Chapitre 16
ผมตื่นมาอย่างสะลึมสะลือพร้อมด้วยอาการปวดบริเวณสะโพกและบั้นท้าย ครั้งแรกนี่มันเจ็บชะมัด แต่สิ่งที่แลกกับความเจ็บนั้นก็คือความสุข สุขจากคู่กรณีที่ทำให้ผมเป็นแบบนี้ ที่ยังคงนอนกอดผมหมดสภาพไม่รู้เรื่องรู้ราวอยู่ข้างๆ ผมพยายามกระพริบตาถี่ๆ เพื่อไล่ความง่วง ก่อนจะค่อยๆ ขยับตัวอย่างเบาแรงเพื่อไม่ให้คนที่หลับสนิทอยู่ข้างๆ รู้สึกตัว
“จะรีบไปไหน นอนต่อก่อนสิ” คนแกล้งหลับกระชับอ้อมแขนกอดผมแน่นขึ้นไม่ให้ผมลุกหนีไปไหน
“ปวดฉี่ จะเข้าห้องน้ำ” ผมบอกออกไปตามตรง จริงๆ ก็ไม่เชิงหรอกครับ ผมอายมากกว่า กะ... ก็เมื่อคืน เอ่อ... ช่างมันเถอะครับ ผมอายยย!
“เดี๋ยวค่อยไปนะ ขออีกสิบนาที” คนดื้อยังคงพูดอย่างเอาแต่ใจ แถมยังกดหัวผมให้ซบลงไปที่บริเวณอกเปลือยเปล่าของมันอีก แต่... มันก็ทำให้ผมได้รู้นะ ว่าใจของปาร์คเองก็เต้นแรงไม่แพ้ใจของผมเลย
“โห้ย! ฉี่จะแตกอยู่แล้ว” ผมต่อรองพร้อมกับขืนตัวออกจากแผงอกแข็งแรงและอบอุ่นนั้น หัวใจผมก็เต้นแรงมาก สติสตังค์ผมก็อยู่ไม่นิ่งแล้วครับ
“ฮ่าๆ หอมแก้มก่อน แล้วจะปล่อย” คนเอาแต่ใจว่าทั้งที่ตายังไม่ลืมพร้อมกับทำแก้มป่องข้างหนึ่ง ได้ทีแล้วเอาใหญ่เลยนะครับ แต่... ก็ชอบนะ
“ไม่เอา อย่าแกล้งดิ ปวดฉี่จริงๆ” ผมทำโวยครับ แต่ตัวเองกลับก้มหน้างุดๆ ด้วยความเคอะเขิน
“งั้นก็ไม่ปล่อย ให้ฉี่ราดที่นอนนี่ล่ะ” โอ้ย! จะบ้ากันไปใหญ่แล้ว
“ไอ้บ้า!” ผมทุบอกของคนตรงหน้าเบาๆ เพราะถูกกอดอยู่จึงทำอะไรได้ไม่ถนัดนัก “ทีเดียวนะ”
“อืมมม” คนตัวใหญ่ว่าด้วยเสียงยาน และริมฝีปากที่กระตุกยิ้มบางๆ ด้วยความพอใจ
ฟอด!
ผมชะเง้อคอขึ้นไปหอมที่แก้มของคนที่สูงกว่าที่กำลังทำแก้มป่องๆ รออยู่แล้วด้วยความเขินขั้นสุดยอด
จุ๊บ!
แต่ไอ้คนขี้โกงก็เอาเปรียบผมอีกจนได้ หลังที่ผมถอนริมฝีปากออกจากแก้มไม่ถึงวินาที มือใหญ่ทั้งคู่ก็จับใบหน้าของผมประคองไว้ ก่อนที่ริมฝีปากบางสีแดงระเรื่อนั้นจะชิงจูบผมอีกครั้งอย่างอ้อยอิ่ง
“มอนิ่งคิสครับ ฟร๊องก์ของปาร์ค” ปาร์คพูดอย่างแผ่วเบาและอบอุ่นไปถึงหัวใจหลังจากที่ถอนริมฝีปากออก และคำพูดนั้นก็เล่นเอาใบหน้าผมร้อนผ่าวขึ้นมาแทบจะทันที
“ไอ้บ้า! ฉวยโอกาส ปล่อยเลย!” ผมว่า แต่ริมฝีปากกลับมีรอยยิ้มออกมาอย่างหักห้ามตัวเองไม่ได้ ก่อนจะผลักตัวเองให้ออกห่างจากคนเจ้าเล่ห์นี้
“ฮ่าๆ ‘เมีย’ ใครไม่รู้ น่ารักเป็นบ้า” เมื่อกี้หูผมแว่วไปเองหรือเปล่า ผมได้ยินอะไร เมียๆ นะ ผมได้ยินผิดไปหรือเปล่า ปาร์คเรียกผมว่า... เมีย!
“บ้า!” ผมว่าเสียงดังก่อนจะรีบวิ่งจู๊ดเข้าห้องน้ำแบบลืมความเจ็บที่ช่องด้านหลังไปทันที โอ้ย! หัวใจผมเต้นแรงมากจนมันจะหลุดออกมาจากอกอยู่แล้ว แถมใบหน้าผมก็ร้อนจนแทบไหม้
ผมยอมรับว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืน ผมเองก็มีความกังวลอยู่ไม่น้อย ในเมื่อมันเกิดขึ้นแล้ว ผมรู้ว่ามันจะต้องมีบางอย่างเปลี่ยนแปลงไปอย่างแน่นอน ผมนอนด้วยความหวาดหวั่นว่าตื่นมาในวันนี้ผมกับปาร์คจะมองหน้ากันได้อยู่ไหม เราจะมองกันด้วยสายตาแบบไหน และความรู้สึกเราจะแปรเปลี่ยนไปเป็นเช่นใด เพราะการกระทำนั้นมันจะเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ของผมไปตลอดกาล
ตลอดทั้งคืนผมนอนคิดมากและกลัวมากว่าปาร์คจะเปลี่ยนไปอีก กลัวปาร์คจะทิ้งผมไป โดยไม่หันมามองผมอีก แต่ตอนนี้หัวใจผมกลับพองโต กลืนกินความกังวล ความหวาดกลัวก่อนหน้านี้หมดแล้ว เพราะการกระทำข้างคนที่อยู่ข้างกายผมเมื่อครู่ ทุกอย่างมันเปลี่ยนไปจริงๆ แต่มันไม่ได้เปลี่ยนไปในแบบที่ผมคิด ผมคงเป็นคนมองโลกในแง่ร้ายมากนะครับ ที่มักจะคิดอะไรร้ายๆ ไปก่อนแล้ว ทั้งที่มันยังไม่เกิดหรืออาจจะไม่ได้เกิดเลยด้วยซ้ำ
ปฏิเสธไม่ได้ว่าการกระทำและการตัดสินใจเรื่องเมื่อคืนของปาร์ค ได้ครอบครองพื้นที่หัวใจของผมไปจนเต็มเปี่ยมเป็นที่เรียบร้อย ผมมีความสุขมากจนแทบจะสำลักมันออกมา สถานะที่แปรเปลี่ยนมันเหมือนเสียงระฆังที่ดังสนั่นอยู่ที่เส้นชัย พร้อมกับหัวใจดวงนั้นที่ผมวิ่งตามมานานแสนนาน ตอนนี้ผมได้มาหยุดอยู่ที่จุดหมายแล้ว หยุดพร้อมกับหัวใจที่มาอยู่เคียงข้างผมโดยที่ไม่ต้องเหนื่อยไขว่คว้ามันอีก
**********__________**********
ผมใช้เวลาในห้องน้ำทำธุระส่วนตัว แล้วก็จัดการอาบน้ำเพื่อความสดชื่น ก่อนจะกลับออกมาในชุดของปาร์คชุดเดิมที่ใส่นอนเมื่อคืน เมื่อออกมา ผมก็เดินไปรื้อชุดเปลี่ยนในตู้เสื้อผ้าของเจ้าของห้องราวกับว่าตัวเองเป็นเจ้าของอีกคนก็ไม่ปาน ก่อนจะกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าอีกรอบในห้องน้ำ
“เมื่อกี้มีคนโทรมา!” ปาร์คพูดเสียงแข็งขณะที่มือถือโทรศัพท์ของผมอยู่ เป็นอะไรขึ้นมา อยู่ๆ ก็อารมณ์เสีย ก่อนหน้ายังกวนอยู่เลย
“ใครอ่ะ” ผมเดินเช็ดหัวพลางๆ ไปนั่งลงบนเตียงข้างๆ ปาร์ค
“ไม่รู้!” ปาร์คว่าแล้วเอาโทรศัพท์มาวาง (กระแทก) ลงใกล้ๆ ขาผม แล้วลุกออกจากเตียงไป
“อะไรของมัน“ ผมทำหน้างงๆ กับท่าทางของปาร์ค แต่ก็ไม่ได้สนใจมาก ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ตัวเองขึ้นมาดู
ไม่เห็นมีสายที่ไม่ได้รับเลย เมื่อผมเปิดเช็คว่าใครโทรฯ มาเมื่อกี้ตามที่ปาร์คบอก แต่ก็ต้องไปสะดุดกับเบอร์ของเก็ทที่เพิ่งโทรฯ เข้ามาเมื่อไม่กี่นาทีที่แล้ว อย่าบอกนะว่าเมื่อกี้ปาร์ครับโทรศัพท์ แต่ทำไมต้องทำท่าทางเหมือนกำลังโกรธผมแบบนั้นด้วย
“ฮัลโหลเก็ท” ผมโทรกลับไปหาเก็ททันที เผื่อมีเรื่องด่วน
[อืม รู้แล้วว่าวันนี้ไม่ไปเรียน] เก็ทตอบกลับมาเสียงราบเรียบ ผมถึงออกว่าวันนี้ผมมีเรียน! ลืมไปเลยจริงๆ ที่เก็ทโทรฯ มาก็คงเพราะจะมารับผมหรือไม่ก็มาถึงหน้าหอแล้ว วันนี้วันจันทร์ผมมีเรียนเช้าด้วย
“อ่ะ... อืม แวะมารับแล้วหรอ โทษทีไม่ได้โทรฯ บอกก่อน ลืมเลยเหมือนกันว่ามีเรียน ฮ่าๆ”
[ไม่เป็นไร แค่นี้แหละ ไม่รบกวนล่ะ] เก็ทว่าก่อนจะวางสายไป
ผมยักไหล่เล็กน้อยกับอาการแปลกๆ ของทั้งสองคน ก่อนจะวางโทรศัพท์ไว้ที่เดิม แล้วตากผ้าขนหนู ว่าไปก็หิวอยู่เหมือนกันนะ ออกไปหาอะไรรองท้องหน่อยดีกว่า เมื่อวานเย็นก็กินแค่ไส้กรอก แถมตอนกลางคืนยัง... ใช้พลังการไปเยอะ
แน่นอนว่าในตู้เย็นก็ไม่ค่อยมีอะไรที่ทำกินได้เท่าไรหรอก ผมเชื่อว่าปาร์คแทบจะไม่เคยทำอาหารกินเองในห้องเลย อย่างมากก็คงแค่อบไส้กรอก ไม่ก็ทอดไข่แค่นั้นแหละ แต่เป็นผมไปซื้อกินก็สะดวกกว่านะ ไม่ต้องเตรียม ไม่ต้องเก็บล้างอีกต่างหาก
ผมหยิบไส้กรอกออกมาถุงหนึ่ง ไข่อีก 2 ฟอง โชคดีที่มีผักอยู่ ที่มีคือกะหล่ำปลี ผมเลยหยิบมันออกมาด้วยเลย กะจะผัดมาม่าเนี่ยล่ะ ง่ายดี ว่าแล้วผมหยิบซองมาม่ามาลวกน้ำให้เส้นมันสุกก่อน ก่อนจะจัดการหั่นกะหล่ำปลี
“ทำไรอ่ะ!” จู่ๆ ปาร์คก็โผล่มาข้างหลังพร้อมกับทำเสียงดังที่ข้างหูผม
“โอ้ย!” ผมร้องออกมาเพราะถูกมีดบาดเข้าที่นิ้วเต็มๆ เลย เพราะมันเลย! แม่งโผล่มาไม่ให้สุ้มให้เสียง ตกใจหมด! โอ้ย! เจ็บชิบ!
“เห้ย! ขอโทษๆ เจ็บไหม” ปาร์คพูดด้วยท่าทีตระหนกทันที ก่อนจะคว้ามือข้างที่ถูกมีดบาดขึ้นไปดูแผล
“เจ็บดิ!” ผมตอบกลับด้วยใบหน้าบึ้งตึง ไม่ได้โกรธมันหรอกครับ แต่กำลังเจ็บอยู่มากกว่า
“ขอโทษนะ” ปาร์คว่าก่อนจะคว้านิ้วที่ถูกมีดบาดนั้นไปดูด เป็นแวมไพร์เหรอ ดูดเลือดเนี่ย มันเรียนที่ไหนมาว่าให้ดูดห้ามเลือด เขามีแต่ดูดเลือดเพื่อดูดพิษออกไม่ใช่เหรอ
“ปาร์ค” ผมมองหน้าปาร์คด้วยความตกใจ ส่วนปาร์คก็ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมามองผมก่อนจะยิ้มบางๆ ทั้งที่ปากยังดูดนิ้ว นิ้วนั้นของผมอยู่
“ล้างแผล แล้วทายาก่อน เดี๋ยวปาร์คมาช่วยทำต่อ” แล้วปาร์คก็พาผมมานั่งทำแผล จริงๆ แผลไม่ได้ลึกมากเท่าไรหรอกครับ แต่ก็แสบใช้ได้เลย ดีที่ผมไม่ได้หั่นไปเต็มแรง ไม่งั้นมีหวังนิ้วผมคงได้ขาดไปแล้ว
ผมนั่งมองปาร์คที่กำลังทำแผลให้ผมอย่างตั้งใจ ใบหน้าที่ดูหมองลงนิดหน่อย คงเพราะรู้สึกผิดที่ทำให้ผมต้องเจ็บตัวแบบนี้ล่ะมั้ง ปาร์คทายาและติดพลาสเตอร์ยาให้ผมอย่างเบามือ ก่อนที่เป่าที่แผลเบาๆ เหมือนพ่อแม่ที่ชอบเป่าแผลให้ตอนเด็กๆ แบบขอให้หายเร็วๆ อะไรแบบนั้น มันทำให้ผมยิ้มออกกับภาพความน่ารักของคนตรงหน้า
“เสร็จแล้ว หายไวๆ นะ” ปาร์คเงยหน้าขึ้นมามองผมด้วยรอยยิ้ม ถึงแม้จะแอบเศร้าไปหน่อย
“ขอบใจนะ” ผมยิ้มตอบ
“จะทำอะไรให้ปาร์คกินเนี่ย ไปทำต่อกัน” แล้วปาร์คก็ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง พร้อมทั้งดึงผมให้ลุกตามด้วย ก่อนจะเดินกลับเข้าไปในครัวอีกครั้ง
แล้วเราก็กลับมาทำอาหารด้วยความสนุกสนาน สนุกมากจนมันเหมือนจะเป็นความวุ่นวายเล็กๆ มากกว่า ต่างคนก็ต่างแกล้งกันไปมา จากแค่ล้างผักธรรมดาก็กลายเป็นการเล่นสงกรานต์ วักน้ำใส่กันจนเปียกไปหมด แผลที่ทำไว้ก่อนหน้า พลาสเตอร์ที่ปิดแผลไว้ก็เปียกซกเลยครับ พื้นห้องครัวก็เปียกปอนไปด้วยหยดน้ำ แต่หลังเล่นกันสักพักก็กลับมาสู่ความสงบอีกครั้งเมื่อผมเริ่มจับกระทะเพื่อจะผัดสักที ไม่งั้นคงไม่ได้กินล่ะครับวันนี้
ผมประจำหน้าที่เชฟ ส่วนปาร์คเป็นผู้ช่วยครับ แต่ช่วยให้เละหรือเปล่าก็ไม่รู้ ฮ่าๆ ระหว่างผัดไป ผมก็หันไปสั่งให้ปาร์คหยิบโน้นนี่ใส่ไปด้วย ซึ่งเจ้าตัวก็เชื่องดีครับ ทำตามทุกอย่างเลย ใช้ได้ๆ เชื่อฟังคำสั่งได้ดี
“น่ากินอ่ะ” ปาร์คพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น แค่ผัดมาม่าเนี่ยนะ เว่อร์ไปเปล่าไอ้นี่
“หมายถึงฟร๊องก์หรือผัดมาม่า” ผมหันกลับมองปาร์คก่อนจะยักคิ้วกวนๆ กลับไป
“อย่ามากวน เดี๋ยวจะไม่ได้กลับหออีกวัน!” ปาร์คว่าพร้อมกับส่งหลังมือมาเขกหัวผมเบาๆ
“ไอ้หื่น! ไปเอาจานมาเลย เสร็จแล้ว” ผมด่าออกไปด้วยความเขิน ก่อนจะไล่มันไปเอาจานทันที เล่นเอง เจ็บเอง บ้าที่สุด!
ในที่สุดมาม่าผัดสูตรเด็ดของผมก็เสร็จเรียบร้อยครับ พูดให้ดูดีไปงั้น ทั้งที่จริงมันไม่ได้มีอะไรเลย แค่เส้นมาม่า ไข่ ไส้กรอกยี่ห้อดีหน่อย แล้วก็กะหล่ำปลี ผัดๆ ปรุงรส(ตามใจผม)แค่นั้นเอง กินได้ก็กิน กินไม่ได้ก็ต้องกิน สำหรับมันผมบังคับให้กินสถานเดียวครับ!
“เห้ยอร่อยเหมือนกันนี่!” หลังจากที่เราสองคนยกมานั่งกินกันหน้าทีวี ชิมไปแค่คำเดียวปาร์คก็พูดออกมาด้วยเสียงตื่นเต้นปนทึ่ง
“แน่น๊อน! ฟร๊องก์ซะอย่าง” ผมหันไปยักคิ้วให้อีกรอบพลางยิ้มกวนๆ
“หลงตัวเองโคตรเลย!” ปาร์คว่าขำๆ พร้อมกับผลักหัวผมเบาๆ
แล้วผมกับปาร์คก็นั่งกินกันไป หัวเราะกันไป รวมทั้งแกล้งกันไปด้วย ท่าทางอารมณ์เสีย หรือแอบเคืองของปาร์คก่อนหน้าหายไปเป็นปลิดทิ้ง ผมเองก็ลืมๆ ไปเหมือนกันครับ ส่วนเจ้าตัวนี่คงลืมไปเสียสนิทเลยแหละ นั่งแกล้งผมขนาดนี้
“เออ... คนที่โทรมาเป็นเพื่อนเหรอ” เมื่อกินหมด เราก็นั่งพักท้องกันครู่หนึ่ง อยู่ๆ ปาร์คก็ถามขึ้น นึกว่าลืมเรื่องนี้ไปแล้วซะอีก
“เก็ทอ่ะเหรอ เพื่อนที่ม.แหละ” ผมตอบสบายๆ ไปตามความเป็นจริง
“งั้นเหรอ แล้วใช่คนนี้หรือเปล่าที่ชอบไปไหนมาไหนด้วยกันตอนดึกๆ” ปาร์คพูดเสียงเรียบ สายตาจ้องมองตรงไปยังโทรทัศน์เบื้องหน้าอย่างเดาอารมณ์และความคิดไม่ถูก
“อืม คนนี้แหละ จริงๆ ไม่ได้ไปด้วยกันตอนดึกๆ สักหน่อย เว่อร์ไป เก็ทเป็นเพื่อนในกลุ่มฟร๊องก์เนี่ยล่ะ แค่ฟร๊องก์จะติดรถไปไหนมาไหนด้วยตลอด” ผมทำเป็นพูดติดตลกเพื่อพยายามดึงบรรยากาศไม่ให้ตึงเครียด
“แล้ว... เคยมีอะไรกันเปล่า”
“เห้ย! บ้าแล้ว! ฟร๊องก์กับเก็ทเป็นแค่เพื่อนกันนะปาร์ค!” ผมว่าเสียงดังด้วยท่าทางที่จริงจังและไม่พอใจ รู้สึกได้เลยว่าคิ้วตัวเองขมวดเป็นโบว์
“ก็ปาร์ค... หวง” ปาร์คพูดเสียงแผ่วเบาจนผมเองก็แทบไม่ได้ยิน แต่มันก็ทำให้ผมยิ้มเขินได้เหมือนกัน
“หวงเหรอ” ผมแกล้งเอาไหล่ไปกระแซะๆ ปาร์ค
“เปล่า!”
“จริงอ่ะ” ผมไม่ยอมเลิกง่ายๆ หรอกครับ อยากได้ยินชัดๆ
ตุบ!
เพราะผมเล่นไม่เลิก ปาร์คเลยหันมาจับไหลทั้งสองข้างของผมแล้วกดตัวผมนอนราบลงไปกับโซฟา โดยที่ตัวมันจ้องหน้าผมอยู่ด้านบน
“หวง! หวงมากด้วย!” ปาร์คว่าด้วยสีหน้าและน้ำเสียงที่จริงจัง พร้อมกับดวงตาคมกริบที่จ้องลึกเข้ามาในดวงตาของผมราวกับกำลังบอกให้ผมรับรู้ว่าเจ้าของดวงตาคู่นี้จริงจังแค่ไหน
“...” ผมพูดอะไรไม่ออก ดวงตาโตๆ ของผมก็ไม่อาจต้านทานดวงตาคมดุจดวงตาเหยี่ยวคู่นั้นจนต้องหลบสายตาเช่นกัน ไม่เว้นแม้แต่หัวใจของผมที่แพ้พ่ายอย่างราบคราบให้กับคนตรงหน้า
“อย่าทำแบบนี้กับใครรู้ไหม” เสียงของปาร์คอ่อนลง น้ำเสียงที่แฝงด้วยความออดอ้อน เว้าวอน
“อืม... ปาร์คปล่อยฟร๊องก์ก่อนดีกว่า เดี๋ยวจะได้ไปล้างจาน” ผมรับปาก ก่อนจะดันตัวปาร์คให้ลุกขึ้นเบาๆ บรรยากาศแบบนี้ผมเดาได้ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป และตัวผมยังไม่พร้อมจะรับศึกหนักอีกครั้ง แค่เมื่อคืน... ก็เหนื่อยพอแล้วครับ
**********__________**********
ตอนนี้ผมกลับมาถึงหอตัวเองเป็นที่เรียบร้อยแล้วครับ ก่อนหน้านี้เป็นอย่างไรน่ะเหรอ คุณกำลังคิดว่าอะไรอยู่ล่ะ ลองเดาดูดิ ฮ่าๆ ติ๊กตอกๆ ...
อ๊ะๆ บอกก็ได้ มันไม่มีอะไรเลยครับ แค่ปาร์คพาผมออกไปดูหนัง แล้วก็เดินเล่นนิดๆ หน่อย และก่อนกลับเราสองคนก็หาอะไรยัดลงกระเพาะกันอีกหน่อย แต่ปาร์คสิครับโคตรเอาเปรียบผมเลย ก็มันเล่นแต่งตัวซะหล่อเชียว เสื้อเท่ๆ กับกางเกงยีนส์ขายาว ในระหว่างที่ผมใส่ชุดเดิม(อีกแล้ว)ของเมื่อวาน ลองย้อนกลับไปอ่านดูแล้วกันว่าผมแต่งอย่างไร แต่เอาง่ายๆ ว่ามาเดินคู่กับปาร์คแล้ว เหมือนเป็นเด็กถือของ เด็กรับใช้ที่บ้านอย่างไรอย่างนั้น แต่เรื่องมันน่าตื่นเต้นขึ้นอีกนิด แทนที่จะน่าเบื่อเกินไป คือในระหว่างที่เราเดินเลือกร้านอาหารอยู่นั้น ส่วนมากจะเถียงกันมากกว่าว่าตกลงแล้วจะกินอะไร เราบังเอิญเจอกับชัญญ่า แฟนของเก็ทเข้าครับ
“อ้าว ฟร๊องก์!” ร่างเพรียวบางในชุดนักศึกษาปรากฏขึ้นตรงหน้าผมของและปาร์คพร้อมกับน้ำเสียงหวานแหลมที่ดูมั่นใจ
“อ้าวญ่า เป็นไงมาไงเนี่ย” ผมส่งยิ้มร่าทักทาย จะว่าไปผมกับชัญญ่าก็คุยกันบ่อยเหมือนกันนะครับ ส่วนใหญ่จะเป็นในไลน์ แต่ก็จะมีฝ่ายสาวเจ้าที่โทรมาสนทนาในประเด็นเด็ดประเด็นร้อนด้วย อย่างล่าสุดที่เธอโทรมาคุยก็เป็นเรื่องของเพื่อนตัวปัญหาของเธอคนนั้น ยังจำได้ไหมครับ คนที่กุเรื่องให้ชัญญ่าเข้าใจผมกับเก็ทผิด เธอไปจัดการมาเรียบร้อยแล้ว
ผมก็นั่งฟังคร่าวๆ นะครับ เพราะมันคงดูไม่ดีนักถ้าจะแสดงความเห็นหรือใส่อารมณ์มากเกินไปกับเรื่องที่ไม่ใช่ของผม แต่ก็พอจับใจความได้ประมาณว่า ผู้หญิงคนนั้นเป็นเพื่อนสมัยมัธยมของชัญญ่า ซึ่งแม่นั่นก็ชอบเก็ทมาตั้งแต่มัธยม แต่ด้วยความที่เก็ทเป็นคนที่ท่าทางเย็นชามาตั้งแต่ไหนแต่ไร แม่นั่นเลยไม่ประสบความสำเร็จ จนเก็ทเปิดตัวว่าคบกับชัญญ่า เธอก็ค่อยๆ ตีสนิทกับชัญญ่าและกลุ่มเพื่อนๆ ของเธอเพื่อคอยหาเรื่อง แต่งเรื่องบ้างเล็กๆ น้อยๆ ให้ทั้งเก็ทและชัญญ่าต้องทะเลาะกันอยู่เรื่อยๆ แต่ไม่หนักหนานัก เพราะทั้งคู่ค่อนข้างเชื่อใจกัน แถมยังมีโลกส่วนตัวสูงทั้งคู่อีกต่างหาก จนมาล่าสุดที่เธอมากุเรื่องของผมกับเก็ทเนี่ยแหละครับ เพราะเธออยู่มหาวิทยาลัยเดียวกับผม คงจะเห็นมั้งว่าผมไปไหนมาไหนกับเก็ทตลอด เลยเก็บข้อมูล ประจวบกับวันที่เกิดเรื่อง เธอเลยได้หลักฐานชิ้นเด็ดเพื่อมาใช้ยืนยันว่าเรื่องที่เธอพูดเป็นเรื่องจริง และที่แย่ไปกว่านั้นคือชัญญ่ากับเก็ทก็แอบงอนง้อกันมาก่อนหน้านั้นแล้วด้วย พอมีเรื่องนี้เข้ามาอีกเลยทะเลาะกันกลายเป็นเรื่องใหญ่โต
ส่วนชัญญ่าจัดการกับแม่นั่นอย่างไร ผมก็จำไม่ค่อยได้เหมือนกันครับ แต่รู้สึกว่าจะเจ็บแสบพอสมควรเลย ชัญญ่าบอกว่าใช้เวลารวบรวมข้อมูล หลักฐานพฤติกรรมของผู้หญิงคนนั้นอยู่นานพอสมควร ทั้งสืบจากคนใกล้ตัวโน้นนี่เต็มไปหมดเลยครับ จนสุดท้ายเธอก็ได้หลักฐานเด็ดๆ มาจัดการกับเจ้าหล่อน โดยส่งทุกอย่างไปให้แฟนผู้หญิงคนนั้นมั้ง จนทะเลาะกันใหญ่โต ถึงขั้นเลิกกันเลย ตอนแรกผมก็พูดๆ กลับไปนะว่าชัญญ่าทำรุนแรงเกินไปหรือเปล่า แต่ชัญญ่าก็อธิบายมาครับว่าก่อนหน้านี้เธอก็คิดอยู่ว่ามันจะเป็นบาปกรรมไหม แต่พอเธอสืบประวัติเพื่อนตัวร้ายคนนี้ของเธอเรียบร้อย เธอก็ได้รู้ว่า แฟนที่เจ้าหล่อนนั่นคบยาวนานที่สุดก็เพราะว่ารวย คบเพื่อหลอกเอาเงิน ทั้งที่ตัวเองก็ยังมีกิ๊ก และมีอะไรต่อมิอะไรกับผู้ชายอื่นไปทั่ว เห้อ... คนเราก็เนอะ บางทีรอปล่อยให้กรรมตามสนองอย่างเดียวก็อาจจะไม่พอจริงๆ หลังจากจบเรื่องนั้น ชัญญ่าก็ไม่มีท่าทีหวาดกลัวกับการที่จะถูกแก้แค้นอีกนะครับ เพราะประวัติอันฉาวโฉ่ของหล่อนนางนั้นมีเยอะมากจนถ้าชัญญ่างัดออกมาโชว์เพิ่มจริงๆ แม่นั่นคงไม่ได้ผุดได้เกิด งานนี้ทำให้ผมรู้สึกเลยครับว่ามีเรื่องกับผู้หญิง อันตรายมากจริงๆ มันเท่ากับขุดหลุมฝังตัวเองชัดๆ โดยเฉพาะกับผู้หญิงที่ส่งยิ้มหวานอยู่ตรงหน้าผมในตอนนี้
“ก็เลิกเรียนแล้วก็มาอ่ะ เบื่อๆ ว่าแต่ฟร๊องก์เถอะ ทำไมวันนี้มาไกลจัง แล้วมากับใครเนี่ย” ชัญญ่าตอบคำถามของผมอย่างฉะฉาน ก่อนจะส่งคำถามกลับมายังผมเช่นกัน เธอมองผมด้วยรอยยิ้มสดใส ก่อนจะเหลือบมองไปยังปาร์คที่ยืนงงๆ กับบทสนทนาของเราสองคนอยู่ข้างๆ ผม
“อ่ะ... อ๋อ นี่... เพื่อนฟร๊องก์น่ะ ชื่อปาร์ค” ผมแค่นยิ้มก่อนจะพูดออกไปอย่างยากลำบากกับสถานะที่มันยังดูคลุมเครือ ไม่ชัดเจน แต่ก็ต้องพูดออกไป ผมเน้นคำว่าเพื่อนหนักกว่าคำอื่นๆ เพราะตอนนี้มันคงเป็นความสัมพันธ์ที่ชัดเจนที่สุดสำหรับผมและปาร์ค
“อ๋อออ... เพื่อนนน...” ชัญญ่าทำเสียงยาวพร้อมยิ้มให้ผมอย่างมีเลศนัย “เราชัญญ่านะ เป็นเพื่อนฟร๊องก์เหมือนกัน ยินดีที่ได้รู้จัก” ก่อนที่เธอจะหันไปทำความรู้จักกับปาร์คอย่างสนิทสนม ผมเองก็แอบขำกับท่าทางของชัญญ่าเหมือนกัน แต่ไม่ได้หันไปมองปาร์คว่าจะมีสีหน้าอย่างไรกับการโจมตีแบบซึ่งๆ เช่นนี้
“ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันครับ” ปาร์คตอบกลับด้วยน้ำเสียงปกติ
“แล้วนี่จะไปไหนกันต่อเหรอ”
“ว่าจะไปหาอะไรกินน่ะ” ผมตอบ
“ชัญญ่าไปด้วยกันไหม” เป็นปาร์คครับที่ถามขึ้นมา ปกติแล้วปาร์คเป็นคนเข้ากับคนได้ง่ายครับ แล้วยิ่งคนที่เป็นกันเองอย่างชัญญ่าด้วย เลยไม่แปลกที่จะเริ่มทำความรู้จักกันได้ไว ดูอย่างผมที่การเข้าสังคมเกือบติดลบสิ ยังสนิทกับชัญญ่าได้ไวขนาดนี้เลย เพราะรู้สึกว่าไม่ต้องพิธีรีตอง ไม่ต้องวางตัว ใส่หน้ากากเข้าหากันมั้งครับ เลยทำให้ผมรู้สึกว่าชัญญ่าเป็นอีกคนที่น่าคบหาสมาคมด้วย
“อุ๊ย! ว่าจะชวนอยู่พอดีเลย ไปสิๆ จะได้คุยกันยาวๆ” เพราะแบบนี้แหละครับ ถึงทำให้สนิทกับเธอได้ง่าย แม้บุคลิกภายนอกจะดูเข้าถึงยาก ดูหยิ่งดูแรง แต่พอได้รู้จักจริงๆ ผู้หญิงที่แต่งตัวเปรี้ยวแบบนี้ก็มีนิสัยน่ารักๆ อยู่เหมือนกัน
“นี่ยังเถียงกับปาร์คอยู่เลยว่าจะกินอะไรกันดี ฟร๊องก์อ่ะอยากกินปิ้งย่าง แต่ปาร์คอยากกินอะไรต้มๆ” ผมว่าพลางเหลือบมองปาร์คที่ยังคงเดินข้างๆ แบบงอนๆ ชอบบรรยากาศแบบนี้จัง
“งั้นเอางี้... ไปกินร้านส้มตำกัน ฟร๊องก์สั่งไก่ย่าง ส่วนปาร์คก็สั่งต้มแซ่บ เป็นไง ได้กินอย่างที่ต้องการ ครบเป๊ะ!” ชัญญ่าดีดนิ้วอย่างถูกใจ เล่นเอาผมสองคนหลุดขำออกมาอย่างไม่ได้นัดหมาย เออมันก็จริงของชัญญ่านะครับ ได้ทั้งอาหารปิ้งย่างและอาหารแบบน้ำต้มๆ เลย ก็คิดได้เนอะ
“ฮ่าๆ ตามนั้นก็ได้” ปาร์ครับคำอย่างชอบใจ พลางหัวเราะอย่างอารมณ์ดี
จากนั้นเราก็ไปจบกันอยู่ในร้านส้มตำสไตล์ร้านขึ้นห้างล่ะครับ บรรยากาศบนโต๊ะเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ โดยมีชัญญ่าเป็นตัวชูโรง รวมทั้งปาร์คเองที่ก็ผลัดกันเล่นรับส่งมุกกันไปมา ส่วนผมก็มีเสริมๆ บ้างแต่ตามไม่ค่อยทันเท่าไร ส่วนใหญ่จะนั่งขำอย่างเดียวเลยครับ เผลอแป๊บเดียว สองคนนี้ก็ดูสนิทกันไปซะแล้ว แต่ผมกลับรู้สึกว่าชัญญ่าเนียนมากในการแทรกคำถามที่เป็นการล้วงข้อมูลระหว่างผมกับปาร์ค ซึ่งบางทีเราก็รู้ทัน และบางครั้งใครสักคนก็หลุดพูดออกไปโดยไม่รู้ตัว ผมว่าชัญญ่าเก็บข้อมูลไปได้เพียบเลยแหละครับ หลังจากจบมื้ออาหารที่มีบรรยากาศไม่ต่างจากตลกคาเฟ่ เราสามคนก็เดินคุยกันต่อสักพักจนในที่สุดที่บ้านชัญญ่าก็โทรมาตามบอกว่ามีธุระด่วนจึงต้องแยกกัน ผมว่าถ้าทางบ้านของชัญญ่าไม่โทรมา พวกเราคงคุยกันยันห้างปิด ฮ่าๆ ผมอยากเห็นเหมือนกันนะ เวลาที่เก็ทกับชัญญ่าอยู่ด้วยกันสองคน มันจะเป็นอย่างไร คนหนึ่งก็มาดนิ่ง ขี้เก็ก เย็นชาซะเหลือเกิน แต่อีกคนก็วางท่าเปรี้ยวมั่นใจซะ แต่จริงๆ แล้วกลับตบมุกตลกได้เพียบ เป็นคู่ที่แปลกดีเหมือนกันนะ และวันนี้ผมก็ได้เห็นอีกมุมของปาร์คกับคนที่เพิ่งจะรู้จัก ปาร์คเองก็สามารถวางตัวและเข้ากับคนได้ดีและเป็นกันเองมากๆ ที่สำคัญ มันดูน่ารักมากในสายตาผม
เรื่องยังมีต่ออีกนิด แต่ก็แค่... เอ่อ... ตอนที่ปาร์คมาส่งผมที่หอแล้ว ก่อนที่ผมจะลงจากรถ ปาร์คก็ดึงตัวผมเข้าไปกอด ก่อนจะหอมผมฟอดใหญ่ที่แก้มทั้งสองข้าง ก่อนจะคลอเคลียใบหน้าตัวเองอยู่ที่หัวไหล่ของผมอยู่สักพักจึงปล่อยให้ผมเป็นอิสระ ส่วนผมหลังจากลงจากรถก็รีบเข้าหอไปทันทีเลยครับ เห็นตัวเองผ่านกระจกภายในลิฟต์ก็รู้ทันทีว่าผมกำลังเขินแค่ไหน ก็หน้าและใบหูที่แดงราวกับลูกตำลึงสุกของผมที่สะท้อนอยู่บนกระจกนั่นสิครับ เป็นหลักฐานมัดตัวชั้นดี ยังไงผมก็ยังไม่ชินหรอกครับ ที่จะให้ปาร์คมันมากอด มาหอม หรือแม้แต่... จูบ
สำหรับผมในตอนนี้ผมก็ไม่รู้ว่ามันคือความสมหวังหรือเปล่าที่คนที่ผมรัก มาอยู่เคียงข้าง แต่ผมคงไม่หวังอะไรไปมากกว่านี้แล้ว จริงๆ ผมไม่ได้หวังและไม่เคยหวังว่าผมจะได้รับอะไรมากขนาดนี้ด้วยซ้ำ แม้ว่าในวันนี้สถานะด้านความสัมพันธ์ของผมกับปาร์คจะยังไม่เห็นเป็นที่ประจักษ์ชัดเจน แต่ผมรับรู้ได้ว่าหัวใจและความรู้สึกของเราสองคนนั้นเด่นชัดและแจ่มแจ้งเพียงใด
วันพรุ่งนี้ไม่ว่าความสัมพันธ์ของเราจะต้องเผชิญอะไร ผมพร้อมจะจับมือปาร์คแล้วเดินต่อไป ผมอยากให้ปาร์ครับรู้ว่ามันยังคงมีผมอยู่เคียงข้างเสมอ ไม่ว่าทางจะไกลแค่ไหน แค่ขอให้มันพร้อมจะจับมือผมไปเช่นกัน
หลังจากวันนั้นมา ผมรู้สึกว่าอะไรมันก็ดีขึ้น โลกของผมดูสดใสขึ้น ปาร์คโทรหาผมบ่อยขึ้นกว่าเดิมหลังจากที่เราทะเลาะกัน แต่ก็ไม่ใช่ทุกวันเหมือนแต่ก่อน แต่ผมว่าก็ไม่อึดอัดเท่าเดิม แถมทุกครั้งที่โทรมา การพูดจาของปาร์คก็ดูหยอกล้อผมมากขึ้น หรือแม้แต่บางครั้งก็มีแอบเลียนจนผมเองก็อยากจะอ้วกให้รู้แล้วรู้รอด แต่ช่วงเวลาที่ได้คุยกับมันก็ยังคงเป็นช่วงเวลาดีๆ ที่เกิดขึ้นในแต่ละวันอยู่ดี
à suivre...
ยังไม่มีอะไรไม่ดีเกิดขึ้น 555+ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะดีกันแบบนี้ต่อไปหรือเปล่า หุหุ
เราขอน้อมรับทุกคอมเม้นต์น๊า ขอบคุณมากๆ ที่ทำให้เรารู้ข้อดี และข้อผิดพลาดในงานของเรา