บทที่ 22
เมื่อน้องปูนอยากขอโทษ4 โมง 49 นาที
ไอ้พี่บุ๊คนะไอ้พี่บุ๊ค ไอ้พี่บ้าอำนาจ ไอ้พี่เผด็จการ ไอ้คนใจร้าย!!
สงสัยมั้ยว่าทำไมผมต้องมานั่งด่ามันอย่างนี้
ก็จะไม่ให้ผมด่ามันในใจได้ยังไงครับ! มันใช้อำนาจสั่งให้ผมอยู่เฝ้ากระติ๊กน้ำแข็งให้ แล้วมันก็หายไปเลย! เหอะ ยังมีหน้าโทร.มาถามผมด้วยว่าผมยังรออยู่มั้ย พอผมบอกไปว่ารอ พี่มันก็บอกว่าลืมไปว่าต้องกลับมา แล้วให้ผมเดินกลับคณะพร้อมกระติกน้ำไปเลย
สลัดผัก!!
พรุ่งนี้ผมจะเอาไปฟ้องพี่จิ๊บให้เข็ดเลย!
ล้อเล่นครับ ผมไม่ทำอะไรแบบนั้นหรอก ขืนฟ้องไปพี่บุ๊คมันตามมาเล่นผมทีหลังแน่ ไว้ใจพี่มันไม่ได้หรอกครับ
แม่งงง แล้วคณะกับสนามแข่งนี่มันใกล้กันมากเลยอ่ะ ผมต้องเดินฝ่าแดดร้อนๆ เป็นระยะทางเกือบๆ หนึ่งกิโลเมตร! อย่างนี้ไม่ให้ผมเคืองพี่มันได้ไงครับ
ผมยกกระติกขึ้นทั้งสองมึง (มึงนะมึงไอพี่บุ๊ค!) กระติกก็อย่างหนัก แล้วกูต้องถือคนเดียว เมื่อกี้ผมเพิ่งไล่โจมมันกลับไปด่อนด้วยครับ เพราะคิดว่าพี่บุ๊คมันจะมาแต่มันก็หักหลังผม
ขอด่าอีกทีเถอะ ไอ้พี่บุ๊ค ไอ้คนชั่วร้าย ไอ้…
“ปูน”
ผมหันไปตามเสียงเรียก ไม่ใช่ใครอื่นครับ เอื้อยืนอยู่ข้างหน้าในสภาพเหงื่อโทรมกาย พร้อมกับชุดกีฬาที่อีกฝ่ายเพิ่งแข่งมา ไม่ใช่ฟุตบอลหรอก อันนั้นมันตกรอบไปนานล่ะครับ (โธ่ น่าสงสาร) แต่ที่มันแข่งวันนี้เป็นกีฬาชนิดหนึ่งที่เล่นเดียวก็ได้ คู่ก็ได้ มีคำว่าเทนนิสอยู่ในชื่อ
อ่าฮะ ปิงปองครับ
ก็เทเบิ้ลเทนนิสไง
(ฮิ้วววววว มึงไปเล่นที่อื่นไป)
ผมก็เพิ่งรู้ว่านอกจากฟุตบอลที่รู้ว่ามันชอบแล้วมันยังลงปิงปองอีกหนึ่งอย่าง แต่ผมไม่ได้ไปดูหรอกครับ มันบอกว่าไม่อยากให้เห็นตอนมันแพ้เหมือนฟุตบอลที่แข่งกับวิศวะ แต่สุดท้ายเอื้อก็มาถึงรอบชิงชนะเลิศจนได้ ส่วนผลเป็นยังไงผมก็ไม่รู้ครับ มันแข่งตรงกับเพื่อนๆ ผมแช่งบาสฯ พอดี ผมก็ต้องเลือกเชียร์เพื่อนๆ ดิ
“แข่งเสร็จนานแล้วเหรอ”
“สักพักแล้ว เอามาเดี๋ยวช่วยถือ” นักกีฬาที่เนื้อตัวยังเต็มไปด้วยเหงื่อเข้ามาแย่งกระติกน้ำในมือผมไป อย่าคิดว่าผมจะแล้งน้ำใจปล่อยให้คนที่กำลังเหนื่อยถือนะครับ ผมก็ยังเป็นคนดีอยู่นะเออ
“ไม่ต้องถือเอง” แต่พอผมยื้อกลับมา เอื้อก็ไม่ยอมปล่อยเลย “โอเค งั้นถือคนละครึ่ง”
กลายเป็นว่าเราสองคนถือกระติกเดียวกันไปแล้ว
แม้จะผ่านไปหนึ่งสัปดาห์แล้ว แต่เราสองคนก็ยังไม่ก้าวไปไหน เราเจอกันน้อยลงไปมาก เอื้อยุ่งกับงานกีฬาของมัน ผมก็ยุ่งกับงานคณะผมและยังจะต้องสรุปผลงานแฟร์ที่เพิ่งจัดไป เรียกว่าเป็นช่วงที่เราหัวหมุนพอสมควร การไม่ได้เจอหันหนึ่งอาทิตย์ไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกโหยหาอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย ผมอยู่ได้ ใช้ชีวิตปกติ แต่สิ่งที่ผมว่ามันแปลกไปคือ ความรู้สึกโหวงๆ ที่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง
หรือที่โจมบอกว่า ‘ผมดูเหงาๆ’
ลองคิดถึงว่าถ้าเรามีสัตว์เลี้ยงสักตัวแล้วบังเอิญว่ามันออกไปเล่นนอกบ้านนานหน่อย เราก็คงต้องเหงาเป็นธรรมดา
ส่วนเอื้อ...บอกไม่ได้เต็มปากว่าอีกฝ่ายเหมือนเดิม แต่ก็บอกไม่ได้เหมือนกันว่ามันเปลี่ยนไป เอื้อก็ยังคงเป็นเอื้อ เป็นคนที่โด่งดัง เป็นคนที่ถูกพูดถึง เป็นเดือนมหาวิทยาลัยที่ต้องดูดีในสายตาใครๆ เป็นที่หลงไหลของสาวๆ หลายคน
‘ช่วงนี้พี่เอื้อไม่ค่อยยิ้มเลยนะ’ ฟ้าตั้งคำถามกับผม ตอนแรกผมก็ไม่สังเกตหรอก อยู่กับผมมันก็ปกติ ยิ้มละมุนส่งให้เป็นประจำ และยังคงกวนตีนบ้างบางครั้ง
‘มึงว่างั้นเหรอวะ’
‘เออดิ ตั้งแต่วันนั้น…’ วันที่เรามีเรื่องกับพี่น้ำ ‘พี่เอื้อก็ไม่ค่อยยิ้มเลย ยกเว้นตอนอยู่กับมึงอ่ะ’
นั่นทำให้ผมรู้ว่าเอื้อเปลี่ยนไป รอยยิ้มที่มักจะใช้บ่อยๆ ถูกสงวนเอาไว้เพื่อให้ผมเพียงคนเดียว ถ้าถามว่าผมดีใจหรือเปล่า...บอกเลยครับว่าเฉยๆ
โอเค ยอมรับก็ได้ว่าดีใจลึกๆ แต่ผมตกลงกบตัวเองเอาไว้ว่าผมไม่ควรจะหวั่นไหวกับการกระทำของอีกฝ่ายง่ายๆ เพราะถ้าเสียใจขึ้นมามันไม่คุ้มกับความใจง่ายของผมเลย
นี่เพิ่งผ่านไปแค่หนึ่งอาทิตย์ ยังบอกอะไรไม่ได้หรอกครับ
“สรุปว่าผลการแข่งเป็นยังไงบ้างอ่ะ ไม่เห็นบอกเลย” ผมถามระหว่างที่เดินมาเรื่อยๆ เอื้อมันเงียบมาตลอดเลยครับ ผมเดาเอาไว้ว่ามันคงชนะ แต่ท่าทางจ๋อยๆ แบบนี้อาจจะไม่ก็ได้
“เพิ่งนึกได้เหรอว่าต้องถาม”
“อ้าว ก็คิดว่าอยากจะบอกเอง” เห็นป่ะว่ามันกวนตีนเหมือนเดิม ไม่เปลี่ยนไปเลยสักนิด แต่ก็ดี ผมชอบอะไรที่เป็นธรรมชาติ
“พี่ก็รอให้ปูนถามอยู่” แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปอีกอย่างคือตั้งแต่วันนั้นเอื้อไม่เคยพูดคำหยาบกับผมเลยครับ
“ที่จริงกลับไปพูดแบบเดิมก็ได้นะ”
“อะไร แบบพูด มึง-กู เหรอ” มันเลิกคิ้ว ก่อนส่ายหน้า “ไม่อ่ะ พี่กำลังจีบปูนอยู่นะ ต้องสร้างความประทับใจกันหน่อย แต่ถ้าปูนไม่ชินจะพูดแบบเดิมพี่ก็โอเคนะ”
ใครจะไปทำได้ลงล่ะ ถ้าเอื้อไม่พูดได้ ผมก็ทำได้เหมือนกัน แต่ให้เรียก ‘พี่เอื้อ’ เลยก็ไม่ไหวครับ กระดากปากจริงๆ
“แล้วสรุปผลเป็นไง” ผมว่าเรานอกเรียกกันไปพอควรเลยนะ อยู่กับมันแล้วผมก็แบบนี้ทุกที ชอบออกทะเลไปเรื่อยเฉื่อย
“ลองเดา” ไม่เคยหรอกจะบอกเลย
“ดูจากสภาพแล้ว…” ผมแกล้งทำเป็นมองมันขึ้นๆ ลงๆ อยากกวนตีนมันบ้างครับ “แพ้แบบผ้าไม่ได้รีด”
“อะไร”
“แพ้ยับ”
เอาล่ะ ถือว่าเมื่อกี้ผมไม่ได้พูดอะไรแล้วกัน ไม่ต้องทำหน้าเอือมกันขนาดนั้นก็ได้ โดยเฉพาะมึงไอ้เอื้อ! ไม่ขำก็ไม่ต้องทำหน้าแบบนั้นได้ป่ะวะ กูเสียเซลฟ์นะเว้ย
“พี่จะถือว่าไม่ได้ยิน” อยากจะกราบขอบพระคุณงามๆ “อะไรทำให้คิดว่าพี่แพ้”
“ก็...หน้าตาดูไม่สดชื่น ไม่ค่อยดีใจ แล้วก็ไม่ค่อยพูดด้วย” ผมตอบไปถามที่เห็นให้อีกฝ่ายยกยิ้มมุมปาก เหอะ คิดว่าทำแบบนี้แล้วเหรอมากเหรอ ไม่ได้ขี้เล็บพี่ปูนเลยสักนิด “ก็ตอบมาสักทีดิ”
“ที่หน้าตาดูไม่สดชื่น ไม่ค่อยดีใจ แล้วก็ไม่ค่อยพูดเพราะพี่กำลังเสียใจอยู่...”
อ่า...แพ้จริงๆ สินะ
ผมกำลังเตรียมสรรหาคำพูดมาปลอบใจอีกฝ่าย เอายังไงดีล่ะ เป็นประโยคเบสิคแบบ ‘ไม่เป็นไรนะ เดี๋ยวปีหน้าเอาใหม่’ หรือ ‘ช่างมันเถอะน่า ไม่ต้องคิดมากหรอก’ หรือจะเป็น...
“ไม่ได้เสียใจที่แพ้ แต่เสียใจที่ปูนไม่ได้เห็นตอนพี่ชนะ” รอยยิ้มดีใจถูกส่งมาให้จากอีกคน เป็นยิ้มที่ทำให้ผมอยากจะเผลอยิ้มตาม “พี่ชนะนะครับปูน”
ไม่น่าเชื่อ...ที่มีคนเคยบอกว่าเอื้อเก่งทุกอย่างไม่คิดว่าจะเป็นจริง
“จะไม่พูดอะไรหน่อยเหรอ หรือว่าช็อกตายไปแล้ว”
ที่ชมไปเมื่อกี้กูขอเอาคืน!
“ดีใจด้วย”
“ถ้าไม่เต็มใจก็ไม่ต้องพูดหรอก” แหมะ ทำเสียงและท่าทีน้อยใจเราอีก ก็ใครล่ะที่มันพูกจากวนประสาทเมื่อกี้อ่ะ
“ขอโทษๆ ก็เมื่อกี้กวนตีนใส่ทำไมล่ะ”
อ้าว งอนกูไปแล้วครับ พูดด้วยก็ไม่พูดด้วย แถมยังมองไปทางอื่นอีก แล้วคิดว่าคนอย่างผมจะง้อ? ไม่มีทางหรอกครับ ผมไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย เรื่องอะไรจะต้องไปง้อมันล่ะ
“เอื้อ”
“...” เงียบ
“เอื้อ” ลองเรียกให้ดังกว่าเก่า แต่ก็ยังเงียบ “เออ ไม่อยากหันมาก็ไม่ต้องหัน”
“...”
“แค่อยากจะให้ฟังว่า...ยินดีด้วยนะครับพี่เอื้อ”
“เหอะ อย่างนี้ค่อยหน้ารักหน่อย” ไม่ต้องมายิ้มแล้วลูบหัวเลยเว้ย บอกกี่ครั้งแล้วว่าไม่ใช่หมา
แล้วทำไมสุดท้ายผมต้องไปง้อมันด้วยวะ!
♣♣♣♣♣
วันถัดมา
ร้านพี่เติม
3 ทุ่ม 30 นาที
ผมมาสายเข้าเต็มๆ เลยครับ พี่ๆ นัดกันสามทุ่มแต่ผมดันมาเลทไปครึ่งชั่วโมง นั่นไม่ใช่เพราะอะไรอื่น...รถผมมันเกเร คาดว่าครั้งนี้มันคงไม่รอดแล้วล่ะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยไปดูมันอีกที แต่ก็เป็นบุญของผมที่ได้นั่งรถคันใหญ่แอร์เย็นฉ่ำ
ครับ ถูกต้องแล้ว เอื้อเป็นคนมาส่งผมครับ
“ถ้าเลิกแล้วก็โทร.มาหาพี่นะ อย่าดื่มจนเมาไม่ได้สติ ระวังตัว แยู่ให้ไอ้สามกับพี่บุ๊คเอาไว้ แล้วก็…”
“พอแล้ว ผมไม่ใช่เด็กสามขวบนะครับคุณ”
“ถ้าสามขวบจริงๆ จะอุ้มกลับห้องเลย” มันยักคิ้วมาให้ กวนตีนแล้วครับ หลานเขามีตามียายนะจะมาอุ้มกลับห้องเลยได้ไง ต้องไปขอก่อนดิ
เอ่อะๆ ไม่ใช่ประเด็นแล้ว
“กลับไปเลย แล้วไม่ต้องรอก็ได้ เดี๋ยวให้พี่สามไปส่ง”
“บอกว่าให้โทร.ก็โทร.ดิครับ ทำไมชอบดื้อจังวะ เดี๋ยวจับจูบเลย”
“ทะลึ่ง” ผมถลึงตาใส่มัน ก่อนจะบอกลาอีกครั้งแล้วหันหลังเดินออกมาเลย คุยกับมันนานเดี๋ยวได้พาผมกลับห้องจนได้ มันไม่ค่อยอยากให้ผมมาเท่าไหร่ แต่เพราะเห็นว่าพี่ๆ สายรหัสเป็นคนเลี้ยงจะไม่ไปก็น่าเกลียด
ผมเดินเข้าข้างใน ร้านพี่เติมยังคงครึกครื้นเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง โต๊ะที่พี่ๆ นั่งอยู่ด้านในสุดเลยครับ ไม่รู้ว่าทำไมพวกเขาถึงชอบจังนั่งมุมๆ ห้องเนี่ย ผมเข้าไปสวัสดีพี่ๆ ทีละคน ก่อนจะเดินไปนั่งข้างพี่สาม ในที่นี้ผมมาสายสุดอ่ะ พี่บุ๊คมันมองมาตาเขียวเลยครับ อย่าโหดใส่น้องดิ น้องก็ไม่ได้ตั้งใจจริงๆ นะ
“ไร้มารยาทจริงๆ ให้คนอื่นเขารอ” ผมชะงักมือแล้วเงยหน้าขึ้นมอคนพูด
เชี่ยยยย กูลืมไปได้ไงว่าพี่น้ำเป็นน้องรหัสพี่กอล์ฟ!!
“ทำไมไปว่าน้องอย่างนั้นล่ะ” พี่กอล์ฟแฟนพี่จิ๊บต่อว่าพี่น้ำ แต่เธอหาได้สนใจไม่ กลับหันมองไปทางอื่น
ผมพลาด! พลาดมากๆ พลาดโคตรๆ เลยที่ไม่ได้เอะใจเรื่องพี่น้ำแม้แต่นิดเดียว ถ้าผมเปลี่ยนใจกลับหอตอนนี้ทันมั้ยครับ ผมไม่อยากนั่งให้พี่น้ำจิกกันทางสายตา วาจา และท่าทางแบบนี้! แค่เรื่องวันนั้นเราก็ไม่อยากจะมองหน้ากันแล้ว แต่ดูเหมือนพี่ๆ แต่ละคนยังไม่รู้เรื่องผมกับพี่น้ำนะ หรือว่ารู้แล้วแต่ทำเป็นเงียบไม่สนใจวะ
“ขอโทษครับ รถเสีย”
“อ้าว แล้วมึงมาไงอ่ะ” พี่สามถามขึ้นขณะที่ผมกำลังนั่งลงข้างๆ
“นั่งเพื่อนมาส่งครับ”
“ไม่โทร.หากูวะจะได้ไปรับมา กูก็เพิ่งมาเมื่อกี้นี้เหมือนกัน”
“ใครมันจะไปรู้อ่ะ ผมไม่ได้มีญาณหยั่งรู้ไปทุกเรื่องนะ”
“กวนตีนไอ้ปูน” อูยยย เสียงเข้มมาเชียว
ผมส่งยิ้มแห้งๆ ให้ พี่สามมันถลึงตาใส่ผมใหญ่ แต่ไม่กล้าทำอะไรเพราะพีจิ๊บคุมเชิงอยู่ สักพักก็มีคนส่งแก้วมาให้ หือ? ทำไมแก้วผมเป็นน้ำส้มอ่ะ
“พี่บุ๊คส่งให้ผิดแก้วป่ะ”
“ไม่ผิด มึงแดกๆ ไปไม่ต้องถามมาก แล้วมานั่งชงให้พวกกูด้วยโทษฐานมาช้า”
ผมรับแก้วมาอย่างงงๆ อะไรทำไมผมถึงได้น้ำส้มคนเดียวอ่ะ ทีพี่น้ำ พี่จี๊บ และไอ้มาร์ค (ปีหนึ่งสายพี่กอล์ฟ) ยังได้ดื่มแอลกอฮอล์เลย แต่ไม่เป็นอะไรครับ ไอ้พี่บุ๊คมันให้ผมเป็นคนชง ถ้าอย่างนั้นผมก็มีโอกาสที่จะแอบเติมเหล้าได้
“แต่กูคิดอีกทีไอ้สามมึงชงไปดีกว่าว่ะ เดี่ยวเชี่ยปูนมันแอบแดกเหล้า”
น้องเหล้าจ๋า อย่าเพิ่งจากพี่ไปปปป แล้วแม่งจะไม่อะไรเลยถ้าไม่ใช่แบล็ค นั่นแบล็คนะเว้ยย แบล็คที่ต่อให้อยากเหล้าแค่ไหนผมก็ไม่มีทางสั่งแน่นอน
“พี่บุ๊ค! ทำไมทำกับน้องแบบนี้อ่ะ ผมทำอะไรผิด”
พี่บุ๊คไม่ใช่คนตอบครับ เป็นไอ้พี่สามที่เข้ามาคว้าคอผมไว้แล้วลากให้ไปนั่งตรงกลางระหว่างมันกับพี่บุ๊ค ทำไมกูต้องโดนพวกมึงประกบด้วยวะพี่ แล้วทำไมต้องใกล้กูขนาดนั้น กูอึดอัดนะเว้ย
“ความผิดของมึงยิ่งใหญ่นัก” พี่มันพูด เล่นเอาผมงงเป็นไก่ตาแตกเลย กูไปทำอะไรผิดไว้วะ เท่าที่จำได้ผมก็เป็นน้องที่น่ารักมาตลอด
“ความผิดอะไรอ่ะพี่”
“ความผิดโทษฐานที่มึงมีความลับกับพวกกู” ความลับ? ความลับอะไร ผมไม่เคยมี “แนะ...แนะ ทำเอ๋ออีก”
“แล้วผมทำไรอ่ะ ผมปิดบังไร”
“ก็เรื่องมึงกับไอ้เอื้อไง ปล่อยให้กูโง่เชียร์ไอ้ว่านอยู่ตั้งนาน” พี่มันผลักหัวผมซ้ำไปซ้ำมา พอเถอะครับพี่กูมึน “ทำไรไม่ปรึกษากูเลยนะ แล้วไหนจะเรื่องน้ำอีก ดูมองมึงดีอย่างกับจะเข้ามาแหกอก”
ผมเหล่มองพี่น้ำ เธอมองผมจริงๆ ด้วยอย่างที่พี่สามบอกด้วยครับ ถึงว่าพี่มันลากผมมานั่งตรงนี้ เพราะที่ว่างอีกทีคือข้างพี่น้ำแล้ว
ไม่เอาอ่ะ ผมยังไม่อยากตาย
“แล้วมันถึงขนาดต้องให้ผมกินน้ำส้มเลยเหรอครับพี่”
“เปล่าหรอก ไม่เกี่ยวอะไร” อ้าว
“แล้วทำไม…”
“มึงก็พูดอ้อมโลกไปอยู่ได้ไอ้สาม บอกมันไปเลยดิว่าว่าที่ผัวสั่งมา”
ว่าที่ผัว? กูไปมีว่าที่ผัวตอนไหน!!
“ทำหน้าเอ๋อกว่าเดิมอีก ก็ไอ้เอื้อไงเป็นคนสั่งอ่ะ”
หน้าผมร้อนขึ้นมาทันที โชคดีที่ร้านพี่เติมไม่ได้สว่างมากนักเลยไม่มีใครเห็นว่าตอนนี้ผมหน้าแดงขนาดไหน “ไม่ใช่พี่ มั่วแล้ว”
“มั่วเชี่ยไร หรือจะบอกว่ามึงเป็นผัวไอ้เอื้อ” ไอ้พี่บุ๊ค มึงพูดได้หน้าตาเฉยมาก
“นั่นก็ไม่ใช่เว้ยพี่ เรายังไม่ได้เป็นไรกัน”
“เดี๋ยวก็เป็นเองแหละ เอื้อมันอ่อยเก่งจะได้ ไม่นานมึงจะตกหลุมรักมันแน่”
มึงบอกมาเลยไอ้พี่บุ๊ค มันจ่ายมึงเท่าไหร่ มึงถึงเชียร์มันออกนอกหน้าขนาดนี้!!
“ไงมึง”
ผมหันไปมองตามเสียงเรียกจากน้องเล็กสุดของสายพี่กอล์ฟ มันชื่อมาร์คครับ อยู่สาขาสัตวศาตร์ เลยไม่ได้เจอกันเท่าไหร่ มันไม่ค่อยถูกกับไอ้กล้าด้วยแหละ เคยไปเหล่หญิงคนเดียวกันไว้ สุดท้ายก็แห้วทั้งคู่ เพราะสาวเจ้าสนใจหนุ่มวิศวะรูปงาม
“เออ” ไม่รู้จะพูดอะไรอ่ะ
“ยังหยิ่งเหมือนเดิมนะ”
“กูไม่ได้หยิ่งเว้ย” แต่กูไม่รู้จะคุยอะไรไง มึงกับกูก็ไม่ได้สนิทกันป่ะ
“เฮ้ยไอ้มาร์คครับ อย่ามาหาเรื่องน้องกูนะ เดี๋ยวให้พี่บุ๊คสั่งซ่อม” นี่ก็ขู่ป็นอยู่อย่างเดียวเลยหรือไงครับพี่สาม
“ไม่เป็นอะไรไอ้มาร์ค ถ้าบุ๊คสั่งซ่อมจริงๆ เดี๋ยวกูจัดการมันให้” คนที่พูดคือพี่ปีสาม ชื่อพี่ตั๋ง พี่เขาสนิทกับพี่บุ๊คเพราะอยู่ชมรมกีฬาคณะเหมือนกัน แถมยังออกกินเหล้าด้วยกันบ่อย
“โอ้โหกูกลัวมึงมากครับ”
“ลองมั้ยล่ะ”
“เอาล่ะๆ พวกมึงๆ ทั้งหลายนี่นะ ไม่เถียงกันสักครั้งมันจะตายมั้ย!”
แม่ก็คือแม่ครับ ถ้าแม่ขึ้นแล้วห้ามขัด เดี๋ยวแม่จะไม่ลง
พวกเรานั่งคุยกันไปเรื่อยๆ เป็นเรื่องส่นวตัวบ้าง เรื่องเรียนบ้าง เรื่องงานบ้าง เม้าอาจารย์ ไม่ก็พูดถึงเรื่องที่กำลังเป็นที่สนใจกันอยู่ตอนนี้ ไม่เว้ยแม้แต่เรื่องเหตุการณ์บ้านเมือง เวลาจะเข้าเรื่องเครียดๆ พี่ๆ เขาก็จะดึงไปสายฮาอีกตามเคย เอาเป็นว่าสาระอะไรไม่ต้องพูดถึงเน้นมันอย่างเดียว
นั่งไปสักพักผมก็ขอตัวไปเข้าห้องน้ำ ร้านพี่เติมนี่ยิ่งดึกคนยิ่งเยอะจริงๆ ครับ ยิ่งเป็นคืนวันศุกร์แบบนี้ด้วย นักท่องราตรีทั้งหลายก็ต่างออกมาหาสีสันให้ชีวิต ร้านนี้ถือเป็นร้านดังประจำมอ พี่เจ้าของร้านเป็นกันเอง เครื่องดื่มราคาย่อมเยา อาหารก็รสชาติดี ดนตรีไพเราะ
ด้วยคนที่เยอะจนอัดแน่นเป็นปลากระป๋องทำให้ผมไม่ได้ขยับไปไหนสักที โอ๊ย! แล้วคืนนี้ผมจะได้ไปเข้าห้องน้ำกับเขาป่ะวะ
ปึก!
“เอ๊ะ ขอโทษครับๆ” ผมรีบขอโทษคนที่ตัวเองเพิ่งเดินชนไปทันที อึดอัดโคตรๆ หายใจไม่ออกแล้วเว้ย!
“ไม่เป็นอะไรครับ” อีกฝ่ายส่งยิ้มมาให้ ผมก็เลยยิ้มตอบกลับไป แต่รออยู่นานเขาก็ยังไม่เดินไปทางไหนสักที
“ขอทางด้วยครับ”
“ไปไหนอ่ะ” กูไปไหนแล้วเกี่ยวอะไรกับมึงวะครับ
“เอ่อ ไปห้องน้ำครับ”
“ให้ไปส่งมั้ย ดูเหมือนเดินไม่ค่อยไหวนะ เมาแล้วหรือเปล่า” กูไม่ได้เมาเว้ย! ยังไม่ได้แตะเหล้าสักหยดเลย
“เปล่าครับ ผมไม่ได้เมา”
“คนเมาชอบบอกว่าตัวเองไม่ได้เมานะ” ก็กูไม่ได้เมาจริงๆ เนี่ย มึงจะเอายังไง
“ขอทางด้วยครับ” ผมย้ำอีกครั้งแล้วเป็นฝ่ายเดินเลี่ยงมันออกมาเองเลย ไอ้หน้าม่อเอ้ย
หมับ!
“ถ้าไม่ให้ไปล่ะ”
ว๊ากกก อย่ามายุ่งกับกูววววววว
ผมพยายามสลัดมือที่จับให้หลุด แต่มือมันคงอาบด้วยกาวตาช้าง ไม่ว่าจะทำยังไงก็ไม่ยอมปล่อยเลยครับ
“ปล่อยเหอะครับ!”
“อย่าดุสิ พี่แค่อยากรู้จักเฉยๆ”
“แต่ผมไม่อยากรู้จักพี่ครับ” บอกออกไปตรงๆ เนี่ยแหละจะได้เลิกยุ่งกันสักที แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะดื้อด้านไม่เบา
“หยิ่งซะด้วย” ไม่ตอบแม่งล่ะ ขี้เกียจจะพูดด้วยแล้ว “แค่ไปนั่งคุยกับพี่แปบเดียวเอง”
“พี่ครับผมไม่ได้ชอบผู้ชาย” ผมบอกพี่เขาด้วยเสียงที่ดังขึ้นกว่าเดิม ตอนนี้อารมณ์โมโหกูมาล่ะ ถ้ามึงยังเซ้าซี้ไม่เลิกกูต่อยจริงๆ อ่ะ
“แล้วทีกับไอ้เอื้ออ่ะ น้องกิ๊กกับมันไม่ใช่เหรอ” มาเสือกเรื่องอะไรของกูวะ
“พี่ปล่อย!”
“ไปกับพี่เถอะครับ เร็วๆ”
ได้!!! ไม่ฟังกูใช่มั้ย อย่าหาว่ากูโหดนะเว้ย!
พลั่ก!
เปล่านะ นั่นไม่ใช่ผม!
“ก็เขาบอกอยู่ว่าไม่ไปยังจะเซ้าซี้อยู่ได้นะมึงอ่ะ” ผมลดมือที่กำลังจะง้างขึ้นเพื่อจะต่อยไอ้หมอนั่นลงแล้วหันไปข้างหลัง แต่ทว่ามือที่พาดที่ตรงไหนทำให้ผมไม่สามารถทำได้ “แล้วก็รู้นี่ว่าเขากิ๊กกับใคร ยังจะยุ่งกับเขาอีกหรือไง”
พี่ว่าน...โคตรบังเอิญเลย
“มึงเสือกอะไรวะ!” มันลุกขึ้นมาก่อนจะเดินเข้ามาหา แต่พี่ว่านก็เข้ามาบังผมไว้จากผู้ชายคนนั้น เขาขยับเข้าไปใกล้มัน ก่อนจะตบบ่าอีกฝ่ายเบาๆ “เชี่ยไรของมึงเนี่ย!”
“มึงเห็นนั่นป่ะ” พี่ว่านชี้นิ้วไปที่โต๊ะใหญ่สุดทางด้านซ้าย คนในโต๊ะนั้นก็มองมาทางนี้เช่นกัน “ถ้าไม่อยากโดนตีนเด็กวิดวะก็อย่ามายุ่งกับพวกกู”
“คิดว่ากูกลัว?”
“ลองหรือเปล่าล่ะ” พี่ว่านยิ้มร้ายๆ แบบที่ผมไม่เคยเห็น ทำหน้าหน้าพี่เขาโหดขึ้นอีกเท่าตัว ผมแอบเห็นว่าไอ้ผู้ชายคนนั้นตัวสั่นขึ้นมาเลยครับ
“ฝากไว้ก่อนเถอะมึง” มันปัดมือพี่ว่านออกแล้วลุกขึ้นอย่างลุกลี้ลุกลน ก่อนจะเดินแทรกฝูงชนหายไป
พี่ว่านหันกลับมาส่งยิ้มให้ผม “ไปห้องน้ำใช่มั้ย งั้นไปด้วยกันเลย”
เพื่อความปลอดภัยของตัวเอง ผมเลยพยักหน้ารับ แล้วเดินตามพี่ว่านไป
…
..
.
ผมออกมาจากห้องน้ำก็ไม่เห็นพี่ว่านแล้วครับ แต่พอเดินออกไปอีกหน่อยซึ่งเป็นประตูเปิดสู่ทางหลังร้านก็เห็นพี่ว่านยืนสูบบุหรี่อยู่
“ขอบคุณนะครับพี่ว่านที่ช่วยผมไว้” ผมเดินเข้าไปบอก พี่ว่านรีบหันไปดับบุหรี่ทันที
“ไม่เป็นอะไรๆ แล้วนี่มากับเพื่อนเหรอ”
“เปล่าครับ มากับสายรหัส แล้วพี่ว่านล่ะครับ”
“พี่มาเลี้ยงทีมฟุตบอลอ่ะ ก็โต๊ะนั้นแหละ” เป็นโชคของไอ้ผู้ชายคนนั้นจริงๆ ที่เลือกจะเดินหนีไป “คราวหลังระวังตัวหน่อยนะปูน ปูนคงยังไม่รู้ตัวว่าตั้งแต่มีเรื่องปูนกับเอื้อแล้วพวกเก้งกวางมันเล็งปูนเยอะขึ้นขนาดไหน”
ผมพยักหน้ารับแล้วพึมพำบอกขอบคุณพี่ว่านไปอีกครั้ง ผมก้ไม่รู้ตัวจริงๆ นั่นแหละ ผมก็ใช้ชีวิตปกติของผมไปเรื่อย ไม่ได้สังเกตอะไรทั้งนั้น
“ปูน”
“ครับ?”
“ปูนกับเอื้อ...เป็นอะไรกันแน่” พี่ว่านเงยหน้าสบตาผม ก่อนจะถามคำถามที่เจาะจงความสัมพันธ์ไปอีกขั้น “เป็นแฟนกันแล้วใช่มั้ย”
“...เปล่าครับ…”
“ถ้าอย่างนั้น ตอนนี้พี่ก็ยังมีความหวังใช่หรือเปล่า”
“...” ผมไม่ได้ชอบพี่ว่านแบบนั้น สำหรับผมพี่ว่านให้ความรู้สึกคล้ายพี่สาม เป็นเพียงพี่ชายอีกคนของผม แต่แววตาที่เป็นประกายของพี่ว่านทำให้ผมพูดอะไรไม่ออก
“พี่ยังจีบปูนได้หรือเปล่า พี่ยังมีความหวังอยู่ใช่มั้ย”
“...”
“อย่าเงียบสิปูน บอกพี่มาเถอะ” ดวงตาที่เคยเป็นประกายได้เพียงแค่ครู่หม่นแสงลง “พี่อยากได้ยินจากปากปูนว่าตอนนี้พี่ควรทำยังไง”
“...ขอโทษนะครับพี่ว่าน”
“ปูนจะ...ขอโทษพี่ทำไม” พี่ว่าเลิกคิ้วถาม แต่ดวงตาเศร้า “ก็ไหนว่ายังไม่ได้เป็นแฟนมัน?”
“ถึงผมจะไม่ได้เป็นแฟนเอื้อ แต่ผมก็ไม่ได้คิดกับพี่ว่านแบบนั้นครับ” ผมสบตาพี่เขา เพื่อถ่ายทอดว่าสิ่งที่ผมบอกคือความจริงทั้งหมด “สำหรับผมพี่ว่านเป็นเหมือนพี่สาม พี่บุ๊ค เป็นเหมือนพี่ชายอีกคน…”
“แต่พี่ไม่ได้อยากเป็นพี่ชายปูน…”
“ขอโทษครับ แต่ไม่ว่า…”
“ลองดูก่อนได้หรือเปล่าปูน แค่ลองดู…” พี่ว่านเดินเข้าใกล้ผมเรื่อยๆ และเรื่อยๆ จนเราสองคนอยู่ห่างกันไม่เท่าไหร่ “รู้สึกอะไรหรือเปล่าปูน ตื่นเต้นแบบที่พี่รู้สึกมั้ย”
ไม่เลยสักนิด...ผมไม่รู้สึกอะไรเลยแม้ว่าเราจะใกล้กันมาก กลับกัน ถ้าคนข้างหน้าผมเป็นเอื้อก็คงไม่เป็นแบบนี้ นั่นเพียงพอแล้วที่จะบ่งบอกว่าผมไม่ได้คิดกับพี่ว่านในทำนองนั้น
“ไม่ครับ…”
“ถ้าเราเจอกันเร็วกว่านี้...พี่คงเป็นคนที่โชคดีที่สุด”
ไม่เกี่ยวเลยว่าเราจะเจอกันตอนไหน เมื่อเราตัดสินใจจะชอบใครสักคน มันมีอะไรอีกหลายอย่างที่สำคัญกว่าเรื่องเวลา…
อย่างเช่น หัวใจของเรา...
ผมเหลือบตามองมืออุ่นจัดที่ค่อยๆ วางลงบนแก้มของผมอย่างบรรจง มีพี่ว่านหยาบกร้านเหมือนคนทำงานหนัก ต่างจากือที่แสนจะนุ่มและเรียบเนียนของใครบางคน
“ให้พี่พยายามก่อนได้หรือเปล่าปูน อย่าเพิ่งรีบปิดกั้นตัวเองได้มั้ย”
ผมว่าผมปล่อยให้ตัวเองอยู่ใกล้พี่ว่านเกินไปแล้ว แต่ผมก็ไม่กล้าพอที่จะดันตัวออกห่าง แววตาของพี่ว่านสะท้อนแต่ความเศร้าเสียใจ ผมเห็นมันราวกับเป็นเพียงลูกแก้วบางเบาที่เมื่อโดนกระทบเพียงนิดหน่อยจะแตกสลาย
“ถึงพี่จะรู้ว่าอาจจะไม่ได้ผลเหรอครับ”
“ไม่แน่หรอก...โลกนี้มันไม่มีอะไรแน่นอน วันหนึ่งปูนอาจจะหันมามองพี่ก็ได้ใครจะรู้”
“หรือวันหนึ่งพี่ว่านจะพบว่าคนนั้นของพี่ว่านไม่ใช่ผมก็ได้ใช่มั้ยครับ”
“นี่จะบอกให้เลิกหวังมันทุกทางเลยใช่มั้ย”
“ผมแค่อยากให้พี่ว่านต้องเสียเวลาเปล่า”
พี่ว่านลดมือลงแล้วก้าวถอนยหลังไปสองก้าว ก่อนที่ร่างสูงจะส่งยิ้มจริงใจให้ผม “พี่เชื่อวว่าการที่เรารอใครสักคนมันไม่ใช่การเสียเวลาเปล่าหรอก”
“แต่…”
“อย่าเพิ่งบอกให้พี่ยอมแพ้ตอนนี้เลยนะปูน”
“...”
“และคำขอโทษของปูนพี่ก็ไม่อยากได้ยิน”
พี่ว่านจากไปแล้ว เหลือแต่ผมที่ไม่รู้จะทำยังไงต่อไปดี สายตาที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดของพี่ว่านยังลอยวนเวียนอยู่ในหัวโดยที่ผมไม่อาจจะลบมันออกไปได้ เป็นครั้งแรกที่ผมตั้งคำถามกับตัวเองว่า ถ้าผมเจอพี่ว่านก่อนมันจะเป็นอย่างไร ถ้าคนที่เข้าใกล้ผมตั้งแต่ตอนแรกคือพี่ว่านเรื่องราวมันจะไปทางไหน ผมยังจะหวั่นไหวกับเอื้ออยู่หรือไม่
ผมไม่สามารถย้อนเวลากลับไปได้ ทำได้เพียงแค่ยอมรับในสิ่งที่มันเป็นไป
ผมทำได้แค่ยอมรับว่าวันนี้ผมได้ใจร้ายต่อผู้ชายคนหนึ่งไป
และถึงอยากจะขอโทษเขาเท่าไหร่ เขาก็คงไม่อยากจะรับฟัง
===============================================================
===============================================
พี่ว่านนนนนน คนดีของน้องงง
คิดถึงทุกคนมากค่ะ ช่วงนี้ห่างหายไปขอให้รู้ว่ากำลังเจอมรสุมชีวิต
มิดเทมอนั่นเองงงงง
นี่มาอัพตอนตีสี่แบบนี้ไม่ใช่ตื่นเช้านะคะ ยังไม่ได้นอนเลย 5555
ขอบคุณนะคะที่ติดตาม รักทุกคนเลยน้าา