@@รักเกิดในอู่ซ่อมรถ (บารมี&พิพัฒน์) ตอน อย่าทำให้คนรอบข้างลำบาก
ก่อนที่พิพัฒน์จะมาทำบัญชีให้ที่อู่ของบารมี พิพัฒน์ตกงานและดำรงชีวิตด้วยการทำขนมขายพอมีรายได้เป็นเงินเก็บเล็กๆ น้อย ๆแต่ก็ไม่พอจะช่วยผ่อนบ้าน และบางทีแค่จะใช้จ่ายส่วนตัวยังแทบไม่พอ สุดท้ายถูกบารมีลากมาทำบัญชีที่อู่ ที่จริงก็คิดว่าแค่มาทำบัญชีที่อู่อย่างเดียว ช่วยจัดการเอกสารหรืออะไรก็ตามที่พอทำได้ แต่พักหลัง ๆ หน้าที่สำคัญของพิพัฒน์ดูเหมือนจะเพิ่มขึ้นด้วย
เพราะในทุก ๆ วัน พิพัฒน์ต้องเป็นผู้ฟังที่ดีฟังบารมีบ่นทุกเรื่องที่เกิดขึ้นในชีวิต
“มึงคิดดูพัฒน์ นัดแล้วไม่เป็นนัด อะไหล่ก็สั่งมาแล้ว นี่คือยังไงจะต้องให้อู่สำรองจ่ายก่อนเหรอแล้วกูจะเอาเงินที่ไหนมาหมุนมากมาย มันก็จมอยู่แบบนี้ตกลงไม่ต้องให้ลืมตาอ้าปากกันเลยหรือไงวะ..............”
หน้าที่หลักคือพยักหน้าตาม
หน้าที่รองคือ ตั้งแต่เดินเข้าบ้าน ต้องจัดการเตรียมอาหารใส่จานและเตรียมน้ำดื่มให้คนที่เข้าบ้านมาก็บ่นตั้งแต่ออกจากอู่จนถึงบ้าน
“.................”
พิพัฒน์แทบจะไม่ต้องตอบอะไรเลย แค่ทำหน้าที่ของตัวเองให้เสร็จเรียบร้อย แล้วคนที่ยังบ่นไม่ยอมหยุดจะเดินมากินข้าวเอง
เรากินข้าวพร้อมกันทุกวัน
เมื่อก่อนไม่เคยคิด แต่เมื่อได้อยู่ด้วยกันนาน ๆ บารมีกลับพบว่าตัวเองเคยชินที่มีพิพัฒน์อยู่ด้วยตลอด
ไม่คิดว่าจะชอบใช้ชีวิตแบบนี้ รู้สึกตัวอีกทีก็ชินแล้วที่มีพิพัฒน์อยู่ใกล้ ๆ
เราอยู่ด้วยกันทุกวัน ทุกเวลาทุกนาที ที่พิพัฒน์อยู่ด้วยมันไม่เหมือนเมื่อก่อน ไม่เหมือนเลย
“พัฒน์”
พิพัฒน์เงยหน้าขึ้นมองและบารมีก็ขมวดคิ้วมุ่น
“ปามันโทรมาหาเหรอวันก่อน”
ทำไมมาเรื่องนี้ได้ก็ไม่รู้ แต่พิพัฒน์ก็พยักหน้ารับ
“มึงก็ยังคุยกับอีปาได้เนอะ ใจกว้างจริงนะมึงเนี่ย น้องเขยอย่างมึงนี่ไม่ใช่จะหาได้ง่าย ๆ”
พิพัฒน์ไม่ใช่น้องเขยแล้ว ตอนนี้อยู่ในสถานะอะไรก็ยังไม่รู้
ความเกี่ยวข้องกันก็ไม่มี แล้วทำไมถึงมาพูดแบบนี้อีก
บางทีพิพัฒน์ก็เสียใจกับสิ่งที่บารมีพูดอยู่บ่อย ๆ แต่ไม่รู้จะทำยังไง
บารมีมองหน้าพิพัฒน์ที่นิ่งเงียบไป เป็นห่าอะไรอีก พูดแค่นี้ก็ไม่ได้
ก็รู้ว่าเรื่องนี้ที่จริงก็เรื่องส่วนตัว
แต่ไม่รู้ทำไมถึงได้รู้สึกหงุดหงิดรำคาญที่พิพัฒน์ยังคุยกับน้องสาวตัวเองอยู่ ทั้งที่ก็เลิกกันมาจะเป็นปีแล้ว
“แล้วมันว่าไง”
ไม่ได้อยากรู้ แต่ก็ถามไปงั้น ๆ แต่พิพัฒน์ถอนหายใจยาวเหยียด และตอบกลับตามที่คิด
“ช่างมันเหอะ เรื่องของผม”
เรื่องของมึงเหรอ
นี่มึงหาว่ากูเสือกเรื่องของมึงเหรอไอ้พัฒน์
เพียงเท่านั้นบารมีก็ทิ้งช้อนในมือและลุกขึ้นเดินกระแทกเท้าปึงปังขึ้นห้องไปทันที
โดนโกรธอีกแล้ว มีเรื่องให้บารมีโกรธได้ทุกวัน ซ้ำ ๆ ซาก ๆจนพิพัฒน์ชิน
เมื่อก่อนอาจจะกลัวหรือตกใจ แต่ตอนนี้เริ่มชินกับความเจ้าอารมณ์ของบารมี
ไม่พอใจก็ด่าตรง ๆ ไม่ชอบก็แสดงให้รู้กันตรงๆ
พิพัฒน์ยังกินข้าวไปเรื่อยๆ กินคนเดียวในวันที่บารมีโกรธ ชินซะแล้วกับชีวิตแบบนี้ถ้าอยู่ให้ชิน มันก็จะชินไปเอง
รายการโทรทัศน์ถูกเปิดทิ้งเอาไว้ทั้งที่พิพัฒน์ไม่ได้คิดสนใจจะดูด้วยซ้ำโทรศัพท์ในมือมีหมายเลขโทรเข้าและพิพัฒน์ก็ได้แต่มอง และวางโทรศัพท์ทิ้งเอาไว้ข้างๆ ตัว
ควรดีใจมั้ย
ควรเสียใจมั้ย
ควรทำยังไง
“พัฒน์....” ถึงกับสะดุ้ง และพิพัฒน์ก็รีบหันหน้าไปมอง
บารมียังทำหน้ายุ่ง และขมวดคิ้วมุ่นไม่เลิก
น้ำเสียงที่เรียก ยังคงแข็งกร้าว
“ปิดบ้านด้วย วันนี้ไม่กลับจะไปนอนที่อู่”
ทั้งที่เพิ่งกลับมาพร้อมกันแต่บารมีก็จะกลับไปที่อู่อีกแล้ว
ไม่เคยถาม
เพราะไม่กล้าถาม
ไม่เคยมีคำถามใด ๆ ทั้งสิ้นจากปากของพิพัฒน์ ไม่ว่าบารมีจะทำอะไร จะพูดอะไร จะโกรธ จะโมโห จะทำอะไรแย่ๆ ขนาดไหน
พิพัฒน์ไม่เคยถาม
ไม่เคยตั้งคำถามใด ๆ เลย
“ครับ”
ตอบรับแค่นั้นและหันกลับมานั่งจ้องรายการโทรทัศน์อย่างตั้งใจทั้งที่ไม่ได้คิดจะดู
อีกแล้ว
แบบนี้อีกแล้ว
ทำให้ยิ่งโมโหอีกแล้ว
บารมีกระแทกเท้าปึงปังและปิดประตูบ้านเสียงดังลั่น
และพิพัฒน์ก็ได้แต่มอง
ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ถอนหายใจออกมายาว ๆ และเดินไปเปิดลิ้นชักหน้าโทรทัศน์
หยิบสมุดบัญชีเงินฝากขึ้นมาดู และพบว่าจำนวนเงินมีเพิ่มขึ้นจนทำให้พิพัฒน์ยิ้มออกมาได้
แค่เดินออกไปเงียบ ๆ แล้วไม่กลับมาอีก แล้วทุกอย่างก็จะจบ
ชีวิตมันยุ่งเหยิงมากพอแล้ว และพิพัฒน์ไม่คิดว่าตัวเองจะอดทนกับอะไรได้อีก
ที่ผ่านมา อดทนมาตลอดและความอดทนมันควรจะหมดลงได้แล้ว
พิพัฒน์นั่งมองสมุดบัญชีในมือเปิดพลิกไปพลิกมาหลายครั้ง ครุ่นคิดถึงแต่เรื่องบางอย่างในหัวตลอดเวลา
จะบอกบารมียังไง จะพูดยังไงไม่ให้อีกฝ่ายโมโห บางทีแค่เขียนจดหมายเอาไว้จะแย่เกินไปหรือเปล่า
แต่ไม่ได้เอาอะไรติดตัวไปด้วยสักอย่างบารมีคงไม่ว่า
ยิ่งคิดยิ่งสับสน ยิ่งคิดยิ่งไม่เข้าใจตัวเอง
แค่บอกว่าจะไป มันง่ายนิดเดียว แต่ทำไมเวลาที่ต้องไปจริง ๆกลับรู้สึกใจหายขึ้นมาก็ไม่รู้
พิพัฒน์มองไปรอบ ๆ บ้าน บ้านที่เป็นทาวเฮาส์เล็ก ๆที่หามาด้วยน้ำพักน้ำแรงของตัวเองและหวังว่าจะได้ใช้ชีวิตที่มีความสุขกับคนที่ตัวเองรัก
รอยยิ้มเจือจางปรากฏขึ้นที่ใบหน้า
พิพัฒน์ยิ้ม
ยิ้มให้กับอะไรบางอย่างที่อธิบายออกมาเป็นคำพูดไม่ได้
ต่อไปไม่ต้องทนแล้ว ไม่ต้องอดทนกับความอารมณ์ร้ายของบารมีอีก
ไม่ต้องอดทน แบบนี้ดีแล้ว ดีแล้วจริง ๆ หรือเปล่านะ
ใช่สิมันต้องดี
การได้เป็นตัวของตัวเองโดยไม่ต้องทน มันต้องดีซะยิ่งกว่าดี
+++++++++++++++++++++
“ตื่นเหอะ ทำไมไม่ขึ้นไปนอนบนห้อง ลุกขึ้นไปนอนที่ห้องดีกว่าเดี๋ยวก็ไม่สบายหรอกพัฒน์”
ได้ยินเสียงเรียกและพิพัฒน์ก็กระพริบตามอง ยกหลังมือขึ้นขยี้ตาและก็เห็นว่าบารมีมานั่งอยู่ข้าง ๆ และปลุกให้ขึ้นไปนอนบนห้อง
“ดึกขนาดนี้แล้วมึงมานอนอะไรอยู่ตรงนี้ลุกขึ้นไปนอนบนห้องดี ๆ ไป”
พิพัฒน์ยังรู้สึกมึนงง เผลอหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้รู้สึกตัวตื่นขึ้นมาก็เพราะบารมีปลุกให้ตื่น
“เดินให้มันดี ๆ ไอ้พัฒน์ ตกบันไดคอหักตายกูจะไม่ช่วยเลย”
ถ้าช่วยคงแปลก
พิพัฒน์ก้าวขาเดินขึ้นห้องและบารมีก็หยิบสมุดบัญชีเงินฝากของพิพัฒน์ขึ้นมาดูและขมวดคิ้วมุ่น
ไม่ใช่แค่สมุดบัญชี แต่เป็นเอกสารเกี่ยวกับคอนโดห้องเล็ก ๆห้องหนึ่งที่เขียนวันนัดย้ายเข้า
ย้ายเข้า????
ใครย้าย???
“ไอ้พัฒน์ มึงมาคุยก่อนซิ นี่อะไร”
อะไรเหรอ
พิพัฒน์หันกลับมามองและรีบเดินลงบันไดมาขอเอกสารของตัวเองคืน
“ห้องไง”
“ห้องน่ะกูรู้ ไม่ได้ตาบอดแต่ที่กูอยากรู้คือห้องใคร”
จากน้ำเสียงราบเรียบในเวลานี้ไม่ต้องเดาก็รู้ บารมีเริ่มโมโหขึ้นมาอีกแล้ว
“ห้องผม”
คำตอบที่ได้ยินไม่ต้องให้ฟังซ้ำก็มากเกินพอ
“ไอ้พัฒน์”
บารมีตะคอกใส่คนที่ยืนก้มหน้าและขบริมฝีปากแน่น
“ผมจ่ายเงินค่าจองไว้แล้ว”
แล้วไง
แล้วมึงเคยปรึกษากูสักคำมั้ย กูเป็นหัวหลักหัวตอใช่มั้ย ไม่ต้องพูดต้องบอกอะไรก็ได้ใช่มั้ย
“พรุ่งนี้มึงไปเอาเงินค่าจองคืนซะ”
บารมีคิดว่าตัวเองกำลังโกรธ ทั้งโกรธทั้งโมโหขึ้นมาอีกแล้ว
“ทำอย่างนั้นไม่ได้ จ่ายเงินไปแล้วก็คือจองแล้ว เขาไม่คืนเงินหรอก”
ถึงจะรู้สึกหวั่นใจ แต่ก็ต้องพูดออกมาให้ชัดเจน
“อย่าให้กูพูดหลายรอบพัฒน์”
บังคับอีกแล้ว ทำไมถึงไม่ยอมฟังกันบ้าง
“ผม......ผม....ผมว่าจะย้ายออกไปอยู่คนเดียว”
ว่าไงนะ
“มึงพูดอีกทีพัฒน์ เอาให้ชัดๆ”
ชัดแล้ว
“ผมจะย้ายออก”
ชัดเจนพอแล้ว
และพิพัฒน์ก็หลับตาแน่น เมื่อเห็นบารมีกำหมัด แบบนี้คงไม่รอด
“...............”
แต่ไม่มีเลย
ทุกอย่างสงบ
เงียบ
และไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย
บารมีกำหมัดค้างไว้แบบนั้น
และดวงตาที่วาวโรจน์ก็หม่นแสงลงเมื่อมองหน้าของพิพัฒน์ตรง ๆ
“..............”
พูดไม่ออก
พูดอะไรไม่ได้
พิพัฒน์ลืมตาขึ้นมองและบารมีก็ได้แต่มองหน้าของพิพัฒน์แบบนั้นนิ่ง ๆ
ไร้คำพูด
ไม่มีคำพูดใด ๆ ออกมาอีก
นอกจากการที่บารมีเดินหนีขึ้นห้องไปดื้อ ๆและปล่อยให้พิพัฒน์ยืนงงและมองตามไปด้วยความไม่เข้าใจ
เกิดอะไรขึ้น
ทำไมถึงได้
ทำไมถึง...........
บารมีเดินขึ้นห้องไปแล้ว และพิพัฒน์ได้แต่ยืนงง
ไม่เข้าใจ
ไม่เข้าใจอะไรทั้งนั้น
ไม่เข้าใจอะไรเลย
ไม่รู้ว่าบารมีเป็นอะไร
สิ่งที่พิพัฒน์อยากรู้ บารมีโกรธอะไร แล้วกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่
++++++++++++++++++++
เสียงเคาะทำให้บารมีต้องลุกขึ้นมาเปิดประตูห้อง
พิพัฒน์กำลังทำหน้าไม่ถูกและเหมือนกำลังพยายามจะพูดอะไรบางอย่าง
“มึงมีอะไรพัฒน์ ดึกดื่นป่านนี้คนจะหลับจะนอน มีอะไรจะพูดก็พูดมาถ้าไม่พูดมึงก็ไม่ต้องพูดแล้ว”
เตรียมปิดประตูห้องและตั้งใจจะตัดเยื่อใยกันแบบเห็น ๆ และเป็นพิพัฒน์ที่ต้องผลักประตูห้องของบารมีเอาไว้
“ผม......”
อะไรของมึง อ้ำ ๆ อึ้ง ๆอยู่ได้
“..................”
“ไอ้พัฒน์ กูไม่ได้ว่างขนาดลุกขึ้นมายืนมองหน้ามึงเฉย ๆ หรอกนะ มึงมีอะไรมึงพูดเลยพัฒน์จะเอายังไงอะไรกับชีวิตมึงพูดมาตรง ๆ กูมันเป็นหัวหลักหัวตอ มีอะไรไม่ต้องถามต้องบอกกูหรอก กูไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับมึง ไม่ได้เป็นอะไรกับมึงนี่”
แสดงว่าอารมณ์ดีแล้ว น่าจะพอคุยได้
“เข้าไปได้มั้ย”
ได้
“เชิญครับ คุณพิพัฒน์”
ทำไมต้องทำเสียงสูงใส่ด้วย
ทำไมต้องประชดด้วย
พิพัฒน์เดินมานั่งลงบนเตียงและเงยหน้ามองบารมีที่ยืนกอดอกมองด้วยท่าทางไม่สบอารมณ์
“พี่บัส....วันก่อน...คือ...”
พิพัฒน์ไม่รู้ควรทำยังไง อยากจะพูดอะไรต่อแต่ก็เรียบเรียงสติไม่ถูก สุดท้ายได้แต่นั่งนิ่งๆ มองหน้าของบารมี
และถูมือไปมา เหมือนไม่รู้จะเริ่มต้นพูดยังไง
และบารมีก็ยืนมองมือของพิพัฒน์อยู่อย่างนั้น ก่อนจะถอนหายใจออกมายาว ๆ
“ผมไม่อยากให้พี่เป็นภาระต้องมาผ่อนบ้าน ผมว่าผมจะขาย ไปเช่าคอนโดห้องเล็ก ๆ อยู่........”
เออ
เมื่อก่อนมันคงจะเป็นแบบนั้นแหละความคิดของมึงมันถูกทั้งหมดแต่ไม่ใช่ตอนนี้
“กูไม่อยากไปนอนที่อู่นะ กูอยู่ของกูสบาย ๆ นี่มึงจะให้กูกลับไปลำบากอีกหรือไงหัวคิดน่ะมีซะบ้าง ทำแต่ความลำบากให้กู ก่อนทำให้กูลำบากมึงเคยถามกูสักคำมั้ยว่ากูอยากลำบากหรือเปล่า”
ไม่ใช่แบบนั้น
ไม่ใช่..........
“บ้านพี่.....ที่อู่.....ที่จริงสบายกว่าที่นี่อีก....เพราะปาให้ช่วยผมพี่ก็เลยช่วยมาตลอด........ตอนนี้ไม่ต้องช่วยแล้วก็ได้ ผมไม่น่าทำอะไรเกินตัว”
ไอ้พัฒน์
“มึงไปเลยพัฒน์ กูว่าเราคุยกันไม่รู้เรื่องแล้ว”
บารมีเปิดประตูห้องและไล่ให้คนที่พูดจาไม่เข้าท่าออกไปจากห้อง และพิพัฒน์ก็ถอนหายใจออกมายาวๆ
“ทำไมไม่ฟังผมพูดบ้าง”
ก็มึงพูดจาไม่เข้าหูกูจะฟังทำไม
“มึงไปเลย มึงยิ่งพูดกูยิ่งโมโห”
โมโหทำไม
โมโหเรื่องอะไร
“ก็ไหนพี่บอกว่า....”
บอกว่าอะไร
“กูไม่เคยบอกอะไรทั้งนั้นแหละ ไอ้เรื่องมึงหางานใหม่แล้วค่อยไปทำอะไรนั่นด้วย กูมีมึงทำบัญชีให้ดี ๆจะให้กูไปรับคนใหม่มาทำ กูอยู่ของกูดี ๆเสือกจะขายบ้าน มึงมีหัวคิดมั้ยพัฒน์ ทำกูลำบากมึงนอนหลับมั้ย กูถามจริง ๆ”
นั่นน่ะ........
พิพัฒน์ได้แต่อ้าปากค้าง และไม่เข้าใจเหตุผลที่แสนยอกย้อนวกวนของบารมี
สุดท้ายได้แต่ถอนหายใจออกมาและต้องลุกขึ้นเพื่อเดินกลับห้องของตัวเอง
“เดี๋ยว”
หันกลับมามองและบารมีก็ยังขมวดคิ้วมุ่น
“กูยังไม่ได้กินข้าว ตั้งแต่เย็น ลงไปอุ่นข้าวให้หน่อย”
แต่นี่มัน.....ตีสาม...
“กูหิวมาก แล้วถ้ามึงยังไม่ไปอุ่นข้าวให้อีกกูยิ่งจะโมโหหิว หิวมาก ๆ เมื่อไหร่กูก็จะแดกหัวมึงเข้าใจมั้ย”
ไม่เข้าใจก็ต้องเข้าใจ
พิพัฒน์เดินลงมาเปิดไฟในครัวโดยมีบารมีเดินตามมาด้วย
กับข้าวกำลังถูกเตรียม
และบารมีก็ทำเพียงแค่นั่งรอและลอบมองกิริยาอาการของคนที่กำลังจัดเตรียมอาหารให้
“บ้านน่ะ มันต้องผ่อนอย่างต่ำ ๆ ก็สามสิบปี นี่เพิ่งจะกี่ปีเองพัฒน์มึงอย่าไปคิดอะไรมาก แล้วกูก็ไม่ได้คิดจะย้ายไปไหนด้วย ให้กลับไปนอนที่อู่ กูไม่เอาด้วยหรอก ยังไงกูก็ต้องอยู่กับมึงอีกยาววววววว”
TBC.