แข่งครั้งที่ 38
เรื่องร้ายๆ ผ่านไปได้ด้วยดี เรื่องรักก็รุ่ง แต่ติดอยู่อย่างเดียวคือเรื่องเรียนเพราะช่วงนี้ต้องปั่นงานส่งอาจารย์ก่อนสอบกลางภาค เวลานอนแทบไม่มี อย่าถามว่าได้คุยกับแฟนบ้างหรือเปล่า ต่างคนต่างอยู่ในโลกส่วนตัว มุมใครมุมมัน เหมือนเช่นตอนนี้
ผมยึดโต๊ะหน้าทีวีเป็นฐานที่มั่นใช้ในการทำงานออกแบบร้านกาแฟ กระดาษแผ่นแล้วแผ่นเล่าถูกขยำทิ้งบนพื้นจนเกลื่อนกลาดเพราะวาดมาไม่รู้กี่รอบก็ไม่ได้ดั่งใจ หัวสมองตื้อไปหมด คิดอะไรไม่ออก หิวก็หิว มีอะไรวุ่นวายมากกว่านี้อีกไหมชีวิต
ดวงตาคมเหลือบมองคนที่นั่งอยู่บนโต๊ะทำงานแล้วได้แต่อมยิ้ม สัปดาห์นี้พี่ทาวน์ยอมย้ายสำมโนครัวมาอยู่ด้วยกันชั่วคราวด้วยเหตุผลกากๆ ของคนติดแฟน ‘ก็มันคิดถึง’ ตอนแรกเกือบโดนปฏิเสธ แต่เพราะผมโดนสาวน้อยที่คณะจีบแถมยังชวนไปกินบิงซูต่อหน้าต่อตาเลยเปลี่ยนใจ ถึงเขาจะไม่พูดตรงๆ แต่ก็แสดงออกชัดเจนว่ารู้สึกยังไง หึงน่ารักชะมัด
ความคิดทุกอย่างจบลงเมื่อผมเลื่อนสายตากลับมาเจอกระดาษว่างเปล่าแผ่นใหม่ตรงหน้า ความสุขกลืนหายไปพร้อมกับสติที่แตกจนเผลอร้องโวยวายเสียงดัง ผลที่ได้คือก้อนกลมๆ ถูกขว้างเข้าเต็มหัวโดยฝีมือคนร่วมห้อง
“ทาวน์ขว้างกระดาษใส่ผมทำไมเนี่ย”
ผมลูบหัวป้อยๆ แล้วมองพี่ทาวน์ด้วยใบหน้าสงสัย เขาไม่ได้ตอบอะไรกลับแต่ลุกขึ้นแล้วก้าวมาทางนี้ จะโดยเขกกะโหลกที่ทำเสียงดังปะวะเนี่ย รบกวนการอ่านหนังสือไปแบบนั้น
“แหกปากทำไม”
จบคำถามเขาก็ทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาด้านหลังของผม ใบหน้าหล่อโน้มต่ำลงมาจนสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นๆ ตรงกลางศีรษะ ถ้าหากเงยขึ้นไปจะเกิดอะไรขึ้นนะ แม่ง... ขโมยจูบสักทีดีไหม อ่อยถึงที่ขนาดนี้
“คิดงานไม่ออกครับ”
บอกเขาเสียงอ้อนก่อนจะถือวิสาสะวางหัวซบลงบนตักนิ่ม ช้อนตามองใบหน้าเรียบเฉยของคนด้านบนอย่างขอกำลังใจ แต่ได้รับกลับมาแค่การครางรับเบาๆ ในลำคอ
“พยายาม เดี๋ยวก็คิดออก กูจะไปอ่านหนังสือต่อแล้ว”
พี่ทาวน์ตบแก้มกันเบาๆ เพื่อเป็นสัญญาณให้เลิกเกาะแกะสักที แต่ผมที่ยังอยากงอแงใส่เลยดื้อไม่ยอมขยับไปไหนแถมยังซุกจมูกถูกับต้นขาขาวที่โผล่พ้นกางเกงออกมา หอมกลิ่นสบู่ฉิบหาย... อยากดมทั้งตัวเลยเว้ย
“ทาวน์ยังไม่ให้กำลังใจผมเลยนะ”
แอบจุ๊บต้นขานุ่มไปหนึ่งครั้งก่อนจะโดนแจกมะเหงกลงกลางหัวเต็มๆ พี่ทาวน์สะบัดตัวแล้วลุกหนี มองผมด้วยสายตาดุ นั่นเขินหรือโกรธแยกไม่ออกเลย
“เรื่องเยอะ”
เขาพึมพำด่าเสร็จก็เดินกลับไปที่โต๊ะแล้วเปิดหนังสืออ่านต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น พี่ทาวน์เวอร์ชั่นใส่แว่นตาโคตรน่าหลงใหล ผมเคยแอบถ่ายรูปเอาไว้เยอะแยะแต่เจ้าตัวไม่รู้ วันไหนไม่ได้อยู่ด้วยกันเวลาคิดถึงก็เอามานอนดู จูบหน้าจอโทรศัพท์บ้าง บางครั้งมีอารมณ์ก็แทบเลีย (ขอร้องอย่าด่าแรง น้องเจ็ทเป็นคนบอบบาง)
ผมเท้าคางมองพี่ทาวน์อยู่นับสิบนาทีเพราะยังคิดงานไม่ออก พอรู้ตัวอีกทีก็ตอนที่โดนสายตาดุจ้องมาทำให้ต้องรีบกุลีกุจอหาดินสอจับมันขีดๆ เขียนๆ จากตอนแรกที่โดนก้อนกระดาษปาหัว ต่อไปอาจจะเป็นกระป๋องน้ำอัดลมบนโต๊ะของพี่ทาวน์ก็ได้
ในตอนที่กำลังจะขยำกระดาษทิ้งอีกครั้งก็ได้ยินเสียงฝีเท้าใกล้เข้ามา ดวงตาคมเหลือบเห็นสลิปเปอร์ลายหมีคุมะที่จิณณ์ซื้อให้หยุดอยู่ไม่ไกล ผมหดคอโดยอัตโนมัติเพราะคิดว่าพี่ทาวน์คงรำคาญ ก็นายภาคินเล่นเดี๋ยวฟึดฟัด เหลาดินสอ ลุกไปเข้าห้องน้ำ เดินวนรอบห้อง แอบสูบบุหรี่คลายเครียด ล้วนแต่ทำลายสมาธิคนอื่นทั้งนั้น
“เจ็ท”
เสียงทุ้มต่ำเรียกชื่อทำให้ผมยิ่งหดคอจนคางแทบชิดหน้าอก มือทั้งสองข้างยกขึ้นบังหัวเพื่อลดการกระแทก แต่ผ่านไปเกือบหนึ่งนาทีกลับไม่มีอะไรเกิดขึ้น หรือจริงๆ แล้วพี่ทาวน์แค่จะมาบอกว่าหิว
“เงยหน้าขึ้นมาหน่อย”
แรงสะกิดที่ไหล่ทำให้ผมสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วยอมเงยหน้าขึ้นเพื่อที่จะพบว่าพี่ทาวน์อยู่ใกล้กันมาแค่ไหน พูดง่ายๆ คือตาไม่สามารถโพกัสได้ มันเบลอไปหมด และคงได้กลิ่นบุหรี่ที่แอบไปสูบที่ระเบียง (นานๆ ครั้งคงไม่เป็นไร)
“ทาวน์มีอะ... อุบ”
คำถามทั้งหมดถูกหยุดด้วยริมฝีปากอุ่นที่ทาบทับลงมาก่อนที่ลิ้นชื้นจะแทรกผ่านรอยแยกเพื่อเกี่ยวตวัด ดูดดุน ไล่ต้อนหาความหวาน เราสองคนแลกเปลี่ยนน้ำลายอยู่ครู่ใหญ่เมื่อเริ่มหายใจติดขัดจึงผละออกจากกัน
“อยากได้นักไม่ใช่หรือไง”
พี่ทาวน์พูดเสียงหอบแล้วยกหลังมือเช็ดคราบน้ำใสๆ ตรงมุมปาก ใบหน้าหล่อแดงระเรื่อจนอยากจะดึงลงมาจูบอีกสักรอบ ถ้ากลายเป็นคนโลภมากก็อย่าโทษกันเลย มีแฟนซึนก็แบบนี้ ปากอย่างการกระทำอย่างแต่ฟินไปยันโลกหน้าจริงๆ คอนเฟิร์ม
“ทาวน์...”
ผมครางชื่อเขาได้แค่นั้นเพราะหัวใจเต้นโครมครามอย่างหนัก ไอ้อาการหลงแฟนมันผุดเพิ่มขึ้นยิ่งกว่าดอกเห็ดในป่าเวลาฝนตกซะอีก ไม่ต้องคิดว่านายภาคินจะนอกใจเมื่อไหร่ เพราะมันเป็นไปไม่ได้ ตกบ่วงพี่ทาวน์แบบยอมถวายชีวิตเลย
“ให้เวลาทำงานอีกสองชั่วโมง เริ่มหิวแล้ว”
พี่ทาวน์พูดทิ้งท้ายไว้ก่อนจะเดินกลับไปอ่านหนังสือในมุมของเขาตามเดิมโดยที่ยังไม่เลิกหน้าแดง ผมหลับตาปี๋แล้วคลี่ยิ้มกว้าง กำลังใจทะลุปรอทเลยเว้ย อีกไม่นานคงได้แบบบ้านในฝันมาครอบครองแน่ๆ
“รับทราบครับ!”
ตอบรับเสียงดังฟังชัดก่อนเอื้อมหยิบกระดาษใบใหม่ขึ้นมาทำงาน แต่ต้องชะงักกึกเมื่อได้ยินเสียงพึมพำเบาๆ ลอยมาจากแฟน
“แปรงฟันด้วย เหม็นบุหรี่”
พี่ทาวน์ยักคิ้วกวนให้กันแล้วหันกลับไปอ่านหนังสือต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นก่อนหน้านี้
“อ่า...”
จะต้องรู้สึกยังไงดีวะเนี่ย เขาแค่เตือนเรื่องกลิ่นปากแต่ผมดันคิดถึงตอนจูบ ตายแน่ๆ ไอ้หมาเจ็ท มึงจะหมกมุ่นกับเรื่องพี่ทาวน์จนงานไม่เดินไม่ได้นะ!
เวลาล่วงเลยเข้าสู่บ่ายสามทำให้ผมต้องวางมือจากงานเพราะเสียงท้องร้อง ลืมไปสนิทว่าพี่ทาวน์ให้เวลาทำงานแค่สองชั่วโมง แต่เป็นเขาเองที่ไม่ทักท้วงอะไรยังคงก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสืออย่างมีความอดทน นับถือจริงๆ เพราะแบบนี้ไงถึงได้ทั้งหลงและรักมาก
ผมลุกขึ้นยืนแล้วบิดตัวเพื่อไล่ความเมื่อยก่อนจะลากสังขารเปลี้ยๆ ไปหาว่าที่หมอ โน้มตัวลงกอดรอบคอแล้วฝังจมูกลงบนแก้มขาวอย่างแผ่วเบา พี่ทาวน์ขมวดคิ้วเล็กน้อยแต่ไม่ได้ปัดป้อง ถือว่ายังไม่ถึงขั้นรำคาญ
“ขอโทษนะครับ ที่ทำงานเกินเวลา”
ผมบอกเสียงอ่อย วางคางลงบนไหล่กว้างก่อนจะขโมยหอมแก้มเขา พี่ทาวน์ส่งเสียงจิ๊จ๊ะแต่ก็ไม่ได้ปัดป้องตามสไตล์คนซึนแห่งปี
“อืม จะแต๊ะอั๋งอีกนานไหม หิวข้าว”
พี่ทาวน์หรี่ตามองก่อนจะปิดหนังสือเล่มหนาลง ผมคลี่ยิ้มกว้างแล้วกอดจูบลงข้างขมับหนักๆ
“โอ๋ ปะๆ เดี๋ยวป๋าพาไปกินข้าวนะคะ”
ผมบอกเสียงทะเล้น เกลี่ยแก้มขาวเล่นพลางอมยิ้มเมื่อเห็นใบหน้าของพี่ทาวน์บูดบึ้งอยากกับไปกินรังแตนที่ไหนมา
“แดกตีนกูก่อนไหม”
เสียงดุๆ มาพร้อมกับแรงฟาดที่แขนทำให้ผมต้องรีบผละออกอย่างรวดเร็ว ยืนซี๊ดปากอยู่อีกมุมหนึ่งของห้อง คนบ้าอะไรมือหนักได้โล่
“โหดอีกแล้วแฟน”
ผมลูบแขนตัวเองป้อยๆ เบะปากใส่อย่างกับเด็กน้อยแถมด้วย
“มึงกวนตีนก่อนเอง”
พี่ทาวน์ลุกขึ้นยืนเต็มความสูงแล้วแยกเขี้ยวใส่ แต่ผมกลับมองว่ามันน่ารักมากกว่าน่ากลัวเลยอดไม่ได้ที่จะแกล้งเขาต่ออีกนิดหน่อย
“กวนใจต่างหาก”
พร้อมกับส่งมินิฮาร์ทไปให้ก่อนที่หมอนอิงใบเขื่องจะลอยผ่าอากาศมาดังเฟี้ยว ยืนยันว่ามันโคตรแรง โอย ดีนะที่หลบทัน ไม่อย่างนั้นคงได้ลงไปนอนแผ่บนพื้นอย่างแน่นอน
“เจ็ท...”
เสียงแข็งแล้วเว้ย ผมควรเลิกกวนตีนกวนใจแฟนสักที ถ้ามากกว่านี้อาจจะตายได้
“ครับๆ ไม่แกล้งแล้ว ไปหาอะไรกินกันดีกว่าเนอะ”
“เออ”
มื้อเที่ยงควบเย็นของเราจบลงที่ปิ้งย่างมังกรเขียวอ้วนตุ๊ต๊ะเนื่องจากหิวจนไส้แทบขาด ต่อด้วยไอศกรีมสเวนเซ่นชุดเอิร์ธเควก เดินย่อยอาหารด้วยการซื้อของเข้าบ้านเพราะตู้เย็นโล่งจนพี่ทาวน์บอกว่าเสียบปลั๊กไว้ก็เปลืองไฟเปล่าๆ พรุ่งนี้ก็เลยกะว่าจะทำอาหารกินตั้งแต่เช้ายันค่ำ เอาให้เบื่อฝีมือผมกันไปเลย
ผมทำตัวเป็นแฟนที่ดีด้วยการขันอาสาเข็นรถแล้วให้พี่ทาวน์เป็นคนเลือกว่าอยากกินเมนูอะไร แต่สุดท้ายก็ต้องสลับตำแหน่งกันเพื่อความสะดวกในการหยิบจับของที่ต้องการ เขาบอกว่าจะให้คนที่ไม่เคยทำอาหารเลือกวัตถุดิบคงเป็นไปไม่ได้ ก็จริง เมื่อก่อนจิณณ์ก็จะเป็นคนจัดการเองทุกอย่างเหมือนกัน แต่เดี๋ยวนี้มันย้ายไปอยู่กับผัว แค่กๆ แฟนแล้ว ก็เลยห่างจากหน้าที่นี้ไป
“อยากกินอะไรครับ”
ผมถามเมื่อเราหยุดตรงที่แผนกของสด ไม่ว่าจะเป็นผักหรือเนื้อ อาหารทะเล รวมไปถึงผลไม้ พี่ทาวน์ไม่ตอบกลับในทันทีแต่เอื้อมมือหยิบลูกพีชขึ้นมาดูแล้ววางลง ทำแบบนี้อยู่สองสามรอบก่อนส่ายหัวดิกเป็นเชิงปฏิเสธ
“กูคิดไม่ออก อยากทำอะไรก็ทำ”
พี่ทาวน์ไหวไหล่อย่างคนไม่เรื่องมาก แล้วเดินหนีไปทางตู่แช่เย็นที่มีบรรดาโยเกิร์ตและนมหลากหลายรสชาติอยู่ในนั้น ผมยิ้มให้กับแผ่นหลังกว้างพลางคิดถึงเรื่องอกุศล อยากทำอะไรก็ทำเหรอ หึหึ เข้าทางล่ะ
“งั้นกลับคอนโดครับ”
ทำเสียงตัวปกติ ใช้น้ำเสียงเรียบนิ่งจะได้ดูโปรฯ พี่ทาวน์คงจับไม่ได้ว่าลึกๆ มีบางอย่างแอบแฝงอยู่
“ไหนว่าจะซื้อของ”
พี่ทาวน์เอียงคอมองด้วยความสงสัย คิ้วสวยขมวดจนเกือบเป็นปม มือที่ถือถังโยเกิร์ตไซส์ยักษ์หยุดชะงัก ผมคลี่ยิ้มหวานตอบแล้วโน้มตัวลงเพื่อกระซิบข้างใบหู
“ก็อยากกินทาวน์”
ผมแกล้งพ่นลมหายใจใส่เบาๆ ก่อนผละออกมายิ้มกรุ้มกริ่มใส่โดยไม่สนว่าจะโดนคนอื่นมอง เพราะตอนนี้ไม่มีอะไรต้องปิดบัง มีแฟนคลับคู่เจ็ททาวน์คอยสนับสนุนเป็นอย่างดี ส่วนคนที่เกลียดพวกเราก็ช่างเจสอย่าเอามาคิดให้บั่นทอนจิตใจ
“เดี๋ยวกูเอาถังโยเกิร์ตปาหัวแม่ง”
พี่ทาวน์กัดฟันกรอดแล้วยกถังโยเกิร์ตขึ้นอย่างที่พูด ไอ้คนกากอย่างผมเลยสละรถเข็นแล้วถอยหลังหนีไปไกลหลายก้าว ส่งยิ้มแห้งให้แล้วก้มหัวเป็นเชิงขอโทษ จะไม่เล่นแบบนี้แล้วค่ะแฟน ~
“ล้อเล่นจ้า งั้นมื้อเช้าเอาเป็นหมี่ซั่วน้ำหมูสับแล้วกันเนอะ”
ผมพาเขาเปลี่ยนเรื่องเผื่อจะช่วยให้ตัวเองรอดพ้นจากความผิดในครั้งนี้ พี่ทาวน์ส่ายหัวอย่างปลงๆ ก่อนพยักหน้ารับโดยไม่ทักท้วงอะไร
“ติดใจมาจากภูเก็ตว่างั้น”
ที่เขาถามแบบนั้นก็เพราะ ‘หมี่ซั่ว’ คืออาหารพื้นเมืองของจังหวัดภูเก็ต น้อยคนนักที่จะรู้จัก แต่ก๊วนเรามีพี่แฮมนักแดก แค่กๆ ซะอย่าง ไม่มีพลาดแน่นอน รสชาติคล้ายๆ แกงจืดบ้านเรานั่นล่ะ แต่ผมว่ามันอร่อยกว่านะ
“ก็มันอร่อย”
ฉีกยิ้มแป้นเหมือนเด็กห้าขวบที่เจอของกินถูกใจ
“สู้กูไม่ได้หรอก”
หือ ผมได้ยินพี่ทาวน์พึมพำอะไรสักอย่าง แต่ไม่ค่อยแน่ใจว่าใช่หรือเปล่า หูหาหื่นตลอดเลยกู
“ห๊ะ ทาวน์ว่าอะไรนะครับ”
“อยากกินข้าวต้มแห้ง”
พี่ทาวน์บอกเสียงดังฟังชัดก่อนจะหมุนตัวแล้ววางถังโยเกิร์ตลงในรถเข็น ออกเดินลิ่วๆ กลับไปยังทางอาหารสดโดยไม่สนว่าผมตามไปหรือเปล่า แค่บอกว่าอยากกินข้าวต้มแห้งทำไมต้องหูแดงด้วยวะคนเรา แปลกจริงๆ
“อ้อ ได้ๆ งั้นไว้เป็นมื้อเย็นเนอะ แล้วมื้อเที่ยงกินอะไรกันดี”
ผมรีบเข็นรถเร็วๆ เพื่อตามพี่ทาวน์ให้ทันแล้วพูดเสียงเจื้อยแจ้วเรื่องเมนูอาหารต่อ เขาพยักหน้ารับรู้ก่อนจะช่วยคืดสิ่งที่อยากกิน
“กะเพราหมูสับกับไข่เจียว”
เมนูอาหารจากปากแฟนทำให้ผมหลุดหัวเราะเบาๆ เพิ่งกินไปเมื่อวานเอง พรุ่งนี้ก็จะกินอีกเหรอ แต่ไม่เป็นไร ตามใจพี่ทาวน์อยู่แล้ว
“โอเคครับผม!”
พวกเรากลับมานั่งเข้ามุมอย่างเคยหลังจากอาบน้ำกันเรียบร้อย เสียงเปิดหนังสือกับเสียงดินสอขีดเขียนช่างคล้องจองกันจนต้องเผลอยิ้มออกมา ถึงจะไม่ได้พูดคุยแต่อุ่นใจเมื่อรู้ว่ามีใครบางคนอยู่ใกล้ๆ
แบบบ้านหลังน้อยของผมดำเนินไปได้เกือบห้าสิบเปอร์เซ็นโดยไม่ขยำกระดาษทิ้งอีกเลย ส่วนพี่ทาวน์อ่านชีททบทวนเป็นรอบที่สอง ตอนที่กำลังจะหันไปถามเขาว่าจะเอานมอุ่นสักแก้วไหมเพราะตอนนี้ก็ปาเข้าไปเกือบสี่ทุ่มแล้วคงหิวเอาเรื่อง แต่กลับต้องชะงักเมื่อได้ยินเรียกเข้าของโทรศัพท์
Rrrrr
ชื่อหน้าจอที่แสดงทำให้ผมขมวดคิ้วยุ่ง ดึกปานนี้แล้วพี่ฟามีธุระอะไร หรือมีปัญหาเรื่องไอ้ฟาร์มไม่ยอมกลับบ้าน (สองคนนั้นลงเอยกันเรียบร้อย ขึ้นเตียงก่อนเป็นแฟนซะอีก ไม่ใช่ไอ้ฟาร์มเป็นคนรุกนะ พี่ฟาโน่น อ่อยแถมยังเริ่มก่อน แจ่มไหมล่ะ)
“ครับพี่ฟา”
ผมกรอกเสียงตามปกติลงไปแล้ววางดินสอในมืออีกข้างลงถือเป็นการพักไปในตัว เหลือบมองพี่ทาวน์เล็กน้อยก็พบว่ารายนั้นยังอยู่ท่าเดิม ขยันสมเป็นว่าที่หมอจริงๆ
‘เปิดประตูหน่อย’
“ห๊ะ อะไรนะครับ”
ผมมัวแต่ภูมิใจในตัวแฟนเลยไม่ทันได้ยินสิ่งที่ปลายสายพูด อะไรเปิดๆ วะ งง
‘กูอยู่หน้าห้องมึง เปิดประตูที’
คราวนี้พี่ฟาแน่นชัดทุกคำจนผมเกือบจะขว้างโทรศัพท์ทิ้ง เสียงดังทะลุออกมาด้านนอกจนพี่ทาวน์ถึงกับหันมาเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม
“เฮ้ย พี่มาทำอะไรเนี่ย”
ผมไม่ได้ตอบพี่ทาวน์แต่ส่งยิ้มให้แทนแล้วถามพี่ฟากลับ มีเหตุจำเป็นอะไรถึงต้องบุกห้องคนอื่นยามวิกาลแบบนี้ด้วยวะ ไม่คิดว่าจะเข้านอนแล้วหรือไง
‘ติวดิ ไอ้แฮมก็มาด้วยกัน’
ได้ยินเสียงทักทายจากพี่แฮมแว่วเข้ามาเป็นการยืนยัน ทุกอย่างพังหมด อุตส่าห์แพลนจะออกกำลังกายยามดึกกับพี่ทาวน์สักหน่อย ทำไมต้องมีมารผจญด้วยวะ ยอมไม่ได้!
“เดี๋ยวๆ นี่มันจะห้าทุ่มแล้วนะ พรุ่งนี้ค่อยมาใหม่ปะ”
ห้าทุ่มนะพี่ ควรกลับไปป้อนนมไอ้ฟาร์มแล้วตบตูดกล่อมมันหลับมากกว่า อย่ามาขัดความสุขน้องเลย ขอร้อง!
‘โต้รุ่งครับคืนนี้ รีบๆ มาเปิดเลย!’
อยากจะกรี๊ดให้ผนังห้องร้าวเพราะปลายสายทำเสียงขมขู่
“พี่จะมาขัดเวลาเข้าหอไม่ได้นะเว้ย”
ผมลดเสียงลงเพราะกลัวพี่ทาวน์จะได้ยินก่อนใช้มืออีกข้างนวดขมับเพื่อบรรเทาความเครียด โอย งานก็ยังไม่เสร็จ อารมณ์ก็ยังไม่ได้ปลดปล่อย มีอะไรเลวร้ายมากกว่านี้อีกไหมชีวิต
‘เรื่องมึงสิ เด้าหมอนไปเถอะ ถ้ายังไม่ยอมเปิดประตูกูจะฟ้องไอ้ทาวน์ว่ามึงจะปล้ำมันคืนนี้’
โอ้โห ผมนี่ลุกขึ้นยืนอย่างไว สลิปปงสลิปเปอร์ไม่ต้องใส่แม่งแล้ว
“โอย ขอเถอะ ผมเปิดให้ก็ได้”
ผมกดตัดสายแล้วสาวเท้าฉับๆ ตรงไปยังประตูห้อง แต่โดนเสียงทุ้มรั้งเอาไว้ซะก่อน
“คุยกับใคร”
“พี่ฟาครับ”
ผมตอบไปตามความจริง โกหกไปก็เท่านั้น
“หืม โทรมาทำไม”
“บอกว่าอยู่หน้าห้อง จะมาติว ให้ผมไปเปิดประตู”
“อ๋อ ไปเปิดสิ”
สีหน้าพี่ทาวน์ไม่ทุกข์ร้อน ทั้งที่วิเคราะห์จากบทสนทนาเมื่อครู่เขาคงไม่ได้นัดเพื่อนให้มาที่นี่ แต่ก็ยังเต็มใจเปิดครอสติวให้ ช่างมีน้ำใจปานนางสาวไทย ผมขอร้องไห้ได้ไหมล่ะ
“ทาวน์... ไล่เพื่อนกลับไปไม่ได้เหรอครับ อยากอยู่ด้วยกันแค่สองคนอะ”
ผมเริ่มออกอาการงอแงแล้วตรงเข้าไปกอดรอบคออีกคนจากทางด้านหลัง ใช้จมูกดุนดันตรงซอกคอเป็นการอ้อน เผื่อว่าพี่ทาวน์จะเห็นใจแล้วบอกเพื่อนให้มาใหม่ในวันรุ่งขึ้น แต่เปล่าเลย คำตอบมันช่างบาดใจ
“ใกล้สอบแล้วมึงต้องเข้าใจ”
“ผมเข้าใจนะ แต่นี่มันดึกแล้ว จะติวก็ค่อยมาพรุ่งนี้สิ”
นายภาคินไม่ยอมแพ้ เรื่องเวลาก็เป็นส่วนสำคัญในการติว ดึกๆ ต้องพักผ่อนไม่ใช่หรือไง
“ถ้างั้นกูย้ายกลับคอนโดตัวเอง จะได้ไม่รบกวนมึง”
ประโยคถัดมาทำให้ผมตัวชาตั้งแต่หัวจรดเท้า มือที่เคยกอดรอบคอถูกคลายออกช้าๆ ดวงตาคมสั่นระริก พยายามอ้อนขอให้มานอนด้วยกันแทบตาย แต่เขาจะกลับเพราะมีเรื่องเพื่อนเข้ามาน่ะนะ ควรรู้สึกยังไง
“.....”
“เจ็ท...”
พี่ทาวน์ครางเรียกชื่อกันเสียงเบา มือเรียวเอื้อมมาหาแต่ผมกลับเบี่ยงตัวหลับก่อนจะตอบกลับไป
“เดี๋ยวผมไปเปิดประตูให้”
ผมย้ายตัวเองเข้าห้องนอน ทำใจไว้แล้วว่าคืนนี้คงไม่มีคนให้กอด ความน้อยใจถาโถมจนเผลอแสดงอาการเย็นชาใส่พี่ทาวน์ไป ไม่รู้ว่าป่านนี้เขาจะเกลียดกันหรือยัง ส่วนงานก็ไม่ขยับ หัวสมองว่างเปล่า ทำได้แค่นั่งมองท้องฟ้ายามราตรีผ่านบานกระจก ถอนหายใจครั้งแล้วครั้งเล่าคิดทบทวนเรื่องต่างๆ ที่เกิดขึ้นในวันนี้
ผมมันแย่ ผมรู้ตัว แต่ทำไมถึงแก้นิสัยแบบนี้ไม่ได้กันนะ
ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่ผมเผลอหลับไปทั้งที่ยังนั่งอยู่ตรงปลายเตียง ดีแค่ไหนที่ไม่ล้มกลิ้งบนพื้น นอนแผ่มองเพดานอยู่ครู่ใหญ่ก่อนจะตัดสินใจลุกขึ้นอาบน้ำเพื่อเตรียมอาหารเช้าให้กับทุกคน
เมนูแรกของวันคือหมี่ซั่วที่ผมต้องเปิดสูตรหาจากอินเตอร์เน็ต นานๆ ครั้งเข้าครัวก็มีงงเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ได้อาหารเช้ากลิ่นหอมหน้าตาน่ากินมาจนได้ รสชาติก็อยู่ในเกณฑ์ที่ถือว่าดี ขั้นตอนต่อไปคงต้องปลุกคนอื่นๆ ทั้งที่ในใจอยากกลับเข้าห้องมากเพราะยังรู้สึกแย่กับคำพูดของพี่ทาวน์
เสียงฝีเท้าจากทางด้านหลังทำให้ผมรู้สึกเกร็ง พอจะเดาได้ว่าเป็นใคร เช้าขนาดนี้ก็มีแค่พี่ทาวน์ที่ตื่นไหว เนื่องจากคนอื่นมีเวลานอนเท่าไหร่ก็จัดไปเต็มที่ทุกที
“ผมเตรียมมื้อเช้าไว้ให้ทุกคนแล้วนะ”
ผมบอกโดนที่ไม่หันไปมองแล้วปิดเตาก่อนจะผละตัวออกมาจากหม้อหมี่ซั่ว เปิดตู้เย็นเพื่อหยิบนมจืดขวดใหญ่ เช้านี้คงทรยศความอยากกินของตัวเองด้วยการดื่มนม
“อืม แล้วมึงจะไปไหน”
พี่ทาวน์ถามในขณะที่ผมกำลังจะก้าวเท้าหนีไปจากตรงนี้
“ทำงานต่อครับ”
“เดี๋ยวก่อน”
เขารั้งข้อมือกันเอาไว้ พวกเราสบตากันโดยไม่มีใครยอมใคน ผมเห็นความไม่มั่นใจของพี่ทาวน์ คงคิดไม่ตกกับเรื่องเมื่อคืน
“ครับ”
“โกรธเหรอ”
น้ำเสียงอ่อนลงจนผมเผลอเม้มปากแน่น ความรู้สึกข้างในกำลังตีรวนผสมปนเปไปหมด ต้องทำยังไงดี
“เปล่าครับ ขอตัวนะ”
ผมทำได้แค่ยิ้มบางก่อนจะแกะมือของพี่ทาวน์ออกช้าๆ โดนหนีบขวดนมไว้กับแขน
“เจ็ท... ตั้งใจทำงานนะ”
เขาเว้นวรรคประโยคเหมือนอยากจะพูดอะไรแต่สุดท้ายก็กลายเป็นคำให้กำลังใจธรรมดาๆ ที่ผมเคยชอบ แต่ตอนนี้กลับรู้สึกแย่
“ครับ”
ผมเดินออกมาจากตรงนั้นด้วยหัวใจที่ห่อเหี่ยว รู้ตัวว่างี่เง่าแต่ก็อดน้อยใจไม่ได้ ความรู้สึกแม่งโคตรเหี้ยจริงๆ เข้าใจว่าใกล้ช่วงสอบ เรื่องติวก็สำคัญ แต่ผมดันอยากได้เวลาจากพี่ทาวน์ทั้งๆ ที่อยู่ด้วยกันทั้งวัน ชีวิตมนุษย์ไม่รู้จักคำว่าพอจริงๆ นั่นล่ะ เฮ้อ
ควรเตรียมคำพูดขอโทษกับการกระทำโคตรงี่เง่าของตัวเองไว้ เจอหน้ากันอีกครั้งจะได้เข้าใจกันสักที
เวลาผ่านไปนานเท่าที่จะรู้สึกหิวอีกครั้ง ผมวางมือลงเมื่องานถึงแปดสิบเปอร์เซ็น บิดขี้เกียจเพื่อไล่ความเมื่อยขบสะสมจากการนั่ง ดวงตาคมเสมองไปที่ประตูแล้วก็ต้องถอนหายใจเฮือกใหญ่ คิดถึงคนที่อยู่ด้านนอก ป่านนี้จะเป็นยังไงกันบ้างนะ
ผมลุกขึ้นยืนเต็มความสูง สูดหายใจเข้าปอดลึกๆ เพื่อสร้างความกล้า แต่ต้องสะดุ้งเฮือกเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตูดังขึ้นหลายครั้ง ไม่มีใครนอกจากพี่ทาวน์หรอก
ก๊อกๆ
“ครับ”
ผมเปิดประตูออกไปก็เจอพี่ทาวน์ที่อยู่ในชุดเสื้อยืดสีขาวกับกางเกงขาสั้นของผม ตอนนี้ความน้อยใจทั้งหมดแทบหายจนหมด ทำไมต้องทำตัวแบบนี้นะคนเรา ง้อโดยไม่มีคำพูดอะไร บ้าเอ๊ย หัวใจเต้นแรงเหลือเกิน
“จะบ่ายโมงแล้ว”
เขาเกริ่นแค่นั้นทำให้ผมคิดไปเองว่าโดนทวงอาหารมื้อเที่ยง จากที่ดีใจกลายเป็นห่อเหี่ยวเข้าโหมดทะมึนอีกครั้ง ทั้งที่จะขอโทษแต่ปากกลับพูดไม่ออก
“อ๋อ ขอโทษทีครับ เดี๋ยวจะรีบเตรียมมื้อเที่ยงให้เนอะ”
ผมคลี่ยิ้มก่อนจะเบี่ยงตัวหลบเพื่อออกไปด้านนอก แต่พี่ทาวน์กลับจับไหล่ทั้งสองข้างเอาไว้แน่น มองกันด้วยสายตาที่เอ่อล้นด้วยความรู้สึก
“ไม่ต้อง จะมาถามว่าหิวหรือยัง”
“ทำงานเพลินจนลืมหิวไปแล้วครับ”
ผมโกหกคำโตเพราะอยากรู้ว่าเขาเป็นห่วงกันบ้างหรือเปล่า
“กู... ทอดไข่ดาวไว้ให้ หวังว่าคงกินได้”
เสียงพูดอ้อมแอ้มกับสัมผัสที่คลายออกทำให้ผมเบิกตากว้างเพราะไม่อยากเชื่อหูตัวเอง คนที่ร้อยวันพันปีไม่เคยเข้าครัวกลับลงมือทอดไข่ดาวไว้ให้ผมกิน บ้าไปแล้ว... นี่กูกำลังทำตัวโคตรเหี้ยใส่แฟนอยู่ใช่ไหมวะ
“ทาวน์...”
“กูขอโทษที่พูดว่าจะกลับคอนโดเมื่อคืนนี้”
พี่ทาวน์เป็นฝ่ายขอโทษก่อนด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ผมรีบส่ายหัวรัวๆ เพื่อปฏิเสธมัน เขาไม่ผิดสักหน่อย ทำไมเรื่องเป็นแบบนี่ไปได้
“ผมต่างหากที่งี่เง่า ขอโทษนะครับ”
ดึงอีกคนเข้ามากอดแล้วลูบหัวลูบหลังเพื่อปลอบ ไม่เคยคิดเลยว่าเขาจะรู้สึกขนาดนี้ ตาแดงก่ำราวกับอยากร้องไห้เต็มแก่
“อืม อย่าคิดมาก กูแค่ไม่อยากกวนมึง แต่ลืมคิดไปว่ามึงก็อยากอยู่ด้วยกัน”
พี่ทาวน์ตบหัวผมปุๆ คล้ายกับการปลอบเด็กน้อย มันทำให้หัวใจที่เคยห่อเหี่ยวในตอนแรกกลับมาพองฟูอีกครั้ง เขาก็แค่หลงลืมบางอย่าง แต่ไม่ได้ละเลย
“ไม่เป็นไรครับทาวน์ ผมแย่เอง จะพยายามปรับปรุงตัวนะ”
กระชับกอดคนในอ้อมแขนมากขึ้น พี่ทาวน์ก็ทำไม่ต่างกัน
“อืม กูก็จะพยายามใส่ใจมึงมากกว่านี้”
โธ่... คนดีของผม
“ครับ นี่ติวกันไปถึงไหนแล้ว”
ผมผละออกแล้วชวนเปลี่ยนเรื่องคุย เพราะรู้ว่าถ้ายังย่ำอยู่ที่เดิมไม่ไปไหนอาจจะเถียงกันจนทะเลาะใหญ่โตก็เป็นได้
“หึ ไอ้ฟากับไอ้แฮมกลับไปแล้ว”
พี่ทาวน์ก็เหมือนจะเข้าใจในการกระทำของผมเลยหัวเราะเสียงต่ำแล้วไหวไหล่ให้กับความว่างเปล่าทางด้านหลัง ไม่มีสิ่งมีชีวิตอื่นนอกจากเราสองคนอีกแล้ว ทำไม...
“อ้าว...”
ผมเกาหัวแกรกๆ ขมวดคิ้วเป็นเชิงถามว่าเกิดอะไรขึ้น หรือทุกคนเอือมกับคนกากๆ จนหนีหายกันไปหมด
“มันบอกให้กูมาง้อ ‘สามี’ ซะ เห็นทำหน้าเหมือนหมาหงอยแล้วทนไม่ได้”
ห๊ะ เดี๋ยวนะ ได้ยินไม่ค่อยชัดเลย
“ทาวน์เรียกผมว่าอะไรนะ”
ต้องถามย้ำเพื่อความแน่ใจว่าไอ้คนที่ขอสงวนคำว่าเมียเนี่ยกล้าเรียกผมว่าสามีจริงๆ เหรอวะ หูฝาดไปแน่ๆ แม่ง สงสัยต้องหาสำลีปั่นสักหน่อย
“ไม่ใช่กู พวกนั้นต่างหาก”
อยากจะถามว่าถ้าพี่ไม่เอนเอียงตามเพื่อนจะกล้าพูดคำว่าสามีต่อหน้าผมเหรอ แต่ยั้งปากไว้ดีกว่าเพราะไม่อยากโดนกระทืบตายซะก่อน
“กำลังจะฟินอยู่แล้วเชียว”
แกล้งทำหน้ามุ่ยหวังว่าเขาจะเรียกสักครั้งให้ชื่นใจ แต่กลายเป็นว่าถูกหัวเราะเสียงต่ำใส่ โธ่ มีแต่ความหวังลมๆ แล้งๆ สินะตัวกู
“หึ ออกมาทำงานข้างนอกเถอะ”
เหงาล่ะสิ ทำเป็นชวนคนอื่นเขา น่ารักจริงๆ เลยแฟน
“ได้ครับ เดี๋ยวผมไปขนอุปกรณ์ออกมาเนอะ”
ผมหมุนตัวกลับเข้าห้องเพื่อโกยอุปกรณ์ทำงานแต่ต้องชะงักเท้าเมื่อเสียงคนด้านหลังดังขึ้น
“อืม อย่าขี้งอนนักนะ ‘คุณสามี’ กูขี้เกียจง้อ”
มันแผ่วเบาแต่กลับได้ยินชัดเจนจนเผลอมือสั่น ร่างกายร้อนวูบไปทั้งตัวจนอยากแก้ผ้า ตายแน่ๆ ทาวน์แอทแทคขนาดนี้ต้องรู้สึกดีใจขนาดไหนวะ โอ๊ย แม่จ๋าพ่อจ๋าเตรียมสินสอดสิบล้านมาขอลูกสะใภ้ที ไม่ไหวแล้วเว้ย อยากบินไปจดทะเบียนที่ต่างประเทศด้วย จะเอา จะเอา คนนี้!
“โอย ผมจะบ้า”
พึมพำได้แค่นั้นก็หมุนตัวกลับมาขโมยหอมแก้มพี่ทาวน์หนักๆ ไปหลายครั้ง หัวใจจะวายแล้วเว้ย
“อะไร”
พี่ทาวน์ปัดป้องยกใหญ่เมื่อมือของผมเริ่มอยู่ไม่สุก เกือบโดนเสยปลายคางแล้วถ้าผละออกมาช้ากว่านี้ เสียบวาบเลยกู
“ทาวน์แม่ง ทำไมน่ารักแบบนี้”
ยอมรับว่ามันเขี้ยวจนต้องพยายามควบคุมอารมณ์ตัวเองเพื่อไม่ตรงไปฟัดเขาในตอนนี้ ท่องไว้สิวะว่าตอนนี้เพิ่งเที่ยงวัน
“ชอบไม่ใช่เหรอ”
มือเรียวเอื้อมมาประคองแก้มทั้งสองข้างของผม เราสบตากัน สื่อความรู้สึกทุกอย่างผ่านทางนั้น
“ชอบสิครับ แต่ถ้ามันฝืนตัวเอง ทาวน์ก็ไม่ต้องทำนะ”
ผมวางมือทาบทับลงในตำแหน่งเดียวกันก่อนจะคลี่ยิ้มบาง ถึงจะชอบพี่ทาวน์โหมดน่ารัก ปากตรงกับใจ แต่อะไรก็ไม่ดีไปกว่าการที่เขาเป็นตัวของตัวเอง นายภาคินรักนายเมืองเหนือที่ตรงนั้นล่ะ
“หึ กูทำตัวแบบนี้กับคนที่เป็นแฟนเท่านั้นล่ะ รู้เอาไว้ว่ามันเป็นความเต็มใจ ไม่ใช่การฝืนแสดงออกให้มึงมาหลงรัก เข้าใจไหม”
อยากตะโกนให้ก้องโลกว่าตัวเองโชคดีแค่ไหนที่ได้คนอย่างพี่ทาวน์เป็นแฟน ขอบคุณที่วันนั้นเขาตกลงปลงใจคบกับผมไม่ใช่คนอื่น รัก รักที่สุด
“รักทาวน์มากขึ้นอีกแล้วครับ”
ก็ไม่รู้หรอกว่าการบอกรักสำครับคู่อื่นมันต้องน้อยหรือมากขนาดไหนที่จะเหมาะสมและพอดีจนไม่น่าเบื่อเกินไป แต่สำหรับผมกับพี่ทาวน์แล้วนั้น เวลาไหนอยากพูดก็พูด เพราะคำว่า ‘รัก’ ได้ยินทีไรก็รู้สึกดีทุกครั้ง
“หึ เหมือนกัน เด็กโง่ของพี่ทาวน์”
อ่า อย่าน่ารักเรี่ยราดแบบนี้ได้หรือเปล่า อยากจะปั้นตัวพี่เป็นก้อนกลมๆ แล้วยัดใส่ปากกลืนลงท้องจริงๆ ไม่อยากให้ใครพบเจอเลย
เขาเรียกผมว่าเด็กโง่ใช่ไหม ถ้าอย่างนั้นจะยอมเป็นหมาโกลเด้นโง่ๆ ให้เลี้ยงตลอดไปเลยแล้วกัน
---------------------------------------
เจ็ทก็ยังเป็นเจ็ท ทาวน์ก็ยังเป็นทาวน์
หวานไม่มาก แต่รักกันมากนะจ๊ะ.. 5555555
ตอนต่อไปจะเห็นความน่ารักของพี่ทาวน์เพิ่มขึ้นอีกแน่นอน
น่ารักแบบซึนๆ น่ะนะ
ขอบคุณทุกคนที่ติดตามเรื่องนี้น้า อีกสองตอนจะจบแล้ว
มารอเจ็ททาวน์ออกมาในรูปแบบหนังสือไปพร้อมๆ กันนะ