บัลลังก์รักใต้เงาแค้น
บทที่ 20
“อัคคี หยุดก่อน เราหมดเรี่ยวแรงแม้แต่จะขยับกายแล้ว”
ประท้วงเสียงแผ่วพลางยกหัตถ์ปรามใบหน้าที่กำลังก้มลงมาหาเศษหาเลยอยู่กับปรางนุ่มเมื่อเจ้าชายอินทัชธราทิปได้แต่
ทอดกายอยู่ในวงแขนแกร่งที่ยังคงโอบกอดไว้หลังจากเสร็จศึกแห่งรักที่โรมรันกันอยู่บนแท่นพระบรรทมกว้าง
“ยังไม่บอกข้าเลยว่าคิดถึงข้าดั่งเช่นที่ข้าคิดถึงเจ้าหรือไม่ ว่าไงอินทัช”
จูบหนักที่ไรผมด้วยความเสน่หา เจ้าชายอินทัชเม้มโอษฐ์พลางเชิดพักตร์ใส่
“เรื่องอะไรที่เราจะต้องบอกคนอย่างเจ้าว่าเรารู้สึกเช่นใด”
อัคคีลอบยิ้มเมื่อเห็นทีท่านั้น แม้ว่าเจ้าชายผู้สูงศักด์จะเบือนหน้าหนี แต่เขาก็เห็นดวงเนตรงามแสดงความขัดเขิน
“ไม่เป็นไร ไม่อยากบอกก็ไม่ต้องบอก แต่ข้าจะถือเสียว่าเสียงหวานของเจ้าที่คร่ำครวญเสียจนแหบแห้งคือคำตอบ”
“อัคคี เดี๋ยวเถอะ”
ทุบถองไปที่ต้นแขนพร้อมกับผลักไส พักตร์งามเปลี่ยนสีแดงจัดอยู่ในยามความสลัวของใกล้รุ่ง อัคคีหัวเราะชอบใจ
พลางดึงให้เจ้าชายอินทัชซบลงที่บ่าของเขา
“เป็นงานเป็นการหน่อย เรามีเรื่องต้องพูดกัน”
เจ้าชายอินทัชขยับกายออกเพื่อจะได้สบตากับโจรป่าที่มีใบหน้าเหมือนพระองค์ไม่มีผิดเพี้ยน สุรเสียงที่ตรัสออกไปจริงจัง
เมื่อพระองค์ต้องการความกระจ่างเหลือเกิน
“เรื่องอันใดถึงทำให้เมียรักของข้าต้องคิดมากจนคิ้วชนกันเช่นนี้”
เอ่ยถามอาทรอย่างไม่เคยรู้สึกกับผู้ใด อัคคีนิ่งฟังคนในอ้อมกอดเจรจาอย่างตั้งใจ
“เราเพิ่งรู้จากพระมารดาเมื่อไม่นานมานี้ว่าเรามีฝาแฝด”
ฝาแฝด!
บัดนี้อัคคีเป็นฝ่ายนิ่งงันบ้าง
ข้อสงสัยที่เขามีกำลังกระจ่างขึ้นมาแล้ว คนเราบนโลกใบนี้จะมีสักกี่คนที่มีใบหน้าเหมือนกันราวกับส่องกระจกเล่า หากมิใช่
ฝาแฝดที่ถือกำเนิดมาพร้อมกัน
“พระมารดาบอกเราว่า ฝาแฝดของเราถูกชิงตัวไปตั้งแต่เพิ่งจะลืมตาดูโลก และเสียชีวิตเพราะไส้ศึกที่เป็นถึงพระมาตุลาของ
พระบิดา”
“อะไรนะ”
อัคคีอุทานอย่างตกใจ ใบหน้าซีดเผือดลงอย่างเห็นได้ชัด เขากำลังงงงันในเรื่องที่เกิดขึ้น เจ้าชายอินทัชทรงเล่าเรื่องย่อๆให้
อัคคีฟังจนอัคคียิ่งสับสนเมื่อเขาต้องเรียบเรียงเรื่องทั้งหมดเสียใหม่
พ่อบัวที่เฝ้ากรอกหูให้รับรู้อยู่ทุกเมื่อเชื่อวันว่าเหตุที่ต้องระหกระเหินพาเขาหนีมากลางป่าเพราะถูกคนในวังใส่ความและ
ทำร้าย แต่บัวก็ไม่ได้เล่าว่าความที่ถูกใส่ไคล้นั่นคือเรื่องอันใด อัคคีเองยังเชื่อเสียด้วยซ้ำว่าเขาคือลูกของบัวกับมารดาที่เป็นหญิงก่อนที่
บัวจะพบและปลงใจกับสมิง
หากปะติดปะต่อกับเรื่องที่เจ้าชายอินทัชเล่าให้ฟัง อัคคีควรจะเชื่อเช่นนั้นหรือว่าพ่อบัวของเขาเป็นถึงน้าแท้ๆของเจ้าฟ้าองค์
ปัจจุบันที่เป็นไส้ศึกให้กับเมืองอุดรรังษี
ที่สำคัญคืออัคคีมิใช่ลูกของบัวแต่เป็นหลาน และบิดามารดาแท้จริงของเขาคือผู้กุมอำนาจแห่งรัตนปุระนคร ส่วนคนที่เขายัง
ตระกองกอดนี่เล่า กลับกลายเป็นฝาแฝดที่อยู่ร่วมอุทรยิ่งกว่าพี่น้องเสียอีก ซ้ำร้ายอัคคีกลับผูกพันถลำลึกไปกับความสัมพันธ์ที่ยากจะ
ถ่ายถอนใจกับเจ้าชายอินทัชอีกด้วย
สบตาซึ่งกันอย่างหวั่นไหวในความเป็นจริง เจ้าชายอินทัชเองก็เจ็บปวดไม่แพ้กัน ทรงเบือนพักตร์หนีพร้อมกับกลั้นน้ำตาไว้
อย่างยากเย็น
“หากเรื่องที่เราทั้งคู่สงสัยเป็นเรื่องจริง ก็หมายความว่าเราเป็นฝาแฝดกัน และที่เรากับเจ้านั้นกระทำกันมันเป็นเรื่องผิดขนบ
จารีตที่มีอยู่ มันไม่สมควรอย่างยิ่ง”
ผิดขนบธรรมเนียม ผิดจารีตประเพณีงั้นหรือ
ไม่!
อัคคีตะโกนก้องอยู่ในใจ
ช่างขนบธรรมเนียมหรือจารีตใดๆนั่นเถอะ ยอมรับก็ได้ว่าเขาหลงรักเจ้าชายอินทัชตั้งแต่แรกเห็นโดยไม่ได้รู้สึกผูกพันเช่นพี่
น้องเลยสักนิด เขาหลงใหลใบหน้างามกับวรกายโปร่งบางน่าสัมผัสจนต้องการครอบครองทั้งร่างกายและหัวใจ แล้วจะให้อัคคีต้องตัดใจ
เพราะเขาเพิ่งรู้ความจริงว่าทั้งคู่เป็นฝาแฝดกันเช่นนั้นหรือ
อัคคีทนรับความเจ็บปวดนี้ไม่ได้จริงๆ
“ถามหัวใจของเจ้าเถิดอินทัช”
อัคคีเชยคางมนให้หันกลับมาสบตา ดวงเนตรงามบัดนี้แดงก่ำด้วยหยาดน้ำใสจนอัคคีต้องจูบซับมันไว้
“ลองถามหัวใจของเจ้าว่าเห็นข้าเป็นพี่น้องหรือไม่ ส่วนหัวใจของข้านั้นตอบได้คำเดียวว่าไม่ เจ้าคือเมียของข้า คนที่ชิงหัวใจ
ของข้าไป ข้ารักเจ้านะอินทัช”
“อัคคี!”
คำบอกรักโดยไม่ได้ตั้งตัวกำลังต่อสู้กับมโนธรรมในจิตใจจนเจ้าชายอินทัชแสนจะเจ็บปวด ทั้งที่ควรจะดีใจที่อัคคีมิได้หลอก
ลวงเห็นพระองค์เป็นแค่เครื่องมือบำบัดความใคร่ แต่กลับทรงเจ็บปวดเพราะรู้ดีว่ามันไม่มีทางลงเอยได้อย่างสวยงามเป็นแน่เพราะทรง
เป็นถึงเจ้าชายรัชทายาทแห่งรัตนปุระนครที่ถูกพระบิดาปลูกฝังมาเสมอว่าทรงเป็นคนของไพร่ฟ้า
“รักข้าบ้างหรือไม่อินทัช”
“รัก”
ตอบคำเดียวสั้นๆตรงจากหัวใจ แม้ว่าเบื้องแรกจะทรงขัดเคืองในสิ่งที่อัคคีกระทำเลวร้าย หากแต่เพราะความต้องการที่มิอาจ
หักห้ามเนื่องจากเหตุแห่งรักของเขา และเมื่อเจ้าชายอินทัชได้เรียนรู้นิสัยใจคอของอัคคีก็ยิ่งไม่อาจตัดใจได้เลย
“แต่จะทำเช่นไรเล่าหากรักของเรากลับเป็นสิ่งต้องห้าม”
“อย่ากลัวไปเลยเมียรัก ข้าจะไม่ให้ใครมาขัดขวางได้เป็นอันขาด”
อัคคีสัญญาหนักแน่น เขากดจูบแนบแน่นไปกับเรียกปากหวานล้ำเนิ่นนานกว่าจะยอมผละออก อย่างน้อยเขาก็ยังคลายความ
กังวลไปเปราะหนึ่งที่ได้เปิดเผยความรู้สึกและเข้าใจกับเจ้าชายอินทัชในที่สุด
“เหตุใดเจ้าจึงยังมีชีวิตอยู่ หาได้เสียชีวิตอย่างเช่นที่พระมารดาบอกเราเล่าอัคคี”
เมื่อเข้าใจในรักแล้วเจ้าชายอินทัชจึงได้มีสติใคร่ครวญเรื่องที่เกิดขึ้น จึงตรัสถามด้วยความสงสัยเมื่อความเป็นจริงผิดไปจากที่
เจ้านางปะวะหล่ำทรงเล่าให้ฟัง
“ข้าเติบโตมาด้วยการเลี้ยงดูของพ่อบัว”
“พ่อบัวงั้นรึ”
“พ่อบัวเล่าให้ข้าฟังว่า พ่อเป็นตระกูลเสนาบดีและถูกใส่ความให้ร้าย ครอบครัวของพ่อถูกกำจัดจนพ่อต้องพาข้าหนีตาย
เข้าไปในป่าและตกจากหน้าผาสูงเกือบเอาชีวิตไม่รอด จนกระทั่งพ่อสมิงที่เป็นหัวหน้าโจรของหุบผากาฬผ่านมาจึงช่วยชีวิตพ่อบัวและ
ข้าไว้ ข้าและพ่อบัวจึงได้เข้าไปอยู่ในหุบผากาฬ”
นิ่งฟังจนจบเจ้าชายอินทัชจึงเม้มโอษฐ์ด้วยความสงสัย หากนำเรื่องที่เจ้านางปะวะหล่ำเล่าและเรื่องที่อัคคีเล่าให้ฟังแล้ว
อย่างน้อยที่มั่นพระทัยมีสิ่งเดียวเท่านั้น
“เราคิดว่าพ่อบัวที่เจ้าเอ่ยถึงแท้จริงแล้วคือพระมาตุลาของพระบิดา หากจะนับญาติตามศักดิ์จริงๆพ่อบัวของเจ้าจะต้องเป็น
พระอัยกาหรือว่าปู่ของพวกเราทั้งคู่”
“แต่ข้าไม่เชื่อว่าพ่อบัวจะเป็นไส้ศึกให้อุดรรังษีเข้ามาตีเมือง”
อัคคีเอ่ยอย่างมั่นใจ คนอย่างพ่อบัว รักจริงเกลียดจริง ไม่มีทางที่พ่อบัวจะเป็นนกสองหัวเป็นอันขาด
“นั่นเป็นสิ่งที่เราสองคนต้องหาความจริงว่าเรื่องในอดีตเป็นเช่นใดกันแน่”
“ข้าจะต้องเข้ามาในเขตพระราชฐานเพื่อสืบหาความจริง ตอนนี้ข้าเข้ามาในพระราชวังได้เพราะสมัครเข้ามาเป็นทหารเพื่อ
เตรียมทำศึก”
อัคคีต้องการสืบเรื่องจริงและแก้ข้อกล่าวหาให้บัวเพื่อให้คนที่เขารักได้มีที่ยืนสง่าผ่าเผย เจ้าชายอินทัชทอดพระเนตรใบหน้า
ที่บัดนี้พรางด้วยหนวดเคราของอัคคี
“เราจะแต่งตั้งเจ้าเป็นองครักษ์ประจำตัวแทนเพชรกล้าที่ต้องไปช่วยงานด้านการฝึกปรือทหาร”
อัคคีมองอย่างชื่นชมในความหลักแหลมของคนในอ้อมกอด
“แล้วองครักษ์จะได้นอนกอดผู้เป็นเจ้านายทุกค่ำคืนหรือไม่”
“เดี๋ยวเหอะเจ้าตัวดี เราจะเลาะฟันเจ้าให้หมดปาก”
ตวัดสายพระเนตรใส่พลางแทงข้อศอกเข้าลำตัวของอัคคีอย่างหมั่นไส้ในคารม อัคคียกคิ้วสูงเมื่อนึกขึ้นได้ถึงความจำเป็นอีก
ข้อหนึ่ง
“ข้าเดินทางมาวังหลวงพร้อมเพื่อนสนิทที่เติบโตมาด้วยกันชื่อฟ้าฟื้น จะทำเช่นไรกับมันดีหากว่าข้าจะต้องมาอยู่กับเจ้าเพื่อ
สืบเรื่องในอดีต”
เจ้าชายอินทัชนิ่งคิดอีกคราก่อนจะตัดสินใจ
“เราจะฝากเพื่อนของเจ้าให้ไปอยู่ในสังกัดของเพชรกล้า เจ้าจะได้ไม่ต้องเป็นห่วงเพื่อน”
อัคคียิ้มออกมาได้เมื่อเจ้าชายอินทัชช่วยแก้ปัญหาให้เขา อัคคีพรมจูบไปบนพักตร์งามตอบแทนการช่วยเหลือนั้น
“เมียของข้าฉลาดเป็นเลิศ”
“ใครเป็นเมียโจรอย่างเจ้ากัน”
ดวงตาพราวมองอีกฝ่ายราวกับจะกลืนกินตลอดทั้งร่าง อัคคีพลิกกายขึ้นไปทาบทับอยู่บนวรกายโปร่งบางอีกครั้ง
“ปากแข็งไม่เลิกนะอินทัช งั้นข้าจะตอกย้ำอีกสักครั้งว่าเจ้าคือเมียของข้าก่อนที่พระอาทิตย์จะมาเยือน”
“อัคคี อย่าสิ อื้อ...”
ตั้งแต่เดินทางมาพร้อมกับอัคคีและสมัครเข้าเป็นพลทหารในพระราชวังฟ้าฟื้นก็ได้แต่ลอบมองบุรุษผู้แข็งแกร่งอย่างชายชาติ
ทหารของเพชรกล้าอยู่ห่างๆ ฟ้าฟื้นไม่กล้าแสดงตนว่าเขาคือใครด้วยซ้ำ ยามที่ต้องเข้าร่วมการฝึกฝีมือต่อสู้เขาก็พยายามอยู่ในกลุ่มที่
ห่างไกลจากครูฝึกเช่นเพชรกล้าอย่างที่สุด หัวใจของเขาทั้งชื่นชมในความสามารถของเพชรกล้าและแสนเศร้าเมื่อรู้ว่าตนเองกับเพชร
กล้านั้นช่างห่างไกลกันเหลือเกิน
เพชรกล้าคือนายทหารหนุ่มใหญ่อนาคตไกล เขาเป็นถึงราชองครักษ์คนสำคัญที่มีคนกล่าวขวัญถึงว่าตำแหน่งเสนาบดีด้าน
การทหารคงอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม ในขณะที่ฟ้าฟื้นเป็นแค่ลูกโจรป่าไร้การศึกษาหากินอยู่ในไพรกว้าง แตกต่างกันจนไม่อาจคิดว่าฟ้าฟื้นจะ
เข้าถึงเพชรกล้าเลยสักนิด
ได้แต่ลอบมองอยู่ไกลๆอย่างเจียมตัวเจียมใจ ยิ่งเห็นหน้าฟ้าฟื้นก็ยิ่งไม่อาจตัดใจจากร่างสูงบึกบึน รสรักในกระท่อมกลางป่า
ยังวนเวียนแม้แต่ในยามหลับสร้างความทรมานให้แก่เขาไม่น้อย ก็ดูสิว่าร่างแกร่งเปลือยท่อนบนอวดกล้ามเป็นมัดท่ามกลางแสงโพล้เพล้
ยามเย็น ขณะกำลังซ้อมพลองอยู่กับหุ่นซ้อมเพียงลำพังนั้นทำให้หัวใจของเขาสั่นไหวเพียงไหน
ก่อนที่จะทำร้ายจิตใจตนเองไปมากกว่านี้ ฟ้าฟื้นบอกตนเองว่าเขาควรถอย เขาจึงขยับกายออกจากใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งริม
ลานซ้อมที่ฟ้าฟื้นซ่อนกายแอบมองเพื่อจะกลับไปยังโรงพักของเหล่าพลทหารทันที
เสียงกรอบแกรบดังแว่วเรียกความสนใจจากเพชรกล้า พลองยาวในมือที่กำลังโบกตีเข้าใส่หุ่นซ้อมชะงักงันก่อนจะหันหลับไป
มอง เขาเห็นชายในชุดพลทหารคนหนึ่งกำลังหันหลังและก้าวออกไปจากบริเวณนั้น
“เดี๋ยว หยุดก่อน”
ส่งเสียงเรียกเพื่อหยุดฝีเท้านั้น เพชรกล้าเดินตรงไปยังพลทหารที่ยังไม่ยอมพลิกกายกลับมาหาเขา
“พลทหาร ไหนๆก็มาแล้ว มาเป็นคู่ซ้อมให้ข้าหน่อย”
“เอ่อ ข้าไม่เก่งพลองขอรับ”
เพชรกล้าขมวดคิ้วมองแผ่นหลังนั้น เหตุใดช่างคุ้นตาเสียเหลือเกิน เขายิ่งก้าวเข้าไปใกล้จนหยุดยืนอยู่ใกล้เพียงแค่เอื้อมมือ
ถึง
“ไม่เก่งก็ต้องยิ่งฝึก มัวแต่คิดว่าไม่เก่งแล้วเมื่อใดเจ้าถึงจะเก่งเล่า”
“ตะ แต่ว่า ข้า...”
“เหตุใดจึงหันหลังพูดกับข้า”
ส่งเสียงดุข่มขวัญ เพชรกล้าเห็นไหล่ทั้งสองข้างนั้นสั่นเทาผิดสังเกต
“นี่คือคำสั่ง หันหน้ามาเดี๋ยวนี้!”
ฟ้าฟื้นสะดุ้งเฮือก ดวงตากรอกไปมาเพื่อหาทางเอาตัวรอด เขาไม่ต้องการเผชิญหน้ากับเพชรกล้าในตอนนี้ ฟ้าฟื้นจึงตัวสินใจ
ในฉับพลันว่าเขาต้องหนี
“หยุดเดี๋ยวนี้ทหาร”
เรื่องอะไรจะหยุด
ฟ้าฟื้นโกยอ้าววิ่งหนีทันที ได้ยินเสียงฝีเท้าวิ่งตามมาติดๆจนฟ้าฟื้นยิ่งต้องเร่งแรงวิ่ง แต่ในที่สุดเขาก็ถูกรวบตัวจนกระทั่งกลิ้ง
ล้มไปกับพื้นพร้อมๆกับคนที่กระโจนเข้าใส่ และเมื่อร่างของทั้งคู่หยุดลงฟ้าฟื้นก็ต้องกัดริมฝีปากไว้แน่นเมื่อเห็นเพชรกล้าเบิกตากว้างอยู่
บนร่างของเขา
“ฟ้าฟื้น!”
ในที่สุดก็หลบไม่พ้น ฟ้าฟื้นถอนหายใจออกมา
“ปล่อย”
“เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”
“เรื่องของข้า”
“มันเป็นเรื่องของเจ้าที่ข้าจำเป็นต้องรู้ ว่าทำไมโจรจากหุบผากาฬจึงกลายมาเป็นพลทหารในวังหลวงเช่นนี้”
ส่งเสียงแข็งใส่ทั้งที่ความจริงหัวใจของเพชรกล้าลิงโลดอย่างดีใจเมื่อได้เห็นโจรหนุ่มอีกครั้ง เพชรกล้ายังอาลัยอาวรณ์ในรส
รักกลางป่าไม่รู้วาย แต่เขาจำเป็นต้องทำท่าแข็งขันเพราะหน้าที่
“ถ้าไม่ปล่อย ข้าจะไม่พูดด้วย”
ยืนยันข้อเสนอเดิมจนเพชรกล้าต้องลุกจากร่างนั้นอย่างเสียดาย ฟ้าฟื้นรีบดันกายลุกขึ้นยืนและทำหน้าบึ้งใส่เพชรกล้า
“เช่นไรล่ะ ข้าปล่อยเจ้าแล้วก็พูดออกมา”
“ไม่เห็นจะมีอะไรเลย ข้าก็แค่เบื่อเป็นโจรเลยหนีพ่อมาเป็นทหารก็แค่นั้น”
“แค่นั้น?”
“แค่นั้นก็คือแค่นั้น ท่านครูฝึกอย่าซักไซ้ให้มากความ”
เพชรกล้าเกือบจะซ่อนรอยยิ้มไว้ไม่มิดขณะกำลังมองฟ้าฟื้นที่หนีหน้าไปทางอื่น ไม่นึกไม่ฝันว่าจะได้เจอคนที่วนเวียนอยู่ใน
ความทรงจำของเขาตลอดเวลาจนเพชรกล้าต้องหาทางลืมเลือนด้วยการทำงานหนัก แม้ว่าเขาจะยังสงสัยว่าฟ้าฟื้นมาอยู่ในพระราชวัง
เพราะสาเหตุใด แต่เพชรกล้าจะฉกฉวยโอกาสอันดีนี้ไว้
“ข้าจำเป็นต้องซักไซ้เพื่อความมั่นคงของรัตนปุระนครในยามที่อาจเกิดสงครามได้ทุกเมื่อ หากเจ้ายังให้ความกระจ่างแก่ข้า
ไม่ได้ เห็นทีข้าจะต้องสอบสวนเจ้าเป็นกรณีพิเศษ ไปกับข้าเดี๋ยวนี้!”
“ไม่ไป ข้าไม่ไปเด็ดขาด ปล่อยข้า ปล่อยสิวะ”
ดิ้นรนอย่างเปล่าประโยชน์เมื่อในที่สุดข้อมือทั้งสองของฟ้าฟื้นก็ถูกมัดติดกันด้วยเชือกผูกเอวของเพชรกล้าที่ออกแรงลากให้
ฟ้าฟื้นเดินตามอย่างไม่เต็มใจ
“จะพาข้าไปไหน”
ฟ้าฟื้นเบิกตากว้างเมื่อเจ้าของแผ่นหลังบึกบึนหันหน้ามาตอบทันควัน
“ข้าจะพาเจ้าไปสอบสวนความจริงที่บ้านของข้า”
TBC