สวัสดีครับ คนเขียนเองนะครับ
ขอบคุณที่เข้ามาอ่าน มาช่วยคอมเมนท์นะครับ
ไม่ได้เขียนนาน ไม่มีคนตาม กลัวว่าจะไม่มีคนอ่าน แต่โพสต์แล้วมีคนอ่านบ้างก็ใจชื้นครับ
เรื่องนี้มีทั้งหมด 19 ตอนนะครับ เขียนจบแล้ว จะค่อยๆ ทยอยลงนะครับ (คืออยากอ่านคอมเมนท์นั้นแหละ)
ยังไงฝากติดตามกันด้วยนะครับ ใครที่ยังไม่เคยอ่านนิยายเก่าที่เขียนจบแล้ว ถ้าสนใจก็ฝากด้วยนะครับ
+++ หนุ่มโชคร้ายกับนายแชมป์ว่าว +++ :
https://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=5161.0ขอบคุณครับ/ เบน
+++
6น่ารักนะ เด็กผู้ชายกับแมว ถึงจะเป็นไอ้เด็กวินก็เถอะ มันอุ้มน้องแมวตัวหนึ่งขึ้นมาเล่นอยู่เกือบครึ่งนาที ก่อนวางคืนตรงขั้นบันได ลุกขึ้นยืน ขยำถุงอาหารแมวเปล่าใส่ประเป๋า แล้วปัดมือที่เปื้อนกับกางเกงยีนส์
ผมนึกขึ้นได้ เลยหันหลังกลับหมายจะหลบ แต่ไม่ทันซะแล้ว
“พี่ตี้”
ไอ้เด็กวิน เรียกจากด้านหลัง ผมเลยต้องหันไป ทำท่าเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“อ้าว ทำไมมาอยู่ตรงนี้”
ผมแกล้งถาม ไอ้เด็กวินเดินเข้ามาหา เหงื่อออกยิ่งโคตรหล่อ
“ผมกำลังจะไปรอสองคนนั้นที่พารากอน” ที่ถามไม่ตอบ แต่ไพล่ไปพูดเรื่องอื่น “อีกไม่เกินชั่วโมง หนังคงจบ”
ผมไม่แน่ใจว่าเป็นประโยคบอกเล่าเฉยๆ หรือเป็นประโยคเชื้อเชิญ
“แล้ว…”
“อากาศร้อน ไปนั่งร้านกาแฟรอดีกว่า อีกอย่าง เดี๋ยวสองคนนั้นออกมาไม่เจอพี่ ผมก็โดนด่าอีก”
ผมพยักหน้า แล้วมันก็เดินนำย้อนทางที่เดินมา ตอนที่มันเดินผ่านได้กลิ่นน้ำหอมบางๆ ผสมกลิ่นเหงื่อด้วย
ไม่ได้ๆ อย่าไปหลงรูปกายมัน จำคราวที่แล้วไม่ได้เหรอ
ผมเดินตามมันห่างๆ จนมันต้องหยุดรอ และหันมามองเป็นระยะ จนมาถึงร้านกาแฟดังที่ชั้นโรงหนัง
“นั่งตรงนั้นละกัน”
มันชี้ตรงที่นั้งด้านนอกร้าน ตรงไปที่เคาน์เตอร์สั่งเครื่องดื่ม และเดินกลับมาเมื่อผมไม่ได้ตามเข้าไป
“พี่จะเอาอะไรครับ”
“ไม่เป็นไรครับ ผมไม่กินกาแฟ”
ผมบอก คือผมไม่กินกาแฟจริงๆ และที่สำคัญคือสั่งไม่เป็น
“งั้นชาเขียวปั่นไหมครับ ผมเลี้ยงเอง”
“ไม่เป็นไร คุณสั่งเถอะ”
“ให้ผมเลี้ยงเถอะ เราต้องนั่งตรงนี้อีกนาน ตามนั้นนะ”
แล้วมันก็เดินกลับไปที่เคาน์เตอร์ โดยไม่เปิดโอกาสให้ผมได้บอกว่า ผมไม่ชอบกินชาเขียวขมๆ เหมือนกัน
แล้วแต่มึงเหอะ
แต่ผิดคาด ชาเขียวปั่นท็อปด้วยถั่วแดงบดหวานกับวิปครีมอร่อยใช้ได้ ถึงจะไม่ได้ชอบมากมาย แต่ก็กินได้เพลินๆ เข้าใจ ของแพงมันอร่อยแบบนี้นี่เอง มิน่าล่ะ
เรานั่งกันเงียบๆ ต่างคนต่างสนใจกับมือถือในมือตัวเอง (ของผมเครื่องละสามพันเก้า ของมันไอโฟนรุ่นเกือบล่าสุด) ถึงผมจะไม่ค่อยมีสมาธิกับการที่ต้องพยายามบังคับตัวเองไม่ให้แอบมองหน้ามันก็เหอะ ผมกินชาเขียวที่มันเลี้ยงอย่างพอเป็นพิธี เกือบหมดแก้ว ระหว่างที่คุยแชทกับเซน ที่เพิ่งทักเข้ามา
“ที่จริง พี่ไอติม เขาก็ดูนิสัยดีนะ”
ผมเงยหน้าขึ้นมาจากมือถือ พอมีสตินึกขึ้นได้ว่ามันกำลังพูดกับผม ผมก็ยิ้มเยาะในใจ อ้อ แน่ล่ะ มึงเพิ่งรู้เหรอ
“แต่ก็ไม่ดีพออยู่ดี”
ผมว่า
“เอางี้ พี่ลองขายผมหน่อยสิ ว่าเพื่อนพี่มีอะไรดีอีกบ้าง อะไรก็ได้ที่จะทำให้ผมเปลี่ยนใจ”
“เพื่ออะไรเหรอ ไม่จำเป็นปะ” ผมพูดอย่างเหลืออด “ประเด็นมันอยู่ที่เขาชอบกันจริงหรือเปล่า ไม่ได้อยู่ที่คุณชอบหรือไม่ชอบ ต่อให้คุณไม่เห็นด้วย แล้วไง เขาก็ชอบกันอยู่ดี โน่น เขาไปกุมมือ ล้วงควักกันอยู่ในโรงหนังโน่น ผมถามคุณจริง ๆ นะ คุณเป็นห่วงเพื่อน หวังดีกับเพื่อน หรือหวังดีกับตัวเองกันแน่”
พอพูดออกไปแล้วก็ต้องตกใจกับสิ่งที่ตัวเองพูด แต่คนฟังเพียงจ้องผมนิ่งๆ ไม่แสดงอาการใดๆ
“พี่คิดว่าผมชอบเพื่อนตัวเอง ก็เลยอิจฉา”
น้ำเสียงเรียบๆ ไม่แก้ต่าง แต่ดันถามกลับ อะไรของมัน
“ไม่รู้สิครับ ผมคงตอบเรื่องนี้ไม่ได้หรอก ผมไม่ใช่คุณ”
แล้วเราก็กลับไปนั่งเงียบอยู่ในโลกโซเชียลของใครของมันตามเดิม ซึ่งกินเวลาราวกับชั่วนิรันดร์
“ตอนที่เราเจอกัน มันไม่ค่อยโอเคเท่าไหร่ ผมขอโทษด้วยละกันครับ”
เดี๋ยวนะ นี่ผมฝันไปรึเปล่า มันขอโทษผมเหรอ ผมจำได้ว่า ครั้งก่อนที่มันโทรหา มันยังไม่ยอมรับเลยว่ามันได้พูดจาดูถูกอะไรผมไว้บ้าง ครั้งนี้มันพูดคำว่าขอโทษ ถึงจะไม่ได้บอกว่าขอโทษเรื่องอะไรก็เถอะ แต่ โวะ ไม่น่าเชื่อ
ผมเงยหน้าขึ้นสบตา แล้วก็ต้องหลบตา ไม่รู้จะพูดอะไร จังหวะนั้น ไอติมกับเฟม ก็เดินอมยิ้มเข้ามาในร้านพอดี ผมถลึงตาใส่ไอ้เฟมที่ไปแอบอยู่หลังแฟน
มึงโดนแน่ ไอ้สัด
“ไงมึง” เฟมทักเพื่อนที่นั่งหน้านิ่งอยู่ “นี่มึงคุยกะพี่เค้าปะเนี่ย”
เงียบ
“อะไรวะ เออๆ ไม่คุยก็ไม่คุย ยังมีอักหลายวัน พี่ตี้ครับ” น้องหันมาทางผม “พี่ติมบอกผมว่า พี่ตี้อยากไปซาฟารีเวิร์ลดฺใช่ไหมครับ เราไปกันพรุ่งนี้เลยดีไหม ผมก็อยากไปเหมือนกัน”
“เออ พอดี พรุ่งนี้พี่นัดเพื่อนเอาไว้แล้วครับ” ผมตอบน้องอย่างเกรงใจ “เอาเป็นวันอื่นแล้วกันเนอะ”
“เพื่อน? ใครวะ ยัยนุ่นเหรอ”
ไอติมหมายถึงเพื่อนที่เรียนแถวรังสิต ที่ผมกะไปค้างด้วยตอนแรก
“มึงไม่รู้จักหรอก”
“อ๋อ ไอ้คนที่ชื่อเซนอะไรนั่นอะนะ ที่ไอ้เตอร์บอกใช่ไหม มันจีบมึงหรือวะ หรือมึงไปจีบเค้า”
“เสือก”
“มึงไปจีบเค้าชัวร์ เอ้อ เฟมกับวินรู้จักไอ้เซนอะไรนี่ปะ”
ไอติมถาม ผมแอบเหลือบมองเฟมกับไอ้เด็กวิน ก็ต้องรู้จักอยู่แล้วไหม เคยสนิทกันนี่นา พอไปติมทักไปแบบนั้น สองคนก็ทำท่าแปลกๆ เหมือนจะถามกลับว่า ‘ต้องรู้จักด้วยเหรอ’
“เซนไหนเหรอครับ”
“เซนน่าจะเป็นรุ่นพี่เฟม เรียนบริหาร ถ้าจำไม่ผิดน่าจะภาคไฟแนนซ์”
ผมตอบแทนไอติม แล้วรอดูปฏิกิริยา ไอ้เด็กวินทำหน้าตาตื่น อย่างที่เซนเคยบอกไว้ไม่มีผิด สงสัยคงไปทำเขาไว้เยอะ
“อ๋อ… พี่เซน” เฟมตอบเสียงอ่อยๆ “ก็.. ครับ เขาเป็นพี่ที่คณะ แล้วพี่ตี้รู้จักพี่เขาได้ยังไงเหรอครับ”
ผมยิ้มให้น้องแบบแนนโน๊ะแทนคำตอบ
+++
ใช้ชีวิตอยู่ที่สยามจนพลบค่ำ พอกลับถึงคอนโด ผมรีบเข้าห้องตัวเองเพื่อชาร์ตแบทและไลน์ไปรายงานให้เซนฟังแทบจะทันที
ที่ผ่านมา ผมไม่ได้เล่าให้ฟังว่าตัวเองรู้จักกับน้องเฟมและไอ้เด็กวินได้ยังไง หรือกระทั่งเรื่องที่ว่ามาพักอยู่ที่คอนโดสองคนนี้ เพราะไม่เห็นความจำเป็น ทั้งเซนเองก็ไม่เคยพูดหรือถามถึง แต่ผมอยากได้ข้อมูลนี่นา ผมอยากรู้จริงๆ ว่า มันเรื่องอะไรที่ไอ้เด็กนั่นถึงหวงเพื่อนได้เบอร์ใหญ่ขนาดนี้
Tee: เพิ่งไปเจอน้องเฟมกับน้องวินมาล่ะ 555
Zen: อ่า ละเป็นไงมั่ง
Tee: ถามถึงเซนด้วยนะ
Zen: งื้อ ถามถึงเราทำไมอ่า (สติ๊กเกอร์ร้องไห้)
Tee: ถามว่ารู้จักไหมเฉยๆ ครับ แต่เขาก็บอกว่ารู้จักนะ
Zen: (สติ๊กเกอร์แลบลิ้น) กลัวแล้ว
Tee: กลัวไร
Zen: เปล่า 555
ไม่มีอะไร แค่ไม่อยากยุ่งด้วย ตี้ก็ระวังตัวด้วยละกัน
Tee: อ่าว …
ผมกำลังจะพิมพ์ถามต่อ แต่มีเสียงเคาะประตูห้องดังขึ้นมาก่อน ปกติถ้าเป็นไอติม มันไม่เคาะประตูแน่ๆ ผมชั่งใจ แต่ก็ต้องเดินไปเปิดอยู่ดี เพราะนี่ไม่ใช่ห้องของเรา
ไอ้เด็กวินยืนอยู่ตรงหน้าประตู ในชุดที่เหมือนกับไปฟิตเนสเสร็จมาหมาดๆ เสื้อชุ่มจนเห็นหน้าอกชัด แล้วยังกางเกงขาสั้นและต้นขาใหญ่ๆ …
“ผมขอคุยด้วยหน่อยสิ”
ผมสะดุ้งตื่นจากภวังค์ ‘เซ็กซี่’ คือคำที่ผมนึกถึงออกในตอนนั้น มันเดินเข้ามาในห้องแล้วปิดประตู
“เรื่อง?”
“พี่ไปรู้จักกับคนที่ชื่อเซนได้ไง”
“ทำไมเหรอ”
“รู้จักกันนานหรือยัง”
“อ้าว แล้วมันทำไมอะ อ๋อ หรือคุณจะบอกว่าผมไม่ดีพอที่จะเป็นเพื่อนกับเด็กมหาลัยคุณงี้”
ผมกวนตีนกลับ มันถอนหายใจ ทำท่าเหมือนกำลังสะกดอารมณ์
โอ้ย หล่อเชี่ยๆ
“เปล่าครับ คือถ้าเพิ่งรู้จักกัน ผมจะได้เตือนพี่เอาไว้ก่อน แต่ถ้ารู้จักกันนานแล้ว เห็นทีผมคงต้องเตือนเพื่อนผมแทน”
“อย่าคิดว่าคนอื่นเขาจะใจแคบเหมือนคุณทุกคน”
“พี่เองก็อย่าเอาแต่มองโลกในแง่ดีให้มันเกินไป ถ้าพี่ยังรู้จักเพื่อนพี่คนนี้ไม่ดีพอ”
“เพื่อนผมเขาไปทำอะไรให้คุณเหรอ”
“เยอะก็แล้วกัน ผมจะมาเตือนแค่นี้แหละ”
งง จะบอกอะไรก็ไม่บอก แล้วที่ได้ยินมามันคนละเรื่องกันเลยนะเว้ย ผมอยากจะเถียง แต่คิดดูอีกที มันลงทุนเดินเข้ามาบอกผมถึงขนาดนี้แล้วมันจะได้อะไรเหรอ แล้วเรื่องอะไรมันต้องมาแคร์ด้วยว่าผมจะอะไรกับใคร
“แล้วทำไมผมต้องเชื่อคุณด้วย”
“ผมไม่รู้หรอกนะ ว่าพี่สนิทกับมันแค่ไหนยังไง แต่ถ้าผมเป็นพี่ พรุ่งนี้ผมจะไม่ไปไหนต่อไหนกับมันตามลำพัง ถึงจะเป็นผู้ชายด้วยกันหรือแค่ไปเดินเล่นที่สยามก็เถอะ”
อีกฝ่ายพูดโดยไม่หลบสายตา จนผมชักจะคล้อยตามในสิ่งที่มันบอกจริงๆ
“เขาทำอะไรคุณ คุณก็บอกผมมาสิ”
“พี่รีบอาบน้ำแต่งตัวเถอะครับ ผมจองโต๊ะไว้สองทุ่ม”
แทนคำตอบกลับสั่งให้ผมอาบน้ำเฉย แล้วก็เปิดประตูออกจากห้องไป
ความรู้สึกของผมคือ เหมือนหาเรื่องมาคุยด้วยยังไงก็ไม่รู้ แต่พูดไปแล้วจะหาว่าหลงตัวเอง เทวดาอย่างมันจะมาอยากคุยอะไรกันกับคนที่ต่ำชั้นกว่า พอคิดได้ดังนั้นผมหยิบโทรศัพท์เปิดแอพไลน์ แล้วพิมพ์บอกเซน
Tee: แต่ก็น่ากลัวจริงๆ แหละ 555 (สติ๊กเกอร์สยอง)
+++
ผมใช้เวลาคิดหลายนาที ก่อนตัดสินใจเดินไปบอกไอติมกับแฟนมัน ว่าขออยู่ที่คอนโด ไม่ออกไปเที่ยวข้างนอกด้วย แน่นอนไอติมโวยวายใหญ่ และน้องเฟมก็ไม่ยอม
“ผมให้ไอ้วินมันจองโต๊ไว้แล้วนะครับ”
“นั่นสิ มึงไม่ต้องห่วงเลยเว้ย กูเลี้ยงเอง”
ก็นั่นแหละที่ผมห่วง อีกอย่าง ถึงจะอยากเห็นไอ้สกายบาร์อะไรนี่แค่ไหน แต่ก็คิดไว้แล้วว่าคงไม่ใช่ที่สำหรับผม ขืนไปก็คงรู้สึกผิดที่ผิดทาง ไม่จอย
“กูเพลียจริงๆ มึง เมื่อคืนก็ไม่ได้นอน วันนี้ก็ตื่นโคตรเช้า แล้วยังออกไปสยามทั้งวันอีก กูแทบไม่ได้งีบเลย ไม่ไหวจริงๆ ว่ะ มึงไปกันเถอะ”
“แต่มึงยังไม่ได้กินข้าวเลยนะ”
“ใต้คอนโดเป็นมินิมอลมึง มีแม็กซ์แวลู ร้านอาหาร ร้านนั่งอะไรมีหมด กูลงไปซื้อขึ้นมากินเองได้” ผมเถียง “มึงไปกันเหอะนะ พรุ่งนี้กูนัดเซนแต่เช้าด้วย กลัวตื่นสาย กูไปแบบง่อยๆ จะทำพวกมึงกร่อยซะเปล่า”
“นี่พี่ตี้ยังจะไปเที่ยวกับ… เอ่อ พี่เซนอีกเหรอครับ”
นี่ก็อีกคน ทำไมวะ กลัวเซนจะทำมิดีมิร้ายผมเหรอ น่ารักขนาดนั้น ควรกลัวผมมากกว่ามะ แล้วถ้าเขาเกิดชวนผมทำอะไรกันขึ้นมาจริงๆ ก็ไม่แน่นะ
“ครับ”
“แต่…”
“ถ้าพี่เขาไม่อยากไปจริงๆ ก็ให้เขาพักเถอะ”
เสียงบุรุษที่สี่แทรกเข้ามาในวง เจ้าตัวอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ต กางเกงสแล็ค หล่อ หรู แฟชั่นแนวคนลูกคนรวย เตรียมพร้อมจะตะลุยราตรีเต็มที่ ไม่ต่างจากอีกสองหนุ่มเท่าไหร่นัก (แค่หล่อกว่า)
“ขอโทษนะเฟม ไว้พรุ่งนี้นะ พี่ไม่ไหวจริงๆ”
ผมบอกน้อง
“เห้ย ตี้ มึงไปกับพวกกูเถอะ ไม่ดึก กูสัญญา”
ไอติมยังไม่ยอมแพ้
“อย่าห่วงเลยครับพี่ติม” ไอ้เด็กวินบอก “เดี๋ยวผมอยู่เป็นเพื่อนพี่เค้าเอง ผมก็เพลียๆ เหมือนกัน พี่กับไอ้เฟมจะได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันสองต่อสองด้วย”
หืมมมมม อะไรนะ?
ไม่ใช่แค่ผมที่อึ้งกับสิ่งที่ได้ยิน แต่ไอติมกับน้องเฟมก็เหมือนกัน
“มึงก็จะไม่ไปเหรอ”
น้องเฟมถาม
“เบื่อจะเป็น third wheel ให้มึงแล้ว แล้วไอ้สกายบาร์อะไรนี่ก็ไม่ใช่ทางกู ไม่อยากไปแต่แรกแล้วว่ะ โทษที”
ใช่ ผมจำได้ว่ามันเคยบอกผมว่ามันไม่เที่ยว ตอนที่เจอกันครั้งแรก
ไอติมหันมาสบตาผมแล้วยิ้มเจ้าเล่ห์
“งั้น พี่ฝากเพื่อนพี่ไว้กับวินด้วยนะ ช่วยดูให้มันกินข้าวกินปลาด้วย ผอมจะแย่แล้วเนี่ย”
“น้อยๆ หน่อย กูไม่ได้เป็นง่อย” ผมด่า “สรุปว่าตามนี้นะ เที่ยวให้สนุกนะเฟม ขอโทษนะครับ ช่วยดูไอ้ติมมันด้วย อย่าให้มันเมามาก”
“ได้ครับ งั้น พี่ตี้พักผ่อนเยอะๆ นะครับ ไม่ต้องห่วง เดี่ยวเฟมเที่ยวเผื่อ”
ผมยิ้มรับ เอาจริง ไอติมกับน้องเฟมคงดีใจเหอะ ที่ในที่สุดก็ได้อยู่ด้วยกันสองต่อสองซะที ไม่ต้องคอยระมัดระวังคำพูด หรือเกรงใจเพื่อนของอีกฝ่าย ที่ต่างคนก็ต่างไปกันไม่ได้อย่างผมกับไอ้เด็กวิน
เมื่อตกลงได้ตามนั้น ผมเลยเดินกลับไปในห้องพัก ล็อคประตู แล้วล้มตัวลงนอนเหมือนเดิม ในหัวนึกทบทวนบทสนทนาที่เพิ่งเกิดขึ้น และยังงงกับท่าทีของไอ้เด็กวินไม่หาย คืออะไร แต่งหล่อซะขนาดนั้น จู่ๆ ก็เปลี่ยนใจไม่ไป เพียงเพราะผมไม่ไปด้วยแค่นี้เหรอ หรือมันจะเพลียจริงๆ แถมนี่ยังเปิดโอกาสให้สองคนนั้นได้ไปสวีทกันสองต่อสองอีก นี่มันเปลี่ยนใจแล้วหรือไงวะ ไม่ขัดขวางแล้วเหรอ หรือแกล้งทำเป็นดีให้ตายใจ หรือมีแผนชั่ว
แล้วทำไมผมต้องรู้สึกดีใจด้วยเนี่ย
โว้ย
+++
ประมาณสองทุ่มครึ่ง มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นอีกครั้ง ผมลังเลที่จะเปิด แต่ก็นึกขึ้นได้ว่า นี่คอนโดเขา เราอยู่ฟรี
“หิวรึยังครับ ไปหาอะไรกินกันไหม แถวนี้ก็ได้”
เป็นคำชวนสุภาพ เรียบง่าย จากปากเด็กผู้ชายหน้าตาดีที่ตอนนี้เปลี่ยนชุดเป็นเสื้อยืดกับกางเกงวอร์ม เรียบร้อยแล้ว แถมยังสวมแว่นสายตากรอบเงินทรงกลม ทำเอาผมใจสั่น เพราะแพ้คนใส่แว่นเป็นทุนเดิม
เอาวะ ผมตัดสินใจจะสงบศึกชั่วคราว จนกว่าอีกฝ่ายจะทำตัวน่ารังเกียจอีก เลยพยักหน้าตอบรับ
“งั้นเดี๋ยวผมออกไปรอข้างนอกนะครับ”
พอเจ้าตัวเดินกลับไป ผมก็รีบทึ้งกระเป๋าเดินทางของตัวเองทันที
จะใส่อะไรดีวะเนี่ย เสื้อผ้าที่เอามา ดูไม่โอเคไปหมดเมื่อเทียบกับไอ้เด็กวินที่แค่ใส่เสื้อยืดกับกางเกงวอร์มก็หล่อทะลุเพดานคอนโดไปแล้ว
ว่าแต่ กินแถวนี้ใช่ไหมวะ เพื่อป้องกันการเข้าร้านแพงๆ ผมเลยเลือกใส่เสื้อยืด กางเกงขาสั้นออกไป
ไอ้เด็กวินนั่งรออยู่ที่โซฟาหน้าทีวี
“ไปชุดนี้ได้ไหม”
ผมถาม
“ครับ”
ได้ผล ผมค่อยโล่งใจ
“พี่อยากกินอะไร”
มันถาม เมื่อลิฟต์พาลงมาถึงล็อบบี้คอนโดพอดี
“อะไรก็ได้”
“ถ้าเดินย้อนไปอีกหน่อย จะเป็นย่านหอพักนิสิต มีอาหารขายเยอะ เดินไหวไหมครับ”
แหม ถามตัวเองก่อนเถอะ ตั้งแต่มาอยู่นี่ เคยเดินบ้างหรือยัง
“เอาสิ”
ผมเดินตามมันไปเรื่อยๆ พยายามกะจังหวะเดินให้สม่ำเสมอ ไม่ให้ห่างจนน่าเกลียด พอถึงย่านของกิน มันก็หันมาพูดด้วย
“หมูจุ่มไหมพี่ หรือจะกินง่ายๆ พวกบะหมี่ อาหารตามสั่ง”
“อะไรก็ได้ แล้วแต่คุณเลย”
“พี่กินที่อยากกินเถอะ ไม่ต้องเกรงใจผม”
“คุณอยากกินหมูจุ่มใช่ไหม งั้นกินหมูจุ่มก็ได้”
“นั่งนานนะ พี่แน่ใจนะ”
ผมถอนหายใจ
“งั้นกินอาหารตามสั่งก็ได้”
“หมูจุ่มละกัน ถ้าพี่โอเค”
เอ๊า
มันเดินนำไปยังโต๊ะที่ว่าง แล้วหยิบรายการอาหารส่งให้ ผมรับมาแล้วหยิบปากกากำลังจะติ๊กสั่ง
“เออพี่ ผมไม่กินเครื่องในนะ”
“แล้ว?”
“พี่จะได้ไม่สั่งไง”
โอเค ผมเลื่อนไปดูรายการอาหารอย่างอื่น ปลาหมึกกับกุ้ง คือไม่พลาด
“เอ่อ ผมแพ้อาหารทะเล”
ปากกาที่กำลังจะจรด หยุดกึกอยู่แค่นั้น ผมวางกระดาษลงแล้วจ้องหน้า
“แต่ถ้าพี่จะสั่งก็สั่งได้นะ ถ้าแค่อยู่ในหม้อเดียวกัน คงไม่เป็นไรมั้ง”
“คุณจะสั่งอะไรก็สั่งมาเหอะ” ผมบอกอย่างรำคาญ “ผมกินได้หมดแหละ”
สรุปก็ได้พวกหมู เนื้อ ลูกชิ้น ปลาหมึก และผัก ไอ้เด็กวินให้เหตุผลว่า ปลาหมึกถ้าไม่กิน คงไม่แพ้ ไม่เหมือนกุ้งที่แค่อยู่ในน้ำซุปก็ทำให้ผื่นขึ้น หายใจไม่ออกได้แล้ว
ระหว่างที่รอให้หม้อเดือด ไม่รู้จะทำอะไร ก็มองไปรอบๆ ร้านเพื่อฆ่าเวลามันอึดอัดแปลกๆ เหมือนกันนะ กับการมากินข้าวกับคนแปลกหน้าเนี่ย และยิ่งเป็นเมนูที่ต้องแชร์กันอย่างหมูจุ่มนี่ด้วย
“มากินร้านนี้บ่อยไหม”
ผมลองชวนคุยดู
“ไม่ครับ นี่ครั้งแรก”
อ่อ คงงั้นแหละ ร้านข้างทางนี่เนอะ
“ตักก่อนเลย”
ผมบอกเมื่อหม้อเดือดได้ที่แล้ว มันบอกขอบคุณทั้งที่ไม่จำเป็นสักนิด
“ชอบกินหมูจุ่มเหรอ”
“ไม่ได้ชอบขนาดนั้นครับ แต่ก็กินได้”
ผมงงกับตอบ แต่ช่างแม่งเถอะ ผมตักทานบ้างเพราะเริ่มหิว รสชาติน้ำซุปโอเคเลย แต่น้ำจิ้มยังอ่อนไปนิด
“ทำไมอยู่ๆ ถึงใจดี ปล่อยให้เขาไปกันสองต่อสอง”
มันเงยหน้าขึ้นมาจากชาม
“ผมก็ไม่เคยไปยุ่งอะไรนี่ครับ แค่ไม่เห็นด้วย”
เหรอออออ
“แต่ทุกทีไม่เห็นพลาด…”
“ผมว่าผมให้เหตุผลไปแล้วนะครับ ว่าทำไม” มันสวนกลับทันทีโดยไม่รอให้ผมพูดจนจบประโยค “เราอย่าพูดถึงเรื่องนี้กันดีกว่าครับ ผมยังไม่อยากเถียงกับพี่ตอนนี้”
จ้า ไม่เสือกก็ได้จ้า (เสียงแมท ภีรนีย์)
ก็ดี ผมก็ตั้งใจไว้อย่างนั้นตั้งแต่แรกอยู่แล้ว จะตั้งใจกินเงียบๆ อย่างเดียวก็แล้วกัน เพราะเอาจริงๆ นะ นี่เป็นครั้งแรกเลยก็ได้มั้ง ที่ได้นั่งกินข้าวสองต่อสองกับคนหน้าตาดี ขาว ตี๋ ถูกสเป๊คขนาดนี้ เสียแต่นิสัยใจคอที่คงไปกันไม่ได้ และมันไม่ได้สนใจผมก็แค่นั้นเอง
แต่ยังไงก็ขอมโนแป้บ
“แล้วพี่อะ ทำไมถึงไม่ไป”
อะ ไหนบอกจะไม่คุยเรื่องนี้
“ไม่อะ ไม่ใช่แนว” ผมบอก “เหนื่อยด้วย นี่ว่าก็พูดไปแล้วนะ”
ไอ้เด็กวินยิ้มที่มุมปาก
“โอเคไหมพี่”
“โอเคอะไร”
“หมูจุ่มนี่ไง”
“ก็ดี แต่ร้านที่เชียงใหม่น้ำจิ้มอร่อยกว่า” พูดไปแล้วก็นึกขึ้นได้ว่าเสียมารยาท “แต่… ร้านนี้ก็อร่อยดี ของสดดี”
ผมพยายามแก้ตัว
“อร่อยกว่านี้อีกเหรอ”
“ก็นิดนึง”
“โอเค ไว้ไปคราวหน้าจะไปชิม พี่พาไปด้วยละกัน”
ประโยคสุดท้าย ทำเอาผมต้องเงยหน้าขึ้นมาจากถ้วยหมูจุ่มเพื่อเมคชัวร์ แต่คนพูดกลับยุ่งอยู่กับหม้อหมูจุ่มและถ้วยน้ำจิ้มของตัวเอง ไม่แสดงอาการผิดปกติใดๆ
มันคงพูดไปงั้นเอง อารมณ์หมาหยอกไก่ แต่ผมนี่คิดไปไกลแล้ว และมันก็คงรู้ตัวด้วยว่าได้ผล
“ว่าแต่ พี่เปลี่ยนใจหรือยังเรื่องนัดเจอไอ้พี่เซน”
อ้อ อย่างนี้นี่เอง+++