———————— เพื่อนผู้ปกครอง * พระเอกเป็นออทิสติก * —————— ตอนที่ 61 * 23/02/63
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ———————— เพื่อนผู้ปกครอง * พระเอกเป็นออทิสติก * —————— ตอนที่ 61 * 23/02/63  (อ่าน 37477 ครั้ง)

ออฟไลน์ ZOFIARIN

  • ▇ โซเฟียริน • อวยพระเอก ▇ Whәи ɴᴏᴛʜɪɴɢ is یuгe , eveяything is possißle ♡
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 125
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-1
    • Twitter








▇ ▇ ▇ ▇ ▇ ▇ ▇ ▇ ▇ ▇    11    ▇ ▇ ▇ ▇ ▇ ▇ ▇ ▇ ▇ ▇







“ too fragile , please be kind . ”






          ป่วยกายและป่วยใจเป็นสิ่งที่ไม่ควรเกิดขึ้นพร้อมกันมากที่สุด หากแค่ป่วยกายแต่ใจแข็งแรง ก็ยังมีกำลังใจสู้ต่อ หากป่วยแค่ใจ แต่อย่างน้อยร่างกายแข็งแรง ก็ไม่ทำให้อะไรๆมันแย่ลง


          แต่ตอนนี้สิ่งที่แย่ที่สุดกำลังเกิดขึ้นพร้อมกัน กับคนที่ผมรักที่สุด

          เทมป่วย ทั้งทางร่างกายและจิตใจ...


          "หมอก็ไม่อยากทำแบบนี้นะครับ แต่หมอคิดว่าน้องเทมคงจะต้องกลับมาทานยา..."

          สีหน้าของคุณพี่หมอที่เทมปุระชอบเรียก ฉายชัดถึงความกังวลและความจริงจัง ตอนนี้ผมกำลังอยู่บนคอนโดที่เป็นบ้านของเทมครับ ตอนผมมาถึง ก็เจอคุณป้ากำลังนั่งร้องไห้อยู่กับพยาบาล ผมที่ร้อนใจอยู่แล้วก็ยิ่งรู้สึกใจคอไม่ดีมากยิ่งขึ้นไปอีก จึงรีบถามหาคนที่ผมต้องการเจอมากที่สุด จนได้คำตอบมา


          แต่คำตอบไม่มีประโยชน์อะไร เพราะแม้จะรู้ว่าเขาอยู่ไหน แต่ผมก็ไม่สามารถเข้าไปหาเขาได้


          ...เทมขังตัวเองไว้ในห้อง
          ประตูนั้นถูกล็อคเอาไว้...ด้วยฝีมือของเจ้าตัวเอง



          ผมตั้งใจจะพังประตูเข้าไปหา จะไม่ยอมให้ประตูมาเป็นตัวเกะกะขวางทางผมไปหาสุดยอดความห่วงหาของผมได้ แต่หมอประจำตัวของเทม ก็เรียกผมเข้ามาพูดคุยถึงอาการกำเริบขั้นหนักที่สุดในชีวิตของเด็กน้อยหลังประตู ปรึกษาหารืออาการที่เขากำลังเป็นอยู่ตอนนี้เสียก่อน


               และมันแย่...
            แย่...เอามากๆ


          "ตอนนี้สภาพจิตใจของน้องจากที่หมอได้วินิจฉัย อาการออทิสติกของเจ้าตัวกำเริบขึ้นมาอย่างมาก ทั้งไม่ยอมสบตา พูดไม่รู้เรื่อง อาการพูดติดอ่าง และข้อสำคัญที่ทำให้หมอคิดว่าน้องเทมควรได้รับการรักษาด้วยการทานยา คือมีความก้าวร้าว และอาการหมกหมุ่นจนเกินไป ตอนนี้เจ้าตัวไม่ยอมให้ใครเข้าไปหาในห้อง ปฎิเสธผู้คนขั้นรุนแรงแม้กระทั่งคุณแม่ของเจ้าตัว และนั่งพูดคุยกับตุ๊กตาอยู่คนเดียวมาสองชั่วโมงแล้วครับ"


          ความร้าวรานหยั่งลึกลงถึงจิตวิญญาณ มันกรีดกว้างจนผมแสบไปหมด ผมแทบนั่งทนฟังต่อไปไม่ได้ ผมอยากให้คุณหมอหยุดพูด หยุดพูดว่าเทมปุระเด็กน้อยของผมอาการหนักแค่ไหน แต่ผมก็ทำไม่ได้ ทำได้แค่นั่งนิ่ง และฟังต่อไปจนจบ แม้หัวใจจะถูกประโยคเหล่านั้นบิดความรู้สึกให้ทรมานแทบตายขนาดไหนก็ตาม


          "หมอเกรงว่าถ้าเราไม่รักษาเขาให้ดีขึ้นในระยะเวลาที่รวดเร็ว จะมีผลต่อการพัฒนาการของสมอง ทำให้ถอยหลังลงไปมากกว่าเดิม...คุณหมูก็รู้ใช่ไหมครับ ว่ามันหมายความว่าอย่างไร..."


          ทำไมผมจะไม่รู้ ผมรู้ดีเลยล่ะ ในเมื่อผมพยายามหลีกเลี่ยงมันมาตลอด


          การเจริญเติบโตของเด็กออทิสติก ไม่เหมือนกับคนปกติที่จะเติบโตไปข้างหน้าอย่างเดียว ความแตกต่างกับกลุ่มเด็กพิเศษ ก็คือ หากไม่ได้รับการดูแล หรือสั่งสอนอบรมอย่างที่ถูกที่ควร หรือแม้แต่หากมีเรื่องไปกระตุ้นเขามากๆ การพัฒนาจะหยุดชะงัก หรือที่แย่กว่านั้น คือถดถอยลง...


          การพัฒนาที่ถดถอย เป็นคำที่รุนแรงยิ่งกว่าอาวุธชนิดใดจะเทียบได้ มันยิงหัวใจคนฟังจนเป็นรูพรุน เป็นปลายมีดกระซวกความรู้สึกให้พังจนย่อยยับ เป็นคำสั้นๆที่ไม่มีใครอยากได้ยิน


          เพราะมันหมายความว่าเขาจะไม่เหมือนเดิม ทั้งอาจจะหยุดพูดไป หยุดการเรียนรู้ ไม่สามารถทำความเข้าใจได้แม้แต่กระทั่งคำพูดง่ายๆ ไม่สามารถบอกความต้องการ หรือแม้แต่แสดงความรู้สึกก็ยังทำไม่ได้  อารมณ์ที่ไม่คงที่ มีความก้าวร้าวสูง ไม่สามารถควบคุมตัวเอง เหมือนกลับไปเป็นแค่เด็กอายุไม่กี่ขวบเท่านั้น


          เทมปุระจะกลายเป็นแค่หุ่นเชิดของโรค ทำให้เขาทรมาน... และหากปล่อยไว้นานๆ
          ผมอาจจะไม่ได้เขากลับมาอีกเลย


          ส่วนยาที่หมอพูดถึง...หากเป็นไปได้ก็จะไม่ใช้กัน และจะเลือกใช้วิธีอื่นกันเสียมากกว่า การรักษาด้วยยามักจะเป็นหนทางสุดท้าย ไว้สำหรับเหตุการณ์ที่เกินรับมือไหวจริงๆเท่านั้น
          เพราะผลรักษาของยาสำหรับเด็กออทิสติก ไม่เหมือนยาแก้ไขหรือแก้หวัด หรือยารักษาโรคใดๆ ที่ทานแล้วช่วยฆ่าเชื้อไวรัสให้หายไป ยาไม่ได้ทำให้เขาดีขึ้นแบบถาวร หรือแก้ไขอาการที่กำเริบให้หายดี

          แต่เป็นการใช้เพื่อควบคุมความประพฤติ ใช้เพื่อควบคุมให้เขานิ่งสงบลงเท่านั้น
หากเปรียบเทียบให้เข้าใจง่ายๆ ยาเม็ดเล็กๆก็คือพัศดี ที่จะจับทุกความนึกคิดของเจ้าตัวคุมขังเอาไว้ในเรือนจำ

          ผลของยาจะทำให้เจ้าตัวเอาแต่ง่วงนอน ซึมกระทือ ไร้ชีวิตชีวา ซึ่งมันไม่ใช่การแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ พอหมดฤทธิ์ยาเขาก็จะกลับไปเป็นเหมือนเดิมอีกครั้ง ช่วงเวลาที่ไม่ได้ทานยาก็จะกลับมาก้าวร้าว เหม่อลอย และหากแก้ปัญหาไม่ได้ ก็จะทำให้ต้องทานยาไปตลอดชีวิต ...ซึ่งไม่ใช่เรื่องดี

          ยาทำให้จินตนาการของเขาหายไป กักขังความคิดไว้ภายใต้ความง่วงซึม ไร้เสรีแม้กระทั่งความนึกคิด ไม่มีอิสระกระทั่งความรู้สึกของตัวเอง ผมว่ามันเป็นเรื่องที่โหดร้ายมาก...
          เพราะแม้ใจจะอยากทำอะไร แต่ยาก็บังคับให้คิดอะไรไม่ออก เป็นเพียงเหมือนหุ่นยนต์ที่ถูกป้อนคำสั่งจากสมองให้นิ่งค้าง เย็นชืดไร้จิตใจ


          ซึ่งมันทรมานนะครับ ถ้าจะต้องมาเห็นคนที่เรารักกลายมาเป็นอะไรที่เหมือนการฝึกสัตว์ด้วยยาชายาสลบ ไม่ได้ใช้ชีวิตแบบที่เขาต้องการและเป็นอิสระ


          ผมทำใจไม่ได้ ผมทนไม่ได้ที่จะเห็นเทมปุระที่ไร้สีสันของชีวิตแบบนั้น เทมปุระที่น่ารักของผมไม่ควรถูกสิ่งใดมาบดบัง ไม่ควรมีสีใดสีหนึ่งมาทาทับสีสันของเขา


          ตั้งแต่ผมเข้ามาในชีวิตของนางฟ้าตัวน้อย ผมปฏิเสธห้ามการใช้ยาขั้นเด็ดขาด


          ผมรักษาเขาด้วยการเรียนรู้และสิ่งแวดล้อมที่ดีเสมอมา  ค่อยๆสั่งสอนปรับพฤติกรรมของเขา เยียวยาเขา พัฒนาเขาด้วยความใส่ใจทั้งหมดของผม ใช้ความรักอุดทุกรูโหว่และช่องว่าง  ผมใช้สิ่งดีๆ ใช้ความพยายาม ความเข้าใจ และความสม่ำเสมอทดแทนยาเม็ดเล็ก


          พัฒนาการของเขากำลังเป็นไปได้ด้วยดี เป็นไปด้วยดีตลอดมา


          แต่มันก็พังครืนลง


          ยอดตัวต่อที่ผมและทุกคนเฝ้าพยายามระมัดระวังสุดชีวิตในการวางตัวต่อทีละขั้น ทีละขั้น พวกผมกลั้นหายใจวางทีละตัว ทีละตัว จนยอดของมันสูงขึ้นมากๆจากแต่ก่อน


          แต่แค่เพียงชั่วระยะเวลาเพียงครู่เดียว เพียงแค่ชั่วครู่เดียว ก็โดนคนนอกเข้ามาเตะมันจนแตกกระจายพังครืนลง


          แผลที่กายไม่กี่วันก็หาย แค่ผมใส่ยา พาเขาไปหาหมอ ไม่นานนางฟ้าของผมก็จะหายดี แต่แผลที่จิตใจ... ต้องใช้เวลาเท่าใดซ่อมแซม หัวใจที่แตกสลายต้องใช้เวลายาวนานแค่ไหนกว่าผมจะกอบกู้หัวใจดวงเดิมให้กลับมาสมบรูณ์ดีอีกครั้ง


          และแม้แผลใจจะหาย แต่แผลนั้นก็จะทิ้งร่อยรอย เป็นแผลเป็นในใจเขาตลอดไป หัวใจสลายแตกลง ประกอบอย่างไรก็มีรอยร้าว ประกอบอย่างไรก็ไม่มีทางเหมือนเดิม


           แต่ผมจะรักษาอย่างปราณีตที่สุด แนบชิดเศษซากทุกชิ้นด้วยความรักของผม


          และครั้งนี้ผมจะปกป้องมันไว้ให้ดีที่สุด ไม่ให้ใครแตะต้อง ไม่ให้ใครมาทำลายมันลงได้อีกเด็ดขาด



          "ผมขอเวลาหนึ่งวันครับ ถ้าเทมไม่ดีขึ้นจริงๆ ยังปฎิเสธการพบเจอผู้คนอยู่ ถ้าหาก...ถ้าหากว่าเขาปฏิเสธกระทั่งผม...ผมจะยอมอนุญาตให้ใช้ยากับเขาได้..."


          ดวงตาของผมฉายประกายเด็ดเดี่ยว

          คุณหมอดูมีท่าทางลังเล อาจจะเพราะไม่เคยเห็นเทมอาการหนักขนาดนี้มาก่อน

          ผมก็ไม่เคย แต่ผมเชื่อว่าผมรับมือเขาได้ ผมจะทำให้เขาดีขึ้น กลับไปเป็นเทมปุระคนเดิม ผมเชื่อว่าต้นอ่อนที่ผมลงมือปลูก เฝ้าดูแล คอยรดน้ำพรวนดินตลอดมา ไม่ใช่ต้นไม้อ่อนแอ ที่ไม่สามารถผ่านพ้นเรื่องนี้ไปได้ เทมปุระเป็นเด็กชายผู้กล้าหาญและแข็งแกร่งกว่าที่ใครๆคิด เขาจะผ่านมันไปได้     


          เหมือนที่เขาเชื่อในตัวผม...ผมเชื่อในตัวเขา


          คุณหมอดูท่าทางคล้อยตามตามความตั้งใจจริงของผม แต่ก็ยังต้องขอถามความคิดเห็นจากผู้ปกครองตัวจริงของเด็กชาย คุณหมอหันไปสบตาเป็นเชิงถามสตรีผู้มีสิทธิ์ขาดในตัวของผู้ป่วยตัวน้อย
          คุณป้าที่กำลังสะอื้นอยู่เบาๆ ก็พยักหน้ารับโดยไร้ความลังเล คุณป้าหันมาสบกับดวงตาของผม ก่อนจะยิ้มอ่อนโยนส่งมาให้

          แม้ท่านจะเป็นห่วงเทมปุระสุดหัวใจ แต่ท่านก็ยอม...ยอมให้ผมได้ดูแลหัวใจของท่านอีกครั้ง


          "ให้น้องหมูหย็องได้ลองดูเถอะค่ะคุณหมอ แกดูแลของแกมานาน ฉันก็ทำไม่ได้ คุณหมอก็ทำไม่ได้ ไม่มีใครทำได้...แต่ฉันคิดว่าน้องหมูหย็องทำได้ค่ะ...พาน้องเทมคนเดิมกลับมานะคะ ฮึก คุณป้าขอรบกวนด้วยนะคะ ช่วยน้องเทมด้วยนะคะลูก"


          ผมเดินเข้าไปกอบกุมมือที่โอบอุ้มเลี้ยงดูเทมมาตั้งแต่เด็ก เพราะความเครียดและความเป็นห่วงที่เกาะกุมจนแน่น ทำให้คุณป้าที่ยังดูสาวสวยเสมอมา กลับดูโรยราอ่อนล้าและชราลงมาก ภายในชั่วเวลาเดียว


          "ขอบคุณนะครับที่เชื่อในตัวผม ผมสัญญาว่าจะพาเทมปุระคนเดิมของพวกเรากลับมาให้ได้ คุณป้าไปพักผ่อนเถอะนะครับ ส่วนคุณหมอผมขอบคุณมาก แต่ยังไงช่วยอยู่สแตนด์บายกันไว้สักสี่คนนะครับ"


          หญิงสาวตรงหน้าซับน้ำตาเอ่ยขอบคุณผมด้วยดวงตาฝากความหวัง ผมยิ้มรับความหวังนั้น เอ่ยคำสั่งกับทีมแพทย์ส่วนตัว


          ก่อนจะเดินออกมาตามเส้นทางที่แสนคุ้นเคย ต่อให้ถูกมัดปิดตา ไร้ภาพนำทาง ผมก็สามารถเดินไปหาห้องของเทมได้อย่างสบาย เพราะผมมาที่นี่บ่อยจนคล้ายกับเป็นบ้านหลังที่สอง
          คอนโดแบบเพนท์เฮาส์สองชั้น ชั้นบนเป็นเหมือนอาณาจักรขององค์ชายเทมปุระ บันไดสีขาวพาดวนขึ้นไป ตามพนังมีรูปถ่ายทุกช่วงการเติบโตของเขาติดเอาไว้ไล่เรียงกันไปจนถึงสุดปลายทาง


          รูปภาพถ่ายไล่ตั้งแต่เทมยังเป็นเด็กทารกตัวกระจิดริด ตอนแรกเกิด คุณป้าเคยเล่าให้ฟังว่าเจ้าตัวไม่ร้องไห้จนเหล่าคุณพยาบาลใจคอไม่ดี เทมปุระเป็นเด็กที่คลอดก่อนกำหนดถึงสี่เดือน ตัวเล็กกระจ่อยร้อย หายใจแผ่วเบาเสียทุกคนต้องช่วยลุ้น ท่ามกลางความหวังอันน้อยนิด ว่าเขาจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่ถึงเติบใหญ่


          และอาจจะไม่รอดชีวิตถึงค่ำคืนต่อไป...


                ปาฎิหารย์ได้เกิดขึ้น ณ ตอนนั้้น


          เทมปุระ เด็กชายตัวน้อยผู้ไม่ร้องไห้ยามเกิด แต่กลับเกิดขึ้นมาพร้อมกับรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ
เป็นตัวแทนของความสิ้นหวังและความหวังไปพร้อมๆกัน


          จนถึงเขาในปัจจุบัน

ผมอมยิ้มตามริมฝีปากสวยที่แย้มออกในรูปภาพ


          รอยยิ้มของเขาไม่เคยเปลี่ยนไปเลย

          เป็นรอยยิ้มที่ทำให้ผมนึกรักเขาเสมอ


เป็นรอยยิ้มที่ผมอยากจะครอบครอง และปกป้องไปตลอดชีวิต



          ...เขาเป็นปาฏิหาริย์ที่เกิดขึ้นจริงในชีวิตผม...






          ประตูไม้สีฟ้าสดใส ที่มีสติกเกอร์ลายเจ้าตัวชอบแปะอยู่เต็มไปหมด นอกเหนือจากนั้นก็มีรูปวาดจากปากกาเมจิค ถูกวาดเป็นรูปหมู และรูปวาดคนง่ายๆ อย่างวงกลมและขีดเส้นแขนขา เขียนชื่อกำกับไว้ด้วยลายมือแสนยึกยือ เป็นชื่อของคุณป้า เป็นชื่อของคุณป๊า หม่าม้าและพี่น้องของผมทุกคน มีเต้และมีน้ำ เป็นบานประตูที่รวบรวมคนสำคัญเอาไว้บนนั้น
          เทมเคยบอกว่า เวลาเปิดประตูเข้าห้องนอน ถ้าได้เห็นหน้าทุกคนก่อน จะได้หลับฝันดี เพราะเอาทุกคนมานอนด้วยกันไม่ได้ แต่อย่างน้อยๆก็ยังมีตัวแทนให้อุ่นใจ คำพูดที่น่ารักพอกับการกระทำ ทำให้นึกเอ็นดูทุกครั้งที่นึกถึง


          สีฟ้าสดใส วันนี้กลับดูหม่นหมองผิดแปลกไปจากทุกวัน


          ประตูที่ทุกครั้งจะเปิดกว้างต้อนรับเสมอ วันนี้ปิดลงและไม่มีทีท่าจะเปิดออก อาณาจักรสดใสร่าเริง เต็มไปด้วยความสุขของเขาดูไม่ต้องการเปิดรับแขกคนใดให้เข้าไปหา องค์ชายน้อยของอาณาจักรสั่งปิดทางเชื่อมทุกอย่างเอาไว้


          ความอึดอัดซ้อนทับข้างในจนเนืองแน่นไปหมด แขนขาที่จะก้าวไปข้างหน้าหนักอึ้งเหมือนมีเหล็กหลายสิบตันถ่วงเอาไว้


          ความจริงแล้ว ผมก็กลัว...กลัวภาพที่จะได้เห็นข้างหน้า กลัวหัวใจของผมจะพังตามเขาไป กลัวว่าตัวเองจะประคองสติเอาไว้ไม่อยู่ และคงทำได้แค่สิ้นสติต่อหน้าเขาโดยยังไม่ทันได้ทำอะไร

          ภาวนาให้ตัวเองแข็งแกร่งพอที่จะพยุงร่างกายและหัวใจร้าวรานไปกอดปลอบเขาไหว


          บนบานประตูมีกระจกใสที่สามารถมองเห็นความเป็นไปในห้อง ผมกับคุณป้าตกลงให้มีกระจกมองทะลุตรงนี้ได้ เพราะเทมน้อยตอนเด็กๆมักจะฝันร้ายจนเผลอกลิ้งตกเตียง และเทมก็ไม่ชอบไปโรงพยาบาลนัก เราจึงใช้ห้องนอนเป็นห้องรักษา และกระจกก็มีเพื่อดูความเป็นไปตอนเขาถูกตรวจ


          วันนี้กระจกใสก็ได้ทำหน้าที่ของมันอีกครั้ง ผมกลั้นใจเงยหน้ามองลอดเข้าไปในห้องที่ปิดไฟมืดสนิท มีเพียงแสงจากโคมไฟตัวเล็กที่ให้ความสว่าง แสงสีส้มนวลที่แลดูอ่อนโยน อาบไล้ไปตามพื้นห้อง ผมไล่สายตามองหาคนสำคัญของตัวเอง ก่อนจะแปลกใจที่ไม่พบเงาร่างสูงอยู่ที่ใด


          เสียงกุกกักพร้อมเสียงพูดคุยด้วยภาษาแปลกประหลาด เรียกความสนใจจากผมไป


          ใต้เตียงที่แสงส่องไปไม่ถึง เห็นแค่เพียงเงาเลือนลางที่สั่นไหวในความมืด เทมปุระนอนหลบซ่อนอยู่ข้างใต้นั้น พร้อมตุ๊กตาตัวใหญ่หลายตัวที่เจ้าตัวเอามาตั้งเรียง เสมือนเป็นเกาะกำบัง หลบพ้นซ่อนตัวจากทุกสิ่งและทุกคน


          ผมสะท้านในอก

          เขาทนความโหดร้ายที่เจอไม่ได้ จนต้องหลีกหนีไปอยู่ในโลกของตัวเอง...


          ผมรู้สึกเหมือนความเจ็บปวดทั้งหมดในชีวิตมารวมกระจุกกันอยู่ข้างใน เยอะมากเสียจนล้นทะลักมาถึงลำคอ ดวงตาผมร้อนผ่าว ทำนบน้ำตาแทบจะพังทลายลงเดี๋ยวนั้น


          ผมสูดหายใจลึกอยู่นานกับภาพที่เห็น ลูบอกปลอบใจตัวเองว่าทุกอย่างจะต้องดีขึ้น


          ผมอยู่ที่นี่แล้ว

          ผมมาหาเขาแล้ว






          ผมตะโกนเสียงดัง หวังให้เสียงดังพอที่จะทะลุเข้าไปในห้อง และในโลกที่เขาสร้างขึ้น

          แม้ผมจะมีกุญแจสำรองสามารถไขเข้าไปข้างในห้องเขาได้ตามใจ แต่ผมเลือกลองหยั่งเชิงเด็กน้อยอารมณ์แปรปรวนดูเสียก่อน และอีกแง่ก็เพื่อเป็นการกระตุ้นให้เขามีปฎิกิริยาตอบรับจากผู้อื่น


          "เทม! เทมครับ เทม! เปิดประตูให้หมูหน่อยสิครับ"


เพล้ง! เพล้ง!



          ผลตอบรับไม่ดีเอาเสียเลย เสียงแตกหักพาเอาใจผมวูบโหวง


          เสียงเขาเขวี้ยงปาข้าวของใส่ประตู เป็นความรุนแรงก้าวร้าวที่คุณหมอพูดถึง
          เทมปุระใช้วิธีปฏิเสธผู้คนรุนแรงถึงเพียงนี้เชียวหรือ...มิน่าล่ะทั้งคุณหมอและคุณป้าถึงได้กังวลหนัก ถึงขนาดคิดจะใช้ยากัน


          ผมพยายามเรียกหาเขาอีกหลายครั้ง แต่ทุกครั้งที่เรียก เสียงทำลายข้าวของยิ่งหนักขึ้น และหนักขึ้น


          หากการที่เขาเขวี้ยงปาทำลายสิ่งของ สามารถระบายอารมณ์ที่คุกรุ่นในใจออกไป แล้วอาการดีขึ้น ผมจะไม่ว่าอะไรเลยครับ

          ยินดีซื้อทุกสิ่งให้เขาทำลายทิ้งอย่างไม่เสียดายสักนิด ไม่ว่าสิ่งที่เขาอยากพังคือโทรศัพท์ราคาแพง เหล้าหายาก ไวน์อย่างดี หรือสิ่งของล้ำค่าหรูหราขนาดไหนก็ตาม ผมจะซื้อมากองให้เขาตอนนี้เดี๋ยวนี้

          แต่นี่นอกจากไม่หาย ถ้าเขากลับมาเป็นปกติเมื่อไหร่ ความรู้สึกผิดจะห่อหุ้มตัวเขาจนแน่น เด็กชายเทมปุระของผมจะรู้สึกแย่ยิ่งกว่าเดิม ผมไม่อยากให้เขารู้สึกไม่ดีไปมากกว่านี้อีกแล้ว


          และที่สำคัญที่สุด คือ...


          "เทมครับ อย่าปาข้าวของนะ อันตรายนะครับ เดี๋ยวจะเผลอเหยียบไป! เทมครับ เทม..."


          ผมเป็นห่วงว่าเขาจะถูกเศษแตกหักเหล่านั้นบาด


         แม้ผมจะตะโกนเสียงดัง ทุบประตูเท่าไหร่ นานแค่ไหน ก็ไม่มีเสียงตอบรับ แม้กระทั่งเสียงสิ่งใดกระทบประตูขับไล่อีก มีเพียงเสียงทุ้มที่กลับไปพูดคุยกับตุ๊กตาตามเดิม เหมือนสวิตช์ถูกกดสับ สลับไปมา เขาไม่เป็นตัวของตัวเอง ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้เลยแม้แต่นิดเดียว

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-10-2018 10:02:52 โดย ZOFIARIN »

ออฟไลน์ ZOFIARIN

  • ▇ โซเฟียริน • อวยพระเอก ▇ Whәи ɴᴏᴛʜɪɴɢ is یuгe , eveяything is possißle ♡
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 125
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-1
    • Twitter


          ครั้งนี้ผมตัดสินใจที่จะไม่เคาะประตู และเลือกใช้กุญแจสำรองไขเข้าไป พวงกุญแจที่เราสองคนไปเลือกซื้อด้วยกัน กระดิ่งที่ติด ประสานเสียงดังออกไปทำลายความเงียบที่เกาะกุมไปทั่ว
          เสียงกระทบกันของกระดิ่ง ไม่ใช่เสียงดังอะไร แต่กลับเหมือนเป็นเสียงไซเรน กู่ร้องแจ้งเตือน ยามภัยวิบัติกำลังใกล้เข้ามาสำหรับคนที่หลบซ่อนตัวอยู่


               เสียงตึงตังดังออกมาจากใต้เตียง เหมือนกับร่างสูงขุดคู้ตัวเข้าหากันเพื่อหลีกหนี


          ผมสืบเท้าเข้าไปใกล้ เดินเข้าไปหาเตียงใหญ่ที่วางอยู่กลางห้อง ใช้แสงสว่างน้อยนิดเป็นตัวหลบเลี่ยงของที่แตกกระจายเกลื่อนบนพื้น


          แต่แม้จะหลบไป ก็ดูไม่มีประโยชน์ ในเมื่อจิตใต้สำนึกยังสั่งให้เจ็บปวดแสนสาหัสทุกวินาที


           ทั้งๆที่ทั่วทั้งห้องถูกปูด้วยพรมหนานุ่มชั้นดี แต่สำหรับผมตอนนี้ ความนุ่มที่อยู่ใต้ฝ่าเท้ากลับแข็งกระด้างและแหลมคม ในความรู้สึกไม่ใช่เนื้อผ้าชั้นดีอย่างที่เป็นเสมอมา แปรเปลี่ยนเป็นเข็มพิษนับพันที่กำลังทิ่มแทง ปล่อยพิษร้ายกาจเล่นงานให้เจ็บแปลบปลาบทุกก้าวที่ย่างเดิน


          "ข-เข้า คะ-ใคร-ใคร ม-ไม่!!"


          เสียงตะโกนก้าวร้าวอย่างที่ไม่เคยเป็น ถูกตะคอกออกมาจากข้างในใต้นั้น ผมชะงัก

          เทมปุระไม่เคยขึ้นเสียงใส่ผม ใจผมร่วงหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม แม้ใจจะปลิวหายไปแล้ว แต่ผมพยายามเรียกขวัญกำลังใจใหม่ ก้าวด้วยความมั่นคงเข้าไปใกล้ให้มากกว่าเดิม


          ระยะทางจากประตูห้องถึงเตียงใหญ่ ไม่ไกลเลยสักนิด ใช่เวลาไม่ถึงนาทีก็ถึง แต่วันนี้กลับดูยืดยาวออกไปแสนไกล



          แปลกเหลือเกินที่วันนี้หลายๆอย่างดูแปลกไป
          รวมทั้งเจ้าของห้องเองก็เช่นกัน...


          "ฮือ ฮือ ชะ-ช่วยด้วย ดะ-ด้วย กะ-ก-กลัว กลัว กลัว มะ-ไม่เอ-า เอา ไม่ละ-แอว แล้ว!"


          จิตใจของผมแหลกละเอียด น้ำเสียงหวาดผวาแสนหวาดกลัวสุดขั้วหัวใจของเขา ทำก้อนสะอื้นของผมจุกอก เทมปุระแค่จะพูดให้เรียงเป็นประโยคยังทำไม่ได้ แต่เพียงชั่วครู่เดียว เจ้าชายน้อยของห้องก็กลับหันไปพูดคุยด้วยภาษาที่ผมไม่เข้าใจกับตุ๊กตาอีกครั้ง อารมณ์ไม่คงที่และเริ่มหมกหมุ่นกับบางอย่าง ทำเอาผมกังวลห่วงเขาจนแทบคลั่ง


          สองขาหนักอึ้งกลับดูเบาหวิว ผมรีบวิ่งตรงเข้าไปหาเขา ดึงตุ๊กตาที่กองกันเป็นภูเขาให้เขาหลบซ่อนออก เทมหวีดร้องออกมาเสียงดัง กระเสือกกระสนยื้อแย่งเจ้าผ้ายัดนุ่นกลับคืนไป เขาคำรามเหมือนสัตว์ตัวน้อยบาดเจ็บ เมื่อกองนุ่นพวกนั้นถูกผมปัดออก เสียงกรีดร้องโหยหาอ้อนวอนขอพวกมันกลับคืน ดังเจ้าตุ๊กตาพวกนั้นเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจเพียงอย่างเดียวที่เขามี



          "อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก ม-ไม่ ไม่ ไม่!!! ม๊ายยยยยยยยยยย!!!!!



          ผมตกใจจนเผลอปล่อยมือ เห็นเพียงครึ่งร่างของเขาที่โผล่พ้นจากขอบเตียง ทั้งตัวของร่างสูงสั่นเทิ้มไปหมด เจ้าตัวกระวีกระวาดรวบกอดเหล่าตุ๊กตากลับคืน ก่อนจะรีบดันตัวเองกลับเข้าไปในที่ซ่อนตัวลึกยิ่งกว่าเดิม


          นัยน์ตาแข็งค้าง อัญมณีสีสวยไม่สะท้อนสิ่งใด หน้าตาหวาดกลัวขั้นสุดของเทมทำสติผมแตกกระจาย

          จิตใจที่ร้าวแทบแหลกของผม ขาดสะบั้นลงเดี๋ยวนี้


            ผมทนไม่ไหวอีกแล้ว...


          น้ำตามากมายไหลออกมา ผมร้องไห้โฮเสียงดัง อย่างไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น ผมเจ็บ

          เจ็บเหลือเกิน เจ็บไปหมด

          เจ็บ เจ็บ เจ็บ เจ็บ

          เจ็บ...



          ทำไมเรื่องราวเลวร้ายต้องเกิดขึ้นกับเทมปุระของผมด้วย เป็นผมแทนไม่ได้หรือ

          พวกมันโกรธผม เกลียดผม ก็ควรมาลงกับผมสิ

          ไม่ใช่เทม มันไม่ควรเป็นเขาที่ถูกทำร้าย


          ทำไมถึงเจ็บได้ถึงขนาดนี้นะ ความเจ็บนี่ไม่มีขอบเขตหรืออย่างไร ทำไมมันถึงได้แผ่ขยายไปกว้างไกลนัก ทำไมความร้าวรานดูไม่มีขอบเขตสิ้นสุดเสียที



          "ม-อูออง?"


          เสียงร้องไห้ของผม ทำเจ้าตัวที่หลบหนีโลกความเป็นจริง เดินออกมา กลับมายังโลกที่มีผมอยู่ โลกที่มีผมที่ต้องการเขาให้อยู่ด้วยกันอย่างสุดหัวใจ


          "ม-อูออง?"


          เสียงทุ้มถามซ้ำออกมา มือที่ผมชอบกอบกุ่มรับไออุ่นถูกยื่นออกมาหา ดูสั่นกลัวแต่เขาก็ยื่นมันออกมาหาผม ผมปาดน้ำตาบนใบหน้าของตัวเองออกอย่างลวกๆ กลั้นสะอื้นแล้วรีบรุดตัวเข้าไปหาเขา


          "หมูเองครับเทม หมูหย็องของเทมไงครับ"


          ผมเสียงสั่น พอกันกับมือของเขา ผมวางมือของตัวเองลงบนมือที่ดูลังเล ความอบอุ่นที่แสนผูกพันธ์และคุ้นชิน หลั่งไหลออกมาจากการแนบชิดของสองมือ ร่างที่สั่นเกร็งอยู่ตลอดเวลาดูผ่อนคลายและนิ่งสงบลง ผมปล่อยให้ความเงียบครอบครองเราเอาไว้ทั้งสองคน ไม่กี่นาทีแต่เหมือนนิจนิรันด์


          "เอม-ทะ-เทม...หมูออง เอี-เรียก ไม่มา เรียก-ไร ก้อ ไม่ มา"


          แม้เด็กชายตัวน้อยของผมจะพูดเสียงปนสะอื้นจนฟังดูแทบไม่รู้เรื่อง รูปประโยคที่ไม่ปะติดปะต่อจนแทบจะไม่สามารถจับใจความ แต่ผมฟังรู้เรื่อง


          เขากำลังบอกผมว่า ...เทมเรียกหมูหย็อง เรียกหมูหย็องเท่าไหร่ หมูหย็องก็ไม่มา...


          ตอนที่เขากำลังโดนรุมทำร้าย เขาเรียกหาผม เรียกหาผมเท่าไหร่ แต่ผมก็ไม่ไปหาเขา
ผมก็ไม่ได้อยู่ข้างกายของเขา ผมไปช่วยเขาไว้ไม่ได้ ผมไปไม่ทัน


          ผมรู้ว่าเทมปุระไม่คิดจะกล่าวโทษผม แต่ประโยคนั้นก็เหมือนเหล็กแหลมที่ทิ่มแทงผมจนเป็นรู
ความเจ็บป่วยทางร่างกายและจิตใจ ทำให้เขาอ่อนแอจนยอมเผยส่วนลึกในจิตใจ


          "เอาะ-เพราะเอม-เทม-ปัญญาอ่อน เอมโง่ อู-หมูอองเลย ไอ่-หา"

          "ไม่จริง! ไม่ใช่! ไม่ใช่นะครับเทม ฟังหมูนะคนดี ถ้าหมูรู้ ไม่มีทางที่หมูจะไม่ไปหา ไม่มีทางที่หมูจะปล่อยเทมไว้คนเดียวนะครับ ฮึก เชื่อหมูนะ เชื่อหมู อย่าฟังใคร เทมไม่ใช่คนโง่ เป็นคนเก่งที่สุดของหมู"


          ผมละล่ำละลักพูดบอกเขา น้ำตาที่ยังไม่แห้งเหือดดีกลับไหลลงมาอีก เมื่อเขาพูดเหมือนไม่เชื่อใจกัน


          "อัยอ้อง มั่ย-ไม่ร้องอับ! ดี ละ-ล-แล้ว ไม่มา ม-ไม่ต้อง-มา มันเจ-เอ็บ เจ็บ อัน-มันน่ากลัว เดี๋ยวหมูอองเจ็บนะคับ"


          ทั้งที่ๆเขาจะพาลโทษเป็นความผิดของผมก็ได้ เพราะผมเคยให้สัญญาชั่วชีวิตกับเขาไว้ในอดีต ไม่ว่าเมื่อไหร่ที่เขาเรียกหา ผมจะไปหาเขาเสมอ...เหมือนที่เขาจะมาหาผมเสมอ เมื่อผมเรียกร้อง

          เป็นสัญญาขององครักษ์ที่จะพิทักษ์กันและกัน
          และครั้งนี้ผมก็ผิดสัญญา...ผมทำตามสัญญาที่ให้เขาไว้ไม่ได้


          เขามีสิทธิ์ต่อว่า แต่เขาก็ไม่ทำ เขากลับบอกว่าดีแล้วที่ผมไม่ไปหาเขา เพราะมันน่ากลัว เพราะมันเจ็บ แล้วเขาไม่กลัวหรือ เขาไม่เจ็บหรือ


          เขาให้อภัยผมหรือ ที่ทำตามสัญญาที่เคยให้สัตย์สาบานเอาไว้ไม่ได้...


          ผมสะอื้นและกำมือเขาแน่น กำแรงจนผมคิดว่าเขาจะต้องเจ็บมากแน่ๆ เพราะผมควบคุมตัวเองไม่ได้ น้ำตามากมายทะลักออกมาจนผมมองภาพข้างหน้าไม่เห็น ทุกอย่างพร่าเลือนดูไม่จริงจนเหมือนภาพฝัน


          แต่แรงโอบกอด ที่ดึงรั้งผมเข้าไปซุกอก ไออุ่นร้อนจากอีกฝ่ายคือสิ่งที่บอกผมว่าคือความจริง


          "ไอ่อ้องคับ-ไม่-มะ-ไม่ร้อง เอมรู้-อู-หมูมาช่วย"


          ฝ่ามือใหญ่ลูบลงบนศรีษะของผม ทั้งๆที่เขากำลังแย่ ทั้งๆที่เขาก็แหลกลาญไม่มีชิ้นดี แต่พอเห็นผมร้องไห้ เขาก็ยอมกระโดดก้าวข้ามกำแพงของตัวเองเข้ามาปลอบโยน สองมือผมกอดรัดร่างเขาเอาไว้แน่น ผมร้องไห้จนเหมือนแทบจะขาดใจอยู่ในอ้อมกอดของเขา เรากอดกันอยู่นาน นานจนผมหยุดสะอื้น


          แม้ผมจะหยุดสติแตกแล้ว แต่ผมก็ยังคงกอดรั้งร่างของเขาเอาไว้แน่น


          อยากให้เวลาหยุดเคลื่อนไหว อยากให้ทุกสิ่งหยุดลง ตอนที่ผมอยู่ในอ้อมกอดของเขาแบบนี้


          "หมูขอโทษที่ไปช่วยเทมเอาไว้ไม่ทันนะครับ กลัวไหมครับ เจ็บมากหรือเปล่า ขอโทษนะ หมูขอโทษ อึก ขอโทษนะครับ"


          ผมที่พูดได้ไม่กี่คำน้ำตาก็พาลจะไหลอีกรอบ จนเทมต้องเอามือมาปิดปากผมเอาไว้ ดวงตาที่แข็งกระด้างเมื่อสักครู่ ตอนนี้ดูอ่อนแสงลง ความอ่อนโยน และสายตาแสนรักที่ผมคุ้นเคยสะท้อนพราวระยับอยู่ในนั้น


          "อาทันคับ มาทัน ตอนไอ-ไหนก็ทัน ขอแค่อู-หมูมา"


          รอยยิ้มที่แม้จะดูบิดเบี้ยวไปเล็กน้อย แต่ก็เป็นรอยยิ้มแสนคุ้นเคย


          เป็นรอยยิ้มที่ผมรัก


          ผมโถมตัวใส่เขา ซุกเข้าไปที่คอแกร่ง กอดเข้าไว้แน่น แน่นที่สุดเท่าที่จะทำได้
          แนบแน่นใกล้ชิด จนเหมือนได้เสียงของเขาหัวเราะชิดอยู่ที่ข้างหู
          เทมกอดผมตอบ พลางประทับริมฝีปากลงมาซับน้ำตาที่หางตาให้อย่างอ่อนโยน


          เทมของผม เทมปุระของผม เทมปุระของผมกลับมาแล้ว...


          เขากลับมาหาผมแล้ว



          ความหวาดกลัวทั้งหมด ถูกรอยจูบซับหายไป
          ความหนาวเหน็บที่กัดกินก็ถูกไออุ่นหลอมละลาย
          ความมีชีวิตชีวากลับคืนมา ความสุขที่หายไปกลับคืนมา


          จิตวิณญาณอีกครึ่ง และครึ่งหนึ่งของชีวิตผม
          ก็กลับคืนมาเช่นเดียวกัน



          "ขอบคุณนะครับ ขอบคุณ ขอบคุณจริงๆ"





          ขอบคุณที่ให้อภัย ขอบคุณที่ไม่โกรธกัน


          ขอบคุณ ขอบคุณ ขอบคุณ ขอบคุณ


          ขอบคุณที่ยอมกลับมา


          ขอบคุณนะครับเทมปุระ


          ความรัก ความหวัง และปาฏิหาริย์ของผม
         ขอบคุณจริงๆ










end 11 .
twitter #เพื่อนผู้ปกครอง






« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-10-2018 10:03:26 โดย ZOFIARIN »

ออฟไลน์ เพียงเพื่อน

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 175
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1

ออฟไลน์ catka12

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 578
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-0
 :m15: สงสารน้องเทมและหมูมากเลย..... พวกพูดไม่คิดและพวกนักเลงโต .... มันน่า...  :z6:

ออฟไลน์ ZOFIARIN

  • ▇ โซเฟียริน • อวยพระเอก ▇ Whәи ɴᴏᴛʜɪɴɢ is یuгe , eveяything is possißle ♡
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 125
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-1
    • Twitter







* ตอนที่ 12 กำลังแก้ไขเนื้อเรื่องค่ะ สามารถอ่านของเดิมได้อีกที่ที่เราลงไว้ก่อน เสิจในกูเกิ้ลได้เลยค่ะ *


13





ภายในแค่ยี่สิบสี่ชั่วโมง เทมก็อาละวาดโวยวายหาผมไปแล้วเจ็ดครั้ง มีสามครั้งที่รุนแรงจนผมต้องเรียกพี่พยาบาลเข้ามาช่วย และทุกสี่ชั่วโมงที่ผมเข้าไปเยี่ยมสิบนาที แล้วต้องหันหลังออกมา เสียงครางคล้ายสัตว์บาดเจ็บไล่ตามหลัง พร้อมร่างสูงที่ทำท่าอยากจะรั้งผมไว้มากมาย แต่ก็ทำเพียงข่มใจหันหน้าไปซุกหมอนแล้วสะอื้นเพียงลำพัง ผมอยากจะหมุนตัวแล้วกระโจนเข้าไปโอบกอดแล้วพร่ำบอกว่าจะไม่ห่างเขาไปไหน แต่ก็ทำไม่ได้ ถ้าผมอยู่เกินเวลา เจ้านาฬิกาสีฟ้าสดใสข้างเตียงก็ส่งเสียงเตือนสัญญาณแห่งการห่างไกล มันน่าจับแล้วปาใส่พนังให้พังจริงๆเลยครับ ถ้าไม่มีเสียงเตือนนั่นเทมก็คงจะยอมให้ผมนั่งอยู่ใกล้ๆเขาตลอดไปแท้ๆ


ตอนนี้เวลาก็ใกล้หมุนวนครบสี่ชั่วโมงอีกครั้ง อีกเพียงแค่สิบนาที ก็จะสี่ทุ่ม แม้จะเป็นเวลาค่อนข้างดึก ยามปกติสี่ทุ่มคือเวลาเข้านอน เข็มสั้นที่ชี้เลขสิบ เด็กน้อยของผมคงจะหลับอุตุไปแล้ว แต่วันนี้ดูท่าเจ้าตัวจะเฝ้ารอ ฝืนตาแข็ง ใจจดใจจ่อกับการนับถอยหลังเสียเหลือเกิน


ว่าไม่ได้เสียด้วยสิครับ...
เพราะผมก็เอาแต่ภาวนาให้เข็มวินาทีหมุนเร็วขึ้นเพียงสักนิดก็ยังดี
ผมอยากไปอยู่ใกล้ๆเขา เร็วๆจังเลย


ผมกระตุกสายที่เชื่อมสัมผัสเพียงอย่างเดียวของพวกเราเอาไว้ ถือแก้วกระดาษมาจ่อที่ปาก กรอกเสียงพูดคุยกับเขาเหมือนที่ทำมาหลายชั่วโมง ในจอไอแพดปรากฏสีหน้าของคนที่ผมคะนึงหาตลอดเวลา กำลังตื่นเต้นกับระยะเวที่เริ่มน้อยลง


"เทมจะอ่านนิทานเรื่องอะไร คิดไว้หรือยังครับ"


ตอนนี้เรื่องราวเหมือนย้อนกลับไปสมัยก่อน ตอนที่ผมกับเขายังเด็ก สมัยที่เทมยังคงพูดไม่ชัด และเรียนไม่ทันคนอื่น สี่วันในหนึ่งสัปดาห์ ผมมักจะมานอนค้างที่บ้านเขา หรือเขาไปนอนค้างที่บ้านผม ผมจะคอยพาเขาอ่านนิทาน พูดคุยกับเขาเยอะแยะไปหมด เราสรรหาเรื่องมาคุยกันได้มากมาย ตั้งแต่เรื่องแมวที่หลุดเข้ามาในบ้าน หรือขนมไอศกรีมรสใหม่ที่ออก ผมพยายามให้เขาฝึกพูดเยอะๆ เพื่อที่จะได้คุ้นชินกับคำศัพท์ และรูปประโยค ตอนนี้ก็คล้ายกับว่าเรามาเริ่มนับหนึ่งกันใหม่ แบบฝึกหัดของเด็กอนุบาลหลายเล่มวางอยู่ข้างเตียง


ตั้งแต่สมุดคัด ABC หรือ ก-ฮ ต่างสีสัน วิธีบวกเลขต่างๆ
ผมกับคุณหมอยังไม่แน่ใจ ว่าเขาแค่มีปัญหาด้านการพูดกับการบังคับควบคุมร่างกาย หรือส่งผลไปถึงความทรงจำด้านการเรียนรู้ของเขาด้วย ผมไม่อยากเสี่ยงรอจนเทมหายถึงค่อยมาตรวจ ระหว่างที่เขายังกำเริบอาการ ผมก็ฝึกเขาไปด้วยดีกว่า ถือว่ารื้อพื้นฐานกันใหม่พอดี


เทมที่นั่งทำแบบฝึกหัดไปด้วย มองนาฬิกาไปด้วย ดูน่าเอ็นดูจนผมอยากแอบเข้าไปหมุนเข็มทั้งหมด ให้ไปถึงเวลาสี่ทุ่มเสียเดี๋ยวนี้ เทมเงยหน้าขึ้นมามองผมในจอ ที่เจ้าตัวเอาตั้งไว้กับหมอนเสียใกล้ชิด กล้องที่อยู่ใกล้เกินไป ทำให้ผมเห็นใบหน้าเขาเสียแทบจะล้นจอ ดูตลกปนน่ารักมากๆ


"ม่ายอยากอ่าน อยากพังมู๋ย็องคับ"


ไม่อยากอ่าน อยากฟังผมพูด...ผมหัวเราะกับความเอาแต่ใจ ที่ไม่ได้เห็นมานานแล้วของเทม ผมพยักหน้าตกลงไปในกล้อง เทมดูดีใจแล้วรีบเร่งก้มหน้าไปทำแบบฝึกหัดให้เสร็จ
 

"น้องหมูคะ ป้าเอานมมาให้ค่ะ"


คุณป้าที่อยู่ในชุดยามที่สงสัยว่าคงเพิ่งจะเลิกงาน เดินมาพร้อมถาดที่มีนมสองแก้วอุ่นๆสำหรับผมกับเทม ผมรับเอาไว้ก่อนจะเอ่ยขอบคุณ ตอนนี้ผมให้คนที่บ้านหาซื้อที่นอนมานอนหน้าห้องเทมแล้วครับ ถึงคุณป้าบอกให้ไปนอนห้องนอนอีกห้องดีกว่า แต่ผมก็ไม่อยากไปไกลจากคนขี้งอแงที่ตอนนี้ติดผมหนึบเป็นตังเมเสียด้วยสิครับ เจ้าเด็กน้อยที่พอสักพักก็เอาแต่กระตุกเชือก เหมือนคอยเช็คตลอดว่าผมยังอยู่ข้างนอกไหม ทั้งๆที่ในจอก็เห็นผมแท้ๆ แต่ก็ยังเขย่าเชือกไปมาไม่ยอมหยุด จนกว่าผมจะดึงตอบ


หายไปเข้าห้องน้ำครู่เดียว เทมก็กระจองอแงหาแล้วครับ


บอกตรงๆเลยนะครับ...
ว่าผมโคตร...โคตรรรรรรรร โคตรของโคตรๆ จะคิดถึงความรู้สึกนี้เลย!
ความรู้สึกที่เทมต้องการผมมาก จนควบคุมตัวเองไม่ได้นี้น่ะ ตามติดผมเหมือนลูกเจี๊ยบตามแม่นี้น่ะ


คิดถึงมากจริงๆ


เหมือนมันผ่านมาหลายปีแล้วเลยครับ ที่เทมติดผมขนาดหนักขนาดนี้
พอเทมโตขึ้นมาหน่อย เขาก็มีความอดทนและรู้จักการรอคอยมากยิ่งขึ้น ไม่ค่อยเอาแต่ใจตัวเองแล้วครับ
ซึ่งจริงๆแล้วผมนะ อยากให้เขางอแงหาผมตลอดเวลาที่สุดเลย ไอ้น้ำไอ้เต้เคยบอกว่าผมเป็นโรคเสพย์ติดเทมมากเกินไป ไม่เถียงหรอกครับ เพราะผมเสพย์ติดเทมที่เสพย์ติดผมมาก ใครจะกล้าปฎิเสธคนที่ตัวเองรักได้ลง แล้วเวลาเป็นที่ต้องการน่ะ เป็นความรู้สึกที่วิเศษสุดๆไปเลย


"น้องหมูจะนอนตรงนี้จริงๆหรือคะ ป้าว่าน่าจะนอนไม่สบายนะ ให้ป้ามานอนเฝ้าน้องเทมแทนไหมคะลูก"


คุณป้าที่ว่าอย่างกังวล เพราะเตียงที่หามาแบบกระทันหัน ไม่ใช่ที่นอนยี่ห้อที่ผมใช้นอนประจำ จะไปสั่งทำตอนนี้กว่าจะเสร็จเทมก็หายป่วยพอดีครับ...ปกติก็ไม่มีปัญหาอะไร เพราะผมก็นอนเตียงเดียวกับเทมตลอด แต่ตอนนี้อย่าว่าแต่นอนเลยครับ เข้าไปใกล้มากๆ เจ้าหมาน้อยนี่ก็ขู่ขนฟู ทัตวพองฟู่ใส่แล้ว เฮ้อ ความขัดแย้งที่อยากให้เทมหายดีกับไม่หายตลอดไปตีกัน จนผมก็ชักรู้สึกอยากลงไปงอแงกับพื้นแล้วเหมือนกัน


"ไม่เป็นไรครับ ผมนอนตรงนี้ได้ เดี๋ยวเทมหาผมไม่เจอจะงอแงอีก"


ผมแกล้งหันไปอมยิ้มมุมปากเล็กๆแซวเจ้าคนที่ยื่นหน้ามาเสียชิดจอ เมื่อเห็นคุณแม่ของตัวเองถือนมรสโปรดมาให้


"นมขง ของเทม คุุนแม่ ขอบคุนคับ"


เทมปุระฉีกยิ้มกว้างโชว์ฟันเขี้ยว คุณป้าหัวเราะจนน้ำตาไหล ที่เห็นลูกชายตัวเองเอาหน้ามาชิดติดจอ แนบชิดขนาดที่จมูกเจ้าตัวดันขึ้นไปข้างบน คล้ายจมูกหมูเลยครับ ผมกับคุณป้าขำจนสำลัก แต่เทมที่ไม่รู้ว่าพวกผมหัวเราะอะไรกัน ก็ยิ่งพยายามยื่นหน้าเข้ามาใกล้ เพื่อจะแอบฟังด้วยเข้าไปอีก พวกผมก็เลยกลายเป็นว่าหัวเราะกันแบบหยุดไม่ได้เลยทีเดียว


"แค่ก แค่ก ฮึๆ ฮ่าๆ น้องเทมคะลูก ไม่เอาหน้าชิดกล้องขนาดนั่นนะคะ อุ้บ คุณแม่ขำไม่ไหวแล้วนะ โธ่ เด็กคนนี้นี่ล่ะก็"

"ขามไรอ่า พังด้วยคน เทมพังด้วยคนคับ"

"ฟังครับน้องเทม ฟอฟันนะครับ ฟัง"

"เทมก็บ-บอกว่าฟางนะ แต่ลิ้นมันม่ายกาด๊ก กาดก กระดก! คับ"

"พยายามเข้านะคะลูก ถ้ากลับมาพูดชัดๆเหมือนเดิม จะได้คุยกับน้องหมูชัดๆไงเนอะ จะได้กลับไปโรงเรียนด้วย..."


พอคุณป้าเอ่ยถึงโรงเรียน เด็กน้อยก็ชะงัก ร่างสูงสะดุ้งจนตัวโยน มือที่จับปากกาเขียนคำตอบ ดูเกร็งแน่นขึ้นมา ใบหน้าที่เงยหันมาอย่างสดใส ดูซีดขาวลง คุณป้าที่รู้แล้วว่าเผลอไปเหยียบกับระเบิดเข้า ก็ใจหายวาบ


"อะ-เอ่อ คุณแม่ขอโทษนะคะน้องเทม..."


เทมปุระที่เงียบไป แต่พอได้ยินเสียงเศร้าของมารดาก็รีบเงยหน้ามายิ้มให้


"กิงนมนอนเนอะ คุนแม่ก็นอนๆน้าคับ นอนน้านอน พันดีคับ"

"ครับ น้องเทมก็ฝันดีนะครับ เดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าคุณแม่ทำบัวลอยให้ทานนะ หมูหย็องก็ฝันดีนะลูก อยากได้อะไรก็ไปเรียกแม่ได้นะครับ"


คุณป้าหันมาบอกผมอย่างอารี ก่อนจะหันมายิ้มหวานให้ลูกชายกับผมก่อนจะเดินลงไป


ผลจากวันนี้ ที่ผมโดดเรียนอยู่กับเขาทั้งวัน ชวนคุยกันไม่หยุด กระตุ้นเขาหลากหลายวิธีการ เทมเริ่มกลับมาพูดชัดเจนขึ้น เรียงประโยคได้ดีขึ้นมากแล้วครับ นอกจากนับเวลาถอยหลังเข้าไปหาเขา นี่ผมยังต้องนับถอยหลังเตรียมตัวทำใจกับเขาที่โตแล้วอีกหรือครับเนี่ย เฮ้อ ให้เทมเป็นเด็กสามวัน เป็นผู้ใหญ่สามวันไม่ได้หรือไงกันนะ


ผมหันไปมองนาฬิกาที่บอกเวลาสี่ทุ่มตรงเป๊ะ เชือกก็ถูกดึงถี่รัวทันที


"มู๋ววววอ็องงงง หมุหย็องงงงงงง สี่ท่วมแล้วคับ! นี่ๆเล็กสี่แล้ว!"


เทมตีปีกพรึ่บพรั่บ มือหนาชี้นาฬิกาให้ผมดู พลางทำท่าจะวิ่งลงจากเตียงมาหา


"เทมอย่าวิ่งครับ! รอหมูที่เตียงนะ เดี๋ยวหมูเข้าไป"



ผมหันไปดุเจ้านกที่กระพือปีกอย่างดีใจ จะถลาเข้ามาหา โดยที่เจ้าตัวก็ลืมไปสิ้นว่ายังบังคับตัวเองไม่ค่อยคล่องนักอยู่ เทมพยักหน้ารับผมหลายรอบ จนผมกลัวว่าเขาจะปวดหัว ถึงได้รีบถือถาดนมเข้าไปหาร่างสูงที่นั่วยิ้มกว้างตาเป็นประกายรอยู่บนเตียง



"ขอบคุนคับผม"

"ดื่มเสร็จแล้วเดี๋ยวหมูเอากะละมังมาให้แปรงฟันนะครับ"

"หมุหย็อง แปง แปง ป-แปลงด้วยกันนะคับ?"

"ได้ครับ งั้นเดี๋ยวหมูไปหยิบแปรงมาแปรงด้วยกันนะ"



เทมทำมือโอเค ทั้งๆที่ริมฝีปากเปรอะไปด้วยคราบนมเป็นวงกลม หึๆ เหมือนกลายเป็นลุงเทมเพราะฟองนมที่กลายเป็นหนวดให้เจ้าตัวเลยครับ ดีจริงๆที่คุณป้าเอานมขึ้นมาให้เทม เพราะรอบก่อนๆ เทมกลัวผมติดหวัด จนใส่ผ้าปิดปากเอาไว้ตลอดเวลา ทำให้ผมได้มองเขาในระยะใกล้ๆเพียงแค่ครึ่งใบหน้า ตอนนี้ได้เห็นเต็มๆแล้ว...


"เทมกลายเป็นคุณลุงไปแล้ว" ผมวางแก้วนมที่ว่างเปล่าของผมลง แล้วเอ่ยแซวเทมปุระวัยสิบห้าที่มีหนวดสีขาวขึ้นรอบปาก เทมทำตาโตดูงงงวย จนผมชี้มือไปที่แก้วแล้วก็ปากของเขา เจ้าตัวถึงทำเสียงอ๋อในลำคอ แต่เทมก็ไม่ได้เช็ดออก กลับทำท่าหลังค่อมเป็นคนแก่ แล้วทำเสียงให้ยานค้างเหมือนคนอายุเยอะ


"หมุน่อย แบบนี้เหมือนคุนลุงเทมหรือยัง หงึกหงึก"


ผมขำก๊ากออกมากับท่าทางของอีกฝ่าย ที่ทำหน้าบิดเบี้ยวไปด้วยเสียสมจริง ผมขำจนน้ำตาเล็ดอีกรอบ เทมก็ยังคงไม่เลิกเล่น สรรหาท่าทางตลกๆมาทำให้เขากับฟองนมหนวดนั่นไม่หยุด มีทำท่าเป็นนักปราชลูบหนวดไปมา พลางหยิบแบบฝึกหัดชั้นอนุบาล มาเก๊กหน้าขรึมเหมือนกำลังดูตำรายากๆเสียด้วย


"ตามลา เอ้ย ต้มลา ตะ-ตัมลา ต-ตำราเล่มนี้ช่างยากนัก"


ผมหัวเราะจนแทบจะหายใจไม่ทัน เทมทำท่าล้อเลียนนักปราชในซีรี่ย์หนังจีนที่คุณม๊าเคยเปิดให้ดู แต่นักปราชท่านนี้ไม่ได้ถือตำราวิชายุทธิ์ที่สามารถปราบคนนับสิบในสองกระบวนท่า แต่เป็นแบบฝึกหัดคณิตบวกเลขหลักเดียวต่างหาก หน้าตาทรงภูมิมีความรู้ ดูไม่เข้ากันกับสมุดนั่นเอาเสียเลย ก่อนผมจะขาดใจตายเพราะหัวเราะมากเกินไป


เทมที่จู่ๆก็เลิกแกล้งเป็นชายชรา ก็มองสบผมด้วยดวงตาละมุน จนผมสำลักลมหายใจตัวเอง...
เมื่อสักครู่เด็กชายเทมปุระ ยังเป็นแค่เด็กชายตัวน้อยที่เล่นมุกตลกแป้กๆแต่ผมดันขำ แต่จู่ๆก็ดูนิ่งขึ้นมา ตอนนี้แววตาที่ผมหลงใหลเคลือบไปด้วยความละมุน จนผมรู้สึกหวานแปลบขึ้นมาในอก ผมรู้สึกร้อนผ่าวกับสายตาแบบนี้ของเขา...


"ม-หมุ หมูหย็องยิ้มแล้ว"


เทมว่าอย่างดีใจ อา...จู่ๆก็รู้สึกอยากร้องไห้ขึ้นมาเลยครับ เขาคงคอยสังเกตผมมาตลอดทั้งวัน แม้ผมจะไม่ได้แสดงอะไรออกไปมากมายนัก แต่ที่จริงผมก็ค่อนข้างกังวลเรื่องของเขามาก จนความรู้สึกมันขึงจนตรึงอยู่ข้างใน ผมกลัวว่าเขาจะต้องใช้เวลานานกว่าจะสามารถกลับมาใช้ชีวิตประจำวันของตัวเองได้ กังวลว่าอาการของเขาจะกำเริบตอนไหน สารพัดอย่างที่ผมเป็นห่วงเขาไปหมด จนลืมไปว่าอีกฝ่ายก็คงกังวลที่รอยยิ้มของผมน้อยลงกว่าทุกวันเหมือนกัน


"เพราะเทมไงครับ เพราะเทมทำให้หมูยิ้มได้นะ รู้ไหม"

"ต-แต่ เทมก้อให้ ทัมให้หมุหย็องล้องไห้ ขอโทกนะคับ..."

"เรื่องวันนี้ไม่ใช่ความผิดของเทมนะครับ เพราะเจ้าเชื้อไข้หวัดไม่สบายต่างหาก เหมือนตอนหมูป่วย หมูก็งอแงใช่ไหมครับ เทมก็เหมือนกัน เวลาคนเราไม่สบาย เราก็จะเผลอทำตัวแปลกไปจากเดิมนะครับรู้ไหม ไม่ต้องโทษตัวเองนะ แต่ถ้าเทมอยากขอโทษหมูจริงๆ ก็หายไวๆนะครับ"

"เทมขอโทกนะ...เจ็บหมายคับ"


มืออุ่นร้อนของเขาแตะลงมาแผ่วเบาที่รอยช้ำตรงต้นคอของผม
ผมเอื้อมมือออกไปกุมมือเขาที่เกร็งแน่น ดวงสีน้ำตาลฉาบไปด้วยความรู้สึกผิด มันไม่ใช่ความผิดของเขาเลย แต่เขาก็เอาแต่โทษตัวเอง ร่องรอยที่เขาปาของใส่ผมจนฟกช้ำตอนที่เขาไร้สติ ก็ทำเอาเด็กน้อยของผมเสียใจทุกครั้งที่มองเห็น ผมขยับปกเสื้อเพื่อหลบสายตาเขาเล็กน้อย แต่ก็ไม่ทัน ดวงตาใสปิดบังความเจ็บปวดเอาไว้ไม่มิด มันล้นทะลักออกมาจนผมปวดหน่วงไปด้วย


"ไม่เจ็บเลยครับ ไปเล่นฟุตบอลกับเต้กับน้ำยังเจ็บกว่านี้อีก จำได้ไหมที่หมูโดนชนจนเข่าถลอกเลย เจ็บสุดๆเลยตอนนั้น แต่ตรงนี้ ที่เทมทำ...หมูไม่เจ็บเลยครับ"


ผมยิ้มกว้าง เผยความจริงใจให้เขารู้ เพราะมันไม่เจ็บเลยจริงๆ ของแค่นี้ผมไม่รู้สึกอะไรเลย เมื่อเทียบกับตอนที่เห็นเขาทุรนทุรายน่ะ ต่อให้มากกว่านี้ ก็ไม่รู้สึกอะไรทั้งนั้น แถมที่จริงเพราะผมผิวขาวจัดตามสายเลือดด้วยแหละครับ เจ้ารอยช้ำนี่ถึงได้ดูเด่นชัดนัก นัยน์ตาโศกยังแฝงไว้ด้วยความเป็นห่วงและรู้สึกผิด จนผมทนไม่ไหว


"งั้นรอยของเทมที่หมูทำ...เจ็บไหมครับ?"

"ละ-ละ รอยอะไย อะ-ไรครับ? หมุหย็องทัมอะไรเทม?"


เทมที่ถูกผมถามกระทันหันก็เอียงคอทำหน้าสงสัย เพราะนอกจากรอยบาดของสิ่งของแตก กับรอยช้ำจากฝีมือไอ้พวกซากพวกนั้น ก็ไม่ได้มีฝีมือผมเลย...แต่เด็กชายเทมปุระคงจะลืมร่องรอยสีกุหลาบที่ผมปลูกเอาไว้เสียแล้ว แต่ก็ไม่แปลก เพราะผมทำให้เสียรอบคอ นอกจากจะลุกไปส่องกระจก ก็ไม่มีทางเห็นหรอกครับ


ทีแรกที่พี่หมอกับทีมพยาบาลมาเช็ดตัว มาตรวจเทม ถึงกับจะบอกให้โทรเรียกตำรวจมาแจ้งข้อหาเจตนาฆ่าอีกราย เพราะนึกว่ารอยสีแดงช้ำรอบคอเทมคือรอยบีบคอ จนผมต้องเดินไปกระซิบบอกความจริง ถึงได้ร้องอ๋อกันถ้วนหน้า เล่นเอาผมไม่กล้าสบตาใครไปหลายชั่วโมงเลยครับ...ก็ไม่นึกว่าจะมีเหตุการณ์อะไรแบบนี้ขึ้นนี่น่า เฮ้อ อยู่กับเทมแล้วผมก็ห้ามใจตัวเองไม่ให้ทำอะไรรุ่มร่ามกับเขาไม่ค่อยได้เสียด้วย


ผมชี้นิ้วไปที่ลำคอของตัวเอง เทมก็ลอกเลียนแบบผมด้วยการชี้นิ้วเข้าหาลำคอตัวเองเช่นเดียวกัน ผมที่เริ่มรู้สึกร้อนๆขึ้นมาแถวผิวหน้า ก็ได้แต่พยายามงัดความกล้าขึ้นมาบอกเขา ด้วยการหยิบไอแพดขึ้นมาเปิดกล้องแล้วหันมาให้เทมดู ดวงตาสวยเบิกกว้างดูตกใจกับสภาพผิวตัวเอง


"เทมเป็งอิสุกอิไสอีกรอบเหร๋อ!?" เทมปุระที่ตกใจจนโวยวายออกมา ผิดกับคนร้ายตัวจริงอย่างผมที่ร้อนตัว

"เอ่อ ไม่ใช่อีสุกอีใสครับเทม...มันคือ เอ่อ รอยที่หมูทำน่ะครับ" เทมปุระเบะปากออก น้ำตาคลอหน่วย

"หมุหย็องไม่ชอบเทมแล๋วเหร๋อ ทำไมแก้งกันล่ะ"

"ไม่ใช่นะครับ! หมูจะไม่ชอบเทมได้ไงล่ะ คือหมูได้แกล้งเทมนะ รอบนั้นนะ เขาเรียกว่ารอยคิสมาร์กครับ  ภาษาอังกฤษนะครับ Kiss Mark ส่วนภาษาไทยก็รอยจูบ รอยดูด...เป็นรอยที่เกิดจากที่เราจูบลงไปแรงๆที่คอน่ะครับเทม"

"ตอนนั้นเทมก็จุ้บจุ้บหมุหย็องแลง แลงๆ เยอะๆด้วย แต่ไม่เห็นเป็งลอยเลยคับ"

"คือมันต้องดูดด้วยน่ะครับ...."


อา โธ่ เจ้าเด็กน้อยขี้สงสัยนี่กำลังจะทำให้ผมตัวระเบิดตายเพราะความเขินอายนะครับ ผมไม่กล้าสบตาช่างใคร่รู้แสนสงสัยที่มองลงมาอย่างหาคำตอบนั่นเลย จนเทมเขย่าแขนผมไปมาไม่หยุดเพราะอยากได้คำตอบนั่นแหละ ผมถึงได้สูดหายใจเข้าลึกๆแล้วรีบอธิบายออกมาอย่างรัวเร็ว


"จริงๆแล้วที่เทมทำกับหมูยังไม่เรียกว่าจูบแบบร้อยเปอร์เซ็นนะครับ จูบของจริงมัน...ม-มันต้องใช้ลิ้นด้วย ส่วนรอยคิสมาร์กเวลาริมฝีปากแนบชิดไปที่ผิวน่ะ ก็ต้องใช้ปากดูดแรงๆด้วยครับ ถึงจะเกิดรอยจ้ำขึ้นมา เขาเอาไว้แสดงความเป็นเจ้าของในตัวคนที่เราชอบน่ะครับ เหมือนเขียนชื่อตัวเองแปะไว้ บอกให้คนอื่นรู้ว่าเขามีเจ้าของแล้ว แต่ก็ไม่ควรทำบ่อยๆนะครับ จะโดนมองว่าเป็นเด็กไม่ดี "


ผมที่หลับตาปี๋อธิบายไปเร็วๆแล้วได้แต่นิ่งค้าง แต่เทมทที่เอาแต่เงียบจนผมอดสงสัยไม่ได้ว่าเขากำลังทำหน้าแบบไหน หรือรู้สึกยังไงอยู่ ทำให้ต้องค่อยๆลืมตาขึ้นมอง แล้วก็ดันรู้สึกเหมือนตาจะบอดลงทันที ด้วยรอยยิ้มที่มีความสุขสุดๆ แสนเจิดจ้าของคนตรงหน้า ยิ้มกว้างจนตาหยีโค้งเหมือนสายรุ้งหลังฝนตก แก้มที่ซีดขาวดูเปล่งปลั่งอมชมพูระเรื่อขึ้นมา


"ดีใจจัง...หมุชอบเทมจนต้องแปะป้ายบอกคงอื่นด้วย" แล้วเทมปุระน้อยก็หัวเราะฮิฮะด้วยความพอใจ แท่งวัดความสุขของผมพุ่งสูงขึ้นมา รอยยิ้มแจ่มใสของเขา...ผมเองก็คิดถึงมากเหมือนกัน

"ทิแลก ระ-แรก ทีแรก เทมนึกว่าหมุหย็องเป็งซีอุยกินเนื้อคนเสียอีก แบบว่าหิวเลยขอหม่ำหม่ำเทมหน่อย ฮิฮิ"



ผมหัวเราะให้กับจินตนาการของเทม จริงๆก็อยากกินเทมอยู่หรอกครับ แต่คนละความหมายกับที่เจ้าตัวคิดน่ะนะ...



"สอนเทมมั่งจิ อยากดูดดูดหมุหย้องบ้างจัง จะได้ให้คงอื่นรุ้ ว่าหมุหย้องเป็นขอมเทม"


สายตาที่มองตรงมา และคำพูดที่ทำเอาผมใจเต้นผิดจังหวะ เจ้าเด็กร้ายกาจ!
นี่ไม่สบายแล้วยังจะมายั่วกันอีก ทั้งตัวนี่ทำมาจากอ้อยหรือยังไงกันครับเทมปุระ ผมอยากจะเดินลงไปหาคุณป้า พลางก้มกราบไหว้แล้วถามว่าให้กำเนิดอาวุธทำลายล้าง ที่มีอนุภาพรุนแรงต่อหัวใจของผมขนาดนี้ได้ยังไงกัน


อา รู้สึกเหมือนหัวใจกำลังจะทะลุออกปากมาเลยครับ แต่กลับเจ้าตัวที่นอกจากแก้มที่แดงระเรื่อแล้ว ก็เหมือนจะไม่ได้รับรู้เลยว่าทำใครอีกคนกำลังจะหัวใจวายตายลงที่ตรงนี้


"นะนะนะนะ นะคับหมุหย้อง สอนเทมหน่อยนะ นะครับ?"


คำออดอ้อนที่รัวเขามา เหมือนปืนกลที่ตั้งระบบไว้ไม่ให้เหยื่อได้มีโอกาสตั้งตัว ทำเอาผมฟุบหน้าลงไปกับที่นอนนุ่มๆนั่น อา...รู้สึกหมดเรี่ยวหมดแรงขึ้นมากระทันเลยครับ รู้สึกหน้าร้อนจัดจนคิดว่าตอนนี้หัวของผมอาจจะมีไอน้ำกำลังพุ่งปุดปุด เหมือนหัวจักรรถไฟที่กำลังวิ่งอยู่ก็ได้ เหมือนจะตอกย้ำความเป็นอาวุธร้ายแรง เมื่อผมสัมผัสได้ถึงความอ่อนนุ่มที่คุ้นเคย กำลังไล่อยู่บนผิวคอ ผมขนลุกซู่แล้วรีบลุกพรวดกลับไปนั่งตัวแข็งค้าง จ้องมองอีกฝ่ายที่ลงมือทำอะไรอุกอาจ


"อ้าว หมุหย้องลุกทัมไมอ่า เทมกำลังจะส้อมๆดู ซ้อม ซ้อมดู"


ผมอ้าปากหวอให้กับเทมที่ทำหน้าจริงจัง ตั้งท่าจะซ้อมฝึกทำคิสมาร์กกับต้นคอผม ที่ผมฟุบลงไปเพราะหมดแรงต้านทานจงยั้งตัวไว้นะครับเทมปุระ ไม่ใช่ให้ฟุบลง เพราะจะให้มาจู่โจมเอาคอของหมูเป็นที่ซ้อมนะครับ! จะฆ่ากันก็ไม่ควรใช้วิธีที่โหดร้ายด้วยการทำให้หัวใจเต้นหนักเกินขนาดแบบนี้


ผมพูดไม่ออก แถมควบคุมสีแดงบนหน้าที่กำลังไต่ระดับขึ้นจนถึงเฉดสีแดงฉานไม่ได้เช่นเดียวกัน
เทมที่เห็นหน้าผมแดง ก็ทำหน้างง ก่อนจะมีสีหน้าตะหนก


"หมุหย้องติดไข้เทมแล้วเหร๋อครับ!?! คุนพี่หม๊อออออออออออออออออ"


เทมตะโกนขึ้นมาเสียงดัง จนผมต้องรีบตะครุบปากเขาเอาไว้ เพราะกลัวจะไปปลุกคุณป้าให้ตื่นขึ้นมา


"ม-ไม่ใช่ครับ ไม่ได้ติดไข้ ค-คือ ที่หมูหน้าแดงคือ..คือหมูเขินเฉยๆครับ"


อาการพูดติดขัดของผมกำเริบ ต่างกันที่ของเทมเป็นมาแต่กำเนิด แต่ของผมจะเกิดขึ้นตอนที่อายจัดเท่านั้นเอง เทมที่เบิกตางงอีกครั้ง แล้วก็มีสีหน้าเข้าใจ ทำไมการเข้าใจของเทมแต่ละครั้ง ถึงได้ทำให้ผมต้องเขินมากกว่าเดิมทุกครั้งก็ไม่รู้สิครับ ครั้งนี้ผมก็ไม่ไว้ใจเอาเสียเลย เจอเรื่องกดดันติดต่อกัน จะให้ปรับอารมณ์มาหวานกับเขา ผมตามไม่ทันแล้วนะครับเทมปุระ ช่วยอ่อนโยนต่อใจหมูบ้าง ปรานีกันหน่อยนะคนดี



"เขินที่เทมแอบจุ้บจุ้บที่หลังคอใช่ไหมคับ งั้นฝึพึก พะ-พึก ฝึกที่แขนก็ได้เน๊อะ"


ก็แล้วทำไม ถึงไม่ฝึกที่แขนตัวเองล่ะครับ!


ทำไมต้องเป็นแขนหมูด้วยล่ะ


อา โธ่...ใครก็ได้ ช่วยไปเรียกพยาบาลเตรียมเครื่องปั้มหัวใจให้ผมทีครับ!




เทมที่เริ่มต้น 'ฝึกซ้อม' กับแขนของผมไม่หยุด จากทีแรกที่ผมตัวแข็งเพราะความตื่นเต้น ตอนนี้ชักอยากหยิบโทรศัพท์มาถ่ายรูปแทนแล้วครับ ท่าทางการฝึกสุดแสนจริงจังและขะมักเขม้นนั่นน่าเอ็นดูเกินความใคร่ เหมือนลูกสุนัขที่ฟันเพิ่งงอก ทำให้อยากหาอะไรมางับลับฟัน และแขนของผมก็กลายเป็นที่ลับฟันของหมาน้อยตัวนี้ นัยน์ตาใสแจ๋วช้อนขึ้นมามองผมด้วยความสงสัย เมื่อเจ้าตัวทำเท่าไหร่ก็ไม่ขึ้นรอยช้ำเสียที


จะขึ้นได้ยังไงกันล่ะครับ ผิวหนังตรงแขน ไม่ได้บอบบางเหมือนตรงแถวคอนะ แถมแรงที่เจ้าตัวใช้ ก็เบาแสนเบา ด้วยกลัวผมจะเจ็บเสียอีก ผมทอดสายตามองเทมที่ยังคงพยายาม จนผมอดขำขึ้นมาอีกไม่ได้ ดูท่าถ้าอาจารย์หมูไม่ลงมือสอนด้วยตัวเอง คงจะทำไม่สำเร็จหรอกครับ นี่ก็ดึกแล้วด้วย อยากให้เขารีบไปพักผ่อนมากกว่ามานั่งแทะแขนผมแบบนี้


ผมลูบไปที่หัวทุยเบาๆ เทมที่ปากงับอยู่ที่แขนผมก็ยอมคลายออก
โธ่ เจ้าหมาน้อย ผมบอกให้เขาดูด แต่นี่กับมางับกันเสียได้ ผมอมยิ้มจนปวดแก้ม ขยับตัวเองจากเก้าอี้ ขึ้นไปนั่งบนเตียงเดียวกัน เชยคางเขาขึ้นมาให้ใบหน้าของเราสองคนอยู่ในระนาบเดียวกัน มือข้างขวาของผมผละปลายนิ้วออกจากสันกรามของเขาอย่างอ้อยอิ่ง พลางเคลื่อนนิ้วมาที่ปกเสื้อที่ติดกระดุมเรียบร้อย ผมปลดกระดุมออกด้วยมือเดียว ทั้งๆที่ยังใช้สายตาตรึงร่างสูงไว้ให้อยู่กับที่ ผมกดยิ้มที่มุมปาก


"ลองมาทำตรงนี้ดูสิครับเทม..."


ผมแหวกคอเสื้อออกกว้าง เผยผิวขาวและกระดูกไหปลาร้าสวย ต้นคอยาวเรียวเอียงคอน้อยๆ เพื่อรอต้อนรับบางอย่าง เทมที่เหมือนโดนผมร่ายมนต์ใส่ ทำหน้าเคลิ้มเข้ามาชิดใกล้ เขาประทับจูบลงมา ริมฝีปากที่อุ่นร้อนฉ่าเพราะพิษไข้ ยามแนบลงมามันช่างระอุจนพาลทำให้ทั้งร่างของผมหลอมละลาย


เสียงดูดดึงผิวเนื้อดูทะลึ่งและลามก บรรยากาศแสนระทึกใจแผ่กระจายไปทั่ว เทมปุระที่ชิมรสเนื้อของผมไม่หยุด จุดประกายความรู้สึกแปลกประหลาดกลางลำตัว ผมหวังให้มันเลยเถิด ล้ำเส้น เกินเลย


ให้เลยไปไกลกว่าทุกครั้งที่เราผ่านมา...


ความคาดหวังที่ฝังรากลึกในใจ เพราะมันไม่เคยได้เติบใหญ่ถึงที่สุดเสียที


เพราะทุกครั้งมันก็ไม่เคยเป็นจริง


ไม่เคยได้ถึงเส้นชัย


มักจะถูกใครบางคนเข้ามาขัดขวางเสมอ...


ครั้งนี้ก็เช่นกัน!





บัดซบ!!


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-10-2018 10:04:47 โดย ZOFIARIN »

ออฟไลน์ ZOFIARIN

  • ▇ โซเฟียริน • อวยพระเอก ▇ Whәи ɴᴏᴛʜɪɴɢ is یuгe , eveяything is possißle ♡
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 125
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-1
    • Twitter



กิ๊งงงงง กิ๊งงงงงงงง กิ๊งงงงงงงงงงง



เสียงนาฬิกาเวรดังขัดขึ้นมา เทมที่ตั้งสติได้ ก็เม้มปากแน่นก่อนจะรีบพาตัวเองมุดผ้าห่มหนีผมไป โผล่มาแค่ดวงตาที่ยังคงฉ่ำเยิ้มจากอารมณ์เมื่อสักครู่ ผมที่นั่งนิ่งพิงหลังเตียงของเขาด้วยอาการหมดสภาพ ก็ตีสีหน้าไม่ถูกเหมือนกัน จริงๆแล้วผมถูกคำสาปอะไรหรือเปล่าครับ? ทำไมมันต้องมาขัดตอนผมกับเทมปุระกำลังเข้าด้ายเข้าเข็มกันทุกทีสิน่า!


ผมที่หัวเสียเพราะถูกขัดจังหวะ และกำลังวางแผนหาหนทางแอบเอาเจ้านาฬิกาแมวแห่งโลกอนาคต ที่มีรอยยิ้มกว้างตั้งอยู่ ...นี่มันรอยยิ้มเยาะเย้ยผมชัดๆ! คอยดูเถอะ เทมเผลอเมื่อไหร่ ผมจะเอามันไปเผาทิ้ง


เทมที่หันมานอนตะแคงข้าง หลังจากข่มอารมร์แปลกๆและลดความเขินอายลงได้แล้ว ก็หันมาส่งไม้ต่อ ให้ผมเป็นคนเขินคนต่อไป ด้วยการกระทำและคำพูดร้ายๆ ที่ทำใจผมพัง


นิ้วทั้งห้าของเขาทาบลงมาที่ลำคอที่ขึ้นรอยช้ำ ลูบไล้แผ่วเบาบนร่องรอยจูบจากฝีมือเดียวกันกับของเจ้าของมือ ผ้าห่มที่ร่นออกเพราะแรงขยับ เผยให้เห็นรอยยิ้มพึงพอใจและหวงแหน


"หมูหย็องเป็นของเทมแล้วนะครับ"



เท่านั้นแหละครับ


ใจพัง...


ไม่เหลือชิ้นดี




ไม่อ่อนโยนเลยนะครับ

เทมปุระ...




ผมกลับออกมานอนข้างนอกแบบงงๆ เหมือนจำได้ว่าตัวเองไปร่ายมนต์ใส่อีกฝ่าย แต่จู่ๆก็เหมือนโดนโจมตีกลับมาด้วยอนุภาพเวทมนต์ที่รุนแรงกว่าจนเทียบไม่ติด ผมมานั่งบนที่นอนของตัวเองด้วยความรู้สึกเหมือนโดนฆ้อนทุบหัว
พอเทมทิ้งคำพูดเป็นเจ้าข้าวเจ้าของกันเสร็จ เด็กน้อยของผมก็พอใจยิ้มแป้นแล้วบอกฝันดีราตรีสวัสดิ์ แล้วคลุมโปงหนีผมไป


อา...


ไม่ไหวจริงๆครับ เทมโหมดเป็นไข้เหมือนเด็ก ที่สลับมาโหมดเทมปัจจุบันนี่มันเกินที่ผมจะรับมือไหวจริงๆ...





แทนที่จะเป็นเช้าอีกวันที่ผมควรตื่นด้วยแรงกระตุกจากเชือกโทรศัพท์กระดาษ แต่กลับกลายเป็นแรงสั่นระรัวของโทรศัพท์จริงๆไปเสียดาย โทรศัพท์เข้าหลากหลายสายที่ผมมองตัวเลขนับบอก ก็ได้แต่ตกใจ


สายที่ไม่ได้รับ 89 สาย


มีใครตายหรือครับ ถึงโทรกันมาหนักหน่วงขนาดนี้ นาฬิกาบนหน้าจอที่สว่าง บอกผมว่านี่มันเพิ่งจะตีห้า...
ให้ตายเถอะ ตีห้า! นี่ถ้าไม่มีใครตายจริงๆ ผมนี่แหละจะทำให้คนที่โทรมาตาย


ไม่รู้หรือไงกว่าผมจะข่มตานอนหลับได้ก็ปาเข้าไปกี่โมง กว่าจะเล่นชักกระตุกเชือกกับเทมเสร็จก็ปาเข้าไปเที่ยงคืนแล้ว เฮ้อ บนในใจไปก็คงไม่มีใครรับรู้ความเกรี้ยวกราดของผม ผมตัดสินใจรับสายล่าสุดที่กำลังโทรเข้ามาอีกครั้ง


[ ในที่สุดมึงก็รับบบบบบบบบบ!! กูโทรจนมือหงึก โทรจนนิ้วมือจะรวมร่างกับโทรศัพท์แล้วเนี่ย โว้ยย ]


เสียงของไอ้น้ำแหกปากออกมาเสียงดัง ทั้งๆที่ไม่ได้เปิดลำโพง แต่ขนาดยื่นออกห่างจากหูขนาดนี้ยังได้ยินเลยครับ
ผมลุกขึ้นไปส่องช่องกระจกใส ว่าเสียงของไอ้เพื่อนเวรที่กำลังแหกปากทำเจ้าชายนิทราของผมตื่นหรือเปล่า เมื่อแสงไฟเล็กน้อยอาบไล้ใบหน้า ที่ยังดูนิ่งสงบอยู่ผมก็เบาใจ ก่อนจะค่อยเดินกลับมาที่นอนตัวเอง


[ ฮัลโหลๆ เฮ้ย นี่มันรับสายกูจริง หรือว่ากูละเมอไปเองวะเนี้ย ฮัลโหลลลลล ไอ้หมู! ]

"มีอะไร โทรมาเช้าขนาดนี้ กลัวไม่รู้หรือไงว่าเป็นไก่"

[ มึงก็จิกไม่แพ้กูหรอก แหม๊ เออ จะโทรมาถามว่ามึงจะมาโรงเรียนกันหรือยังอะ นี่กูกับไอ้เต้แทบจะตั้งโต๊ะแถลงข่าวเรื่องมึงกับเทมอยู่แล้ว แม่งมีแต่คนเข้ามาถามทุกวัน ]


นี่เรื่องสำคัญเลยครับ...ผมเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเทมปุระจะยังอยากไปโรงเรียนอีกไหม
จากที่สังเกตร่างสูง ตอนที่คุณป้าเอ่ยปากถึง เทมดูอาการยังน่าเป็นห่วงมากสำหรับผม ดูท่าเขาจะยึดคำว่าโรงเรียนเป็นสถานที่เกิดเหตุร้ายๆไปแล้วสิครับ ถ้าหากเขาไม่อยากไป ผมก็จะไม่บังคับ ผมก็คงจะย้ายโรงเรียน...


[ กูนี่รู้เรยนะคร๊า ว่าพี่หมูคิดอะไรอยู่ อย่าออกเชียวนะมึง พวกกูเหงาาาา เอ้อ ที่โทรมาก็เพราะจะโทรมาถามอาการเทมนี่แหละ มึงแม่งอ่านไลน์แล้วไม่ตอบ สรุปเทมเป็นยังไงบ้าง ยอมคุยกับคนอื่นหรือยัง วันนี้กูกะจะโดดเรียนแล้วไปเยี่ยมเนี่ย ได้ไหมวะ ภาพเทมตอน...แม่งคาตากูมากอ่ะ กูนอนไม่ค่อยหลับเลย ผ่านมาวันสองวันแล้วนี่โอเคหรือยังวะ กูอยากเห็นกับตาจริงๆว่ามันไม่เป็นอะไร ]


เสียงไอ้น้ำดูเป็นห่วงจริงจัง ผมก็ลืมคิดไปเลยครับว่าไม่ได้ตอบข้อความพวกมัน เพราะทั้งวันก็เอาแต่คลุกอยู่กับเทม


"แสนรู้นะ เทมก็ดีขึ้น แต่ยังไม่เหมือนเดิม หลายๆอย่างคงต้องใช้เวลามากกว่าแค่สามสี่วัน เยี่ยมเหรอ..."


ผมครุ่นคิด สภาพจิตใจของเทมตอนนี้แม้แต่คุณพี่หมอ บางครั้งเทมก็ดูหวาดระแวงเล็กน้อย แต่ก็ดีขึ้นกว่าเมื่อวาน ถ้าไม่พูดอะไรที่ไปกระตุ้นเจ้าตัว เทมก็ยังคงสงบดี ถ้าให้ไอ้น้ำมาเยี่ยมผมก็ไม่รู้ว่าจะดีหรือไม่ดี จะออกหัวหรือออกก้อย เพราะมีความเป็นไปได้ทั้งสองฝั่ง เทมอาจจะเชื่อมโยงน้ำกับโรงเรียนแล้วพาลคิดถึงเหตุการณ์ที่เจ้าตัวพยายามลืม หรือไม่ก็รู้สึกดีขึ้นเพราะได้เจอเพื่อน


[ กูเก่งไง เห็นหน้ามึงก็รู้แล้วว่าต้องตามใจนางฟ้าไปทุกอย่าง แล้ว..ตกลงว่าไงวะ? ]


ผมลังเล...แต่ผมก็อยากให้เขาดีขึ้น ไม่อยากให้เขาปิดใจใส่ทุกคน เพราะสุดท้ายก็จะเป็นเขาเองที่รู้สึกแย่
อย่างน้อยก็แค่น้ำคนเดียว เทมไม่น่าจะตกใจมาก


หวังว่าผมจะคิดไม่ผิดที่ตอบตกลง...



"เออ มาสักสิบโมงแล้วกัน"


[ เฮ้ยยยยยยยยยยย พวกเรา ไอ้หมูยอมให้ไปเยี่ยมเทมแล้วเว้ยยย! ]


[ เฮ้! / เย้ / โอ้ยยย ดีใจ / แปดโมงมารับกูด้วย / โดดยกสายชั้นหรือไงวะ / เจอกันเว้ย / เอาของเยี่ยมไข้อะไรดีอะ ]





หลากเสียงที่เฮเข้ามาในสาย ผมทำยื่นโทรศัพท์ออกมาดู


ประชุมสาย...


เกือบสิบกว่าคน...







ผ่านไปไม่ถึงสองวิ



ก็รู้แล้วครับ...

ว่าคิดผิดชัดๆที่ตอบตกลง



.......



หายนะกำลังมาเยือน











end 13 .
twitter #เพื่อนผู้ปกครอง

แก้ไขชื่อหมูหยอง เป็น หมูหย็อง นะคะ TvT);


















ออฟไลน์ ZOFIARIN

  • ▇ โซเฟียริน • อวยพระเอก ▇ Whәи ɴᴏᴛʜɪɴɢ is یuгe , eveяything is possißle ♡
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 125
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-1
    • Twitter








14









ผมว่าผมควรอุ้มเทมขึ้นหลังแล้วพาเจ้าตัวหนีไปที่กระท่อมสักแห่งกลางป่า เราจะล่านกล่าสัตว์หาอาหารกัน จุดไฟหากมันหนาว หรือที่ไหนก็ได้ที่ไม่มีใครจะหาเราเจอ หลังจากวางสายจากน้ำไป ผมก็เริ่มรู้สึกกังวล ลางสังหรณ์สั่นรุนแรง เค้าลางว่าความวุ่นวายกำลังจะเกิดในอีกไม่กี่ชั่วโมง ผมได้แต่ถอนหายใจ รอบที่พันได้แล้วล่ะมั้งครับ ถ้าถอนหายใจแล้วได้เงิน น่ากลัวว่าผมคงจะกลายเป็นเศรษฐีเร็วๆนี้



สิ้นสุดสายระทึกขวัญ ผมก็นอนไม่หลับ เลยตัดสินใจเดินไปล้างหน้าล้างตา ไหนๆก็ไหนๆแล้ว ผมเลยอาบน้ำเตรียมตัวเสียเลย ใช้เวลาไม่นาน ผมก็จัดการธุระส่วนตัวเรียบร้อย มุ่งหน้าไปหยิบเสื้อผ้าของผมจากในตู้เสื้อผ้าของเทมปุระ



ภาในตู้เสื้อผ้าไม้สีขาวสะอาดตา สี่บานประตูตู้ เกินกว่าครึ่งคือเสื้อผ้าของผู้อาศัยอย่างผม แทนที่จะเป็นเจ้าของห้อง ผมมาค้างบ่อย จนจะเรียกว่าเป็นหนึ่งในผู้อาศัยของบ้านนี้ก็ได้ครับ ข้าวของส่วนตัวของผมกระจายอยู่ทุกแห่ง พอๆกับข้าวของของเทมที่กระจายอยู่ทั่วบ้านผมเหมือนกัน ต่างกันนิดหน่อยที่ของผมจะเน้นหนักไปที่เครื่องแต่งกายและอุปกรณ์เทคโนโลยีต่างๆ ส่วนของเทมกระจายไปด้วยขนมและตุ๊กตากับของเล่นของเจ้าตัว



ผมสุ่มๆหยิบเสื้อมาใส่ ได้เป็นเสื้อเชิ้ตเนื้อดีสีดำสนิท กับกางเกงสีเดียวกัน แสงไฟที่ผมเปิดไม่สว่างมากนัก และการกระทำทุกอย่างก็เป็นไปด้วยความเงียบเชียบ ด้วยกลัวเสียงจะเข้าไปรบกวนองค์ชายนิทราเข้า



ผมเดินเข้าไปใกล้เตียงใหญ่กลางห้อง ทาบทับฝ่ามือลงหน้าผากคนที่กำลังหลบตาคิ้วขมวดอยู่ ผมใช้นิ้วนวดเบาๆคลายความพันกันนั่นออก เทมครางฮือขึ้นมา ดูท่าวันนี้คงจะไม่ใช่ฝันดี ผมตัดสินใจพาตัวเองขึ้นไปนอนบนเตียงเดียวกับเขา ตะแคงหันข้าง ใช้ความสว่างอันน้อยนิดลอบแอบมอง เทมปุระเป็นคนที่หน้าตาน่าเอ็นดูมาก ใบหน้าที่ออกน่ารักและเริ่มดูหล่อเหลา หากโตขึ้นไปจะต้องงดงามมากแน่ๆ ผิวหน้าใสเกลี้ยงเกลา คิ้วเข้ม และจมูกโด่ง รวมเครื่องหน้ากันแล้ว เป็นใบหน้าที่ผมหาข้อติเตียนไม่ได้เลย



ผมอดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือไปสัมผัสสิ่งเย้ายวนตรงหน้า ผมนุ่มนิ่มที่ดูฟูเล็กน้อยเพราะเจ้าของกระสับกระส่าย พลิกตัวไปมาเพราะความทรมาณจากพิษไข้ เช้านี้ไข้ของเทมดูลดลง อุณหภูมิไม่น่าเป็นห่วงเท่าไหร่ ไม่ตัวร้อนจี๋เหมือนเมื่อวาน ได้แต่หวังว่าความน่าปวดหัวที่กำลังจะมากลุ่มใหญ่ จะไม่พาลเอาไข้ที่กำลังจะหายย้อนกลับคืน



เหมือนเจ้าตัวจะสัมผัสได้ถึงไออุ่นที่คุ้นเคย ขยับลำตัวและใบหน้าไล่ตามไออุ่นจนเข้ามาประชิดกับผม อาการทุรนทุรายจากฝันร้ายดูบรรเทา เมื่อเจ้าตัวได้รับอ้อมกอดอุ่นจากผมคอยปกป้อง ผมแนบจูบลงข้างสันกรามสวย พลางลูบหลังกล่อมเด็กน้อยให้เข้าสู่ห้วงฝันลึกอีกครั้ง ที่ต่างกันคงเป็น...ครั้งนี้เจ้าตัวจะฝันดี



ผมไม่แน่ใจว่านอนกกกอดให้ความอุ่นเด็กน้อยของผมอยู่นานเท่าไหร่ แต่ก็คิดว่าก็คงสองสามชั่วโมงได้ เพราะแสงจากหลอดไฟนีออน แปรเปลี่ยนเป็นแสงจากดวงอาทิตย์ยามรุ่งอรุณ ถ้าคนที่กำลังหลับสบายในอ้อมแขนผมตื่นขึ้นมาเห็นผมนอนกอดเจ้าตัวอยู่ คงไม่แคล้วโวยวายอีกรอบ นึกถึงท่าทางที่ไล่กัน ถึงจะเพราะความเป็นห่วง แต่ก็อดหมั่นเขี้ยวเจ้าเด็กหัวแข็งที่นอนหลับไม่รู้ร้อนรู้หนาวไม่ได้ จนผมแอบเคลื่อนหน้าไปงับจมูกโด่งนั่นเบาๆแต่สุดท้ายก็ใจอ่อน รังแกรุนแรงต่อนางฟ้าของตัวเองไม่ลง จึงจุ้บปลายจมูกแทนคำปลอบประโลมขมเขี้ยวเมื่อสักครู่


เทมที่โดนผมก่อกวนก็เริ่มขยุกขยิกจะหมุนตัวหนีจากอ้อมกอด ผมต้องลูบหลังลูบหัวอยู่นานกว่าจะกลับไปหลับสนิทเหมือนเดิม ไม่อยากให้เขานอนไม่พอครับ เดี๋ยวจะงอแง วันนี้ท่าทางจะเหนื่อยเสียด้วย ยังไงก็ให้นอนเยอะๆไว้ก่อนดีกว่า พอเทมปุระนอนนิ่งสนิท ผมก็หยิบโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมาเปิดดูข่าวต่างๆ พร้อมเข้าไปตอบข้อความที่ค้างคาเอาไว้


ยังไม่ทันที่ผมจะพิมพ์เสร็จ พอข้อความที่กำลังคุยกันอยู่ขึ้นอ่านสามคน ไอ้ตัวเล็กของกลุ่มก็โทรเข้ามาหาผมทันที ผมที่มือหนึ่งถูกยึดไปโดยเจ้าของเตียง ทำให้มือข้างที่ถนัดน้อยกว่า จะกดตัดสายทิ้งกลายเป็นกดรับ


เริ่มต้นวันได้ดีจริงๆเลยครับ...



[ ว่าไงมึงงงงงงงงงงงง จะเอาไรมะ พวกกูกำลังเดินหาของไปเยี่ยมไข้เทมอะ อีกสักครึ่งชั่วโมงคงถึงบ้านมึง นี่เทมอยู่ไหน บ้านมึงใช่ป้ะ ]



เสียงที่สามารถดังไปถึงอีกทวีปแหกปากออกมา ด้วยความที่มันเปิดกล้องโทรมา ผมจึงเห็นปากกว้างๆของมันเต็มจอไปหมด ผมส่งสายตาเย็นเฉียบไปให้ไอ้คนไฮเปอร์อยู่ไม่นิ่ง


"เงียบๆหน่อย เทมนอนอยู่"

[ อ้าว อยู่ด้วยกันเหรอวะ ไหนมึงเลื่อนโทรศัพท์ลงไปดิ๊ จะดูหน้าเทม / ไหนๆ เทมเหรอๆ!? คุยด้วยๆ เท๊มมมม / เฮ้ย อย่าดันนนนน / ไหนเทมวะเห็นแต่ไอ้หมู ]


นอกจากไม่เงียบแล้วยังเสียงดังกว่าเดิมอีกครับ เสียงวุ่นวายพร้อมภาพที่ตัดฉับไปมา คิดว่าพวกนั้นคงจะยื้อแย่งโทรศัพท์กันอยู่ ผมคอยๆดึงมือตัวเองจากคนที่ดูเหมือนใกล้จะตื่นเต็มทีเพราะเสียงอันน่าหนวกหู
ผมกดปิดเสียง ก่อนจะลูบหัวเด็กน้อยอีกครั้งให้เขาหลับต่อ แม้แต่เวลาที่ไม่รู้สึกตัว เทมปุระก็ยังคงว่าง่ายกับผม เจ้าตัวพลิกตัวไปมาก่อนจะส่งเสียงฟี้ออกมาเบาๆ ผมจัดผ้าห่มให้เทมอีกครั้ง ทายาแถวช่วงจมูกให้หายใจโล่งขึ้นเล็กน้อย เพราะดูองค์ชายน้อยหายใจลำบาก ก่อนจะเดินออกมาจากในห้อง



[ เอ้า เฮ้ย ไมเงียบไปแล้ววะ / มึงอ่ะไอ้เต้เสียงดัง ไอ้สัตว์ / เพราะมึงนั่นแหละไอ้เตี้ยยยยย ]

"เพราะทั้งคู่นั่นแหละ เงียบหน่อย เมื่อกี้เกือบทำเทมตื่นแล้ว แหกปากอะไรกันแต่เช้า"

[ โห พ่อดุแต่เช้าเลยโว้ย ก็พวกกูอยากเห็นหน้าเทมนี่หว่า ใช่มะพวกเรา ]

ทำไมพวกนี้มันต้องมาอยากเห็นหน้าเทมอะไรกันขนาดนั้นด้วยครับ ของรักของสงวนของผม ไม่ใช่ว่าใครมาขอดูผมก็จะให้นะ เสียงตอบรับจากคนหลายคนดังขึ้นพร้อมกัน จนผมนึกสงสัยว่ามากันกี่คนกันแน่ ทำไมถึงได้ดูวุ่นวายเหลือเกิน


"มากันกี่คน ไม่ใช่ขนมาทั้งโรงเรียนหรอกนะครับ"

[ ไม่เยอะๆ มึงก็พูดไป มากันไม่กี่คนหรอก มีกู ไอ้เตี้ยน้ำ ไอ้อเล็กซ์ เปีย หญิง ไม้ ขิม ธันวา 123...แปดคนเอง ]



แปดคนนี่ใช้คำว่าเองไม่ได้นะครับ ต้องใช้คำว่าตั้งแปดคนต่างหาก
แล้วนี่ขนมาทั้งเลขา รองประธาน ทั้งเหรัญญิก ขนทีมสภาของผมมาแบบนี้นี่ รู้เลยครับว่าเป้าหมายคืออะไร แบ่งได้เลยครับ ทีมเอางานมาให้ผมทำ กับทีมมาเล่นกับเทม...ผมเข้าไปอุ้มเทมหนีไปยังทันไหมครับ...


[ เหมือนท่านประธานจะเดาได้แล้วนะว่าพวกเรามาทำไม ฮิฮิ ไม่ปล่อยให้หยุดสบายๆหรอกจ้า ]

"ผมจะบอกให้ยามไม่ให้พวกคุณขึ้นมา"

[ ยามคอนโดก็คุณป้าป่ะวะ อย่างคุณป้าที่โคตรใจดี ถ้าไม่ยอมให้พวกกูขึ้นไปหาเทม เอาตีนมาลูบหน้ากูได้เลย ]

ไอ้เต้ที่ยึดโทรศัพท์ไอ้น้ำมาคุย ยืดอก ทำหน้าแบบที่มั่นใจในตัวเองสุดๆ จนผมอยากจะกลอกตาใส่มัน

"งั้นเอาหน้ามารองตีนผมได้เลยครับ ถ้าผมบอกว่าเทมปุระยังอาการไม่ดี ไม่อยากเจอใคร คิดว่าคุณป้าจะเลือกเชื่อใคร?"



ผมยิ้มกริ่มที่มุมปาก เป็นรอยยิ้มของผู้ชนะโดยไร้คู่แข่งขัน คุณป้าเชื่อใจผมเรื่องของเทมมากกว่าใครครับ ถ้าผมพูดไป ไม่ว่ายังไงคุณป้าก็จะยอมทำตามแน่นอน


[ เฮ้ย! มึงมันขี้โกง มึงมันไอ้เจ้าเล่ห์ตาเขลิ้นสองแฉก ไอ้น้ำมาช่วยกูด่าหน่อย! / อะไรวะ เออๆ ไอ้หมูสี่ขา ไอ้ซาลาเปาไส้เค็ม ไอ้บะจางไม่ได้นึ่ง ไอ้ข้าวหุงไม่สุกกกก / มึงด่าหรือมึงหิว!? / หิวว่ะ แฮะๆ ]


คณะตลกที่กำลังโหวกเหวกผ่านเครื่องมือสื่อสาร ทำเอาผมละเหี่ยใจ แค่ไอ้เต้กับไอ้น้ำผมก็แทบจะกุมขมับแล้วครับ นี่มากันครบองค์ตัวป่วน สิงหสารสารทวิทยาวันนี้ต้องเงียบมากแน่ๆ ตัวป่วนป่าช้าเล่นยกโขยงกันมาที่นี่แบบนี้




"ฮึก ฮึก หมุหย็องอยุ่ไหน หมุ หมุ หมุหย็อง..."



เสียงร้องไห้จากในห้องทำเอาผมลืมทุกอย่าง รีบวิ่งเข้าไปหาต้นต่อเสียงที่ทำเอาผมใจตกไปอยู่ที่ตาตุ่ม เทมปุระที่เพิ่งตื่นนอนกำลังตั้งท่าจะโวยวาย แต่พอเห็นผมวิ่งเข้ามา น้ำตาที่ร่วงผล็อยๆหยุดลง ใบหน้าบิดเบี้ยวก็ฉีกยิ้มกว้าง ใจหายใจคว่ำหมดเลยครับ นึกว่าอาการจะกำเริบเสียอีก นี่แค่งอแงเพราะตื่นมาไม่เห็นผมเฉยๆ ผมเดินเข้าไปหาอีกฝ่าย ดึงทิชชู่บนหัวเตียงมาให้เทมสั่งน้ำมูกออก แค่เฉยๆก็คัดจมูกอยู่แล้ว มาร้องไห้อีก ไม่สั่งออกมานี่สงสัยได้ตันจมูกหายใจไม่ออกแน่ๆครับ


ฟื้ดดดด


"แฮะ ม-ไม่เห็นหมุย๋อง เลยตกใจเฉยๆ ไม่เป็นไลเลย" ร่างสูงที่พอเห็นผมก็อารมณ์ดีแล้วหันมายิ้มแฉ่งให้ ผมส่ายหน้าไปมากับความขัดแย้งของเทมปุระ ทั้งอยากให้ผมอยู่ด้วยใจจะขาด แต่เขาก็เอาแต่เป็นห่วงกันอยู่ได้ เฮ้อ


[ เฮ้ยๆๆๆๆ เสียงเทมป่ะวะตะกี้ หมูมึงแกล้งอะไรเท๊ม!? / เทมเป็นอะไรลู้กกกกกก ใครแกล้งเทมของหญิง! ]



ผมนึกว่าตัวเองวางสายไปแล้วเสียอีก แต่เสียงที่แข่งกันตะโกนออกมาบอกชัดว่ายังคงอยู่ เทมที่ได้ยินเสียงคนคุ้นเคยก็ตาเป็นประกาย กระวีกระวาดเขยิบเข้ามาใกล้ผม แต่ก็ยังไม่วายลืมหยิบผ้าปิดปากมาใส่อีก ใส่ไปก็ไม่ช่วยป้องกันอะไรหรอกครับเทมปุระ...หมูนอนกกเทมทั้งเช้าเลยนะ ไม่รู้ตัวเลยหรือไงครับ หืม...?



ผมส่ายหน้าให้เด็กน้อยที่หูตั้งหางกระดิกเข้ามาหา พลางหยิบเจ้าสิ่งที่เปล่งเสียงออกมาจากกระเป๋ากางเกงให้เขาดู


"เต้! นั้ม! นั้ม! หยิงด้วย! ไหม้ เปียยย ทันวา ขิ้ม เล๊ก!"


เทมที่ตื่นเต้นเมื่อไอ้เต้เบนกล้องให้เห็นหน้าทุกคน เสียงทุ้มที่ดูสดใสร่าเริงขึ้นมา ทำเอาผมยิ้มอย่างผ่อนคลาย นับว่าออกหัวแล้วกันครับ ออกมาดีจนผมโล่งใจ เทมรับโทรศัพท์ไปพูดคุย ดูท่านอนเปื่อยบนเตียงกับกองแบบฝึกหัดทั้งวันก็ทำเด็กน้อยของผมเฉาไม่ใช่น้อย พอได้เจอเพื่อนก็เป็นดอกไม้ได้รับน้ำขึ้นมาเชียว


[ ไอ้ไม้นี่กลายเป็นซากเลย... / ทำไมวะ? / ก็ไหม้ไง ฮ่าๆๆๆๆ / .... / .... / ไม่ตลกเหรอวะ...? ]

"ฮิๆ ฮ่าๆ ขัมๆ ไหม้ไหม้เลย เทมขัม ขะ ขำ ครับ"

[ โธ่ นางฟ้าของน้ำ หนึ่งเดียวในใจกู เทมจะเอาไรเปล่า เดี๋ยววันนี้พวกเราจะเข้าไปเยี่ยมนะ เตรียมไม่ได้หลับไม่ได้นอนได้เลย จะไปกวนทั้งวันทั้งคืนบริการตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงแบบไร้ความเกรงใจ ก๊ากๆๆๆ ]

"จริงเหร๊อ!? หมุหย็องๆ น้ำมาได้เหร๋อ จะติดหวัดเทมไหม"

"ไม่ติดหรอกครับ เคยได้ยินมาว่าคนบ้าไม่เป็นหวัดนะ"

"อ๋อๆ งั้นมานะ เดี๋ยวเทมอาบนั้มรอ"

[ เดี๋ยวๆ ด่ากันขนาดนี้ก็ตบกูเถ๊อะ / เอามานี่ ฉันจะคุยกับเทม! ...เทมเป็นไงบ้าง!? ดีขึ้นหรือยัง นี่หญิงเอาสมุดระบายสีอันใหม่มาให้ด้วยนะ รอได้เลย เล่มนี้อลังการกว่าเล่มเก่ามว้ากกกกกก! ]

[ ไหนๆ คุยมั่งดิ เฮ้ย ทำไมใส่ผ้าปิดปากมิดชิดขนาดนั้น นึกว่าโจรเสียอีก / แกสิโจร แย่งโทรศัพท์ตอนฉันคุย! ]

[ หมูไปเตรียมเปิดแมคบุ้คเลยนะ นี่เราเอากองงานของวันที่หยุดมาให้เคลียร์ ]


ใบหน้าที่สลับเปลี่ยนกันไปมาจนน่ามึนงงเอาทำผมชักปวดหัว เหมือนจะเป็นไข้ขึ้นมาแทน ต่างกับผู้ป่วยตัวจริงที่ดูตื่นเต้นสนุกสนานไปกับเขาทุกอย่าง สุดท้ายก็เป็นธันวา ที่ทนไม่ไหวจับโทรศัพท์มาถือไว้ในมือแทน แล้วให้คนอื่นที่อยากคุยกับเทม ค่อยๆมาพูดทีละคน ไม่อย่างนั่นอีกไม่กี่นาที คงจะได้หน้าจอดำมือเพราะตกแตกแล้วล่ะครับ แย่งกันไปมาอย่างกับชักกระเย่อ


[ เทมๆ กินนี่เปล่า เดี๋ยวซื้อไปให้ ] เปียที่เดินถือถุงขนมมาโบกให้เด็กน้อยของผมดู ผมคิ้วขมวด ขนมช็อกโกแลตไส้เนยถั่วเด่นหรา ถ้าให้เทมทาน เดี๋ยวเกิดเจ็บคอขึ้นมาคงไม่ดี ถึงตอนนี้จะไอไม่มากก็เถอะ

"เอาไปเก็บเถอะครับเปีย เทมยังทานอะไรมากไม่ได้ ยังไม่ค่อยหายดีนัก"

[ คำพูดเธอสวนทางกับคนข้างตัวมากนะหมู ดูหน้าเทมดิ ตาละห้อยเชียว ฮ่าๆๆ ]


ผมเหลือบตามองคนข้างตัวที่รีบหลบสายตาผม แต่ที่เห็นแว่บๆ ก็เป็นสายตาอาลัยอาวรณ์มากจริงๆครับ เหมือนดวงตาลูกหมาหิวข้าว แล้วเรายื่นน่องไก่มาส่ายั่วตรงหน้าไม่มีผิด ผมก็ไม่ได้อยากใจร้าย แต่ถ้าเขาไม่สบายขึ้นมา ก็จะเป็นเจ้าตัวนั่นแหละที่ทรมาณ ผมทำเป็นมองไม่เห็นนัยน์ตาละห้อยที่ชำเลืองมามองผม เหมือนอยากให้คำตัดสินเป็นอื่น



"นิ๊ด นิ๊ด นี๊ดดดเดียว ก็ไม่ได้เหร๋อหมุหย็อง เอาลิ้นแตะๆเฉยๆก้อได้ เทมไม่ได้หม่ำขนมตั้งสองวันแล้ว..."

"หมูก็อยากให้เทมหม่ำอยู่หรอกนะครับ แต่ถ้าเกิดทานเข้าไปแล้วอาเจียนขึ้นมาล่ะ ขนาดนมรสคาราเมลเมื่อคืนยังแอบดื่มไม่หมดเลยใช่ไหม หมูเห็นนะครับ"

"ก้อ ก้อ ก็อิ่มเฉยๆ..."

"ไม่ดื้อนะครับเทม ไหวหายดีเดี๋ยวหมูจะพาไปทานทุกร้านที่ชอบเลย แต่ตอนนี้ หมูขอได้ไหมครับ? อดทนก่อนนะ"

"คับ ไม่ดื้อคับ..."



คนไม่ดื้อที่ตอนนี้กำลังหน้างอเพราะไม่ได้กินขนม ทำเอาผมใจอ่อน ปกติเทมติดขนมหวานมากครับ วันหนึ่งต้องได้กินสักอย่าง แต่นี่ผมงดให้เจ้าตัวทานมาวันสองวันแล้ว เพราะไม่สบายทีไร ทานอะไรหวานๆก็อาเจียนทุกที นมเมื่อคืนผมลองหยวนๆให้ สรุปดื่มไม่ทันหมดแก้วดี เทมปุระก็เริ่มคลื่นไส้แล้วครับ เฮ้อ แบบนี้จะให้ไปกินได้อย่างไรล่ะ


[ อะๆ ไม่เศร้านะเทม ไว้หายดีเดี๋ยวเปียพาไปกินไอศกรีมนะ นี่มีร้านเปิดใหม่ด้วย สั่งมากินที่โรงเรียนยังได้เลยนะ เขามีบริการส่งถึงที่ เพราะงั้นรีบหายไวๆนะ ]

เด็กน้อยข้างตัวผมที่กำลังหน้างอชัดเจนทะลุแผ่นสีขาวที่ปิดไปครึ่งหน้า ก็เปลี่ยนฉับไวเมื่อได้ยินคำโปรดอย่างไอศกรีม เห็นเป็นรอยยิ้มชัดเจนภายใต้หน้ากาก โทรศัพท์ถูกเปลี่ยนมือจากเปียเป็นไอ้น้ำอีกครั้ง มันชูถุงหิ้วอะไรสารพัดอย่างให้ดู เหมือนจะบอกว่าซื้อของเสร็จเรียบร้อยแล้ว

[ งั้นเดี๋ยวไปเจอกันที่บ้านเทม อีกยี่สิบนาทีถึง ]

"ถึงแล้วก็ขึ้นมาเลยนะครับ พอดีคุณป้าทำงานไม่มีใครอยู่ดูแลเทม"

[ จ้าคนติดเทม 2018 ]



ผมกดตัดสาย หันมามองหน้าคนที่เหมือนกำลังจะงอนผมอยู่หน่อยๆ  มุมปากตกลง ไม่ยอมสบตาด้วย จนผมต้องเชยคางเข้าขึ้นมานั่นล่ะ ถึงจะได้สบกันกับนัยน์ตาคู่งาม เห็นแล้วก็รู้สึกสงสารปนอยากแกล้งหน่อยๆนะครับ ผมยิ่งไม่มีภูมิต้านทานเขาในโหมดนี้เท่าไหร่อยู่แล้วด้วย ผมยิ้มมุมปาก ใช้ปลายนิ้วปลดสิ่งพันธนาการบนใบหน้าของเขาออก แอบจับใบหูนุ่มนิ่มไปที จนเจ้าของสะดุ้งเล็กน้อย เทมที่เห็นผมยิ้มกริ่ม ก็ยิ่งมุมปากตกลง คงนึกว่าผมแกล้งให้เจ้าตัวอดล่ะสิท่า ในสมองของนางฟ้าตอนนี้คงจะกำลังบ่นผมไม่หยุดแน่นอน



"ไหนว่าไม่ดื้อไงครับเทม?"

"เทมไม่ดื้อไงคับ แต่ไม่ด้ายบอกว่าไม่โกดโกดนะ หมุหย็องยังแอบไปหม่ำขนมมาเลย ได้กิ่น-ได้กลิ่นนะ เมื่อคืนตอนงับแขนก้อ ก็รู้สึกหวานๆด้วย"


หน้าตาของผมตอนนี้ต้องดูฉงนมากแน่ๆ อย่างผมน่ะหรือครับจะแอบไปกินขนมอย่างที่เจ้าตัวว่า ผมที่แม้กระทั่งนมยังดื่มแต่รสจืด ช็อกโกแลตก็ต้องความเข้มที่แปดสิบเปอร์เซนขึ้นไป กาแฟก็ต้องเป็นเอสเพรสโซ กาแฟดำล้วนๆเท่านั้น เรียกได้ว่าของหวานไม่ใช่ของโปรดผมเลยล่ะครับ ค่อนข้างจะไม่ชอบเสียด้วยซ้ำ ตรงกันข้ามกับอีกฝ่ายที่แก้มนุ่มๆเริ่มพองออก ผมยื่นนิ้วไปจิ้มให้ยุบ เทมก็ไม่ยอมแพ้ยังคงไล่อมลมเข้าไปอีกเรื่อยๆ


"หึหึ ไม่จริงสักหน่อย เทมใส่ร้ายหมูแล้วนะครับ เมื่อคืนก็นั่งคุยโทรศัพท์ นั่งดูหน้าใครก็ไม่รู้ทั้งคืนเลย จะเอาเวลาที่ไหนไปแอบกิน หืม? ไหนเด็กชายฟ้าประทานบอกเด็กชายดิมิทรีสิครับ"


ร่างสูงเลิกทำปากบึ้ง เปลี่ยนมาเป็นไล่งับนิ้วผมแทน ผมหัวเราะเจ้าปลาตัวโตที่ไล่ตามคันเบ็ดที่เป็นนิ้วของผมอย่างไม่ลดละ จนผมยอมหยุดนิ่งๆให้เจ้าปลาปากกว้างเข้ามาแทะเล็ม ฟันคบขบนิ้วผมเบาๆไปทั่ว ลามขึ้นมาถึงข้อมือขาว จมูกโด่งไล้ขึ้นมาก่อนหยุดนิ่ง แนบชิดและสูดดม ใบหน้าสมบรูณ์แบบเงยขึ้นมามองกัน


"นี่ไง หอมหอม หมูหย็องน่ากินจังเลยครับ"


แล้วมันก็ ตู้มมมมมมมม เสียงระเบิดในหัวที่ลากยาวไม่หยุด ยังกับเกิดสงครามโลกครั้งที่สี่ในหัวของผม แถมยังเริ่มรุกรามมาที่หน้าอกข้างซ้าย ผมรู้สึกเหมือนใครสักคนเอาผ้าชุบน้ำร้อนมาเช็ดหน้าให้ รู้สึกเลือดในกายถูกจับใส่กาน้ำต้มจนเดือดร้อนไปหมด ยิ่งจมูกที่กำลังสูดกลิ่นกายผมไม่ยอมหยุด แขนหนาดึงผมเข้าไป ก่อนจะรวบเอวผมเข้าไปกอด ใบหน้าที่อยู่แถวหน้าท้องแบนราบของผมก็ซุกเข้ามา


ผมกลายเป็นเหมือนสัตว์ที่ตายแล้วและถูกจับมาสต๊าฟเอาไว้ แข็งค้าง จับต้นชนปลายไม่ถูกไปหมด รู้สึกแขนขาตัวเองช่างเกะกะ ไม่รู้จะทำยังไงดี จึงได้แต่วางบนไหล่กว้าง เทมที่เหมือนจะหายงอนผมไปแล้ว ฉีกรอยยิ้มกว้างใส่ผมจนตาพร่ามัว เสื้อเชิ้ตสีดำสนิทของผมตัดกับสีกายของอีกฝ่าย แก้มนุ่มไถไปมา จนผมต้องเกร็งทั้งตัว


"เทม..."


ผมที่เริ่มรู้สึกแปลกๆ แต่เจ้าหมาน้อยยังคงกอดรั้งเอวผมมาชิดเสียแน่นโดยไม่รู้เรื่องราวอะไร เสี้ยวหน้าได้รูปที่กำลังมีความสุขของเขา ทำให้ผมไม่อยากขัด เลยได้แต่ยืนเป็นตุ๊กตัวโปรดให้เขาฟัดเล่น แม้จะหายใจไม่ค่อยทั่วท้องก็เถอะ...


จนผมนึกว่าผมจะไม่ได้ไปไหน และกำลังจะละลายคาอ้อมแขนที่เป็นเหมือนป้อมปราการกักขังผมเอาไว้ เสียงกดกริ่งที่หน้าประตูด้านล่างก็ช่วยชีวิตผมไว้ได้ทันพอดี เทมปุระทำหน้าตาเสียดาย แต่ก็ยอมคลายแขนลง


"สงสัยพวกน้ำมากันแล้ว เดี๋ยวหมูไปเอาน้ำใส่กะละมังมาให้ล้างหน้าแปรงฟันนะครับ"


ผมที่ยังคงรู้สึกร้อนระอุอยู่ก็รีบพูดเร็วๆแล้ววิ่งเข้ามาในห้องน้ำ หลังชิดประตูก่อนจะค่อยๆไถลลงนั่งกับพื้น มือขาวยกขึ้นกุมอกตัวเอง ให้หัวใจที่เต้นอย่างบ้าคลั่งสงบลง เกือบได้ตายจริงๆเสียแล้ว...กว่าผมจะตั้งสติหยุดหัวใจที่เต้นรัวแรงได้ เสียงกริ่งก็ถูกกดเป็นจังหวะสามช่า


ผมขมวดคิ้วกันแน่น รีบหยิบกะละมังใต้อ่างล่างมือและอุปกรณ์สำหรับธุระยามเช้าของเทม วางอ่างน้ำที่บรรจุน้ำใส่ไว้เต็ม พร้อมผ้าแห้งไว้ใกล้มือเขาเรียบร้อย ผมก็รีบจ้ำลงไปข้างล่าง ถึงห้องนี้จะพนังหนาเป็นพิเศษ แต่กดขนาดนี้ก็กลัวเพื่อนบ้านจะเอามีดมาปาใส่เหมือนกันนะครับ เสียงกดถี่ขนาดนี้ เขาไม่เปิดประตูมาตะโกนด่าถามหาบิดามารดาก็นับว่าดีขนาดไหน


"กดถี่ขนาดนี้ ถอดเก็บไว้ไปกดที่บ้านเลยไหม"

"อ้าว ได้เหรอวะ เอ้า! พวกมึงยืนรออะไร แงะเลยเว้ย!"


ผมเอือมมือไปจะโบกกระโหลกไอ้แสบน้ำ แต่มันก็เร็วเป็นจรวด กระโดนไปหลบอยู่หลังของไม้ เหรัญญิกผมเสียแบบนั้น ไม้ผู้เงียบขรึม พยักหน้าเป็นเชิงทักทายก่อนจะส่งถุงกระดาษมาให้ผมรับไว้


"อะไรครับ ถ้าเป็นขนม วางกองกันไว้นอกห้องเลยนะครับ เดี๋ยวเทมเห็นแล้วจะงอแงอยากทาน"

"ไม่ใช่หรอกน่า แหม พวกเราก็เห็นเทมหน้าจอเมื่อตะกี้อยู่หรอก เลยเอาขนมไปวางที่เดิมหมดแล้ว เปลี่ยนมาเป็นอย่างอื่นแทน เทมต้องชอบ เชื่อเราดิ"


เปียยิ่นหน้าเข้ามายักคิ้วให้ ผมเปิดถุงกระดาษออก ข้างในเป็นอะไรที่คุ้นเคยและคุ้นตา และเมื่อสังเกตดีๆ ถุงในมือทุกคนก็เป็นแบรนด์เดียวกันหมด ต่างแค่ขนาดของถุงเท่านั้น ผมล่ะอยากกุมขมับ


"จะซื้อมาทำไมกันเยอะแยะครับ แค่เท่าที่มีก็เต็มบ้านแล้ว"

"มึงจะบ่นทำไมเนี่ย พวกกูซื้อให้เทมไหมล่ะ ไม่ได้ซื้อให้มึง"

"เพื่อนเต้โง่อีกละ เขาไปมาหาสู่อยู่ด้วยกันขนาดนี้ ซื้อให้คนนี้ก็เหมือนซื้อให้อีกคนแหละว่ะ คนบ้านเดียวกันไงมึง"

"แหม น้องน้ำนี่รู้ลึกรู้จริง เอาไปห้าแต้ม"


ก่อนที่อลวนกันอยู่หน้าประตูผมก็เชิญกองทัพขนาดย่อมๆเข้าบ้าน


"ต้องขึ้นไปข้างบนนะครับ พอดีเทม...จากเรื่องที่เกิดขึ้นทำให้เจ้าตัวตกใจและหวาดกลัวจัด จนร่างกายเกิดอาการควบคุมไม่ค่อยได้น่ะครับ"

สีหน้าแต่ละคนที่ดูร่าเริง ดูสลดลงเล็กน้อยเมื่อผมบอกอาการของเทมไป ไหนๆก็บอกแล้วผมคิดว่าบอกข้อห้ามไปด้วยเลยก็ดีกว่า สร้างคอกไว้กันวัวหายก่อน สบายใจกว่าครับ

"รบกวนอย่าพูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นนะครับ ไม่ว่าจะเรื่องเกี่ยวกับอะไรๆก็ตาม"

"เออ ได้ พวกกูไม่พูดหรอก แต่อาการเทมนี่ยังไงวะ คือเดินไม่ได้เลยเหรอวะ แบบพิการไปเลย?"

"เฮ้ย ถ้าอาการเพื่อนกูหนักขนาดนี้ แม่งเอ้ย พรุ่งนี้กูจะไปทื้บขาแม่งให้เดี้ยงตามเทมไปเลย สัตว์!"

"ใจเย็นก่อนพวกนาย ฟังหมูพูดก่อนสิ ขัดเอาๆ จะพูดทันพวกนายไหมยะ"


ทุกคนเงียบเสียงลงพลางหันหน้ามามองผมเป็นตาเดียว ผมได้คิดว่าจะอธิบายยังไงให้เข้าใจง่ายๆดี


"จริงๆก็เดินได้ครับ แค่ยังเดินตรงๆแบบปกติไม่ได้ คล้ายๆคนอาการน้ำในหูไม่เท่ากัน ช่วงเวลาเทมไม่สบาย จะเป็นช่วงที่สมองถอยหลังกลับไปเป็นเด็กอายุไม่กี่ขวบน่ะครับ แต่ก็ไม่เคยเป็นหนักขนาดนี้มาก่อนเหมือนกัน คูณหมอบอกว่าเพราะมีเรื่องเกิดขึ้น ทั้งสมองและจิตใจโดนจู่โจมหนักหน่วง เลยเป็นหนักขนาดนี้  แต่ไม่ต้องเป็นห่วงครับ พอหายไข้ จะค่อยๆกลับมาเป็นปกติเอง สภาพจิตใจก็อาจจะต้องใช้เวลาช่วย แต่ก็จะหายดีแน่นอน ถ้าเขาอารมณ์รุนแรงหรือก้าวร้าวไปบ้างในวันนี้อย่าถือสานะครับ ยังไม่หายไข้ดี เลยอาการขึ้นๆลงๆ"


ทุกคนดูโล่งใจขึ้นมา ว่าอาการน่าเป็นห่วงนี้ไม่ได้จะเป็นถาวร เทมจะยังคงวกลับมาวิ่งเล่นได้เหมือนเดิม


"ค่อยยังชั่วหน่อย ตอนเห็นบอกอาการในไลน์แล้วนี่เครียดเลย ดีแล้วล่ะ ที่โรงเรียนเขาลือกันให้แซ่ดเลย"

"เออ หมูรู้หรือยังว่าพวกนั้นออกโรงเรียนไปหมดแล้วนะ คนห้องสามนี่โล่งใจกันไปเยอะมาก ฝากมาความเป็นห่วงกับขอบคุณมาด้วย ที่ทำให้พวกเกรเรออกไปได้เสียที"

"เสียดาย รีบออก ไม่งั้นนะ ฮึ่มๆๆๆ"

"จะถึงห้องเทมแล้ว เลิกพูดเรื่องนี้เถอะครับ"















ออฟไลน์ ZOFIARIN

  • ▇ โซเฟียริน • อวยพระเอก ▇ Whәи ɴᴏᴛʜɪɴɢ is یuгe , eveяything is possißle ♡
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 125
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-1
    • Twitter
ผมเปิดประตูออก เจอคนยิ้มกว้างรอรับอยู่ ไอ้เต้ไอ้น้ำวิ่งพรวดเข้าไปกอดคอเทมทันที

"ไง มึงงงงงงงง ท่าทางดูดีกว่าที่คิดอีกนะเนี่ย! คิดถึงพวกกูมะ"

"กูขนเกมมาให้มึงเล่นด้วย กลัวมึงเบื่อ เดี๋ยวกินข้าวเที่ยงแล้วมานั่งเล่นกัน"



ผมขมวดคิ้วอีกรอบ ถ้าเกมแนวที่เล่นแล้วทำให้อารมณ์เสีย หรือหงุดหงิดนี่ผมไม่อนุญาตนะครับ กลัวจะส่งผลไม่ดีต่อเทมที่กำลังโต ออทิสติกยิ่งเป็นพวกพอสนใจอะไรแล้วจะหมกหมุ่นกับสิ่งนั้นทั้งวันทั้งคืนอยู่ พอผมจะเอ่ยปากทักท้วง ขิมเด็กผู้ชายใส่แว่นตัวเล็กพอกันกับไอ้น้ำก็เดินมากระซิบบอก ขิมนี่เป็นเพื่อนเล่นหมาแมวของเทมครับ เคยไปเจอกันที่คาเฟ่แมว เลยสนิทกันแบบงงๆ เจ้าตัวจัดได้ว่าเป็นสายเงียบคล้ายๆกับไม้ ผมเคยคิดว่าถ้าจับสองคนนี้มาอยู่ด้วยกัน คิดว่าน่าจะเงียบยิ่งกว่าป่าช้าตอนเที่ยงคืนอีกครับ


"บอร์ดเกมน่ะ น้ำลากพวกเราไปซื้อกันมา"


ถ้าบอร์ดเกม เกมกระดานก็พอหยวนครับ นึกว่าจะมาชวนกันเล่นเกมต่อสู้ หรือเกมพิสดารๆ ถ้าใช่คงจะต้องให้เอาไปกองไว้ข้างนอกแทน


"มึงนี่เข้มงวดจังวะ เอ้า นี่ของฝากอียิปต์ ของเทมก็อยู่ในนั้นด้วย นี่กูกลับมาแล้วงงชิบหาย ไอ้เต้ไอ้น้ำโหวกเหวกในกลุ่มไลน์ไม่หยุดเลย"


ธันวาเป็นรองประธานของผมครับ ธันวานี่ตัวโตมากครับ คืออย่างเทมนี่สูงกล้ามเนื้อพอดีตัว แต่ธันวานี่ตัวสูงไม่พอกล้ามใหญ่มาก ผิวสีเข้มจัด เสียยิ่งกว่าไอ้เต้ที่เล่นบาสกลางแจ้งทุกวี่ทุกวันเสียอีก รวมกันแล้วมันดูเถื่อนมากครับ จนบางครั้งเวลาพวกผมสี่คนไปเที่ยวด้วยกัน จะมีมันแค่คนเดียวที่ถูกคิดราคาผู้ใหญ่ครับ...บางทีก็โดนไม่ให้เข้าโรงเรียนด้วย เพราะนึกว่าเป็นผู้ปกครอง แม้ภายนอกมันจะดูเถื่อน แต่ข้างในมันใฝ่รู้ใฝ่เรียนมาก อันดับหนึ่งของผมบางครั้งก็เกือบจะโดนมันสอยอยู่เนื่องๆ เรียกว่าเป็นศัตรูด้านการเรียนของผมก็ว่าได้


"ผมเป็นคนที่ต้องรับผิดชอบเขานี่ครับ ถ้าจะเข้มงวด ก็เพื่อตัวเขาเองทั้งนั้น"

"คำพูดเหมือนจำใจ แต่หน้าตามึงนี่กำลังโอ้อวดอยู่ชัดๆ น่าหมั่นไส้ชิบหายยยยยยย"

"หมู ช่วยมาตรวจงานกับเราก่อนได้ไหม พอดีว่างานมันเร่งจริงๆน่ะ"

เปียเลขาผู้ใส่ใจงานก็ทักผมขึ้นมา ในมือมีแฟ้มหลากสีและกระดาษหลายใบ นี่ผมสงสัยมากเลยนะครับ ว่าสมมุติผมเกิดอุบัติเหตุแขนขาหักต้องเข้าเฝือก เปียก็ยังจะให้ผมทำงานโดยคาบปากกาเซ็นหรือเปล่า...มีความเป็นไปได้มากเลยครับ ว่าต้องใช่แน่ๆ
"เออ เปียเรียกกูมาเพราะเรื่องงานโรงเรียนนี่แหละ ลงจากเครื่อง ตูดยังไม่ทันหายร้อน แม่โทรจิกกูยิกๆๆๆ"

"ไม่ให้โทรจิกนาย เราจะให้ฉันโทรจิกใคร งานของนายมาโปะที่ฉันหมดแล้วเนี่ยตาถึก!"

"โห ยายถึกทำไมมาว่ากันแบบนี้ล่ะ งานเราก็เหมือนงานเธอ งานเธอก็คืองานเธอยังไงล่ะ"

"แกเรียกใครว่าถึกห๊า!"

"ทั้งสองคน อย่าเพิ่งตีกั๊น!"


เปียที่ปกติจะเสียงหวานตอนนี้เสียงอำมหิตมากครับ ระหว่างที่รองประธานกับเลขากำลังเปิดศึก และมีผู้ช่วยเลขาอย่างหญิงคอยห้ามทัพ ผมก็เดินหนีมาหาคนที่กำลังพูดคุยอย่างสนุกที่เตียงแทน


"ใช่ๆ แล้วแมวตัวนั้นก็น่ารักมากเลย เราถ่ายคลิปมาด้วย แต่อยู่ในกล้อง เอาไว้จะลงในเฟสบุ้คแล้วเทมยืมโทรศัพท์หมูมาดูนะ"
"อ-โอเค ละ-แล้วเค้กอร่อยไหม"

"อร่อยๆ! ปกติคาเฟ่สัตว์ อาหารจะไม่ค่อยอะไรใช่ไหม แต่ร้านนี้ดีมากเลยนะ"

ขิมที่ปกติจะเงียบๆ แต่พอเป็นเรื่องของเจ้าสี่ขานี่จะพูดเก่งมากครับ ชวนเทมคุยไม่หยุดเลย

"เฮ้ย คาเฟ่ตรงข้ามร้านเหล้าใช่ป่ะวะ คุ้นๆ เหมือนจะเป็นร้านพี่ที่กูรู้จักเองอะ"

"จริงเหรอเต้ ร้านนี้ระบบจัดการดีมากเลย มีพื้นที่ให้แมวเล่นเยอะมาก เราฝากคำชมไปให้พี่เขาหน่อยดิ"

"ร้านไหนวะ"

"ตรงข้ามร้านพี่จินไงมึง ร้านที่เพื่อนเขาเปิดอ่ะ"

"อ๋อออออออ แต่ก่อนเป็นร้านเกมเดี๋ยวนี้กลายมาเป็นคาเฟ่แล้วเหรอ ไม่ได้ล่ะ กูต้องไปมั้ง"

"อย่าเลยน้ำ มึงไปนี่แมวคงกลัวจนขนร่วงอ่ะ กาลกิณีเกิ๊น"

"สัตว์เต้ กวนส้นตีน!"


แล้วบนเตียงก็เกิดศึกไอ้เต้กับไอ้น้ำปล้ำกันไปมา โดยมีอีกมุมของเตียงเป็นชมรมรักสัตว์ของสามหนุ่ม ใช่ครับ...สาม ไม่ใช่สอง ในชมรมรักสัตว์มีเหรัญญิกผู้เงียบขรึมของผมรวมอยู่ด้วย สามหนุ่มที่ดูเป็นละขั้วนี้ เป็นแก๊งค์ทาสสัตว์ขนปุยครับ...แต่จริงๆเทมนี่ดูท่าว่าจะสนใจขนมมากกว่าสัตว์หน่อยๆนะครับนั้น.


..เป็นภาพที่วุ่นวายมากครับ เมื่อมุมหนึ่งของห้อง มีชายหญิงคู่หนึ่งกำลังจะเอาแฟ้มตบตีกันโดยมีผู้หญิงอีกคนที่เหนื่อยจะรั้งเลยยืนดมยาดมมองเฉยๆ ส่วนที่เตียงสองเพื่อนเกลอที่วันนี้ดันไม่รู้คึกอะไรมากัดกันเสียฝุ่นตลบ และอีกมุมของถูกครอบครองโดยผู้ชายละมุนละไมนั่งคุยกันเรื่องแมว


"เออ เราเอาของฝากมาด้วย เป็นการ์ดรูปแมวน่ะ"

"เฮ้ยๆ พวกกูก็มีของเยี่ยมไข้นะ"

"เฮ้ๆ อย่าให้ตัดหน้ากันดิ"


แล้วทุกคนก็มารุมออกันที่เตียงของเทมปุระ พลางยิ่นเจ้าถุงที่มีโลโก้เดียวกันมาให้ เทมรับไว้อย่างงงๆก่อนจะยกมือไหว้ขอบคุณตามความเคยชิน เจ้าถุงสีขาวเปิดออก เผยสีฟ้าสดใสข้างใน ตุ๊กตาหุ่นยนต์แมวแห่งโลกอนาคตในหลากหลายขนาดและท่าทาง พร้อมถือป้าย 'หายไวไวนะ เทม' เทมปุระที่ได้รับความห่วงใยจากทุกคนถึงกับน้ำตาคลอหน่วย พูดขอบคุณด้วยพวงแก้มสีระเรื่อน่าเอ็นดู


"ไม่เป็นจ้า หายไวๆก็พอรู้ไหม หยุดถึงศุกร์พอนะ จันทร์ต้องไปโรงเรียนได้แล้ว เบื่อพวกผู้ชายเถื่อนๆพวกนี้จะแย่"

"อ้าวววว พวกเราผิดเฉ้ยยย"


เทมปุระที่ตื่นเต้นกับตุ๊กตาที่ผมมองความต่างไม่ออกของแต่ละตัว ก็จับมากอดไม่หยุด ชูมือชูไม้อวดผมใหญ่

"หมุ หมุหย็อง ดุ ดูนี่ ตัวนี้เป็นแบบหายากด้วยนะ รินเคยเอามาให้ดู"

รินนี่คือเด็กอนุบาลที่เทมชอบไปนั่งเล่นที่สนามเจอแล้วสนิทด้วยกันครับ สายติ่ง สายชอบโดเรม่อนเหมือนกัน
ผมพยักหน้ารับ แม้จะไม่เ้าใจความหายากของมันก็เถอะ


"เฮ้ย ไหนๆก็ไหนๆแล้ว มาเล่นเกมกันเลยมะ จะได้เข้าไปเรียนคาบบ่ายทัน"

"เออว่ะ นี่กูว่าจะโดด แต่เปียแม่งก็ดันไปขอลามาแทนซะงั้น"

"น้ำ พูดดีๆนะ อยากโดนตบหรือไงวะมึง หญิงถึกเขาโหดนะเว้ย"


เปียที่ถลีงตาใส่พวกผู้ชายก็เลยหันมาอธิบายกับผมแทน

"จะให้โดดพร้อมกันเยอะขนาดนี้ได้ยังไง อาจารย์เรียกตำรวจมาค้นหาเด็กหายพอดี เราเลยไปแจ้งเรื่องขอลาครึ่งวันมาเยี่ยมเพื่อนน่ะ แตไอ้พวกนี้ก็ดีดดิ้น ไม่พอใจบอกครึ่งวันก็ต้องกลับแล้วไม่พอ"

"กูไม่กลับนะ กูจะอยู่เล่นกับเทมมมมมม ใช่มะเทม"

"นั้มอยู่เนอะ นั้มอยู่"

"ไม่ได้นะเทม ถ้าน้ำอยู่ น้ำจะโดนอาจารย์หักคะแนน แล้วก็จะเรียนไม่จบ เรียนไม่จบ น้ำก็จะเป็นภาระพ่อแม่ ต้องมาคอยเลี้ยงดู พอพ่อแม่เบื่อขี้หน้าน้ำที่เรียนไม่จบ น้ำก็จะโดนไล่ออกจากบ้าน แล้วก็เป็นภาระสังคม"

เทมที่ตาโต เพราะไม่นึกเลยว่าเรื่องจะใหญ่ขนาดนี้ กับคำล้อเล่นของเปีย แต่เทมก็แยกไม่ออกหรอกครับ เจ้าตัวเยรีบหันขวับไปหาไอ้คนที่อยากโดดเรียนแล้วมาสถิตย์อยู่นี่เต็มแก่


"งั้นนั้มไปนะ ไม่ไปจะเป็นพารานะ"

"ภาระโว้ยเทม พารามันยา!"

"ก็พุดว่าพาราไง"

"เอ้า ก็นี่ไงมึงพูดว่าพารา ไม่ใช่พารา ภาระสิ ภาระ"

"พละเหร๋อ? พละ พละ!"

"พละมาจากไหนวะ ภาระ! ภา-ระ ภ-า-ร-ะ"

"พะ-ละ พละ!"

"เออ เค พละก็พละ หยุดก่อนที่แม่งจะกลายเป็นสุขศึกษาเถอะ"



เสียงหัวเราะที่ดังขึ้นมาพร้อมกัน เพราะการเถียงของคนสองคนที่ดูไม่มีสาระ แต่กลับทำให้บรรยากาศผ่อนคลาย
ผ่อนคบายไม่ทันไร สงคามก็เริ่มเกิดครับ เมื่อฝ่ายบอร์ดเกมของไอ้น้ำ กับฝ่ายคาราโอเกะของไอ้เต้ กับฝ่ายอยากลากผมไปทำงานให้เสร็จอย่างเปียกำลังตีกัน


"งานก็ไปทำที่โรงเรียนสิว้อยยยยย เปียแม่งจะจริงจังไปไหน มาร้องคาราโอเกะกันก่อน นี่กูเอาชุดหางเครื่องมาให้พวกมึงใส่ระหว่างคนร้องด้วย"

"มึงบ้าป่ะเนี่ยสัตว์เต้ กูก็ว่าอยู่ว่าทำไมกระเป๋ามึงมันใหญ่จังวะ ใส่ไปคนเดียวเลยมึงอ่ะ! ต้องเล่นเกมกระดานสิวะ คลาสสิค เล่นได้เป็นสิบคน!"

"เกมค่อยเล่นก็ได้ ทำงานให้เสร็จก่อนสิ ฉันจะโดนพวกชมรมดักตบเพราะยังไม่แจ้งงานเขาอยู่แล้ว ทำ-งาน-ก่อน!"

"กว่าจะทำงานเสร็จก็หมดเวลาพอดี งั้นก็ให้พวกเราโดดเรียนสิ"

"มึงจะมาพูดเรื่องโดดเรียนต่อหน้าประธานนักเรียนกับรองประธานและทีมสภาแบบนี้ไม่ได๊"

"เกมกระดาน!"

"คาราโอเกะ!"

"ทำงาน!"




สายฟ้าฟาดฟันเป็นฉากหลังของสามขุนศึก ขิมที่นิ่งดูเฉยๆก็เลยลองเสนอความคิดเห็น

"เอ่อ งั้นให้เทมเป็นคนเลือกไหม อึ๋ย! ระ-เราแค่เสนอความคิดเห็นน่ะ"

"อืม ให้เทมเลือกก็ดีนะ ยังไงเราก็มาเยี่ยมเทมกันนี่"


ไม้ก็เห็นดีเห็นงามด้วย ส่วนธันวากุ้มท้องหัวเราะอย่างบ้าคลั่งอยู่บนเตียงแล้วครับ ได้เห็นคู่กัดอย่างเปียหัวเสียนี่ความสุขของเขาล่ะ หญิงที่ไม่สนใจอะไรชวนเทมระบายสีสบายใจก็ลอยตัวจากศึกตรงหน้า เทมก็ระบายสีไปดูเพื่อนตีกันไปท่าทางเพลิน แต่พอขิมเอ่ยชื่อเจ้าตัว เด็กน้อยของผมก็สะดุ้งเฮือก ไม่นึกว่านั่งระบายสีอยู่เงียบๆจะโดนลูกหลง เทมปุระมองซ้ายมองขวา ก่อนจะโดนสามขุนพลเข้ามาประชิดตัวกดดัน



"เออ ดี เทมมึงเลือกมาเลย บอกเปียกับน้ำไปเลยว่ามึงอยากร้องคาราโอเกะ นี่กูมีขนนกยาวหนึ่งเมตรสีฟ้าเหมือนสีโดเรม่อนที่มึงชอบด้วยนะ กูจองไว้ให้มึงเลย!"

"เทมอย่าไปฟัง คิดดูสิว่าถ้าหมูหยองทำงานเสร็จวันนี้ วันไปโรงเรียนก็ไม่ต้องประชุม ทุกคนจะได้แยกย้ายกลับบ้านเร็วๆไง จะไปคาเฟ่ หรือไปเที่ยวที่ไหนก็ได้ทั้งนั้นเลยนะ! อิสระ! ฟรีด้อม!"

"เหอะ งานไอ้หมูทำแม่งทั้งชีวิตก็ไม่จบหรอก เห็นมาตั้งแต่มอหนึ่ง แม่งก็โดนลากไปทุกเย็น แล้วเทมมึงอย่าคิดจะไปใส่ไอ้ขนนกฟู่ฟ่องของไอ้น้ำเชียว แม่งรสนิยมประหลาด มาเล่นเกมกระดานส่งเสริมความรู้กับกูดีกว่า นี่เกมเศรษฐี โคตรคลาสสิค!"

"เลือกเราสิเทม!!!"

"เลือกกู!"

"บอกพวกนี้ไปว่าขนนกหางเครื่องคือที่สุด!"

"เลือกมา! / เลือกมา! / เลือกมา!"




เทมปุระของผมที่ตกใจ ไม่นึกว่าเรื่องราวจะมาหล่นที่ตัวเองก็ลนลานทำอะไรไม่ถูก
เลยหลับตาปี๋แล้วบอก 'ละ-ละ-ละเล่นทุกอย่างพร้อมกันเลยครับ!'


เชื่อไหมครับว่าเรื่องราวมันจบได้แบบน่าอัศจรรย์ใจมาก...


พวกผมต้องยอมสวมหมวกขนนกหางเครื่องของไอ้เต้ ที่ไม่รู้มันบ้าอะไรถึงได้เอามาเป็นกระสอบเลย คบเป็นเพื่อนกับมันมาตั้งหลายปี ไม่เคยนึกรู้ว่ารสนิยมของมันไปทางนี้ พอพวกเราทุกคนใส่เจ้าขนนกสีสันสดใสที่ยาวเฉียดเพดานแบบจำใจกันสุดๆเสร็จ ก็มานั่งล้อมวงเล่นเกมเศรษฐีของไอ้น้ำ จากจุดเริ่มต้น หรือช่องคุกที่คนตกต้องหยุดเล่นหนึ่งตา ก็กลายเป็นต้องลุกขึ้นร้องเพลงและเต้นหนึ่งเพลง...แล้วระหว่างที่เล่นไป ผมก็ต้องแบ่งสมาธิกันมาช่วยกันทำงานไปด้วย


เครียดมากครับ ยากมาก มือหนึ่งถือปากกา อีกมือทอยลูกเต๋า ตาหนึ่งอ่าน ตาหนึ่งต้องคอยหลบเลี่ยงภาพอุจาดตา อย่างเช่นไอ้ธันวาที่กำลังทำท่า 'เด้าพื้น' พร้อมขนนกฟุ้งฟิ้งสีชมพูแสดที่ปักอยุ่บนหัวขยับส่ายไปมา พร้อมเสียงร้องเพลงที่โคตรจะทุเรศพอกันกับท่าทาง ผมอยากวางปากกาลงแล้วเอามือไปอุดหูและปิดตาเทม แต่ก็ทำไม่ได้


"เด้าจั๋งใด๋ก็บ่หลุด เด้าจั๋งใด๋ก็บ่หลุ๊ดดดดดดดดดดดดด เด้าๆๆ"


เสียงหัวเราะกร๊ากของพวกไอ้เต้ไอ้น้ำ กับสายตาเย็นชาจากเปียและหญิง พร้อมขิมที่หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายวีดีโอเงียบๆ และไม้ที่เขยิบออกห่างเพื่อนตัวเอง



"เชี้ยธันแม่งใจว่ะ ใครก็ได้ถ่ายคลิปนี่ไว้ให้ลูกหลานมันดูที"

"กูว่าถ้าคลิปนี้แพร่ออกไป แม่งคงไม่มีหรอกลูกหลาน ไม่มีใครเอาทำพันธุ์แน่นอน....อวสารเด้าพื้นจนสูญพันธุ์ที่แท้ทรู ฮ่าๆๆๆๆๆ"



จากเกมที่ควรเล่นเพราะความสนุกก็เป็นเกมที่ทุกคนใช้ทุกไหวพริบ และกลโกงมาใช้ครับ เพราะไม่อยากลุกไปร้องเพลงกับเต้นท่าอุบาทว์ๆเหมือนรองประธาน ที่ตอนนี้หน้าของมันแดงจัดจนทะลุสีผิว ไอ้เต้มันทำฉลากเพลงที่จะให้ร้องให้เต้นมาครับ แต่ล่ะเพลงนี่เพลงแปลกๆ ที่พวกผมไม่เคยได้ยินทั้งนั้น...และทุกคนก็ไม่อยากเป็นเหยื่ออันโหดร้าย ตาหนึ่งหญิงเผลอทอยเต๋าได้ไปตกช่องความอภิมหาซวยนั่น หญิงที่ไม่เคยแสดงท่าทางรุนแรงถึงขนาดล้มโต๊ะ แล้วบอก 'อุ้ย โทษทีนะ พอดีแล้วขาชาน่ะ โมฆะเนอะ ฮ่าๆ' หรือจะเป็นขิมที่รีบแกล้งตายเหมือนเจอหมี พอความซวยสืบทอดไปหา หลากหลายวิธีการและวิธีเล่น ที่ทำเอาห้องทั้งห้อง เต็มไปด้วยสงครามอีกครั้ง และอีกครั้ง



บอกเลยนะครับ ว่าใครอยากเลิกคบเพื่อนให้เอาไปเล่น
เกมทำลายมิตรภาพที่แท้จริง...



จากที่ผมมักจะโดนล้อว่าหัวร้อน กลายเป็นวันนี้ทุกคนนอกจากผมกับเทมล้วนหัวร้อนกันถ้วนหน้า เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน ฝากฝังหนี้ชำระแค้นให้อีกคน


"เชี้ยหมูกับเทมแม่งงงงงงงงงงงงเล่นของแน่ๆ เล่นเป็นสิบยี่สิบตา เสือกไม่ตกเลยสักครั้ง!"


หลังๆที่ทุกคนโดนกันถ้วนหน้า มีแค่ปาท่องโก๋แห่งสารสารทวิทยาที่ยังไม่โดน เหยื่อคาราโอเกะ ft. บอร์ดเกมมหาภัยก็หันมาผนึกกำลัง รวมหัวกันกลั่นแกล้งทุกวถีทาง ให้ผมกับเทมโดนบ้างครับ


แต่ว่าก็อยู่รอดหนังเหนียวมาจนถึงตาสุดท้าย...
เล่นเอาพวกนั้นบ่นกระปอดกระแปด มองมาพลางถลึงตาไม่หยุด


จริงๆแล้วเกมพวกนี้ ถ้ากะแรงโยนลูกเต๋าดีๆ ก็พอจะกะให้ออกได้ครับ ผมเลยสบายๆ เพราะเคยโดนเจ้ไก่ลากไปเล่นที่บ่อนจนชิน ได้รับเทคนิคมาเยอะแยะ ส่วนเทมนี่ต้องบอกว่า เล่นไม่ทันสามตาก็ล้มละลายแล้วครับ เล่นเดินกี่ตาๆ ก็ตกช่องบ้านคนอื่นเขาหมด เป็นความโชคร้ายหรือโชคดีมากๆกันแน่ ผมก็ไม่แน่ใจ


แต่ถ้าไม่ได้เต้นท่าไก่ย่างถูกเผาพร้อมรูดเสาไปด้วยแบบไม้ ผมว่าก็เรียกได้ว่าโชคดีสุดๆแล้วล่ะมั้งครับ...
ไม้ที่ตอนมาหน้านิ่ง ขากลับนี่หน้าม้านเลยครับ


"ม-ไม่เป็นไรนะไหม้ ท่าไก่ เอ่อ เท่มากเลย"

"....อืม"


ไม้ที่ไม่รู้จะตอบรับคำปลอบใจยังไงดี ได้แต่ครางรับคำง่ายๆ ผมว่าผมเห็นบางคนน้ำตาตกในเพราะความอายนะครับ...ท่าไก่ย่างรูดเสานี่ตำนานจริงๆ...เอวดีใช่เล่นนะครับเนี่ย เหรัญญิกของสภาท่านนี้ ไอ้ธันวาถึงขนาดหัวเราะจนสะอึกไปครึ่งชั่วโมงเลยครับ ไอ้เต้ไอ้น้ำนี่หัวเราะจนแทบเป็นลม ไอ้ขิมที่เงียบๆแค่ยิ้มคอยเอาแต่ถ่ายรูปคนอื่น ยังขำจนสั่น ขนาดถือโทรศัพท์ไม่ได้ หญิงกับเปียถึงกับอ้าปากค้าง ด่าไอ้น้ำไม่หยุดว่าทำผู้ชายปกติคนสุดท้ายพังทลายลง


"แม่ง ฝากไว้ก่อนเถอะ ครั้งหน้ากูจะเอาให้ตกรัวๆทุกตาเลย"

"รอบหน้าเอาชุดลิเกไหมมึง..."

"หยุด! / ไม่เอา! / ไม่! / ไม่! / หยุดความคิดมึงเดี๋ยวนี้!"



ทุกคนถอดขนไก่ออกจากตัวแล้วโยนใส่เจ้าของ มันหัวเราะเอิ้กอ้ากชอบอกชอบใจ นี่มันคงไม่ได้กินยาลืมเขย่าขวดใช่ไหมครับ หรือผมควรพามันไปโรงพยาบาลดี


"ทำไมวะ ฮาดีออก"

"มึงเก็บไว้ใส่เองเถอะ สาดดดดดดดด"



"ฮ่าๆๆๆ"



เทมปุระที่หัวเราะเสียงดัง ดูสดใสขึ้นมาก แผลที่บาดลึกดูตื้นขึ้นมาด้วยมิตรภาพและความห่วงใยจากคนรอบตัว ไอ้เต้หันมายักคิ้วให้ผม พลางบุ้ยปากไปทางเทมปุระที่ฉีกยิ้มกว้างแผ่ออร่าความสุขออกมาเหมือนแต่ก่อน



...อา ผมว่าผมพอจะรู้แล้วล่ะครับ ว่ามันไม่ได้กินยาเกินขนาด หรือว่าหัวไปฟาดพื้นที่ไหน มันเป็นวิธีช่วยรักษาแผลใจของเทม ด้วยวิธีการของมันเอง และความช่วยเหลือนี้ก็ไม่ได้มาจากแค่เต้ แต่มาจากทุกคนที่เลือกจะไม่ใส่ก็ได้ แต่ทุกคนก็ยอม...และบ้าบอไปด้วยกัน


ผมยิ้มออกมาอย่างจริงใจ อย่างที่นานๆครั้งจะมีสักครั้ง พวกเรายิ้มให้กันตรงหน้าประตู ยิ้มให้กับเสียงหัวเราะที่ไร้คราบน้ำตา ยิ้มให้กับบาดแผลที่จะจางลงในเร็ววันนั่นอย่างดีใจ


หลังจากผมร่ำลากลุ่มเพื่อนๆ ที่จะต้องกลับไปที่โรงเรียนกันเรียบร้อยแล้ว ยังไม่ทันจะพยุงเทมปุระที่ดื้อจะลงมาส่งคนอื่นๆไปไหน ยังไม่ทันจะผละออกจากประตูได้ถึงสิบวิ เสียงกดกริ่งก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง...


ผมคิดว่าอาจจะมีใครสักคนลืมของ จึงจับเทมไว้แล้วมาเปิดประตูด้วยกัน




แอ๊ด




ข้างนอกของประตู เป็นคนคุ้นเคยของผมเอง





"เท๊มเทมมมมมมมมมมมมมมมมม ปะป๊ามาเยี่ยมแล้วจ้าาาาาาาาาาา!! นี่ป๊าสั่งกุหลาบพันดอกมาเยี่ยมไข้เทมเทมด้วยนะลูกกกกกก แต่เอาขึ้นลิฟท์มาไม่หมด งั้นเอาแบบ .jpg ไปก่อนนะ"

"ลูกคนข้างบ้างเป็นยังไงบ้าง? น้องเมย์อยู่ไหน เรียกน้องเมย์มาหาฉันสิ"

"หายดีหรือยัง? หมูไม่ยอมส่งข่าว จนคนทั้งบ้านเป็นกระต่ายตื่นตูมกันไปหมดแล้ว"

"เทมๆๆๆๆๆ!! หยองหยองเอาด้วงมาฝากกก นี่ราชาด้วงสั่งเพาะพันธุ์พิเศษจากขั้วโลกเหนือเลยนะ เห็นบอกว่าเป็นด้วงใกล้สูญพันธุ์ที่สามารถกลายร่างเป็นหมีควายได้ด้วย!"

"เจ้ว่าแกถูกหลอกแล้วล่ะหยองหยอง ...ว่าไงเทมเจ้มาเยี่ยม เอาไพ่มาให้เล่นแก้เบื่อด้วยนะ"

"จำปาก็มาหาเหมือนกันจ้าา คุณหลวงทั้งสองสบายดีไหมจ๊ะะะะะ นี่จำปาพอได้ข่าวก็รีบมาหาเลยนะ ดูสิชุดสไบนี่สั่งตัดมาเมื่อวาน เห็นลายผ้าถุงนี่ไหม เป็นผ้าไหมสังตัดพิเศษลายโดเรม่อนเลยนะคุณหลวงขา จำปาใส่มาเอาใจโดยเฉพาะ คุคริคุคริ อิอิซ่าาา"







ปัง






ผมปิดประตูลง


ทิ้งความวุ่นวายของครอบครัวตัวเองไว้ข้างหลัง


และเริ่มคิดว่าอย่างจริงจัง


ว่าควรจะพาเทมหนีไปอยู่ที่เกาะไหนดี....










end 14 .
twitter #เพื่อนผู้ปกครอง

ออฟไลน์ ZOFIARIN

  • ▇ โซเฟียริน • อวยพระเอก ▇ Whәи ɴᴏᴛʜɪɴɢ is یuгe , eveяything is possißle ♡
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 125
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-1
    • Twitter












15










กายภาพ แบบฝึกหัด หักดิบงดของหวาน คือตัวบ่อนทำลายความอดทนของเด็กน้อยของผมจนหมดสิ้น เทมปุระนอนแก้มบวมแก้มป่องอยู่บนเตียง โดยเฉพาะเมื่อเจ้าตัวเพิ่งเล่นสนุกทั้งคืนกับเพื่อนที่มาเยี่ยม และครอบครัวผมกลับไป ความสงบหลังความสนุกสนานที่ยาวนาน มักจะเป็นความน่าเบื่อที่แสนสาหัส


"เทมครับ ทำแบบฝึกหัดเล่มนี้เสร็จ สักเที่ยง คุณหมอจะมาตรวจ แล้วตอนบ่ายมีทำกายภาพบำบัดนะครับ"


เหมือนเป็นคีย์เวิร์ดต้องห้ามสำหรับองค์ชายตอนนี้ ที่แค่ได้ยิน หมอ แบบฝึกหัด กายภาพ อยู่ในประโยค ก็ต่อต้านขึ้นมาแล้ว เทมหันหน้าซุกหมอนหนีผม แม้ว่าผมจะพยายามแงะเจ้าตัวออกจากเตียงเท่าไหร่ก็ไม่ยอม


หลังจากสองสามวันที่ผ่านมา ที่ทุกคนคอยพลัดเปลี่ยนแวะเวียนมาเยี่ยม เทมปุระก็เหมือนจะเสพย์ติดการเล่นจนไม่อยากทำอะไรเลยครับ งอแงใส่ผม เหมือนเด็กที่เอาแต่กอดขาพ่อแม่เขย่าๆขอออกไปเล่นข้างนอก โดยที่ไม่ยอมกินข้าวกินปลา เฮ้อ ผมถึงได้ไม่อยากให้มากันบ่อยนักไงครับ 


"เทมครับ ไม่ดื้อนะครับ"

"ไม่ได้อยากดื้อนะ แต่เทมเบื่อนี่น่า ไม่กายภาพได้ไหมครับ เทมก็เดินตรงๆได้แล้วนะ ไม่เป๋ๆเหมือนพี่ปูแล้วด้วย"


หลังจากผ่านมาห้าวัน ตอนนี้อาการเทมดีขึ้นมากแล้วครับ  ทั้งได้หมอดี กำลังใจดี การฝึกดีๆ แทบจะเรียกว่ากลับมาเหมือนปกติร้อยเปอร์เซน การพูดจา พอได้รับความมั่นใจและสบายใจก็ชัดเจนเหมือนเก่า พรุ่งนี้วันจันทร์ก็คงพาเจ้าตัวไปโรงเรียนได้แล้ว แต่ผมก็ยังอยากให้เขาได้รับการรักษาจนถึงวินาทีสุดท้าย เพื่อความมั่นใจของผมเอง
แต่ท่าทางคนที่คนกำลังมุดตัวเองอยู่ในผ้าห่ม จะไม่ยอมให้ความร่วมมือเสียแล้วสิครับ...


"หมูรู้ครับว่าเทมดีขึ้นมากแล้ว อดทนอีกนิดได้ไหมครับคนเก่ง วันนี้ก็วันสุดท้ายแล้วนะ พรุ่งนี้ก็ไม่ต้องทำแล้วครับ"

"จริงๆเหรอ ไม่ทำแล้วนะ?...งั้นก็ได้ครับ"


เทมพอได้ยินว่าวันนี้จะเป็นวันสุดท้าย ก็ดีใจจนยอมลุกออกจากเตียง วิ่งมาล้อมหน้าล้อมหลังผม จนผมต้องดึงร่างสูงให้อยู่นิ่งๆ เทมที่ยิ้มหน้าบาน ก็ทำตาอ้อนกัน จนผมกลัวสิ่งที่เขาจะขอเหลือเกิน กลัวว่า...ไม่ว่าปากสวยเสียงทุ้มจะพูดขออะไร ผมก็จะตามใจเขาทุกอย่าง


"หมูหย็องครับ หมูหย็อง"

"ว่าไงครับ?"

"เทมหายหรือยังครับ"

"ก็...ใกล้หายแล้วล่ะมั้งครับ"

"ใกล้นี่อีกไกลไหมครับ ประมาณนี้ได้หรือเปล่า" เทมจีบนิ้วชี้กับโป้งเข้าหากัน เว้นระยะไว้แค่พอให้มดเดินผ่าน

"ก็ใกล้ประมาณนั่นล่ะมั้งครับ"

"งั้น...งั้น งั้นเทมทานไอศกรีมได้ไหม ตัวไม่ร้อนเลยนะครับวันนี้ หมูหย็องก็จับไปแล้วเมื่อเช้า เห็นไหม ไม่อุ่นอุุ่นเลยสักนิด ธรรมดา ตัวเย็นธรรมชาติสุดๆเลยครับ"


...เพิ่งหายไข้ก็มาขอทานไอศกรีมแล้วเหรอครับเทมปุระ ผมมีสีหน้าลำบากใจกับคำขอของเด็กน้อยตรงหน้า เทมที่เหมือนจะรับรู้ได้ถึงสัญญาณของการปฎิเสธ ก็รีบเข้ามาคลอเคลียผมเหมือนเจ้าแมวน้อยขนฟูนุ่ม มาอ้อนขอขนมของว่าง แล้วเจ้าทาสผู้ซื่อสัตย์ก็มักจะใจอ่อน ยอมอ่อนข้อให้แม้ว่าจะยังไม่ใช่เวลาของว่างก็ตาม...ผมที่เป็นทาสผู้ซื่อสัตย์ของเขา ก็ใจอ่อนไม่ต่างกัน


หลายวันที่ผ่านมา ผมบอกอะไรเทมก็เชื่อฟังทุกคำพูด มีหลุดงอแงบ้าง แต่พอพูดสำทับไป เทมก็จะยอมแต่โดยดี เพิ่งมามีวันนี้ที่เหมือนอาการจะหายดีจริงๆ ยิ่งพอมีพี่หมอยืนยันตอนตรวจรอบกลางคืนเมื่อวาน ก็เป็นหลักฐานชั้นดี เทมถึงขนาดกล้าเข้ามาอยู่ใกล้ๆผม แบบไม่กลัวผมติดหวัดแล้วตอนนี้ เหมือนความเก็บกดของเขาที่ต้องห่างไกลกันหลายวันของอีกฝ่าย ทำให้เจ้าตัวเข้ามาใกล้ชิดมากกว่าปกติ เดิมตามหน้าตามหลังผมไม่ยอมหยุด พฤติกรรมน่ารักจากหลายๆวันรวมกัน


ผมคิดว่าเด็กน้อยของผมควรได้รับรางวัลชมเชยบ้าง...


ผมพยายามหาข้ออ้างที่สมเหตุสมผลให้ตัวเอง และคิดว่านี่ก็สมเหตุสมผลพอสมควร จึงพยักหน้าตอบรับคำขอนั้น
เทมที่พอเห็นผมพยักหน้า ก็กระโดดโลดเต้นหมุนตัวไปมา ดูคึกคักสุดๆ ผมหัวเราะให้กับความดีใจจนควบคุมตัวเองไม่ได้ขององค์ชายที่เมื่อสักครู่นี้ยังเอาแต่หน้างออยู่เลย


"แต่ต้องให้คุณหมอมาตรวจรอบเที่ยง กับทำกายภาพก่อนนะครับ แล้วเดี๋ยวสักสามสี่โมง อืม...เอาไงดีนะ?"

"ไอศกรีม! ไอศกรีม! ไอศกรีม! นะครับนะ นะนะนะ นะครับหมูหย็อง นะ?"

"หึหึ โอเคครับ เทมจะสั่งมาทานที่บ้าน...หรือว่าจะออกไปทานข้างนอกดีครับ?"


ผมถามลองเชิงกับคนที่กำลังดีใจ เพราะตั้งแต่เกิดเรื่อง เทมก็ยังไม่ได้ออกจากบ้านไปไหนเลยแม้สักก้าวเดียว เรื่องที่ผมจะให้เขาไปโรงเรียนพรุ่งนี้ ก็ยังไม่ได้บอกเจ้าตัว ถ้าหากเทมเลือกตอบจะไปข้างนอก ผมจะถือว่าเป็นนิมิตหมายที่ดี และค่อยๆเกริ่นเรื่องบอกเขา ตอนเจ้าตัวอารมณ์ดีกับไอศกรีมแล้วกัน เทมปุระดุครุ่นคิดเล็กน้อย ผมแอบตื่นเต้นกับคำตอบของอีกฝ่ายจนต้องกำมือแน่น


"ให้หมูหย็องเลือกเลยครับ เทมหม่ำที่ไหนก็ได้ ขอแค่มีหมูหย็องอยู่ด้วย"


ทำตอบที่ทำเอาผมที่กำลังลุ้นจนตัวเกร็ง กลายเป็นเขินอายใกล้ละลายได้ในเพียงชั่วเสี้ยววิ เล่นเอาผมแทบจะเสียหลักล้มลงไปกองกับพื้น พอหายไข้ อาการอ่อย อาการจีบแบบไม่รู้ตัวของเทมปุระก็กลับคืนมา ...จะว่าไปแล้วนี่เขาก็กำลังจีบผมจริงๆอยู่นี่น่า ถึงเจ้าตัวเหมือนจะลืมไปแล้วก็เถอะ...พอคิดดูดีๆ ออกไปข้างนอกกันสองคน ระหว่างที่กำลังดูใจกัน นี่มันไม่ได้เรียกว่า เดท หรือครับ?


พอคิดได้แบบนั้นก็เหมือนกับเครื่องเล่นเพลง ที่เล่นแล้วสะดุดแผ่นเสียงตกร่อง คำว่าเดทย้อนไปย้อนมาในหัวไม่หยุด


"หมูหย็องไข้ขึ้นเหรอครับ!? หน้าแดงจังเลย!"


อา...ก็หน้าแดงเพราะใครกันล่ะครับ เจ้าเด็กน้อยแสนซื่อนี่นะ


"งั้นไปข้างนอกกันไหมครับ เทมน่าจะเบื่ออยู่บ้านแล้วด้วย อะ แต่ไปร้านโปรดเทมไม่ได้นะครับ เดี๋ยวจะกลับมาดึกเกินไป" พอผมพูดขัดชื่อร้านไอศกรีมเจ้าโปรดของเทมปุระ ที่ออกนอกตัวเมืองไปไกลมาก เทมก็ดูเสียอกเสียใจหนักหนาขึ้นมาทันที หูที่กำลังตั้งขึ้นลู่ลง หางที่กำลังส่ายดุกดิกหยุดลง ผมเห็นแล้วก็ใจอ่อนยวบยาบ รีบหาอย่างอื่นมาชดเชยให้คุณชายน้อยของผมทันที


"งั้นไปห้างใกล้ๆบ้าน ไปดูหนังแล้วก็ทานข้าวข้างนอกกันไหมครับ?" ข้อเสนอดูน่าสนใจและพอเทียบเคียงได้ เทมปุระจึงกลับมาลิงโลดดีใจอีกครั้ง ผมก็พลอยโล่งใจไปด้วยที่เห็นเขากกลับมาร่าเริงเหมือนเดิม


"เมื่อไหร่คุณพี่หมอจะมาน้า เมื่อไหร่พี่นักกายภาพจะมาน้า เทมอยากให้มาเร็วๆจังเลย"

"หึหึ ใครกันนะ? ไม่ยอมลุกจากเตียง หมูเรียกเท่าไหร่ก็ไม่ยอมลุก ตั้งท่าจะไม่ยอมไปหาคุณหมอท่าเดียวเลย เอาแต่บ่นว่าไม่อยากให้คุณพี่หมอ กับพี่นักกายภาพมาเลย?"

"เทมเองคร้าบ ก็ตอนนี้อยากให้มาเร็วๆแล้วนี่น่า จะได้ไปเดทกับหมูหย็องเนอะ?"


ผมที่กำลังแซวอีกฝ่ายอยู่ดีๆ ถึงกับสำลักน้ำลายตัวเองจนไอค่อกแค่ก เทมต้องเข้ามาช่วยลูบหลังให้ ก่อนจะวิ่งปรื๋อไปหยิบแก้วใสแล้วรินน้ำมาให้ผมด้วยความตกใจ



"หมูหย็องไม่สบายจริงๆหรือเปล่า ทำไมทั้งหน้าแดงแล้วก็ไอด้วยล่ะครับ ติดเทมแล้วเหรอ" น้ำเสียงเป็นห่วงเป็นใยยังคงไม่ได้ทำให้ผมหายตกใจ ที่เด็กน้อยรู้จักคำว่าเดทด้วย ผมไอค่อกแค่อีกสักพัก ถึงได้หาย

"ไม่ได้ไม่สบายจริงๆครับ หมูแค่ตกใจ เอ่อ..เทมรู้จักเดทด้วยหรือครับ?"

"รู้จักสิ! ก็เทมกำลังจีบหมูหย็องอยู่นี่น่า คนที่จีบจีบกัน ก็ต้องไปเดทด้วยกัน เต้บอกเทมแล้ว จีบจีบนะครับหมูหย็อง"


พูดเสร็จก็ทำท่าประกอบด้วยการทำท่ารำ จีบมือไปมา...ไปลากเฮียปลามาต่อยสักทีได้ไหมครับ เมื่อวานใส่ชุดไทยมาชวนเทมรำวงตอนเที่ยงคืน จนเทมติดความไม่สมประกอบมาแล้วเนี่ย ไม่ควรให้ผ้าขาวไปเปื้อนสีของจำปาเลยครับ สะเทือนใจจริงๆ แล้วไอ้เต้นี่มันจะอธิบายอะไรครอบคลุมขนาดนี้ครับ นี่มันอธิบายไปถึงขั้นไหนกันแน่ อา...พูดแล้วยังหงุดหงิดไอ้น้ำไม่หายเลยครับ ทั้งไอ้เต้ไอ้น้ำนี่ก็ตัวดี เอาสีดำสกปรกมาแต้มผ้าขาวของผมอยู่เรื่อยเลยเชียว


ผมพยายามปลุกความโกรธใส่เหยื่อทั้งสาม เพื่อกลบความเขินอายที่ฉุดรั้งไม่ให้แสดงออกได้ยากเหลือเกิน
พวงแก้มทั้งสองรู้สึกผ่าว ใจเอยก็เต้นตึกตัก ที่ไม่ได้คิดไปเองคนเดียวว่านี่คือการเดท


ถึงจะเคยไปไหนต่อไหนกับเทมปุระสองคน แต่หลังจากสถานะของเราที่ใกล้ชิดกันมากขึ้น
มันก็ให้ความรู้สึกคนละแบบเลยนะครับ



"อะ หมูหย็องแอบยิ้มด้วย หมูหย็องก็ดีใจที่เราจะได้ไปเดทกันใช่ไหมครับ"

ผมที่กลั้นยิ้มจนปวดแก้ม ก็ไม่สามารถซ่อนรอยยิ้มจากคนตรงหน้าได้ จึงฉีกยิ้มกว้างให้เขา ก่อนจะพยักหน้าตอบรับว่าใช่ของคำถาม เทมที่เห็นผมตอบ แก้มใสก็ระเรื่อไปด้วยสีชมพูเหมือนกันกับผม

"หมูหย็องยิ้มแล้วน่ารักจังเลย"

"เทมก็ยิ้มแล้วน่ารักจังเลยเหมือนกันครับ"


เหมือนครั้งนี้ผมจะเป็นผู้ชนะนะครับ...อีกฝ่ายที่เหมือนโดนผมโจมตีใส่จุดตายด้วยรอยยิ้ม ก็เข้ามากอดผมแล้วซ่อนใบหน้าแดงฉานเอาไว้ ขมุบขมิบปากบ่นผมเบาๆอยู่ที่ไหล่ ว่า หมูหย็องนั่นแหละน่ารัก หมูหย็องแกล้งเทม หมูหย็องอย่างนู่น หมูหย็องอย่างนี้ไม่หยุด เราอยู่ในสภาพแก้มอุ่นเคลือบไปด้วยสีชาดอยู่นาน จนกระทั่งคุณหมอเข้ามาเคาะประตู



"อ้าว ไข้กลับเหรอครับเทม หน้าแดงจัง"


คุณหมอที่เปิดประตูเข้ามาเจอเทมที่กำลังนั่งยิ้มแก้มตุ่ยอยู่บนเตียงก็ทักขึ้น เทมรีบส่ายหน้าไปมา เจ้าดวงตาแสนหวานแอบชำเลืองมองผมที่นั่งอยู่ข้างเตียง แค่นั้นก็เหมือนจะเป็นเฉลยให้กับคุณหมอควบจิตแพทย์รู้ทันที รอยยิ้มเงียบๆร้ายกาจยิ่งกว่าคำเอ่ยแซวใดๆ ผมตีหน้าเรียบเฉย แม้ในใจจะเขินอายไม่น้อย ที่คุณหมอเข้ามาในจังหวะที่ผมกับเทมกำลัง เอ่อ เขาเรียกว่าอะไรนะครับ? จู๋จี๋กัน...? ทำไมฟังดูแล้วจั๊กจี้หัวใจจังเลย


"แหม ดูท่าจะเป็นไข้กันสองคนเลยเนอะ แดงทั้งคู่แบบนี้"

"ไม่ใช่นะครับคุณพี่หมอ เทมอายเฉยๆ หมูหย็องน่ารักเกินไปจนปวดใจเลย"



อา...อย่าไปบอกให้คนอื่นฟังแบบนั้นสิครับเทมปุระ ผมที่ตีหน้านิ่งเฉยอีกต่อไปไม่ไหว เลยขอตัวออกมาข้างนอก ก่อนจะที่ระเบิดตายอยู่ในห้องนั้นด้วยความเขิน เสียงเทมที่กำลังโม้ถึงความน่ารักของผมให้คุณหมอฟัง ยังแว่วออกมาจากประตูที่ไม่ได้ปิดสนิท


"หมูหย็องน่ารักจังเลย อะ แต่เทมคิดว่าหมูหย็องน่ารักได้คนเดียวนะ ถึงจะเป็นคุณพี่หมอก็ห้ามคิดว่าน่ารักเด็ดขาด...แล้วก็...คุณพี่หมอครับ เทมเหมือนจะเป็นโรคหัวใจหรือเปล่า หมูหย็องยิ้มทีไร ในนี้ก็เต้นตุ้บตับตุ้บตับใหญ่เลย"


เหมือนผมจะเห็นคุณหมอหันมาทางประตูและเราก็สบตากันแว่บหนึ่ง รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ที่ติดมุมปาก ทำเอาผมอยากเปิดประตูเข้าไป แต่ก็ไม่ทัน


"เขาเรียกว่าอาการตกหลุมรักครับน้องเทม เทมกำลังตกหลุมรักกับหมูอยู่ไงครับ เวลาที่เราอยู่ใกล้ๆคนที่เรามีใจ ตรงนี้ก็จะรู้สึกเต้นเร็วขึ้นมา เป็นปกตินะครับ ไม่ต้องเป็นห่วง แล้วเวลาที่เขายิ้มแล้วเต้นแรง ก็เพราะว่าเราชอบรอยยิ้มของเขามาก พี่หมอก็อยากอธิบายอะไรๆ มากกว่านี้นะครับ แต่รังสีอำมหิตที่อยู่ด้านหลังบอกว่าถ้าพูดไปคงไม่ได้ตายดี งั้นเรากลับมาเข้าสู่การตรวจกันดีกว่าเนอะ"


เมื่อเห็นว่าคุณหมอเข้าสู่กระบวนการตรวจในแบบปกติดีแล้ว ผมก็ปิดประตูลงให้สนิท


กว่าเทมจะทำกายภาพบำบัดเสร็จก็เกือบเย็นแล้วครับ ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย ผมเลยบอกให้เจ้าหน้าที่เข้มงวดหน่อย เพื่อให้มั่นใจว่าเทมสามารถเดินเหิน ขยับตัวได้อย่างเป็นปกติแล้วจริงๆ และคำตอบก็น่าพอใจ ว่าเทมดีขึ้นมากจนเรียกได้ว่าปกติแล้วครับ ผมพูดขอบคุณและพาเด็กน้อยที่กำลังตื่นเต้นที่จะได้ออกไปเที่ยวแบบสุดๆ ขึ้นไปอาบน้ำ


ระหว่างที่เสียงน้ำในห้องน้ำยังไหลกระทบพื้น ผมก็มาเปิดตู้ เลือกเสื้อผ้าของเขามาเตรียมเอาไว้ให้
ความตั้งใจลับๆของผมในเดทแรกคือเสื้อคู่ครับ แต่จะให้เลือกลวดลายอะไรเด่นๆ ก็ค่อนข้างจะน่าอายเอาเรื่องเหมือนกัน ผมจึงเลือกเสื้อเชิ้ตสีดำสนิท ที่ผมมักใส่ประจำ กับไปค้นหาเชิ้ตสีดำของผมที่ตัวใหญ่หน่อยให้เทม เสื้อผ้าของเทมจะออกไปโทนสีขาว น้ำตาล หรือฟ้าอ่อนๆ หรือไม่ก็สีจัดจ้านเป็นลายการ์ตูนไปเลยครับ ไม่มีสีดำเท่าไหร่


ผมเลือกเชิ้ตเนื้อดีมาสองตัว กางเกงยีนส์สีขาวตัดแต่งขาให้ดูขาด แล้วก็ผ้าใบสีขาว พร้อมหมวกสีดำสองใบ
นาฬิกาของเขาสีดำ และของผมสีขาว
มันก็ไม่โจ่งแจ้งนักหรอกมั้งครับ...


ผมเดินหยิบเสื้อผ้าที่จัดเซ็ทไว้แล้วไปให้เทม แอบลุ้นนิดหน่อยว่าเขาจะเป็นยังไงในเสื้อผ้าสีเข้ม


"เทมครับ หมูวางเสื้อผ้าไว้ให้ตรงโต๊ะนะครับ"

"โอเออับ ออบอุนอับ" โอเคครับ ขอบคุณครับ เสียงอู้อี้ดังลอดออกมา เหมือนเจ้าตัวกำลังแปรงฟันอยู่ ผมนึกท่าทางน่าเอ็นดูที่กำลังอ้าปากกว้างเหมือนปลาวาฬออกเลยครับ


ผมที่แต่งตัวเสร็จเรียบร้อย กำลังจะเดินไปหยิบกระเป๋าสตางค์ ก็ได้ยินเสียงเปิดประตูจากในห้องแต่งตัว จึงหันไปหาอีกฝ่าย เพื่อจะได้ชักชวนกันลงไปข้างล่าง หาลุงสันที่เตรียมรถรออยู่แล้ว คำพูดไม่ได้หลุดออกจากปากที่กำลังอ้าค้างของผม


ร่างสูงในเสื้อเชิ้ตสีนิลเหมือนท้องฟ้ายามรัตติกาล แนบไปกับลำตัวโชว์หุ่นที่สมส่วน ความสูงของเขาทำให้มีช่วงขายาวที่ขับให้ยีนส์สีขาวดูดีมากขึ้นยิ่งกว่าเดิม หมวกสีดำสนิทที่อยู่บนหัว กอปรกับดวงตาสีตาลสวย ข้อมือสวยที่โผล่พ้นเสื้อแขนยาว สวมใส่นาฬิกาหรูที่ยิ่งขับบุคลิคให้ดูโต สีโทนเข้มที่ทาทับสีขาวสะอาด ทำให้ความบริสุทธิ์ยามปกติ กลายเป็นความเข้มที่ดูน่าลุ่มหลง และดูคุกคามจนทำเอาผมหายใจไม่ทั่วท้อง เทมในสีดำ...





damn...


He's so fuckin hot!


โคตรเซ็กซี่


โคตรน่ากินเลยครับ





ผมเผลอแลบลิ้นเลียนริมฝีปากที่แห้งผากของตัวเอง เทมปุระที่เปิดประตูออกมาแล้วกำลังจัดแต่งนาฬิกาบนข้อมือ กระดุมที่ติดไม่ครบทุกเม็ด ทำให้ดูยั่วเย้าโดยไม่ตั้งใจ ผมเลื่อนลอยไปหาอีกฝ่าย ยื่นมือให้ความช่วยเหลือ รอยยิ้มที่ผมคุ้นเคยวันนี้ดูมีมนต์สะกดในอีกรูปแบบที่ไม่เคยพบเจอ จนทำเอาหัวใจที่สั่นระรัวเต้นแรงอย่างบ้าคลั่ง


"ขอบคุณครับ"


คำขอบคุณที่มาพร้อมความร้อนที่ประทับบนข้อนิ้วของผมที่กำลังกลัดกระดุมให้ ทำเอาผมรู้สึกเหมือนตัวเองกลายเป็นของเหลว ที่เอาแต่อยากละลายคาอกของเขา


ไม่อยากไปดูหนังแล้วครับ หิวมากกว่า...รู้สึกอยากกินเทมปุระขึ้นมาสุดๆไปเลย



"ครับ..."



ระหว่างที่เราเดินผ่านกระจก อ้อมแขนใหญ่ก็รั้งผมเอาไว้ด้วยการรวบเอวผมเข้ามาประชิดตัวเอง เราทั้งสองคนมองตรงไปในกระจก เห็นผู้ชายผมสีทองนัยน์ตาสีฟ้ากระจ่าง พร้อมด้วยใบหน้าแดงจัด กำลังอยู่ในอ้อมแขนของคนผมดำนัย์ตาสีน้ำตาลที่ตัวสูงกว่า ที่แต่งตัวเหมือนกันไม่มีผิด ต่างกันเพียงสีนาฬิกาข้อมือเท่านั้น หลังของผมแนบชิดกับแผ่นอกกว้าง สัมผัสได้ถึงแรงเต้นของหัวใจที่แรงไม่แพ้กัน แนบชิดจนสอดประสานเป็นจังหวะเดียวกัน... ความร้อนที่แผ่มาถึงผม ยิ่งทำให้รู้สึกหัวของตัวกลายเป็นกาต้มน้ำที่กำลังจะพ่นไอน้ำออกมา


เทมปุระมองตัวผมที่อยู่ในอ้อมแขนของเขา รอยยิ้มประดับบนใบหน้าหล่อเหลาด้วยท่าทางพึงพอใจ


"เหมือนกันเลยนะครับ...ของเราสองคน"


ความลับที่ผมตั้งใจซ่อนเอาไว้ ถูกเปิดโปงตั้งแต่ยังไม่ทันก้าวออกจากห้อง เสียวหัวเราะทุ้มในลำคอ พาลอยากให้ผมโทรสั่งจองหัวใจดวงใหม่ ด้วยเกรงหัวใจดวงนี้อาจจะรับไม่ไหว และละลายหายไป


พอดวงตาคู่นั่นมองสำรวจผมจนพอใจแล้วก็จูงมือผมออกจากห้องอย่างอารมณ์ดี ผมที่ได้แต่ก้มหน้างุด เดินตามแรงจูงของเทมไปที่รถ อา...บ้าจริงเชียว ผมจะทำยังไงให้เดทนี้ไม่ล่ม เพราะผมหัวใจวายตายกลางคันดีนะ?


ระหว่างทางลงจากคอนโดสูง เทมปุระแวะเข้าไปหาคุณป้าในห้องควบคุมกล้องวงจรปิด เจอผู้หญิงตัวเล็กในชุด รปภ. เต็มยศกำลังนั่งจอหลากหลายจออย่างเคร่งครัด พอเห็นพวกผมเข้ามา ก็รีบฝากงานต่อให้อีกคน แล้วลุกจากเก้าอี้ยิ้มหวานเข้ามาหา

"คุณแม่! คุณแม่! คุณแม่ครับ เทมขอไปดูหนังกับหมูหย็องนะครับ กลับมาเย็นๆ"

"โอเคครับ แล้วจะทานข้าวกันข้างนอกเลยไหม หรือจะให้แม่เตรียมไว้รอเราสองคนกลับมาดีครับ"

"เดี๋ยวผมพาเทมไปทานข้างนอกเลยครับ จะได้ไม่รบกวนคุณป้าตอนทำงาน"

"ไม่กวนหรอกจ้ะ แต่ตามใจพวกหนูเลยนะ แล้วไม่ต้องซื้ออะไรมาฝากรู้ไหมครับ เดี๋ยวแม่ต้องไปทานข้าวกับบ้านหมูหย็องพอดี คุณเอเลนจะเดินทางไปออสเตรเลียพรุ่งนี้แล้ว เลยอยากให้แม่เข้าไปหาคุณเขาหน่อย"

"ฝากสวัสดีคุณม๊าด้วยนะครับ"

"ได้จ้ะ เดินทางปลอดภัยนะครับ ถ้ามีอะไรก็โทรเรียกแม่ได้เลยนะทั้งสองคน"

"ได้ครับผม งั้นเทมไปก่อนนะครับ"




พวกผมสองคนยกมือไหว้คุณป้าแล้วเดินพากันลงมาข้างล่าง แต่ระหว่างทางไปลานจอดรถ เทมปุระกลับเสนอความคิดบ้างอย่างออกมา


"หมูหย็อง หมูหย็อง เราลองนั่งรถไฟฟ้าไปกันไหมครับ? หย็องหย็องชอบบอกว่าไปแว๊นรถไฟฟ้า สบายกว่านั่งรถเยอะเลย สนุกด้วย เทมยังไม่เคยขึ้นเลยด้วย หมูหย็องเคยนั่งหรือยังครับ?"

"อย่าเชื่อทุกอย่างที่หย็องหย็องพูดสิครับเทม...หมูก็ไม่เคยนั่งนะครับ เทมอยากลองเหรอครับ?"

"ครับ...ได้ไหมครับ?"


แล้วผมจะปฎิเสธอะไรแววตาออดอ้อนนั่นได้ล่ะครับ ได้แต่หยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเอง โทรบอกลุงสันให้ขับกลับไปที่บ้านเท่านั้นเอง


เราสองคนเดินออกมาถึงถนนใหญ่ ผมจับมือร่างสูงไว้แน่น เทมที่ไม่ได้ออกมาจากบ้านหลายวันดูตื่นเต้นกับทุกอย่าง กลัวเขาจะเผลอวิ่งออกไปแล้วรถจะชนน่ะครับ ไม่ใช่ว่าอยากเดินจับมือถือแขน ควงเขาอวดทุกคนหรอกนะครับ...


เดินกันไม่กี่นาทีเราก็มาอยู่บนสถานีรถไฟฟ้า ผมที่ไม่เคยขึ้นก็แอบงงไปชั่วครู่ อาจจะเพราะเป็นวันหยุด คนจึงเต็มแน่นสถานี จนเห็นผู้คนมากมายหลั่งไหลไปยือออกันที่ตู้กด คิดว่าคงจะซื้อตั๋วกันที่ตรงนั้น ผมจูงมือเทมตามไปเข้าแถว จับเด็กน้อยที่ชะเง้อมองนู่นนี้ไม่หยุดให้อยู่นิ่งๆ เดี๋ยวจะชนคนอื่นเข้า



"ต้องซื้อตั๋วก่อนนะครับเทม"

"หมูหย็อง หมูหย็องดูตู้นั้นสิ เหมือนในหนังเลยเนอะ เทมขอเป็นคนซื้อได้ไหมครับ"

เทมปุระที่ตื่นเต้นจนจับมือผมแน่น ชี้มือชี้ไม้ไปที่ตู้ใหญ่ แอบเสียงดังจนคนมอง ผมต้องลูบแขนเขาให้ใจเย็นลง

"ได้ครับ งั้นเราไปเข้าแถวกันนะ"


ผมรู้สึกว่าสายตานับร้อยคู่กำลังจดจ้องมาที่พวกเราสองคน เสียงชัตเตอร์ที่ถูกกดทั้งจากกล้องและโทรศัพท์ พร้อมคำพูดที่เอ่ยถึงพวกผมแว่วมาให้ได้ยิน



"แก๊! ดูสองคนนั้นดิ โคตรงานดี งานพรีเมี่ยม งานลิมิเต็ด งานที่ชาตินี้แค่ได้เห็นก็คุ้มค่าแล้วที่เกิดมา! โอ้ย! ดี!"

"แล้วแกดูเขาจับมือกัน! ผัวฉันเป็นเมียเขาจ้า แต่ยอม เหมาะสมกันชิบหาย ฮือ"

"เฮ้ย ดูดิ โคตรหน้าตาดีเลยอ่ะ"

"ชุดคู่หรือเปล่าวะ กรี๊ดดดด โคตรหวานอ่ะ ใจบางไปหมดแล้ว!"

"ดารามาถ่ายหนังถ่ายซี่รี่ย์หรือเปล่าวะ หรือนายแบบ? ออร่าโคตรเด่น!"

"แม่ให้กินพาสต้ารูปตัวดีเหรอวะ ถึงได้โตมาหน้าตาดีขนาดนี้"

"เบ้าหน้าดีไม่พอ โคตรสูง โคตรหุ่นดี แต่งตัวก็ดูดี มึง ไป ไป! ติด #ผัวหล่อบอกต่อเมียทั้งชาติ"



ในช่วงเวลาที่ผมอารมณ์ดีมากแบบนี้ เสียงซุบซิบรอบตัวกลับฟังดูตลกและน่ารักดี ไม่ได้น่ารำคาญเหมือนยามปกติ โดยเฉพาะเสียงที่บอกว่าผมกับเทมปุระเหมาะสมกัน ยิ่งจุดรอยยิ้มกริ่มติดริมฝีปาก เทมกระตุกมือผมเล็กน้อยเมื่อถึงคิวพวกเรา ผมดูรายละเอียดตู้แล้วก็ค้นพบว่าใช้ไม่ยาก แค่เพียงใส่เงินลงไป กดเลือกสถานี แล้วก็รอรับตั๋วได้เลย


ผมเปิดกระเป๋าสตางค์ควักแบงค์พันยื่นส่งให้เทมปุระ เทมที่ดูตื่นเต้นก็รีบใส่เงินเข้าไปทันที เครื่องดำเนินการอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะส่งบัตรออกมา พร้อมเสียงกรุ๊งกริ๊งของเหรียญที่ดังติดต่อกันไม่หยุด ทำเอาผมกับเทมปุระตกใจ นึกว่าเครื่องสามารถทอนออกมาเป็นแบงค์ได้ แต่กลับกลายเป็นว่านอกจากบัตรสองใบ พวกเราก็ได้เหรียญทอนมาอีกเพียบเลยครับ


"ได้เหรียญมาเยอะแยะเลย! ทำไงดีครับหมูหย็อง ไม่มีกระเป๋าใส่ด้วย..."


ผมก็ไม่ชอบพกเหรียญด้วยสิครับ ไม่ชอบให้กระเป๋าสตางค์มันพองๆหนักๆ เทมปุระที่ต้องปล่อยมือผม ก่อนจะโอบกอดกองเหรียญหลายร้อยแทน ก็ได้แต่ยืนหันรีหันขว้างอย่างไม่รู้จะทำอย่างไร ผมไม่ไม่ได้พกกระเป๋าเป้มาด้วยสิครับ เลยตัดสินใจที่จะแจกคนที่ต้องการใช้ไปดีกว่า


"เอ่อ จะรับเหรียญไปซื้อบัตรไหมครับ ให้ฟรีครับ พอดีพวกผมไม่มีกระเป๋าใส่"


ผมดึงเทมออกมาจากตู้ แล้วมายืนดักคนที่กำลังจะมาเข้าแถวซื้อตั๋ว เพื่อแจกจ่ายกระจายเหรียญออกไป


"กรี๊ด! นี่มาโปรโมตหนังอะไรหรือเปล่าคะ ขอถ่ายรูปด้วยได้ไหมคะ?!"

"ขอจับมือกับขอลายเซ็นด้วยได้ไหมคะ!?"



แล้วก็เกิดเหตุวุ่นวาย เหมือนเกิดการจราจลขึ้นบนสถานี จนลุงยามต้องวิ่งเข้ามาทำหน้าที่จัดการให้ทุกคนสงบลง เด็กน้อยของผมที่ตกใจกับผู้หญิงจำนวนมากที่บุกเข้ามาหา จนผวาขนพองฟู ผมรีบดึงเขาเข้ามาหลบข้างหลังแล้วปฎิเสธทุกคำขอ พลางพยายามหาหนทางหนีออกจากวงล้อม กว่าจะหลุดออกมาได้ นึกว่าจะจมคากองทัพสาวๆเสียแล้วครับ ผมมอบหน้าที่แจกจ่ายเหรียญให้กับลุงยามแทน ก่อนจะรีบดึงมือเทมปุระวิ่งหนีขึ้นบันไดเลื่อนไป


"แฮ่ก แฮ่ก...มะ-มะ-ไม่เห็นสนุกแบบที่หมูหย็องว่าเลย น-น่ากลัวยังไงก็ไม่รู้ เทมโดนจับก้นด้วยงะ"

"เทมว่าไงนะ!? บัดซบ! ใครมันกล้ามาจับ! หมูจะไปขอกล้องวงจรปิดแล้วแจ้งตำรวจเดี๋ยวนี้แหละ"

"หมูหย็อง! หมูหย็อง ไม่เป็นไรนะครับ เดี๋ยวไปไม่ทันดูหนังเนอะ ไม่เป็นไรนะครับ"



เทมที่เห็นผมจะหมุนตัวลงไปชั้นล่างก็รีบดึงรั้งแขนผมเอาไว้ มือใหญ่ลูบหลังปลอบประโลมผม จนผมรู้สึกใจเย็นลง เงยหน้าสบตาอีกฝ่าย บอกด้วยน้ำเสียงจริงจัง



"ขากลับให้ลุงสันมารับนะครับ ไม่นั่งรถไฟฟ้าแล้วนะ"

"ครับ..."


เทมที่ตอบรับเสียงอ่อย ดูสลดลง คงเพราะคิดว่าเพราะคำขอของตัวเองทำให้ผมโกรธ แต่จริงๆที่ผมโกรธคือเขาโดนใครก็ไม่รู้มาแตะอั๋งต่างหาก! กล้าดีจริงๆเลยครับ ขนาดผมยังไม่เคยบีบก้นเขาเลยนะ! แล้วใครหน้าไหนที่อาศัยช่วงวุ่นวายมาจับก้นของผมกัน ผมที่ถอนหายใจเล็กน้อยแล้วปรับโหมดของตัวเองที่คุกกรุ่นให้มอดดับลง ด้วยร่างสูงเริ่มจะน้ำตาคลอหน่วยที่เห็นผมอารมณ์เสีย



"ไม่ได้โกรธเทมนะครับ หมูแค่ไม่ชอบให้ใครมาจับเทมแค่นั้นเอง"

"เทมขอโทษนะครับ เทมไม่ได้ตั้งใจนะ ต่อไปจะระวังตัวครับ"

"หมูรู้แล้วครับ หมูก็ขอโทษที่เสียงดังใส่เทมด้วยนะครับ ไปยืนรอรถไฟกันนะครับ อีกไม่กี่นาทีก็คงจะมาแล้ว"


ผมยิ้มให้เทมที่สีหน้าดูดีขึ้น เมื่อผมไม่ได้โกรธเจ้าตัว พอรถไฟฟ้ามาถึง ประตูที่เปิดออกก็ทำผมกับเทมปุระถึงกับผงะ จำนวนคนด้านในอัดแน่นกันเหมือนปลากระป๋อง ผมที่ดูท่าไม่ดีจะหันหน้าไปบอกเทมให้ออกจากสถานีแล้วเรียกรถแท็กซี่ไปกันเถอะ แต่ก็ทำไม่ได้แม้แต่หันไปมอง เพราะแรงดันจากมวลชนด้านหลัง ทำให้ผมกับเทมไหลเข้าด้านในซะแล้ว



ออฟไลน์ ZOFIARIN

  • ▇ โซเฟียริน • อวยพระเอก ▇ Whәи ɴᴏᴛʜɪɴɢ is یuгe , eveяything is possißle ♡
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 125
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-1
    • Twitter


"ม-ม-ม หมุ หมูหย็อง!"


"เทมครับ เทม!"



แรงจากคนจำนวนมากที่ผลักดันเข้ามา ทำเอาผมกับเทมแยกห่างออกจากกัน ร่างสูงถูกดันไปชิดกับเสาที่ห่างออกไป ส่วนผมถูกดันมาชนชิดประตู ระหว่างที่ผมกำลังพยายามจะขอทางเดินไปหาอีกฝ่าย เมื่อมองไปที่เทมปุระ กลับหาเขาไม่เจอ...!



ผมใจหายวาบ นึกกลัวว่าเขาจะเป็นลมหรือโดนคลื่นมนุษย์พลัดพาหลงไป เทมไม่มีโทรศัพท์ หากหลงกันไปจะหาตัวกันลำบาก จังหวะนั้นผมลืมคิดไปเลยว่าสถานที่แค่พอมดดิ้นตาย ไม่มีทางที่จะทำคนที่สูงเกือบร้อยเจ็ดสิบหกให้หายไปได้ แต่ ณ วินาทีที่ร่างของคนที่ผมรักและแสนหวงแหนไม่อยู่ในครรลองสายตา ผมก็ไม่มีกระจิตกระใจจะเป็นห่วงเหตุผลอะไรทั้งสิ้น ผมที่ตกใจจนตัวสั่น พยายามแหวกว่ายมวลชน เพื่อตามหา ก็โดนคว้าหมับที่เอว สัญชาติญาณป้องกันตัวสั่งให้เอี้ยวตัวเตรียมสวนหมัดผู้คุกคาม แต่พอหันไปเห็นหน้า ได้สบนัยน์ตาคู่เดิมที่หลงรัก หมัดที่สวนออกไปก็กลายเป็นสัมผัสแผ่วเบาลูบลงที่สันกรามอีกฝ่าย...เทมปุระ คนที่ผมตามหา กลับโผล่มาอยู่ข้างกันแล้ว



"เทมหายไปไหนมาครับ!? หมูตกใจหมดเลย"

"แฮะๆ เทมมุดๆๆๆมา"

"เป็นอะไรไหมครับ ไม่ตกใจนะ"

"ตกใจนิดหน่อยครับ แต่เหมือนที่หย็องหย็องบอกเลย ว่าคนเยอะมาก ต้องเบียดกันไปมาเป็นเหมือนปลากระป๋อง เหมือนเรากำลังหนีเอาชีวิตรอดจากซอมบี้ในหนังเลยเนอะ หรือรถไฟเหาะ แต่เปลี่ยนเป็นรถไฟโยกๆหลบคนแทน"



เด็กน้อยที่มองเรื่องลำบากเป็นเรื่องสนุกทำเอาผมลอบยิ้ม เวลาอยู่ใกล้ๆคนที่มีพลังงานด้านดีๆ ก็มักจะทำให้เรารู้สึกดีๆไปด้วย แม้กำลังจะเจอเรื่องลำบากนะครับ ผมที่ขี้ร้อน พอต้องมาแออัดกับคนจำนวนมากก็เหงื่อซึมขึ้นมา เทมพอเห็นแบบนั้นก็ถอดหมวกออกแล้วเอามาพัด เพื่อสร้างลมคลายความร้อนให้ผม อีกมือก็ยกขึ้นมาใส่แขนเสื้อที่ยาว คอยซับเหงื่อให้อย่างใส่ใจ ผมกับเขายิ้มให้กัน ท่ามกลางความแออัด ที่ควรรู้สึกอึดอัด แต่ผมกลับรู้สึกสบายใจ ไม่ว่าจะเพราะเขาเอาตัวเองช่วยบังคนอื่นให้ผม หรือเพราะมือที่พยายามช่วยพัดให้อย่างตั้งใจนั่นก็ตาม



ผมว่าผมแอบได้ยินเสียงกรี๊ดจากด้านหลังนะครับ...มีใครถูกเหยียบเท้าหรือเปล่านะ?






กว่าจะถึงสถานีจุดหมาย ก็เล่นเอาผมกับเทมแทบจะกลายเป็นฝาแฝดที่ตัวติดกันจริงๆ เพราะแนบชิดติดกันนานถึงยี่สิบกว่านาที พอออกมาได้ ก็ไม่เคยนึกเลยครับ ว่าอากาศในเมืองที่มีมลภาวะเป็นพิษทางอากาศสูงอย่างเมืองหลวงของประเทศเรา จะสดชื่นน่าสูดดมขนาดนี้ ในรถไฟปลากระป๋อง แทบจะไม่มีช่องให้หายใจ ผมกับเทมเดินลงบันไดเพื่อเข้าสู่ตัวห้าง ระหว่างเดินผ่านร้านเสื้อผ้าแบรนด์ที่ผมใส่ประจำ ก็แอบเห็นคอลเลกชั่นใหม่ ที่ออกแบบร่วมกันกับห้องเสื้อของคุณม๊าของผม และเสื้อเชิ้ตบนตัวหุ่นจำลองกำลังสวนใส่ ก็กำลังอยู่บนตัวผมกับเทมเช่นเดียวกัน


"เทมครับ เสื้อเก่าๆฟิตหรือยัง ซื้อใหม่กันไหมครับ?"

"แต่รอบก่อนที่ซื้อ เทมยังใส่ไม่ครบเลยนะครับ"

"ก็เทมใส่แต่เสื้อยืดลายการ์ตูนนี่ครับ ไม่ค่อยใส่ชุดที่หมูซื้อให้เลย ไม่ชอบหรือครับ?"

"ชอบครับ หมูหย็องซื้อให้ เทมชอบทุกอย่างเลย แต่ใส่ทีไรคุณแม่ชอบล้อว่าเทมเป็นคุณชายทุกที เทมเขินๆเลยไม่ได้ใส่ครับ"


ผมแอบอมยิ้มให้กับคนขี้อาย เสื้อผ้าที่ผมชอบใส่จะเป็นสไตลล์ที่เรียบๆแต่ดูภูมิฐานครับ การตัดเย็บต้องดีและสวยงามหมดจด เสื้อผ้าต้องเข้ารูปพอดี สีที่เรียบและคุมโทน ออกแนวคุณชายน้อยผู้จริงจังจริงๆนั่นแหละครับ
 

"งั้นซื้อเสื้อยืดไปเพิ่มไหมครับ พวกถุงเท้ารองเท้าของเทมล่ะ?" เทมทำท่าครุ่นคิด เพราะอีกฝ่ายไม่ค่อยใส่ใจเรื่องรูปลักษณ์ของตัวเอง เสื้อผ้าในตู้นอกจากเสื้อยืดลายการ์ตูนโดเรม่อนของเจ้าตัว กับชุดนักเรียน ร่างสูงก็จำไม่ได้หรอกครับว่ามีอะไรให้ใส่บ้าง เทมคิดอยู่นาน ดูยังไงก็คิดไม่ออก จนหันมายิ้มแผล่ใส่ผม เป็นอันบ่งบอกว่าจำไม่ได้


"นี่ไม่ได้แกะถุงเท้าใหม่ที่หมูเพิ่งซื้อให้เมื่อตอนก่อนเปิดเทอมเลยใช่ไหมครับ หมูก็ว่าจะทักอยู่เหมือนกันว่าทำไมถุงเท้ามันย้วยๆ วันจันทร์ไปโรงเรียน อย่าลืมเปิดลิ้นชักแกะอันใหม่มาใส่นะครับเทม อืม...เดี๋ยวหมูกลับไปเตรียมไว้ให้ดีกว่า"


ท่าทางของเทมที่ดูชะงักและตกใจจนผมงงว่าผมพูดอะไรผิด จะบอกว่าเขาตกใจกลัวถุงเท้าใหม่ก็ไม่น่าจะใช่นะครับ พอผมทบทวนคำพูดตัวเองแล้วก็ชะงักตามอีกฝ่าย อา...เสร็จกัน เผลอบอกไปด้วยความไม่ตั้งใจเสียได้
ผมที่รู้ชื้นที่มือที่กำลังจับกุมกัน เพราะไม่รู้ว่าเขาจะยังต่อต้านโรงเรียนอยู่ไหม ก็ใจไม่ดี ระหว่างที่คิดว่าจะบอกให้ย้ายวันไปโรงเรียนออกไปก่อนก็ได้หากเขายังไม่พร้อม มือใหญ่ที่กุมมือผมอยู่ก็บีบกระชับแน่นเข้ามา เทมยิ้มให้ผม


"ม-หมูหย็องไปโรงเรียนกับเทมนะครับ?"


เทมถาม เสียงทุ้มนุ่มของร่างสูงดูสั่นเล็กน้อย เมื่อพูดถึงโรงเรียน คงจะนึกกลัวว่าพวกนั้นยังคงอยู่ เพราะผมไม่ได้เล่าอะไรให้เขาฟังเลย ผมบีบกลับมือเขาแน่น


"ไปสิครับ เราไปโรงเรียนด้วยกันนะ หมูจะปกป้องเทมเอง"


ร่างสูงฉีกยิ้มดีใจ จนตาหยีโค้งสวย มือที่กอบกุมกันเหมือนจะเป็นตราประทับแห่งคำสาบานอันใหม่ ที่จะรักษาไว้ไม่ให้ใครมาทำลายไปได้เด็ดขาด ท่าทางตื่นกลัวเทมดูเย็นลง รอยยิ้มอบอุ่นถูกถักทอส่งมาให้ผม


"ขอบคุณนะครับ"


แค่นี้ก็เพียงพอสำหรับทุกอย่างแล้วครับ เพียงพอและคุ้มค่าที่สุด


ผมพาเทมเข้ามาในร้านเสื้อผ้า พนักงานในชุทสูทอย่างดีเดินปรี่เข้ามาหาและต้อนรับเป็นอย่างดี สมแล้วที่เป็นสาขาใหญ่ในไทย ต่อให้ลูกค้าดูเป็นเด็กน้อย แต่ก็ยังบริการดีเยี่ยมไม่เกี่ยงงอน


"สวัสดีครับคุณหนูทั้งสองท่าน เฌอเลอลัวร์ ยินดีต้อนรับครับ สนใจเสื้อผ้าแบบไหนเป็นพิเศษไหมครับ?"

"สวัสดีครับ ผมอยากได้เสื้อยืดใส่สบายๆสักสองสามตัวครับ แล้วก็ อืม...เทมอยากได้กางเกงตัวใหม่ไหมครับ สูงขึ้นเยอะเลยนี่น่า ขอกางเกงสแล็คสักสองตัวด้วยครับ ขอโทนสีเป็นสีครีมกับสีดำ อา แล้วก็ไม่เอาคอลเลกชั่นที่โคกับทางมิสซิสเอเลนนะครับ"

"ได้ครับ ผมจะจัดหามาให้นะครับ ขอทราบว่าใครเป็นใส่ได้ไหมครับ จะได้เลือกไซส์มาให้พอดีตัว"

"เขาครับ แล้วผมขอดูเข็มขัดเรียบๆสักสามสี่เส้นด้วยนะครับ"

"ขอเวลาจัดของสักสิบนาทีนะครับ ระหว่างนี้เชิญเดินดูสินค้า หรือสามารถไปนั่งรอที่โต๊ะรับรองด้านในได้เลยนะครับ"


พนักงานพายมือไปทางโซฟาตัวนุ่ม ก่อนจะโค้งแล้วเดินออกไป นับว่าบริการดีนะครับ ไม่จู้จี้เดินตามให้กดดัน เทมที่ไม่ได้สนใจเสื้อผ้าอะไรเป็นพิเศษกลับตาลุกวาว กับลูกอมที่วางอยู่ในตะกร้ารับรอง ผมจูงมือเขาไปนั่งรอ เทมที่รีบมองหน้าผมเหมือนเป็นเชิงขออนุญาต พอเห็นผมยิ้มให้ เด็กน้อยก็คว้าเจ้าลูกอมเข้าปาก อมยิ้มอารมณ์ดีทันที ไม่นานก็มีพนักงานหญิงนำน้ำมาเสิร์ฟ


"อีกห้านาทีเชิญไปที่ห้องลองเสื้อ ห้อง C ได้เลยนะคะ ทางเราจัดเสื้อผ้าที่คุณลูกค้าต้องการลองไว้ให้แล้ว หากมีปัญหาหรือต้องการเปลี่ยนไซส์สามารถกดกริ่งด้านในได้เลยค่ะ"

"ขอบคุณครับ"


ผมจับเทมเป็นตุ๊กตาเปลี่ยนเสื้อผ้าของผม จับเขาใส่ตัวนู่นตัวนี้เยอะแยะไปหมด ด้วยรูปร่างที่ดี ไม่ว่าเขาใส่อะไร ก็เหมือนพร้อมจะขึ้นไปอยู่บนหน้าปกนิตยสาร ผมที่เพลิดเพลินและสนุกสนานกับการเลือกซื้อเสื้อผ้าให้เขา ก็นานจนลืมไปเลยว่ามาที่นี่เพราะอะไร จนร่างสูงโอญครวญเสียงน่าสงสารว่าอยากหม่ำขนม พร้อมมองตะกร้าลูกอมตาละห้อย เพราะผมลากเขามาอยู่หน้ากระจก พร้อมเดินเข้าออกห้องลองชุด ที่ห่างออกมาจากโซนรับรอง ทำให้เด็กน้อยของผมแอบวิ่งดุกดิกไปแกะห่อลูกกวาดสีสันสดใสไม่ได้ พอไม่มีของหวานไหลเวียนในสายเลือด เทมก็เริ่มหมดแรงเหมือนหุ่นยนต์หมดถ่าน มาคลอเคลียออดอ้อนให้ผมพาเขาไปเติมพลังเสียที

"ขอชุดนี้อีกชุด อะ ชุดนั้นอีกชุดนะครับเทม นะครับนะ?" ผมที่กำลังติดลมกับการเห็นรูปลักษณ์ที่แปลกใหม่ของอีกฝ่าย ก็อดยื้อเวลานี้ให้ยาวออกไปไม่ได้ เทมที่ดูหิวโหย แต่ก็รับเสื้อผ้าไปลองอย่างว่าง่าย


ผมวางเสื้อผ้าที่ลองแล้วชอบใส่ราวแขวน กดกริ่งเรียกพนักงานมาคิดเงิน


"เอาทั้งหมดที่แขวนอยู่บนราวทางด้านซ้ายเลยครับ"

"ได้ครับ ขอเวลาจัดของใส่ถุงห้านาทีนะครับ"

"ครับ"


พนักงานกลับมาอีกครั้งพร้อมถุงกระดาษ และกล่องกระดาษสีครีมที่ตีตราโลโก้ร้านสีทองตวัดเป็นลายอักษรหรูหราสวยงามมาให้พวกผม


"ทั้งหมดเจ็ดหมื่นเก้าพันสามร้อยยี่สิบครับ ราคานี้เป็นราคาที่ใช้ส่วนลดสามสิบเปอร์เซนของหุ้นส่วนเรียบร้อยแล้วนะครับคุณดิมิทรี"


อา...ที่แท้เขาก็รู้จักผมนี่เอง ผมพยักหน้าตอบรับ ไม่ได้พูดอะไรออกไปอีก ทำแค่เปิดกระเป๋าสตางค์ ส่งบัตรเครดิตสีดำให้กับเขา ก่อนจะรับใบเสร็จมาเซ็นกำกับ ของพวกนี้ก็ตกเป็นของผมเรียบร้อย


"จะให้จัดส่งไปที่บ้านไหมครับ?"

"ไม่ต้องครับ รบกวนเป็นอีกสักสองสามชั่วโมง ช่วยเอาไปให้ที่ลานจอดรถ เลขทะเบียน xx-xx นะครับ คนขับรถของผมจะรออยู่ตรงนั้น อันนี้เป็นเบอร์โทร เผื่อหาไม่เจอครับ"

"ได้ครับ ขอบคุณที่ไว้ใจทางแบรนด์ของเรานะครับ โอกาสหน้าเชิญมาใช้บริการอีกนะครับ"




ผมว่าผมเข้าไปซื้อเสื้อยืดนะครับ...แต่ไหงกลับไม่ได้เสื้อยืดมาสักตัวก็ไม่รู้เหมือนกัน



เทมที่เริ่มจะเดินลากขาเพราะอยากทานขนม จนผมต้องหยุดทุกการซื้อของ เพื่อพาเด็กน้อยไปเติมพลังแทน เสียดายจังเลย ผมกำลังอยากให้เขาไปลองนาฬิกาใหม่ด้วย แต่ท่าทางของเทมตอนนี้ สิ่งที่เจ้าตัวอยากได้ที่สุดคงจะเป็นอะไรหวานๆมากกว่านาฬิการาคาแพงรุ่นลิมิเต็ดนะครับ เฮ้อ


ผมเลือกพาเทมเข้าร้านเค้กฝรั่งเศษร้านหนึ่งที่ดูท่าทางน่าอร่อย ระหว่างที่กำลังบอกจำนวนคน สายตาของผมก็เหลือบไปเห็นคนคุ้นหน้าคุ้นตา ที่โต๊ะนั่ง ไม่ห่างจากทางเข้า มีเลขาแสนบ้างานนั่งอยู่กับผู้ช่วยของสภา เปียและหญิงกำลังนั่งทานอาฟเตอร์นูนที พลางหัวเราะคิกคักกันสองคน


ไม่ต้องเสียเวลาเดาเลย ถ้าพวกเธอสองคนเห็นผมกับเทมตอนนี้ ต้องรีบลุกขึ้นมาชวนให้ไปนั่งด้วยกันแน่ๆ แล้วทั้งสามคนก็จับกลุ่มคุยกันเรื่องขนมหวาน เดทแสนหวานของผมกับเขา ก็จะกลายเป็นสองสาวหนึ่งหนุ่มสวาปามเค้ก มีผมนั่งจิบกาแฟขมๆในมุมมืดอยู่คนเดียว...


ผมไม่ยอมให้เป็นนั่นหรอกครับ


เดทจะเรียกว่าเดทหรือครับ ถ้าถูกรบกวนจากคนอื่น


ผมจะไม่ยอมให้เดทแรกของผมกับเทมถูกใครเข้ามากวนเด็ดขาด
แค่หลายวันที่ผ่าน ที่ผมต้องแบ่งเทมปุระให้ใครๆก็มากเกินพอแล้ว



"ขอโทษนะครับ พอดีว่าเพิ่งได้ SMS แจ้งเตือนว่ารอบหนังจะฉายเร็วขึ้น คงจะทานไม่ทัน ต้องขอตัวก่อน"
"อ๋อ ไม่เป็นไรครับ ถ้าอย่างไรดูหนังเสร็จแล้วค่อยแวะมาทานที่ร้านก็ได้นะครับ"


พนักงานตอบกลับอย่างยิ้มแย้มสมเป็นมืออาชีพ แม้ว่าข้ออ้างค้างๆคูๆของผมจะไม่สมจริงเลยสักนิด กระทั่งหยิบโทรศัพท์ ผมยังไม่ได้จับขึ้นมาจากกระเป๋ากางเกงเลยครับ...เทมที่หน้าเหวอ เพราะเจ้าตัวเลือกเมนูในใจได้แล้ว แถมเจ้าตัวก็รู้ว่าเราจะขึ้นไปเลือกหนังกันข้างบน เลยไม่ได้จองตั๋วหนังมาตั้งแต่ที่บ้าน ร่างสูงตั้งท่าจะท้วง ผมรีบยกนิ้วชี้จรดริมฝีปาก ส่งเชียง ชู่ ออกมาให้เขาเงียบ เด็กน้อยที่เชื่อฟังผมเสมอก็พยักยอมทำตามแม้สายตาจะอาวรณ์กับเค้กหน้าตาน่าทานก็ตาม


ผมที่รีบจับจูงมือเขาเตรียมออกจากร้าน ก็เหมือนฟ้าเล่นตลก ที่ให้สองสาวดันทานเสร็จ หันมาจะเรียกหาบริกรคิดเงิน แล้วบริกรหนึ่งเดียวที่อยู่ในบริเวณนี้ ก็มีแค่พนักงานที่ตอนรับพวกผมคนเดียว...


"ขอโทษนะคะ รบกวนช่วยคิดเงินด้วยค่ะ"

"สักครู่นะครับ"




สายตาที่เกือบจะประสานกันในชั่วเสี้ยววิ




"เรานั่งยองๆกันทำไมเหรอหมูหย็อง"


ผมดึงเทมนั่งลงมาที่พื้น ใช้แท่นป้ายเมนูเป็นที่กำบังสายตา



"หมูทำแว่นตาตกน่ะครับ"

"แต่หมูหย็องไม่ได้ใส่แว่นตานะครับ?" นางฟ้าเอียงคอถามอย่างใสซื่อน่ารัก

"...ซ้อมไว้น่ะครับ..." และผมก็ตอบกลับแบบหน้าตาย...


ผมดึงเทมที่กำลังนั่งยองกับพื้นให้เขยิบออกมาจากโซนร้าน ระหว่างกำลังเคลื่อนย้าย สบสายตากับพนักงานที่กลับมาที่เดิมพอดี หน้าตางุนงงประหลาดใจกับลูกค้าสองท่านที่จู่ๆก็ลงไปนั่งจับกบกับพื้น ทำเอาประสบการณ์การทำงานมาหลายปีหมุนติ้ว ลงไปนั่งทำอะไรกันหรือครับคุณลูกค้า...?



"อา คอนแทคเลนส์ยี่ห้อนี้นี่หลุดง่ายจริงๆเลย..." ผมทำเป็นพึมพำเสียงดัง ผละมือที่จับแขนเทม แล้วทำมือแตะๆแปะๆ ไปตามพื้นห้าง ท่าทางคล้ายคนตาบอดที่ทำไม้นำทางหาย มากกว่าคนสายตาสั้นที่ทำคอนแทคเลนส์หลุด


"เอ๋? หมูหย็องไม่ได้ทำแว่นตาตกหรอกเหรอครับ?"

"...หมูพูดผิดไป คอนแทคเลนส์หลุดต่างหากครับ" เทมที่ตั้งท่าจะถามผมต่อ ว่าผมสายตาสั้นหรือ หรืออะไรก็ตามแต่ ผมรีบตะครุบปากเขาไว้ สกัดกั้นก่อนที่จะมีคำถามให้ผมละอายไปมากกว่านี้หลุดออกม

"เอ่อ...ให้ช่วยหาไหมครับคุณลูกค้าครับ...?"

"ไม่เป็นไรครับ หาเจอพอดี..."


ผมทำท่าหยิบอะไรบางอย่างขึ้นมาเก็บใส่กระเป๋า ทั้งๆที่ไม่มีอะไรสักอย่างบนพื้นที่ถูกขัดจนเงาปลาบ หยิบได้แต่อากาศเท่านั่นแหละครับ...แล้วรีบลากร่างสูงที่ดูงุ่นงงออกไปให้พ้นแถวนี้ คงจะต้องงดมาร้านนี้จนกว่าพนักงานจะลืมหน้าพวกผมแล้วล่ะครับ ไม่รู้อีกกี่เดือนกี่ปีกันกว่าเขาจะลืมลูกค้าที่มานั่งจับกบอยู่หน้าร้าน แถมเก็บคอนแทคเลนส์ล่องหนใส่กระเป๋าอีก


ความอับอายของผม อย่างน้อยก็คุ้มค่า เดทของเราสองคนยังดำเนินต่อไปพร้อมกับใบหน้าของที่ที่แทบจะแตกร้าวเพราะความอาย เพื่อความปลอดภัยของเดทของผม ผมขอรอบครอบไว้ก่อนด้วยการดีดตัวเองกับเทมให้ห่างไกลสองสาวมากที่สุด ผมชวนเทมไปหาร้านอื่นที่บริเวณชั้นสามแทน


เราขึ้นบันไดเลื่อนขึ้นมา พลางมองหาร้านที่น่าอร่อย เพื่อจะเข้าไปทานกัน และแล้วก็เจอร้านที่เทมสะดุดตา


"หมูหย็องครับ หม่ำร้านนี้ไหม ดูอันนี้สิ! น่าทานจังเลย มีช็อกโกแล็ตเยอะแยะไปหมด ร้านนี้เนอะ เนอะ" เหมือนจะมีภาพซ้อน เป็นลูกหน้าน้อยที่หิวโหยจนวิ่งไปคาบถาดใส่อาหาร มานั่งเอียงคอส่ายหางดุกดิกรอตรงหน้าเลยครับ เทมปุระกระตุกชายเสื้อผมไปมา พลางจ้องเมนูหน้าร้านด้วยสีหน้าที่เหมือนมีกระดาษที่เขียนด้วยตัวอักษรตัวโตๆว่า อยากกิน อยากกิน อยากกินจังเลย แปะอยู่


ผมกับเทมเลือกเข้ามานั่งด้าในสุดของร้านที่ค่อนข้างเป็นส่วนตัว


"สวัสดีค่า ถ้ายังไม่มีเมนูที่สนใจ วันนี้ทางร้านเรามีเมนูแนะนำของวันนี้เป็นทิรามิสุนะคะ" พนักงานตรงเข้ามาสอบถามออเดอร์ เทมที่พอเจอคนแปลกหน้าก็ยังไม่ค่อยชินเท่าไหร่นัก จึงเป็นหน้าที่ของผมที่จะสั่ง เทมที่ย้ายเก้าอี้จากฝั่งตรงข้ามเข้ามาชิดผมเเข้ามากระซิบบอกเมนูที่เจ้าตัวอยากทาน


"ขอเป็นวานิลาเชคหนึ่งครับ แล้วก็ช็อกโกแลตลาวา ไอศกรีมเฮลเซนัท ฮันนี่โทตส์ชาเขียว อา...แล้วก็ชีสเค้กราสเบอร์รี่ด้วยครับ ส่วนของผมขอเป็นอเมริกาโน่ร้อนหนึ่งครับ เท่านี้ครับ ขอบคุณครับ"

"ขอทวนออเดอร์ที่สั่งนะคะ เป็นวานิลาเช็คหนึ่ง ชีสเค้กราสเบอร์รี่หนึ่ง ฮันนี่โทตส์ชาเขียว ไอศกรีมเฮลเซนัทหนึ่ง แล้วก็อเมริกาโน่ร้อนนะคะ"


เทมที่เม้มปากเล็กน้อยดูขยุกขยิกไปมาจนผมต้องเอียงหน้าเข้าไปหา

"มีอะไรหรือเปล่าครับเทม?"

"คือ-คือ เทมอยากทานทิรามิสุด้วย แต่ว่าที่สั่งไปก็เยอะแล้ว...แต่ แต่เทมก็อยากทานด้วย...แต่กลัวทานไม่หมด"

เทมปุระของผมเอ่ยเสียงอ่อนอ่อย ดูท่าทางจะเลือกไม่ถูก อันไหนก็อยากกินไปหมด จะตัดอันนี้ก็ไม่ได้ จะตัดอันนั้นก็ไม่ได้ กว่าจะเลือกได้แต่ละเมนูก็พลิกสมุดเมนูไปมาอยู่เสียตั้งนาน แล้วพอพี่พนักงานบอกมีเมนูแนะนำ ก็อยากทานด้วยเข้าไปอีก ผมยิ้มให้กับคนที่ดูโหยหาของหวานเป็นอย่างมากตรงหน้า แต่ก็ยังคำนึงถึงปริมาณที่ตัวเองกินไหว นึกเอ็นดูเขาไปหมดเสียทุกอย่าง


"แล้วก็ขอทิรามิสุด้วยทีหนึ่งครับ"

"ได้ค่า ทิรามิสุด้วยนะคะ รออาหารประมาณสิบนาทีนะคะ ขอบคุณค่ะ"


พอพี่พนักงานเดินจากไป ก็เหลือแค่ผมกับดอกทานตะวันยิ้มหน้าบานหนึ่งดอก เทมปุระอารมณ์ดีถึงขีดสุด ถึงขนามฮึมฮัมเพลงในลำคอ มือสองข้างถือช้อนส้อมรอขนมมาเสิร์ฟอย่างใจจดใจจ่อ ผ่านไปไม่นาน ขนมที่สั่งไว้ก็มาเรียงรายตามโต๊ะ กลิ่นของขนมหวานอบอวลไปทั่วทันที แค่จานสัมผัสเนื้อหินอ่อน เทมปุระลงมือจัดการอย่างรวดเร็วจนน่าทึ่ง ผมเห็นแล้วแอบแสบคอเลยครับ ของหวานขนมหวานนี่ผมไม่ชอบเลยจริงๆ ได้แต่นั่งท้าวคาง มองคนตรงหน้าทานอย่างน่าเอร็ดอร่อย แก้มที่ยังคงมีอยู่บ้างแม้จะโตแล้วถูกเติมอัดแน่นไปด้วยขนมจนตุ่ยออกมา เห็นแล้วอยากเอื้อมมือไปบีบมากครับ


"ทานไม่หมดก็ไม่เป็นไรนะครับ ไม่ต้องฝืนนะครับเทม"

"โอเคครับ หมูหย็อง หมูหย็องทานช็อกโกแลตลาวาไหม ร้านี้ขมขม ไม่หวานมากนะ หมูหย็องน่าจะทานได้"

"เหรอครับ? ไหนของหมูลองหน่อย"


เทมรีบหมุนจานมาใกล้ผม ใช้ช้อนคันเล็กตัดแบ่งมาจ่อให้ถึงปาก เนื้อเค้กดูฉุ่มฉ่ำสีน้ำตาลเข้มส่งกลิ่มหอมหวานน่าลิ้มลอง ผมลองกัดไปคำเล็กๆ แล้วก็ให้ความเห็นว่า ไม่หวานของเทมปุระนี่เชื่อถือไม่ค่อยได้เลยครับ...สำหรับผมก็ยังแอบหวานเกินไปอยู่ดี ระดับความขมไม่ถึงเจ็ดสิบเปอร์เซนนี่ทำเอากลืนไม่ลงเลยทีเดียว ต้องจิบกาแฟดับรสหวานตาม


"ยังหวานไปเหรอครับหมูหย็อง" เทมตาโตเมื่อเห็นผมตีหน้าปุเลี่ยนให้เจ้าเค้กคำเล็กๆนั้น สีหน้าเสียอกเสียใจ ทำเอาผมแอบยิ้มขำเจ้าตัว เหมือน Love me love my dog เลยครับ แต่สำหรับเทมคงเป็น Love me love my cake too!

"ยังหวานไปสำหรับหมูครับ"

"เสียดายจังเลย อยากให้หมูหย็องชอบของหวานจังเลยครับ จะได้ทานด้วยกัน ไม่น่าเบื่อนั่งรอเทมทานคนเดียว"

"หมูก็มีกาแฟแล้วนี่ไงครับ ถือว่าเสมอกันเวลาเทมต้องนั่งดูหมูทานผักแล้วกันนะครับ"

"หมูหย็องอ่า พูดถึงผักตอนหม่ำขนมหวานไม่ได้นะ ไม่สุภาพต่อคุณภูติขนมหวานเลย"

ผมเบิกตามองเด็กชายที่เอาเรื่องภูติมาอ้าง ทั้งๆที่เจ้าตัวนั่นแหละ ที่พอได้ยินคำว่าผักแล้วก็นึกสยองเจ้าผักต้นน้อยสีเขียว ผมหัวเราะออกมาให้กับองค์ชายที่หน้างอ เพราะผมพูดเรื่องผักขึ้นมาตอนคุณชายเขากำลังเจริญขนมหวาน ฮันนี่โทตส์ในมือใหญ่ตอนนี้คงเหมือนเป็นบล็อคโคลีไปแทน

"หึหึหึ หมูขอโทษคุณภูติขนมหวานด้วยนะครับ แต่วันหลังถ้าเทมไม่ทานผัก ก็จะเสียมารยาทต่อคุณภูติผักนะครับ รู้ไหม?"


เทมที่ทำหน้าเหมือนค้นพบสัจธรรม ก็ถึงกับหน้ายุ่ง เพราะเจ้าตัวหาอะไรมาโต้แย้งผมไม่ได้ ร่างสูงเลยเข้ามาคลอเคลียผมแทน หึหึ...เถียงสู้ไมไ่ด้ก็เอาตัวเข้าแลกหรือครับเทมปุระ


"ไม่คุยเรื่องผักน้า เทมไม่อยากคุยถึงคุณผักเลย กาแฟหมูหย็องอร่อยหรือเปล่า สีเหมือนโกโก้เลย เทมขอชิมหน่อย"

เทมปุระที่รีบเปลี่ยนเรื่อง ทำผมหลุดขำเขาอีกรอบ แต่ก็ยอมเปลี่ยนเรื่องตามใจเด็กน้อย วันนี้วันของเขานะครับ เป็นวันที่ผมให้รางวัลเขา จะไปขัดใจให้หน้าบึ้งหน้างอก็คงไม่ดี ผมขยับแก้วกาแฟสีขาวที่บรรจุน้ำสีดำเข้มส่งให้คนข้างกาย เทมรับไปดมฟุดฟิด ก่อนจะลองจิบเข้าไปแล้วไอค่อกแค่ก


"แค่ก แค่ก...ขะ-ขะ-ขมจังเลย หมูหย็องดื่มอะไรก็ไม่รู้ เหมือนยาพิษเลย ยาพิษใช่ไหม ไม่เอานะ ไม่เอายาพิษ ดื่มวานิลลาเชคกับเทมดีกว่า" ถ้ากาแฟดำเป็นยาพิษ ทั้งโลกน่าจะมีคนตายไปเกินครึ่งโลกแล้วล่ะครับ ผมหัวเราะร่างสูงที่แลบลิ้นยื่นออกมา แล้วเอาทิชชู่เช็ด เหมือนทำความสะอาดให้ความขมติดอยู่ที่ลิ้น จางหายไป


"ฮ่าๆ สำหนับหมูวานิลาเช็คก็เป็นยาพิษเหมือนกันนะครับเทม นี่ครับ ดื่มน้ำล้างปากก่อนนะ"
เทมที่แลบลิ้นจนห้อยออกมา ดูน่าสงสารและน่าขันไปพร้อมๆกัน มือใหญ่รับแก้วน้ำจากผมไปกระดกอึกๆ แป็บเดียวก็หมดแก้ว


"หมูหย็องเก่งจังเลย ทานขมๆได้ด้วย เท่จังเลยครับ"


"หึหึหึ งั้นวันหลังหมูจะกระดกน้ำผักปั่นให้ดูเอาไหมครับ ทั้งบล็อคโคลี คะน้า แครท คื่นฉ่าย ผักโขม เอามาใส่โถแล้วก็ปั่นๆ เดียวจะดื่มให้หมดในครั้งเดียวเลย"


เทมปุระที่ทำหน้าตาหวาดผวา เหมือนผมกำลังเล่าเรื่องสยองขวัญอะไรสักอย่างที่น่ากลัวมาก เหมือนผมกำลังบอกเล่าวิธีการฆาตกรรมหั่นตุ๊กตาแยกออกเป็นสามส่วน มือหนายกขึ้นปิดหูตัวเอง พลางส่ายหน้า ปากสวยพึมพำไม่หยุด

"ไม่ได้ยิน ไม่ได้ยิน หมูหย็องไม่ได้พูดอะไรทั้งนั้น ไม่พูดนะครับ ไม่พูดนะ" ผมหัวเราะออกมาเสียงดังกับท่าทางน่ารักของเขา พอเอื้อมมือไปดึงมืออีกฝ่ายที่กำลังป้องกันคำพูดน่ากลัวสำหรับเจ้าตัว แต่เทมปุระก็ฝืนมือ ยืนยันที่จะแปะไว้ที่หูตัวเองแน่น ส่ายหน้าไปมา บอกข้อต่อรองที่จะให้ผมเปิดประตูสู่การฟังของเขา

"หมูหย็อง สัญญาก่อน สัญญานะ ว่าจะไม่พูดถึงพี่ผัก แล้วเทมจะเปิดหูออก ไม่งั้นเทมจะไม่เปิดหูออกนะครับ"


ผมอมยิ้มจนปวดแก้ม ก่อนจะยอมพยักหน้าสัญญาให้อีกฝ่ายสบายใจ ว่าต่อไปในบทสนทนาของเราจะไม่มีเจ้าผักใบเขียวทั้งหลายเข้ามาเกี่ยว พอเทมเห็นผมเซ็นสัญญาไม่พูดถึงด้วยการพยักหน้า ก็ยอมคลายมืออกก่อนจะยิ้มกว้างให้ผม แล้วก้มลงไปทานขนมหวานของเจ้าตัวต่ออย่างอารมณ์ดี


CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ ZOFIARIN

  • ▇ โซเฟียริน • อวยพระเอก ▇ Whәи ɴᴏᴛʜɪɴɢ is یuгe , eveяything is possißle ♡
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 125
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-1
    • Twitter


เด็กน้อยที่ทานอย่างเพลิดเพลินจนเลอะไปรอบริมฝีปาก

"เทมครับ"

"ครับ?"


ผมชี้ไปที่มุมปากของตัวเอง เพื่อบอกว่ามีรอยเปื้อนของครีมเปรอะอยู่ ให้เขาเช็ดออก แต่เทมดูเหมือนจะไม่เข้าใจ จึงเอียงหน้าสงสัย ผมเลยใช้นิ้วชี้เคาะไปมาที่มุมปากของตัวเองอีกครั้ง ครั้งนี้เทมปุระทำสีหน้า อ๋อ เหมือนเขาจะเข้าใจแล้ว


ผมไม่นึกเลยว่าสิ่งที่อีกฝ่ายเข้าใจ จะเข้าใจผิดจากที่ผมต้องการจะสื่อไปมากโข...


ใบหน้าน่ารักที่ฉายแววหล่อเหลาเคลื่อนเข้ามาใกล้ ริมฝีปากร้อนแนบมาตรงมุมปากที่นิ้วชี้ผมยงคงชี้ค้างไว้อยู่ เหมือนทุกสรรพเสียง และสรรพสิ่งรอบตัวหยุดหมุนลง แรงกระชากจากโลกหยุดหมุนก่อให้เกิดห้วงแห่งความวางเปล่าในสมองของผม เสียง จุ้บ ที่ดังออกมาเบาๆ เหมือนทั้งเรียกคืนสติ และทำลายสติของผมไปพร้อมๆกัน


ผมได้นิ่งค้างเป็นหินอยู่ที่ท่าทางชี้นิ้วไปที่มุมปาก พร้อมทำตาโตเท่าไข่นกกระจอกเทศมองเขา ที่ค่อยๆเคลื่อนตัวกลับไปนั่งที่ แล้วเริ่มลงมือทานขนมต่อ ทิ้งผมให้หน้าไหม้อยู่คนเดียว ผมฟุ่บหน้าไปกับฝ่ามือของตัวเอง อยากจะแหกปากร้องโวยวาย




เขาจะทำแบบนี้ไม่ได้!

เทมจะทำแบบนี้ไม่ได้ ไม่คิดถึงหัวใจผมที่ใกล้พังเลยสักนิด!

ไม่ให้ทันตั้งตัวเลยสักนิด เฉียดไปค่นิดเดียว เฉียดไปแค่นิดเดียว เราก็จะจูบกันอยู่แล้วนะเมื่อกี้!




หัวใจผมเต้นแรงอย่างน่ากลัว ยิ่งกว่าอาการใจเต้นจากคาเฟอีน การกระทำของเทมปุระ มีฤทธิ์รุนแรงมากยิ่งกว่ากาแฟดำที่ผมเพิ่งดื่มเข้าไปร้อยเท่าพันเท่า ร้ายกาจกว่า...มาก มากๆเลยครับ


ผมแลบลิ้นชิมครีมที่ติดมากจากริมฝีปากของเขา ที่ตอนนี้อยู่บนมุมปากของผม


หวาน...


หวานมาก



แต่กลับเป็นรสหวานที่ผมชอบ และเป็นรสชาติหวานที่ไม่สิ่งใดเหมือน เป็นความหวานที่ปรุงจากผิวเนื้อของชายคนที่ผมรัก คิดว่าหากวันหนึ่งตัวเองได้ลิ้มรสแบบเต็มๆ ก็คงจะไม่พ้นเสพย์ติดและเตลิด ลุ่มหลงไปกับรสหวานนี้อย่างถอดตัวไม่ขึ้นอย่างแน่นอน







"จริงสิเมย์นี่ น้ำเนี่ยสอบได้ติดหนึ่งในสามเลยนะ ไม่เชื่อถามเต้ดูได้เลยครับ"



เสียงคุ้นเคย ที่ไม่ว่าตอนไหนผมก็ไม่อยากได้ยิน โดยเฉพาะตอนนี้ที่บรรยากาศกำลังหวานได้ที่เป็นพิเศษ ผมก็ไม่อยากได้ยินมันเป็นพิเศษเหมือนกันครับ...ผมครวญในใจ ให้ตายเถอะ นี่คิดอะไรถึงได้ใจตรงกัน ออกมาเที่ยวห้างเดียวกันเยอะขนาดนี้ ผมเหลือบตามองผ่านหลังเทมปุระไป ถัดจากเราสองโต๊ะ มีไอ้น้ำเฒ่าหัวงูหน้าตาละอ่อนกับเพื่อนเกลอ กำลังจมูกยืดจมูกยาว คุยฟุ้งโอ้อวดความเก่งกาจที่ไม่มีจริงให้กับสาวสวยสองคนฟัง หนึ่งในสาม...? ถ้าหนึ่งในสามจากอันดับโหล่ล่ะก็ ก็ใช่นะครับ...นับถอยหลังขึ้นมาจากสามอันดับบ๊วยจะเห็นชื่อของนายตรัณเขียนอยู่



"จริงครับ เต้ก็สอบได้หนึ่งในสามเหมือนกับน้ำเลย ถ้ามินนี่กับเมย์นี่จะให้พวกเราติวให้ ก็บอกได้เลยนะ จะไปติวกันที่โรงแรม เอ้ย ที่บ้านก็เรียกพวกเราได้เลยครับ"


ไอ้เต้ที่พูดตอบไอ้น้ำ แต่สายตาวนเวียนอยู่ที่นมโตๆของผู้หญิงสองคนไม่ยอมห่าง อืม...หนึ่งในสาม รองจากชื่อไอ้น้ำ ก็เป็นนายฐานทัพจริงๆแหละครับ รองบ๊วยเลยทีเดียว


ผมเก็บสายตาจากภาพอันแสนทุเรศและอุจาดสายตา กลับมาล้างตาตัวเองด้วยใบหน้าอิ่มเอิบของเทมปุระ ผมยิ้มให้เด็กน้อยที่ทานจนหมดเกลี้ยงไม่มีเหลือ นี่คงจะโหยมากจริงๆนะครับเนี่ย ขนมตั้งเยอะตั้งแยะยังทานเสียไม่เหลือ เทมที่เอามือลูบท้องน้อยๆ ดูเหมือนเจ้าลูกหมูขี้เกียจที่ทานอิ่มแล้วก็ง่วงนอน ผมก็อยากให้เวลาเขานั่งย่อยอยู่หรอกนะครับ แต่ลางสังหรณ์กรีดร้องเตือนจนผมแทบจะนั่งไม่ติดแล้ว อยากคว้ามือเขาแล้ววิ่งหหนีไปจากตรงนี้ให้เร็วๆเสียมากกว่า


"เทมครับ อิ่มหรือยังครับ?"

"อิ่มมากกกก มากๆเลยครับ หมูหย็องดูพุงเทมสิ มีพุงด้วย"

"อย่าเลื้อยกับเก้าอี้สิครับ นั่งตรงๆนะ ไม่งั้นเดี๋ยวจะอาเจียนนะครับเทม"

"แฮะๆ เทมขอโทษครับ"

"งั้นเดี๋ยวเราขึ้นไปจองตั๋วหนังกันนะครับ"

"ขึ้นไปเลยเหรอครับ เทมยังจุกอยู่เลย สงสัยต้องกลิ้งกลิ้งไปแล้วล่ะ"

"เดี๋ยวหมูช่วงพยุงนะครับ ถ้าเย็นมากเดี๋ยวเราจะกลับดึกกัน พรุ่งนี้ต้องไปโรงเรียนเนอะ"

"ได้ครับ ขอจับแขนหมูหย็องหน่อย เทมแน่นพุงไปหมดแล้ววว"






ยังไม่ทันที่ผมจะรีบข้ามโต๊ะไปดึงเด็กน้อยที่ทานเยอะจนจุก เสียงหัวเราะเฮฮาก็ดังขึ้นมาให้ได้ยิน





"อุ้ย ดูสิมินนี่ ในทวิตเมื่อกี้มีคนแชร์รูปหนุ่มหล่อสองคน ใจบุญแจกเงินบนสถานีรถไฟฟ้าด้วย หล่อมากเลยอะ!"

"ไหนๆ ว้าย หล่อมากกกก หล่อสุดๆไปเลย! หน้าตาดีไม่พอยังใจดีอีกด้วย"

"นี่มันสถานี xxx ตรงห้างนี้เลยนี่น่า! ถ้าได้เจอกันก็ดีสิ อยากขอถ่ายรูปด้วยจัง"

"จริงด้วย ลองไปเดินหากันดีไหม?"

"อะไรครับ อะไร จะมีใครหล่อไปกว่าพวกผมอีกเหรอ"

"อุ้ย น้ำล่ะก็ อย่าน้อยใจเมย์นี่ไปเลยนะคะ หล่อคนล่ะแบบค่ะ แต่พวกเขาใจบุญมากเลยนะ นี่ไงคะ น้ำลองดูสิ"

"ไหนครับ ไหนๆ ...หืม...หน้าคุ้นๆนะ เฮ้ย นี่มัน!! เต้ มึงดูดิ!"

"ไหนๆ เอามาให้กูดูดิ๊...อืม...รูปหลังนี่คุ้นๆนะ ใครวะ?"

"มึงเลื่อนไปอีก มีรูปเห็นหน้าชัดๆ!"

"ไหนวะ...เฮ้ย นี่มันไอ้หมูกับไอ้เทมนี่หว่า! มันออกจากบ้านกันได้แล้วเหรอวะ แล้วแม่งมาไม่บงไม่บอกเพื่อน แบบนี้ต้องโทรตาม!"




...♪...♪...♪...




เสียงโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงผมดังขึ้น ภายในร้านอาหารที่มีเพียงเสียงพูดคุยเบาๆ เสียงเรียกเข้าของผมก็ดูจะโดดเด้งออกมา สายตาหลายคู่เหลือบมามอง ไอ้เต้ที่กำลังถือโทรศัพท์และไอ้น้ำที่เลิอกใช้สายตาแตะอั๋งสองสาวก็หันมามองเช่นเดียวกัน






ผมดึงรั้งหน้าของเทมปุระมาใกล้กับโต๊ะ



"คอนแทคเลนส์หายอีกแล้วเหรอครับหมูหย็อง?"

"เอ่อ พอดีหมูจะให้เทมดูลายโต๊ะน่ะครับ...ลายหินอ่อนสวยดีนะครับ"

"อ๋อๆๆๆๆ หมูหย็องชอบเหรอ เทมว่าก็สวยดีนะครับ แปลกจังเลย ปกติหมูหย้องชอบสีดำนี่น่า"
ผมหันเหความสนใจของเทมที่ดึงรั้งหน้าเข้ามาใกล้กับโต๊ะกว้าง ด้วยลายหินอ่อนสีขาว นั่งมาตั้งนาน ผมก็เพิ่งสังเกตนี่แหละครับว่าโต๊ะเป็นสีขาว...

"เอ่อ แค่เห็นว่ารายละเอียดดีน่ะครับ เดี๋ยวเราค่อยๆย่องกันออกไปนะครับเทม มาเล่นเกมกันนะ ต้องออกไปให้เงียบแล้วก็เร็วที่สุด"

"เกมเหรอ!? ได้ครับ! งั้นเริ่มเลยนะ นะ นะ"

เทมที่พอได้ยินคำว่าเกมก็หูตาแพรวพราว พยักหน้าขึ้นลงรัวๆทันที ผมรีบเอื้อมมือไปกดปิดเครื่องโทรศัพท์ หยิบบิลที่โต๊ะแล้วลากร่างสูงไปที่เคาท์เตอร์คิดเงิน วางแบงค์พันไว้สองใบ เพียงพอต่อค่าอาหาร ไม่สนเงินทอน รีบจำอ้าวหนีขึ้นไปชั้นอื่นทันที...

แว่วเสียงที่ได้ยินสุดท้าย คือไอ้เต้หูผีที่บ่นพึมพำกับไอ้น้ำว่าได้ยินเสียงมือถือของผมอยู่ข้างหลังตัวเอง...

ผมวิ่งขึ้นบันไดกับเทมปุระ วิ่งไม่หยุดจนนึกงงว่านี่เรากำลังวิ่งเล่นไล่จับกันอยู่หรือไร วิ่งกันจนขึ้นมาถึงชั้นหก ชั้นของโรงหนัง สองขาคู่ยาวถึงได้หยุดลง เหมือนเจอเส้นชัยเสียที


"แฮ่ก ช-ชนะหรือเปล่าครับ?"

"ค-ครับ เทมชนะไปเลยครับ"

"เย้! ว่าแต่นี่เกมอะไรเหรอครับหมูหย็อง"


ผมที่วิ่งจนเหงื่อแตก ก็ได้มือใหญ่ช่วยซับเหงื่ออกให้ ผมตอบเสียงงึมงำในลำคอ


"...เกมหนีซอมบี้จอมทำลายเดทล่ะมั้งครับ..."

"ซอมบี้พันธุ์นี้แปลกจังเลย ทำไมต้องจ้องทำลายเดทคนอื่นด้วยล่ะครับหมูหย็อง"

"หมูก็ไม่รู้เหมือนกัน เราไปดูรอบหนังเข้ากันดีกว่านะ เทมอยากดูเรื่องไหนเป็นพิเศษไหมครับ"

ผมเบี่ยงความสนใจของเทมไปที่ขนมหวานระหว่างดูหนัง ข้ามเรื่องซอมบี้หน้าตาคุ้นเคยไป

"ให้หมูหย็องเลือกเลยครับ แต่เทมขอเลือกรสป๊อปคอร์นน้า นะนะนะ นะครับ นะ?"

เทมที่เอาหัวมาถูไถไหล่ของผมอย่างน่ารัก จุดประกายอมยิ้มมุมปากให้ผม ผมเอ่ยเสียงนุ่มตอบรับคำขอของเด็กน้อย


"ได้ครับ"


เราตกลงกันว่าจะเลือกรอบหนังที่ฉายตอนหนึ่งทุ่ม ส่วนหนังที่ผมเลือกเป็นหนังแฟนตาซี เกี่ยวกับมนุษย์ที่ออกไปนอกโลก แล้วยานเกิดระเบิด แต่ก็มีมนุษย์ต่างดาวมาช่วยชีวิตเอาไว้ ดูเป็นหนังดูง่าย ฉากสวย เพลงประกอบหนังไพเราะ ผู้กำกับก็มีชื่อเสียงพอตัวเลยครับ ผมสนใจพวกเพลงประกอบหนังเป็นพิเศษ และจากตัวอย่างหนังที่ยืนดู ผมว่าเรื่องนี้ก็น่าดูที่สุดแล้วด้วย


ตอนนี้ผมกับเทมกำลังต่อแถวเพื่อซื้อป๊อปคอร์น เทมที่กำลังลังเลือกไม่ได้ระหว่างถังป๊อปคอร์นลายมนุษย์ต่างดาวหรือยานอวกาศ หรือจะเป็นลายหัวตัวร้ายดี สายตาหมาน้อยมองมาทางผมอย่างขอความช่วยเหลือ หูที่ลู่ลงแนบไปกับผมนุ่ม หางที่ตกลงข้างตัวทำเอาผมนิ่งเฉยไม่ได้



"เลือกรสป๊อปคอร์นได้หรือยังครับ"

"เทมเลือกได้แล้วครับ..แต่ว่าเลือกลายถังป็อบคอร์นไม่ได้ อันไหนก็น่ารักหมดเลย..."


คำว่าน่ารักของเทมนี่ผมก็รู้สึกตงิดๆนะครับ...เจ้าถังลายมนุษย์ต่างดาว ที่เหมือนปลาหมึกกับแมลงสาปบวกด้วยคางคกนี่มันน่ารักตรงไหนของเขากันนะ ตรงหนวดแหว่งๆนั่นหรือ หรือจะเป็นปากที่มีเขี้ยวโง้งออกมา? แต่ถ้าเจ้าตัวว่าน่ารัก ผมก็จะคิดว่ามันน่ารักแล้วกันนะครับ...



"งั้นขอทั้งสามลายเลยครับ เทมจะเอาป๊อปคอร์นรสอะไรดีครับ"


ผมคงไม่ได้ตามใจเขามากไปหรอกนะครับ? แต่ถึงจะตามใจกันมากไปหน่อย ก็ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย...ก็วันนี้เป็นวันของเขานี่น่า แล้วใบหน้าดีใจสุดๆที่หันมาฉีกยิ้มกระแทกใจให้ผมตรงหน้า ก็ทำให้ผมรู้สึกอยากตามใจเขาให้มากขึ้นไปอีกเสียด้วย...


"เย้! ขอบคุณครับ ขอรสคาราเมลแล้วก็รสสตรอว์เบอรีครับ ผสมกันทั้งสามถังเลย เอาน้ำเปล่าของหมูหย็อง แล้วของเทมก็ขอโค้กครับ" เทมที่ดีใจจนกระโดดไปเกาะขอบเคาน์เตอร์ เฝ้ารอพี่พนักงานเอาถังทั้งสามลายไปตักข้าวโพดคั่วอย่างเฝ้ารอ เฝ้ามองทุกการกระทำ เหมือนถ้าคลาดสายตาไป แล้วจะมีคนมาขโมยไปอย่างไรอย่างนั้น ผมหัวเราะให้กับท่าทางใจจดใจจ่อของเขา พอได้รับถังมาเทมก็พูดขอบคุณพี่พนักงานแล้วก็หันมาขอบคุณผมอย่างน่ารัก เทมรับถังทั้งสามมาแล้วจับสายห้อยขึ้นคล้องคอทันทีทั้งสามใบ


"ที่นั่งสวีทสองที่นั่ง ของโรง xxx หนังเรื่อง xyz เวลาหนึ่มทุ่มนะครับ แล้วก็ถังป๊อปคอร์นสามลาย แล้วก็น้ำเปล่ากับโค้กแก้วลายพิเศษนะครับ ทั้งหมด 7390 บาทครับ"


ผมยื่นบัตรเครดิตส่งให้พี่พนักงาน ก่อนจะมาช่วยร่างสูงข้างๆจัดถังลวดลายต่างๆให้เข้าที่


ภาพของผู้ชายที่วันนี้แต่งตัวแสนเท่และดูโตเป็นผู้ใหญ่ ที่ตอนนี้บนคอห้อยถังป๊อปคอร์นลายมนุษย์ต่างดาวหน้าตาประหลาด พร้อมมือสองข้างที่ถือแก้วน้ำแก้วโต รอยยิ้มโชว์เขี้ยวนั่นกว้างเสียจนแก้มบุ๋ม เป็นความขัดแย้งกันที่ทำเอาผมหลงใหลมั่วเมาไปเกือบสามนาทีเลยครับ...เขาน่ารักจังเลย นางฟ้าของผมนี่น่ารักที่สุดในโลกเลยครับ


"หมูหย็อง หมูหย็อง ดูนี่สิ ถังอันนี้ถ้ากดแล้วมันจะมีเสียงโฮกฮากออกมาด้วยนะ เท่สุดๆไปเลย! ถังอันนี้ก็มีแสงพุ่งออกจากตาได้ด้วย" เทมปุระที่หยิบถังที่ห้อยคอมาให้ผมดู พลางกดตรงนู่นตรงนี้โชว์ลูกเล่นของเจ้าถังที่ตัวเองเลือกมาไม่หยุด อืม...ไม่รู้ว่ามันน่าตื่นเต้นตรงไหนกับเจ้าพวกถังนั้น ผมเลยเลือกที่จะมองสิ่งที่น่าตื่นเต้นกว่าเจ้าถังหน้าตาชวนตงิดใจ ไปมองรอยยิ้มของเขาแทน


"ดีจังเลยนะครับ"   ดีจังเลยนะครับที่วันนี้รอยยิ้มของเทมปุระมีความสุขขนาดนี้...


"ขอบคุณหมูหย็องมากนะครับ เทมจะเก็บรักษาอย่างดีเลย" ผมอมยิ้มให้กับคำสัญญาของเขา ผมเชื่อว่าเทมจะเก็บเจ้าพวกนี้เอาไว้เป็นอย่างดี เพราะแม้แต่ถังป๊อบคอร์นใบแรกที่ผมซื้อให้เขา มันก็ยังอยู่ดีในตู้โชว์อยู่เลยครับ ผ่านมาตั้งหลายปีมากแล้วแท้ๆ ยังสภาพดีเหมือนเพิ่งซื้อมาใหม่ๆอยู่เลย เทมเป็นผู้ชายที่ต่อให้ผมซื้อของราคาแพงเท่าไหร่ให้ เขาก็ไม่ได้สนใจมูลค่าของมัน มูลค่าของสิ่งของที่เทมสนใจ คือสนใจว่าใครเป็นผู้ให้ และของทุกอย่างที่ผมให้เขา เขาก็เก็บรักษาดูแลไว้อย่างดี เพราะเป็นมูลค่าที่สูงที่สุด แพงที่สุดจากคนที่เขาชอบที่สุดอย่างผม


เราเข้าไปนั่งรอในเลาจ์ระหว่างรอหนังฉายตอนหนึ่งทุ่ม ด้วยความที่ผมกับเทมปุระยังอายุไม่บรรลุนิติภาวะ เชมเปญที่เสิร์ฟจึงแปรเปลี่ยนเป็นเครื่องดื่มน้ำอัดลม น้ำผลไม้ หรือม็อกเทลต่างๆ ผมเลือกบลัดดี้แมร์รี่ที่ไม่ใส่แอลกอฮอล์ ซึ่งมันเหลือเพียงส่วนผสมหลักอย่างน้ำมะเขือเทศ ทำให้รสชาติตอนนี้คล้ายน้ำมะเขือเทศทั่วไปนั่นแหละครับ แค่มีส่วนผสมอย่างอื่นเพิ่มเข้ามาหน่อย


เทมปุระนอกจากจะทานป๊อบคอร์นไม่หยุด ก็ยังทานอาหารและขนมที่เอามาเสิร์ฟอีก จนผมกลัวเด็กน้อยของผมจะท้องเสียเพราะทานมากเกินไป จนต้องห้ามกัน




"เทมครับ วันนี้ทานไปเยอะแล้วนะ พอก่อนไหมครับ เดี๋ยวคืนนี้จะปวดท้องเอานะ"

"งั้นขอหมดแซนวิสอันนี้ เทมจะไม่ทานแล้วนะครับ?"

"ได้ครับ แค่ชิ้นเดียวนะ ไม่เอาครับ ไม่ต่อรองกับหมูนะ" ผมพูดดักเจ้านิ้วที่กำลังจะชูสองนิ้วขึ้นมา

"...ก็ได้ครับ"

"ไหน ให้หมูชิมสิครับว่าอร่อยไหม" ผมที่ทนเห็นเขาหน้าเศร้าหมองไม่ได้ ก็เลยดึงความสนใจของเด็กน้อยมาที่การป้อนผมแทน แม้ว่าจริงๆแล้วผมจะไม่ค่อยชอบมายองเนสที่ทาในแซนวิสนั่นก็ตาม แต่เทมก็เหมือนรู้ จึงเลือกแต่ชิ้นที่ไม่ได้ทาเจ้าสิ่งหวานๆเหนียวหนืดมาให้ผม เปิดดูทุกชิ้นก่อนจะเอามาบริการป้อนถึงปากของผม พอเห็นผมยอมอ้าปากรับแซนวิสที่เจ้าตัวป้อน ร่างสูงก็ยิ้มมีความสุขอีกครั้ง


"หมูหย็องทานเยอะๆเลยน้า หมูหย้องหม่ำคีซอันนี้ด้วย คีซผักโขมๆ อันนี้ด้วยๆ"


เทมป้อนผมไม่หยุดเลยครับ...และผมที่พ่ายแพ้รอยยิ้มของเขาก็อ้าปากรับเอาๆ จนนอนแผ่พุงกางกันอยู่บนเก้าอี้
แผนว่าจะหาอะไรทานหลังหนังจบเป็นอันจบกันไป ผมอิ่มมาก และเขาก็อิ่มมาก พอเข้าไปในโรงเจอโซฟาที่ทำเป็นเตียงนอนของโรงหนัง ดูหนังกันไปไม่ถึงครึ่งเรื่อง เพลงประกอบเพราะๆ กอปรกับท้องที่อิ่ม และหัวใจที่มีความสุข ผมกับเขาก็เผลอพล็อยหลับไปโดยที่จับมือกันเอาไว้ อากาศที่หนาวเย็นจากเครื่องปรับอากาศ พาลพาความหนาวยะเยือกมามากมาย จนผมต้องซุกหาความอบอุ่น อ้อมแขนใหญ่รวบผมเอาไว้ ตอบรับคำขอไออุ่นด้วยอ้อมกอดแน่นแสนอ่อนโยน




ปล่อยให้เบื้องหน้ายังคงฉายหนังต่อไปโดยไม่มีใครสนใจ


เพราะเราจะเจอกันในฝัน


ฝันที่ดียิ่งกว่าหนังเรื่องใดในโลก


ฝันที่มีผมกับเขาอยู่ในนั้น




เราสองคนนอนหลับสนิท จนพนักงานต้องมาปลุก ผมกับเขาหัวกระเซอะกระเซิงเพราะนอนหลับอย่างจริงจัง ป๊อปคอร์นที่ซื้อมาก็ทานกันไปได้ไม่เท่าไหร่ หนังก็ดูได้ถึงฉากพระเอกกำลังหมุนติ้วอยู่ในอวกาศกว้างใหญ่ที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวส่องแสง ก่อนที่เราจะเข้าไปอวกาศของพวกเรากันเอง ผมกับเขาหัวเราะให้กัน เพราะเหมือนพวกเราเพียงซื้อตั๋วเข้ามานอนเท่านั้น แต่ระหว่างทางกลับบ้าน บนรถแอร์เย็นฉ่ำและติดไฟแดงอยู่บนถนน หนังที่ดูได้ไม่ถึงครึ่งเรื่อง ก็เป็นหัวข้อสนทนาของพวกเราได้อย่างยืดยาวจนดูไม่มีที่สิ้นสุด และผมกับเขาก็ให้สัญญากัน ว่าจะหาแผ่นมาดูกันให้จบในคราวหน้า



เดทแรกของผมกับเขาเรียบง่ายและจบลงอย่างน่าขัน
แต่ก็เป็นความทรงจำที่ดีและน่าจดจำ




: )












end 15 .
twitter #เพื่อนผู้ปกครอง


เราอัพที่เด็กดีเร็วกว่านะคะ พอดีอัพในเล้าแล้วมีปัญหาจำนวนตัวอักษร เป็นพวกแต่งเรื่อย จำนวนคำเลยเพียบOrz
ไปพูดคุยเล่นกันในทวิตหรือ FB ที่ #เพื่อนผู้ปกครอง กันได้นะคะ เก๊าเหงามากกกก ฮืออ
คุยกับหนูหน่อยน้าาาา UvU


ตอบคุณ เพียงเพื่อน
- โอ๋ๆ กอดนะคะ ตอนนี้เทมไม่น่าสงสารแล้วค่ะ พี่หมูดูแลเปย์หนักอย่างดี ฮาาา
ตอบคุณ catka12
- กอดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดแน่นๆเลยค่ะ ฮาาา ตอนนี้ไม่น่าสงสารแต่มาเป็นน่าจะเป็นเบาหวานแทนแล้วนะคะ ♥


ออฟไลน์ catka12

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 578
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-0
 :mew3: น้องเทมดีขึ้นแล้ววว  o13 หวานน่ารักกกกก  :hao7: อย่างนี้หมูหย็องต้องสอนเทมไปอีกขั้น  :hao3: เอาแบบก้าวกระโดดไปเลย  :hao3:

ออฟไลน์ Meen2495

  • is allergic to drama.
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 364
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-4
ถ้าอ่านแบบลืมว่า ... นี่คือเด็ก ม. ต้น
EP นี้ หมูและเทม น่ารักมาก ละมุนละไมอย่างที่สุด
ชอบการบรรยายเรื่องการดูแลเทมของหมู
ชอบอาการของเทม ... ที่นึกภาพตามได้เลย

ขัด ๆ อยู่นิดเดียว ... นี่ "หมู" ม. ต้น จริงหรือ
แบบอ่านยังไงก็คือ หมูตัวโต ๆ มากมาย

แต่ชอบนะคะ ชอบเลยแหละ

ออฟไลน์ ZOFIARIN

  • ▇ โซเฟียริน • อวยพระเอก ▇ Whәи ɴᴏᴛʜɪɴɢ is یuгe , eveяything is possißle ♡
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 125
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-1
    • Twitter





ตอนพิเศษสั้นๆ .






ย้อนกลับไปสมัยเพิ่งเจอกันแรกๆ ‬

‪หมูหย็อง 7 ขวบ / เทมปุระ 7 ขวบ ‬




"เทมครับ ออกเสียงชื่อหมูให้ถูกต้องนะครับ เราจะเรียกใครด้วยวิธีการออกเสียงที่ผิดไม่ได้ ไม่น่ารักเลยครับ"


ผมพยายามทำหน้าขรึมสอนเด็กน้อยตรงหน้า ให้เรียกชื่อผมให้ถูกต้อง แม้ว่าเราจะอายุเท่ากัน แต่คนตรงหน้ากลับยังไม่สามารถพูดให้ชัดเจนได้ พูดอะไรผิดผมก็ไม่ว่าหรอกนะครับ ก็เทมน่าเอ็นดูออกนี่น่าเวลาที่พยายามลอกเสียงพูดให้ถูก แต่ว่าก็ยังผิดนั้นน่ะ แต่มันก็เป็นเรื่องขัดใจสำหรับผมนิดหน่อย ก็แล้วจะอะไรล่ะครับ ถ้าไม่ใช่เพราะ...


"อู๋ววว! มู้วววว"


จริงๆผมไปเปลี่ยนชื่อเป็นอู๋วมู้วก็ดีเหมือนกันนะ...ไม่ใช่สิ ผมจะมาหลงเคลิ้มเพราะปากเล็กๆจิ้มลิ้มนั่นไม่ได้ ความตั้งใจของผมต้องยังคงอยู่! ผมอยากได้ยินเสียงของเขาเรียกชื่อของผมที่เป็นชื่อของผมจริงๆต่างหาก


แต่อู๋วมู้วก็ฟังดูเข้าท่าดี...อดทนไว้หมูหย็อง


"ห-มู หมูครับ ดูปากหมูแล้วขยับตามนะ หมูหย็อง"

"ขยาบตามมุย่อง มุย่อง"


เจ้าตัวหัวเราะเอิ้กอ้ากอารมณ์ดี จนผมก็ชักเริ่มอยากปล่อยไป... แต่ไม่เอานะครับ ไม่ว่ายังไงผมก็อยากให้เทมเรียกชื่อผมให้ถูกนี่น่า! ทีเจ้าแมวหลงตัวนั้นเทมยังเรียกชื่อถูกต้องชัดเจนเลย ผมจะไม่ยอมแพ้เจ้าสัตว์สี่ขาหน้าขนนั่นหรอกนะครับ


"หมูหย็องครับเทม" ผมเริ่มตีหน้าขรึมใส่เขา แต่พอเจ้าก้อนน่าน้วยเห็นผมเริ่มนิ่ง ก็กลิ้งตัวมานอนหนุนตักผมซะแบบนั้น เจ้าก้อนน่ารักนี่! อย่ามาใช้ท่าไม้ตายเบี่ยงเบนความสนใจกันนะเทมปุระ ใบหน้าน่ารักแก้มย้วยๆฉีกยิ้มประจบ พลางทำหน้าตาจริงจังมากขึ้นสองเปอร์เซ็นต์


"มู๋-ย๊อง! ใช่มั้ย มู๋-ย๋อง เทมถูกเหรอยัง"

"หรือยังครับเทม..."

"เหรอยัง?"

"ครับ...."


เทมที่นอนตักผมอยู่ ช้อนสายตาขึ้นมามองผม ดวงตากลมใสแจ๋วมองมาด้วยประกายตามีความหวัง เหมือนหวังคำตอบจากปากผมให้เป็นคำเอ่ยชมว่าถูกต้อง หัวทุยๆนั่นกลิ้งไปมาบนตักผมเหมือนขอรางวัลด้วยการลูบหัว
หากที่เจ้าตัวพูดนั้นถูก


จริงๆก็ยังไม่ถูก...แต่ก็ใกล้เคียง ผมคิดว่าผมหยวนๆให้เขาได้นะ มันก็ดีขึ้นเยอะจากตอนแรก ที่เขาเอาแต่เรียกผมว่า มุ มุ มุ มุ นั่นแหละน่า...


ผมพยายามหาข้ออ้างดีๆให้ตัวเอง เพราะเส้นความอดทนยั่บยั้งชั่งใจ มันแผ่วบางแทบขาดตั้งแต่ร่างกลมนั่นเข้ามาใกล้แล้วครับ...


ผมเอื้อมมือไปลูบหัวเทม เจ้าตัวดูพอใจมากจนหน้าตาเคลิ้มไปหมด แล้วผมก็มาเคลิบเคลิ้มกับใบหน้าที่กำลังเคลิ้มของเทมอีกต่อหนึ่ง ลูบได้สักพักจนเหมือนเจ้าตัวจะรู้สึกเคลิ้มเสียจนง่วงนอน ขนตาที่เรียงตัวเป็นแพสวยเริ่มปิดลง เสียงกรนแผ่วเบาเหมือนสัตว์ตัวน้อยที่กำลังนิทราอย่างสบายใจ ทำผมพอใจมาก ผมรู้สึกมีความสุขที่เขาไว้ใจขนาดนอนหลับกับผมได้


เฮ้อ แต่ก็จะมีความสุขกว่านี้ล่ะนะครับ ถ้าเทมเรียกชื่อผมได้ชัดเจนเท่าเจ้าแมวตัวนั้นสักที เจ้า 'มา' นั่นน่ะ


หรือชื่อผมเรียกยากไป...เปลี่ยนไปเป็นสังขยาดีไหมครับ


เขาจะได้เรียกผมหยา เสียงสระอาออกเสียงง่ายกว่าอยู่แล้ว


ระหว่างที่ผมคิดฟุ้งซ่านว่าควรเปลี่ยนชื่อดีหรือไม่ ร่างกลมๆที่หันมานอนซุกท้องผมใกล้ชิดมากยิ่งขึ้น ก็พาลเอาระบบความคิดผมพังทลาย ริมฝีปากที่ติดอมยิ้มเหมือนเจ้าตัวกำลังฝันดีแย้มออกน้อยๆ


เสียงเจ้าตัวสร้างความสุขพึมพำเบาๆ


"...มุย่อง จอบที่จุ๋ดเยย"


อ‪า...ขนาดตอนหลับ ก็ยังมาทำให้ผมเป็นบ้าได้นะครับเทมปุระ ผมไม่รู้หรอกว่าเขาฝันอะไร แต่ดูท่าผมคงจะเป็นฝันดีของเขา...‬


‪วันนี้หมูจะปล่อยไปก่อนนะครับเทม‬


‪ฝันดีนะเจ้าหมูน้อยของหมู‬


‪ผมยิ้มจนปวดแก้ม มีความสุขจนปวดใจ‬
‪ผมนั่งมองรอยยิ้มของเขาอยู่นานจนผล็อยหลับไป‬
ห้วงความคิดสุดท้ายของผมคือ


‪ฝันดีนะครับเทม‬


และ


หมูก็ชอบเทมที่สุดเลยเหมือนกันครับ



.

.

.


 ❤️



end





 - - - - -  - - - - - - - - - -  - - - - -  - - - - -  - - - - -  - - - - -  เป็นตอนสั้นๆที่เราลงไว้ใน FB ค่ะ




ตอบคุณ catka12
@ หมูหย็องบอกเอาแค่จูบแรกให้ได้ก่อนนะครับ เฉียดไปเฉียดมายังไม่ได้สักที...ก๊ากกกก
รอเทมโตนะคะ หึหึหึ...*ถูมือชั่วรวั้ยยย* เราจะมาจับเทมปุระใส่พานให้หมูหย็องหม่ำทันทีเลยค่ะ!
/เทมวิ่งหนีไปลูกกกกกกกกก

ตอบคุณ Meen2495
@ TvT) น้ำตาจะไหล ขอบคุณมากนะคะที่ชอบ ฮือ
เขียนไปแล้วก็กังวลตลอดเลยค่ะว่าทุกคนจะเข้าใจอาการของน้องไหมน้า เราจะเขียนงงไหมน้อ
ทำให้สบายใจขึ้นมากเลยค่ะ

ส่วนอ่านแล้วคิดว่าหมูตัวโตได้นะคะ(ทั้งนิสัยและร่างกาย) ถึงจะเขียนให้ตัวเล็กกว่าเทม
แต่เทมนี่สูงกว่าเด็กทั่วไปมากค่ะ ห่างกันแค่ +- สามเซน เดี๋ยวจะมีตอนที่อธิบายละเอียดกว่านี้

ส่วนนิสัย+ความคิดที่ดูโตกว่าอายุจริงมาก คือ
1) ถึงชื่อจะดูไทยและเรียกครอบครัวแบบจีน + อยู่ไทย แต่หมูหย็องเป็นฝรั่งนะคะ 55555
เป็นฝรั่งทั้งครอบครัวเลยค่ะ เลี้ยงแบบฝรั่งเลย คือพึ่งพาตัวเอง อิสระ
เหมือนเด็กฝรั่งแค่อายุสิบสี่สิบห้าก็โตกว่าเด็กไทยม้ากกแล้วค่ะ

แต่ก็มีอีกเหตุผลหนึ่งเหมือนกันค่ะ ที่น้องโตกว่าคนทั่วไปมาก
ทั้งความคิดและการแสดงออก มีความยึดติดสูง และมีความรุนแรงในตัว

ฮี่ แต่ขอยังไม่บอกน้า รออ่านในเรื่องนะคะ ♥








U_U) อ่านแล้วชอบไม่ชอบตรงไหนคุยกับเราได้นะคะ
เหงามากเลย ฮือออออ
ทุกความคิดเห็นเป็นกำลังใจสำคัญ และเป็นส่วนหนึ่งของนิยายเราเสมอนะคะ ♥





ออฟไลน์ Meen2495

  • is allergic to drama.
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 364
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-4
เค้าน่ารักกันมาตั้งแต่ 7 ขวบแล้วอะเนอะ
น่ารักที่ซู๊ดดดดดดดด ...

ป.ล. ในความเป็นผู้ใหญ่ของหมู ..
ถึงจะบอกว่าเป็น "ลูกฝรั่ง"
แต่จากประสบการณ์จริงที่อยู่อเมริกามาเท่าชีวิต
เด็ก ๆ ฝรั่งวัยนี้ที่เราเจอมาก็ไม่ "โตเกินวัย" อย่างหมูนะคะ
คือระบบความคิดหมูน่ะเข้าใจค่ะ แต่การดูแลเทมนี่ ... โห โตมาก

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ชอบนะคะ ชอบมาก
(แค่แอบตั้งเป้าตอนอ่านเอาเองว่า นี่หมู นี่หมูเรียนมหาลัยแล้วเหอะ อิอิ)

ขอบคุณสำหรับตอนพิเศษนะคะ
และจะรอตอนต่อไปค่ะ

ป.ล. ในเด็กดี เราก็ตามอ่านและเม้นท์อยู่นะคะ
อย่าเหงาน้าาาาาาาา :mew3:

ออฟไลน์ ZOFIARIN

  • ▇ โซเฟียริน • อวยพระเอก ▇ Whәи ɴᴏᴛʜɪɴɢ is یuгe , eveяything is possißle ♡
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 125
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-1
    • Twitter









16







ตีสี่ครึ่ง...ยังคงเป็นความมืดแม้จะใกล้เช้า ผมตื่นขึ้นมาตามความเคยชินของช่วงนี้ ที่จะสะดุ้งตื่นขึ้นมาเพื่อคอยแวะเวียนเข้ามาวัดไข้ของร่างสูงที่นอนตระกองกอดผมอยู่ วันนี้แปลกไปจากหลายวันที่ผ่านมา เพราะผมไม่จำเป็นต้องกลายร่างเป็นเจ้าแมวขโมยย่องเบา คอยแอบแง้มประตูเดินเก็บเสียงให้เงียบกริบ เพื่อแอบมาดูใครบางคนว่ายังคงหลับสบายดี หรือว่ากำลังทรมาณเพราะอาการพิษไข้ ยามนี้แค่เพียงผมเงยหน้า เอื้อมมือเพียงนิด ก็สามารถสัมผัสไออุ่นจากเขาได้ ผมแนบฝามือไปตามลำคอและเรื่อยไปยังสันกรามได้รูปสวยและจบลงที่หน้าผาก ไร้อุณหภูมิที่ผิดแปลก ไข้ของเขาหายแล้วจริงๆ


เทมที่ครวญในลำคอเมื่อผมขยับไปมา เปลี่ยนท่าให้สัมผัสตัวเขาได้สะดวก แขนหนักที่พาดอยู่ช่วงเอว รัดรั้งผมเข้าไปใกล้เหมือนกลัวว่าหมอนข้างแสนรักจะลุกหนีไป คิ้วที่เริ่มขมวดเหมือนองค์ชายของผมกำลังจะตื่น ทำเอาผมรีบใช้สัมผัสอุ่นมอมเมาให้เขาดิ่งลึกสู่ห้วงนิทราอีกครั้งแทบไม่ทัน ผมลูบหลังเจ้าตัวน้อยของผม สีหน้าที่ผ่อนคลายคล้ายอมยิ้มอยู่ในฝันดี ผมได้แต่นั่งมองเขาในความมืด เห็นเพียงเงาเลือนลาง แต่ผมก็รู้ว่าเขาจะทำสีหน้าอย่างไร เพียงสีนิลที่โรยอยู่รายล้อม ไม่สามารถบดบังสายตาของผมที่คอยเฝ้ามองเขาได้


ผมขยับเข้าไปใกล้เขา แอบขโมยใช้หมอนใบเดียวกัน


ท่ามกลางบรรยากาศใกล้รุ่ง ผมรู้สึกอ่อนไหวเป็นพิเศษ ท่วงทำนองของความเงียบ ทำให้ผมฟุ้งซ่าน นึกถึงหลายเรื่องราวที่ผ่านพ้นมาในวัยเยาว์ รอยแผลเป็นราวกับเจ็บปวดขึ้นมาเมื่อนึกถึงวันวาน


และบรรยากาศในวันนี้ก็คล้ายกับวันนั้น...


ตั้งแต่ผมจำความได้ ผมเติบโตมาในคฤหาสน์หลังใหญ่ ที่ไม่ได้รายล้อมไปด้วยคนใช้เหมือนในตอนนี้ แต่ที่ผมเติบโตกลับเต็มไปด้วยผู้คนในเครื่องแบบทางการ และความเคร่งเครียดที่แผ่ปกคลุมเหมือนฝาแก้วที่ครอบสถานที่แห่งนี้เอาไว้ ผู้คนที่บ้านหลังใหญ่แห่งนี้ รอยยิ้มเสมือนเป็นสิ่งต้องห้าม ความสุขเป็นเพียงเรื่องเล่าตำนานเพ้อฝัน


คฤหาสน์หลังใหญ่ที่อยู่ห่างไกลจากจตุรัสแดงออกมาหลายสิบกิโลแห่งนี้ ทั้งที่ห่างไกลความเจริญ และเข้าถึงยาก กลับมีแขกแวะเวียนมาไม่เคยขาด ห้องรับแขกมักจะมีผู้คนมากหน้าหลายตาเข้ามาสับเปลี่ยนหมุนวนใช้งาน ห้องโถงรับรองก็มีจัดงานเลี้ยงเต้นรำไม่เคยขาด ราวกับไม่ใช่ยุคปัจจุบัน เมื่อก้าวข้ามเข้ามาผ่านถนนส่วนบุคคลที่ถอดยาว รั้วสีแดงที่กินพื้นที่ไปหลายสิบเอเคอร์จะตั้งตะหง่านอยู่ ประตูใหญ่ยักษ์ไม่เปิดสำหรับทุกคน มันเลือกเปิดให้เฉพาะแขกของเจ้าของบ้าน


นายหญิงหนึ่งเดียวของคฤหาสน์ชาโรนอฟ
ดาเลีย แอน ชาโรนอฟ ผู้มีศักดิ์เป็นคุณยายของผมเอง


หากไม่นับเชื้อพระวงษ์ เธอผู้เคยเป็นผู้หญิงที่มีอำนาจสูงสุด ในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง บทบาทของดาเลียแอนคือผู้ชักนำลับๆในฉากหลังของสงครามที่ร้อนระอุ


หญิงสาวที่เติบโตมาในต้นตะกูลของราชองครักษ์ที่สืบทอดกันมารุ่นต่อรุ่น เธอเป็นลูกสาวคนแรกและคนเดียว ชาโรนอฟ ตะกูลราชองครักษ์จบลงที่รุ่นของดาเลีย เป็นเรื่องน่าเศร้า ที่รุ่นของเธอ พ่อแม่กลับไร้ลูกชายสืบต่อหน้าที่อันทรงเกียรติ เพราะนายหญิงแห่งชาโรนอฟในตอนนั้นได้เสียชีวิตก่อนวัยอันควร ด้วยไฟแห่งสงคราม


ผู้เป็นพ่อของคุณยายผม หรือคุณทวด จากราชองครักษ์ในพระราชวัง ความเสียใจจากการสูญเสียภรรยาอันเป็นที่รัก ทำให้เบนเส้นทางลงสู่เส้นทางอำนาจทางการทหาร โดยมีคุณยายผมติดตามไปด้วยความแค้นที่มีต่อผู้ปลิดชีพมารดาของตน


ทวดไต่เต้า และคุณยายไต่เต้า แม้จะมีอุปสรรคมากมาย เพราะผู้หญิงในสมัยก่อน มักจะถูกกดขี่และไม่มีหน้าที่ในเรื่องการเมืองและการสู่รบในสมัยนั้น ทุกความคิดเห็นและความสำคัญถูกปัดตกเพราะเพศ ปฎิเสธเพศได้ แต่ปฎิเสธไม่ได้กับเส้นสายที่ถูกสร้างไว้รุ่นต่อรุ่น เป็นเส้นเล็กๆที่ถูกถักทอไว้จนแข็งแกร่งแม้ในยามบ้านเมืองวุ่นวาย ทำให้ดาเลียแอนไปถึงจุดสูงสุดที่อิสตรีจะเป็นได้ ณ ตอนนั้น คืออาจารย์ผู้ฝึกทหาร ด้วยวัยเพียงยี่สิบเอ็ดปี


และเธอทำมันได้ดีมากเสียด้วย ครูฝึกปีศาจ สมญานามที่ได้รับการบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ แปลงได้ทั้งสองความหมาย หนึ่งคือ เธอเป็นผู้ฝึกมนุษย์ให้เป็นปีศาจร้าย และสอง เธอคือปีศาจร้ายในคราบอาจารย์ฝึกทหาร


แต่เดิมพื้นฐานคุณยายก็เป็นพวกจริงจัง เข้มงวด เจ้าระเบียบและดุดันเป็นทุน เมื่อผสมความแค้น เธอทุ่มเททุกอย่าง ถวายทั้งชีวิตเพื่อดับไฟที่ลุกเผาผลาญอยู่ในอก เมื่อก้าวเท้าเข้าไปสู่การเป็นผู้ควบคุมฝึกทหาร เริ่มจากฝึกกลุ่มเล็กๆ ขยับขยายไปเป็นกองทัพ ความดุดันพลันแปรเป็นความเหี้ยมโหด เลือดเย็นและไร้หัวใจคือหนทางที่เธอเลือกจะเป็น


อำนาจที่อยู่ในมือเริ่มแผ่ขยายเป็นวงกว้าง เมื่อนักเรียนที่เธอก่อปั้นเริ่มมีบทบาทสำคัญในเวทีสำคัญ เส้นสายและแรงผลักดันจากคุณทวดที่เป็นทหาร ข่าวคราวการเมืองและความเป็นไปในสงครามถูกบอกต่อ เธอกลายเป็น 'ผู้ปรึกษา' ของเหล่านักเรียนที่ยศศักดิ์เริ่มสูงขึ้นและสูงขึ้น วิธีการอ่านแผนการที่เด็ดขาด ความรอบคอบและความสามารถที่เหนือบุรุษใดยากจะเทียบ


ผู้ปรึกษาเริ่มมีชื่อเสียงในแวดวงกว้างขวาง จากเพียงแค่นักเรียนทหารที่มาขอคำแนะนำ จากเพียงนายทหารยศน้อยมาขอคำชี้แนะเรื่องเล็กๆ เริ่มลามไปถึงบุคคลสำคัญที่สามาถชี้เป็นชี้ตายได้ในขณะนั้น เรื่องที่ดาเลียแอนได้รับรู้และมีส่วนร่วมเริ่มใหญ่ขึ้นและใหญ่ขึ้น จนในที่สุด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร ดาเลีย แอน ชาโรนอฟ มักจะได้เป็นหนึ่งในผู้ตัดสินลงคะแนนความเป็นไปของแผนการที่จะถูกใช้เสมอ ความคิดเห็นจากเธอเมื่อถูกเอ่ย ทุกคนจะต้องเงียบฟังและให้ความสำคัญ


หลายปีกว่าไฟสงครามจะมอดดับลง ดาเลียแอนใช้ชีวิตในฐานะอาจารย์ปีศาจและผู้ให้คำปรึกษาแห่งชาโรนอฟจวบจนสิ้นสุด ทุกอย่างมอดไหม้เป็นเถ้าทุลี ทั้งนิสัยและหัวใจของเธอก็เช่นกัน


จบสงคราม แม้เธอจะมากด้วยอำนาจและชื่อเสียง แต่ยศฐาของเธอก็ยังคงเป็นอาจารย์ฝึกสอน แม้จะได้เหรียญกล้าหาญมากมาย แต่ยังคงเป็นเพียงอาจารย์เท่านั้น นักเรียนที่รักดีและขึ้นไปจู่จุดสูงสุดหลายคนก็ทนไม่ได้ แต่การจะให้ยศแก่หญิงสาวก็เหมือนเป็นการตบหน้าเหล่าวีรบุรุษที่ขึ้นไปรับเกียรติยศ ว่าได้มาเพราะผู้หญิงตัวเล็กๆช่วย และทางการก็อยากกำจัดต้นตอข่าวลือที่แม้จะเป็นความจริงให้หายไป ด้วยการแต่งงานทางการเมือง ระหว่างนักการทูตจากประเทศแห่งเหยี่ยว และอาจารย์ฝึกทหารหญิงของประเทศนกอินทรีสองเศียร ถือเป็นการอุดรอยร้าวด้วยความรักน้ำเน่าที่ทุกคนชื่นชอบ


ดาเลียตกลงด้วยข้อเสนอเดียว คือนามสกุลชาโรนอฟจะยังคงอยู่ต่อไป
คือ ฝ่ายชายต้องแต่งเข้าตะกูล


งานหมั้นถูกประกาศลงทุกหน้าหนังสือพิมพ์
คู่แต่งงานใหม่เกิดขึ้นด้วยงานเลี้ยงใหญ่โต และคับคั่งไปด้วยบุคคลสำคัญ ว่ากันว่าวันนั้นหากเกิดระเบิดขึ้น มหาอำนาจและบุคคลสำคัญในประเทศมากกว่าครึ่งจะหายไป ข่าวลือหนาหูว่ากระทั่งพระราชินียังเสด็จมาอวยพรด้วยตนเอง


แม้แต่ตอนนี้ ดาเลีย แอน ชาโรนอฟ ในวัยเจ็ดสิบสามปี
แม้ไม่ได้สูงด้วยยศแต่บารมีที่เคยมีก็ทำให้หลายคนเกรงใจ แม้จะเป็นยศที่สูงฐานะกว่าก็ตาม เหล่านักเรียนนายร้อยนายทหารในวันนั้น ในวันนี้ก็ขึ้นสู่เวทีสงครามอีกครั้ง แต่เป็นสงครามที่เรียกว่าการเมือง สิ่งที่เปลี่ยนไปนั่นมากมาย แต่สิ่งที่ไม่เปลี่ยนไปก็มีเช่นกัน เช่นฐานะที่ปรึกษาคนสำคัญ ที่เหล่าบุคคลสำคัญที่คุ้นหน้าคุ้นตาในโทรทัศน์ยังคงเข้ามาพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับหญิงชราคนนี้เสมอ


และนิสัยที่รักในกฎระเบียบ ความดุดัน เด็ดขาด ช่างปกป้อง มีเกียรติ สูงค่ามากด้วยศักดิ์ศรี ก็ยังคงอยู่ถึงปัจจุบัน


แม้แต่ยามที่ครูฝึกปีศาจกลายเป็นแม่คน เอเลน ดาเลียนา ชาโรนอฟ บุตรสาวคนเดียวของชาโรนอฟ เธอเกิดมาด้วยนิสัยที่ตรงกันข้ามทุกอย่างกับมารดา และไม่ใกล้เคียงกับบิดาที่เป็นชายมากเล่ห์ผู้เงียบขรึมด้วยเช่นเดียวกัน


เอเลนเติบโตมาด้วยความซุกซน ไม่ว่าจะไม้อ่อน ไม้แข็งหุ้มนวม หรือไม้ที่พันด้วยเล็กหนามก็ไม่สามารถรั้งเธอไว้ได้ และเรื่องที่ทำให้เส้นสายความสัมพันธ์ของดาเลียและเอเลนจบลง คือเอเลนท้องด้วยวัยเพียงสิบสี่ปี...


ท้องก่อนแต่งไม่ใช่เรื่องที่น่าชื่นชมสำหรับคุณยายผู้ยึดมั่นในกฎระเบียบและประเพณี แต่ที่คุณยายรับไม่ได้เลยคือตั้งครรภ์ด้วยวัยเพียงสิบสี่ปี เหมือรคำพร่ำสอนของเธอถูกโยนกลับมา และสถานะอาจารย์ที่เคยฝึกสอนและคุมคนมามากกว่าหมื่นคนถูกตบหน้าฉาด


คุณยายลมจับ จากแต่เดิมที่ความสัมพันธ์ก็ลุ่มๆดอนๆ ด้วยนิสัยที่เข้ากันไม่ได้ ก็เหมือนสายป่านที่ขาดผึง เอเลนหรือคุณแม่ของผมถูกขับไล่ออกจากบ้านไปพร้อมด้วยท้องที่โตขึ้นทุกวัน แน่นอนว่าด้วยวัยที่ยังเยาว์ของทั้งคุณพ่อคุณแม่ ทำให้ชีวิตไม่ได้ราบรื่นนัก แม้ฝั่งพ่อจะพอมีฐานะอยู่บ้างจากมรดกของพ่อแม่ที่เสียไป แต่จากความคึกคะนองมีลูกถึงสามคน และหัวหน้าครอบครัวที่ทำงานเพียงคนเดียวอย่างพ่อ ล้มป่วยในวันหนึ่ง โรคร้ายพรากทุกอย่างไป เงินเก็บที่เฝ้าทำงานเก็บกันเพื่อลงทุน เมื่อยามป่วยหนัก เงินสิบกว่าล้านหายไปในชั่วพริบตา...


และมันยังไม่เพียงพอต่อการรักษาให้หายขาดเมื่ออาการมันซ้ำซ้อน เคราะห์ซ้ำกรรมซัด ลูกชายคนรองก็ป่วยหนัก ความเครียดรุมเร้าแม่จนแทบกินไม่ได้นอนไม่หลับ วนเวียนไปกลับจากงานพาร์ทไทม์ที่ทำและโรงพยาบาล ตกเย็นก็ไปรับลูกที่โรงเรียนอีก งานมากมายทั้งๆที่อุ้มท้องลูกคนที่สี่ ในขณะที่ปัญหามากมายหล่นโครมลงมานั้นคุณแม่ท้องผมอยู่ นับวันท้องที่ยิ่งโตก็เป็นอุปสรรค เงินที่ร่อยหรอสวนทางกับรายจ่ายที่เพิ่มขึ้น


สุดท้ายเอเลนต้องจำใจกลับไปเพื่อขอความช่วยเหลือจากมารดาตัวเอง คุณยายตอบรับ พร้อมยื่นข้อเสนอให้ยืมเงินจำนวนมหาศาลเพื่อไปตั้งตัว โดยทิ้งลูกคนที่สี่เอาไว้ เพื่อให้ชาโรนอฟยังคงอยู่ต่อไป คุณแม่ไม่ยอมและทะเลาะกันใหญ่โต จนสุดท้ายคุณตาช่วยมาไกล่เกลี่ย ข้อเสนอยุติที่คุณแม่ต้องให้ผมอยู่ที่นี่จนกว่าจะหาเงินมาใช้คืนหมดได้ ระหว่างนี้ห้ามติดต่อและมาเจอหน้าลูกชายเด็ดขาด แม้จะไม่อยากตกลง แต่สามีและลูกที่ป่วยก็ต้องการเงินเพื่อไปยื้อชีวิต คุณแม่จำยอมต้องเซ็นสัญญารับข้อตกลงนั่นเอาไว้


ผมจึงเติบโตขึ้นมา ณ ที่แห่งนี้ คฤหาสน์หลังงาม ที่รายล้อมไปด้วยรั้วสีชาดและผู้คนในเครื่องแบบที่ถูกส่งมาอารักขาคุณยาย คุณตาที่นิ่งขรึม แม้จะเข้าหาง่ายกว่าคุณยายและบางครั้งก็ชอบเล่นมุกตลกฝืดๆ แต่ก็ยังคงเงียบขรึมมากอยู่ดี และคุณยายที่แสนดุดันและเข้มงวด ผมไม่รู้ว่าเด็กปกติเติบโตกันอย่างไร แต่ตั้งแต่ผมยังเดินไม่ตรง ก็ถูกจับมาเรียนสิ่งต่างๆมากมาย ทั้งเรื่องการเรียน การเมือง ดนตรี ศิลปะการป้องตัว และมารยาท คุณคิดภาพเด็กสองขวบที่เริ่มเล่นเปียโนและฝึกดาบพร้อมนั่งหลังตรงเพียบพร้อมไปด้วยมารยาท โดยไม่งอแงปัดจานข้าวออกจากโต๊ะออกไหมครับ นั่นคือผมเอง...


ความผิดพลาดครั้งที่สองจะไม่เกิดขึ้นกับผม ความผิดพลาดของคุณแม่ สร้างรอยแผลใหญ่ไว้ในใจของคุณยาย สิบเท่าของการเฝ้าติดตาม ร้อยเท่าของความความเข้มงวดที่ใช้สั่งสอนคุณแม่ ถูกใช้กับผมทั้งหมด


การฝึกฝนสิ่งต่างๆของผมจะเริ่มตั้งแต่เช้าตรู่เสมอ คนตื่นสายและคนอ่อนแอ ไม่เป็นที่ถูกยอมรับในบ้านหลังนี้ 
อาจารย์ที่สอนแต่ละวิชา จะเข้ามาตามตารางเรียนที่คุณยายแบ่งสรรจัดเวลาออกไว้ให้ เช้าจรดค่ำและค่ำจรดเช้า วนเวียนแบบนี้นานจนผมจำไม่ได้ง่าเริ่มตั้งแต่เมื่อไหร่ จะเปลี่ยนแปลงไปบ้างเมื่อผมต้องไปงานเลี้ยงกับคุณยายคุณตา


งานเลี้ยง เป็นงานที่รวบรวมคนยิ้มหวานและพูดจาโอ้อวดทับถมโดยทำตัวถ่อมตน
สังคมแปลกประหลาดที่เบื้องหน้ายิ้มแต่ลับหลังกลับนิ่งเฉย ผมคิดว่าควรเปลี่ยนชื่อจากงานเลี้ยง เป็นงานโอ้อวด นินทา และหาผลประโยชน์เสียมากกว่านะครับ


เพียงเริ่มเดินและพูดได้ ผมก็ได้รับของขวัญเป็นหน้ากากหนึ่งอัน เป็นหน้าอันแข็งแกร่งที่วาดรอยยิ้มจอมปลอมบนนั้น ไว้สวมใส่เวลาปรากฎตัวต่อหน้าผู้คน ชาโรนอฟนั่นมีเกียรติแต่ห้ามหยิ่งยโส ชาโรนอฟนั่นสูงค่าแต่ห้ามทนงตน ชาโรนอฟไม่โอ้อวดแต่ทุกคนต้องรู้ว่ามี ชาโรนอฟไม่สูงศักดิ์แต่ก็ห้ามถูกใครกดต่ำ และอีกหลากหลายคำพร่ำสอนของคุณยาย

 
ผมกลายเป็นชาโรนอฟเคลื่อนที่ ที่สุดแสนสมบรูณ์แบบสมใจคุณยาย


ผมจำไม่ได้ว่าตัวเองเลิกร้องไห้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่ อาจจะตั้งแต่ถูกคุณยายตบหน้าแล้วบอกว่า 'ชาโรนอฟไม่มีน้ำตาให้กับเรื่องไร้สาระ'


เป็นมาโตรชก้าที่ข้างในกลวงโบ๋ ไม่มีหุ่นตัวเล็กกว่าอยู่ข้างใน ชีวิตในแต่ละวันดำเนินไปอย่างเรียบง่าย สิ่งที่ใกล้เคียงความสุขในเวลานั้น คือความเงียบและแสงจันทร์จากหน้าต่างที่สะท้อนแสงกระทบกับสระน้ำยามค่ำคืน ในเวลานั้นผมไม่เคยเห็นหน้าคุณพ่อคุณแม่ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีพวกเขาอยู่ ตัวตนพวกเขาเท่ากับศูนย์


แต่คิดแล้วก็ตลกนิดหน่อย คุณคิดภาพเด็กอายุขวบครึ่ง ที่ปากยังคาบขวดนม แต่กำลังโดนผู้ใหญ่สั่งสอนเรื่องกฎของฟิสิกส์ออกไหมครับ หรือจะเป็นเด็กอายุห้าขวบที่ถูกจับมานั่งอบรมเรื่องการตั้งครรภ์ที่ไม่พึงประสงค์ น่าขันสิ้นดี


แต่แล้วในวันที่ทุกอย่างยังดำเนินต่อไปเหมือนทุกวัน ผมกำลังอ่านหนังสืออยู่ในห้องสมุด เมดที่ไม่เคยมีรอยยิ้มแต่งแต้มบนใบหน้าก็มาเรียกผมให้ไปพบคุณยายที่ห้องรับแขก ผมแปลกใจเล็กน้อย นอกจากเวลาร่วมรับประทานอาหารมือเย็น ผมกับคุณยายจะไม่มีกิจกรรมร่วมกันเท่าไหร่ เรื่องพูดคุยในแต่ละวันจะเป็นเรื่องบอกกำหนดการงานเลี้ยงหรือพบปะคนสำคัญที่ผมต้องเจอ วิธีประพฤติตนและปฎิบัติตนที่ถูกต้องตามมารยาท คำสั่งสองของคุณยาย และมุกตลกฝืดๆของคุณตา และอาจจะเป็นเรื่องอย่างวันนี้ผมเรียนรู้ไปถึงไหนแล้ว ที่เหลือจะเป็นบทสนทนาของความเงียบเสมอ


จึงน่าแปลกใจไม่น้อยที่จะมีเหตุการณ์ถูกเรียกไปพบยามบ่ายเช่นนี้


"มีแขกหรือ ท่าทางคุณยายให้ความสำคัญไหม?"


ผมเอ่ยถามเมดโดยที่ไม่เงยหน้าจากหนังสือว่าด้วยเรื่องจิตวิทยาการอ่านความคิดของฝ่ายตรงข้าม อ้อ...ผมถูกสั่งสอนให้เรียนพวกการอ่านพฤติกรรมคน หรือจิตวิทยาค่อนข้างหนักพอสมควรเลยครับ การอ่านท่าทางว่าอีกฝ่ายกำลังลังเล โกรธเกรี้ยว หรือพูดโกหกอยู่หรือไม่ เป็นเรื่องสำคัญในการเข้าหา คุณจะไม่ได้อะไรดีๆ หรือผลประโยชน์อะไรจากบนสนทนาที่อีกฝ่ายอารมณ์ไม่ดีหรอกนะครับ นอกจากความขุ่นเคือง แน่นอนว่าความรอบคอบของคุณยายดาเลียครอบคลุมไปถึงหาอาจารย์สอนมุกตลกไว้เล่นให้คู่คุยผ่อนคลายมาให้ผมด้วย และเมดที่นี่ก็ถูกฝึกสอนให้อ่านท่าทางของผู้เป็นนายได้ว่าแขกที่มาหาต้องการการดูแลระดับไหนเช่นเดียวกัน


สำคัญมากก็ต้องดูแลดีมาก สำคัญน้อยก็ยังต้องดูแลดีมากอยู่ดีนั่นแหละครับ
เพียงแค่ลดความเป็นทางการมากึ่งหนึ่ง


คำถามที่ผมถาม ก็เพื่อที่จะได้เปลี่ยนชุดลงไปถูก ว่าควรเป็นทางการระดับไหน ถ้าการคาดเดาของผมไม่ผิดเพี้ยนไป ตอนนี้คงจะมีแขกจำพวกมาแบบไม่ได้บอกไม่ได้กล่าว ไม่ได้นัดเอาไว้ แต่ก็สำคัญพอที่ประตูจะเปิดต้อนรับ...อืม ผมว่าผมได้คำตอบแล้ว ไม่รอเมดตอบ ผมก็ลุกจากเก้าอี้ เข้าไปในห้องของตัวเอง เปิดตู้ออก เลือกเสื้อผ้าให้เหมาะสม เชิ้ตสีขาว เนคไทสีดำสนิท กับกางเกงสีดำขาสั้นพร้อมเข็มขัดสีดำถูกผมเลือกใส่ เป็นชุดเรียบง่ายเรียบร้อยที่สามารถเข้าำด้ทุกสถานการณ์ ถุงเท้าสีดำและรองเท้าหนังขัดเงาถูกสวม ผมสำรวจความเรียบร้อยของตัวเองในกระจก หวีผมให้เรียบร้อย จัดปกเสื้อให้เข้าที่ ยืดแผ่นหลังให้ตึง ก่อนจะย่างกรายออกจากห้องเพื่อตรงไปหานายหญิงของคฤหาสน์


ปกติหากมีแขก ต้องนัดพูดคุยที่ห้องรับแขกในตัวบ้าน แต่นี่กลับนัดออกมาที่สวน ผมขมวดคิ้วเล็กน้อย แม้แต่สถานที่พูดคุยยังถูกเลือกแบบแปลกประหลาด และภายในห้องรับแขก ก็เป็นบรรยากาศแปลกประหลาดที่ผมไม่เคยพบเห็น...


ความเครียดจนแทบกระอักเลือด ความกดดันแทบหายใจไม่ออก ความเสียใจหรือความโกรธเกรี้ยว เชื่อสิว่าผมเคยเห็นมาหมดแล้ว ณ ห้องรับแขกเรือนกระจกแห่งนี้


แต่บรรยากาศที่...วุ่นวาย? ครื้นเครง? อา...ขออภัยหากผมเรียกไม่ถูก แต่สภาพคุณตาที่มีเด็กอายุพอๆกับผมห้อยต่องแต่งกอดคออยู่ หรือมีเด็กกอดขาคุณยายที่นั่งแผ่นหลังเหยียดตรง มือประสานกันไว้บนตัก ผมมวยที่ถูกมัดขึ้นรวบสูงเผยใบหน้าที่ยังคงสวยสง่าน่าเกรงขามอยู่มาก แม้อายุจะร่วงโรยไปตามกาลเวลา แต่กลับไม่ได้ดึงบรรยากาศให้อ่อนลงไป นัยน์ตาสีฟ้าสีเดียวกันกับผมดูคมกริบ ดุดันและเด็ดขาด ใบหน้าที่ปราศจากรอยยิ้มเหมือนเคย แต่ที่แปลกไป คือเหมือน...คุณยายกำลังกระอักกระอ่วน?


...ผมไม่เคยเห็นมาก่อนเลยจริงๆ


นอกจากเด็กๆที่กำลังทำตัวเหมือนลิงเกาะต้นไม้เหมือนในสารดีที่ผมเคยดู ก็มีผู้หญิงคนหนึ่งและผู้ชายอีกคนหนึ่งนั่งอยู่อีกฝากฝั่งของโซฟา เสียงรองเท้าหนังกระทบพื้นของผมเป็นสัญญาณที่ทำให้ทุกอย่างหยุดนิ่ง


ทุกคนหันมามอง











ออฟไลน์ ZOFIARIN

  • ▇ โซเฟียริน • อวยพระเอก ▇ Whәи ɴᴏᴛʜɪɴɢ is یuгe , eveяything is possißle ♡
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 125
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-1
    • Twitter


อึก


ผมถูกตัวอะไรสักอย่างจู่โจม เด็กน้อยที่เดินอ้อแอน้ำลายไหลเยิ้มมาซบอยู่ตรงขาของผม แม้ใจผมอยากจะสะบัดออก แต่ภาพลักษณ์ชาโรนอฟจะมาถูกทำลายเพราะเรื่องแค่นี้ไม่ได้หรอกครับ ในงานเลี้ยงเด็กๆน่ารำคาญมากมายที่ผมชอบถูกจับไปรวมกลุ่ม ผมก็จัดการได้มาแล้ว แค่เด็กที่หน้าตาโง่ๆน้ำลายไหลเยิ้มเหมือนไม่สามารถหุบปากได้ ไม่ทำให้ผมกังวลหรอก ผมย่อตัวนั่งลงประสานสายตากับเด็กตรงหน้า นัยน์ตาสีฟ้าที่คุ้นเคยดูคุ้นตาอย่างน่าแปลก ผมปั้นยิ้มอ่อนโยนขึ้นมา หยิบหน้ากากขึ้นมาสวมใส่


"อันตรายนะครับ ไม่ควรเดินมาตัดหน้ากันรู้ไหมเด็กน้อย"


ผมแกะมือจ้อยออกจากขาตัวเอง เดินจูงมือที่ชื้นแฉะไปด้วยน้ำลายที่เจ้าตัวเอาไปอุดปากตัวเองเมื่อตะกี้ ในใจได้แต่แผดเสียงอยากไปอาบน้ำใหม่เร็วๆ ด้วยความขยะแขยง เจ้าตัวเชื้อโรคตาเป็นประกาย ร้องเสียงอ้อแอ้ให้ผมพาเดินจูงมือมาแต่โดยดี


ผมสบตาเข้ากับชายหญิงแขกของคุณยาย พวกเขามีสีหน้าแปลกประหลาดอีกแล้ว ดูซึ้งใจ ดีใจ น้ำตาคลอเบ้าตาที่สุดท้ายก็ร้องไห้โฮออกมา พร้อมกอดกันแน่น เหล่าเด็กๆที่ผมคิดว่าน่าจะเป็นลูกๆของคนเหล่านี้พอเห็นพ่อแม่ตัวเองร้องไห้ ก็ร้องไห้แหกปากตาม



"แง้ แง้ แง้ มะหม้าร้องไห้ทำไมอ่า"

"แง้งงงงงงงงงง โจอย่าร้อง ร้องหาพ่อแม่ทะไม"

"ก้อ ก้อร้องหาพ่อแม่อ่ะ พ่อแม่ร้องก็ร้องตาม แงงงงง"

"โคลร้องตามแอนกับโจอ่ะ แงงงงงงงงงงงงง"

"แอ้แอ้ แอ้"

"ฮือออออออ คุณคะพี่น้องรักกันดีตั้งแต่แรกพบเลยค่ะ"

"ใช่แล้วที่รัก สายสัมพันธ์สายใยต่อให้ไม่ได้อยู่ด้วยกัน มันก็มีไงล่ะ"

"คุณคะ! / ที่รัก!"



ผมสบัดมือเจ้าเด็กที่กำลังร้องอ้อแอ้ออก เดินไปหาคุณยายพร้อมมองภาพตรงหน้าด้วยความเย็นชา เป็นครอบครัวที่น่ารำคาญสิ้นดี ผมหยิบผ้าเช็ดหน้าในกระเป๋ากางเกงขึ้นมาเช็ดมือตัวเองเบาๆ ระหว่างที่กลุ่มคนตรงหน้ากำลังสะอึกสะอื้น คุณตาดูน้ำตาคลออินไปด้วย น่าตกใจจนผมมองอยู่นาน ก่อนจะเบนหน้ากลับมานิ่งเฉย มีเพียงผมและคุณยายที่กำลังหน้านิ่งเฉยขัดกับคนอื่นรอบตัว คุณยายผายมือเป็นเชิงบอกให้ผมนั่งลง


นั่งรอนานนับสิบกว่านาที กว่าความวุ่นวายและมหกรรมประสานเสียงร้องไห้ถึงได้สงบลง และให้ตายเถอะ...ไอ้เจ้าลิงที่ดูเด็กที่สุด ไม่รู้ว่าเป็นอะไรกับขาผมนักหนาครับ มาเกาะเอาใบหน้าเปื้อนน้ำลายมาถูไถไม่ยอมหยุด เด็กอีกสามคนที่เหลือก็มารุมล้อมมองผม ประหนึ่งผมเป็นสัตว์ประหลาดมีแขนที่สามงอกบนหน้าผาก ถูกจับใส่กรงแล้วเอาไปแห่โชว์ตามงานคัลนิวาลไปได้ ...ไร้มารยาทเหลือเกิน ผมปั้นยิ้มติดไว้บนใบหน้าแม้ในใจจะอยากกลับขึ้นห้องเสียเดี๋ยวนี้


"นายเป็นน้องพวกเรานะ แต่เป็นพี่ของยูริ"

"นายเป็นน้อง เป็นน้อง เย้ๆๆๆ มีน้องเพิ่มอีกคนแล้ว ทีนี้ก็จะมีน้องไว้จิกหัวใช้แล้ว เย้ๆๆๆ"

"ไม่มีใครเขาเชื่อฟังนายหรอกนะโจ..."

"โคลกับแอนไม่เชื่อฟัง แต่น้องใหม่ดูยิ้มแย้มนะ ฉันว่าเขาน่าจะหัวอ่อน"

"เขาอาจจะหัวอ่อน แต่เขาคงไม่โง่เชื่อฟังคนปัญญาอ่อนหรอกนะฉันว่า"

"แง้งงงงงงงงงงงงงงงงงง ปะป๊ามะหม้าาาาาาาาา แอนด่าเชฟว่าปัญญาอ่อน!"

"โจเชฟรู้เหรอลูกว่าปัญญาอ่อนแปลว่าอะไร?"

"เชฟไม่รุ้ แต่เชฟสัมผัสได้ว่าเป็นคำด่า แง้งงงงงงงงงงงงงง เชฟเสียใจ เชฟงอแงงงงงงงง"

"ปัญญาอ่อนแล้วยังโง่อีก"

"อันนี้โจเชฟเข้าใจนะ แง้งงงงงงงงงงงงง ปะป๊ามะหม้าโคลด่าเชฟว่าโง่วววววววว"

"ฮึบไว้นะลูก ฮึบไว้"


ไม่รู้ว่าเด็กผู้ชายที่ท่าทางโตสุดฮึบไว้ยังไง ดูท่าทางที่เขาฮึบไว้คือการกลั้นลมหายใจจนหน้าเขียวแล้วก็ดัน...



ปู้ด...



ผายลมออกมาเสียแบบนั้น...


"อุบาทว์จริงๆเลยโจ!"


อา...ผมเห็นด้วยกับเด็กผู้หญิงที่กำลังยกมือบีบจมูกแล้วหันหน้าหนีจริงๆเลยครับ กลุ่มเด็กแตกกระจายหายไปจากผม เข้าไปนั่งฝั่งเดียวกับพ่อแม่ตัวเอง ผู้ชายที่ดูโตกว่าผมอีกคน แกะเจ้าลูกลิงน้ำลายยืดไปด้วย พอคนที่ดูโตสุดจะไปนั่งอีกคน ก็ถูกเด็กผู้หญิงถีบจนตกโซฟา แล้วทั้งสองคนก็เริ่มต่อยกัน....


ผมไม่เคยเห็นเด็กผู้หญิงต่อยกับเด็กผู้ชายมาก่อน...


แปลกประหลาด แปลกประหลาดจริงๆ...


และเรื่องที่คุณยายกำลังจะบอกผมก็ยิ่งกว่าแปลกประหลาด มันข้ามขั้นมากกว่าคำว่าแปลกประหลาดไปมากเลยทีเดียว คุณยายกระแอมกระไอเล็กน้อย เธอผายมือออกไปทางครอบครัวตัวประหลาด เสียงที่ฟังแล้วดูมีอำนาจจนชวนให้เชื่อฟังและทำตามคำสั่งเอยแนะนำตัวแขกของวันนี้



"ผู้หญิงคนนี้คือ เอเลน ดาเลียนา...เซอร์กีย์ และอีกคนคือ โจวิช เซอร์กีย์" คุณยายเงียบเสียงไปพักใหญ่
 

"พวกเขา..." น้ำเสียงที่มั่นคงเสนอมา ดูสั่นเล็กน้อยเมื่อบอกประโยคถัดไปที่เหมือนขวานจามลงมาที่หัวของผม



"คือพ่อแม่ของเธอ ดิมิทรี"



มุกตลกห่วยแตก...คือความคิดแรก ที่แล่นพรวดขึ้นมาในสมองตอนผมได้ยินจบ แต่สีหน้าจริงจังและความเป็นจริงคือคุณยายไม่เคยพูดล้อเล่น บอกผมว่ามันคือความจริง สีหน้าของหกคนฝั่งตรงข้ามก็ดูดีใจเหลือเกิน ตรงกันข้ามกับผมอย่างชัดเจน


พ่อแม่และพี่น้องที่ไม่เคยเจอหน้ามาตลอดชีวิต
จู่ๆก็มาปรากฏตัว


โอเค


ผมรู้ว่าผมไม่ได้เกิดจากพวงองุ่นที่คุณยายไปเด็ดมาหรอก แต่คุณยายก็ไม่เคยพูดถึงพ่อแม่ของผม และไม่มีใครเคยพูดถึง ผมถึงได้คิดเสมอมา ว่าผมเป็นเด็กกำพร้าที่คงถูกเก็บมาเลี้ยง เก็บมาอุปถัมภ์ หรือไม่ก็คือพ่อแม่ผมตายไปแล้ว และคุณยายก็เสียใจเกินกว่าจะเล่าให้ฟัง แต่จากสภาพผมว่าถ้าอับอายเกินกว่าจะเล่าให้ฟังอาจจะดูเข้าเค้ามากกว่า...


เพียงพบกันไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ครอบครัวชวนปวดหัวพวกนี้ก็ทำหน้ากากผมปลิแตก ผมอ้าปากค้าง หันหน้าไปสบตากับพ่อแม่กระทันหันของตัวเอง


ผู้หญิงผู้ชายตรงหน้าชูสองนิ้วให้ผม


"ยังไม่ตายจ้า พ่อแม่เองงงงงงงง"




อา...ให้ตายเถอะ


พระเจ้า ถ้านี่เป็นฝันร้ายล่ะก็ มันก็จะเป็นฝันร้ายที่ร้ายที่สุด และเป็นฝันที่สมจริงเกินไปแล้ว
และถ้านี่เป็นฝัน และผมภาวนาให้มันเป็นเพียงแค่ฝันไป


ใครสักคน ใครก็ได้....


ช่วยปลุกผมที...






แม้ผมจะนั่งอยู่นานเท่าไหร่ แต่ก็ไม่ได้สะดุ้งตื่นบนกลางเตียงของตัวเองอย่างที่หวัง ฝันร้ายยังคงดำเนินต่อไป และดูท่าจะไม่มีจุดสิ้นสุด พ่อกับแม่และพี่น้องของผมท่าทางดูลุ้นตัวโก่ง เฝ้ารอว่าผมจะร้องไห้แล้ววิ่งโผเข้าไปหาพวกเขา แล้วพร่ำบอกว่าอยากเจอ อยากมีครอบครัวมากแค่ไหน อ้อมแขนที่อ้ารอรับผมโถมตัวใส่พร้อมใบหน้าตื้นตันค่อยๆหุบลง ใช่ พวกเขาควรลดมือลงซะ เพราะมันไม่มีทางเกิดขึ้นหรอกครับ...


ความเงียบและกดดันที่ครอบคฤหาสน์ เหมือนกับลอยมาอัดแน่นอยู่ในห้องนี้เพียงห้องเดียว แม้แต่เจ้าลิงทะโมนที่ดูไม่มีสมองก็เก็บน้ำลายยืดแล้วกอดพี่ชายตัวเองซุกหน้าหนีไว้แน่น ท่าทางของครอบครัวผมดูแปลกไป ถ้าจะให้พูดคือแปลกไปจากเมื่อครู่อย่างสิ้นเชิง อารมณ์ดีและรื่นเริงถูกเก็บหายเข้ากรุ ถ้าจะให้เดาก็คงไม่พ้นเพราะใบหน้าที่ผมสวมไว้มันแตกร้าว ไม่ต่างกับหัวใจของผม ใบหน้าที่พุพัง ทำใให้ผมไม่สามารถคงรอยยิ้มสุภาพอ่อนโยนหัวอ่อนเอาไว้ได้อีกต่อไป มันเลือนหายและนิ่งเฉย เย็นชาดุจก้อนน้ำแข็ง


ผมไล่สายตามองแต่ละคนในครอบครัว มองทีละคน ทีละคน อย่างเก็บรายละเอียด พวกเขาดูตัวเกร็งและสะดุ้งเมื่อสายตาของผมไปตกอยู่ที่ตัวเอง ดูเป็นครอบครัวแสนสุข แม้จะไม่มีผมอยู่ก็ตาม


คำถาม ทำไม ผุดขึ้นนับร้อยนับพันในสมอง
ต่อให้เป็นหุ่นที่ไส้ในกลวง แต่ผมก็มีความรู้สึก...


และมันก็เจ็บปวดสิ้นดี


ผมลุกขึ้นยืนจากเก้าอี้ตัวเองช้าๆ แม้ใจจริงอยากลุกขึ้นพรวดและวิ่งหนีไป รอยยิ้มที่ผมพยายามฝืนให้มันกว้างออก แต่ไม่เป็นผล ทำให้หน้าตานิ่งเฉยดูบิดเบี้ยวและผิดเพี้ยน ผมคิดว่าช่างมันเถอะ จึงปล่อยให้มุมปากของตัวเองเรียบตึง


"ถ้าจะเป็นเรื่องตลก ก็ควรอยู่บนละครเวทีนะครับคุณยาย ไม่คิดเลยว่าคุณยายจะโปรดปรานขณะละครนี้ถึงขนาดเชิญผมลงมาดูด้วย ถ้าจบแล้ว ยังไงผมต้องขอตัวก่อน อาจารย์มัคซิมกำลังจะมาสอนผมในอีกไม่ถึงยี่สิบนาที ขอตัวไปเตรียมตัวก่อนนะครับ เชิญกันตามสบาย"


ผมก้าวเท้าออกมาโดยไม่สนเสียงฉุดรั้ง และเสียงร้องไห้โฮด้านหลัง


ถ้าเป็นไปได้...ผมเองก็อยากร้องไห้เหมือนกัน


แต่มันจุกเสียจนร้องไม่ออกนี่สิ


ผมเปิดประตูเข้ามาในห้องของตัวเอง เดินเข้าไปในห้องสมุดส่วนตัวที่เชื่อมต่อกันอยู่ ลงกลอนและขังตัวเองไว้ข้างในนั้น เฝ้าคิดว่านี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน ตั้งแต่เกิดมา ตั้งแต่จำความได้ ผมไม่เคยได้รับรู้รับฟังถึงต้นกำเนิดของตัวเอง แม้แต่เสียงแว่วให้เข้ามาได้ยินยังไม่มี รูปถ่ายหรืออะไรที่เกี่ยวข้องกับพวกเขาเหมือนถูกยางลบ ลบออกไปจนหมดสิ้น


แล้วถ้าจะลบเสียเกลี้ยงเกลาขนาดนี้ ทำไมถึงยังเขียนขึ้นมาใหม่เอาตอนนี้


สำหรับทุกคนอาจจะคิดว่า ก็ดีแล้วนี่? ได้มีพ่อกับแม่เหมือนคนอื่นเขา ได้มีพี่น้องวัยไล่เลี่ยเอาไว้คอยเล่นซนด้วยกัน
แต่ไม่ใช่กับผม เพราะคำถามที่ตามมาของการปรากฏตัวกระทันหันคือ พวกเขาไปอยู่ที่ไหนมา...
และทำไมถึงได้ทิ้งผมไว้ด้านหลังคนเดียว... เด็กๆพวกนี้ดูสดใสและซุกซนตามวัย เหมือนเด็กๆวัยเดียวกันที่ผมเคยพบเจอ


ผมคิดเข้าข้างและปลอบโยนตัวเองเสมอด้วยความคิดที่ว่า เพราะตัวเองไม่มีพ่อหรือแม่ให้ออดอ้อน มีเพียงคุณตาและคุณยาย เพราะอย่างนั้นต้องเข้มแข็ง โตไปจะได้ปกป้องหญิงชราและชายชราที่อุตสาห์ชุบเลี้ยงผมขึ้นมา พวกเราไม่สนิทกันเพราะวัยที่ห่าง และความเป็นอาจารย์ทหารของคุณยาย เธอต้องรักษาภาพลักษณ์และความน่าเชื่อถือ


ผมปลอบโยนตัวเองเช่นนั้นมาตลอด เพราะงั้นต่อให้ไปในตัวเมืองแล้วเห็นเด็กวัยเดียวกันเล่นสนุก บางคนยังพูดไม่ชัดดีด้วยซ้ำ แต่ยังได้รับการอ่อนโอนและคำชื่นชมจากบิดามารดา ด้วยเรื่องง่ายๆอย่างแค่สามารถทานข้าวด้วยตัวเอง ด้วยท่าทางเงอะงะและอาหารหกเลอะเทอะ ผมก็ทำได้นะ... ทานข้าวด้วยตัวเองน่ะ ผมทำได้ตามมารยาทสากลมากกว่าสิบสี่แบบ เรียบร้อยกว่า สง่างามกว่า แต่คำชมที่ผมได้รับเป็นเพียงแค่ประโยคหนึ่ง ดีมากดิมิทรี เธอสมเป็นชาโรนอฟ แต่ไม่มีอ้อมกอดอุ่นกอดรัดลงมา


แต่ไม่เป็นไร ผมยังมีคำปลอบใจตัวเอง ต่อให้ไม่ได้ถูกอ่อนโยนด้วย แต่ผมก็จะเติบโตขึ้นไป แต่วันนี้เหมือนผมโดนตบหน้า ทุกคำปลอบโยนของตัวเองเหมือนกลายเป็นของแข็ง กลายเป็นไม้หน้าสามที่เอามาฟาดผมให้แทบตายในวันนี้


พวกเขาไปอยู่ที่ไหนมา...


คำถามว่าทำไม เพราะเหตุใด โผล่ขึ้นมาหมุนเวียนตลอดเวลา ทำไมถึงเพิ่งมาเอาตอนนี้ ทำไมผมถึงเป็นลูกเพียงแค่คนเดียวที่อยู่กับคุณตาคุณยาย ทำไมผมถึงได้ถูกทอดทิ้ง ผมเกิดมาแย่หรือ ช่วงที่แม่คลอดผมออกมา เพียงเห็นหน้าก็ไม่นึกรักกันใช่ไหม ถึงได้ปล่อยผมทิ้งไว้ในบ้านหลังใหญ่นี่แล้วพาพี่น้องคนอื่นจากไป


ทำไม ทั้งๆที่พวกเขาไม่มีผม ก็ดูเป็นครอบครัวที่สมบรูณ์แบบ แล้วทำไมวันนี้ถึงได้พากันกลับเข้ามา ทำไมคุณยายถึงให้เขาเข้ามา มาเยาะเย้ยกันหรือไร มาหัวเราะกันใช่ไหมว่าผมทำได้แต่ยิ้มจอมปลอมไปวันๆ แต่เขากลับสามารถยิ้มหัวเราะออกมาได้จากใจ


ทำไมท่าทางพวกเขาถึงได้ดูดี เสื้อผ้าที่สวมใส่ล้วนเป็นเสื้อผ้ามียี่ห้อและราคา ฝีเข็มตัดเย็บเนียบกริบ พวกเขาไม่ได้ดูยากจน จนไม่สามารถเลี้ยงลูกคนที่สี่ได้ ถ้าเลี้ยงคนที่สี่ไม่ได้แล้วจะมีคนที่ห้าได้อย่างไร แล้วทำไมผมถึงไม่ได้ถูกเลือกอยู่ในครอบครัวของเขา


มันจะดีเสียกว่าหากพ่อแม่ของผมเป็นเพียงคนบ้าหรือพิกลพิการ อย่างน้อยผมจะได้ปลอบตัวเอง ว่าเขามีเหตุผลที่จะไม่เลี้ยงผม และผมคงจะยิ้มและสามารถบอกว่า ไม่เป็นไรครับ ผมจะดูแลพ่อกับแม่เอง


แต่มันไม่ใช่...เขามาพร้อมกับความเพียบพร้อม มาพร้อมกับสีขาวสะอาดที่ดูสดใส ตัดกับสีเทาด่างแบบผม เขามาในตอนที่ผมไม่ใช่ผ้าขาวอีกแล้ว มาเพื่อให้เห็นถึงความชัดเจนของความแตกต่างหรือไง


เอาความสนิทสนมในสายสัมพันธ์ครอบครัวมาโอ้อ้วดกัน ทั้งๆที่พวกเขาสนิทสนมกลมเกลียวกันดี มามองเหยียดว่าทำไมผมถึงได้ไม่สนิทกับคุณยายคุณตาหรือ


ทำไมพี่น้องของผมถึงดูสนุกสมวัย ดูบ้าบอไร้ความเครียดขึง ดูไร้มารยาทไม่ได้รับการสั่งสอน แต่ทำไมพ่อกับแม่ถึงเลือกจะอยู่กับพวกเขา เพราะพวกเขามีค่าส่วนผมมันแค่ก้อนกรวดที่สามารถปาทิ้งได้ใช่ไหม


ทั้งๆที่ทิ้งผมไว้ แต่ก็ยังสามารถยิ้มและมีความสุขกันได้ขนาดนั้นใช่ไหมครับ






ทำไม และทำไม และทำไม คำถามวนเวียนไปมาที่ตะโกนกู่ร้องอยากได้คำตอบ แต่ก็ไม่มีคำตอบใดที่ผมสามารถตอบตัวเองได้ มีเพียงประโยคคำถามที่ยังคงผุดขึ้นมาไม่หยุด และความเจ็บแสบที่ชัดเจนภายในอกเท่านั้นเอง

















end 16 .
twitter #เพื่อนผู้ปกครอง





ไม่ธรรมดา โอ้โห ไม่ธรรมดาาาาา
เขียนนิยายรักใสๆวัยมัธยมยังไงให้สเกลเรื่องใหญ่ไปถึงสงคราม
....ช่วยน้องด้วยนะคะ

จริงๆคิดว่าตอนของหมูหย็องจะเอาไว้เป็นตอนพิเศษ แต่เอามาใส่ไว้ในเรื่องเลยดีกว่า
เพราะตอนพิเศษล้นมากค่ะ ฮาาา





ตอบคุณ Meen2495
- แปลว่าเราเจอฝรั่งสายพันธุ์หายากแน่ๆเลยค่ะ ฮาา

งั้นขอยกเป็นนิสัยหมูหย็องแทนแล้วกันนะคะ เพราะวางให้น้องเป็นพวกช่างดูแลเอาใจใส่จากการสอน + นิสัยพื้นฐานด้วย
อาจจะขัดไปบ้าง แต่เราชอบคาแร็คเตอร์เด็กแบบแก่แดดนิดๆ โตเกินวัยเยอะๆค่ะ ถือว่าเป็นความแฟนตาซีของนิยายเราแล้วกันนะคะ ฮา หรือจะคิดว่าน้องอยู่มหาลัยก็ได้ค่ะ แต่งี้ถ้าหมูหย็องกับเทมไปมหาลัย คุณ Meen2495 จะคิดภาพเป็นสองคนแก่ไหมคะเนี่ย ก๊ากก ไม่ได้นะคะ ต้องคิดภาพเป็นเฟรชชี่นะ!

ช่วยตามเด็กๆไปถึงมหาลัยเลยนะคะ
เราก็จะพยายามเขียนไปยาวๆเลยยยยยยยยยยยยย
ขอบคุณมากๆเลยค่ะที่ติดตามเราทั้งสองที่ ฮือออออ แรงใจถาโถมมากเลยค่ะตอนนี้ จะรีบกลับไปปั่นตอนต่อไปนะคะ
ขอบคุณมากค่ะ U//v//U ♥

อ่านแล้วแสดงความคิดเห็นได้เสมอนะคะ จะดีใจมากๆเลยค่ะ

ออฟไลน์ Meen2495

  • is allergic to drama.
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 364
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-4
โอ้ … ด้วยตอนนี้ เข้าใจแล้วค่ะว่า
ทำไม พี่หมู เป็นอย่างนี้
พื้นฐานการเลี้ยงดูวัยเด็กนี่เอง

เพราะที่เราขัด ๆ กับนิสัยพี่หมู … เราดูจากบรรยากาศในครอบครัวนั่นเอง
คราวนี้ เข้าใจแล้วค่ะ ว่าแตกต่างจากเด็กฝรั่งอย่างไร
เพราะเราเคยเจอเด็กแบบนี้อยู่หลายสิบคนมาก ๆ
เป็นลูกฝรั่งในครอบครัวทหารระดับสูง ๆ กับในครอบครัวรัสเซียนั่นเอง
มนุษย์เด็กพวกนี้ เป็นแบบพี่หมูอยู่หลายคน

ขอบคุณนะคะที่นำตอนนี้มาลงให้เราหายค้างคาใจ

ขอบคุณค่ะ …

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0

ออฟไลน์ สีหราช

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 320
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +200/-1

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ EoBen

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3306
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +150/-6
อ่านเพลินมากเลยค่ะ

หมูตอนอยู่กับเทม กับอยู่กับคนอื่นนี่คนละเรื่องระราวกันเลย



ออฟไลน์ darling

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1741
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-7

ออฟไลน์ ZOFIARIN

  • ▇ โซเฟียริน • อวยพระเอก ▇ Whәи ɴᴏᴛʜɪɴɢ is یuгe , eveяything is possißle ♡
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 125
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-1
    • Twitter







17







ก๊อก ก๊อก


เสียงเคาะประตูเรียก เหมือนนกหวีดเรียกสติที่จมดิ่งของผมให้กลับคืนมา แม้แต่เสียงเคาะประตูยังดูเย็นชืดและไร้จิตใจ ผมเงยหน้าจากเข่าของตัวเอง จัดเสื้อผ้าที่ยับยู่ยีให้เรียบเท่าที่มันพอจะเรียบได้ เดินไปเปิดประตูห้องออก


"ครับ" ผมขานรับเสียงเคาะ ก่อนจะแง้มประตูไม้แกะสลักเนื้อดี เพื่อเจอกับหญิงชราที่ผมคุ้นเคยมาทั้งชีวิต แต่การเผชิญหน้าหลังคำพูดน่าตกใจ เธอกลับดูเหมือนเป็นคนแปลกหน้าไปเสียแล้วสำหรับผม บางทีความรู้สึกถูกหักหลังก็คงใกล้เคียงกับความรู้สึกแบบนี้


ใบหน้าที่มักจะนิ่งเฉยเป็นนิจยังคงราบเรียบเฉกเช่นทุกวัน เธอใช้สายตาเพื่อบอกให้ผมเดินตามไปนั่งที่ชุดโซฟากลางห้องนอนของผม น้อยครั้งที่โซฟาเหล่านี้จะได้ทำหน้าที่รับของสมเป็นเก้าอี้ ผมทรุดตัวลงนั่ง เบือนสายตาออกจากสตรีสูงศักดิ์ตรงหน้า ผมว่าตอนนี้ อะไรก็ดูน่ามองและน่าสนใจกว่าเยอะ เจ้าแจกันใบสีน้ำตาลสวยที่วางตกแต่ง มันอยู่กับผมมากี่ปีแล้วนะ


"หลานกำลังเสียมารยาทอีกแล้วนะดิมิทรี" ผมอยากแค่นเสียงเหอะใส่เธอ มารยาทที่ผมถูกฝึกฝนเฝ้าสั่งสอน ผมเทมันเอาไว้ตั้งแต่เดินหนีขึ้นบันไดมาแล้วอยากจะนิ่งเงียบและไม่สนใจ แต่ก็ทำไม่สามารถ รังสีกดดันจากคุณยายทำเอาผมจำใจต้องเบือนหน้าจากแจกันตรงมุมห้อง มาสบตาคู่สนทนาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้


"เธอ...ต้องไปอยู่กับพวกเขา"


ประโยคเสียงเนิบนาบที่บอก เหมือนกับแค่คุณยายสั่งให้ผมไปฝึกเรียนอะไรเพิ่มขึ้นสักวิชา ไม่ใช่การไล่ให้ไปอยู่ที่อื่น ไม่ใช่ประโยคที่กำลังผลักไสหลานที่เลี้ยงดูมาเกือบเจ็ดปี ผมพยายามใจเย็นให้สมกับที่ฝึกฝนมา แต่ในความเป็นจริงก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เมื่อน้ำตาตกในมันแสนจะปวดร้าว ความเสียใจแล่นขึ้นมาจุกที่อก กระบอกตาร้อนผ่าว
หรือที่เขาชอบเปรียบเทียบว่าตัวเองเป็นแค่หุ่น ทุกคนก็เห็นเป็นตามนั้น เป็นเพียงหุ่นเชิดที่จะชักไปนี้หรือชักไปทางนู่นได้ตามใจชอบ ไม่จำเป็นต้องคิดถึงหัวอกอะไรเจ้าหุ่นเชิดไร้ความรู้สึกนั่นหรอกใช่ไหมครับ


แต่ผมคงจะต้องบอกว่าผมคิดผิด และพวกเขาก็คิดผิดเช่นเดียวกัน
ผมยังไม่ใช่หุ่นไร้ใจอย่างสมบรูณ์แบบ เพราะหุ่นที่ไร้ความรู้สึกคงจะไม่เจ็บเจียนตายแบบนี้กระมั่ง


คนตะกูลนี้ยังมีหัวใจกันบ้างไหม
คุณยายมีหัวใจบ้างไหมนะ
ผม...มีหัวใจไหมนะ


ผมอยากโง่ลงกว่านี้อีกสักนิด จะได้เดาเรื่องราวไม่ออก ตั้งแต่คุณยายบอกฐานะของพวกเขา สีหน้าท่าทางของทั้งสองฝ่าย ผมก็รู้เสียแล้ว...


ผมกำลังจะต้องจากบ้านหลังนี้ไป


แม้ผมจะไม่ได้ชอบเป็นพิเศษ แต่ผมก็ผูกพันและคุ้นเคย มันเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตผมมาตั้งแต่เกิด ผมชินกับการตื่นมาในห้องกว้างและดำเนินชีวิตไปตามตารางที่ถูกกำหนด


แต่มันก็คงต้องเปลี่ยนแปลงไป


เมื่อผมกำลังจะเป็นหุ่นเชิดที่ถูกทอดทิ้ง น้ำตาที่แห้งเหือดมาหลายปีไหลหล่นลงเงียบๆ ผมไม่พูดอะไร และเธอก็ไม่พูดอะไรเช่นเดียวกัน นานทีเดียวผมจึงพยักหน้าตอบรับ ลุกขึ้นเตรียมไปเก็บของใส่กระเป๋า คุณยายดาเลียเป็นผู้หญิงเด็ดขาดและลงมือรวดเร็ว เมื่อเธอมาบอกผมอย่างนี้แล้ว สิ่งที่ผมต้องทำคือไปจัดการตัวเองให้เร็วที่สุด


"จะไม่ถามเหตุผลหน่อยหรือดิมิทรี" หญิงชราที่ผมคิดเสมอว่าเธอเปรียบดังแม่ เป็นครอบครัวไม่กี่คนที่ผมมี ฉุดรั้งแขนผมเอาไว้ ผมหันมาสบตาที่มักจะคมกล้า แต่ ณ เวลานี้กลับส่องประกายความอ่อนล้าและอาวรณ์ขึ้นมาชั่วแว่บหนึ่ง ก่อนจะจางหายไปอย่างรวดเร็ว


"ผมมีสิทธิ์ถามได้หรือครับ นึกว่าทำได้แค่รับคำสั่ง"

"อย่าประชดยาย หลานก็รู้ว่าการพูดจาประชดประชันไม่ทำอะไรให้ดีขึ้นมา"


ผมเม้นปากแน่น พยายามควบคุมเสียงไม่ให้สั่นและพูดโต้ตอบให้รู้เรื่อง แม้มันจะเป็นเรื่องยากลำบากก็ตามที
"แล้วต้องดีขนาดไหนหรือครับคุณยาย ถึงจะไม่ถูกโยนทิ้งไปมาแบบนี้ ไม่เป็นแค่สิ่งของที่ไม่เคยรับรู้อะไรกับเขาบ้างเลย ถ้าไม่ใช่วันนี้ คุณยายคิดจะบอกผมตอนไหนครับ ตอนที่ผมโตกว่านี้ หรือไม่บอกเลยจนกระทั่งผมตาย"


"หลานไม่ได้ถูกทิ้ง แต่สัญญาต้องเป็นสัญญา คนตะกูลชาโรนอฟเราไม่ผิดคำพูด หลานก็รู้...ศักดิ์ศรีของเราจะถูกทำลายเพราะผิดสัญญาไม่ได้"


สัญญาที่ผมไม่รู้ว่าคืออะไร แต่ผมคิดว่าหากคุณยายไม่พูดขึ้นมาจะดีเสียกว่า


"ชาโรนอฟ คำสัญญาของชาโรนอฟ หึ..."
ผมส่งเสียวหัวเราะแกนๆในลำคอ ผมได้ยินเสียงของตัวเอง มันแลดูน่าสมเพชเหมือนสัตว์ตัวน้อยที่หลงไม่มีผิด


"มันมีค่ามากกว่าความรู้สึกของผมใช่ไหมครับ...?" หญิงผู้สูงค่าดูชะงักกับคำที่ผมพูด แต่เจ้าตัวก็ไม่ได้ปฎิเสธอะไรออกมา น้ำคำปลอบโยน หรือถ้อยคำแก้ตัว ผมคงจะคาดหวังกับดาเลีย แอน ชาโรนอฟไม่ได้



"...ศักดิ์ศรีอันสูงส่งมีค่าให้รักษามากกว่าหัวใจและความรู้สึกของผมสินะครับ...ดีเหลือเกินที่ได้เกิดมาในตะกูลนี้"



ศักดิ์ศรี มันก็คือชื่อเล่นของทิฐิ
มันมีค่าอะไรหรือ ถ้าเรารักษาความรู้สึกของคนที่ตัวเองรักเอาไว้ไม่ได้
ถ้าเป็นอย่างนั้น ผมก็ไม่อยากมีหรอกศักดิ์ศรี...ของพรรค์นี้ ไม่จำเป็นเลยสักนิดเดียว



จู่ๆความจริงอันน่ากลัวที่ผมไม่เคยคาดคิด ไม่เคยนึกถึงมาก่อน ก็วูบขึ้นมาในความคิด


อา...หรือความจริง

มีแค่เพียงผมที่รักพวกเขาฝ่ายเดียว



น้ำตาที่หยุดไหลขึ้นมาตีตื้นอีกครั้ง ผมเงยหน้าขึ้นมองเพดาน ตัดสินใจยุติบทสนทนาด้วยการหันหลังออกมาอย่างเสียมารยาท หากเป็นตัวผมเมื่อวานก่อน คงจะต้องตำหนิตัวเองว่าไร้มารยาท ควบคุมตัวเองไม่ได้แน่ๆ แต่ตอนนี้ผมขอแค่ไปให้พ้นหน้าคนคนนี้ จะผิดมารยาทกี่ตำรากี่ร้อยกี่พันเล่ม...ก็ช่างหัวมันเถอะ



ผมเก็บเสื้อผ้าลงกระเป๋าเดินทางที่มักใช้เวลาเดินทางไปต่างประเทศกับคุณตาคุณยายบ่อยๆ เขาคงไม่ว่าอะไรหรอกมั่งครับถ้าผมจะเอาไปสักใบ ผมเก็บเสื้อผ้าไปแค่สองสามตัว หยิบหนังสือเล่มโปรดตัวเองไปสองสามเล่ม กวาดตามองห้องที่อยู่มาตั้งแต่จำความไม่ได้



นึกเสียดายประโยคที่ผมถามออกไป แท้จริงแล้ว มีแค่คำถามเดียวที่จะอยากจะรู้



รักผมบ้างไหมครับคุณยาย...
หรือเห็นค่าผมแค่เป็นผู้สืบทอดของชาโรนอฟ


แค่นิดเดียวก็ได้...รักผมบ้างไหมครับ







เมื่อผมออกมาจากห้องแต่งตัว คุณยายก็ออกไปแล้ว ทิ้งไว้เพียงกระดาษโน๊ตที่มีลายมือตวัดสวย ตัวอักษรเรียงเป็นคำสั่งบอกผมให้มาพับกันที่ห้อง คงจะพบเพื่อบอกลาตามมารยาทล่ะมั้งครับ ผมเดินถือกระเป๋าเดินทางใบเล็กของตัวเองลงบันได ปฎิเสธความช่วยเหลือของเมดที่ดูแล ตรงเข้าไปที่ห้องรับแขกที่เพิ่งออกมาอีกครั้ง


ในห้องมีแค่คุณตาและคุณยายกับแขกที่กลายมาเป็นพ่อแม่ของผม มองเลยออกไปเห็นเด็กสี่คนกำลังเล่นกันอยู่ข้างนอก ผมนั่งลงเก้าอี้ที่เป็นเอกเทศจากโซฟาทั้งสองที่พวกเขานั่งหันหน้าเขาหากัน บรรยากาศดูอบอวลไปด้วยความเครียด ใบหน้าของแต่ละคนดูแตกต่าง ความเงียบทำงานได้ดีจนสตรีเจ้าของบ้านเกริ่นเปิดเรื่องคุย


"ถ้ามากันพร้อมหน้าแล้ว...ฉันก็ขอพูดข้อตกลงเสียหน่อย ถ้าพวกเธอจะพาตัวดิมิทรีไปอยู่ด้วย"


อา...ความรู้สึกเหมือนตัวเองเป็ดเป็ดที่ถูกแขวนคออยู่ในตู้ รอคนมาเลือก เพื่อหั่นตัดชิ้นส่วนที่ต้องการใส่กล่องใส่ถุงห่อกลับบ้าน นี่มัน...แย่จริงๆเลยนะครับ กำลังตกลงราคาซื้อขายผมกันอยู่หรือครับ ที่เรียกผมมาก็เพื่อโชว์สินค้าหรืออย่างไร


ไม่เคยคิดว่าตัวเองขี้แงมาจึนถึงวันนี้ วันที่เจ้าหยุดน้ำใสร้อนๆตั้งท่าจะร่วงหล่นลงมาได้ทุกเมื่อ


"ค่อยพูดทีหลังไม่ได้หรือคะคุณแม่...อย่างน้อยก็..." ผู้หญิงที่ยังดูอ่อนเยาว์เกินกว่าจะเป็นมารดาของเด็กถึงห้าคนเอ่ยเสียงลังเล เพิ่งจะมาคิดถึงหัวจิตหัวใจผม ก็อยากบอกเธอเหลือเกินว่าคงไม่ทัน...


"ไม่เป็นไรครับ เชิญตามสบาย คิดเสียว่าผมไม่ได้นั่งอยู่ตรงนี้"


"ดิมิทรี..." เสียงที่เรียบตึง เป็นสัญญาณเตือนอันตรายที่บ่งบอกว่า นายหญิงของคฤหาสน์รั้วสีชาดกำลังไม่พอใจในความเสียมารยาทของผม เสียงเรียบที่เข้มข้นไปด้วยอำนาจ หากคนจิตใจบอบบางได้ฟังอาจจะถึงขั้นเข่าทรุด เป็นเสียงที่ในอดีต ผมจะระมัดระวังให้โทนเสียงนี้ไม่ออกมาจากปากคุณยายที่เคารพ แต่ตอนนี้ผมทำเพียงหยิบหน้ากากที่แตกสลายขึ้นมาสวม ปั้นแต่งรอยยิ้มเรียบไม่สนใจอะไร


"ปกติเขาไม่ได้นิสัยแบบนี้ ต้องขอโทษด้วย แต่ฉันยืนยันว่าเขาถูกเลี้ยงมาเป็นอย่างดี"


"เขาเป็นเด็กดีที่พวกเราภูมิใจ" คุณตายิ้มพูดขัดภรรยาของตัวเองและหันมาสบตากับผม เอาล่ะ อย่างน้อยผมก็ได้รับขวัญกำลังใจกลับคืนมาบ้าง จากสายตาของบรุษชราที่ทอดมองมาอย่างอ่อนโยน


"ไม่เป็นไรค่ะ หนูรู้ว่าคุณแม่จะเลี้ยงเขามาเป็นอย่างดี...ในแบบไหน ถึงได้รีบพยายามมารับเขาขนาดนี้ไงคะ"


คุณแม่ของผมยิ้มหวานจ๋อย ทว่ารอยยิ้มหวานดูส่งไปไม่ถึงดวงตา อา...ผมว่าผมเห็นประกายแสงไฟแล่นปะทะกันจากสายตาของแม่ลูกนะครับ ท่าทางว่าพวกท่านทั้งสองคนจะ...ไม่ค่อยถูกกันเอาเสียมากๆ


"ขนาดพยายามตั้งขนาดนั้น ก็ยังใช้เวลาถึงหกปี...บางทีฉันก็ไม่แน่ใจว่าเธอจะมีคุณสมบัติพอ ที่จะพาหลานฉันไปดูแลเลยนะเอเลน..." คุณยายยกยิ้มมุมปาก น้ำเสียงปกติแต่แฝงไว้ด้วยความดูถูกและกดอีกฝ่ายให้ดูต่ำเด่นชัด คุณแม่เหมือนจะสบถในลำคอเบาๆ แต่ก็ยังคงรอยยิ้มไว้ได้แล้วใช้ข้อศอกกระตุกสามีของตัวเอง เหมือนกับส่งไม้พลัดให้อีกคนต่อกรต่อไป


"ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ พวกผมสามารถดูแลเขาได้เป็นอย่างดีแน่ๆครับคุณแม่ ที่พวกเราใช้เวลานานขนาดนี้ก็เพื่อที่จะเป็นเสาหลักที่มั่นคงพอ ที่จะไม่สั่นคลอนต่อพายุใดๆทั้งสิ้น ให้เขาได้พึ่งพิงตลอดไป" 

"หึ...กรุณาอย่าให้เกียรติกันขนาดเรียกฉันว่าคุณแม่เลยนะคะ มิสเตอร์เซอร์กีย์ เรียกดิฉันว่าดาเลียเถอะค่ะ"


เซอร์กีย์ นามสกุลนี้ผมคุ้นหู เคยตามข่าวคราวในแวดวงธุรกิจมาบ้าง เหมือนจะเป็นตะกูลอภิมาเศรษฐีหน้าใหม่ไฟแรงที่เพิ่งเกิดขึ้นไม่นาน ได้ยินมาว่าเป็นหมาล่าเนื้อหิวโหยที่คอยไล่ล่ากว้านซื้อธุรกิจจำนวนมาก ไม่นึกว่าคนดังคนนั้นจะเป็นบิดาของตัวเองเลยจริงๆ...


ดูท่าจะไม่ใช่แค่คุณแม่ แต่กระทั่งลูกเขยอย่างคุณพ่อ คุณยายก็ไม่ยอมรับ...คุณพ่อดูคันปากยุบยับอยากจะเถียงแต่ก็ทำได้แค่เปิดกระเป๋าหนังสี่เหลี่ยมใบใหญ่ขึ้นมาวางบนโต๊ะหลายใบ พร้อมกับเอกสารหลากหลาย


"นี่เป็นเงินสดจำนวนสองร้อยล้านดอลลารส์ที่คุณแม่เคยปรานีให้พวกผมยืมไป ที่ให้ความช่วยเหลือในยามลำบาก พวกเราต้องขอบคุณคุณแม่มากครับ พวกเราซึ้งใจกันจริงๆ...ส่วนนี่เป็นเช็คเงินสดอีกสองร้อยล้านดอลลารส์ ถือว่าเป็นดอกเบี้ยที่พวกผมยืมไปนะครับ เอกสารพวกนี้คือเอกสารโฉนดที่ดินและทรัพย์สินทั้งหมดของผมกับเอเลน และตอนนี้ผมก็มีแผนกำลังขยายการลงทุนไปที่ประเทศไทย"


คุณพ่อที่ทำเมินไม่สนใจสายตาเย็นเหยียบของคุณยาย และยังคงเดินหน้าเรียกคุณยายว่าแม่ต่อไปอย่างดื้อดึง ...ช่างเป็นคนที่กล้าและบ้าดีจริงๆเลย ความไม่พอใจของชาโรนอฟต้องมีที่ลง เขาไม่เคยได้ยินประโยคนี้หรือยังไงกัน


คุณยายทำเพียงเหลือบสายตาลงมองเพียงเสี้ยววิ รอยยิ้มพึงพอใจปรากฏขึ้นช่วงขณะหนึ่งก่อนจะสลายหายไป


"เก็บเศษเงินของคุณไว้เถอะค่ะคุณเซอร์กีย์ ชาโรนอฟเราไม่ต้องการทรัพย์สมบัติไปมากกว่านี้ แค่นี้ก็ลำบากธนาคารต้องวุ่นวายช่วยกันดูแลจะแย่แล้ว และเท่าที่ฉันรู้มา ฐานะของพวกคุณตอนนี้อยู่ในเกณฑ์พอผ่านเท่านั้นสำหรับดิฉัน และเงินจำนวนสี่ร้อยล้านนี้ก็ถือว่ามากพอที่จะเป็นเงินสามในสิบของพวกคุณเลยไม่ใช่หรือคะ เก็บไว้เถอะค่ะ"



ผมไม่เคยได้ยินคุณยายพูดจาเชิงโอ้อวดชัดเจนขนาดนี้มาก่อน มือเรียวประสานกันบนหน้าตักพลางเคาะนิ้วลงที่แหวนตราประจำตะกูลบนนิ้วนางข้างขวา นัยน์ตาคมกริบสบตาตรงกับอีกฝ่ายไม่หันหนี ท่าทางของผู้ชนะที่เหนือกว่ามากดั่งพญามังกรก้มมองลงต่ำเหยื่อตัวจ้อยที่ไม่อาจเทียบเคียง...เห็นได้ชัดเจน จำนวนเงินพันกว่าล้าน ไม่ได้ทำให้หญิงชราตกใจ ซ้ำยังทำได้แค่พอผ่านเกณฑ์เท่านั้น



"อย่างน้อยก็ผ่านใช่ไหมล่ะครับ"


"ค่ะ แต่ฉันก็มีข้อตกลงเพิ่มเติม หากคุณจะรับหลานคนเดียวของดิฉันไปดูแล..."


อา...ดูท่าว่าเจ้าลูกลิงสี่ตัวข้างนอกคุณยายไม่นับเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขนะครับ คุณยายปัดเอกสารบนโต๊ะออกอย่างไม่สนใจ หยิบแก้วน้ำขึ้นดื่ม ก่อนจะวางลงช้าๆ เสียงกระทบกันของกระเบื้องชั้นดียังดูน่าฟัง ท่วงท่าสง่างามและน่าเกรงขามสมเป็นอาจารย์ฝึกทหาร แผ่นหลังที่เหยียดตรงผ่อนลงเล็กน้อย ก่อนจะพูดด้วยเสียงที่เหมือนเรื่องนี้ไม่ใช่สาระสำคัญอะไร



"ดิมิทรี จะยังเป็นชาโรนอฟต่อไป ไม่มีเปลี่ยนเป็นเซอร์กีย์...แต่คุณและลูกๆที่เหลือของคุณ ต้องละทิ้งเซอร์กีย์มาเป็นชาโรนอฟเช่นเดียวกัน...ดิฉันไม่ได้ขอมากเกินไปใช่ไหมคะ"




เกิดความเงียบสงัดขึ้นมา ใบหน้าที่มีรอยยิ้มของคุณพ่อและคุณแม่หายไป


เท่าที่ผมเคยได้รู้ เซอร์กีย์มีลูกชายเพียงคนเดียว คือ โจวิช เซอร์กีย์ ตะกูลผู้เคยเป็นขุนนางมาก่อน เป็นญาติห่างๆของราชวงศ์ผู้ครอบครองแผ่นดินในหลายร้อยปีที่ผ่านมา หากกล่าวถึงเซอร์กีย์ ก็เป็นตะกูลที่เรียกได้ว่าเป็นตะกูลเก่าแก่ที่เคยทรงอำนาจในสมัยก่อน รุ่งเรืองถึงขีดสุดเมื่อนานมาแล้ว ก่อนจะถูกกวาดล้างในช่วงรัชสมัยใหม่เพราะเข้าข้างผิดฝั่งผิดฝ่าย ทำให้เซอร์กีย์จางหายไปตามกาลเวลา เรียกได้ง่ายๆว่าเป็นผู้รากมากดีที่ตกต่ำ ต่างกับชาโรนอฟที่ยังเป็นที่นับหน้าถือตาถึงในยุคปัจจุบัน



แม้จะล่มสลายไปแล้ว แต่แน่นอนว่าความทรนงตนและความภาคภูมิในตะกูล ในสายเลือดย่อมมีมากและเข้มข้นอยู่ในทุกลมหายใจ ขึ้นชื่อว่าตะกูลเก่าแก่ที่มีเรื่องราว หยาดโลหิตทุกเมล็ดที่หมุนเวียนในร่างกาย เจ้าของย่อมหวงแหน และจงรักภักดีกว่าสิ่งอื่นใด



การที่คุณยายยื่นข้อเสนอเช่นนี้ มันไม่ใช่แค่เพียงการเปลี่ยนนามสกุลง่ายๆแล้วก็จบลง คำขอเช่นนี้ เหมือนกับการให้คุณพ่อละทิ้งตะกูลของตนเอง หักหลัง หันหลังให้กับทุกอย่าง บอกลาทุกเรื่องราวที่สืบทอดต่อกันมา ลบล้างตัวตนที่เป็นตลอดมา สวมบทบาทใหม่ เปลี่ยนความจงรักมาภักดีกับสายเลือดใหม่



ไม่ใช่แค่จาง แต่เซอร์กีย์จะหายไป



ไม่ใช่คำขอที่มากเกินไป
แต่เป็นคำขอที่ดูเป็นไปไม่ได้ที่จะตกลงตอบรับเลยต่างหาก...


ความเงียบโรยตัวอยู่นาน คุณยายที่กระตุกยิ้มราวกับเป็นผู้ชนะของเกม ก็ทำท่าจะยุติการละเล่นฆ่าเวลายามบ่ายนี้ลง


"หากทำให้กันไม่ได้...ก็กลับไปเถอะค่ะ หลานชายคนเดียวของดิฉัน ฉันเลี้ยงดูเองได้"


ความไม่พอใจของชาโรนอฟต้องมีที่ลง...ไม่ใช่คำพูดในนิทานปรัมปรา เพราะเป็นเรื่องจริงที่ถูกพิสูจน์มาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน คุณพ่อเม้มปากแน่น ดูท่าทางกดดันจนเสียการควบคุมตัวเอง คุณแม่ก็เช่นกัน


ผมว่าผมรู้คำตอบนะ แน่นอนอยู่แล้ว...ความภูมิใจทั้งชีวิต รวมไปถึงความภาคภูมิใจของพ่อแม่ของตัวเองและยังไม่นับรวมบรรพบุรุษ จะมาถูกโยนทิ้งไป เพียงเพราะลูกชายที่ตัวเองไม่เคยเจอหน้า ไม่เคยอุ้มชูเลี้ยงดู ไม่เคยได้ผูกพันได้อย่างไร...


เป็นคุณยายก็คงไม่ยอม ไม่มีทางยอม
และคุณพ่อก็คงไม่ยอมแลกเช่นเดียวกัน


"ตกลงครับ ผมจะเข้ามาเป็นชาโรนอฟ...พวกเราทุกคนจะเป็นชาโรนอฟ"


ผมหันควับไปมองผู้นำหนึ่งเดียวและคนสุดท้ายของเซอร์กีย์...เขาต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ ทำไมถึงยอม ผมที่ถูกสั่งสอนมาตลอด ถูกพูดกรอกหูมาตลอด ตัวอักษรต่อท้ายชื่อมันสำคัญมากขนาดไหน ว่าตะกูลสำคัญมากกว่าชีวิตเพียงไร  นี่เขากำลังตอบตกลงทำลายตะกูลของตัวเองอยู่นะ เขากำลังจะปฎิเสธสิ่งที่บรรพบุรุษสละชีวิตเพื่อรักษาและพยายามคงต่อชื่อเสียงเอาไว้ ในสายตาผมตอนนี้เหมือนกับมองคนฟั่นเฟือนสติไม่ดี ที่กำลังหันหน้ามาสบตาที่เบิกค้างกว้างของผม พร้อมส่งรอยยิ้มไร้ความลังเลเด็ดเดี่ยวมาให้



"เพราะไม่มีอะไรสำคัญเทียบเท่ากับลูกชายของผมอีกแล้ว การได้เขามาอยู่ด้วยกันเป็นเรื่องสำคัญที่สุด"



น้ำเสียงอ่อนโยนอันหนักแน่น เหมือนประแจที่งัดแงะประตูที่ปิดตายในหัวใจของผมให้สั่นคลอนและอ้าแง้มออก


คุณยายแค่นเสียงหัวเราะเล็กน้อย แต่รอยยิ้มติดมุมปากก็ดูพอใจกับคำตอบตกลงที่แสนเด็ดเดี่ยว


"ดี...ดีมากค่ะคุณเซอร์กีย์ ภายในหนึ่งอาทิตย์ ไปจัดการให้เรียบร้อยเสียนะคะ แล้วก็ดิฉันคงไม่ไปเบียดเบียนเงินอันน้อยนิดของพวกคุณ ด้วยการให้มาเจียดใช้จ่ายเลี้ยงดูหลานของดิฉันหรอกค่ะ เงินทุกบาทของเขาจะถูกใช้จ่ายด้วยทรัพย์สมบัติของชาโรนอฟ และดิฉันคงต้องขอบอกเอาไว้เสียก่อน ว่าเงินทุกสตางค์ ที่ดินทุกผืน ทรัพย์สินทั้งหมดของชาโรนอฟ...คนอื่นไม่มีสิทธิ์แตะต้อง แม้จะเข้ามาร่วมเป็นหนึ่งในชาโรนอฟก็ตาม"



คุณยายหันหน้ามาสบตาผม



"แต่จะมีเพียงดิมิทรี หลานชายคนเดียวของดิฉัน...เป็นผู้มีสิทธิ์ขาดแต่เพียงผู้เดียว"



ผมตกตะลึงและตกใจ ไม่นึกว่าเมื่อผมจากไปอยู่กับคุณพ่อคุณแม่แล้ว คุณยายจะคงให้ความเป็นชาโรนอฟกับผมอยู่ ผมนึกว่าเมื่อเขาได้หุ่นเชิดตัวใหม่อย่างคุณพ่อ ก็จะโละทิ้งผมไป...



แต่ไม่ใช่...




"ดิมิทรีเกลียดโอเปร่า แต่เขาชอบฟังดนตรีคลาสสิค เขาไม่ชอบวันพฤหัสเพราะตอนเด็กๆออกเสียงคำนี้ไม่ได้ อาหารที่เขาโปรดปรานคืออาหารที่เป็นจำพวกต้ม นึ่ง เขาเกลียดอาหารทอด และอาหารรสหวาน พวกเธอจะให้ขนมเขาไม่ได้ เพราะเขาไม่ชอบ ดิมิทรีไม่มีปัญหาเรื่องการทานผัก แต่เขาชอบทานอาหารไม่ตรงเวลา พวกเธอต้องใส่ใจดูแลว่าเขาทานอาหารครบทุกมื้อไม่ข้ามผ่านมื้อไหนไป"


หญิงชราหยิบแฟ้มเอกสารขึ้นมาวางแทนที่เหล่าโฉนดที่ดินที่เธอปัดทิ้งอย่างไม่ใยดี ในกระดาษหลายแผ่นนั้นเขียนสิ่งที่ผมชอบและผมไม่ชอบ บันทึกนิสัย เหตุการณ์ รายละเอียดทุกอย่างเกี่ยวกับตัวผม ชัดเจนเสียแม้แต่บางเรื่องผมยังไม่รู้ตัวเอง บ่งบอกว่าผู้ที่เขียนต้องเฝ้าสังเกตุ เฝ้ามองดู และใส่ใจทุกรายละเอียดขนาดไหน ไม่ปล่อยตก ไม่ปล่อยให้คลาดผ่านแม้เพียงนิดเดียว


ลายมือบรรจงตั้งใจเขียนนั้น...เป็นลายมือเดียวกันกับบนกระดาษโน๊ตที่สั่งให้ผมลงมาข้างล่าง...



"ห้องของเขาต้องใหญ่โตพอที่จะมีห้องสมุดส่วนตัว เขาเป็นนักสะสมหนังสือตัวยง พวกเธอห้ามขัดใจเขาในเรื่องนี้ เตียงนอนของเขาห้ามนุ่มเกินไป ไม่งั้นเขาจะตื่นขึ้นมากลางดึก ผ้าที่ใช้ต้องเป็นผ้าที่ทำจากขนสัตว์เทียมเท่านั้น และเขาไม่ชอบสัตว์ทุกชนิด บ้านของเธอต้องห้ามเลี้ยงหมาหรือแมว แม้กระทั่งปลาก็ห้ามเลี้ยงในบ้านเด็ดขาด เขาไม่ชอบให้ใครเขาไปยุ่มย่ามในพื้นที่ส่วนตัว บอกลูกของพวกเธออย่าเข้าไปเพ่นพ่าน ดิมิทรีเกลียดอากาศร้อน จงมั่นใจว่าพวกเธอติดเครื่องปรับอากาศเยอะเพียงพอ ในฤดูร้อนเขาจะหงุดง่ายเป็นพิเศษ ต้องใจเย็นกับเขารู้ไหม"



คุณยายไม่ใช้ผู้หญิงพูดเก่ง ประโยคยาวๆที่เธอเคยพูดมักจะจบลงภายในสิบวินาที แต่ ณ เวลานี้ ท่านกลับร่ายยาวเรื่องของผมออกมาไม่หยุด เรื่องที่ผมคิดว่าท่านไม่รู้ เรื่องที่ท่านไม่เคยสนใจ กลับไหลพรั่งพรูออกมา


สีหน้าจริงจัง เหมือนกับกำลังบอกถึงแผนการสำคัญอย่างยิ่งยวดขนาดที่จะทำให้ชาติล่มสลายได้ หากคุณพ่อคุณแม่ไม่ยอมทำตาม น้ำเสียงเข้มจัด ชัดเจน ออกเสียงคำสั่งที่ไม่ยอมให้ใครฝ่าฝืน



"ห้ามบังคับเขาในเรื่องการเรียน ทุกๆอย่างให้เขาตัดสินใจเอง พวกเธอมีสิทธิ์แค่ชี้แนะเท่านั้น ถ้าเขาป่วยฉันต้องรู้ ถ้าเขาได้รับบาดเจ็บฉันต้องรู้ ถ้าเขาไม่สบายใจฉันยิ่งต้องรู้ ฉันจะโทรไปเช็คทุกๆสามวัน ปกป้องเขา อย่าให้ใครรังแกเขาได้ ใส่ใจเขา...ดูแลเขาให้ดี"



"รายละเอียดทุกอย่างอยู่ในแฟ้มนี้ นี่ไม่ใช่ข้อเสนอที่พวกเธอจะเลือกว่าทำหรือไม่ทำ มีแต่ต้องทำเท่านั้น...ถ้าเกิดว่าทำไม่ได้ ก็ให้พาเขามาส่งคืนฉัน หรือแค่โทรมาบอก ฉันจะไปรับเขากลับมาเอง "



หญิงชราพอเอ่ยจบ ก็เลิกสนใจแขกของเธอ
เธอหันมามองผม ขยับเว้นที่ตรงกลางรอ ขยับมือกวักเรียกให้ผมเข้าไปหา



"มานั่งนี่สิดิมิทรี..."




น้ำเสียงอ่อนลงของคุณยาย พาลเอาความโกรธของผมมอดดับลง น้ำเสียงที่ไม่เข้มงวดของดาเลียแอน หายากเสียยิ่งกว่าเข็มในมหาสมุทร ผมยอมไปนั่งตรงกลางระหว่างหญิงชราและชายชรา ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่พวกท่านแก่เฒ่าไปมากขนาดนี้ มือที่เคยดูเข้มแข็งและแข็งแกร่ง มาวันนี้ดูอ่อนแรงลงไปมาก มือที่เคยฟาดผมเพราะทำผิดมานับครั้งไม่ถ้วนถูกลูบลงบนแก้มที่เปียกชื้นของผม สัมผัสอ่อนโยนที่น้อยครั้งนักที่คุณยายจะมอบให้




"ชื่อของเธอ...ฉันเป็นคนตั้งให้" เสียงแหบที่มักจะเต็มไปด้วยความเข้มแข็งอยู่เสมอดูอ่อนแอ เรื่องราวที่ผมไม่เคยรู้ ถูกคุณยายบอกเล่าออกมา ด้วยน้ำเสียงที่ผมไม่เคยได้ยินมาก่อน มันเป็นน้ำเสียงที่ทำทำนบน้ำตาผมพังทลาย



"ดิมิทรี...ดิมิทรีมีความหมายว่าโลกของคนรัก...เป็นโลกทั้งใบของคนที่รัก"



"ในอนาคต...ไม่ว่าจะเป็นแค่วินาทีข้างหน้า หรือชั่วโมงหน้า หรือวันไหนๆ ถ้าหากเขาดูแลหลานไม่ดี ก็กลับมาบ้านเรา ไม่ต้องกังวลหรือคิดมากหากจะกลับมา ประตูของที่นี่เปิดต้อนรับเสมอ ละลึกไว้ว่าที่นี่จะเป็นบ้านของหลาน เป็นบ้านของหลานตลอดไป"



ดวงตาเฉดสีเดียวกัน หากแต่ดูซีดจางกว่ามากเพราะความชราวัย ดูสั่นคลอนและเคลือบเงาน้ำใส จนกลายเป็นกระจกสะท้อนใบหน้าของผมที่เลอะเทอะไปด้วยหยาดน้ำตา สองสีที่ประสาน เป็นครั้งแรกที่ประตูในใจของคุณยายถูกเปิดเผยออก ให้ผมได้เข้าไปข้างในและรับรู้ความรู้สึกที่แท้จริง



"ถ้าเขาร้ายใส่ก็มาฟ้องยายได้ ยายจะไปรับเรากลับมาเอง หรือถ้าหากมีใครแกล้ง ถ้าหากมีใครมารังแกก็มาฟ้องยายได้ มีเรื่องอะไรก็มาบอกยายได้เสมอรู้ไหม ไม่ว่าเราจะอยู่ที่นี่ หรือที่ไหน ยายก็จะไปหา จะไปช่วยเราเสมอ"



"ไปอยู่ที่นู่น หลานต้องดูแลรักษาตัวเองให้ดี อย่าให้ใครเขาว่าเอาได้ ต้องทานอาหารที่มีประโยชน์ ต้องทานอาหารให้ครบทุกมื้อ ทานให้ตรงเวลา ใช้ชีวิตอย่างรอบคอบและหมั่นหาความรู้ ซนบ้างเกเรบ้าง แต่ต้องใช้ชีวิตอย่างระมัดระวัง จงเติบโตให้สมกับที่ยายเลี้ยงดูเธอมาอย่างภาคภูมิใจ"



ฝ่ามืออบอุ่นแนบลงมาที่สองข้างแก้มของผม นิ้วเรียวขยับมาช่วยเกลี่ยหยดน้ำตาออก แต่แม้จะไล่หยาดน้ำตาเพียงไร มันยังคงไหลออกมาไม่ยอมหยุด การกระทำแสนอ่อนโยนยิ่งกระตุ้นให้กระบอกตาร้อนผ่าว แต่แม้น้ำตาจะบดบัง ผมก็เห็นชัด ดวงตาหญิงชราฉายประกายความอาดูร อาวรณ์ รอยยิ้มอ่อนโยนประทับบนดวงหน้าที่ผมเคารพรักมาโดยตลอด



คุณยายเงียบไปชั่วครู่ เสียงที่ดูสั่นเล็กน้อย สานต่อประโยคสุดท้าย



"ด้วยเกียรติของชาโรนอฟ...หลานจะเป็นดิมิทรีของยายตลอดไป..."




อ้อมกอดที่รวบผมเข้าไปกอด ฝ่ามืออุ่นที่ลูบหลังปลอบโยนผมที่ร้องไห้จนสะท้านไปทั้งตัว ช่างอ่อนโยนและแสนคุ้นเคย เหมือนภาพในอดีตเมื่อเนิ่นนานมาแล้ว ย้อนกลับคืนมา ในวันที่ผมหกล้มแล้วร้องไห้ ก็ได้อ้อมกอดนี้ที่คอยพยุงและปลอบโยน



ผมเกลียดที่ตัวเองเข้าใจทุกอย่างได้ดี ผมเกลียดที่ตัวเองเข้าใจเหตุผลของคุณยายที่ยินยอมให้ผมไป เพียงเพราะท่านชราลงในทุกๆวัน ท่านห่วงกลัวผมจะไม่มีคนคอยดูแล ผมอยากจะแย้ง อยากจะเถียง ว่าผมต่างหาก อยากให้เป็นผมต่างหากที่ได้มีโอกาสดูแลพวกท่านกลับคืนบ้าง



แต่ดาเลีย แอน ชาโรนอฟเป็นปีศาจ เธอไม่ยอมให้หลานชายเพียงคนเดียวมาติดอยู่ในหลุมที่ไม่สามารถก้าวไปไหนได้ เธอเลือกจะหาตัวแทน และมอบสิ่งที่มีค่าที่สุดให้แก่ดิมิทรีของเธอ อิสระ คือสิ่งที่เธอมอบให้กับผม อิสระที่จะสามารถใช้ชีวิตอย่างไรก็ได้ ไม่ต้องแบกรับภาระอันหนักอึ้งของชาโรนอฟอีกต่อไป



ช่างเป็นปีศาจแสนเผด็จการและเด็ดขาด ทำทุกวิถีทางและตัดสินใจโดยไม่รอคำสมยอมจากผม



ช่างเป็นปีศาจที่ไร้หัวใจเหลือเกิน เป็นปีศาจที่ไร้หัวใจเพียงเพราะเธอได้มอบทั้งหมด...ให้แก่ผมแล้ว






ในวันที่ผมสงสัยว่าท่านมีความรักให้แก่ผมบ้างไหม


ผมก็ได้รู้


คำตอบที่เกินความคาดหมายก็ถูกบอกกล่าว


ดิมิทรีคือชื่อที่คุณยายเรียกผมมาตลอด


ถูกเรียกมาตลอดว่า ดิมิทรี ดิมิทรี ดิมิทรี


ถูกบอกมาตลอด ผ่านชื่อที่ท่านตั้งให้


ถูกบอกว่าสำคัญมากแค่ไหน และรักมากเพียงใด ผ่านชื่อของตัวเองทุกครั้งที่ถูกเรียกขาน


ดิมิทรี โลกของคนรัก


เป็นโลกทั้งใบของคนที่รัก





เป็นโลกทั้งใบของเธอ ดาเลีย แอน ชาโรนอฟ



คุณยายของผมเอง





















end 17 .
#เพื่อนผู้ปกครอง

' ดิมิทรี คำบอกรักที่ไม่มีคำว่ารัก '

โซเฟียริน
zofiarin lll moore

























ออฟไลน์ ZOFIARIN

  • ▇ โซเฟียริน • อวยพระเอก ▇ Whәи ɴᴏᴛʜɪɴɢ is یuгe , eveяything is possißle ♡
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 125
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-1
    • Twitter

ตอบคุณ Meen2495
- แฮ่ ถ้าช่วยให้อ่านได้ลื่นขึ้นก็จะดีใจมากเลยค่ะ
ถือว่าช่วยเราตัดสินใจได้เยอะเลยค่ะ ว่าอดีตของหมูจะเป็นตอนพิเศษหรือลงในเนื้อเรื่อง
ขอบคุณมากๆเลยเช่นกันค่ะ ขอบคุณมากนะคะ ^ ^///

ตอบคุณ กาแฟมั้ยฮะจ้าว
- m(_ _)m ขอบคุณมากๆเลยค่า

ตอบคุณ สีหราช
:L1: :L1: :L1:

ตอบคุณ EoBen
- ถ้าอ่านแล้วช่วยให้เพลินได้ ทางนี้ก็ดีใจมากค่ะ หมูหย็องเป็นพวกสองมาตราฐานชัดเจนค่ะ ก๊ากกก

ตอบคุณ darling
- ตอนนี้เทมกำลังงอแงเพราะบทหายค่ะ ฮาาาาาา ให้กำลังใจน้องกันนะคะ ♥








ออฟไลน์ Meen2495

  • is allergic to drama.
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 364
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-4
ยิ่งกว่าอ่านลื่นขึ้นเลยล่ะค่ะ
แต่แบบอ่านได้อย่างราบรื่นใจ และแสนจะเข้าใจเลยว่า
ทำไมพี่หมูเป็นอย่างนี้
แข็งแกร่ง แต่อ่อนโยน (แม้จะกับน้องเทมคนเดียว อิอิ)
และก็เข้าใจเวลาพี่หมู "มอง" คนในครอบครัว และ "คิดในใจ"

ดีงามมากค่ะ
โดยเฉพาะตอนล่าสุด .. พี่หมูโคลนนิ่งคุณยายมานี่เอง

ชอบค่ะชอบ ชอบมากถึงมากที่สุด

และนั่งรอน้องเทมต่อไปค่ะ

ออฟไลน์ suikajang

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 813
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-0
ขอบคุณค่ะ ดีใจที่กดเข้ามาอ่าน สนุก ยิ่งช่วงน้องเทมโดนรังแก น้ำตาไหลพรากเลย
แล้วมาอ่านความเป็นดิมิทรีอีก โหยยย.... อ่านตอนแรกนึกว่าจะไม่มีเครียด แต่ก็สนุกมากคะ
รอตอนต่อไป ขอให้ความสดใสน้องเทมที่เข้ามาในชีวิตหมูหยองคงอยู่ตลอดไปจ้า
          :mew1:   :pig4:   :L1:

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0

ออฟไลน์ สีหราช

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 320
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +200/-1

ออฟไลน์ ZOFIARIN

  • ▇ โซเฟียริน • อวยพระเอก ▇ Whәи ɴᴏᴛʜɪɴɢ is یuгe , eveяything is possißle ♡
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 125
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-1
    • Twitter


18






หลังจากผมร้องไห้จนพอใจในอ้อมกอดที่โหยหา คุณยายก็ดุผมเบาๆว่าขี้แง แต่มือของคนเดียวกันที่ส่งเสียงดุ ก็ส่งผ้าเช็ดหน้าของเธอมาให้ผมได้ซับน้ำตา พอเห็นว่าผมเลิกสะอื้น ก็ขอตัวแยกกลับขึ้นห้องไปก่อน คุณยายไม่ได้เดินออกมาส่งผม แต่ครั้งนี้ผมกลับไม่ได้น้อยใจหรือนึกโกรธ กลับกันคือมีรอยยิ้มติดริมฝีปาก ผมกลั้นยิ้มจนเมื่อยแก้ม เข้าใจว่าดาเลียแอน หญิงสาวผู้สูงศักดิ์และเย่อหยิ่งกำลังเก้อเขิน ที่แสดงอีกด้านของเธอให้ผมรับรู้


คุณตาช่วยถือกระเป๋าพาผมมาที่รถตู้สีดำคันใหญ่ พวกเราบอกลากันเล็กน้อย คุณตาเข้ามากอดผม บอกให้ผมดูแลตัวเองดีๆและมอบกระเป๋าเอกสาร และกระเป๋าสตางค์ที่เต็มไปด้วยบัตรเครดิตมากมายใส่มือเล็กของผม


"ดูสิ ยายของหลานเอาแต่อาย จนลืมให้ของสำคัญเสียได้ เอกสารพวกนี้เป็นหลักฐานที่แสดงกรรมสิทธิ์ของหลานนะดิมิทรี เก็บเอาไว้ให้ดีๆ ไว้ตาจะบอกทนายให้ส่งข้อมูลทุกอย่างไปให้เราอีกครั้ง ส่วนบัตรพวกนี้เอาไว้ใช้จ่ายเวลาหลานต้องการอะไร แล้วนานๆครั้ง...ตากับยายจะไปเยี่ยมนะ"


"สัญญาไหมครับ ด้วยเกียรติของชาโรนอฟ?"


"ด้วยเกียรติของชาโรนอฟ" คุณตาที่ย่อตัวลงสบตาเข้ากับผม ผมกอดคอท่านเอาไว้ นึกเสียใจที่ก่อนหน้านี้ไม่เข้าไปพูดคุยกับทั้งสองให้บ่อยครั้ง ไม่สนิทกันให้มากกว่านี้ นึกโทษตัวเอง ที่ไม่ได้นึกมองให้ดี ว่าที่แท้เกราะอันดูเยือกเย็นของชายชราและหญิงชรา คือความไม่รู้ที่จะเข้าหาหลานชายวัยเจ็ดขวบยังไง

ผมจะไม่ปล่อยให้ความผิดพลาดนี้ไม่ถูกแก้ไข


"ผมจะโทรมาหาทุกอาทิตย์ รับสายผมด้วยนะครับ แล้วก็ดูแลตัวเองดีๆนะครับ ถ้ามีอะไร...ต้องบอกผมนะ"


ผมเริ่มรู้สึกร้อนแถวหัวตาอีกแล้ว เหมือนน้ำตาที่ถูกเก็บไว้มาเจ็ดปี จะถูกหมุนก๊อกเปิดให้ไหลออกมาใช้วันนี้วันเดียวหมด คุณตาหัวเราะ ไม่เหลือคราบนักการทูตจอมเจ้าเล่ห์ที่ทุกคนชอบเรียก เหลือเพียงชายอายุมากอารมณ์ดีที่กอดผมแน่น ดูถูกอกถูกใจกับผมที่สามารถพูดอะไรตามใจได้ รอยตีนกาดูเด่นชัดขึ้นมาเมื่อท่านยิ้มกว้างจนตายิบหยี


"ดีจริงๆ ดีจริงๆ ตาอยากให้เราพูดคุยกันได้แบบนี้มานานแล้ว ฮ่าๆ" เสียงหัวเราะดีใจดังอยู่ข้างหูของผม


"ตาจะรีบโทรไปฟ้องเราเชียวล่ะ ดิมิทรีของตาอย่าเป็นห่วงทางนี้เลย พวกเรายังแข็งแรงกันมาก ไปเถอะ ไปมีความสุขของตัวเอง นั่นน่ะ...พ่อแม่เรายืดคอชะเง้อคอยาวรอเรานานแล้ว เดี๋ยวเขาจะหาว่าชาโรนอฟเล่นคดโกง บอกจะยอมให้ แต่ดันเอาแต่ยื้อรั้งให้เธอเปลี่ยนใจ" ผมพยักหน้าอยู่ที่ไหล่ของคุณตา เสื้อเชิ้ตเนื้อดีสีเข้มมีร่องรอยความชื้นบอกให้ผมรู้ ว่าตอนนี้ผมกลายเป็นเด็กขี้แงอย่างที่คุณยายว่าเอาไว้แล้วจริงๆ


ความอาลัยอาวรณ์ไม่อยากจากไป เหมือนเถาวัลย์เส้นใหญ่ มัดรัดรั้งขาผมให้ไม่เดินก้าวออกไปไหน นานจนผมนึกว่าผมไม่จำเป็นต้องจากไป แต่ความเป็นจริงคือมีมือใหญ่ที่ผมต้องทำความรู้จัก มาจูงมือผมให้เดินออกห่างจากคุณตาที่ยืนหยุดนิ่ง ในดวงตาคู่นั่น แวววาวและดูแดงๆ คลับคล้ายคลับคลากับนัยน์ตาของผมยามใกล้จะหลั่งรินน้ำตา ท่านโบกมือให้ผมเล็กน้อยเมื่อผมขึ้นนั่งบนรถ สายเข็มขัดถูกคุณแม่ช่วยติดให้ ประตูรถถูกเลื่อนปิดช้าๆ กั้นผมออกจากบรรยากาศที่คุ้นชิ้น เข้าสู่โลกใบใหม่ที่ไม่คุ้นเคย กระจกแผ่นบาง และประตูเหล็กหนา ตัดขาดผมออกจากสถานที่ที่ผมเติบโต และพรากพาผมจากไป


เมื่อเลือกแล้ว เราจะไม่เสียใจ เรายอมรับ และเราเดินหน้าไม่หันหลังกลับ
บรรพบุรุษคนหนึ่งเขียนไว้ในชีวประวัติของท่าน


ใช่ ผมต้องเดินไปข้างหน้า ผมจะไม่หันกลับไปข้างหลัง


เพราะไม่มั่นใจเลย หากหันกลับไป จะห้ามตัวเองไม่ให้กระโจนออกนอกรถ และวิ่งเข้าไปหาอ้อมกอดที่คุ้นชินได้อย่างไร


จากเงาสะท้อนบนกระจก ผมเห็นชายชราที่กำลังยกมือขึ้นเหมือนปาดสายน้ำบนใบหน้า และเห็นผู้หญิงสูงวัยที่มีอำนาจล้นมือ แต่ในมือตอนนี้ไม่ได้ถือเอกสารชี้ชะตาชีวิตใคร กลับมีเพียงผ้าเช็ดหน้าผืนใหม่ ที่ดูสีเข้มเป็นบางจุด เหมือนภาพทับซ้อนของรอยเปื้อนเปียกชื้นบนหัวไหล่คุณตา สองมือของหญิงมากอำนาจ ทำได้เพียงเกาะราวระเบียงแน่น มองผมจากไปจนลับตา...


รั้วสีชาด และประตูใหญ่ เป็นสัญลักษณ์ของการลาจากที่แท้จริง ...ผมคิดว่ามันจะหมดถังไปแล้วเสียอีก แต่มันก็ยังไม่หมด และยังคงหมุนก๊อกเปิดออกมาได้อีกเรื่อยๆ ราวกับถังที่บรรจุไว้ใหญ่เท่าท้องทะเล


ทหารที่ยืนทำความเคารพตรงหน้าประตู ทหารเวรยามที่กำลังเดินตรวจตรา คนในเครื่องแบบมากมายเมื่อหลุดออกมาจากตัวคฤหาสน์แล้วจะเห็นจนเกลื่อนพื้นที่สวนใหญ่ ต่อไปนี้ผมก็คงจะไม่ได้เห็นอีกแล้ว ช่วงขณะหนึ่งที่คนขับรถเลื่อนกระจกลง เพื่อแลกเปลี่ยนบัตรเข้าออก ผมสบสายตา กับยามเฝ้าประตูที่เห็นหน้ากันมาอย่างยาวนาน ผมเคยคิดว่าคนบ้านนี้ไร้หัวใจเฉกเช่นเดียวกันหมด มาวันนี้ความคิดตาลปัตร...แท้จริงแล้ว คนบ้านนี้ขี้แงกันทุกคนต่างหาก




บ้านใหม่ที่ผมต้องไปอยู่ ไม่ได้ห่างไกลเท่าคฤหาสน์รั้วสีชาดไปจัตุรัสแดงกลางเมือง แต่ไกลกว่านั้นมาก ถ้าให้บอกระยะทางเป็นตัวเลขก็เกือบราวเจ็ดร้อยกิโล พวกผมต้องไปที่สนามบิน เพื่อขึ้นเครื่องบินนั่งข้ามฝากไปอีกฝั่ง บ้านหลังใหม่ของผมรออยู่ที่นั่น ที่เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก


หากเทียบบ้านที่ผมเคยอยู่เป็นปราสาทหลังใหญ่ในยุคสมัยก่อน ที่มีความคลาสสิคราวกับภาพวาดบนผ้าใบสีน้ำมัน ที่นี่ก็คงจะต้องเปรียบคล้ายกับบ้านหลังใหญ่ในหนังไซไฟสักเรื่อง มันดูโมเดิร์นและล้ำยุค ที่ตั้งอยู่ห่างจากรถไฟใต้ดินไม่มาก อยู่กลางใจเมืองที่มีความวุ่นวาย แค่พ้นหัวมุมคุณจะได้เจอกับร้านอาหารแฟรนไชน์มากมาย และห้างสรรพสินค้าใหญ่ให้เข้าไปเดินเลือกซื้อของ ต่างกับบ้านที่ผมเคยอยู่ ซูเปอร์มาร์เก็ตที่ใกล้ที่สุดคือคุณต้องใช้เวลานั่งรถไปถึงสามสิบนาที


ผมที่อยู่กับบ้านสามชั้นในป่าลึกมาตลอด พอมาอยู่กับคฤหาสน์สิบชั้นที่ดูเป็นกล่องๆ รูปเลขาคณิตซ้อนกันขึ้นไป พร้อมรถราที่ขับผ่านไปมาไม่หยุด ก็รู้สึกไม่ค่อยจะคุ้นชินนัก ต่างจากพี่น้องของผม ที่เอาแต่ชักชวนผมพูดไม่หยุดบนรถ เมื่อครู่ยังดูเหน็ดเหนื่อยและง่วงนอน แต่พอเห็นรั้วสูงสีดำสนิทก็ดีดตัวผึง กลับมามีเรี่ยวแรงขึ้นมาอีกรอบ
 

กว่าพวกเราจะมาถึงจุดหมายก็ค่ำมืดเสียแล้ว ตะวันลาลับตกขอบฟ้าไปหลายชั่วโมง บนหน้าปัด เข็มนาฬิกาชี้อยู่ที่เลขเจ็ด เป็นเวลาอาหารเย็นประจำวันของผม ปกติเวลานี้เมดจะต้องมาเคาะประตูเรียกให้ผมไปที่ห้องอาหาร แต่กับที่นี่ ผมไม่รู้ว่ามื้อเย็นทานกันกี่โมง มือเช้ากี่โมง ต้องทานด้วยกันพร้อมหน้าเหมือนกัน หรือว่าสามารถแยกย้ายกันทานได้ หรือกฎระเบียบข้อห้ามของบ้านเป็นอย่างไร ต่างกันยังไงกับบ้านคุณตาคุณยาย ผมยังไม่ได้รับการบอกกล่าวใดๆจากเจ้าของบ้านสักข้อ บนรถและบนเครื่องบิน คุณพ่อคุณแม่เอาแต่นิ่งเงียบและอมยิ้ม มองพวกพี่ๆกับน้องชายก่อกวนผมไม่หยุดอย่างมีความสุข


เท้าก้าวลงจากรถ พวกพี่ๆก็เร่เข้ามาดึงมือผมไปกับเจ้าตัว แต่อีกคนก็จะให้ไปอีกทาง ล้อมหน้าล้อมหลังจนผมตาลาย นึกภาพตัวเองเป็นตุ๊กตาที่ถูกดึงแขนขาขาดในเวลาอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า ถ้าไม่ได้คุณแม่ช่วยไล่พวกแรงเยอะให้ไปอาบน้ำเตรียมลงมาทานข้าวเสียก่อน สองหนุ่มหนึ่งสาวมุ่ยหน้าลง แม้กระทั่งเจ้าตัวเล็กที่ไม่รู้เรื่องรู้ราว ก็มุ่ยหน้าตาม พี่เลี้ยงของแต่ละคนมายืนรอรับคุณหนูของตัวเอง ก่อนจะจูงมือพากันหายเข้าไปในตัวบ้าน เสียงโหวกเหวกเงียบลง


"วุ่นวายแบบนี้แหละพวกพี่ๆของเราน่ะ เดี๋ยวก็ชินเอง มานี่สิ ม้า เอ้ย แม่จะพาทัวร์ดูบ้านนะ" คุณแม่เดินมาจับไหล่ของผม พลางดุนหลังให้ออกเดิน เมื่อผมมองเธอให้เต็มตา มีเพียงใบหน้าและบุคลิกที่มีความน่าเกรงขามคล้ายกัน แต่นิสัยและบรรยากาศกลับต่างกันโดยสิ้นเชิง คุณยายไม่มีทางยิ้มแย้มหัวเราะอารมณ์ดี เปิดเผยทุกความรู้สึกขนาดนี้แน่ๆ


เป็นแม่ลูกที่ดูคนละขั้วเลยครับ


"ทำไมไม่ให้ลูกเดินดูเองล่ะคุณ ผจญภัยในบ้านไง" พ่อที่รีบเร่งฝีเท้าตามหลังมา ก็ไม่ยอมน้อยหน้า ดึงมือผมขึ้นมาเกาะกุม ผมขมวดคิ้วเล็กน้อย นึกไม่ชอบใจนิดหน่อย คนบ้านนี้ติดนิสัยถึงเนื้อถึงตัวกันขนาดนี้เชียวหรือ ผมที่ถูกเว้นระยะห่างมาตั้งแต่เด็ก รู้สึกแปลกๆกับการถูกจู่โจมใกล้ชิดกระทันหัน ผมค่อยๆดึงมือและไหล่ของตัวเองออกอย่างสุภาพ และทำท่าสนใจเรื่องที่พวกเขาพูดเพื่อไม่ให้บรรยากาสดูแย่ลงนัก


"แค่พาผมไปที่ห้องก็ได้ครับ ที่เหลือผมไม่ขอรบกวนดีกว่า"


คุณพ่อคุณแม่ดูหน้าเสียไป...แต่ผมก็พยายามแล้ว ผมฝืนตัวเองมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ด้วยการไม่พูดจาไร้เยื่อใยอะไรออกไป ทำเพียงแค่นิ่งงำเก็บทุกคำพูดเอาไว้


การจะปรับตัวกับอะไรสักอย่าง มนุษย์เราไม่สามารถปรับได้ปุบปับหรอกครับ และการสานสัมพันธ์ก่อเยื่อใย ก็ไม่ใช่อะไรที่จะสามารถต่อกันติดได้ภายในไม่กี่ชั่วโมง ผมสบายใจกับการมีช่องว่างระหว่างเราในตอนนี้มากกว่า


พวกเขายังถูกจัดอยู่ในหมวดแง่ลบของผม...


"กวนเกินอะไรกัน ทำเป็นคนอื่นคนไกลไปได้ ฮ่าๆ มาสิมาๆ ขึ้นลิฟท์ไปที่ห้องของลูกกันนะงั้น"


คุณพ่อที่ฟื้นฟูสติได้เร็วกว่า เก็บมือของตัวเองกลับไป แล้วใช้ร่างกายใหญ่โตมาเดินใกล้กับผมแทน คุณแม่ก็เดินมาขนาบข้าง เหมือนกับผมเป็นนักโทษที่พร้อมจะหันหลังวิ่งหนีไปได้ทุกเมื่อ


"บ้านเรามีสิบชั้น สวยใช่ไหม พ่อรู้ว่าลูกต้องชอบแน่ๆ พวกเราช่วยกันออกแบบเองเลยนะ สามชั้นแรกเป็นโซนครัวแล้วก็ห้องรับแขก ห้องนอนแขก ห้องหนังสือส่วนรวมอะไรพวกนั้นล่ะนะ อีกเจ็ดชั้นที่เหลือเป็นพื้นที่ส่วนตัวของพวกเรา พ่อกับแม่ก็มีห้องส่วนตัวอยู่คนละชั้น ลูกกับพี่ๆก็ได้คนละชั้น ลูกจะตกแต่งหรือว่าอยากเพิ่มเติมตรงไหน ก็มาขอเบอร์โทรช่างแต่งบ้านกับพ่อได้เลย"


ดูเป็นความคิดที่เข้าท่ามากครับ ดูแบ่งเป็นสัดเป็นส่วนดี ส่วนการตกแต่งที่นี่ดูเน้นไปทาง สีทอง ขาว และลวดลายหินอ่อน เดินผ่านมาไม่ถึงสามสิบเมตร ผมว่าผมเห็นพวกหุ่นหล่อรูปปั้นทองท่าทางต่างๆเกินยี่สิบตัวแล้วนะครับ ทราบได้เลยว่าเจ้าของเป็นพวกโอ้อวดแบบประโคมของ เป็นพวกเยอะแน่นอน อืม...เจ็ดสิบตัว ถึงลิฟท์พอดี ผมว่าน่าจะมากกว่าเยอะ น่าจะเป็นพวกล้นๆนะครับ...


ภาพวาดศิลปะที่ผมคุ้นเคยหลายรูป ก็ถูกติดอยู่ตามข้างฝาผนังบนทางที่ทอดยาว จำได้ว่ารูปที่ผู้หญิงเปลือยกำลังดีดพิณ เป็นภาพประมูลล่าสุดของสมาคมศิลปะที่ปล่อยออก เป็นข่าวในอินเทอร์เนทอยู่หลายวัน กับผู้ชนะประมูลปริศนา ชนะไปด้วยราคาสูงลิบลิ่ว ผู้คนตามหาตัวกันเสียตั้งนาน...มาอยู่ที่นี่น่ะเอง


พรมสีแดงคลิปสีทองดูหรูหรา ยื่นยาวไปถึงลิฟท์ที่กว้างพอจะบรรจุลูกช้างสักห้าตัวได้สบายๆ คุณพ่อสแกนลายนิ้วมือ แล้วตัวเลขของชั้นก็ขึ้นมาให้กดเลือก


เพราะอยู่กับคุณยายคุณตาที่มีช่วงชีวิตอยู่ในสมัยก่อน รอบตัวผมจึงอยู่กับความคลาสสิค  อดยอมรับไม่ได้ว่าสิ่งของเหล่านี้ดูน่าตื่นเต้นไม่น้อย เมื่อเทคโนโลยีทันสมัยหลายอย่าง ถูกผสานเข้ากับทุกตารางนิ้วของตัวบ้านอย่างลงตัว เหมือนคุณอยู่ในยุคที่ผู้คนยังคงนัดทานข้าวและเต้นรำ พร้อมกลับด้วยรถม้า แล้วจู่ๆคุณก็กระโดดข้ามมาในยุคที่ผู้คนสามารถเดินบนท้องฟ้าได้เสียแล้ว ประมาณนั้นน่ะครับ


"เฮ้อ ทั้งๆที่มีชั้นแยกให้ แต่ว่าตอนนี้พวกพี่ๆของลูกน่ะ ไม่ต้องพูดถึงแยกห้องนอนหรอก แค่ห้องน้ำ ยังไม่กล้าไปคนเดียวเลยด้วยซ้ำ สุดท้ายเลยลงมานอนกองกันหมดที่ห้องของพ่อ ถ้าลูกกลัวก็บอกแม่ได้นะดิมิทรี ห้องพ่อเราน่ะวุ่นวายยังกับอะไร มานอนกับแม่ดีกว่า"


คุณแม่หันมาพูดกับผมอย่างหวังดีก่อนจะตวัดสายตาไปให้สามีตัวเอง สงสัยจะวุ่นวายมากจริงๆครับ พอพูดถึง แม่ก็ตาเขียวปั๋ดใส่คุณพ่อโดยอัตโนมัติ ร่างสูงได้แต่ส่งเสียงหัวเราะแห้งๆ อุบอิบเบาๆให้ผมได้ยินว่า
 

"ลูกๆชวนเล่นต่างหาก พ่อก็อยากนอนนะ แต่เกมก็อยากเล่นนี่น่า..."

คุณแม่เมินเสียงอ่อยๆของสามีตัวเอง แล้วหันมาพูดกับผมต่อ



"แล้วก็อะไรอีกนะ อ้อ สระว่ายน้ำกับฟิตเนสอยู่ด้านหลัง บ้านเราไม่มีกฎอะไรมาก แต่ถ้ายังอายุไม่ถึงสิบห้า จะกลับบ้านเย็นเกินหกโมงเย็นต้องโทรมาบอก แล้วต้องเปิด GPS ในโทรศัพท์ให้พ่อกับแม่รู้ว่าลูกอยู่ที่ไหน ข้าวเช้าเริ่มเจ็ดโมง เที่ยงก็เที่ยง ส่วนเย็นก็หนึ่งทุ่ม ส่วนมากพวกเราก็ทานข้าวพร้อมหน้ากันนะ ยกเว้นเวลาที่ไม่ว่าง หรืออยากปลีกวิเวกก็แยกย้ายกันได้ จริงสิ เกือบลืมเรื่องสำคัญ แม่จะพาผู้ดูแลของลูกมาแนะนำตัวด้วยอีกทีพรุ่งนี้นะดิมิทรี"


คุณแม่ที่รับบทต่อสนทนา อธิบายคร่าวๆให้ผมฟังถึงเรื่องของบ้านนี้ ผมว่าบ้านนี้ให้อิสระค่อนข้างเลยทีเดียวครับ ผมโอเคกับทุกอย่าง แต่ผมขัดใจอยู่เรื่องเดียว คือ ผู้ดูแล นั่นมันคำสุภาพของคำว่าพี่เลี้ยงเด็กหรือยังไงกัน


ผมไม่ใช่ลูกพวกเขา อา หมายถึง ผมไม่เหมือนพวกพี่ๆน่ะครับ ผมสามารถนอนคนเดียว เข้าห้องน้ำได้เอง โดยไม่กลัวผีทิชชู่ หรือกลัวเงาตัวเองอะไรเทือกนั่นเสียหน่อย ทำไมต้องมีคนมาคอยดูแล เป็นเรื่องน่าอายที่โตขนาดนี้แล้วยังต้องมีคนมาคอยเดินตามก้น ที่สำคัญผมก็ไม่ชอบให้ใครที่ผมไม่ได้เลือก มาอยู่ในพื้นที่ส่วนตัวของผมด้วยครับ


คิ้วที่ขมวดกันแน่นดูจะบอกทุกอย่างได้ดีว่าผมกำลังไม่พอใจ และนี่ก็เพิ่งผ่านมาไม่กี่ชั่วโมง เขาควรจะรู้ ว่าการทำให้ผมไม่พอใจ นั่นหมายถึงผมกำลังอยากกลับบ้าน


"เรื่องอื่นเราตามใจลูกได้นะที่รัก แต่เรื่องนี้ไม่ได้จริงๆ เพราะป๊า หมายถึงพ่อกับแม่งานยุ่งกันสุดๆ โดยเฉพาะช่วงนี้ที่กำลังโอนธุรกิจไปที่ไทย เราไม่ค่อยมีเวลาให้ลูกแน่ๆ จนกว่าพวกเราจะไปถึงประเทศไทยในอีกสามเดือนข้างหน้า"

"ไต้หวัน? ทำไมต้องไปไต้หวันด้วย"


ผมงงงวย ไต้หวันที่ผมจำได้คือเป็นกลุ่มเกาะที่ไม่ได้อยู่ติดกับภูมิภาคอะไร ไม่น่าจะเหมาะสมกับขนาดธุรกิจขนาดใหญ่นี่น่า มันยากต่อการขยายไปประเทศเพื่อนบ้านไม่ใช่หรือครับ ถ้าถูกต้องตามที่ผมเรียนมา คุณพ่อกับคุณแม่หันมาสบตายิ้มให้กัน


"สมเป็นลูกของพวกเรา ตอนพ่อได้ยินครั้งแรกก็งงเหมือนกัน ดิมิทรี ไม่ใช่ไต้หวัน แต่เป็นประเทศไทย ไทยแลนด์"

"ครับ...?"

"ลูกลองไปเสิร์จค้นหาดูนะ แม่ว่าลูกอาจจะหลงรักประเทศนี้ก็ได้ แม่ไปมาแล้วสี่ห้ารอบแล้ว หมูหย็องอร่อยสุดๆ"


Mooyong? ชื่อเมนูอะไร ทำไมมันดูแปลกประหลาดเหลือเกิน ผมคงไม่ได้มีคุณพ่อคุณแม่เป็นพวกเปิบพิสดารใช่ไหมครับ เขาทำผมกังวลแล้วนะ...


พวกท่านหัวเราะอารมณ์ดีขึ้นเมื่อเห็นสีหน้างงงวยของผม ลิฟท์เปิดอ้าออกเมื่อขึ้นมาที่ชั้นหก ออกมาจากลิทฟ์ก็เจอโถงทางเข้า เดินผ่านรูปปั้นและประตูใหญ่ ก็จะพบกับพื้นที่กว้างขวางที่แบ่งเป็นสองชั้น ตั้งแต่ชั้นล่างถึงชั้นสองเป็นตู้หนังสือที่มีหนังสือมากมายอัดแน่นจนเต็มเอี๊ยด มีเตียงนอนใหญ่ยักษ์ตั้งอยู่ และกระจกใสที่สูงราวสี่เมตรและกว้างจัด ภาพพาราโนมาที่สามารถมองวิวทิวทัศน์ได้ทั้งเมืองเป็นจุดเด่น


เป็นห้องที่สวยมาก...


แต่ที่น่าตกใจคือข้าวของทุกอย่าง แม้แต่โทนสี หรือรายละเอียดเล็กๆน้อยของห้องนี้ ถูกใจผมไปเสียหมด หาข้อติหรือหาข้อขัดใจไม่ได้เลยแม้แต่นิด โดยเฉพาะชั้นหนังสือที่ดูมีหนังสือหายากนั่น ผมตาวาว เดินไปไล้มือกับสันหนังสือที่วางเรียงกันไปจนถึงชั้นสองอย่างชอบใจ


"แม่รู้ว่าลูกต้องชอบ"

"พวกเราเตียมไว้ให้ลูกมาเป็นเจ้าของหลายปี หลายปีที่ห้องนี้เฝ้ารอลูกนะดิมิทรี"

"ยินดีต้อนรับกลับบ้านจ้ะ"


พวกท่านคุกเข่าลง เพื่อที่จะประสานสายตากับผม ปฎิเสธไม่ได้ว่าผมรู้สึกดีกับของขวัญชิ้นใหญ่นี้ แต่คำถามว่าทำไมก็ผุดขึ้นมาอีกครั้ง...พวกเขาดูได้ยังไงว่าผมชอบอะไร ไม่ชอบอะไร


"พวกเราตามสืบเรื่องของลูก...ในบ้านมีคนใช้ที่พ่อกับแม่แอบส่งเข้าไปสอดแนมอยู่"


เมื่อพ่ออ่านสายตาสงสัยของผมออก จึงช่วยตอบคำถาม แล้วผมก็กระจ่าง อา...ที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง


"หึ คุณยายของเราน่ะใจแข็งอย่างกับอะไร แม่ไม่อยากจะบอกเลยว่าตอนลูกอายุครบหนึ่งขวบ อาการของพ่อดีขึ้น พวกเราเลยจะไปแอบเยี่ยมลูกกัน ไม่ทันได้แตะรั้ว ก็โดนไรเฟิลกราดยิงเสียนึกว่าตัวเองกำลังบู๊อยู่ในหนังเฉินหลง!"


"จำได้ๆ ตอนนั้นดีนะว่าพอจะคิดไว้แล้วว่าต้องเป็นแบบนี้ เลยไปเช่ารถกันกระสุนมา โอ้โห แม่ยายโหดสุดๆไปเลย พรุนยับ แถมพอกลับมาที่บ้าน ยังมีบิลค่ากระสุนปืนที่ยิงเรียกเก็บมาอีก ผมนี่อึ้งไปเลยซาร่า"


"ใช่ไหมล่ะจอร์จ ฉันบอกคุณแล้ว! ให้เช่ารถถังไปๆ ไม่ยอมเชื่อ เกือบได้ไปเป็นปุ๋ยให้สวนคุณแม่ฉันแล้วไหม"


อืม...ผมคิดว่าถึงจะเอารถถังไป ก็เสียเงินเปล่า เข้าไปไม่ได้แม้แต่ประตูหรอกครับ ในเมื่อหน่วยคุ้มกันของคุณยายมีตั้งแต่หน่วยลาดตะเวณ ไปจนถึงหน่วยรบเกาะหนัก น่ากลัวว่าแค่เลี้ยวโค้งเข้ามา ก็น่าจะโดนระเบิดทิ้งไม่เหลือซากแน่ๆครับ


แล้วที่มีคนนอกมาสอดแนม เอาแค่คุณตาผู้เป็นนักการทูต ที่เจอเรื่องโกหกมาทุกรูปแบบก็รู้แล้วครับ ว่าใครพูดจริงหรือเท็จ ยิ่งสำหรับคุณยาย ผมคิดว่าไม่มีทางเป็นไปได้เลยสำหรับดาเลียแอน ที่จะไม่รู้ถึงสายลับของคุณพ่อคุณแม่ แผนกระจอกๆแค่นี้ ไม่มีทางจะรอดพ้น  ที่ยังสามารถอยู่และสืบเรื่องของผมได้ขนาดนี้ ก็เป็นเพราะคุณยายกับคุณตายอมเอาหูไปนาเอาตาไปไร่เสียมากกว่า


ที่แท้ในบัวที่ถูกตัด ก็ยังเหลือเส้นใยบางๆต่อกันอยู่นี่เอง



"ขอบคุณนะครับ..."


ผมเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ผ่อนคลายขึ้นเล็กน้อย
ผู้ใหญ่สองคนที่กำลังถกเถียงถึงเหตุการณ์ไหนที่คุณยายของผมทำได้เจ็บแสบ และโหดที่สุดอย่างเมามันส์ ก็หันหน้ามาเบิกตากว้าง ทำหน้าเหมือนเห็นผี


"ลูกยอมพูดกับเราด้วยเสียงที่ไม่ใช่โทนเย็นชาแล้วค่ะคุณ ฮึก"

คุณพ่อที่จู่ๆก็ทำตัวบอบบาง เช็ดน้ำตาที่หางตาก่อนจะเอียงหัวไปซบไหล่คุณแม่


"ไม่ต้องร้องไห้นะที่รัก มาซบอกแกร่งของผมสิ"


คุณแม่ที่ตบอกตัวเอง พลางกระชาก ต้องบอกว่ากระชากจริงๆครับ แรงขนาดนั่นไม่สามารถเรียกว่ารั้งได้เลย ...กระชากหัวของพ่อมาซบที่อกตัวเอง ผมนี่แทบจะแยกไม่ออกว่าน้ำตาของคุณพ่อตอนนี้ ไหลเพราะซาบซึ้งที่ผมยอมพูดคุยกับท่านดีๆ หรือเจ็บหนังหัวจนน้ำตาเล็ดเพราะแรงกระชากของคุณแม่กันแน่...เหมือนจะเห็นเส้นผมคุณพ่อหลุดร่วงไปหลายเส้นเสียด้วย


เอ่อ...


มันจะส่งมาไม่ถึงใช่ไหมครับ DNA พวกนี้น่ะ...
ผมกังวลจริงๆนะครับ...








"ใจเย็นก่อนทุกคน ถ้าไม่ใจเย็นๆอยู่ในความสงบ คืนนี้แม่จะเอาไปปล่อยให้นอนลอยคออยู่ที่สระน้ำ"

คุณแม่ที่นั่งอยู่หัวโต๊ะอาหาร หยิบแก้วแชมเปญเอาส้อมเคาะ ให้เกิดเสียง แม้จะเป็นแก้วแชมเปญแต่ด้านในแก้วใส่น้ำแอ็ปเปิ้ล และข้างๆแก้วยังมีแผ่นกระดาษติดอีกว่า น้ำส้มจ้า ตกลงมันคือน้ำอะไรกันแน่ครับ...


ตอนนี้ผมอาบน้ำแต่งตัวด้วยชุดนอน ลงมาที่ห้องอาหาร ผมค่อนข้างตกใจมากครับ คิดว่าลิฟท์ทำได้แค่ขึ้นลง แต่ลิฟท์ที่บ้านคล้ายกับรถไฟ ที่สามารถเคลื่อนไปทางซ้ายทางขวาได้ด้วย แค่สแกนนิ้วมือแล้วกดปุ่มที่ห้องอาหาร ก็มาโผล่อีกตึกหนึ่งแล้วครับ คุณพ่อบอกว่า ตึกฝั่งนี้ไว้สำหรับครอบครัวเท่านั้น จะไม่ใช้ร่วมกับแขก


"เอาห่วงยางยูนิคอร์นไปนอนด้วยได้มะม้า" พี่ชายของผมยกไม้ยกมือขอ ดูไม่เข้าใจว่านั่นควรจะเป็นบทลงโทษให้กลัว ไม่ใช่เรื่องสนุก ทำไม...ดูหน้าโง่แปลกๆเหลือเกินครับ เหมือนเจ้าตัวรู้ว่าผมกำลังนินทาในใจ หันควับมาโบกไม้โบกมือให้ผม ทำท่าจะปีนข้ามโต๊ะมาหา จนผมเผลอสะดุ้งเลื่อนเก้าอี้ถอยหลัง


ผลัวะ


เสียงฝ่ามือของพี่สาวเพียงคนเดียวฟาดลงบนหัวของคนที่ตั้งท่าจะปีนขึ้นโต๊ะอาหาร


"จะไปก็มุดใต้โต๊ะไป อย่ามาปีนโต๊ะ โง่แล้วยังมารยาททรามอีกเหรอเฮีย"


แง้งงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง


"ม้าม้าม้าาาาาาาาาาา! ไก่ว่าน้องปลาอีกแล้ว ปลาไม่ได้โง่นะ ปลาแค่ใสซื่อ! แง้งงงงงง"


แล้วเจ้าตัวก็หันมาชูนิ้วกลาง แต่พอเห็นน้องสาวตัวเองถลึงตาใส่ พร้อมจะโยนจานกระเบื้องใส่หัว นิ้วกลางที่ชูก็ค่อยๆหด กลับกลายเป็นนิ้วโป้งแทน พอโป้งจนพอใจแล้วก็มุดโต๊ะไปกอดเอวคุณแม่แน่น หันมาแลบลิ้นปลิ้นตาใส่อีกฝากฝั่ง ส่งเสียง แบร่ๆ อย่างกวนอารมณ์ พี่สาวของผมหันไปกรอกตากับพี่ชายที่สวมแว่นตาอีกคนที่นั่งทานเงียบๆไม่สนใจใคร ถ้าดูจากภาพรวม ผมว่าผมน่าจะโอเคกับพี่ชายคนนี้ที่สุดนะครับ เขาดูปกติสุดแล้ว...


"สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรมนะปลาหย็อง เฮียกวนไก่ตั้งแต่บนรถแล้ว ยังจะมาแลบลิ้นใส่ผมอีก คุยกับเฮียนี่เหมือนสีซอให้ควายฟัง ตักน้ำรดหัวตอจริงๆเลย พูดไปสองไพเบี้ย นิ่งเสียตำลึงทอง" พูดเสร็จก็ขยับแว่นตาบนจมูก เอ่อ...ท่านพี่รายนี้ก็ดูท่าจะไม่ปกตินักเช่นเดียวกัน


"นั่นไง! ไก่ดูสิ เนื้อหย็องก็พูดอะไรไม่เข้าใจเหมือนกัน ทำไมไม่โง่อะ ม้าๆๆๆๆๆๆๆ ปลาไม่ได้โง่ใช่ไหม"


แม่ยิ้มอ่อนโยน ลูบหัวลูกชายที่ซุกอยู่ตรงเอว เอ่ยเสียงปลอบโยนอ่อนหวาน


"ปลาไม่ได้โง่จ้ะลูก ปลาแค่ฉลาดน้อย"


แค่ก แค่ก แค่ก ผมถึงกับสำลักน้ำ ไม่เคยได้ยินคำปลอบโยนที่เหมือนซ้ำเติมแบบนี้มาก่อน


"ถ้าม้าบอกแบบนี้ปลาก็โล่งใจ" เจ้าตัวถอนหายใจอย่างโล่งอก...จะดีเหรอครับ นั่นมันไม่ใช่คำช่วยปฎิเสธนะ? เขาโอเคกับมันจริงๆเหรอ ผมเห็นพี่สาวยิ้มมุมปาก แล้วหันไปพูดกับผู้ชายใส่แว่น "โง่โคตรๆ"


เอ่อ...อดเห็นด้วยไม่ได้จริงๆครับ...




ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด