บทที่ 10
พัทธ์นั่งไขว่ห้างอยู่ที่โต๊ะทำงานทอดสายตาไปที่พลาสเตอร์ยาปิดแผลที่นิ้วอย่างเอาจริงเอาจังเขามองเหมือนไม่เคยเห็น เหมือนมันเป็นสิ่งแปลกประหลาดชิ้นเดียวในโลก“ถ้าคุณจะมองอย่างนั้น ผมกลัวว่านิ้วใหม่ของคุณจะงอกออกมาได้นะ อาจารย์พัทธ์”ร่างสูงที่ยืนกอดอกพิงผนังโรงงานจ้องมองคนที่นั่งจ้องนิ้วอีกทีโพล่งขึ้นมาอย่างเหลืออดที่ไม่ได้รับความสนใจจากคนตรงหน้าเงียบ ไม่มีปฏิกิริยาตอบรับ พัทธ์เงียบจนโมกข์ต้องลอบถอนหายใจ แต่ความพยายามของโมกข์ยังมีอย่างต่อเนื่อง“อาจารย์จะไม่ถามผมสักคำหรือว่าผมมาที่นี่ได้ไง แล้วทำไมผมเหาะไปช่วยอาจารย์ได้”ได้ผล แม้จะยังอยู่ในความอึมครึมแต่พัทธ์ก็ยังเงยหน้ามามองเขา เพื่อให้เขาต้องตอบออกมาเอง“คือผมไม่รู้จะทำอะไรในวันหยุด ก็เลยขับรถมาเรื่อยๆ นึกขึ้นมาได้ว่าท่านคณบดีเคยบอกว่าเครื่องทดลองของคุณมันใกล้เสร็จเต็มที ผมก็เลยแวะเข้ามาในนี้ แต่เห็นคุณกับนักศึกษากำลังตั้งอกตั้งใจทำงานก็ไม่อยากกวน ได้แต่แอบมองอยู่ตรงโน้น…”
โมกข์ชี้ไปทางเก้าอี้หินอ่อนข้างโรงงาน“…เห็นคุณทำท่าปีนขึ้นไปบนโต๊ะท่าทางไม่มั่นคงนักผมเป็นห่วง แล้วคุณก็พลาดจริงๆ ด้วย ดีนะที่ผม
เป็นแชมป์วิ่งเขย่งก้าวกระโดดมาก่อน เลยพุ่งตัวไปรับคุณไว้ทัน”โมกข์ฉีกยิ้มกว้าง แต่ยิ้มนั้นก็ค่อยๆ หุบลงเมื่อพัทธ์ไม่ขำมุกตลกของเขา“ขอบคุณ”เสียงพึมพำดังขึ้นจากปากของพัทธ์ในที่สุด หัวใจของโมกข์ชื้นขึ้นมาทันที“แต่ผมจะไม่พลาดอีกแล้ว”หัวใจของโมกข์แห้งลงอีกครั้งกับคำพูดชวนให้คิด โมกข์ไม่รู้ว่าพัทธ์พูดถึงเรื่องอุบัติเหตุหรือเรื่องอื่นกันแน่“คุณไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว”โมกข์ถือโอกาสตัดบท“งั้นเราไปหาอะไรทานกัน ผมหิวจนไส้กิ่วแล้ว”พัทธ์เหลือบตามองนาฬิกาที่ข้อมือ เมื่อเห็นว่าตอนนี้เวลาเกือบบ่ายสองแล้วความหิวก็เข้ามาเยือนทันทีนี่เขามัวแต่ทำงานเรื่อยเปื่อยจนลืมเรื่องอาหาร เพียงเพราะกังวลเรื่องผู้ชายตัวใหญ่ข้างหน้างั้นหรือเป็นไงเป็นกัน เขาอาจจะเคลียร์กับโมกข์อย่างลูกผู้ชายสำเร็จก็ได้พัทธ์ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง แล้วลุกขึ้นยืนเดินนำออกไปที่นอกโรงงานโดยมีร่างสูงใหญ่ของโมกข์เดินตาม แต่ก็ต้องชะงักเมื่อเดินออกจากโรงงานได้สักพักท่อนแขนของเขาก็ถูกคว้าไว้ พัทธ์จึงหันไปมองมือที่ยึดอยู่ไล่ไปเรื่อยจนถึงใบหน้า เจ้าของมือจึงได้คลายออกช้าๆ “คุณจะเดินไปไหน”โมกข์ถาม พัทธ์เลิกคิ้วงงๆ “เดินไปหน้ามหา’ลัยแล้วไปกินข้าวแกงน่ะสิ ถามทำไม”
โมกข์ยกมือขึ้นเกาท้ายทอย พลางชี้ไปที่รถของเขาที่จอดอยู่ไม่ไกล“โน่น ไปรถผม เบื่อข้าวแกงหน้ามหา’ลัยของคุณบ้างก็ได้นะ เดี๋ยวผมพาคุณไปทานบนห้างดีกว่า ไปเร้ว”
ไม่ต้องรอคำตอบ โมกข์คว้าแขนของพัทธ์ให้ก้าวตามไปอย่างที่รถหรูของเขาอย่างรวดเร็ว เขาเปิดประตูด้านข้างคนขับและดันตัวพัทธ์ให้เข้าไปนั่งอย่างงงๆเจ้าของรถก้าวยาวๆ ไปที่นั่งฝั่งคนขับอย่างกลัวคนที่ถลำตัวมาด้วยจะเปลี่ยนใจ โมกข์หันไปมองใบหน้าขาว แต่ครึ้มไปด้วยไรหนวดสีเขียวนั่นอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่เขาจะเอี้ยวตัวผ่านหน้าพัทธ์ไปดึงเข็มขัดนิรภัยพาดผ่านตัวพัทธ์มาเหน็บกับที่ล็อคพัทธ์หายใจไม่ทั่วท้องในวินาทีนั้น แค่เพียงเสี้ยวหน้าคมเขยิบเข้ามาใกล้ตอนคาดเข็มขัดเขาถึงกับสะดุดลมหายใจของตัวเองจนต้องกลั้นมันไว้ ผู้ชายคนนี้ช่างมีอิทธิพลสูงต่อคนรอบข้างจนเขานึกกลัวไม่นานนักโมกข์ก็ขับรถพาพัทธ์มาถึงห้างสรรพสินค้าใกล้กับมหาวิทยาลัย โมกข์เลือกร้านปิ้งย่างไสตล์เกาหลีร้านหนึ่งพัทธ์ไม่ขัดข้อง ทั้งคู่จึงได้เริ่มกินกันอย่างจริงจัง“ขอบคุณนะที่มาเป็นเพื่อนผม”โมกข์พูดขึ้นเมื่อบรรดาเนื้อทั้งหลายที่สั่งมาพร่องไปเกือบหมด“เห็นคุณตัวผอมๆ กินจุไม่ใช่เล่นนะ”พัทธ์เหลือบตามองคนพูดหยอกเย้า เขาเลยวางตะเกียบลงจนโมกข์หน้าเสีย“อ้าวคุณ ผมแซวเล่นอย่างอนสิ”ยิ่งอยู่ด้วยกันนานขึ้นยิ่งตีสนิท เขาไม่อยากให้ความสนิทสนมกับโมกข์มากไปกว่านี้ เรื่องของกานต์ที่ยังไม่เคลียร์ยิ่งทำให้เขาไม่อยากที่จะยุ่งกับผู้ชายตรงหน้า“คุณใช้เงินซื้อผมทำไม”โมกข์งงเป็นไก่ตาแตกกับคำถามที่โพล่งขึ้นมาอย่างปุบปับจากพัทธ์“เดี๋ยวนะ นี่คุณกล่าวหาว่าผมซี้อคุณด้วยเงิน หมายความว่ายังไงอาจารย์พัทธ์”“คุณใช้เงินคุณทุ่มทุนให้โปรเจ็คของผม คุณซื้อเสื้อผ้าราคาแพง คุณพาผมมาเลี้ยงอาหาร ผมถือว่าคุณใช้เงินซื้อผม”พัทธ์กล่าวหน้าตาเฉยจนโมกข์ชักเดือดปุดๆ “ที่ผมช่วยเรื่องเงินกับโปรเจ็คเพราะเห็นว่ามันสามารถใช้ได้จริงและมีประโยชน์กับเกษตรกร ส่วนไอ้เรื่องเสื้อผ้าเพราะเห็นว่าชุดมันเหมาะสมกับงานแล้วตัวคุณคงไม่มีเวลาไปหาเอง แล้วอาหารมื้อนี้เพราะผมอยากกินเอง มีอะไรข้องใจอีกไหมครับท่านอาจารย์”โมกข์กล่าวยืดยาวด้วยน้ำเสียงประชดประชันจ้องหน้าคนที่ยกแก้วชาเขียวมาดูดน้ำด้วยท่วงท่าปกติดวงตาในกรอบแว่นใสเหลือบมองคนตรงหน้าเมื่อวางแก้วน้ำลงแล้ว“แล้วคุณเข้ามายุ่งในชีวิตผมทำไม”โมกข์ชะงักงันกับคำถามนี้ จนเขาต้องกลับมาถามตนเองในใจนั่นสิ แล้วเขาไปยุ่งอะไรกับพัทธ์ ทำไมจะต้องแหย่มือเข้าไปในชีวิตของผู้ชายคนนี้โมกข์เอียงคอยักไหล่“คงเป็นเพราะผมอยากเอาชนะใจคุณมั้ง”พัทธ์แค่นหัวเราะ“อ้อ…คุณมันเป็นพวกชอบเอาชนะ แต่เสียใจนะที่ผมมันพวกไม่ชอบสู้คน ผมไม่ชอบเอาชนะใคร ใจคนผมก็
ไม่อยากได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หัวใจของคุณ”พัทธ์ก้มหน้าลงใช้มือจับหลอดน้ำหมุนวนอยู่ในแก้ว“อย่าพยายามเข้ามายุ่งในชีวิตของผมมากไปกว่านี้เลย …รวมทั้งคนของผมด้วย”
โมกข์นิ่งอึ้งกับคำพูดของพัทธ์ เขามองใบหน้าเรียบเฉยจริงจังแล้วกลืนน้ำลายลงคออย่างยากเย็นเห็นเฉยๆ นิ่งๆ อย่างนี้แต่วาจาแต่ละประโยคกลับเชือดเฉือนจนทำให้เขาเจ็บยิ่งกว่าถูกไม้ตีเข้าแสกหน้ารับมือกับอาจารย์พัทธ์ยากยิ่งกว่าแก็งค์มาเฟียข้ามชาติที่เขาเคยถล่มมาแล้วมากมายนัก“กลับกันเถอะ”พัทธ์ขยับตัวลุกขึ้นยืน“เอาเป็นว่ามื้อนี้ผมเลี้ยงเอง จะได้ไม่ติดค้างบุญคุณของคุณมากไปกว่าเงินทำโปรเจ็คกับชุดสูท”พูดจบพัทธ์ก็เดินตรงไปจ่ายเงิน โมกข์สะบัดหน้าไล่ความมึนงงก่อนที่จะลุกแล้วก้าวตามไปอย่างหงอยๆกานต์เดินทอดน่องอย่างเซ็งๆ เซ็งกับทุกเรื่อง เซ็งที่พัทธ์พูดเหมือนกับรู้ว่าเขาไปทำอะไรมา เซ็งกับเรื่องที่โทรหาโมกข์แล้วเขาปิดเครื่องเซ็งจนอดทนอยู่แต่ในบ้านไม่ไหว ต้องออกมาเดินแก้เซ็งอยู่ในห้างสรรพสินค้าสายตาสะดุดเข้ากับแผ่นหลังสูงใหญ่ที่แสนคุ้น ดวงตาของกานต์เบิกกว้างด้วยความยินดีโทรหาทั้งวันไม่ติด แต่กลับมาพบอย่างบังเอิญบนห้างสรรพสินค้า เขาเตรียมพุ่งตัวไปหาโมกข์แต่ก็ต้องชะงัก เมื่อจังหวะที่โมกข์เดินหลบคนมาอีกด้าน จะทำให้กานต์ได้เห็นคนที่เดินเยื้องอยู่ด้านหน้าของโมกข์ใจหายวาบเมื่อเห็นว่าเป็นพัทธ์ คนที่กานต์ไม่อยากเผชิญหน้าด้วยอย่างที่สุดในตอนนี้ กานต์ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่า โมกข์กับพัทธ์รู้จักกัน แล้วนี่พัทธ์จะรู้หรือเปล่าว่าเขากับโมกข์มีอะไรกันแล้วกานต์ถอนใจอย่างหงุดหงิดแล้วพาตัวเองออกจากห้างเสียให้รู้แล้วรู้รอด เขากลัวความลับจะไม่เป็นความลับอีกต่อไป“เฮ้…บอย”
กานต์ชะงักเมื่อได้ยินเสียงเรียกเป็นภาษาอังกฤษจากนักท่องเที่ยว ด้วยความที่ทำงานเป็นพนักงานประชาสัมพันธ์ กานต์จึงฝืนยิ้มแล้วหันไปตอบตามสัญชาตญาณ“ครับ ยินดีครับมีอะไรให้ช่วยครับมิสเตอร์”“ผมจะขับรถเช่าไปถนนข้าวสาร แต่ดูจากแผนที่แล้วไม่เข้าใจเลย คุณช่วยอธิบายให้ผมได้ไหม”“จากที่นี่มันไกลกับถนนข้าวสารมาก ผมเกรงว่ามิสเตอร์จะไม่เข้าใจและขับรถหลงทาง”นักท่องเที่ยวยิ้มแป้นเมื่อได้ยิน
“งั้น ถ้าไม่เป็นการรบกวนเวลาว่างของคุณ จะกรุณานั่งรถไปเป็นเพื่อนกับผมได้ไหม หรือว่าถ้าคุณยังไม่รู้จะทำอะไรในคืนวันหยุดอย่างนี้ ผมจะได้เชิญให้คุณนั่งดื่มเป็นเพื่อน”กานต์พิจารณานักท่องเที่ยวคนนี้อย่างจริงจังเป็นฝรั่งที่ตัวไม่สูงมาก เตี้ยกว่ากานต์เสียด้วยซ้ำ ประมาณจากสายตาแล้วไม่น่าจะเกิน 175 แถมรูปร่างยัง
ตันเป็นมะขามข้อเดียว หน้าตาก็ไม่ถึงกับดีมาก เวลายิ้มจึงได้เห็นว่าฟันหายไปหนึ่งซี่ หัวล้านเถิกเห็นเส้นผมแค่ด้านหลังน้ำหน้าอย่างนี้ยังคิดจะมาจีบเขา กานต์หัวเราะเยาะในใจแต่เมื่อคิดว่าเวลาว่างต่อจากนี้เขาจะไปทำอะไร ในเมื่อเขายังไม่อยากกลับไปเผชิญหน้ากับพัทธ์ “ก็ได้ ผมจะไปถนนข้าวสารกับคุณ”ฝรั่งตาน้ำข้าวยิ้มแป้น เอื้อมมือมารอจับทักทายกับเขา“ยินดีอย่างยิ่ง เรียกผมว่าแดนนะครับ”กานต์เปิดประตูเข้าบ้านมาเกือบเที่ยงคืน ก็เห็นแต่บ้านที่มืดมิด เขารู้ว่าพัทธ์หลับแล้วจึงค่อยๆ ย่องเข้าไปในห้องนอนด้วยไม่อยากให้พัทธ์ตื่น แต่ก็ไม่สำเร็จคนประสาทหูไวอย่างพัทธ์ได้ยินเสียงกุกกักเพียงเล็กน้อยก็สะดุ้งตื่น พร้อมกับงัวเงียมอง จนเมื่อเห็นว่าเป็นกานต์ พัทธ์จึงได้ลอบถอนใจ“ไปไหนมากานต์ กลับดึกจัง”“เอ่อ…กานต์ไปข้าวสารกับเพื่อนน่ะพัทธ์ ก็เลยกลับมาดึกกานต์ขอโทษที่ทำให้พัทธ์ตื่น”
พัทธ์ลุกขึ้นมามองหน้ากานต์ในความมืดเขายังรักกานต์อยู่ แต่ตอนนี้เขายังไม่อยากที่จะพูดอะไรตรงๆ กับกานต์ พัทธ์ยังไม่พร้อม“เที่ยวมาเหนื่อยๆ ก็อาบน้ำก่อนเถอะ”พัทธ์ก้าวเดินไปจากตรงนั้น กานต์รีบคว้าแขนไว้“เดี๋ยว พัทธ์จะไปไหน”พัทธ์เหลียวมองหน้าของคนรัก ดวงตายังมีแต่ความอัดอั้น“ไหนๆ ก็ตื่นแล้ว พัทธ์จะออกไปทำงานต่อข้างนอกสักพัก กานต์นอนเถอะ”เขาก้าวออกไปแล้ว ออกไปโดยไม่มองหน้า กานต์แขนตกไปแนบตัวเพราะรู้ว่าพัทธ์จะไม่เข้ามาในห้องอีกแล้วก็จริงอย่างที่กานต์คิด เมื่อพัทธ์ออกไปนอนคู้ตัวอยู่ที่โซฟาตัวเล็กตลอดคืนนี่เป็นคืนแรก ที่พัทธ์และกานต์นอนแยกจากกัน#แก้คำผิดล่าสุด 9 / 01 / 57-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------พูดคุยกับคนแต่งกรี๊ดดดดด ขุ่นพระ!!
คนแต่งก็แต่งมันส์จนลืม พออ่านจากคอมเมนท์หลายๆคนแล้วเพิ่งนึกได้ว่าโมกข์ลืมป้องกันสอบถามความเห็นนักอ่านทั้งหลายว่า จะให้กลับไปแต่งเพิ่มไหมคะบอกกันได้นะป.ล. ใครทำสารบัญเป็นรบกวนแนะนำหน่อยนะคะ ขอบคุณค่ะ