<<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >>
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >>  (อ่าน 129619 ครั้ง)

ออฟไลน์ Silvan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 266
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-3
เป็นไงล่ะรู้ฤทธิ์อินทัชแล้วสิอัคคี

ขี้หึงประดุตนางเสือเลยย555

อนาคตอัคคีจะกลัวเมียไหมนี่

ออฟไลน์ mystery Y

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +585/-12
หึงได้น่ารักเสียจริงเจ้าชาย~

ออฟไลน์ Apple_matinie

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1564
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-2

ออฟไลน์ kun

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3592
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +122/-10
กลับมาพร้อมความฟินเลือดสาดเกินบรรยาย สลบก่อน อิอิ

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ iNcamisang

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 77
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
เย่ๆๆ กลับมาแล้ว คิดถึงจังเล้ยยย
มาถึงก็จัดหนักจัดเต็มเชียวนะพะยะค่ะ  :katai2-1:

ออฟไลน์ kms

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1061
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-14
รอฟ้าฟื้นนนนนนนนนกับพ่อบัววววววว

ออฟไลน์ Belove

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1230
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +703/-2
    • ฺBelove


                                                   บัลลังก์รักใต้เงาแค้น

                                                           บทที่  23



               “ไหนลองปูที่นอนให้แม่ดูที พ่อฟ้าฟื้น”


               ร่างสูงของเพชรกล้าได้แต่ยืนมองอย่างเอาใจช่วยอยู่เบื้องหลังของสตรีร่างเล็ก แม้แผ่นหลังจะเริ่มค้อมลงด้วยวัยชราแต่คุณ

หญิงเพทายยังมีบุคลิกเข้มแข็ง เฉียบขาดด้วยเป็นทั้งเมียของนายทหารและแม่ของราชองครักษ์ สร้างความยำเกรงให้แก่สมาชิกใหม่

ของบ้านอย่างฟ้าฟื้นไม่น้อย


               “ข้า เอ๊ย กระผมไม่เคยปูผ้าเช่นนี้บนฟูกขอรับ คุณหญิงแม่”


               “ไม่เคยก็ต้องฝึก” คุณหญิงเพทายสีหน้าขึงขังจนฟ้าฟื้นแทบจะร้องไห้


               “ในเมื่อจะมาเป็นเมียพ่อเพชรแล้ว พ่อฟ้าก็ต้องฝึกปฏิบัติอย่างคนเป็นเมียปรนนิบัติผัว”


               “แต่ว่า...”


               “ไม่ต้องแต่ แม่บอกให้ทำก็ทำ”


               คำสั่งเป็นเด็ดขาดจากสตรีเพียงนางเดียวแต่ไม่มีใครกล้าขัด ฟ้าฟื้นได้แต่ชายตาไปยังเพชรกล้าที่มองอย่างให้กำลังใจก่อนที่

เขาจะลุกจากพื้นไม้ขัดมันปลาบขึ้นมาแล้วนำผ้าปูที่นอนสีขาวมาปูลงไปบนฟูกที่ยัดด้วยนุ่นอย่างทุลักทุเล


               “อะไร้ ทำไมมันยับย่นเช่นนี้”


               เสียงบ่นดังขึ้นทันทีเมื่อคุณหญิงเพทายตรงเข้ามาตรวจงาน


               “แล้วคนนอนจะนอนได้สบายอย่างไรกันเล่าพ่อฟ้า ไหนลองปูอีกครั้งให้แม่ชมเป็นขวัญตาเถอะพ่อ”


               ฟ้าฟื้นอยากจะร้องไห้เหลือเกิน แต่เมื่อเห็นสีหน้าจริงจังของคุณหญิงเพทายแล้วเขาจำเป็นต้องตรงเข้าไปดึงชายผ้าเหน็บ

เข้าไปใต้ฟูกหนาอีกครั้งพร้อมกับสายตาเข้มงวดของคุณหญิงเพทาย


               “ก็ยังไม่ดีนัก ดูตรงมุมนี้สิ พ่อฟ้า...”


               “แม่จ๋า”


               เสียงเพชรกล้าดังขัดจังหวะมารดาที่กำลังจะเริ่มสั่งสอนฟ้าฟื้นอีกครั้ง นึกขำใบหน้าของฟ้าฟื้นที่กำลังเหยเกเต็มที เพชรกล้า

ก้าวไปหาและเอื้อมมือเกาะต้นแขนมารดาอย่างประจบ


               “ฟ้าฟื้นไม่เคยทำงานเช่นนี้มาก่อน ได้แค่นี้ก็ดีมากแล้ว แม่ค่อยสอนฟ้าฟื้นวันอื่นนะแม่ วันนี้ลูกเหนื่อยเหลือเกินอยากเอนหลัง

เต็มที”


               คุณหญิงเพทายค้อนขวับเมื่อได้ยินคำพูดของบุตรชายเพียงคนเดียว


               “ไม่ทันไรก็พูดจาเอาใจเมียเสียแล้วพ่อเพชร ที่แม่ต้องฝึกพ่อฟ้าก็เพื่อให้ดูแลพ่อเพชรให้สุขสบาย แต่ เอาเถอะ เห็นแก่พ่อ

เพชรที่ทำงานเหน็ดเหนื่อยแม่จะพอแค่นี้ แต่ว่าพ่อฟ้า...”


               ฟ้าฟื้นถึงกับสะดุ้งเฮือกเมื่อคุณหญิงเพทายหันขวับมาหา


               “ขอรับ คุณหญิงแม่”


               “รุ่งเช้าตื่นนอนแล้วไปหาแม่ แม่จะสอนการจัดสำรับเช้า อย่าลืมจนนอนเพลินล่ะ”


               ทันทีที่คุณหญิงเพทายเดินลับสายตาออกไปตามด้วยเพชรกล้าที่ตามไปปิดประตูฟ้าฟื้นก็ถอนหายใจยาวอย่างโล่งอกจน

เพชรกล้าที่เดินกลับมาถึงกับยิ้มขำ


               “แม่ของพี่โหดร้ายปานนั้นเลยรึ”


               “พี่เพชรลองมาปูผ้าเช่นนี้ดูบ้างไหม”


               หน้าง้ำลงอย่างหมั่นไส้พลางทิ้งกายลงนั่งที่ปลายเตียง เพชรกล้าตรงเข้ามานั่งเคียงข้างและมองฟ้าฟี้นอย่างเอ็นดู


               “ไม่เอาน่า อย่าทำหน้าบึ้งตึงเช่นนั้น พี่ไม่ชอบ”


               เลื่อนมือโอบเอวพลางเชยคางให้ฟ้าฟื้นหันหน้ามาหา ปลายนิ้วสากนวดเฟ้นกรอบหน้าเบามือ


               “พี่อยากเห็นเจ้ายิ้มหวานๆให้ยามพี่กลับจากทำงานมาเหนื่อยๆได้ไหมฟ้าฟื้น”


               ฟ้าฟื้นเหยียดริมฝีปากออกทันทีอย่างประชดประชันจนเพชรกล้าต้องส่ายหน้าอย่างระอา


               “เช่นนี้เขาเรียกแยกเขี้ยวมิใช่ยิ้ม ให้โอกาสอีกครั้ง เร็วเข้าฟ้าฟื้น”


               เพราะสายตาคมที่มองนั่นเองที่ทำให้ฟ้าฟื้นยอมยิ้มได้ เพชรกล้าที่รออยู่แล้วจึงรีบกดริมฝีปากเข้าหาอย่างรวดเร็ว มือที่โอบ

เอวอยู่เดิมออกแรงรั้งกายให้ฟ้าฟื้นหงายหลังลงไปบนฟูกนุ่มตามด้วยกายแกร่งของเพชรกล้าที่โถมทับลงไปทันที


               “อื้อ พี่เพชร ไหนว่าเหนื่อย อยากเอนหลัง”


               “ก็นี่เช่นไร เอนหลังลงไปบนฟูกนุ่มอย่างตัวเจ้า”


               พึมพำอยู่กับกายในวัยหนุ่มของฟ้าฟื้น กลิ่นหนุ่มยั่วจมูกจนต้องเร่งซุกหน้าเข้าหาพลางสาละวนถอดเสื้อผ้าออกจนต่างไม่

เหลือติดตัว


               “เห็นข้าเป็นที่นอนงั้นหรือ เดี๋ยวเถอะ”


               ฟ้าฟื้นขู่ฟอดแต่มีหรือที่เพชรกล้าจะกลัว เขาฟอนเฟ้นเนื้อตัวของฟ้าฟื้นจนอ่อนระทวยไปทั้งตัว


               “จำคำคุณหญิงแม่ไม่ได้รึฟ้าฟื้น เป็นเมียต้องปรนนิบัติผัว แล้วจะมีเรื่องใดที่เจ้าจะปรนนิบัติข้าได้ดีกว่าเรื่องนี้อีกเล่า”


               น้ำเสียงออดอ้อนเว้าวอนจนฟ้าฟื้นใจอ่อน ใบหน้าอ่อนเยาว์แดงจัดด้วยความต้องการที่กระพือขึ้นมาจากการปลุกของเพชร

กล้า ฟ้าฟื้นออกแรงผลักให้เพชรกล้าขยับหงายอยู่กลางเตียงอวดท่อนลำแข็งแรงเป็นเส้นตรงอยู่เบื้องหน้า และเพราะเจียมตนดีว่าหาได้

มีดีจะเทียบเคียงเพชรกล้า แต่เพราะหัวใจรักจึงอยากจะมอบความสุขให้และเป็นเช่นดังที่เพชรกล้ากล่าว สิ่งที่ฟ้าฟื้นจะทำได้คงมีเพียง

ไม่กี่สิ่งอย่างเท่านั้น


               ขยับกายขึ้นคร่อมอยู่เหนือแก่นกายแข็งแกร่ง ฟ้าฟื้นหันหลังให้กับเพชรกล้าพลางเปิดทางรับให้เพชรกล้าแทรกกายเข้าหา

ความอุ่นร้อนกระทบภายในจนสั่นสะท้านกว่าที่ฟ้าฟื้นจะกดเอวลงไปกระทั่งนั่งทับไปกับท่อนขาที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามได้


               “โอ ดีเหลือเกินฟ้าของพี่”


               หน้าคมแหงนเงยเป่าปากระบายความรู้สึก ช่องทางร้อนตอดรัดเร่งเร้าความต้องการจนหน้ามืด เพชรกล้ากัดฟันผงกศีรษะมอง

แผ่นหลังเนียนยามขยับขับเคลื่อนอยู่บนเอวของเขา ฟ้าฟื้นเหลียวหลังมองสบตาฉ่ำปรือด้วยความปรารถนาไม่ต่างกัน


               “โยกเลยเมียรัก ได้ดั่งใจเหลือเกิน”


               ครางต่ำต่อเนื่อง เพชรกล้าขยับคว้าสะโพกหนั่นแน่นแล้วบีบเค้นสนุกมือ เขาสวนเอวเข้าหาเรียกเสียงผวาได้จากคนคุม

บังเหียน เพชรกล้ายกเอวฟ้าฟื้นกระแทกกลับลงมายามที่เขาดันเอวเข้าไป


               “อื้อ พี่เพชร”


               ใบหน้าเหยเกตามแรงอารมณ์ ฟ้าฟื้นเหยียดกายบิดเร่าพลางใช้มือทั้งสองลูบไล้ตนเองด้วยความเสียวซ่าน มือเรียวคว้าท่อน

เนื้อตนเองรูดรั้งไปพร้อมกับเร่งเอวขึ้นลงอยู่บนร่างแกร่งที่ไม่ยอมอยู่นิ่ง ความคับแน่นร้อนรนภายในจนกล้ามเนื้อบีบรัดน้ำคาวขุ่นพุ่งพรวด

เต็มกำมือ


               “อ๊า พี่เพชร”


               ครวญหวานยาวพร้อมกับความสุขสมนำหน้า เพชรกล้ากัดฟันจับเอวคอดไว้มั่นพลางขยับถี่ยิบ และเพียงเสี้ยวอึดใจเขาก็ถึงฝั่ง

ฝันอยู่เต็มช่องทางคับแคบจนมันรินไหลลงมาตามต้นขาของฟ้าฟื้นที่ยังหอบหนัก ฟ้าฟื้นทิ้งกายหงายหลังลงมานอนแผ่อยู่บนลำตัวของ

เพชรกล้าเนื้อตัวเหนียวหนับ


               “ความจริง ท่านแม่ไม่จำเป็นต้องสอนเจ้าปูผ้าบนฟูกก็ได้นะ”


               เพชรกล้ากระซิบเสียงกระเส่าพลางสอดแขนโอบเอวฟ้าฟื้นไว้ก่อนจะพลิกกายกลับให้ฟ้าฟื้นต้องอยู่ด้านล่างบ้าง


               “เพราะถึงจะปูตึงเช่นไร มันก็ต้องยับย่นเพราะบทรักของข้ากับเจ้าอยู่ดี”
               





               อัคคีกำลังควบคุมจิตใจตนเองมิให้ตื่นเต้นเมื่อเขาเดินตัวตรงติดตามอยู่เบื้องหลังของเจ้าชายอินทัชธราธิปรัชทายาทแห่งรัตน

ปุระนคร อัคคีย้ำให้เขารู้ตัวอยู่เสมอว่าบัดนี้เขากำลังปฏิบัติหน้าที่ราชองครักษ์

               ร่างสูงอยู่ในชุดนายทหารทำให้เขาสง่างามไม่แพ้บุรุษอื่น แม้จะยังไม่ถึงกับโกนหนวดเคราเกลี้ยงเกลา หากแต่เพราะแต่งเล็ม

จนเข้ารูปเข้ารอยก็ยิ่งทำให้อัคคีกลายเป็นบุรุษหนุ่มน่ายำเกรง เข็มกลัดแห่งราชองครักษ์เด่นชัดอยู่ที่หน้าอกด้านซ้ายทำให้เขาภาคภูมิใจ

เป็นอย่างยิ่งยามเหล่าข้าราชบริพารโค้งคำนับเมื่อเจ้าชายอินทัชก้าวพระบาทผ่าน

                เดินตัวตรงสง่าผ่าเผยหากแต่สายตาก็ยังไม่วายลอบมองความงดงามของสถานที่แปลกตา ส่วนในของราชวังงดงามยิ่งกว่าที่

คาด เจ้าชายอินทัชกำลังเดินนำเขาผ่านทางเดินกว้างที่ฝั่งหนึ่งเป็นช่องกระจกโค้งมนตกแต่งด้วยผ้าม่านหนาสีฟ้าเข้มขอบทองมัดรวบ

ด้วยเชือกเกลียวสีทองเช่นกัน ระหว่างช่องลมมีดโคมแก้วอัจกลับลายกนกงดงาม ส่วนอีกด้านเป็นกำแพงประดับประดาด้วยภาพวาด

เหมือนบุคคลเรียงรายตลอดทางเดิน


               “ภาพวาดเหล่านี้คืออดีตบรมมหากษัตริย์ที่เป็นบรรพบุรุษของเรา”


               เสียงกล่าวดังแว่วมาจากร่างโปร่งที่ทอดพระบาทนำอยู่เบื้องหน้า อัคคีใช้หางตาเหลือบมองภาพวาดเหล่านั้นด้วยความตื้นตัน

รู้ดีว่าเจ้าชายอินทัชต้องการบอกสิ่งใดกับเขา คำว่า “เรา” มิเพียงหมายถึงผู้ที่เอ่ยคำออกมา หากแต่รวมถึง “เขา” เข้าไปด้วย

               ก้าวตามเจ้าชายอินทัชอย่างไม่รู้จุดหมายจนกระทั่งหยุดยืนอยู่หน้าบานประตูหนาหนักที่มีราชองครักษ์ยืนนิ่งอยู่ด้านหน้า รอ

จนได้รับคำขานพระนามเจ้าชายอินทัชธราธิปบานประตูจึงเปิดออกให้เจ้าของพระนามเดินเข้าไป

               อัคคีหยุดยืนอยู่หน้าห้อง แม้จะไม่คุ้นเคยกับขนบธรรมเนียมในวังหลวงแต่เขาก็พอจะเดาได้ว่าบุคคลที่อยู่ภายในต้องมีความ

สำคัญมาก เขาจึงไม่กล้าผลีผลาม หากแต่เจ้าชายอินทัชกลับหันมาและพยักหน้าให้เขา


                “ตามเข้ามาเถิดอัคคี”


               นั่นเองจึงทำให้อัคคีกล้าจะเดินตามเข้าไป เขาลอบกวาดสายตาอย่างรวดเร็วจึงเห็นเป็นห้องโถงกว้างและมีเก้าอี้เบาะหนัง

ยาวตั้งอยู่ทั้งสองฝั่ง ทั้งห้องตกแต่งด้วยเครื่องเงินเครื่องทองอันเป็นสัญลักษณ์ของรัตนปุระนครจนลานตาไปหมดและมีบานประตูอยู่ตรง

ข้ามกับที่เขาเพิ่งจะก้าวผ่านมา


               “ห้องนี้เรียกว่าห้องรอเฝ้า”


               ตรัสเล่าให้ฟังเสียงเรียบหากแต่พระเนตรหวานมองอย่างให้กำลังใจ เพียงชั่วอึดใจบานประตูอีกฝั่งจึงเปิดออกก่อนปรากฏกาย

บุรุษสูงสง่าก้าวออกมา ใบหน้าขรึมและปลายผมสีดอกเลาช่างคล้ายคลึงกับเจ้าชายอินทัช ทำให้อัคคีรู้ทันทีว่าเขาคือใคร


               “ขอเดชะพระอาญามิพ้นเกล้า”


               อัคคีโค้งคำนับจนคางเกือบชิดอกทั้งที่เขาอยากจะมองพระพักตร์นั้นเหลือเกิน น้ำตารื้นจนเขาต้องกัดฟันไว้แน่นเพื่อข่มความ

ตื้นตันที่พรูขึ้นมาในความรู้สึก


               “เงยหน้าขึ้นเถิดอัคคี”


               สุรเสียงเจ้าชายอินทัชแว่วเข้าหูให้เขาได้กลับมายืนตัวตรง อดไม่ได้ที่จะฟังการสนทนาที่เกิดขึ้น


               “อินทัช พ่อไม่เห็นหน้าเจ้าเสียนาน สบายดีใช่ไหม”


               เป็นเพราะศึกกับอุดรรังษีประชิดเมืองลูกหลวงเข้ามาทุกที ทำให้เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ศตรัศม์ทรงออกบัญชาการรบด้วยองค์เอง

นานๆถึงจะเสด็จกลับเข้ามาในพระราชวัง ความวิตกกังวลฉายชัดอยู่บนพระพักตร์จนเจ้าชายอินทัชพระทัยหาย


               “ลูกสบายดีพะย่ะค่ะพระบิดา ห่วงก็แต่พระบิดาที่กรำงานหนัก ลูกอยากจะช่วยพระบิดาเหลือเกิน”


               เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ทรงแย้มสรวลได้แม้จะยังเคร่งเครียด ทรงวางพระหัตถ์ลงบนพระอังสะของราชโอรส


               “แค่ได้ข่าวว่าลูกพ่อขยันศึกษาตำราและฝึกปรือการต่อสู้พ่อก็ดีใจมากแล้ว ยังไม่จำเป็นต้องถึงมือเจ้าหรอกอินทัช แล้วนี่พา

ใครมาหาพ่อ”


               เจ้าชายอินทัชแย้มสรวลน่าเอ็นดูยามอยู่กับพระบิดา ทรงขยับวรกายมาทางอัคคีแล้วเอ่ยออกไปทันที


               “องครักษ์คนใหม่ของลูกพะย่ะค่ะ”


               “ได้ข่าวเหมือนกันว่าลูกคัดเลือกองครักษ์ใหม่แทนเพชรกล้า ที่แท้คือเจ้าหนุ่มคนนี้งั้นรึ ไหนแนะนำตัวให้รู้จักหน่อยสิ”


               “พระอาญามิพ้นเกล้า หม่อมฉันนามว่าอัคคีพะย่ะค่ะ”


               น้ำเสียงเข้มแข็งนั้นเรียกความสนพระทัยจากเจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ได้เป็นอย่างดี สะดุดเนตรเหลือเกินกับร่างสูงเทียบเท่า

พระองค์ กรอบหน้าเต็มไปด้วยหนวดเคราครึ้ม ทรงก้าวพระบาทเข้าไปหยุดอยู่ตรงหน้าสบเนตรกับดวงตาคมที่มีเพียงข้างเดียว ส่วนอีก

ข้างถูกบดบังด้วยผ้าคาดตาสีดำมอ หากแต่ดวงตาเพียงข้างเดียวกลับรู้สึกคุ้นเคยแต่ทรงคิดไม่ออกว่าเคยเห็นที่ใด


               “เหตุใดดวงตาของเจ้าจึงเหลือเพียงข้างเดียว”


               มีพระราชปุจฉาในสิ่งที่สงสัย อัคคีกลืนน้ำลายลงคอเพื่อให้เขาตอบกลับได้ด้วยน้ำเสียงปกติที่สุด


               “หม่อมฉันพลัดตกเหวตั้งแต่เมื่อครั้งแรกเกิด จึงเสียดวงตาไปตั้งแต่บัดนั้นพะย่ะค่ะ”


               พลัดตกเหว!

               สะเทือนพระทัยจนต้องถอนพระอัสสาสะ เมื่อกระหวัดคิดถึงความสูญเสียที่กลายเป็นบาดแผลในพระทัยจนกระทั่งทุกวันนี้

เมื่อได้รับรายงานจากผู้ที่ติดตามพระมาตุลาไปว่าพลัดตกหุบเหวสูงไปทั้งพระราชโอรสอีกองค์หนึ่งซึ่งยังไม่ได้ทอดพระเนตรเสียด้วยซ้ำ


               “ก็ยังโชคดีที่รอดชีวิตมาได้ ชื่ออะไรนะ อัคคีใช่ไหม”


               เจ้าฟ้าแห่งรัตนปุระนครทรงจ้องลึกเข้าไปในดวงตาเพียงข้างเดียวนั้น และสายตาที่อีกฝ่ายจ้องตอบช่างชวนให้นึกถึงดวงตา

ของใครบางคนที่ยังอยู่ในพระทัยไม่ว่าเวลาจะผันผ่านไปเท่าใดก็ตาม


               “โกมุท”


               เพียงแผ่วเบาที่ตรัสอย่างเผลอไผลก่อนที่เสียงจากราชองครักษ์ด้านนอกจะเอ่ยคำขานพระนามออกมา


               “เจ้านางปะวะหล่ำเสด็จ”


               ไม่ทันที่ราชองครักษ์จะผลักประตู บานประตูกลับถูกเปิดออกเพราะความพระทัยร้อน เจ้านางปะวะหล่ำทรงย่ำพระบาทเข้ามา

หยุดยอบองค์ทำความเคารพตามขั้นตอนแล้วจึงทอดพระเนตรพระสวามีอย่างไม่พอพระทัย


               “เหตุใดทรงลดเบี้ยหวัดของหม่อมฉันเพคะ”


               “ปะวะหล่ำ”


               “ทรงรู้อยู่แล้ว ว่าค่าใช้จ่ายของหม่อมฉันมีมาก แต่ก็ทรงกล้าลดทอนลง นี่พระองค์ยังเห็นหม่อมฉันเป็นชายาอยู่หรือเปล่า”


               “หยุดนะ ปะวะหล่ำ!”


               ตรัสเสียงเครียดเข้มต่ำลึกในพระศอ ทรงอับอายคนภายนอกเช่นอัคคีเหลือเกินที่ต้องมาเห็นสิ่งที่ไม่ควรเห็น เจ้าชายอินทัช

เองก็ยั้งพระมารดาไว้ไม่ทัน


               “ก็เพราะเรายังเห็นว่าเจ้าเป็นชายาเราถึงได้ลดเบี้ยหวัดของเจ้า ในยามหน้าสิ่วหน้าขวานบ้านเมืองระส่ำระสายด้วยศึกจาก

ภายนอก เจ้านางแห่งเมืองสมควรแล้วหรือที่จะใช้ทรัพย์สินเพื่อความพอใจของตนเพียงผู้เดียว”


               “พระองค์!”


               “พระมารดา”


               เจ้าชายอินทัชขยับเข้าไปขวางระหว่างกลาง ทรงรั้งพระหัตถ์เจ้านางปะวะหล่ำเอาไว้มิให้กริ้วมากไปกว่านี้


                “พระมารดาอย่าเคืองเลย ตอนนี้การศึกสำคัญมากบ้านเมืองต้องใช้จ่ายมากขึ้นด้วย พระมารดาก็แค่ไม่ต้องตัดฉลองพระองค์

ชุดใหม่นะพะย่ะค่ะ ฉลองพระองค์เดิมพระมารดายังใส่ไม่หมดเลย”


               “เอ๊ะ เจ้าลูกคนนี้ ไม่ได้ดั่งใจจริงๆ”


               ทรงสะบัดพักตร์ด้วยไม่สบพระอารมณ์จนหันไปเห็นคนแปลกหน้ายืนนิ่งอยู่ด้วย เจ้านายปะวะหล่ำพลันขมวดพระขนงทันที


               “นี่ใครกัน”


               “องครักษ์คนใหม่ของลูกเองพะย่ะค่ะ ชื่อว่าอัคคี”


               ทอดพระเนตรองครักษ์คนใหม่ด้วยพระเนตรคลางแคลง ครั้นสบเนตรด้วยพระหทัยของเจ้านางก็เต้นรัว

               คล้าย

               คล้ายใครกัน

               ทรงนึกไม่ออกว่าดวงตาเพียงข้างเดียวที่จับจ้องพระองค์ด้วยความสงสัยใคร่รู้และลึกลงไปเป็นไฟร้อนฉาบหลังนี้คล้ายกับ

ดวงตาของใครกันแน่




                                          TBC


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14-06-2016 00:12:53 โดย Belove »

ออฟไลน์ kms

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1061
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-14
กรี๊ดดดดดดด ฟ้าฟื้นน่ารักมากกกกกกกก
เจ้านางนี้ร้ายไม่หยุดจริงๆ
แอบสงสารเจ้าฟ้าอาทิตย์

ออฟไลน์ Silvan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 266
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-3
เจ้านางจะนึกรักอัคคีที่เป็นลูกไหมนะ

หรือว่าจริงๆแม้แต่อินทัชนางก็ไม่เคยรัก

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ ❣☾月亮☽❣

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6773
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-6
เหยยยย คู่น้องฟ้านี่ก็ช่างน่าอิจฉาจริงๆ จะปูผ้าไปทำไมเนอะตึงๆ ยังไงก้อต้องปูใหม่อยู่ดีแหละ ปูบ่ยอๆเดี๋ยวเก่งเองแหละ ฮี่ๆ
ส่วนทางนี้แอบสงสารฝ่าบาทอะ แต่ว่าทำไมคล้ายโกมุทได้ พระราชาไม่ใช่พ่อที่แท้จริงเหรอ สรุปว่าใครคือพ่อที่แท้จริงอ่า ทำกิฟท์ไม่ได้ซะด้วยต้องธรรมชาติแท้ๆ แล้วแฝดได้นี่ก้อสุดยอดแล้วยุคนั้นอะนะ
หมั่นไส้นางปีศาจ

ออฟไลน์ mystery Y

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +585/-12
เมื่อใหร่นางจะตายซะที!

ออฟไลน์ kun

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3592
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +122/-10
ฟ้าฟื้นร้อนแรงมาก อย่างที่เพรชกล้าบอกเลย ไม่ค้องปูหรอก อิอิ
ยังไงๆๆๆสงสัยแล้วอ่ะ

ออฟไลน์ iNcamisang

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 77
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
เป็นพระชายาที่ไม่ทำหน้าที่เมียที่ดีเอาซะเลย เบื่อนาง

ออฟไลน์ Apple_matinie

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1564
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-2
ตอนหน้าขอให้พระราชาจับได้ว่าพระชายามีชู้

ออฟไลน์ ่jum

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3704
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-4
เฝ้ารอลุ้นเมื่อไหร่วะปะหล่ำจะแพ้ภัยตัวเองเสียที  :katai1:

ออฟไลน์ Guill

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 678
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-4
ลุ้นว่าผลสุดท้ายจะเป็นยังไง

ออฟไลน์ nunda

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3004
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-2

ออฟไลน์ kms

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1061
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-14
รอพ่อบัว ฟ้าฟื้นนนนนนนน

ออฟไลน์ Belove

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1230
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +703/-2
    • ฺBelove


                                                               บัลลังก์รักใต้เงาแค้น

                                                                      บทที่  24


               ช่างเถอะ จะเป็นใครก็ช่าง มีเรื่องที่สำคัญกว่าองครักษ์ของราชโอรสมากนัก เจ้านางปะวะหล่ำดำริในพระทัยก่อนจะหันไปยัง

พระสวามี


               “หม่อมฉันต้องการเบี้ยหวัดของหม่อมฉันคืนเพคะ”


               ยืนกรานเสียงแข็งหากแต่เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ก็ยังคงหนักแน่นในเจตนา


               “หากเจ้าจะมองด้วยสายตาของความเสียสละ ก็จะรู้ว่าแม้แต่เบี้ยหวัดของเราก็ยังลดไปถึงกึ่งหนึ่งเพื่อนำเงินเหล่านั้นไปช่วย

บ้านเมือง”


               “หมายความว่าพระองค์จะไม่ให้”


               “ถูกแล้วปะวะหล่ำ”


               สุรเสียงเด็ดขาดเข้มแข็งทำให้เจ้านางปะวะหล่ำเจ็บแค้นในพระทัยยิ่งนัก ทรงกำพระหัตถ์หักห้ามโทสะขณะจ้องพระเนตรไป

ที่เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ หากแต่เพราะอีกฝ่ายแม้จะเป็นสวามีแต่ก็เป็นถึงผู้ครองแคว้นจึงได้แต่สะบัดพักตร์กระแทกพระบาทจากไปด้วยความ

โกรธกริ้ว และไม่มีที่ใดที่จะกลายเป็นที่ระบายอารมณ์นั้นได้ดีเท่าเรือนโบราณท้ายเมืองอีกแล้ว

               หากแต่เมื่อไปถึงก็ต้องทรงกริ้วหนักยิ่งขึ้นเมื่อพานพบว่าแม่ย่าเฟื่องรุ้งมิได้อยู่เพียงลำพัง กลับมีหญิงสาวชาวบ้านเปลือยกาย

อยู่ให้ห้องหับเร้นลึกจึงทรงกรีดร้องและตรงเข้าไปทุบตีทันที


               “แม่ย่า เมื่อไหร่แม่ย่าจะเลิกยุ่งกับอีนังพวกนี้เสียที”


               หลังจากส่งต่อหญิงชาวบ้านให้แก้วกุดั่นที่รออยู่ภายนอกไปจัดการต่อดังเช่นเคยแล้ว เจ้านางปะวะหล่ำจึงส่งเสียงตวาดไปยัง

หญิงชรานัยน์ตาดุที่มองกลับด้วยสายตาดูแคลน


               “พวกมันเหล่านั้นก็มีปัญหาชีวิตทุกข์ใจต้องการความช่วยเหลือเหมือนกับเจ้านางเช่นกัน การที่ข้าช่วยเหลือพวกมันจะผิดอัน

ใด”


               “แม่ย่าเปรียบพวกมันเทียบกับข้าเชียวรึ เกินไปแล้วนะ”


               “หุบปาก!”


               ทันทีที่เสียงตวาดสิ้นสุดเจ้านางก็พลันหมดเสียง เหลือเพียงโอษฐ์ที่ขยับไปมาพร้อมพระเนตรเหลือกลาน แม่ย่าเฟื่องรุ้งกรีด

รอยยิ้มบนใบหน้าอย่างพอใจ


               “แล้วก็นั่งลงเสียที แล้วคราวนี้มีอะไรก็กล่าวมา”


               เจ้านางปะวะหล่ำก้าวบาทมากระแทกกายลงนั่งเบื้องหน้าแม่ย่าเฟื่องรุ้งอย่างไม่เต็มพระทัยนัก ทรงค้อนควักตวัดพระเนตร

อย่างแค้นพระทัย


               “ก็เรื่องเดิม” เมื่อแม่ย่าเฟื่องรุ้งอนุญาตให้กล่าววาจาได้ เสียงจึงเปล่งดังได้เช่นเดิม ร่องรอยเหี่ยวย่นรอบดวงตาของแม่ย่า

เฟื่องรุ้งกระตุกวับ


               “เรื่องของผัวเจ้านางอีกสินะ”               


               “ใช่ สวามีของข้าไม่เคยเห็นคุณค่าของข้ามาตั้งแต่ยังสาว จนบัดนี้ลูกโตเป็นหนุ่ม ก็ยังไม่เคยเห็นข้าเป็นเมีย”


               “เจ้านาง ลองถามใจตัวเองดูทีรึ ว่าแท้จริงแล้วเจ้านางรักผัวบ้างหรือไม่”


               คำถามของหญิงชราสวมชุดสีเข้มนั้นกระแทกพระทัยอย่างจัง เจ้านางปะวะหล่ำนิ่งงันถามไถ่หัวใจตนเองโดยสัตย์


               ไม่ได้รัก!

               มันคือหน้าที่ของขัตติยกษัตรีย์ที่พระองค์ต้องกระทำ และเมื่อได้รู้ว่าทรงเป็นรองใครบางคนที่ได้ครอบครองพระสวามีของ

พระองค์มาก่อนหน้าความต้องการเอาชนะจึงบังเกิด มันเป็นทิฐิมานะของพระธิดาองค์สุดท้องที่มีแต่ผู้ตามพระทัยจนเคยชิน ไม่มีสิ่งใดที่

เจ้าหญิงองค์น้อยต้องการแล้วไม่ได้

               แม้จะทรงกำจัดศัตรูไปได้แล้วก็ยังไม่สามารถพิชิตใจเจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ลงได้ ภายหลังมันจึงกลายเป็นความคับแค้นจนยาก

จะขจัด


               “ไม่ ข้าไม่เคยรัก” เจ้านางปะวะหล่ำตรัสตอบตรงกับใจคิด


               “ทุกวันนี้ก็อดทนอยู่อย่างซังกะตาย เบื่อแสนเบื่อผู้ชายจืดชืดเช่นนั้นเหลือเกินแล้ว”


               “ทำไมเจ้านางไม่กลับไปยังเมืองเหมราชบ้านเมืองของเจ้านาง”

         
                 แม่ย่าเฟื่องรุ้งเสนอหนทางอันทำให้เจ้านางปะวะหล่ำฉุกพระทัยคิด


               “แต่การจะกลับไปมือเปล่าก็อาจจะเสียงทั้งเวลาที่ล่วงมาเกือบยี่สิบปีและเสียทั้งหน้าตาของเจ้าหญิงผู้สูงศักดิ์”


               “แม่ย่าหมายความถึงเช่นใด”


                ทรงเค้นเสียงถามเมื่อทรงครุ่นคิดตาม แม่ย่าเฟื่องรุ้งแสยะยิ้มน่ากลัวก่อนตอบ


                “ครอบครองรัตนปุระนครก่อนกลับบ้านเมืองของเจ้านาง”


                   ความคิดพลันสว่างวาบกับข้อชี้แนะของแม่ย่าเฟื่องรุ้ง ในเมื่อทนอยู่ไปก็ไร้ค่ามีแต่จะทำให้เจ็บพระทัยมากขึ้นทุกวัน เหตุใด

พระองค์ต้องอยู่ด้วยความอดทนเล่าหากว่าจะมีทางเลือกอื่น

                  กลับบ้านพร้อมกับนำของขวัญไปมอบให้พระราชบิดาพระราชมารดาเสียไม่ดีกว่าหรือ

                  ใบหน้าบึ้งตึงค่อยจางหายแทนด้วยรอยยิ้มถูกพระทัย ทรงขยับเข้าไปใกล้ชิดหญิงวัยชราที่ยังคงแข็งแรงอย่างไม่น่าเชื่อ

พลางวางหัตถ์ไปแนบที่บ่าของแม่ย่าเฟื่องรุ้ง


                  “แม่ย่า ท่านคือที่พึ่งของข้าจริงๆ แสงสว่างในยามมืดของข้าก็คือท่าน มิเสียแรงที่ข้ายอมพลีกายให้ท่าน”


                   วรกายอวบอัดในวัยดอกไม้เบ่งบานเต็มที่ถูกฝ่ามือเหี่ยวย่นผลักให้หงายไปกับพื้นไม้แข็งกระด้างทันที ดวงตาคมกล้าสว่าง

วูบเมื่อถอดอาภรณ์งามออกจากร่างสตรีสูงศักดิ์ช้าๆจนเหลือเพียงร่างขาวโพลนในห้องมืดที่มีเพียงแสงตะเกียงสลัวเลือนลาง

                  แม่ย่าเฟื่องรุ้งโถมกายเข้าหาผิดกับบุคลิกเย็นชาอันเป็นปกติ ปทุมถันอ่อนนุ่มถูกบีบเค้นด้วยมือเย็นเยียบและกลืนกินเนื้อตัว

ด้วยปลายลิ้นและคมฟัน เสียงครวญครางระงมออกจากโอษฐ์ยามแอ่นกายให้อีกฝ่ายเชยชมจุดสงวนจนน้ำใสไหลวนจากแก่งโขดหินที่

ถูกเรือน้อยพุ่งชน

                 เจ้านางปะวะหล่ำปล่อยใจไปกับความหฤหรรษ์ที่แม่ย่าเฟื่องรุ้งปรนเปรอให้ มันเป็นความสุขที่หาจากที่ใดมิได้อีกแล้ว ทรง

ได้แต่ตักตวงมันไว้ให้อิ่มหนำพอที่จะบรรเทาความต้องการของความเป็นปุถุชนลงให้หมด






                  “คิดสิ่งใดอยู่รึอัคคี”


                 เจ้าชายอินทัชธราธิปทอดพระเนตรแผ่นหลังกว้างที่ยืนอยู่หน้าช่องบัญชรเหม่อมองพระจันทร์ครึ่งเสี้ยวบนฟากฟ้า คนถูก

เรียกจึงได้ถอนหายใจและหันหน้ามาตอบ


                “คิดถึงหุบผากาฬ คิดถึงพ่อบัว คิดถึงพ่อสมิง”


                เจ้าชายอินทัชก้าวพระบาทเข้าไปหาและหยุดยืนเคียงข้างฝาแฝดของพระองค์พลางเงยพักตร์มองพระจันทร์ไปพร้อมกันกับ

อัคคี


                    “พ่อสมิงของเจ้าดุร้ายอย่างที่เขาเล่าลือกันหรือไม่”


                    “จะว่าดุก็ดุ พ่อสมิงของข้าเก่งมากทั้งเรื่องต่อสู้และวิชาอาคมที่ต้องดำรงชีพอยู่ในป่า ถึงแม้จะได้ชื่อว่าโจรแต่พ่อสมิงก็

เลือกปล้นเฉพาะเศรษฐีที่ขูดเร้นกับชาวบ้านเท่านั้น แต่ดุอย่างไรพ่อสมิงก็ไม่เคยดุข้า และพ่อยังกลัวพ่อบัวราวกับกลายเป็นหนูตัวเล็ก”


                   ยามเล่าถึงบิดาที่เป็นโจรป่า ดวงตาคมกลับฉายแววอ่อนโยนสนิทสนมจนเจ้าชายอินทัชนึกสะท้อนอยู่ในอก


                  “แล้วกับพ่อแม่แท้จริงที่ได้พบหน้าเป็นครั้งแรกในวันนี้เล่า เจ้าคิดเห็นเช่นใด”


                  อัคคีเงียบงัน เขาเหม่อมองท้องฟ้าสีดำสนิทที่มีหมู่ดาวกระจายตัวแข่งกันส่องแสงระยิบระยับเพื่อเรียบเรียงความคิดของตน

ก่อนจะตอบออกไป


                  “สำหรับเจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ข้ารู้สึกถึงความตื้นตันที่ได้พบท่าน เหมือนพระองค์เป็นดวงตะวันที่ส่องแสงสว่างจนข้าไม่อาจ

เอื้อม ส่วนเจ้านางปะวะหล่ำ ข้า... ไม่รู้สิ ข้าแปลกใจว่าแม่ที่ข้าจินตนาการทำไมห่างไกลจากเจ้านางนัก”


                “แต่ทั้งสองคือพ่อและแม่ที่แท้จริงของเจ้านะอัคคี”


                จริงเช่นที่เจ้าชายอินทัชตรัส ความรู้สึกผูกพันนั้นมีอยู่หากแต่ความยอมรับนั้นอาจจะยังไม่ถึงเวลา บางทีหากอัคคีได้รู้ความ

จริงของเรื่องทั้งหมดแล้วทุกอย่างอาจจะดีขึ้น หรือไม่ก็เลวร้ายยิ่งกว่าเดิม

                แต่นั่นเป็นเรื่องของอนาคตที่อัคคียังไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น อัคคีได้แต่หันไปมองพระพักตร์งามของคนที่ยืนเคียงข้าง ที่เป็น

ปัจจุบันของเขา


                 “นั่นสินะ ข้ามีพ่อแม่จริงๆ มีพ่อปลอมๆอีกสองคนและมีเจ้า”


                 ดึงให้เจ้าชายอินทัชหันมาสบตา อัคคีวางมือบนอังสาของเจ้าชายและกระชับมือแน่น


                “และข้ามีเจ้าที่เป็นทั้งพี่น้องและคนรัก สัญญาได้ไหมว่าจะอยู่เคียงข้างข้าตลอดไปไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น”


                “ทำไมต้องสัญญาในเมื่อที่เราทำทั้งหมดก็เพื่อเจ้าทั้งนั้น ทั้งที่ก่อนหน้านี้เจ้าทำเลวกับเรา เราก็ยังไม่ถือโทษ”


                 “ทำเพราะรักดอกอินทัช”


                  อัคคีพรายยิ้มพลางเลื่อนมือขึ้นลูบไล้ไปตามเครื่องหน้าอย่างหลงใหล


                 “เห็นคราแรกก็ตรึงตาและอยากเป็นเจ้าของ ไอ้ข้ามันแค่โจรต่ำต้อยจะให้ทำเช่นไรนอกจากฉุดมาทำเมีย”


                 “บ้า ไม่แปลกใจบ้างหรือไรว่าหน้าเหมือนกันราวกับแกะ”


                 “ก็แปลกใจแต่อยากได้มากกว่า และคิดว่าเพราะสวรรค์ส่งเรามาคู่กันจึงได้หน้าเหมือนกันเช่นนี้”


                 ส่งเสียงหัวเราะเบาๆก่อนจะดึงกายนุ่มเข้ามากอด


                 “หรือเจ้าว่าไม่จริง”


                พักตร์งามแดงก่ำ เจ้าชายอินทัชเคยอ่านจากตำราฝรั่งที่บอกไว้ว่าฝาแฝดเกิดจากชาติกำเนิดเดียวกัน และมีความเชื่อว่าคนที่

จะมาเกิดเป็นฝาแฝดนั้นก็ต้องมีความผูกพันลึกล้ำยิ่งกว่าใคร ฤาว่าสวรรค์จะส่งเขากับอัคคีมาเพื่อกันและกันจริงๆ


                 “ไม่รู้ ตอบคำถามเจ้าทีไรเข้าเนื้อทุกที”


                ความขัดเขินนั้นทำให้พักตร์นั้นชวนมองยิ่งขึ้นไปอีก อัคคีเห็นแล้วเขาจึงไม่คิดที่จะทน เขาช้อนแขนแข็งแรงใต้ร่างและอุ้ม

เจ้าชายอินทัชพาดบ่าลงวางโยนลงไปบนแท่นพระบรรทม


              “อัคคี เจ้าบ้า เล่นอะไรของเจ้า ตกใจหมด”


              ทรงเอ่ยปากต่อว่าด้วยความตกใจแต่อัคคีก็ไม่สน เขาทิ้งกายลงมาทาบทับพลางตรึงข้อพระหัตถ์ทั้งสองไว้เหนือเศียร


                “เล่นรักเช่นไรเล่า”


                “แต่เมื่อราตรีที่ผ่านมาก็เพิ่งจะ อุ๊บ...”


                   สุรเสียงขาดหายเมื่อถูกปิดโอษฐ์ด้วยลิ้นร้อน อัคคีคลอเคลียดูดดื่มเนิ่นนานกว่าจะยอมผละออก ฉลองพระองค์บางเบา

หลุดออกจากวรกายโดยง่ายเมื่อเจ้าชายอินทัชเองก็มิได้ปัดป้อง ทรงยินยอมให้อัคคีได้แนบกายอุ่นลงมาสัมผัสไปทุกส่วน


                “ข้าอยากกินเจ้าทุกคืน”


                พึมพำเสียงกระเส่าเมื่อความต้องการถาโถม อัคคีจับร่างนุ่มให้ตะแคงข้างโดยมีเขาซ้อนอยู่เบื้องหลัง ท้ายทอยสีนวลถูกอัคคี

ง้างงับเข้าปากแล้วดูดเบาๆพร้อมกันกับที่เขาแทรกความเป็นชายเข้าไปในช่องทางแสนหวาน


              “อื้อมม”


               เหยียดวรกายไปกับความเร่าร้อน คนเบื้องหลังดันเอวเข้าหาจนสุดลำพลางวาดมือกอบโกยท่อนลำของพระองค์ไว้ในอุ้งมือ

ข้างหนึ่ง อีกข้างก็ลูบไล้แผ่นอกเนียนเรียบไม่ยอมหยุด โดยเฉพาะตุ่มไตเม็ดเล็กจนกระทั่งมันชูชันสู้ปลายนิ้ว


               “รักเหลือเกินเมียจ๋า”


                 พึมพำข้างหูขณะโยกเอวแกร่งเข้าใส่ ต้นขานุ่มเนียนของเจ้าชายอินทัชถูกดันให้ยกสูงเพื่อรองรับแรงกระแทกทั้งหมดสิ้น

หนักหน่วงแต่พอดีที่จะสัมผัสจุดอ่อนไหวภายในให้เตลิดจนต้องบิดกายพล่านไปมา

                 “ตรงนั้น ดีมาก อา อัคคี แรงอีก เราจะ...โอ...”


                  หันพักตร์เหลียวหลังกลับไปให้อัคคีปรนจูบเร่าร้อน พระชิวหาเปียกชุ่มเปรอะเปื้อนไปรอบกลีบโอษฐ์ ทรงดูดดึงปลาย

ลิ้นของอัคคีไว้ยามที่ร่างกายกำลังใกล้ปริแยกเต็มที


                     “อ๊า...”


                    ลมหายใจแทบขาดห้วงเมื่อคว้าความสุขสมไว้ในกำมือ ปล่อยให้อัคคีเร่งระบายความตึงเครียดก่อนจะรู้สึกถึงความอุ่น

วาบที่พุ่งเข้ามาอยู่ในช่องทางจึงรับรู้ว่าอัคคีก็มีความสุขเช่นกับพระองค์จึงได้พิงกายอิงแอบไปกับแผ่นอกกว้างและหลับตาลงอย่างผาสุก






                    “เจ้านางประสงค์สิ่งใดเพคะ”


                   เจ้านางปะวะหล่ำนั่งนึกตรึกตรองอยู่ในห้องของพระองค์ มีนางแก้วกุดั่นสอพลอข้างกายไม่มีหยุด


                     “นี่ นังแก้ว เอ็งอยากจะกลับเหมราชบ้างไหม”


                      แก้วกุดั่นทำตาโต กี่ปีแล้วที่จากบ้านจากเมืองมามิได้กลับไปพบหน้าญาติพี่น้อง หญิงรับใช้ยิ้มหน้าแป้นยามเอ่ยตอบ


                      “โถ เจ้านางของบ่าว ทำไมถึงจะไม่อยากกลับเล่าเพคะ พระองค์ตรัสปุ๊บหม่อมฉันก็คิดถึงบ้านทันทีเพคะ”           

                     
                      “เช่นนั้นก็ดีแล้ว ไปเรียกมานพมา”


                       เมื่อนายทหารที่หอบหิ้วกันมาตั้งแต่เมื่อครั้งจากเหมราชมาสู่รัตนปุระนครเข้าเฝ้า เจ้านางปะวะหล่ำจึงทรงมีกระแส

รับสั่งด้วยสุรเสียงเบาทว่าเฉียบขาด


                     “เดินทางไปทัพของอุดรรังษี อย่าให้ใครรู้เด็ดขาด แจ้งข่าวแก่เจ้าฟ้าวัชรศรด้วยตัวเจ้าเองว่าข้าต้องการความช่วย

เหลือ”


                    ดวงเนตรเต็มไปด้วยความมั่นใจ เมื่อทรงเอ่ยออกไป
 

                     “หากทำสำเร็จ ต้องการสิ่งใดข้าก็จะให้เหมือนเมื่อครั้งอดีต ที่ข้าเคยมอบสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตให้พระองค์           

TBC

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-07-2016 00:38:13 โดย Belove »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ mystery Y

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +585/-12
เจ้านางกำลังจะทำอะไรอีก!!

ออฟไลน์ Nus@nT@R@

  • Life is Investment
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5589
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +456/-11

ออฟไลน์ ❣☾月亮☽❣

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6773
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-6
แฝดหวานมากๆค่ะชอบ
เราหวังว่าแผนการครั้งนี้ของเจ้านายคือการระเบิดทำลายตนเองนะเจ้าคะ เอาเลยค่าเต็มที่เลย
รอดูคนโดนกรรมตามสนอง

ออฟไลน์ Silvan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 266
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-3
เลว

พูดได้คำเดียว

สำหรับคนที่คุณก้อรุว่าใคร

ออฟไลน์ iNcamisang

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 77
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
เอาอีกละ สร้างเรื่องอีกละ  :fire: :m31: :m16:

ออฟไลน์ Guill

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 678
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-4
เคยมอบอะไรให้กันนะ

ออฟไลน์ Alinrat

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 36
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
EPนี้ เครียดน่าดูเลยจริงๆ  :m26: :m26:

ออฟไลน์ kun

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3592
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +122/-10
เหมือนจะมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นซะแล้ว

ออฟไลน์ nunda

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3004
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-2
เห็นแฝดรักกันมากขนาดนี้ ไม่อยากให้ดราม่ามาเยือนเลย (T_T)

ออฟไลน์ Belove

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1230
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +703/-2
    • ฺBelove


                                                            บัลลังก์รักใต้เงาแค้น

                                                                   บทที่  25


               แผ่นกระดาษจารึกลายพระอักษรของเจ้านางปะวะหล่ำอยู่ในพระหัตถ์เพียงข้างเดียวของเจ้าฟ้าวัชรศร ส่วนอีกข้างที่ขาดหาย

กลายเป็นเสี้ยนหนามตำพระทัยถึงการพ่ายแพ้แก่เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ศตรัศมิ์นั้นครอบด้วยข้อมือเทียมโลหะหล่อเป็นรูปตะขอโค้งวาววาม

สายพระเนตรที่จ้องมองลายพระอรสาส์นนั้นเต็มไปด้วยความครุ่นคิดถึงผลดีผลเสียที่จะตามมา


               “เจ้านางของเจ้าปรารถนารุนแรงเช่นนี้เสมอนะ มานพ”


               ตรัสกับทหารเอกของเจ้านางปะวะหล่ำที่ลักลอบข้ามมาถึงฝั่งทัพอุดรรังษีด้วยตัวเอง มานพค้อมศีรษะลงเมื่อได้ยินกระแส

รับสั่ง


               “เจ้านางทรงคิดถึงเหมราชพะย่ะค่ะ แต่หากจะให้กลับมือเปล่าก็คงจะไม่คุ้มค่า”


               “เด็ดขาดเหมือนเคยสินะ ได้ข่าวว่ามีโอรสกับไอ้อาทิตย์มิใช่รึ”


               “เจ้าชายอินทัชนั้นเป็นเด็กว่าง่าย หัวอ่อน คงไม่ใช่ปัญหาที่เจ้านางกังวลพะย่ะค่ะ เจ้านางยังให้หม่อมฉันกราบทูลฝ่าพระบาท

ว่า หากพระองค์กระทำการยึดเมืองรัตนปุระนครได้สำเร็จ หากต้องการสิ่งใดก็จะถวายให้ดั่งที่เคยถวายสิ่งสำคัญที่สุดแด่พระองค์เมื่อครั้ง

อดีต”


               พระเนตรดุดันโชนแสงเมื่อได้ฟัง ทรงนึกย้อนไปถึงอดีตตั้งแต่เมื่อยังทรงเป็นเจ้าชายศึกษาวิชาร่วมกับพระเชษฐาของเจ้านาง

น้อยวัยกำดัดแห่งเหมราช มีอยู่คราหนึ่งได้เสด็จประพาสไปหาพระสหายถึงเหมราชและได้พบกับเจ้าหญิงปะวะหล่ำที่มีพระชนม์เพียงสิบ

หกชันษา พระเชษฐาของเจ้าหญิงปะวะหล่ำได้ชักชวนให้พระองค์และพระขนิษฐาเข้าป่าล่าสัตว์ เจ้าหญิงที่เริ่มเข้าสู่วัยดรุณีมองเห็น

กวางน้อยปราดเปรียวและมีพระประสงค์ต้องการกวางนั้นแต่หาได้มีทหารคนใดจับได้แม้แต่พระเชษฐาของตน ด้วยความเอาแต่พระทัยจึง

ได้เสด็จมาหาเจ้าชายวัชรศร


               “ทรงล่ากวางน้อยให้หม่อมฉันได้ไหมเพคะ”


               เจ้าชายวัชรศรในวัยหนุ่มทอดพระเนตรเจ้าหญิงน้อยที่เลื่องชื่อด้วยความงามพร้อมกับแย้มสรวลเจ้าเล่ห์ออกมา


               “ทำแล้วพี่จะได้อะไรคุ้มค่าเหนื่อยบ้างเล่าปะวะหล่ำ น้องก็เห็นว่ากวางตัวนั้นมันจับได้ยากเย็นแค่ไหน”


               สบพระเนตรซึ่งกันอย่างท้าทาย เจ้าชายวัชรศรแม้จะไม่ได้หล่อเหลามากมายนัก หากแต่ความองอาจก็ไม่น้อยหน้าใคร ทำให้

เจ้าหญิงปะวะหล่ำทรงก้าวพระบาทเข้ามาใกล้วางพระหัตถ์ไปบนพระอังสาของเจ้าชายวัชรศรพร้อมกับช้อนพระเนตรฉ่ำหวานขึ้นมอง


               “สิ่งมีค่าในป่าลึกเยี่ยงนี้ช่างหาได้ยากยิ่ง หากแต่น้องคิดว่าตัวน้องเองนี่ก็เป็นสิ่งมีค่าที่สุดในยามนี้ที่เป็นสิ่งตอบแทนความ

เหน็ดเหนื่อยของเจ้าพี่”


               เจ้าชายวัชรศรรู้ความนัยของประโยคนั้นดี ในวันรุ่งขึ้นจึงได้ออกแรงล่ากวางตัวนั้นมาผูกเชือกประทานให้แด่พระขนิษฐาของ

พระสหาย และตกดึกในคืนนั้นเองจึงได้เข้าไปทวงรางวัลถึงในกระโจมของเจ้าหญิงปะวะหล่ำ พรหมจารีล้ำค่าจึงตกเป็นของพระองค์ก่อน

ที่จะกลับออกมาในยามย่ำรุ่งโดยไม่มีใครล่วงรู้ถึงความสัมพันธ์ครานั้น

               ผ่านมาเนิ่นนานแต่ความกล้าได้กล้าเสียยังอยู่ในพระนิสัยของเจ้านางปะวะหล่ำ เจ้าฟ้าวัชรศรหันขวับไปหามานพแล้วตรัส

อย่างมั่นพระทัย


                “ตกลงตามข้อเสนอของปะวะหล่ำ ข้าจะยึดรัตนปุระนครให้เป็นของขวัญแด่เจ้านางก่อนเสด็จกลับเหมราช”


               รอยแย้มสรวลนั้นเต็มไปด้วยความหมายมาด ความช่วยเหลือของเจ้านางปะวะหล่ำจะทำให้พระองค์ได้รับชัยชนะได้ง่ายขึ้น

และพระองค์จะทรงกำจัดเจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์เพื่อชำระรอยแค้นแห่งอดีด

               พระหัตถ์ตะขอวาววามเกี่ยวแผ่นกระดาษในมือเข้าไปเผาในคบไฟเพื่อทำลายหลักฐาน ดวงเนตรของเจ้าฟ้าวัชรศรสะท้อน

แสงไฟจนแดงฉาน






               “สงครามครานี้ใหญ่หลวงนัก”


               เพชรกล้ากล่าวออกมาขณะอยู่เพียงลำพังกับฟ้าฟื้นในห้องของเขา ฟ้าฟื้นที่กำลังจัดการเก็บของสำหรับออกสู่สมรภูมิรบจึง

ได้ยั้งมือและเดินมาหาเพชรกล้าที่มีสีหน้าตึงเครียดอยู่บนเตียง


               “ข้าเป็นแต่โจรป่า หาได้รู้สถานการณ์ระหว่างเมือง มันรุนแรงขนาดนั้นเลยรึพี่เพชร”


               เพชรกล้ารั้งให้ฟ้าฟื้นเอนกายเข้าหาและกอดไว้หลวมๆ


               “อุดรรังษีขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองกระหายสงคราม มักจะลอบโจมตีเมืองอื่นเพื่อมาเป็นประเทศราช เมื่อเกือบยี่สิบปีก่อนอุดรรังษี

เคยตีประชิดชายแดนของรัตนปุระนคร แต่เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ทรงพระปรีชาสามารถเอาชนะได้แถมยังตัดข้อพระกรของเจ้าฟ้าวัชรรศรได้

ด้วย ความแค้นจึงมีอยู่มาก ทว่าเวลาที่ผ่านมาทางอุดรรังษียังมิได้มีทีท่าอันใดแต่บัดนี้ก็ได้ส่งกองทัพมาประชิดด้วยพระองค์เอง คงหวัง

ที่จะแก้แค้นศึกในอดีต”


               “ใหญ่หลวงดังที่พี่บอกจริงๆด้วย”


                ฟ้าฟื้นเองเมื่อรู้ที่มาก็อดกังวลไปกับเพชรกล้าไม่ได้


               “เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์เสด็จคุมทัพด้วยพระองค์เองเช่นกัน โดยให้พี่รับหน้าที่เป็นครูฝึกทหารใหม่ที่สมัครใจร่วมรบอย่างเช่นเจ้า

และบัดนี้การฝึกก็สำเร็จลงแล้ว อีกไม่กี่เพลาทัพใหญ่ก็จะเดินทางไปเผชิญศึก ฟ้าฟื้น เจ้ากลัวหรือไม่”


               ฟ้าฟื้นเงยหน้ามองกลับ เขายกมือลูบไล้คางสากของเพชรกล้าแล้วเอ่ยอย่างมั่นใจ


               “ข้าเคยเป็นโจร แต่ตอนนี้ได้เป็นถึงทหารหลวงที่ได้รับใช้เบื้องยุคลบาทก็ถือว่าเป็นบุญหัวของข้าแล้ว มีเหตุใดที่ต้องกลัวอีก

และยิ่งในทัพมีพี่เพชรอยู่ด้วย ข้าไม่นึกกลัวสิ่งใด”


               “ชื่นใจ”


               เชยคางฟ้าฟื้นพร้อมให้รางวัลด้วยจูบหวานฉ่ำ ฟ้าฟื้นเอียงหน้ารับจูบที่เริ่มจะเพิ่มความหนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ กายหนักของ

เพชรกล้าทับลงมาบนลำตัวของฟ้าฟื้นอย่างจงใจให้สัมผัสนั้นบดเบียดและวาบหวาม ฟ้าฟื้นขยับรับอย่างเต็มใจและเพียงไม่นานร่างทั้ง

สองก็กอดก่ายกันโดยไม่มีสิ่งใดขวางกั้นอีก


               “เมื่อไปทัพแล้ว เราอาจจะไม่มีเวลาอยู่ด้วยกันฉันท์ผัวเมียเช่นนี้”


               เพชรกล้ากระหน่ำโลมเลียไปทั่วร่าง มือร้อนลูบคลำแผ่นอกนุ่มมือและบีบคั้นยอดอกด้วยความกระหาย ฟ้าฟื้นเหยียดกายให้

เพชรกล้าได้เชยชมสมใจแถมยังใช้ฝ่ามือช่วยปลุกเร้าให้ความเป็นชายของเพชรกล้าแข็งขันอยู่ในมือ


               “ข้าเข้าใจดีพี่เพชร และไม่เคยคิดเรียกร้องสิ่งใด”


               สบตากันอีกคราอย่างรู้ซึ้งถึงจิตใจของอีกฝ่าย ฟ้าฟื้นขยับขาเปิดทางกว้างเพื่อรอรับให้เพชรกล้าสอดเอวประสานเข้ามาจนสุด

ทาง สองมือของขากอดก่ายร่างแกร่งไว้แน่นหนายามที่เพชรกล้าเริ่มบรรเลงจังหวะรักบนเตียงกว้าง


               “ขอบใจฟ้าฟื้น ข้ารักเจ้าเหลือเกิน”


               “ข้าก็รักพี่เพชร อื้อ...เสียว...”


               จังหวะแห่งรักรุนแรงแต่ทว่าแฝงความหวานไว้จนฟ้าฟื้นร้องระงมไปด้วยความสุขสันต์ เขาดันไหล่เพชรกล้าให้ลุกขึ้นนั่งโดยที่

มีฟ้าฟื้นขยับตามไปนั่งทับบนตัก ฟ้าฟื้นขยับเอวบดเคล้าให้ท่อนเนื้อที่อยู่ภายในหมุนวนจนพาให้ใจสั่น เพชรกล้าเองก็ปล่อยเสียงทุ้มต่ำ

แหบพร่าเมื่อช่องทางหยุ่นนุ่มของฟ้าฟื้นกำลังพาให้เขาเข้าใกล้จุดหมายเต็มที


               “อืมมม เมื่อใดข้าถึงจะเลิกรักเจ้าได้นะฟ้าฟื้น”


               รำพันรักพลางกอดก่ายร่างไว้แน่นและลุกขึ้นยืน ฟ้าฟื้นกอดร่างแกร่งไว้มั่นราวกับลูกลิงเมื่อเพชรกล้าโยกกายเข้าหาเขา แรง

กระแทกฉุดให้ฟ้าฟื้นหน้ามืดและกระโจนถึงฝั่งฝัน และเมื่อนั้นเพชรกล้าก็ยิ่งออกแรงย้ำจนกระทั่งตามฟ้าฟื้นไปติดๆ


               “ข้าไม่มีวันทำให้พี่เลิกรักข้าได้ดอก เราจะรักกันจนวันตาย”


               เสียงหอบหายใจหนักประสานกันอยู่ในห้อง เพชรกล้าอยากจะนอนกอดฟ้าฟื้นพักเหนื่อยก่อนที่จะเริ่มบทรักจังหวะต่อไป หาก

ไม่มีเสียงเคาะประตูรัวๆเสียก่อน


               “พ่อเพชร พ่อเพชร”


               เสียงคุณหญิงเพทายดังขึ้นอยู่หน้าประตู เพชรกล้าหันไปสบตากับฟ้าฟื้นและค่อยๆถอดถอนความเป็นชายออกอย่างเสียดาย

เขาวางฟ้าฟื้นลงและรีบคว้าผ้านุ่งพันท่อนล่างก่อนจะไปที่ประตูและเปิดออกกว้าง คุณหญิงเพทายยืนเด่นด้วยสีหน้าเคร่งเครียด


               “คุณแม่มีเหตุด่วนร้ายแรงอันใดหรือขอรับ”


               “ด่วนมากด้วยพ่อเพชร รีบเตรียมการแต่งตัวเข้าเถิด ทหารจากในวังเร่งมาถึงหน้าเรือนแจ้งข่าวว่าทัพของอุดรรังษียกมาใกล้

ขอบชายแดนจนยากที่จะต้านแล้ว แม่จะไปเตรียมเสบียงให้ด้านล่าง”


               คุณหญิงเพทายเดินจากไปชั้นล่างอย่างกระฉับกระเฉง แม้จะเป็นกังวลหากแต่เพราะเป็นภรรยาของนายทหารชั้นผู้ใหญ่และ

ยังมีบุตรที่เจริญรอยตามบิดาทำให้คุณหญิงเพทายเป็นสตรีเข้มแข็งกว่าหญิงอื่น และเพียงไม่นานเพชรกล้ากับฟ้าฟื้นก็อยู่ในชุดทหารนั่ง

อยู่ต่อหน้าคุณหญิงเพทาย เพชรกล้าก้มกราบแทบเท้ามารดาที่ยื่นมือมาลูบศีรษะเพื่อให้กำลังใจ


               “แม่ขอให้เพชรมีสติชนะอุปสรรคทั้งปวง ตั้งใจทำงานเพื่อรัตนปุระนคร ฟ้าฟื้นมาหาแม่”


               ฟ้าฟื้นขยับเข้าใกล้ เขาก้มลงกราบตามเพชรกล้าด้วยความเคารพคุณหญิงเพทายอย่างแท้จริง


               “ทำอะไรอย่าใจร้อน ขอให้รักษาเนื้อรักษาตัวดูแลกันให้ดีทั้งผัวและเมีย ไปเถอะอย่าได้ช้า รัตนปุระนครรอพวกเจ้าอยู่”


               “คุณแม่ ดูแลตัวเองด้วยนะขอรับ”


               เพชรกล้าสวมกอดมารดาไว้ก่อนจะตัดใจลุกขึ้นยืน


               “ไปกันเถิดฟ้าฟื้น”


               คุณหญิงเพทายนั่งนิ่งอยู่บนตั่ง สายตาของหญิงชรามองตามหลังบุตรชายไปอย่างเข้มแข็ง แม้จะเป็นห่วงแต่เมื่อเพชรกล้าไป

ทำงานเพื่อบ้านเมืองผู้เป็นมารดาก็ทำได้เพียงส่งกำลังใจไปให้

               ได้แต่ภาวนะขอให้รัตนปุระนครได้รับชัยชนะกลับมา







               ความวุ่นวายเกิดขึ้นไปทั่วพระราชวังเมื่อมีพระราชโองการยาตราทัพมาจากเจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ศตรัศมิ์ ขบวนทัพถูกจัดขึ้น

อยากรวดเร็ว ในขณะที่เจ้าฟ้าแห่งรัตนปุระนครประทับยืนอยู่หน้าพระสาทิสลักษณ์ของเจ้าฟ้าในอดีต

               ในที่สุดก็มีวันนี้อีกครั้ง

                พระพักตร์เคร่งเครียดกับศึกใหญ่ แม้จะไม่มีความหวาดกลัวโดยส่วนพระองค์ หากแต่ความห่วงใยในพสกนิกรนั้นมากมาย

ล้นพ้น และนึกท้อในพระทัยที่ต้องแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นด้วยองค์เองทุกอย่าง หาได้มีผู้ใดมาร่วมคิดและให้กำลังใจ อย่าได้หวังสิ่งนั้นจาก

เจ้านางปะวะหล่ำอันเป็นพระชายาเพราะไม่ได้พบพักตร์กันนานหลายวันแล้ว


               “โกมุท หากมีเจ้าอยู่ด้วย เราคงไม่รู้สึกโดดเดี่ยวถึงเพียงนี้”


               ใบหน้าที่ไม่เคยจางหายไปจากความทรงจำปรากฏขึ้นในภวังค์จนต้องทอดถอนพระทัย จนกระทั่งเสียงเอ่ยพระนามเจ้าชาย

อินทัชธราธิปดังขึ้นหน้าประตูจึงได้กลับคืนสู่ความจริงและหันไปหาพระราชโอรสที่ก้าวเข้ามาพร้อมองครักษ์นามอัคคี


               “มีอะไรหรือลูก”


               เจ้าชายอินทัชถวายความเคารพแล้วเงยพักตร์สบพระเนตรพระบิดา


               “ลูกมาทูลขอพระบรมราชานุญาตตามพระบิดาไปร่วมรบด้วยพะย่ะค่ะ”


               “อินทัช ศึกนี้ไม่ใช่เรื่องเล่นๆนะ”


               “ลูกก็ไม่ได้พูดเล่นพะย่ะค่ะ” เจ้าชายอินทัชตรัสอย่างมั่นพระทัย “ลูกอายุสิบแปดแล้ว หาใช่เด็กเล็ก ควรจะช่วยเหลืองานพระ

บิดาให้มากกว่าอยู่แต่ในห้องเรียน และพระบิดาก็อย่าได้ทรงเป็นห่วง ลูกมีอัคคีอยู่ด้วย ไม่มีใครทำอันตรายลูกได้หรอกพะย่ะค่ะ”


               “ดูเหมือนลูกจะมั่นใจในตัวองครักษ์คนนี้เหลือเกินนะ”


               “อัคคีคือคนที่ลูกไว้ใจที่สุดพะย่ะค่ะ”


               คำตอบของเจ้าชายอินทัชทำให้ต้องทรงก้าวพระบาทไปหยุดยืนสบตากับอัคคีที่แม้จะเหลือดวงตาเพียงข้างเดียว หากแต่

ดวงตาคู่นั้นช่างกล้าแกร่งจนเจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์แอบชื่นชมอยู่ในพระทัย


               “เจ้าจะทำตามที่อินทัชลูกของเรากล่าวมาหรือไม่อัคคี”


               อัคคีค้อมศีรษะลงแต่กระนั้นความสง่างามก็ยังฉายชัดอยู่ในบุคลิก


               “หม่อมฉันจะไม่ยอมให้เจ้าชายอินทัชได้รับบาดเจ็บแม้แต่ปลายเล็บพะย่ะค่ะ”


               น่าแปลกที่ทรงเชื่อคำพูดของเด็กหนุ่มตรงหน้า ความองอาจสง่างามของอัคคีทำให้เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ทรงนึกไปถึงใครบาง

คนราวกับว่าอัคคีได้รับการสั่งสอนมา


               “เจ้ามีพ่อแม่หรือเปล่าอัคคี”


               เผลอตรัสถามออกไปอย่างไม่รู้องค์ ดวงตาข้างเดียวของอัคคีฉายแสงวูบหนึ่งก่อนจะกล่าวตอบ


               “พระอาญาไม่พ้นเกล้า พ่อของหม่อมฉันชื่อบัว”


   

มีต่ออีกนิด...


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25-07-2016 19:59:06 โดย Belove »

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด