พิมพ์หน้านี้ - <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >>

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: Belove ที่ 12-07-2015 23:45:39

หัวข้อ: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >>
เริ่มหัวข้อโดย: Belove ที่ 12-07-2015 23:45:39


ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ   ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic= (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=)459.0 
ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่ http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic= (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=)2160.0 
ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่ 
 
 1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่ 
 
 2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
 หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
 หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
 และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
 ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   
 
 เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ 
 3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ 
 4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ 
 5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว 
 6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน 
 7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
       7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
       7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
       7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
             - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ 
 8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง). 
 9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ 
 10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวปhttp://www.thaiboyslove.com (http://www.thaiboyslove.com)  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป 
 11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว
 
 บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
 นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป 
 12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด 
 13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ 
 14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ 
 15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
 (1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
 (2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง ....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
 - ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
   (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
 - ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
 - ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
 - ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
 - ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail   
 16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข  17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
  เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ admin thaiboyslove.com.......................................                                                             
 วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7 วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย 
 
 
เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรงข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม






                                                   :pig2: :pig2: :pig2: :pig2: :pig2:





สารบัญ

บทนำ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47755.msg3122029#msg3122029)

บทที่ 1 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47755.msg3137461#msg3137461)

บทที่ 2 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47755.msg3145150#msg3145150)

บทที่ 3 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47755.msg3152249#msg3152249)

บทที่ 4 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47755.msg3159256#msg3159256)

บทที่ 5 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47755.msg3169553#msg3169553)

บทที่ 6 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47755.msg3178951#msg3178951)

บทที่ 7 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47755.msg3193016#msg3193016)

บทที่ 8 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47755.msg3209918#msg3209918)

บทที่ 9.1 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47755.msg3218632#msg3218632)

บทที่ 9.2 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47755.msg3219658#msg3219658)

บทที่ 10.1 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47755.0;poll=864)

บทที่ 10.2 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47755.msg3228522#msg3228522)

บทที่ 11 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47755.msg3236995#msg3236995)

บทที่ 12.1 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47755.msg3242095#msg3242095)

บทที่ 12.2 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47755.msg3242707#msg3242707)

บทที่ 13/1 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47755.msg3294109#msg3294109)

บทที่ 13/2 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47755.msg3295306#msg3295306)

บทที่ 14 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47755.msg3299424#msg3299424)

บทที่ 15 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47755.msg3304953#msg3304953)

บทที่ 16 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47755.msg3311391#msg3311391)

บทที่ 17 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47755.msg3328753#msg3328753)

บทที่ 18 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47755.msg3336411#msg3336411)

บทที่ 19 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47755.msg3357014#msg3357014)

บทที่ 20 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47755.msg3364881#msg3364881)

บทที่ 21 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47755.msg3371507#msg3371507)

บทที่ 22 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47755.msg3396364#msg3396364)

บทที่ 23 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47755.msg3400939#msg3400939)

บทที่ 24 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47755.msg3419508#msg3419508)

บทที่ 25 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47755.msg3432596#msg3432596)

บทที่ 26 (http://61.19.246.96/~thaiboys/webboard/index.php?topic=47755.msg3448716#msg3448716)

บทที่ 27 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47755.msg3450258#msg3450258)

บทที่ 28 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47755.msg3451292#msg3451292)

บทที่ 29 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47755.msg3451878#msg3451878)

บทที่ 30 ตอนจบ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47755.msg3451896#msg3451896)

บทที่ 29(ฉบับแก้ไข) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47755.msg3585137#msg3585137)

บทที่ 30(ฉบับแก้ไข) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47755.msg3585151#msg3585151)






  ขอบพระคุณที่ติดตามกันจนจบนะคะ





                                                                 :L2: :L2: :L2: :L2:
หัวข้อ: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น>> บทนำ ##TWINCEST##
เริ่มหัวข้อโดย: Belove ที่ 12-07-2015 23:49:38


                                                       บัลลังก์รักใต้เงาแค้น

                                                                บทนำ               


               เจ้าชายอินทัชเชิดพักตร์สูงอย่างไว้องค์ทั้งที่อังสาทั้งสองไหวสะท้าน หทัยเต้นรัวเร็วเมื่อร่างสูงที่ซ่อนกายอยู่

ในอาภรณ์สีดำย่างกรายเข้าใกล้ทุกขณะ จนกระทั่งอยู่ใกล้เพียงเอื้อมหัตถ์ถึงหากพระองค์จะไม่ถูกพันธนาการไว้ด้วย

เชือกเส้นโตจนดิ้นไม่หลุดจากต้นไม้ใหญ่ที่แผ่กิ่งปกคลุมปิดบังแผ่นฟ้าเบื้องบน


               “เจ้า จงรู้ว่าเรานั้นเป็นใคร”


               เอื้อนเอ่ยดำรัสออกไปโดยหวังว่าจะประกาศองค์ให้มันเกรงแต่สิ่งที่ได้รับกลับคืนนั่นคือดวงตาคมเย้ยหยัน

เพียงสิ่งเดียวที่โผล่พ้นผ้าคลุมใบหน้าสีดำสนิทไม่ต่างจากอาภรณ์ของมัน


               “พระอาญามิพ้นเกล้า เจ้าชายอินทัชธราธิป เจ้าชายรัชทายาทแห่งรัตนปุระนคร”


               น้ำเสียงแข็งกระด้าง ห้วนจัดดังลอดผืนผ้าให้รับรู้ว่ามันผู้นั้นรู้จักพระองค์ดีแค่ไหน เจ้าชายอินทัชเบิกเนตร

อย่างขัดเคือง


               “หากไม่อยากหัวขาดก็ปล่อยเราเสีย”


               “เห็นทีจะทำตามประสงค์มิได้”


               มันผู้นั้นก้าวเข้ามาใกล้พลางยกแขนของมันคร่อมร่างพระองค์ไว้กับต้นไม้ใหญ่ ดวงตากร้าวราวกับไฟสุมเมื่อ

ไม่ถึงอึดใจพัสตราภรณ์งดงามก็ถูกมันกระชากออกจนขาดวิ่น


               “เพราะพระองค์จะต้องตกเป็นสมบัติของข้า อัคคีแห่งหุบผากาฬ”
               





               เจ้าชายอินทัชกัดพระโอษฐ์แน่นจนแทบห้อเลือดเมื่อถูกกระทำย่ำยีเหยียบย่ำขัตติยกษัตริย์จนไม่เหลือ

ศักดิ์ศรี ทรงหอบหายใจลึกเมื่อพระวรกายสั่นสะท้านไปกับเอวแกร่งที่กระทุ้งกายมาไม่ยั้งแม้พระองค์จะยังถูกมัดพระหัตถ์

ไพล่หลังอยู่กับต้นไม้ พระปฤษฎางค์เสียดสีกับเปลือกไม้จนพระฉวีแสบร้อน


               “อ๊า เจ็บ ปล่อย”


               พระอูรุถูกดันให้อ้ากว้างเมื่อท่อนเนื้อหยาบกระด้างแทรกกายสอดลึกจนสุดลำโคน พระโสณีสั่นระริกเมื่อ

สัมผัสเสียดสีด้วยไฟร้อนแรงเผาไหม้จนหมดทางสู้ พระองค์เงยหน้าปล่อยอัสสุชลให้ไหลรินอาบพักตร์


               “ฮึก อ๊า ข้าจะฆ่าเจ้าด้วยมือของข้าอ้ายโจรป่าหยาบช้า”


               เกร็งวรกายเมื่อมันบีบรัดจนเกินกลั้นและปลดปล่อยน้ำคาวขาวขุ่นออกมาอย่างน่าละอาย ได้ยินเสียงมัน

คำรามก้องแล้วขยับเอวอย่างอหังการ์ ดวงตาคมมีวี่แววสุขสมสาแก่ใจ


               “หากพระองค์ทำได้ก็เชิญลงมือ”


               เอวแกร่งกระแทกลึกจนเจ้าชายอินทัชสะดุ้งเฮือกพลันรู้สึกถึงของเหลวอุ่นร้อนทะลักทลายไหลลงมาตามพระ

อูรุ พลันมันดึงผ้าคลุมหน้าสีดำออกเผยให้เห็นใบหน้าชัดเจน


               เจ้าชายอินทัชอ้าโอษฐ์ค้างเมื่อใบหน้าของมันไม่ได้แตกต่างอะไรจากพระพักตร์ของพระองค์แม้แต่นิดเดียว



                                               
 


                                                        :pig2: :pig2: :pig2: :pig2:


หะแรกก็ว่าจะยังไม่เปิดเรื่องใหม่
แต่อยู่ๆไอเดียก็มาเมื่อคืนตอนกำลังจะหลับ
แถมยังมีแฟนขับ อุ๊ย แฟนคลับยุอีก
ผลก็ออกมาอย่างที่เห็น 

เพิ่งได้พล็อตในหัวคร่าวๆเท่านั้น
นักเขียนเองก็ไม่รู้ว่าจะแต่งออกมาได้ดีแค่ไหน
ขอกำลังใจเป็นคำติชมในนี้บ้างนะคะ

 o18 o18 o18







 
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น>> บทนำ ##TWINCEST##
เริ่มหัวข้อโดย: Kaewkaew ที่ 12-07-2015 23:56:29
เจิมเรื่องใหม่ รอตอนต่อไปนะคะ  o13
น่าสนใจตรงแฝด หุหุ
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น>> บทนำ ##TWINCEST##
เริ่มหัวข้อโดย: ขนมโก๋ ที่ 13-07-2015 00:05:38
เจิมมมม แนว twincest กรี๊ดแตก :m3:
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น>> บทนำ ##TWINCEST##
เริ่มหัวข้อโดย: Dark_Noah ที่ 13-07-2015 00:06:10
เกาะขอบจบรอดู  :m25:
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น>> บทนำ ##TWINCEST#
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 13-07-2015 07:24:30
ว๊าว เปิดตัวอย่างร้อนแรงมาเชียว
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น>> บทนำ ##TWINCEST#
เริ่มหัวข้อโดย: Moko1212 ที่ 13-07-2015 07:44:59
twincest ----> เลอค่ามาก  :laugh:
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น>> บทนำ ##TWINCEST#
เริ่มหัวข้อโดย: boboman ที่ 13-07-2015 15:36:53
ติดตามฮับบบ
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น>> บทนำ ##TWINCEST#
เริ่มหัวข้อโดย: jum1201 ที่ 13-07-2015 16:10:13
 o13 o13
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น>> บทนำ ##TWINCEST#
เริ่มหัวข้อโดย: Apple_matinie ที่ 13-07-2015 21:17:16
ติดตามม :mew3:
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น>> บทนำ ##TWINCEST#
เริ่มหัวข้อโดย: miniminiXD ที่ 15-07-2015 01:20:38
 !!!TWINCEST!!!  :hao6:
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น>> บทนำ ##TWINCEST#
เริ่มหัวข้อโดย: ต่ายน้อย ที่ 15-07-2015 01:28:16
 :m25: :m25: :m25:
มาปูสารทรอครับผม :katai5:
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น>> บทนำ ##TWINCEST#
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 15-07-2015 01:53:44
ติดตาม
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น>> บทนำ ##TWINCEST#
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 15-07-2015 06:04:31
 :mew1:   คนเขียนขยันมาก. ทวงเกมซะเลยนี่แน่ะ
หัวข้อ: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น>> บทที่ 1 [27/07/58] ##TWINCEST#
เริ่มหัวข้อโดย: Belove ที่ 27-07-2015 22:08:13


                                                บัลลังก์รักใต้เงาแค้น

                                                         บทที่ ๑
 


               ดวงตาคมปลาบเพ่งมองเหยื่องามที่กำลังรั้งกิ่งไม้เพื่อแทะเล็มยอดอ่อนอย่างเพลิดเพลิน เจ้ากวางน้อยมิได้

รู้สึกเลยว่าความตายกำลังใกล้เข้ามาทุกขณะ เมื่อร่างสูงโปร่งกำลังง้างคันศรให้ตึงแล้วปล่อยให้ลูกศรแหวกอากาศดังวืด

ไปสู่ขาหลังจนโลหิตพุ่งวาบ



                เสียงสบถดังลั่นจากเจ้าของลูกธนูเมื่อเห็นมันพลาดจุดสำคัญจนเหยื่อที่ร้องลั่นจากความเจ็บปวดวิ่งหาย

เข้าไปในพงไพรลึกกว่าเก่า มือที่กุมบังเหียนม้าสีขาวตัวใหญ่เตรียมจะสะบัดให้อาชาวิ่งไล่ตามไปหากแต่ชะงักเพราะถูก

อาชาอีกตัวมาดักหน้า



                “ขวางเราทำไมเพชรกล้า เราจะรีบตามเจ้ากวางนั่นไป ไม่เห็นหรือไรว่ามันถูกเรายิงจนบาดเจ็บ”



                “พระอาญาไม่พ้นเกล้า”



                บุรุษนามเพชรกล้าค้อมศีรษะอย่างนอบน้อมแต่ก็ยังไม่ยอมหลีกทาง



                “หม่อมฉันเห็นแล้วว่าฝีมือธนูของพระองค์ปรีชานัก แม้แต่กวางที่อยู่ไกลขนาดนั้นพระองค์ยังมิพลาด แต่

หม่อมฉันไม่เห็นด้วยที่พระองค์จะตามมันเข้าไปในป่าลึกด้วยเกรงอันตรายต่อพระองค์”



                บุรุษหนุ่มผู้สูงศักดิ์มองผู้เป็นมหาดเล็กอย่างขุ่นเคือง



                “เจ้าพูดราวกับไม่รู้จักว่าเราเป็นใครทั้งที่อยู่กับเรามาตั้งแต่เกิด ในเขตเมืองรัตนปุระนครแห่งนี้ใครจะกล้ามา

กำแหงกับเรา เจ้าชายอินทัศธราธิป”



                เพชรกล้าลอบถอนใจกับความดื้อรั้นเอาแต่พระทัยของเจ้าชายรัชทายาทที่มีพระชนมายุเพียงสิบแปดชันษา

ด้วยความที่พระองค์ถูกเลี้ยงมาราวไข่ในหินจากพระนางปะวะหล่ำผู้เป็นพระมารดาเนื่องจากมีราชโอรสอยู่เพียงพระองค์

เดียวจึงได้ตามพระทัยจนกลายเป็นเช่นนี้



                และเช่นวันนี้ที่เจ้าชายอินทัชธราธิปมีพระประสงค์จะเข้าป่าล่าสัตว์โดยอ้างกับเจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ศตรัศม์

พระเจ้าแผ่นดินแห่งเมืองรัตนปุระนครผู้เป็นพระราชบิดาว่าต้องการฝึกปรือพระปรีชาสามารถทางด้านการยุทธ เจ้าฟ้า

อาทิตยวงศ์ทรงเห็นพ้องด้วยและสั่งให้เขากับมหาดเล็กเพียงไม่กี่คนติดตามมายังป่าลึก



                “หม่อมฉันจะไม่ห้ามพระองค์เลยหากว่าวันนี้พระองค์จะไม่เสด็จมาลึกกว่าที่เคย”



                เพชรกล้าเป็นมหาดเล็กเพียงผู้เดียวที่กล้าขัดพระประสงค์



                “นี่ก็ใกล้จะหมดเขตการปกครองของรัตนปุระเข้าไปทุกที และหากพระองค์ย่างกรายเข้าไปมากกว่านี้หม่อม

ฉันเกรงว่าจะเกิดอันตรายจากพวกโจรป่าเลื่องชื่อที่อาศัยเขตชายแดนเป็นที่ซ่องสุม”



                “โจรป่างั้นรึ ทำไมเราไม่เคยได้ยิน”



                เจ้าชายอินทัชตรัสถามอย่างสนพระทัย



                จะเคยได้ยินได้อย่างไรเล่า ก็พระองค์สนใจแต่เรื่องสนุกสนานรื่นเริงบันเทิงใจ



                เพชรกล้าอยากจะส่ายหน้าด้วยความระอา



                “พะย่ะค่ะ พวกมันอาศัยอยู่ในหุบเขาลึกที่โอบล้อมด้วยภูเขาสูงชันเป็นปราการไม่ให้ใครลอบจู่โจมมันได้และ

เพราะมันเป็นป่าดงดิบจนมองแทบไม่เห็นแสงอาทิตย์สาดส่องจึงถูกเรียกกันว่าหุบผากาฬ หม่อมฉันได้ข่าวว่าพวกมันมี

กำลังอยู่ราวร้อยคนโดยผู้นำของมันชื่อว่าอ้ายสมิงไพร”



                ก็แค่โจรป่า



                เจ้าชายอินทัชเกือบจะสรวลออกมาอย่างนึกขำที่เห็นมหาดเล็กฝีมือดีอย่างเพชรกล้าเกิดหวาดกลัวขึ้นมา จะ

กลัวอันใดในเมื่อแต่ละคนก็ที่ติดตามก็มีอาวุธครบมือ เพชรกล้าช่างคิดมากเหลือเกิน



                อาศัยช่วงจังหวะนั้นทรงกระแทกส้นพระบาทใส่สีข้างของอาชาคู่ใจพลางสะบัดบังเหียนให้ม้าสีขาวปลอด

ทะยานไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วจนมหาดเล็กที่มาด้วยพากันตกใจโดยเฉพาะเพชรกล้า เขารีบสั่งให้ทุกคนเร่งบังคับม้า

ติดตามเจ้าชายรัชทายาทที่ทิ้งระยะห่างเข้าไปในป่าลึก
 






                อาจเป็นเพราะเวลาล่วงเข้าบ่ายจัดและต้นไม้ในเขตนี้ช่างสูงใหญ่จนเจ้าชายอินทัชต้องเพ่งสายพระเนตรมอง

หาหยดเลือดที่กวางน้อยทิ้งรอยไว้ตามพื้นดินและเถาวัลย์ ดวงเนตรที่ล้อมกรอบด้วยขนพระเนตรเป็นแพหนาเบิกกว้าง

อย่างยินดีเมื่อเห็นกองเลือดกองใหญ่อยู่ใต้ต้นไม้ห่างไปไม่มากนัก ทรงกระโดดลงจากหลังอาชาอย่างคล่องแคล่วก่อน

จะสาวพระบาทตามรอยเลือดไปจนกระทั่งมองเห็นเหยื่อของพระองค์ล้มลงอยู่กลางดินโดยมีลูกธนูปักอยู่ตรงโคนขา



                เตรียมจะก้าวเข้าไปหาเหยื่อหากแต่ต้องชะงักเมื่อเห็นร่างมนุษย์ตะคุ่มอยู่เคียงข้างเจ้ากวางน้อย เจ้าชายอิน

ทัชทรงเพ่งมองคนผู้นั้นที่ซ่อนกายอยู่ภายใต้อาภรณ์สีดำรวมถึงปกปิดใบหน้าด้วยผ้าสีเดียวกันมีเพียงดวงตาคมกล้า

เท่านั้นที่โผล่พ้นชายผ้าออกมา



                “หยุดนะ เจ้ากวางนั่นเป็นของเรา”



                ประกาศออกไปหวังจะให้คนผู้นั้นเลิกยุ่งกับกวางน้อยที่ได้รับบาดเจ็บ แต่หากคนผู้นั้นยังคงเฉยชาและใช้

ฝ่ามือลูบไล้ไปตามเนื้อตัวของลูกกวางที่สั่นสะท้านเพราะความหวาดกลัวและเจ็บปวดค่อยๆสงบลง



                “จะทำอะไร”



                เจ้าชายอินทัชพุ่งวรกายเข้าหาเมื่อเห็นมือใหญ่คว้าลูกธนูที่ปักเนื้อของลูกกวางแล้วกระชากออกอย่างรวดเร็ว

กวางน้อยร้องลั่นแล้วจึงยันกายวิ่งกระเผลกหนีหายเข้าไปในป่าทิ้งไว้แต่พระองค์กับบุรุษที่ยืนถือลูกธนูของพระองค์อยู่ใน

มือ


              “บ้าที่สุด ทำอย่างนี้ได้อย่างไร”



                สบถออกไปอย่างหงุดหงิด ดวงตาคมที่มองเห็นเพียงอย่างเดียวฉายแววขบขันพลางยื่นลูกธนูเปื้อนเลือด

คืนให้เจ้าของ



                “อยากได้ก็จะคืนให้”



                เจ้าชายอินทัชอ้าโอษฐ์ค้างกับสิ่งที่ชายแปลกหน้ากำลังทำ ทรงปัดลูกธนูร่วงพื้นแล้วตวาดลั่น



                “อ้ายคนถ่อย เจ้าบังอาจดึงลูกธนูของเราออกจากเหยื่อที่เรากำลังล่าอยู่ ช่างกำแหงนัก นี่เจ้าไม่รู้หรือไรว่า

กำลังยืนอยู่ต่อหน้าใคร”



                นัยน์ตาขบขันคู่นั้นโชนแสงกล้าทันทีเมื่อได้ยิน ร่างที่สูงกว่าเจ้าชายอินธัชเกือบฝ่ามือจ้องมองอย่างไม่นึก

เกรง



                “จะใครก็ช่าง หากแต่การกระทำช่างป่าเถื่อนที่ใช้อาวุธกับสัตว์ตัวเล็กไร้ทางต่อสู้ ต่อให้เป็นเทพบุตรจุติจาก

ฟ้าก็น่ารังเกียจ”



                “สามหาวนัก หรือว่าเจ้าอยากจะเป็นเหยื่อให้เราได้ล่าจนสนุกมือแทนเจ้ากวางนั่น”



                ชี้พระหัตถ์ใส่หน้าจนอีกฝ่ายจ้องมองกลับอย่างโอหัง และยังไม่ทันที่เจ้าชายอินทัชจะระวังพระองค์ชายใน

ชุดดำก็พุ่งตัวปราดเข้ามาใกล้จนตกพระทัย



                “ก็ลองดูสิว่าข้าจะเป็นเหยื่อให้เจ้าหรือเปล่า”



                “บังอาจนัก ตายเสียเถอะ”



                เงื้อพระหัตถ์ต่อยใส่ใบหน้าจนเจ็บแต่มันกลับยืนนิ่งและมองอย่างเย้ยหยัน เจ้าชายอินทัชลุแก่โทสะจนใช้คัน

ธนูเหวี่ยงเข้าใส่หมายจะฟาดปากให้ยับแต่บุรุษผู้นั้นคว้าคันธนูไว้ได้พลางกระชากเข้าหาตัวจนเจ้าชายอินทัชถลาตาม

แรงเข้าหา มือแกร่งคว้าบั้นพระเอวไว้กับตัวก่อนกดจูบผ่านผ้าปิดปากเข้าที่พระปรางทันที



                “เฮ้ย!”



                สะดุ้งสุดองค์และดิ้นรนสุดฤทธิ์ สะบัดฝ่าพระหัตถ์เข้าใส่ซีกหน้าดังเผียะจนหน้าหัน บุรุษชุดดำผลักร่างของ

เจ้าชายรัชทายาทให้หงายร่างลงไปกับพื้นดินโดยมีร่างของมันล้มตามลงไปทาบทับ



                “จูบทีเดียวมันยังไม่สาแก่ใจใช่ไหม ดีล่ะ”



                เจ้าชายอินทัชหลับพระเนตรแน่นเมื่อมันเหิมเกริมก้มหน้าลงมาจูบที่พระปรางอีกข้าง



                “เราจะฆ่าเจ้า”



                ทรงตะโกนทั้งที่ยังหลับตา พระโลมาลุกชันเมื่อถูกบุรุษเพศเฉกเช่นเดียวกันล่วงเกินถึงสองครั้ง แถมยังได้ยิน

มันหัวเราะเยาะเย้ยอีกต่างหาก



                ทั้งคู่ชะงักงันเมื่อได้ยินเสียงกู่ร้องและฝีเท้าม้าหลายตัวดังแว่วใกล้เข้ามา ชายในชุดดำสบถอย่างขัดใจ



                “อยากจะจัดการข้าให้เหมือนเจ้าลูกกวางน้อยก็ลองสิ ข้าชื่ออัคคี จงจดจำไว้ในหัวใจของเจ้า”



                อัคคี!



                ลืมเนตรขึ้นมาอีกครั้งร่างสูงที่โอบรั้งพระองค์ไว้ก็อันตรธานราวกับภูติผีปีศาจ เจ้าชายอินทัชผวาลุกขึ้นมา

วาดสายตามองโดยรอบก็เห็นเพียงแต่ป่ารกกับเพชรกล้าและมหาดเล็กที่ขี่ม้าตรงเข้ามา


               “พระอาญามิพ้นเกล้า ทำไมถึงทำแบบนี้รู้ไหมว่าอันตรายมากนะพ่ะย่ะค่ะ”



                เพชรกล้าที่กระโดดลงจากหลังม้าเข้ามายืนพิจารณาวรกายเมื่อไม่เห็นร่องรอยบาดเจ็บก็ถอนหายใจโล่งอก



                “รู้แล้วน่า อย่าพูดมากเพชรกล้า กลับกันได้แล้วเราเหนื่อย”



                ยกพระหัตถ์ขึ้นถูพระปรางไปมาก่อนจะกระโดดขึ้นหลังอาชาขาวปลอดคู่พระทัยอย่างรวดเร็วแล้วกระทุ้ง

สีข้างนำขบวนออกไปจากป่ารก



                เม้มพระโอษฐ์อย่างขัดเคืองเมื่อหันกลับไปมองเบื้องหลัง



                อัคคี



                เราจะไม่ลืม



                เราจะฆ่าเจ้าด้วยมือของเรา
               



                ขบวนม้าจากไปไกลแล้ว แต่คนที่แฝงร่างอยู่บนคบไม้อย่างสบายอารมณ์ยังคงจ้องมองไม่วางตา เขายกมือ

ขึ้นแตะที่ปากตัวพร้อมกับผิวปากหวือ



                ในที่สุดเราก็ได้พบกันแล้วสินะ



                คนที่ข้ารอคอยมาตลอดสิบแปดปี



                เจ้าชายอินทัชธราธิป เจ้าชายรัชทายาทแห่งรัตนปุระนคร






TBC

 :mew1: :mew1:


พี่น้องค้าบ
เมนท์ติชมกันให้มั่งเด้อ
อิปร้ากลัวไม่มีคนอ่าน
ถถถถถ



พระปราง คือ แก้ม
พระโลมา คือ ขน

พวก พระหัตถ์ พระโอษฐ์ นี่ น่าจะได้กันอยู่เนอะ
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น>> บทที่ 1 [27/07/58] ##TWINCEST#
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 27-07-2015 22:12:51
รู้เลยว่าจะต้องแซ่บ
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น>> บทที่ 1 [27/07/58] ##TWINCEST#
เริ่มหัวข้อโดย: ขนมโก๋ ที่ 27-07-2015 22:15:29
เอาล่ะสิ :katai2-1:
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น>> บทที่ 1 [27/07/58] ##TWINCEST#
เริ่มหัวข้อโดย: Tonay ที่ 28-07-2015 00:43:00
ติดตามจ้า  :L2:
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น>> บทที่ 1 [27/07/58] ##TWINCEST#
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 28-07-2015 07:49:19
อะไรทำให้อัคคีแค้นคู่แฝดของตัวเองขนาดนี้กันนะ แล้วเรื่องลูกคนเดียวนั่นตกลงเรื่องเป็นยังไงกันแน่
รอตอนต่อไปอย่างใจจดจ่อ อิอิ
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น>> บทที่ 1 [27/07/58] ##TWINCEST#
เริ่มหัวข้อโดย: boboman ที่ 28-07-2015 08:17:02
ทำไมตอนหอมแก้มเรารู้สึกได้ถึงความมุ้งมิ้งฟะ 5555555
รู้สึกหมั่นไส้พระเอก กรั่กๆ
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น>> บทที่ 1 [27/07/58] ##TWINCEST#
เริ่มหัวข้อโดย: КίmY ที่ 28-07-2015 17:23:26
อ๋อยยยย ทำไมมันดูน่ารักล่ะ ฮ่าๆ  :-[
มาต่อไวๆนะฮะรออออออ  :')
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น>> บทที่ 1 [27/07/58] ##TWINCEST#
เริ่มหัวข้อโดย: zuu_zaa ที่ 30-07-2015 05:56:53
 :mc4: :L2:
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น>> บทที่ 1 [27/07/58] ##TWINCEST#
เริ่มหัวข้อโดย: am_am ที่ 30-07-2015 10:35:57
กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดด แนว twincest
รีบวิ่งตามมาอย่างไวว่อง  :z1:
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น>> บทที่ 1 [27/07/58] ##TWINCEST#
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 30-07-2015 12:08:10
เป็นแฝดซะด้วย หุหุ
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น>> บทที่ 1 [27/07/58] ##TWINCEST#
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 30-07-2015 16:37:02
เอาล่ะ พี่น้องท้องชนกัน หุหุหุ ติดตามตอนต่อไปนะคะ :pig4:
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น>> บทที่ 1 [27/07/58] ##TWINCEST#
เริ่มหัวข้อโดย: Maiiz Ellfiez ที่ 30-07-2015 21:01:18
หน้าเหมือนกันนี่คืออัลไล
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น>> บทที่ 1 [27/07/58] ##TWINCEST#
เริ่มหัวข้อโดย: kun ที่ 31-07-2015 08:27:21
เป็นแฝดกันหรอ แล้วทำไมต้องแค้น
รอออออออ
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น>> บทที่ 1 [27/07/58] ##TWINCEST#
เริ่มหัวข้อโดย: SOO2 ที่ 31-07-2015 20:39:49
ว้าวววว เข้ามาเจิม
อัคคี×อินทัช
ฮุฮุฮุฮุ :impress2:
รอๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น>> บทที่ 1 [27/07/58] ##TWINCEST#
เริ่มหัวข้อโดย: birthcasper ที่ 03-08-2015 09:50:40
ชอบแนวนี้ ติดตามมมม  :hao5: :katai4: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น>> บทที่ 1 [27/07/58] ##TWINCEST#
เริ่มหัวข้อโดย: Ryoooo ที่ 03-08-2015 11:12:29
สนุก ชอบๆ
รอติดตามนะคะ อัคคีและองค์ชาย


ปล.ราชศัพท์บางคำเก๊าไม่รู้เลยอ่าาา
หัวข้อ: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น>> บทที่ 2 [04/08/58] ##TWINCEST#
เริ่มหัวข้อโดย: Belove ที่ 04-08-2015 13:01:32


                                                            บัลลังก์รักใต้เงาแค้น

                                                                     บทที่ 2


               สายตาคมที่จ้องมองยามชิดใกล้เมื่อกลางป่าติดตามมากวนพระหทัยของเจ้าชายอินทัชแม้ว่าเวลาจะล่วงเลย

มาถึงยามรัตติกาล วรกายสูงโปร่งสวมอาภรณ์เบาบางพลิกกายไปมาอยู่บนแท่นพระบรรทมอย่างหงุดหงิด ทอดพระเนตร

เพดานตำหนักที่ตกแต่งเป็นลวดลายฉลุอันงดงามแต่ความคิดกลับวนเวียนอยู่กับสัมผัสเมื่อยามบ่าย แม้จุมพิตนั่นจะถูก

กางกั้นด้วยผืนผ้าหยาบดำแต่มันกับทำให้ดวงหทัยร้อนรุ่มเหลือเกิน


               “บ้าที่สุด จะมัวแต่คิดถึงไอ้โจรป่าคนนั้นทำไมนะ”


               ขบเม้มพระโอษฐ์จนแดงเรื่ออย่างขุ่นเคืองเมื่อคิดถึงดวงตาวามวาวราวสิงห์หนุ่ม อยากจะกระชากผืนผ้าที่

ปิดบังใบหน้านั้นออกให้ได้ยลสักครั้งจะได้รู้ว่าคนเลวเยี่ยงนั้นจะอัปลักษณ์สักเพียงใด

               พระดำริสะดุดลงเมื่อได้ยินเสียงต้นห้องภายนอกขานร้องพระนามของพระมารดาก่อนที่ประตูห้องบานหนา

หนักจะถูกผลักออกเพื่อให้สตรีสูงศักดิ์ย่างกรายเข้ามา เจ้าชายอินทัชธราธิปรีบผุดลุกขึ้นมาพลางแย้มพระสรวลรับเจ้า

นางปะวะหล่ำเพื่อประทับเคียงกันบนแท่นพระบรรทม


                “นอนดึกจริงๆอินทัชลูกแม่”


               เจ้านางปะวะหล่ำยังคงมีสิริโฉมงดงามแม้พระชนม์จะล่วงเข้าใกล้สี่สิบชันษาเต็มที ทรงเอื้อมหัตถ์ลูบไล้เกศา

เจ้าชายอินทัชที่โน้มกายลงเกลือกกลิ้งที่พระเพลาราวกับยังเป็นเจ้าชายน้อย


               “ลูกยังไม่ง่วงนี่พระมารดา”


               เจ้านางปะวะหล่ำส่ายพักตร์อย่างระอาแกมเอ็นดูกับกริยาของเจ้าชายอินทัช


               “แล้วทำไมไม่ให้แม่พวกสาวๆเข้ามาดูแลล่ะ แม่ส่งมาตั้งหลายคน”


               เจ้าชายอินทัชเบ้พระโอษฐ์อย่างทรงรำคาญ


               “ลูกไม่ชอบสาวๆของพระมารดาแต่ละคนจริตมากมายเสียเหลือเกิน ว่าแต่พระมารดาทำไมยังไม่นอนพะย่ะค่ะ

แล้วไม่ต้องอยู่ดูแลพระบิดาหรือ”


               “พ่อเจ้าน่ะหรือ ป่านนี้คงมัวแต่อ่านหนังสืออยู่แต่ให้ห้อง”


               ดวงเนตรที่ตกแต่งงดงามของเจ้านางปะวะหล่ำมีร่องรอยเบื่อหน่ายเจืออยู่ หากแต่ทรงเงยพักตร์ขึ้นเพื่อซ่อน

พระราชโอรสมิให้มองเห็น จะให้เจ้าชายอินทัชรู้ไม่ได้ว่าเจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์กับพระองค์นั้นมิใคร่ได้สมานฉันท์กันนานแล้ว


               “พระมารดาน่าจะยินดีที่พระบิดามิได้ทรงข้องแวะกับนางสนมกำนัลคนใดมากไปกว่าทรงตั้งใจบริหารราชการ

แผ่นดิน ลูกเองยังภูมิใจในพระบิดามายมายนัก”


               เจ้านางปะวะหล่ำทรงถอนพระอัสสาสะออกมาพลางดึงให้เจ้าชายอินทัชลุกขึ้นมาจากพระเพลา


               “ช่างเถอะ มันเป็นเรื่องของผู้ใหญ่ที่เจ้ายังไม่เข้าใจ”


               “ลูกอายุสิบแปดปีแล้วนะพระมารดา”


               ทรงย่นนาสิกใส่พระมารดาที่ยังคิดว่าพระองค์ยังเป็นเด็กไร้เดียงสา เจ้านางปะวะหล่ำส่ายพักตร์อย่างระอา


               “ถ้าเจ้าอายุสิบแปดจริงดังปากว่า เจ้าควรจะฝึกปรือเรื่องบนเตียงให้เก่งกาจได้แล้วแทนที่จะมัวแต่ไปท่อง

เที่ยวยิงนกตกปลาอย่างที่ทำอยู่ อย่าให้แม่ได้ขายขี้หน้าเวลาสาวๆมันเอาไปนินทาว่าเจ้าชายอินทัชบรรทมเพียงเดียว

ดายในทุกค่ำคืน แม่ไปละ วันรุ่งจะไปหาแม่ย่าเฟื่องรุ้งเสียหน่อย”


               “แม่ย่าเฟื่องรุ้งมิอะไรดีพะย่ะค่ะ พระมารดาจึงได้เสด็จไปหาบ่อยครั้งเหลือเกิน”


               ตรัสอย่างสงสัยเมื่อทรงทราบว่าเจ้านางปะวะหล่ำจะเสด็จไปหาแม่ย่าเฟื่องรุ้งนักบวชหญิงวัยชราที่ยากจะมี

ใครได้พบเห็น ด้วยชื่อเสียงด้านการพยากรณ์และมนตราทำให้ใครๆก็ต้องการพบปะ หากมีเพียงไม่กี่คนที่ได้แม่ย่าเฟื่อง

รุ้งยินยอมให้พบรวมถึงเจ้านางปะวะหล่ำด้วย แต่เมื่อได้ยินคำพูดจากพระราชโอรสเจ้านางปะวะหล่ำถึงกับขมวดพระขนง


                “อย่าได้พูดถึงแม่ย่าด้วยน้ำเสียงดูแคลนเยี่ยงนั้นอินทัช เจ้าไม่รู้หรอกว่าแม่ย่ามีพระคุณกับแม่แค่ไหนกว่าจะมี

วันนี้ เอาเถอะ แม่ไม่พูดด้วยแล้วนอนเสียเถิดอินทัช”


                เจ้านางปะวะหล่ำดำเนินออกจากห้องพระบรรทมไปแล้วเจ้าชายอินทัชยังทรงครุ่นคิดไม่เลิกรา พระมารดา

ของพระองค์ตั้งแต่เดิมเป็นถึงพระธิดาองค์เล็กแห่งเมืองเขมราชและยกให้อภิเษกกับเจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์เพื่อสาน

สัมพันธไมตรี แล้วเหตุอันใดพระมารดาของเจ้าชายอินทัชต้องไปพึ่งใบบุญนักบวชหญิงลึกลับผู้นั้นด้วยเล่า













                ร่างสูงในอาภรณ์ชุดดำเร้นกายเข้าสู่ที่ราบกว้างที่มีภูเขาสูงทะมึนโอบล้อมเป็นปราการอยู่โดยรอบ ทางเข้า

ทางออกมีเพียงทางเดียวที่ต้องทะลุผ่านเวิ้งถ้ำเข้ามาด้านในซึ่งมีแต่ฝูงโจรเลื่องชื่อเท่านั้นที่รู้หนทางเข้าสู่ “หุบผากาฬ”

แห่งนี้ รวมทั้งเขาชายหนุ่มที่ชื่ออัคคี

               อัคคีเดินตรงไปยังกระท่อมไม้หลังใหญ่ที่สุดที่อยู่บนเนินสูงสุดของที่ราบ จากตำแหน่งนี้มองลงไปจะเห็น

กระท่อมที่สร้างกระจัดกระจายกันอยู่ของสมาชิกที่อาศัยอยู่ในหุบผากาฬแห่งนี้ เบื้องหน้าของกระท่อมอัคคีมองเห็นร่าง

กำยำของชายวัยกลางคนที่กำลังออกแรงตีเหล็กที่เผาไฟจนร้อน อัคคียกยิ้มพลางย่างสามขุมเข้าด้านหลังและจู่โจมเข้า

ใส่ด้วยความเร็ว

                     ชายผู้นั้นหันกลับมาตอบโต้ด้วยความเร็วไม่แพ้กัน การต่อสู้เกิดขึ้นอยู่กลางลานดินหน้ากระท่อมอย่างสูสี

จนกระทั่งอัคคีถูกรัดรอบลำคอ ทั้งคู่มองหน้าและหัวเราะใส่กันก่อนที่อัคคีจะถูกปล่อยให้เป็นอิสระ


                 “สู้พ่อสมิงไม่เคยได้เลย”


                “สมิง” หรือฉายา “โจรป่าสมิงไพร” หัวหน้ากองโจรแห่งหุบผากาฬหัวเราะลั่นพลางโยกหัวอัคคีอย่างเอ็นดู


                 “ใครบอก ฝีมือเจ้าดีขึ้นมากนะอัคคี พ่อเกือบจะเพลี่ยงพล้ำเสียหลายทีแล้ว ขนาดเจ้าอายุแค่สิบแปดยังเก่ง

ขนาดนี้ ต่อไปพ่อคงตายตาหลับหากได้เจ้าขึ้นมาเป็นหัวหน้าหุบผากาฬแทนพ่อ”


                  “คงอีกนานกว่าจะถึงวันนั้น ตอนนี้ทุกคนยังกลัวพ่อสมิงกันทุกหัวระแหงข้าคงไม่บังอาจที่จะเทียบชั้นพ่อได้

หรอก อืม...แล้วนี่พ่อบัวไปไหนเสียล่ะพ่อสมิง”


                สมิงชี้มือไปทางด้านหลังของกระท่อม


               “โน่น พ่อบัวกำลังตากปลาที่ข้าไปจับมา นี่ข้าบอกให้นำมาทำกับข้าวเลยก็ไม่เชื่อ เห็นบอกว่าจะตากปลาให้

แห้งจะเก็บไว้ได้นานๆ เจ้าไปหาพ่อบัวสิ”


               อัคคีเดินอ้อมไปด้านหลังเขาจ้องมองแผ่นหลังของผู้ชายรูปร่างสูงโปร่งที่กำลังเรียงตัวปลาอยู่บนกระจาดเพื่อ

ตากแดดด้วยความรัก อัคคีมีพ่อสองคนคือพ่อสมิงและพ่อบัวโดยที่ไม่มีแม่ ในยามเด็กเขาก็ไม่เข้าใจว่าเหตุในจึงเป็นเช่น

นั้นแต่เมื่อโตขึ้นมาเขาก็เลิกคิดเพราะทั้งคู่ก็เลี้ยงดูอัคคีเป็นอย่างดี


               พ่อบัวหันมามองเขา อัคคียิ้มให้พ่อบัวที่มีผ้าคาดปิดบังดวงตาที่บอดเสียข้างหนึ่งหากกระนั้นพ่อบัวของเขาก็

ยังจัดว่าเป็นผู้ชายที่หล่อเหลาผิวพรรณผุดผ่องกว่าพวกลุงๆอาๆลูกน้องของพ่อเป็นไหนๆ แต่เพราะพ่อบัวที่มักจะทำหน้า

ดุเขาจึงเกรงพ่อบัวมากกว่าพ่อสมิงที่เป็นหัวหน้าโจรเสียอีก


               “พ่อบัว”


               “มัวแต่เที่ยวเล่น เหลวไหลเสียจริงอัคคี”


               อัคคีเงียบกริบเมื่อบัวดุเสียงเข้ม นึกน้อยใจครามครันที่ถูกมองว่าทำตัวเหลวไหล


               “ข้าไปช่วยพวกพี่ๆวางกับดักรอบหุบเขาไม่ได้เที่ยวเล่นนะพ่อบัว และที่สำคัญข้าได้เจอคนใครคนหนึ่งที่พ่อ

บัวต้องยินดี”


               “ใครกัน” บัวขมวดคิ้วอย่างสงสัย


               “เจ้าชายอินทัชธราธิป”


               ดวงตาที่เหลือเพียงข้างเดียวเบิกกว้าง นัยน์ตาคมฉายแสงโชนถึงความเคียดแค้นที่สุมอยู่ในใจ


               “มันหน้าตาเยี่ยงไร”


               “เหมือนข้าไม่มีผิดเพี้ยน” อัคคีเอ่ยอย่างข้องใจ “ทำไมเป็นเช่นนั้น”


               “เพราะชะตากรรมไงล่ะ ชะตากรรมที่เจ้าจะต้องทำลายพวกมันอย่างที่ข้าเคยบอกเจ้าตั้งแต่ยังเล็ก”


               สายตาของบัวทำให้อัคคีขบกรามกรอด



               “ข้าจำได้แม่นยำ เพราะพวกมันทำให้ครอบครัวของพ่อบัวต้องตายจากและทำให้พ่อบัวบาดเจ็บเจียนตายจน

ต้องเสียดวงตาไปข้างหนึ่ง ข้าไม่มีวันลืมเลือน”


               “ดีมากอัคคี”


               บัวตบไหล่อัคคีหนักแน่นเพื่อตอกย้ำให้ฝังลึกเข้าไปในหัวใจของอัคคี


               “จงจำไว้ว่าเจ้าเกิดมาเพื่อทำลายพวกชั่วช้าเหล่านั้นให้สิ้นซาก”







               “เจ้านี่ชอบดุลูกจนมันหงอ”


               สมิงบ่นพึมพำเมื่ออยู่ด้วยกันเพียงลำพังกับบัวภายกระท่อมไม้หลังใหญ่ เขาสร้างกระท่อมหลังเล็กให้อัคคี

เยื้องไปทางด้านหลังเมื่อบุตรชายเริ่มเติบโตเข้าสู่วัยหนุ่ม

              บัวที่นั่งเพ่งสายตาอ่านหนังสือภายใต้ตะเกียงไฟยังคงไม่สนใจคำบ่นของสมิงจนกระทั่งสมิงต้องเข้ามาโอบ

เอวจากด้านหลังและดึงให้บัวมานั่งอยู่บนตักตัวเอง เขามองบัวด้วยความรักเต็มหัวใจ

               หลงรักตั้งแต่เขาพบร่างบาดเจ็บเจียนตายที่อุ้มทารกคนหนึ่งไว้แนบอก สมิงพาร่างอันบอบช้ำของทั้งคู่มา

รักษาตัวอยู่ในกระท่อม ส่วนทารกน้อยเขาก็ต้องให้เมียของลูกน้องที่เป็นแม่ลูกอ่อนช่วยแบ่งปันน้ำนมปะทังความหิวโหย

เขาเฝ้าดูแลจนชายแปลกหน้าอาการดีขึ้นแม้จะรักษาดวงตาข้างหนึ่งไว้ไม่ได้ ชายที่ได้รับบาดเจ็บบอกกับสมิงว่าเขาชื่อ

บัว สมิงเฝ้าประคบประหงมบัวอยู่นานและไม่ได้หักหาญน้ำใจเขารอจนกระทั่งบัวพร้อมและยินยอมที่จะเป็นของเขาโดย

แลกเปลี่ยนกับการที่สมิงจะต้องเลี้ยงดูและฝืกปรือวิชาการต่อสู้ให้ทารกที่บัวตั้งชื่อว่าอัคคี สมิงเต็มใจอยู่แล้วและในที่สุด

บัวก็ยินยอมที่จะใช้ชีวิตอยู่ในหุบผากาฬแห่งนี้ในฐานะเมียของสมิงไพรที่ลูกน้องของสมิงต่างรู้กันดีว่าหัวหน้าโจรชื่อดัง

กลัวเมียแค่ไหน


                 “เจ้าเองก็มัวแต่ตามใจลูก”


                   สมิงถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะยิ้มกริ่มพลางวางร่างโปร่งของบัวให้นอนลงไปบนฟูกนุ่นแล้วหันไปปิดไฟ

ที่ตะเกียงจนมืดมิด


                 “สมิง ข้ายังอ่านหนังสือไม่จบ”


                 บัวทักท้วงแต่ก็ไม่สามารถห้ามปรามมือสากที่เริ่มซนอยู่กับร่างกายของเขาได้


                “อ่านแต่หนังสือนะพ่อบัว ทำไมไม่อ่านใจข้าบ้างล่ะว่าข้ารักพ่อบัวแค่ไหน”


                  “สมิง อื้อ...”


                 เสียงทุ้มของบัวถูกปิดทันทีด้วยปากของสมิง เขาจูบกลีบปากนุ่มของบัวพลางปลดผ้าฝ้ายเนื้อนุ่มที่บัวสวม

ใส่ออกพัลวัน ส่วนเขาที่มีเพียงผ้ายกรั้งท่อนล่างนั้นมันหลุดออกนานแล้ว สมิงทาบร่างกายที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามและ

ท่อนเนื้อพร้อมรบลงกับร่างกายขาวผ่องที่อวดกายอยู่ในความมืด

             เขาฟอนเฟ้นร่างกายของบัวด้วยปากและลิ้นอย่างเช่นทุกครั้ง บัวสยิวกายไปตามแรงอารมณ์จนเผลอครางเป็นระ

ยะ หนวดเคราของมหาโจรเสียดสีอยู่ตามเนื้อตัวเร่งเร้าให้เขาเบียดกายเข้าหา และแอ่นอกให้สมิงเชยชม


                “หวานเหลือเกินพ่อบัว”


                สมิงคำรามอย่างถูกใจเมื่อได้กลืนกินจุดซ่อนเร้นของบัวให้พองฟูอยู่ในปากก่อนที่จะคายออกมาเมื่อบัว

พ่นพิษใส่เขาจนฉ่ำชื้น สมิงคายมันออกมาใส่อุ้งมือแล้วป้ายไปรอบช่องทางด้านล่างแล้วจึงสอดกายตนเข้าไปอย่างคุ้น

เคย


                 “หนทางของพ่อบัวยังเบียดรัดข้าไม่เคยเปลี่ยนเลย”


                  “อะ อึก สมิง เบาหน่อย อะ เสียว”


                สมิงเงยหน้าครางลึก เขากอบโกยเนื้อหนั่นแน่นไว้ในอุ้งมือเพื่อเปิดทางสวรรค์ เอวแกร่งของเขามีพลัง

เหลือเฟือที่จะทำให้บัวดิ้นพล่านไม่ยอมหยุด บัวได้แต่กัดริมฝีปากกลั้นเสียงครางอยู่ในลำคอไม่ให้มันเล็ดลอดออกไป


                 “อาทิตย์ อา...”




                อัคคีกัดปากตัวเองเมื่อเสียงร่วมรักของสมิงกับบัวดังแว่วมาจากกระท่อมหลังใหญ่ ร่างกายในวัยหนุ่มกำลัง

เดือดพล่านไปด้วยเลือดลมจนท่อนเนื้อแข็งขืนขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ และในหัวของเขามีแต่ภาพของเจ้าชายที่มีใบหน้า

พิมพ์เดียวกับเขาล่องลอยอยู่เต็มไปหมดจนอัคคีโมโหตัวเอง


             “ไม่ได้ นั่นคือศัตรู”


              เอื้อมมือไปกอบกุมจุดอ่อนไหวไว้ในอุ้งมือแล้วใช้ปลายนิ้วบีบนวด หูสดับฟังเสียงครางจากพ่อทั้งสองและ

หลับตาเพื่อจินตนาการถึงใบหน้าเนียนที่เพิ่งพบกันครั้งแรก อัคคีหอบหายใจลึกอยู่เพียงลำพัง


               “อินทัช อึก...”


               รู้สึกถึงความเปียกชื้นอยู่ในร่มผ้า อัคคีสบถเบาๆเมื่อเขาเฝ้าแต่คิดถึงเจ้าชายรัชทายาทแห่งรัตนปุระนคร


             ------------------------------โปรดติดตามตอนต่อไป----------------------------------               



อธิบายคำราชาศัพท์

แท่นพระบรรทม คือ ที่นอน
แย้มพระสรวล คือ ยิ้ม
พระเพลา คือ ตัก หน้าขา
พระอัสสาสะ คือ ลมหายใจออก
นาสิก คือ จมูก
ขนง คือ คิ้ว




คำอธิบายจากผู้แต่ง

เรื่องนี้มีสองช่วงนะคะ รุ่นพ่อ อาทิตยวงศ์ –บัว(โกมุท)-สมิง แล้วถึงจะมาเป็นรุ่นลูกที่เป็นฝาแฝด อัคคี-อินทัช เดี๋ยวจะมี

ช่วงอดีตเล่าแทรกมาด้วยจะได้รู้สาเหตุกันจ้า คำราชาศัพท์คำไหนไม่เข้าใจบอกได้นะคะ



Belove
หัวข้อ: Re: บัลลังก์รักใต้เงาแค้น \(^o^)/ บทที่ 2 [04/08/58] ##TWINCEST#
เริ่มหัวข้อโดย: boboman ที่ 04-08-2015 14:46:04
คู่พ่อนี่ร้อนแรงจัง -.,-
อย่าสามพีน้า T^T
รอตอนต่อไปจ้า
หัวข้อ: Re: บัลลังก์รักใต้เงาแค้น \(^o^)/ บทที่ 2 [04/08/58] ##TWINCEST#
เริ่มหัวข้อโดย: SOO2 ที่ 04-08-2015 15:33:15
รุ่นพ่อนี่รักสามเส้าหรอเนี่ย
แล้วอัคคีกับอินทัชนี่ลูกใครอ่ะ

มาต่อๆ ปัญหาเยอะดี ชอบ :hao7:
หัวข้อ: Re: บัลลังก์รักใต้เงาแค้น \(^o^)/ บทที่ 2 [04/08/58] ##TWINCEST#
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 04-08-2015 16:01:05
พอจะเดาได้ลางๆ ละ งื้อออ
หัวข้อ: Re: บัลลังก์รักใต้เงาแค้น \(^o^)/ บทที่ 2 [04/08/58] ##TWINCEST#
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 04-08-2015 16:23:53
 :-[   แค้นกันไปทำไมน้อ
ต่างฝ่ายต่างโหยหากันเนอะ น่าสงสาร
แม่คงเครียดแหละกลัวลูกเป็นเกย์ล่ะสิเห็นลูกไม่เอาผู้หญิง 555 หรือว่าพ่อก็เป็นเนาะ
หัวข้อ: Re: บัลลังก์รักใต้เงาแค้น \(^o^)/ บทที่ 2 [04/08/58] ##TWINCEST#
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 04-08-2015 20:55:08
ความแค้นของรุ่นพ่อรุ่นแม่ลามมาสู่ลูกใช่มั้ยเนี่ย :katai1:
หัวข้อ: Re: บัลลังก์รักใต้เงาแค้น \(^o^)/ บทที่ 2 [04/08/58] ##TWINCEST#
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 06-08-2015 00:18:40
อืม... เหมือนมองเห็นภาพ ความแค้นส่งต่อมาที่ลูกแทน
หัวข้อ: Re: บัลลังก์รักใต้เงาแค้น \(^o^)/ บทที่ 2 [04/08/58] ##TWINCEST#
เริ่มหัวข้อโดย: Freja ที่ 06-08-2015 05:30:28
รุ่นใหญ่ไปแตะขอบฟ้าแล้วนิ    สงสัยเจ้านางใช้มนต์-กลจากแม่ย่าสินะถึงได้ท่านอาทิตย์มาครอง   เป็นเรานะรักพ่อสมิงตายเลยอยู่กันมาได้ตั้งหลายปีขนาดครางออกมาเป็นชื่อคนอื่นก็ยังรักอยู่

นึกตะหงิดๆอยู่นะว่าทำไมแม่ถึงได้เจ้ากี้เจ้าการเรื่องให้ลูกชายนอนกับพวกนางห้ามนัก  ท่าเชื้อรุ่นพ่อจะแรง

ปิดไฟ - น่าจะเป็นดับไฟจากตะเกียงหรือเปล่าคะ     
หัวข้อ: Re: บัลลังก์รักใต้เงาแค้น \(^o^)/ บทที่ 2 [04/08/58] ##TWINCEST#
เริ่มหัวข้อโดย: Aumy8059yaoi ที่ 06-08-2015 11:33:22
กรี๊ดดดดดดด  :haun4: :haun4:
^//////^
หัวข้อ: บัลลังก์รักใต้เงาแค้น \(^o^)/ บทที่ 3 [12/08/58] ##Twincest#Period#
เริ่มหัวข้อโดย: Belove ที่ 12-08-2015 19:31:53


                                                   บัลลังก์รักใต้เงาแค้น

                                                           บทที่ 3


               บานประตูห้องทรงพระอักษรถูกผลักเข้ามา เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ศตรัศม์ ผู้ครองเมืองรัตนปุระนครชำเลืองสาย

พระเนตรขึ้นมอง เมื่อเห็นว่าเป็นเจ้านางปะวะหล่ำพระชายาก้าวพระบาทเข้ามาจึงได้เบนพระเนตรกลับมายังหนังสือหนา

หนักที่อยู่ตรงหน้า


               “หนังสือฝรั่งนั่นน่ามองกว่าใบหน้าของหม่อมฉันหรือเพคะ”


               กระแสเสียงค่อนแคะจากผู้ที่ได้ชื่อว่า “เมีย” และ “แม่ของลูก” ทำให้เจ้าฟ้าผู้ครองนครสำคัญอันเป็นที่

ต้องการของหัวเมืองใหญ่ต่างแคว้นลอบถอนพระอัสสาสะแผ่วเบาก่อนจะปิดหนังสือเล่มใหญ่ในพระหัตถ์ลง


               “มีอะไรก็ว่ามา ปะวะหล่ำ”


               เจ้านางปะวะหล่ำทอดพระเนตรเจ้าเหนือหัวที่กำลังลุกจากเก้าอี้ประทับแล้วหยัดยืนเต็มความสูงของพระ

วรกาย สะท้อนในพระหทัยนักหากผู้ชายตรงหน้าจะแสดงความรักความเอาใจใส่พระองค์ให้มากกว่านี้สักนิด ความน้อย

เนื้อต่ำใจคงจะไม่ทบทวีกันจนกลายเป็นความหมางเมินเช่นนี้


               “หม่อมฉันมาเพื่อกราบบังคมทูล ในวันรุ่งขึ้นหม่อมฉันจะไปหาแม่ย่าเพื่องรุ้ง”


               เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ทรงขมวดพระขนงเมื่อทอดพระเนตรพระชายา


               “เป็นถึงเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน อย่าให้ใครเขาพูดได้ว่าเชื่อถือในโชคลางเกินเหตุ”


               “เจ้าพี่กำลังว่ากล่าวหม่อมฉันอยู่ใช่ไหมเพคะ”


               ทรงเม้มพระโอษฐ์เคลือบสีชาดด้วยความเคืองขุ่นเมื่อได้ยินคำตรัสนั้น เจ้านางปะวะหล่ำเชิดพระพักตร์ขึ้นสูง

ด้วย ขัตติยทิฐิ


               “หม่อมฉันรู้ดีว่าอะไรควรอะไรไม่ควร”


               “เราก็แค่เตือนเจ้าปะวะหล่ำ” ทรงลอบถอนพระอัสสาสะอีกครั้งอย่างอ่อนพระทัย


              “ในฐานะที่เจ้าเป็นเจ้านางของรัตนปุระนคร”


               “ก็ยังดีที่พระองค์ยังทรงจำได้ว่าหม่อมฉันเป็นเจ้านางของพระองค์ และอย่าทรงลืมว่าหากไม่ได้หม่อมฉันป่าน

นี้รัตนปุระนครคงกลายเป็นเมืองประเทศราชของแคว้นอื่นไปนานแล้ว”


               หมุนพระวรกายก้าวออกไปจากห้องทรงอักษรด้วยความเคืองขุ่น เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ทอดพระเนตรจนร่างของ

พระชายาลับสายพระเนตรแล้วจึงทิ้งกายกลับไปยังเก้าอี้ประทับพลางยกพระหัตถ์นวดพระนลาฏ


               การเป็นเจ้าแผ่นดินเป็นเจ้าชีวิตผู้คนทั่วทั้งนครแต่หาได้เป็นเจ้าชีวิตของตนเอง

               แต่หากแค่ใครบางคนจะอยู่เคียงข้างทั้งกายและใจ เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์คงจะไม่เดียวดายขนาดนี้


               “โกมุท”


               รอยยิ้มอ่อนโยนที่คอยให้กำลังใจยามเหนื่อยล้ายังคงตรึงตาและตรึงอยู่ในหัวใจแม้แต่วินาทีนี้ ทรงรำพึงชื่อ

นั้นออกมาจากโอษฐ์เมื่อทรงปิดพระเนตรลงและปล่อยใจให้ล่องลอยถึงอดีต


               “ง้างคันศรแล้วเล็งให้แม่นพะย่ะค่ะ”


               ใบหน้านั้นอยู่ใกล้จนรับรู้ลมหายใจซึ่งกันเมื่อเจ้าชายอาทิตยวงศ์ในวัยเยาว์โก่งคันศรเป็นครั้งแรก คนใจเย็น

กว่าคอยแนะนำไม่ห่างเมื่อรู้ว่าเจ้าชายรัชทายาทนั้นพระทัยร้อนเพียงใด เจ้าชายอาทิตยวงศ์ปล่อยให้ลูกธนูลอยละลิ่ว

ออกไปปักพื้นดินโดยห่างไกลเป้าหมายนัก


               “โธ่โว้ย ทำไมยิงธนูมันยากเย็นแบบนี้นะ”


               สบถออกมาเพราะความไม่พึงพระประสงค์ การที่ต้องใช้สมาธิอยู่นิ่งมันช่างยากกว่าการให้พระองค์ออกแรง

ซ้อมเพลงดาบเป็นไหนๆ


               “พระทัยร้อนเกินไปต่างหากพะย่ะค่ะ”


               ร่างที่สูงทัดเทียมพระองค์หากแต่อายุมากกว่ากันสามขวบปีเอ่ยขึ้นอย่างใจเย็นพลางส่งลูกศรอันใหม่ให้


               “เราไม่ได้ใจเย็นเป็นน้ำแข็งอย่างเจ้านี่โกมุท”


               รับลูกศรพลางตรัสบ่นพึมพำ ชายที่ถูกเรียกขานว่าโกมุทส่ายหน้าอย่างระอาแต่ถึงกระนั้นใบหน้าก็ยังอ่อนโยน

และมีรอยยิ้มประดับอยู่เสมอ


               “ยิงธนูต้องใช้สมาธิ หากพระองค์รีบร้อนเหยื่อจะหนีหาย”


               สอนอย่างที่เคยกระทำมาตั้งแต่เจ้าชายอาทิตยวงศ์ประสูติ โกมุทในวัยสามขวบประคบประหงมดูแลเจ้าชาย

น้อยแม้กระทั่งยามหัดเดิน ชื่อโกมุทเป็นคำติดปากยามที่เจ้าชายรัชทายาทต้องการสิ่งใด


               โกมุทก้าวเข้าไปใกล้ยกแขนวางแนบไปกับเจ้าชายรัชทายาท


               “อาทิตย์เก่งอยู่แล้ว ท่านต้องทำได้เชื่อเรา”


               เสียงกระซิบแผ่วเบาเรียกชื่อพระองค์เพียงพระนามทำให้เจ้าชายอาทิตยวงศ์ลอบแย้มสรวล พระหัตถ์ที่โก่ง

คันธนูตรึงนิ่งก่อนจะปล่อยให้ลูกศรแหวกอากาศเข้าสู่เป้าหมาย


               เสียงนุ่มของโกมุทมีผลต่อพระองค์เสมอ มันคล้ายกับน้ำอันชุ่มฉ่ำที่คอยรินรดยามพระองค์ร้อนรนหรือ

เหนื่อยล้า


               “เจ้าช่างใจเย็นเหมือนชื่อของเจ้า โกมุทแปลว่าเกิดจากน้ำซึ่งมันก็คือดอกบัวใช่ไหม”


               ทรงตระกองกอดในวันที่พระองค์ล่วงรู้ว่ารู้สึกเช่นไรกับผู้ชายในอ้อมแขน เมื่อพ้นจากวัยเยาว์ร่างกายของ

โกมุทช่างบอบบางเหลือเกินในอ้อมกอด ร่างที่เคยสูงทัดเทียมกันกลับกลายเป็นสูงเสมอแค่พระกรรณของเจ้าฟ้าองค์

ใหม่แห่งรัตนปุระนคร


               “ดอกบัวเกิดแต่ตม หากแต่มันกลับรักแสงแดดจากดวงอาทิตย์ยิ่งชีพ หากวันไหนไร้แสงวันนั้นดอกบัวก็จะ

เหี่ยวเฉาและตายอย่างไร้คุณค่าพะย่ะค่ะ”


               มือนุ่มที่จับแต่กองหนังสือตำราเป็นหลักยกขึ้นมาลูบพระพักตร์คมของเจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ สายตาที่จับจ้อง

บอกถึงความรักและภักดีแม้แต่ยอมทอดกายให้พระองค์ในสนามรบเช่นยามนั้น


               “ไม่มีวันที่เราจะทอดทิ้งเจ้า โกมุท”


               ดึงกายนุ่มนั้นเข้ามาเบียดชิดอยู่บนตั่งแข็งภายในกระโจมพัก เจ้าชายอาทิตยวงศ์ทรงประทานจุมพิตแสน

หวานจนโกมุทสั่นสะท้าน สองแขนคล้องไปรอบพระศอพลางโอบรั้งร่างกายจนร้อนผะผ่าว กายเปลือยเปล่าชื้นเหงื่อยาม

เจ้าเหนือหัวบดบี้ขยี้พระหัตถ์ลงกับยอดอกจนเป็นตุ่มไต


               “หวานเหลือเกินโกมุท ขอให้เราเป็นเจ้าของเจ้าทั้งตัวและหัวใจเถิด”


               “อา...พระองค์”


               “อาทิตย์” เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ทรงตรัสแก้เสียงสั่นพร่า “เรียกเราว่าอาทิตย์อย่างที่เจ้าชอบทำเวลาเราดื้อ”


               ทั้งเนื้อทั้งตัวที่เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์สัมผัสช่างนุ่มเนียนมือเหลือเกิน โกมุทครางฮือไม่หยุดหย่อนแม้แต่ตอนที่

พระองค์ชำแรกแทรกกายเข้าหาเป็นคราแรก เสียงจากความเจ็บปวดถูกกลบมิดด้วยจุมพิตเร่าร้อนจนกระทั่งกลายเป็น

ความต้องการด้วยเสน่หา


               เสียดายที่มีเพียงตั่งเล็กรองนอนในยามหน้าสิ่วหน้าขวาน หากเป็นพระแท่นบรรทมอย่างในวังใหญ่เจ้าฟ้า

อาทิตยวงศ์คงจะพระราชทานความสุขสมให้มากกว่านี้


               “เท่านี้ก็ดีแล้วพะย่ะค่ะ”


               เสียงสั่นหวิวราวกับจะขาดใจกระซิบตอบขณะที่เจ้าชีวิตเคลื่อนวรกายอยู่เบื้องบน โกมุททอดสายตาฉ่ำหวาน

พลางยกขาตั้งชันเพื่อให้ร่างกายสอดประสานได้มากขึ้น วงพระพักตร์ชื้นเหงื่อคำรามลึกเมื่อช่องทางเร้นรักบีบอัดจนพา

กันเสียวซ่านสะท้านกอดก่ายเมื่อพากันสุขสมเสียทั้งคู่


               ทรงจำได้แม้กระทั่งเสียงหอบหายใจหนักหน่วงที่เป่ารดซึ่งกันแม้กระทั่งบัดนี้ เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์กัดพระทนต์

ด้วยความเจ็บช้ำ


               “โกมุท หากเจ้าอยู่เคียงข้างเรา หากแม้เจ้าไม่คิดทรยศเป็นไส้ศึกกับศัตรู วันนี้เราคงมีเจ้าอยู่เคียงข้างกาย”







               เสียงของบิดาทั้งสองจากกระท่อมหลังใหญ่เงียบลงแล้วแต่อัคคียังข่มตาหลับไม่ลง แม้ความต้องการของ

ร่างกายจะระบายออกไปบ้างด้วยน้ำมือตน แต่เมื่อหลับตาครั้งใดใบหน้าที่เหมือนตัวเองไม่มีผิดเพี้ยนกลับตามมาย้ำเตือน

ความต้องการอย่างน่าหงุดหงิด


               คนหนึ่งเป็นเจ้าชาย แต่อีกคนกลับเป็นโจร อัคคีไม่นึกว่าชะตาฟ้าจะเล่นตลกเช่นนี้


               เสียงฝีเท้าแสนเบาแว่วมาจากด้านนอกของประตู อัคคีใช้มือหนุนหัวนิ่งฟังอย่างใจเย็นจนกระทั่งประตูไม้แง้ม

เปิดช้าๆพร้อมกับเงาตะคุ่มที่ย่องเข้ามาด้านใน เจ้าของเงาก้าวเดินอยู่ในกระท่อมเล็กอย่างคุ้นทางก่อนจะทรุดลงนั่งบน

ฟูกที่อัคคีนอนอยุ่


               “ยังไม่นอนอีกรึ ฟ้าฟื้น”


               ฟ้าฟื้น บุตรชายนางอิ่มแม่นมของเขา ลูกชายเสือผาดขุนโจรคนสนิทของสมิงที่สมิงฝากให้ช่วยดูแลเมื่อยาม

เขาแบเบาะ ฟ้าฟื้นอายุมากกว่าอัคคีแค่ปีเดียวเมื่อยามที่อัคคีมาอาศัยน้ำนมของนางอิ่ม อัคคีและฟ้าฟื้นโตมาด้วยกันฝึก

ปรือการต่อสู้มาด้วยกันจนกระทั่งบัดนี้


               คืนเดือนเพ็ญที่แสงจันทร์นวลส่องสว่างทำให้ภายในกระท่อมยังพอมองเห็นโดยไม่ต้องใช้แสงไฟจากตะเกียง

ฟ้าฟื้นทิ้งกายลงนอนเคียงข้างอัคคีอยู่บนฟูกเล็ก


               “นอนไม่หลับ”


               ฟ้าฟื้นตอบอย่างเบื่อหน่าย เขาหันไปสบตากับอัคคีในความมืดแล้วยิ้มขำ


               “เจ้าเองก็นอนไม่หลับเหมือนกันล่ะสิอัคคี ก็เล่นนอนฟังเสียงพ่อทั้งสองของเจ้าเล่นรักกันขนาดนั้น”


               ...นั่นไม่เท่าไหร่ แต่ใบหน้าของใครคนหนึ่งที่มากวนใจนั่นหนักกว่า...


               ตอบอยู่ภายในใจแต่ก็เผลอไผลถอนหายใจออกมา ทำให้ฟ้าฟื้นเข้าใจว่าสิ่งที่พูดมาถูกต้อง


               “ไหนดูทีรึ ผลมันออกมาเป็นเช่นไรบ้าง”


               ผ้านุ่งตัวหลวมที่อัคคีสวมใส่เพียงอย่างเดียวถูกดึงให้ส่วนแข็งขืนอวดกายอยู่ต่อหน้า อัคคีส่ายหน้ายิ้มขำ

เพราะฟ้าฟื้นชอบแกล้งเขาแบบนี้อยู่บ่อยครั้ง แต่วันนี้ฟ้าฟื้นไม่ได้หยุดอยู่แค่นั้นเขากลับเลื่อนกายลงไปแล้วตั้งใจมองมัน

จนอัคคีชักจะสงสัย


               “มองทำไม ฟ้าฟื้น ของเจ้าก็มีเหมือนข้า”


               มือหยาบของฟ้าฟื้นลูบไล้ไปรอบโคนที่ยังเปียกชื้นคราบน้ำคาวที่อัคคีเพิ่งรีดพิษ ดวงตาเบิกกว้างอยู่ในความ

มืดเขาขยับไปนั่งอยู่ระหว่างต้นขาแกร่งของอัคคี


               “เจ้ายังต้องการอยู่ ข้ารู้”


               อัคคีผงกหัวขึ้นมองอย่างแปลกใจเมื่อฟ้าฟื้นท่าทางแปลกไปกว่าทุกครั้ง ฟ้าฟื้นใช้นิ้วประคองรัดจุดกึ่งกลาง

ลำตัวของเขาไว้ในอุ้งมือแล้วจึงแตะปลายลิ้นลงไปตรงปลายยอด


               “จะทำอะไรกันแน่ฟ้าฟื้น”


               อัคคีสูบลมหายใจเข้าลึกเมื่อฟ้าฟื้นกำลังกระทำกับท่อนเนื้อของเขาด้วยโพรงปากลึก ความต้องการของ

ร่างกายพุ่งสูงจนใกล้จะถึงจุดหมาย ฟ้าฟื้นกลืนกินมันเข้าไปอย่างติดใจพลางโลมเลียพัลวันปลุกเร้าให้อัคคีเริ่มหอบ

หายใจหนักหนาและเด้งเอวเข้าใส่อย่างลืมตัว


               “ทำให้เจ้ามีความสุข”


               ฟ้าฟื้นพึมพำ


               “ใครๆก็ต้องปลดปล่อยกันทั้งนั้น”


               อัคคีสวนเอวเข้าใส่เมื่อน้ำคาวพุ่งอยู่ในปากของฟ้าฟื้นที่ค่อยๆคายมันออกทีละน้อย ก่อนจะชันขานั่งถอดเสื้อ

ทอสีเข้มออกต่อหน้าอัคคี เขาใช้ปลายนิ้วกวาดน้ำคาวของอัคคีที่อยู่รอบปากออกพลางจ้องหน้าอัคครีประกายตาวาววาม


               “แม้แต่พ่อของเจ้า พ่อและแม่ของข้า”


               อัคคีที่ยังหอบหนักเพ่งมองฟ้าฟื้นอย่างไม่เข้าใจ


              “นั่นพวกเขาเป็นผัวเมียกัน”



                “อัคคี เราโตมาด้วยกัน กินนมเต้าเดียวกันมา เราเป็นยิ่งกว่าเพื่อนยิ่งกว่าพี่น้อง ข้ารักเจ้าสุดหัวใจแล้วเจ้าล่ะ

ไม่คิดอย่างเดียวกันกับข้ารึ”


               ฟ้าฟื้นถอดผ้าทิ้งจนหมด ร่างกายล่ำสันไปด้วยกล้ามอย่างคนชอบต่อสู้ลูบไล้ตนเองอวดสายตาอัคคี ฟ้าฟื้นนั่ง

คร่อมอยู่ตรงเอวของอัคคีพลางนวดเฟ้นแก่นกายตนเองให้อีกฝ่ายปะทุแรงพิศวาสอีกครั้ง

               ฟ้าฟื้นดึงมือของอัคคีให้เขาเอื้อมมือมาแล้วดันนิ้วสอดลึกเข้าไปในช่องทางของตน ฟ้าฟื้นปรือตาครางออกมา

จนอัคคีเองก็เริ่มจะยั้งอารมณ์ไม่อยู่ เขากัดฟันแน่นเมือช่องทางของฟ้าฟื้นตอดรัดนิ้วของเขาเหลือเกิน


               “เจ้ากำลังจะทำให้ข้าต้องกระทำให้เจ้าอยู่นะฟ้าฟื้น”


               “นั่นคือสิ่งที่ข้าต้องการ อัคคี ระบายลงมาบนร่างกายข้าสิ ข้าพร้อมจะเป็นของเจ้ามานานแล้ว”


               อัคคีคำรามลึก อารมณ์วัยหนุ่มกระเจิดกระเจิงจนกู่ไม่กลับ เขาดันไหล่ฟ้าฟื้นให้พลิกกลับมานอนหงายหลังติด

ฟูกและสำรวจร่างกายของฟ้าฟื้นด้วยดวงตาราวกับสิงห์หนุ่มกลัดมัน อัคคีอ้าปากงับลานนมพลางขยี้ปลายนิ้วลงอีกฝั่ง ฟ้า

ฟื้นแอ่นกายตอบรับอย่างยินดี

               ต้นขาของฟ้าฟื้นถูกดันลอยจนปลายต้นขาแทบจะแนบกับใบหน้า สะโพกยกสูงมองเห็นรอยจีบพับล่อตาให้

อัคคีจ่อแท่งเนื้อร้อนเข้าไปเขาสะดุ้งกับความคับแคบตอดรัด เสียงร้องดังมาจากฟ้าฟื้นที่นิ่วหน้าเมื่อถูกสอดใส่


               “เจ้าเจ็บมากนะฟ้าฟื้น ข้าจะหยุด”


               “ยะ อย่า ข้าทนได้อัคคี ได้โปรดใส่มันเข้ามา”


               เสียงครวญทดแทนจากฟ้าฟื้นเมื่อเขาโน้มตัวไปรัวลิ้นอยู่ตรงยอดอก และในที่สุดเขาก็ดันท่อนเนื้อเข้าไปจน

มิดลำ อัคคียันมือคร่อมกายของฟ้าฟื้นพลางขยับร่างเร่งเร้าด้วยพายุอารมณ์ อัคคีได้แต่หลับตาลงเมื่อร่างกายที่เขากำลัง

ระบายออกกลายเป็นเจ้าชายรัชทายาทของรัตนปุระนครในจินตนาการของเขา



                              -------------------โปรดติดตามตอนต่อไป-----------------------         



ขายของจ้า
เกมพิศวาสซาตานร้าย (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=46102.0)
กำลังเปิดให้สั่งซื้อนะ ไปอ่านตอนจบและตอนพิเศษก่อนได้นะสำหรับคนที่ยังไม่เคยอ่านค่ะ

      :mew1: :mew1:



หัวข้อ: Re: บัลลังก์รักใต้เงาแค้น \(^o^)/ บทที่ 3 [12/08/58] ##Twincest#Period#
เริ่มหัวข้อโดย: boboman ที่ 12-08-2015 19:33:07
จิ้ม เชิ้บๆ
เวรกรรม
ตัวละครเริ่มโผล่มาพร้อมกับความสัมพันธ์ที่ยุ่งเหยิง -*-
แล้วตกลงโกมุทชอบใครเนี่ย เจ้าอาทิตย์เหรอ?
หัวข้อ: Re: บัลลังก์รักใต้เงาแค้น \(^o^)/ บทที่ 3 [12/08/58] ##Twincest#Period#
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 12-08-2015 19:46:39
อื้อหือ. ความสัมพันธ์ซับซ้อนตั้งแต่รุ้นพ่อแม่ยันลูกๆ
แต่แบบว่าสงสารท่านแม่นะเนี่ย. จำใจแต่งงานเพราะหน้าที่ในการสืบทอดทายาท
แต่เห็นทีคงจะจบแค่รุ่นลูกแล้วล่ะมั้ง
ขอบคุณจ้า รอตอนต่อไป
หัวข้อ: Re: บัลลังก์รักใต้เงาแค้น \(^o^)/ บทที่ 3 [12/08/58] ##Twincest#Period#
เริ่มหัวข้อโดย: nunda ที่ 12-08-2015 20:17:33
มาเจิมก่อนค่ะ เด๋วอ่านย้อนหลังก่อน ^_^
หัวข้อ: Re: บัลลังก์รักใต้เงาแค้น \(^o^)/ บทที่ 3 [12/08/58] ##Twincest#Period#
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 13-08-2015 00:17:10
อารมณ์หื่นมาเต็ม :z1:
หัวข้อ: Re: บัลลังก์รักใต้เงาแค้น \(^o^)/ บทที่ 3 [12/08/58] ##Twincest#Period#
เริ่มหัวข้อโดย: ooomukooo ที่ 13-08-2015 02:46:25
รอๆ  :mew1:
หัวข้อ: Re: บัลลังก์รักใต้เงาแค้น \(^o^)/ บทที่ 3 [12/08/58] ##Twincest#Period#
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 13-08-2015 21:46:55
เดาว่าท่านแม่ต้องมีส่วนทำให้เจ้าอาทิตย์กับโกมุทเข้าใจผิดกันแน่ๆ
แต่สงสัยว่าทำไมพ่อบัวถึงต้องแค้นจนเอาความแค้นของตัวเองมาฝังหัวลูกของอาทิตย์ด้วยอ่ะ (ถ้าเป็นลูกของอาทิตย์จริงๆอ่ะนะ)
หัวข้อ: Re: บัลลังก์รักใต้เงาแค้น \(^o^)/ บทที่ 3 [12/08/58] ##Twincest#Period#
เริ่มหัวข้อโดย: SOO2 ที่ 14-08-2015 01:09:56
อะหือ นี่แค่ตอนที่3เองนะเนี่ย นี่ก็คิดไปไกลละ :m25:
หัวข้อ: Re: บัลลังก์รักใต้เงาแค้น \(^o^)/ บทที่ 3 [12/08/58] ##Twincest#Period#
เริ่มหัวข้อโดย: Veesi3 ที่ 14-08-2015 08:17:46
เนื้อเรื่องซับซ้อนมาก ตอนนี้อัคคีกำลังเรียนรู้เพื่อจะได้ไปปั่มปั๊มอินทัชใช่มั้ยเนี่ยนยยน
หัวข้อ: Re: บัลลังก์รักใต้เงาแค้น \(^o^)/ บทที่ 3 [12/08/58] ##Twincest#Period#
เริ่มหัวข้อโดย: Aumy8059yaoi ที่ 14-08-2015 12:31:25
โอ้ยยยยยยยย ทำไมอัคคีไปมีอะไรกับฟ้าฟื้นเนี่ยยยยยย :katai1:
แล้วเรื่องราวจะเป็นยังง๊ายยยยยย อัคคีกับอินทัช คู่กันใช่ป่าววววว :hao5:
 o18 o18 :m31:
หัวข้อ: Re: บัลลังก์รักใต้เงาแค้น \(^o^)/ บทที่ 3 [12/08/58] ##Twincest#Period#
เริ่มหัวข้อโดย: kms ที่ 15-08-2015 23:24:09
สนุกมากเลยค๊าาาาา
คู่คุณพ่อท่าจะแซ่บบบบบบบบบบบ
จะสามพีมั้ยเนี้ยยยย
หัวข้อ: บัลลังก์รักใต้เงาแค้น \(^o^)/ บทที่ 4 [21/08/58] ##Twincest#Period#
เริ่มหัวข้อโดย: Belove ที่ 21-08-2015 17:21:34


                                              บัลลังก์รักใต้เงาแค้น

                                                      บทที่ 4

               เจ้านางปะวะหล่ำเสด็จสู่เรือนไม้สักที่ตั้งอยู่ท้ายนครก่อนเข้าสู่เขตป่าใหญ่ในรุ่งเช้า มีเพียงนายทหารคนสนิท

ไม่กี่คนติดตามอารักขารถม้ารวมทั้งพระพี่เลี้ยงวัยสาวใหญ่นามว่าแก้วกุดั่นที่หอบหิ้วดูแลกันมาตั้งแต่ยังเป็นเจ้าหญิงจาก

เมืองเขมราช เมื่อมากถึงขอบเขตกำแพงดินก่อตัวยกสูงป้องกันสายตาผู้คน เจ้านางปะวะหล่ำทรงดำเนินลงจากรถม้า

เข้าไปสู่ภายในกับแก้วกุดั่นเพียงลำพังปล่อยให้นายทหารรอคอยอยู่ภายนอก ทรงก้าวพระบาทเข้าไปสู่ตัวบ้านยกพื้นสูง

ตามแบบบ้านพื้นเมืองอย่างคุ้นเคย


               “เงียบเชียบเหลือเกิน แม่ย่าจะอยู่หรือเปล่าก็ไม่รู้”


               แก้วกุดั่นบ่นพึมพำเมื่อก้าวพ้นบันไดขึ้นมา พลางสอดส่ายสายตามองหาเจ้าของเรือนที่มิได้เปิดรับให้ใคร

เข้าหาได้โดยง่าย เจ้านางปะวะหล่ำก้าวตามหลังมาหยุดยืนด้วยอาภรณ์เรียบง่ายราวกับไม่ต้องการให้ผู้ใดรู้ถึงฐานะเจ้า

นางอันสูงส่ง


               “อยู่สิ แม่ย่าต้องรู้ว่าเราจะมา”


               ตรัสอย่างมั่นพระทัยพร้อมดำเนินผ่านหน้าโต๊ะหมู่ที่มีวัตถุมงคลวางอยู่มากมายตรงห้องโถงด้านหน้าเข้าสู่ห้อง

หับภายในอย่างไม่กลัวเจ้าของเรือนจะโกรธเคืองก่อนจะหยุดยืนหน้าประตูไม้บานหนึ่งแล้วจึงทรงผลักมันเข้าไป


               “แม่ย่าเฟื่องรุ้ง!”


               สายพระเนตรที่จ้องมองภาพเบื้องหน้าลุกวาบราวกับไฟ แก้วกุดั่นยกมือทาบอกพลันอุทานออกมา


               “แม่ย่า เหตุใดถึงทำเช่นนี้ แล้วอีแพศยานี่เป็นผู้ใด”


               เสียงร้องหวีดดังอย่างตกใจจากแม่สาวชาวบ้านหน้าตาหมดจดที่กำลังกอดก่ายกับเจ้าของเรือนเมื่อเห็นผู้คน

แปลกหน้าและรีบผละออกมาอย่างรวดเร็วด้วยความอับอาย แก้วกุดั่นคว้าเส้นผมขยุ้มอยู่ในกำมือแล้วตบใบหน้าดังฉาด


               “นี่แน่ะ อีตอแหล บังอาจมายุ่งกับแม่ย่า”


               “แก้วกุดั่นพอแล้ว พานังสารเลวออกไปเดี๋ยวนี้”


               น้ำเสียงเด็ดขาดและพระพักตร์เครียดขึ้งยิ่งทำให้หญิงสาวเนื้อตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว แก้วกุดั่นยิ้มเยาะใส่

หน้าพลางรับคำสั่ง


               “เจ้าค่ะ ออกไปได้แล้วอีนี่”


               จิกผมลากออกไปด้วยแรงกายก่อนจะหันมาปิดประตูห้องให้เจ้านายอยู่เพียงลำพังกับเจ้าของเรือนที่ยังนั่งนิ่ง

อยู่บนเตียงเล็กภายในห้อง เจ้านางปะวะหล่ำเม้มพระโอษฐ์อย่างขัดเคืองโดยไม่สนพระทัยเสียงตบตีนอกห้องที่แก้วกุดั่น

กำลังลงมือกับหญิงสาวที่เพิ่งจะคลอเคลียกับเจ้าของนามแม่ย่าเฟื่องรุ้ง


               “ทำไมแม่ย่าทำเช่นนี้”


               กระแสเสียงผิดหวังเคืองขุ่นพร้อมกำพระหัตถ์แน่นทำให้เจ้าของเรือนชำเลืองสายตามองอย่างนึกรำคาญ


               “อย่าส่งเสียงดังในเรือนของข้า ปะวะหล่ำ เจ้าก็รู้ว่าข้าไม่ชอบ”


               แม้จะเป็นสตรีสูงส่งเหนือผู้คนทั้งปวงในรัตนปุระนคร แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าหญิงนุ่งห่มชุดสีเข้มหุ่นผอมเกร็ง

ใบหน้าดุผมตัดสั้นมีสีดอกเลาแซมอยู่ประปรายเจ้านางปะวะหล่ำกลับต้องเงียบลงทันทีเมื่อได้ยินน้ำเสียงนั่น เจ้านางปะวะ

หล่ำกระแทกพระบาทมาประทับนั่งใกล้กับแม่ย่าเฟื่องรุ้งพลางสบตาอย่างน้อยพระทัย


               “แม่ย่าควรจะมีแต่ข้าเพียงผู้เดียว หาใช่ไปเกลือกกลั้วกับหญิงแพศยาเช่นนั้น”


               “อย่าทำตัวน่าเบื่อหน่ายหน่อยเลยปะวะหล่ำ”


               แม่ย่าเฟื่องรุ้งในวัยย่างเข้าหกสิบ กิริยาท่าทางเฉยเมยใบหน้าแข็งกระด้างปราศจากรอยยิ้ม ดวงตาดุยามจ้อง

มองผู้คนจนใครที่สบตาด้วยก็พากันหวาดหวั่น ริ้วรอยรอบดวงตายิ่งทำให้เกรงขามเมื่อมันช่างรับกับคิ้วที่ขมวดเป็นปมอยู่

ตลอดเวลา แต่เฟื่องรุ้งกลับดูแข็งแรงจนเดาอายุจริงไม่ถูก


               “เจ้าก็รู้ว่าข้าไม่ชอบผู้หญิงน่ารำคาญ”


               สงบพระโอษฐ์ทันใดเมื่อได้ฟังเสียงดุจากแม่ย่า เจ้านางปะวะหล่ำทำได้เพียงตวัดสายพระเนตรค้อนควักด้วย

กิริยาที่ไม่เคยมีผู้ใดพบเห็น


               “ว่าธุระของเจ้ามาปะวะหล่ำ”


               เจ้านางปะวะหล่ำกลับจริงจังขึ้นเมื่อหันไปทอดพระเนตรเฟื่องรุ้งอีกครั้ง


               “ข้ากลุ้มใจเรื่องอินทัช เมื่อไหร่ที่โอรสของข้าจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่เสียที”


               ร่องรอยหนักใจพาดผ่านดวงตาสีเหล็กของแม่ย่าเฟื่องรุ้งวูบหนึ่ง ใบหน้าดุเชิดสูงขณะกำลังใช้สมาธิเพ่งอะไร

บางอย่างครู่ใหญ่


               “อย่าเพิ่งหวาดหวั่นเรื่องบุตรให้มากนักระวังเรื่องของเจ้าเองดีกว่า ระยะนี้ดวงของเจ้ากำลังเข้าสู่จุดอับแสงจง

ระวังภยันตรายจะเกิดขึ้นแก่ตัวเจ้าเอง”


               เจ้านางปะวะหล่ำตระหนกขึ้นกับคำทัก สีพระพักตร์เผือดลงทันที


               “รุนแรงหรือไม่แม่ย่า จะเกิดเหตุอันใดกับข้ากันแน่”


               เฟื่องรุ้งมองท่าทางของเจ้านางสูงส่งพลางยกปลายนิ้วลูบไล้พระพักตร์ที่ตกแต่งสิริโฉมด้วยเครื่องประทินผิว

จนงดงามอ่อนกว่าวัยด้วยดวงตาวาววาม


               “เจ้าก็รู้ว่าข้าจะไม่ปล่อยให้คนของข้าได้รับเหตุอันใด”


               เจ้านางปะวะหล่ำทอดพระเนตรใบหน้าดุ ใบหน้าเผือดเปล่งสีฝาดพลางขยับกายเข้าใกล้และเอนซบพักตร์ไป

กับบ่าของเฟื่องรุ้ง


               “ข้ามั่นใจ แม่ย่าจะช่วยข้าอย่างเช่นทุกครั้งที่ข้าแก้ปัญหาไม่ตก”


               เสียงหัวเราะแผ่วเบาดังจากลำคอลึก เฟื่องรุ้งยกยิ้มขณะเลื่อนมือโอบวรกายอวบอัดของเจ้านางปะวะหล่ำเข้า

มาชิดใกล้ ปลายนิ้วเหี่ยวย่นขยับปลดอาภรณ์โดยที่อีกฝ่ายก็ไม่ได้เอ่ยปากห้าม


               “พร้อมจะจ่ายค่าตอบแทนให้ข้าหรือยังล่ะเจ้านาง”


               เจ้านางปะวะหล่ำดึงเสื้อผ้าอาภรณ์ออกจากกายเผยเรือนร่างขาวเนียนอวดสายตาวาววามพลางเบียดอกคู่ที่

ยังอวบอิ่มแม้วัยจะย่างกรายสี่สิบชันษาเข้าหาเจ้าของเรือนอย่างไม่อิดเอื้อน


               “ถึงแม้ไม่มีสิ่งต่างตอบแทน แม่ย่าก็รู้อยู่แล้วว่าข้าเต็มใจ”


               แม้ร่างกายจะผอมจนแทบปลิวลมแต่ยามนี้แม่ย่าเฟื่องรุ้งกลับมีกำลังวังชาเกินกว่าคาดเมื่อผลักให้วรกายอวบ

สล้างของเจ้านางปะวะหล่ำหงายหลังไปยังที่นอนแข็งกระด้าง ตาดุมองร่างหญิงสูงศักดิ์ที่นอนทอดกายให้อย่างคุ้นเคย

เฉกเช่นทุกครั้งที่มาเยือน ริมฝีปากแห้งผากจนต้องใช้ลิ้นแตะก่อนจะโน้มกายลงมากลืนกินพระถันจนกระเพื่อมตามแรง

ดีดดิ้นสยิวกายของเจ้านางปะวะหล่ำ พระพักตร์แดงซ่านปรือตาหวามไหวขณะแยกท่อนพระเพลาอวดจุดอ่อนไหวให้

นักบวชหญิงวัยชราได้เชยชมด้วยปลายนิ้วสัมผัสและแทรกมันเข้าไปในร่องหลืบจนเสียวสะท้าน


               “อา... แม่ย่า ข้าเสียวเหลือเกิน”


               เสียงครวญครางดังเร่าร้อน เจ้านางปะวะหล่ำปลดปล่อยอารมณ์ให้แม่ย่าเฟื่องรุ้งปรนเปรอและตักตวงตามใจ

ชอบ มันเป็นความสุขสมทางกามาที่หาไม่ได้จากผู้ใดแม้แต่เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ผู้เป็นพระสวามี



               เจ้านางปะวะหล่ำขยับอาภรณ์เข้าที่ขณะประทับนั่งอยู่ด้านในรถม้าเมื่อบ่ายคล้อย แก้วกุดั่นมองพักตร์อิ่มเอม

ของเจ้านายพลางขยับยิ้มอย่างรู้ใจ


               “มาหาแม่ย่าคราวนี้ เจ้านางคงตักตวงความสุขไปได้อีกหลายเพลานะเพคะ”


               “อย่าสู่รู้นักเลยแก้วกุดั่น”


              ตวัดพระเนตรปรามอย่างไม่จริงจังนัก


               “เจ้าก็รู้ว่าถ้าไม่มีแม่ย่า เราก็คงอัดอั้นตันใจ”


               “นั่นสิเพคะ หม่อมฉันเองยังอิจฉา นั่งรอเจ้านางอยู่หน้าห้องได้ยินแต่เสียงสุขสมจนอยากจะเข้าไปร่วมวงด้วย”


               “อยากหัวขาดเหมือนนังพวกร่านทั้งหลายที่มายุ่งกับแม่ย่าก็ลองดูสิแก้วกุดั่น แม้แต่เจ้าข้าก็ไม่เว้นโทษ”


               แก้วกุดั่นยิ้มแหยพลางลูบพระเพลาของเจ้านางปะวะหล่ำอย่างประจบ


               “โถ ทูนหัวของบ่าว หม่อมฉันมิกล้าดอกเพคะ หม่อมฉันรู้ดีว่าพระองค์กับแม่ย่าเป็นอะไรกัน”


               เจ้านางปะวะหล่ำเหยียดโอษฐ์อย่างสมเพชตนเอง คนเราก็ต้องแสวงหาความสุขด้วยกันทั้งนั้น และในเมื่อ

ความสัมพันธ์กับเจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ไม่ได้ดีเหมือนในสายตาชาวเมือง พระองค์ก็จำต้องหาความสุขใส่ตนเฉกเช่นคนทั่วไป

และแม่ย่าเฟื่องรุ้งก็มีสิ่งเหล่านั้นมอบให้จนล้นปรี่ แต่มันก็เป็นความลับสุดยอดที่มีเพียงแก้วกุดั่นเท่านั้นที่รู้เรื่องนี้


               “ใช่แล้วแก้วกุดั่น แม่ย่าช่วยเหลือข้ามาหลายเรื่อง แม้แต่เรื่องที่ข้ามีลูกกับเจ้าพี่และกำจัดคนที่ขัดขวางการ

ขึ้นเป็นใหญ่ของข้า”


               ทั้งเกรงขามและหลงใหลไปกับนักบวชหญิง เจ้านางปะวะหล่ำยอมพลีกายให้แม่ย่าเฟื่องรุ้งแลกกับอำนาจ

และเกียรติยศที่ได้มาในวันนี้








               สุรเสียงของพระราชบิดาที่ว่าราชการอยู่กับเหล่าเสนาธิบดีทำให้เจ้าชายรัชทายาทอย่างเจ้าชายอินทัชธราธิป

ต้องขมวดพระขนงขบคิดตาม

               ทรงรู้ดีว่าด้วยวัยสิบแปดชันษาจะทำตัวเป็นเด็กไม่ได้อีกแล้ว เมื่อเห็นพระเจ้าแผ่นดินที่แก้ไขปัญหาให้ชาว

บ้านอย่างห่วงใยพสกนิกร เจ้าชายอินทัชจึงอยากจะยึดเป็นแบบอย่าง แต่ด้วยปัญหาบ้านเมืองที่มีมากมายยากที่เจ้าชาย

อินทัชจะช่วยแก้ไข มีเพียงเรื่องเดียวที่พอจะเข้าท่าในความคิดของพระองค์


               “เราอยากช่วยเสด็จพ่อเรื่องโจรป่า มันเป็นเรื่องเดียวที่เราพอจะช่วยได้”


               ตรัสกับเพชรกล้านายทหารคนสนิทที่นึกยินดีเมื่อเจ้าชายอินทัชเริ่มสนพระทัยในงานแทนการเสด็จประพาส

ตามแต่พระทัย


               “อย่างที่หม่อมฉันเคยกราบทูล พวกมันอยู่ในหุบผากาฬสุดเขตชายแดน ไอ้พวกโจรเหล่านี้มันคอยปล้น

พ่อค้าวาณิชที่เดินทางสัญจรค้าขายต่างเมืองพะย่ะค่ะ”


               “เราอยากไปแถวนั้นอีกครั้ง ถ้าเราหาหุบผากาฬเจอเราจะกำจัดพวกมันได้อย่างราบคาบ”


               “เคยส่งทหารไปแล้วพะย่ะค่ะ แต่ไม่มีรอดกลับมา”


               เพชรกล้ากล่าวเสียงเครียด เจ้าชายอินทัชทรงนิ่งคิดก่อนจะตรัสออกมา


               “เราไปกันแค่สองคนก็พอเพชรกล้า ยิ่งคนเยอะยิ่งเสียเปรียบเราไปกันเงียบๆแล้วไปสำรวจลู่ทาง เชื่อเถอะว่า

เราต้องหาทางเข้าไปในหุบผากาฬได้”


               ด้วยเหตุนั้นในเช้าวันรุ่งขึ้นเจ้าชายอินทัชและเพชรกล้าในเสื้อผ้าอย่างชาวพื้นเมืองจึงควบม้าเข้าไปในป่ากัน

เพียงสองคน อาศัยความคุ้นเคยที่ได้เข้ามาล่าสัตว์บ่อยครั้งทำให้เจ้าชายอินทัชไม่ได้นึกกลัวเกรง ทรงหมายมาดอยู่ใน

พระทัยขณะมุ่งหน้าไปยังเขตชายแดน


               “อัคคีแห่งหุบผากาฬ เราจะกำจัดเจ้าให้ได้ โทษฐานที่เจ้าตามมาหลอกหลอนเราแม้แต่ในความฝัน”
               





               ดวงตาคมจับจ้องปลาตัวใหญ่ที่แหวกว่ายอยู่ในกระแสธาร ร่างกายวัยหนุ่มเต็มไปด้วยมัดกล้ามท้าทาย

แสงแดดจนแผ่นหลังชื้นเหงื่อขณะยืนนิ่งรอโอกาส มือแกร่งกำด้ามฉมวกแน่นจนกระทั่งปลาเป้าหมายว่ายเข้าใกล้ อัคคี

จึงกลั้นใจแล้วแทงปลายคมลงไปทันที


               “ไม่พลาดอีกตามเคยนะ”


               ฟ้าฟื้นที่นั่งมองอยู่บนโขดหินไม่ไกลนักกระโดดลงมาเมื่อเห็นอัคคีชูปลายฉมวกที่มีปลาตัวใหญ่ดิ้นไปมา เจ้า

ตัวดึงปลาออกมาแล้วโยนใส่ข้องที่อยู่ริมฝั่ง ฟ้าฟื้นก้าวเข้ามาทรุดนั่งเคียงข้างกับอัคคีที่กำลังปิดฝาข้องเตรียมกลับ


               “ข้าอยากเก่งอย่างเจ้าบ้าง อัคคี”


               ดวงตาของฟ้าฟื้นมองอัคคีอย่างชื่นชมและหลงใหลอย่างไม่บิดบัง รสสวาทของอัคคีในคืนวันเพ็ญยังทำฟ้า

ฟื้นดื่มด่ำและกระหายใคร่ลองอีกไม่รู้เบื่อแม้จะเป็นครั้งแรกแต่อัคคีช่างเต็มไปด้วยพลกำลังและลีลาเร้าใจ เขาวางมือ

แนบไปกับแผ่นหลังคล้ำแดดแล้วลูบไล้ไปมา อัคคีมองอย่างเฉยชาพลางปัดมือของเพื่อนออกอย่างสุภาพ


               “ทำไมล่ะอัคคี”


               ฟ้าฟื้นมองอย่างตัดพ้อ


               “ข้าไม่อยาก เจ้าเป็นเพื่อนข้า”


               น้ำเสียงยิ่งเรียบเฉยสร้างความน้อยใจกับฟ้าฟื้นจนต้องส่งสายตาตัดพ้อ


               “เราเป็นมากกว่าเพื่อนกัน หรือเจ้าลืมไปแล้ว”


               อัคคีถอนหายใจ นึกโทษตัวเองที่ปล่อยให้ความต้องการครอบงำจนกระทำเรื่องเกินเลยกับฟ้าฟื้น เขาไม่

อยากจะโทษว่าเป็นเพราะฟ้าฟื้นเข้ามาปลุกเร้าอารมณ์จนกระทั่งยั้งใจไม่อยู่


               “ครั้งเดียว มันไม่ควรจะเกิดขึ้นอีก ข้าอยากเป็นเพื่อนเป็นพี่น้องกับเจ้ามากกว่าจะเห็นเจ้าเป็นเครื่องระบาย

อารมณ์”


               ฟ้าฟื้นเตรียมจะโต้แย้งแต่ทั้งคู่ก็ต้องชะงักบทสนทนาเพราะได้ยินเสียงผิดสังเกตแว่วมาแต่ไกล อัคคีรีบผุดลุก

คว้าเสื้อสีดำและผ้าคลุมใบหน้ามาสวมใส่ก่อนกระโจนร่างขึ้นไปยังกิ่งไม้ใหญ่เพื่อใช้เถาวัลย์ช่วยส่งไปยังต้นเสียง

               อัคคีและฟ้าฟื้นหยุดนิ่งอยู่บนต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง ต้นเหตุแห่งเสียงเป็นชายแปลกหน้าสองคนที่บังคับม้าให้

เดินย่างอยู่บนพื้นดินใต้ล่าง ดวงตาของอัคคีลุกวาบเมื่อเห็นหนึ่งในสองแม้ว่าอีกฝ่ายจะอยู่ในอาภรณ์แปลกตา


               เจ้าชายอินทัชธราธิป!


               ช่างกล้าเหลือเกินที่มาเยือนถึงถิ่น หัวใจของอัคคีกระพือปีกต้อนรับ เขาหันไปหาฟ้าฟื้นทันที


               “ฆ่ามันเลยไหมที่บุกรุก”


               ฟ้าฟื้นถามเสียงกระซิบ อัคคีรีบส่ายหน้า


               “รีบร้อนฆ่าทำไม เล่นสนุกกับพวกมันเสียก่อนสิ”


               “เล่นสนุกอย่างไร”


               ฟ้าฟื้นขมวดคิ้วถามอย่างไม่เข้าใจ


               “ล่อมันไปคนละทาง หลอกให้พวกมันหลงกันแล้วค่อยกำจัด”


               เพื่อนสนิทกรอกตาคิดตามแล้วฟ้าพื้นก็ยักไหล่


               “เอางั้นก็ได้ งั้นเราจะหลอกไอ้คนขี่ม้าขาวเอง”


               “ไม่ได้!”


               อัคคีเสียงเข้มโดยไม่รู้ตัว


               “คนขี่ม้าขาว ข้าจะจัดการเอง”


               ว่าแล้วก็กระโดดลงจากกิ่งไม้อย่างรวดเร็วเมื่ออาชาสีขาวย่างมาใต้ต้นไม้ อัคคีทิ้งร่างลงไปพอเหมาะซ้อน

หลังอยู่บนอาชาตัวเดียวกับเจ้าชายอินทัชที่ยังไม่ทันตั้งตัว เขากระแทกส้นเท้าเข้าใส่สีข้างของม้าขาวปลอดจนมันตกใจ

แล้ววิ่งเตลิด เพชรกล้าตกใจแทบสิ้นสติเขาเตรียมจะบังคับม้าตามไปแต่กลับต้องร่วงลงจากหลังม้ากระแทกพื้นเมื่อมีใคร

อีกคนกระโดดตามลงมาจากต้นไม้
               


                               ------------------ โปรดติดตามตอนต่อไป---------------------
หัวข้อ: Re: บัลลังก์รักใต้เงาแค้น \(^o^)/ บทที่ 4 [21/08/58] ##Twincest#Period#
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 21-08-2015 18:01:46
 o13.  เย้. เจอกันแล้วนะอัคคี
เดาว่าไม่นานจะรู้ว่าเป็นฝาแฝดกัน.
แอบอึ้งกับอายุแม่ย่า.  :hao7: 
หัวข้อ: Re: บัลลังก์รักใต้เงาแค้น \(^o^)/ บทที่ 4 [21/08/58] ##Twincest#Period#
เริ่มหัวข้อโดย: Freja ที่ 21-08-2015 18:32:26
โอ้ ...มีญ-ญด้วย   ครบทุกรสชาติและอารมณ์เลยค่ะ
หัวข้อ: Re: บัลลังก์รักใต้เงาแค้น \(^o^)/ บทที่ 4 [21/08/58] ##Twincest#Period#
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 21-08-2015 19:19:27
สาเหตุความแค้นน่าจะเริ่มมาจากความมักใหญ่ใฝ่สูงของพระมเหสีแม่สองแฝดแน่ๆเลย  :m16: ไหนๆฝาแฝดเค้าก็จะได้กันเองอย่างนั้นก็ให้เพชรกล้าคู่กับฟ้าฟื้นแล้วกันเนาะ
หัวข้อ: Re: บัลลังก์รักใต้เงาแค้น \(^o^)/ บทที่ 4 [21/08/58] ##Twincest#Period#
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 22-08-2015 15:55:00
โห มีแม่ย่านิยมหญิงด้วยอ่ะ หลากหลายมากจริงๆ
แอบคิดเหมือนกัน ว่าจะได้อีกคู่รึเปล่า
หัวข้อ: Re: บัลลังก์รักใต้เงาแค้น \(^o^)/ บทที่ 4 [21/08/58] ##Twincest#Period#
เริ่มหัวข้อโดย: boboman ที่ 22-08-2015 16:30:55
ยูริก็มา =[]=;
ลักพาตัวไปซึ่งๆ หน้าเลยแฮะ 555
หัวข้อ: Re: บัลลังก์รักใต้เงาแค้น \(^o^)/ บทที่ 4 [21/08/58] ##Twincest#Period#
เริ่มหัวข้อโดย: SOO2 ที่ 23-08-2015 01:33:50
อุ้ย เจอกันแล้วอ๊ะ กรี้ดดดด :-[
อัคคีอินทัช ๆๆๆๆ :z1:
มีกี่คู่กันเนี่ย อรั้ย เริ่มฟินเบาๆ 555
มาต่อๆ รออออ o13
หัวข้อ: Re: บัลลังก์รักใต้เงาแค้น \(^o^)/ บทที่ 4 [21/08/58] ##Twincest#Period#
เริ่มหัวข้อโดย: kms ที่ 24-08-2015 20:28:30
เมื่อไหร่คู่คุณพ่อจะเจอกันบ้างงงงง
หัวข้อ: Re: บัลลังก์รักใต้เงาแค้น \(^o^)/ บทที่ 4 [21/08/58] ##Twincest#Period#
เริ่มหัวข้อโดย: kun ที่ 25-08-2015 22:08:21
รุ่นใหญ่เสียเลือดไปหลายยกแล้ว
คราวนี้ล่ะถึงรุ่นลูกแล้ว อิอิ
รักสามเศร้าทั้งรุ่นใหญ่รุ่นเล็กแน่ๆๆเลย
หัวข้อ: Re: บัลลังก์รักใต้เงาแค้น \(^o^)/ บทที่ 4 [21/08/58] ##Twincest#Period#
เริ่มหัวข้อโดย: vamo ที่ 29-08-2015 20:29:28
สนุกค่ะ..ชอบแนวนี้มาก
 o13 o13 o13
มาต่อเร็วๆนะ
รอค่ะ :katai4: :katai4:
หัวข้อ: บัลลังก์รักใต้เงาแค้น บทที่ 5 [03/09/58]
เริ่มหัวข้อโดย: Belove ที่ 03-09-2015 23:32:46


                                              บัลลังก์รักใต้เงาแค้น

                                                     บทที่ 5               


               อาชาสีน้ำตาลพ่วงพีกู่ร้องด้วยความตกใจก่อนจะห้อฝีเท้าวิ่งหนีเข้าไปในป่าลึก ทิ้งให้เจ้านายของมันกลิ้ง

หลุนไปกับคนที่จู่โจมลงมาจากต้นไม้ใหญ่ เพชรกล้าตั้งสติอย่างรวดเร็วจนกระทั่งทั้งคู่หมุนกลิ้งใกล้ต้นไม้เข้าไปทุกทีเขา

จึงคว้าคอเสื้อของคนแปลกหน้าให้เป็นฝ่ายพลิกตัวกระแทกแผ่นหลังเข้ากับต้นไม้ใหญ่ทันที


               “อึก”


               ฟ้าฟื้นถึงกับจุกเมื่อกลายเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำ และเมื่อเจ้าคนบุกรุกขยับมานั่งคร่อมทับหน้าอกเพื่อให้เขาดิ้น

ไม่หลุดเขาก็ยิ่งแค้น ฟ้าฟื้นจ้องมองกำปั้นที่เงื้อสูงเตรียมที่จะซัดมาที่ใบหน้าของเขาทำให้เขาต้องรีบปล่อยหมัดสวน

อย่างรวดเร็ว แม้จะไม่เต็มน้ำหนักแต่มันก็พอทำให้คนบุกรุกหน้าหงายไปบ้าง ฟ้าฟื้นรีบฉวยโอกาสนั้นผลักร่างของมันให้

พ้นออกจากตัวและรีบลุกขึ้นมาอย่างรวดเร็ว


               เปิดฝ่ายจู่โจมก่อนเพราะชำนาญพื้นที่ ฟ้าฟื้นชกคนบุกรุกที่เพิ่งลุกขึ้นมาได้อีกหนึ่งหมัด แต่มันกลับคว้ากำปั้น

ของเขาได้ในหมัดต่อมาและกลายเป็นว่ามันส่งหมัดตรงเข้าเบ้าตาจนฟ้าฟื้นถึงกับมึน


               “ไอ้โจรป่า”


               เพชรกล้าตวาดใส่ใบหน้าที่มองเห็นเพียงดวงตาคู่หนึ่ง ส่วนที่เหลือถูกปิดบังด้วยผ้าสีดำจนมองไม่เห็นใบหน้า

ที่แท้จริง


               “ช่างบังอาจนัก นี่คงเที่ยวปล้นคนสัญจรไปทั่ว ข้าจะกำจัดเจ้าให้ได้”


               ดวงตาคู่นั้นลุกวาบอย่างนึกขำระคนเย้ยหยันที่อีกฝ่ายคิดจะกำจัดเขา ฟ้าฟื้นยกนิ้วกระดิกเรียกมันเข้ามาเพชร

กล้าไม่รอช้าเขากระโจนเข้าโรมรันทันที

               เมื่อตั้งตัวได้แล้วทั้งคู่การต่อสู้จึงสูสีจนฟ้าฟื้นถึงกับแปลกใจที่มันผู้นั้นมีฝีไม้ลายมือแข็งแกร่งกว่าชาวบ้าน

ทั่วไป จนแม้แต่เขาถึงกับพลาดท่าจนต้องหงายหลังลงไปกับพื้น


               “ข้าจะฆ่าเจ้า”


               ฟ้าฟื้นตะโกนลั่นอย่างเจ็บใจ เขาควักมีดพกเล่มเล็กออกมาจากที่เหน็บเอวแล้วโผเข้าใส่ เพชรกล้าจ้องอย่าง

ระมัดระวังเมื่อคมมีดป่ายฉวัดเฉวียนเข้าหา เขาหลบฉากก่อนจะคว้าข้อมือของโจรป่าไว้ได้เขาจึงรีบหักข้อมือทันที


               “อ๊าก”


               ฟ้าฟื้นร้องลั่นเมื่อข้อมือถูกบิดมีดพกร่วงหล่นลงพื้น เขาเงยหน้าจ้องมองอย่างอาฆาตเพชรกล้ารีบดึงมือนั้น

แล้วกระชากเข้าหาตัว ฟ้าฟื้นพยายามสะบัดหนีแต่ไม่สำเร็จ ในที่สุดเพชรกล้าก็ก้าวเข้าด้านหลังและใช้ท่อนแขนเหนี่ยว

ลำคอของฟ้าฟื้น


               “ฆ่าข้าเสียเลยสิวะ”


               ฟ้าฟื้นกล่าวอย่างคับแค้นเมื่อเป็นฝ่ายเสียเชิง ได้ยินเสียงหัวเราะแผ่วเบาดังมาจากเบื้องหลัง


               “ได้สิ ข้าจะทำตามที่เจ้าต้องการ แต่ก่อนจะฆ่าเจ้าข้าขอเห็นใบหน้าของไอ้โจรป่าสารเลวเสียหน่อยเถิด”


               พูดจบเพชรกล้าก็ใช้มือที่ยึดลำคอกระชากผ้าปิดหน้าของฟ้าฟื้นออกทันที เขาดึงให้ฟ้าฟื้นหันมาเผชิญหน้า

กับเขา และเมื่อมองเห็นใบหน้าที่ซ่อนอยู่หลังผ้าสีเข้มเพชรกล้าก็ถึงกับขมวดคิ้วเมื่อมันไม่เป็นดังที่คาด

               โจรป่าควรจะใบหน้าหยาบกร้านกักขฬะแต่ใบหน้าที่เขาจ้องมองอยู่กลับอ่อนเยาว์เกินไป ดวงตาคู่นั้นจ้องเขา

อย่างเคียดแค้นก่อนที่มันจะหันหลังกลับแล้ววิ่งเร้นกายหายไปยังพงไพรอย่างรวดเร็ว


               “เดี๋ยวก่อนโจรป่า เจ้าชื่ออะไร”


               เพชรกล้าตะโกนถามตามหลังแต่โจรป่าคนนั้นก็ไม่ได้หันกลับมาทำให้เขาต้องสบถออกมาอย่างลึมตัว


               “เจ้าชายอินทัช”


              นึกถึงเจ้านายเหนือหัวอย่างตกใจ เพชรกล้าหันรีหันขวางนึกถึงทิศทางที่เห็นม้าขาวประจำกายของเจ้าชาย

อินทัชถูกโจรป่าอีกคนชิงไปพร้อมเจ้าของ เพชรกล้ารีบวิ่งตรงไปยังทิศนั้นอย่างรวดเร็ว







               “ปล่อยเราเดี๋ยวนี้!”


               เจ้าชายอินทัชธราธิปทรงตวาดออกไปอย่างตกพระทัยเมื่ออยู่ๆก็มีคนกระโดดลงมานั่งซ้อนอยู่เบื้องหลังอาชา

ขาวปลอดแล้วบังคับให้มันวิ่งเข้าไปยังป่ารกที่พระองค์ไม่เคยย่างกราย พยายามดิ้นรนแต่บั้นพระเอวกลับถูกโอบรัดแล้ว

เหนี่ยวเข้าใกล้แผ่นอกของมัน


               “อยากตกจากหลังม้าตอนที่มันกำลังห้อเต็มที่อย่างนี้ก็ดิ้นเข้าไป”


               เสียงเข้มดังจากเบื้องหลัง เจ้าชายอินทัชเบิกเนตรกว้าง


               “ไอ้อัคคี”


               “ดีใจที่ยังจำกันได้”


               เสียงหัวเราะลึกอยู่ในลำคอเรียกเลือดในกายให้ร้อนฉ่าเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่ทำให้พระองค์จดจำไม่รู้ลืม พระ

ปรางอุ่นซ่านขึ้นมาราวกับถูกอีกฝ่ายล่วงเกินไม่นานนี้


               “เราจะฆ่าเจ้า”


               ตรัสออกไปด้วยขัตติยศักดิ์ศรีแม้ว่าจะหวาดหวั่นเมื่อม้าของพระองค์เองถูกกระชากบังเหียนให้วิ่งผ่านต้นไม้ใน

ป่าจนตาลาย หันขวับหวังจะต่อว่าให้สาแก่ใจแต่กลับถูกมันเอียงหน้าเข้ามาโขมยจูบซ้ำเสียอีกครั้ง


               “เลวที่สุด”


               จะยกหัตถ์เช็ดปรางข้างที่ถูกหยามด้วยจุมพิตแต่ก็กลัวจะตกม้าจนได้แต่เกาะท่อนแขนที่โอบรั้งบั้นพระเอวเอา

ไว้


               “ปล่อยเราเดี๋ยวนี้”


               “เจ้ารนหาที่เข้ามาหาข้าเองนะ”


               อัคคีเย้นหยัน เขาดึงบังเหียนม้าให้ชลอฝีเท้าเมื่อถึงลานดินบนเนินเล็ก จนเมื่ออาชาพ่วงพีหยุดวิ่งอัคคีก็คว้า

กายให้เจ้าชายอินทัชกระโดดลงจากหลังม้า


               เพียะ!


               อัคคีหน้าหันไปตามแรงตบของเจ้าชายอินทัชทันทีที่เท้าแตะพื้นและหันกลับมาประจันหน้า ดวงตาดุลุกวาบ

ขึ้นมาก่อนที่อัคคีจะกระชากวงพักตร์ผุดผาดเข้ามาบดจูบที่กลีบปากอิ่มโดยที่เจ้าของไม่ทันตั้งตัว


               “อื้ม!”


               แม้ว่าจะมีเศษผ้าหยาบกางกั้นแต่เจ้าชายอินทัชกลับร้อนผ่าวไปทั่วใบหน้า ยกหัตถ์ผลักไหล่ให้โจรป่าถอย

หลังแล้วทรงสะบัดพระหัตถ์ฟาดใบบนซีกหน้าอีกข้างของมัน


               เพียะ!


               ซ้ำรอยเดิมอีกครั้ง คราวนี้มันกระขากพระอังสาเข้ามาจงใจขยี้ริมฝีปากร้อนลงมา จนเจ้าชายอินทัชแทบยืนไม่

อยู่


               “ตบอีกก็จะจูบอีก ตบร้อยทีก็จูบร้อยที”


               อัคคีพูดเสียงกร้าวให้เจ้าชายอินทัชรู้ว่าเขาทำจริงจนเงื้อหัตถ์ค้าง ความเจ็บพระทัยทำให้โผเข้าหาหวังจะชก

หน้าให้หายแค้นแต่ดูเหมือนอัคคีจะเดาใจถูก เขาเบี่ยงตัวหลบนิดเดียวและยกขาขึ้นมาขัดจนเจ้าชายอินทัชเสียหลักหน้า

คะมำลงไปกับพื้นดิน


               “ช่างดื้อเหลือเกิน”


               อัคคีย่อตัวลงไปคร่อมวรกายผุดผ่องพลางดันจนติดพื้น เขาดึงผ้าผูกเอวของเจ้าชายออกและใช้มันคาด

ดวงตาของเจ้าชายไว้จนมั่นใจว่ามองไม่เห็นสิ่งใดอีก เขาจึงพลิกร่างให้เจ้าชายกลับมานอนหงายอยู่ใต้ร่างเขา


               “ดื้อจริงๆ”


               “ปล่อยเดี๋ยวนี้”


               “ไม่ จนกว่าข้าจะได้สั่งสอนให้เจ้าเลิกอวดเก่งเสียที”


               “อย่านะ อะ อึก”


               เสียงขาดหายอย่างไม่ทันตั้งตัวเพราะดวงเนตรที่ถูกปิดบังไว้ทำให้มองอะไรไม่เห็น ข้อพระหัตถ์ทั้งสองโดน

ยึดตรึงไว้กับพื้นดินจนดิ้นไม่หลุด เรียวโอษฐ์นุ่มถูกปากของคนโฉดครอบปิดเอาไว้ และเจ้าชายมั่นพระทัยว่ามันไร้ซึ่งผืน

ผ้ามาขวางกั้นแม้จะพยายามผินหน้าหนีแต่ก็ไม่สำเร็จเมื่ออัคคียิ่งเพิ่มน้ำหนักกดดันลงมาให้ทรงผวา


               “มะ ไม่ อะ อื้มม”


               ลิ้นร้อนฉกลงมาราวกับอสรพิษหนุ่ม กวาดต้อนภายในโพรงปากจนงวยงง แรงดิ้นรนหมดลงโดยพลันจน

กระทั่งเรียวปากแนบชิดขบเม้มไปมาให้เจ้าชายอินทัชเผลอไผลตอบสนองให้มือไม้ไม่อยู่สุขวางป่ายเปะปะไปตามเนื้อตัว

ก่อนจะหยุดอยู่ตรงเป้าหมายที่กึ่งกลางวรกาย


               “ฮึก อย่านะ!”


               หมดแรงห้ามปรามแถมยังสะดุ้งเมื่อถูกจู่โจมด้วยอุ้งมือร้อนผ่าว เจ้าชายอินทัชพระศอแห้งผากไปหมดเมื่อจุด

อ่อนไหวถูกโจมตีไปพร้อมกับลิ้นหยุ่นที่ยังซอกซอนไม่เลิกรา เสียงห้ามและต่อว่าขาดหายกลายเป็นเสียงครางแผ่วอย่าง

น่าละอาย เรียกเสียงหัวเราะลึกในลำคอจากอัคคีจนเจ็บใจที่ต้านทานไม่สำเร็จ ความสยิวซ่านทรวงที่ไม่เคยพบเจอเอ่อ

ล้นจนต้องเด้งเอวเข้าใส่มือที่โยกรั้งรวดเร็วจนร่างกายบิดรัวก่อนจะพ่นน้ำคาวออกมาให้อับอาย


               “เกลียด!”


               ตะโกนลั่นเมื่อกลีบปากเป็นอิสระ เจ็บพระทัยที่ถูกรังแกโดยไร้ทางต่อสู้และยังไม่เห็นแม้แต่ใบหน้าของมัน ยิ่ง

ได้ยินเสียงหัวเราะเย้ยหยันก็ยิ่งเจ็บ


               อัคคีชะงักเมื่อได้ยินเสียงเรียกชื่อเจ้าชายอินทัชมาแต่ไกล นึกเจ็บใจที่ถูกขัดจังหวะแต่อย่างน้อยเขาก็ทำให้

คนอวดเก่งได้รู้ว่าไม่ควรประมาทผู้อื่น


               “เกลียดเถอะ เกลียดให้พอใจ และอย่าลืมว่าคนที่เจ้าเกลียดมีนามว่าอัคคี”


               อัคคีก้มหน้าลงไปจูบแรงๆที่กลีบปากแดงเห่อทิ้งท้ายก่อนจะกระโจนหนีขึ้นหลังม้าขาวปลอดคู่พระทัยเจ้าชาย

อินทัช


               “ม้าตัวนี้งดงามถูกใจ ข้าขอไปเป็นค่าผ่านทางก็แล้วกันนะ”


               เจ้าชายอินทัชรีบดึงผ้าปิดตาออกทันที แต่ก็ทันเห็นเพียงแผ่นหลังของอัคคีควบม้าของพระองค์ไปไกลลิบ

เจ้าชายอินทัชผุดลุกและมองตามอย่างเจ็บใจ ความเปียกชื้นที่แทรกซึมอยู่ในผ้านุ่งยังเป็นหลักฐานยืนยันว่าพระองค์พ่าย

แพ้แก่โจรป่าหยาบช้าผู้นั้น


               “เจ้าชายอินทัช”


               เสียงเรียกของนายทหารคนสนิทเรียกให้เจ้าชายหลุดจากภวังค์ เพชรกล้ารีบวิ่งเข้ามาสำรวจวรกายด้วย

สายตา


               “ทรงได้รับบาดเจ็บที่ไหนบ้างพะย่ะค่ะ”


               เจ็บที่ใจนี่ไงล่ะ


               กัดพระทนต์ด้วยความแค้นแต่ส่ายหน้าให้เพชรฟ้าสบายใจ


               “เราไม่เป็นไร แต่มันชิงเจ้าเมฆาไปแล้ว”


               หมายถึงอาชาสีขาวคู่พระทัย เพชรกล้าเองก็นึกแค้นไม่แพ้กัน”


               “เราคงต้องเดินเท้าออกไปให้ถึงประตูด่านแรกเสียก่อนพะย่ะค่ะแล้วค่อยใช้ม้าจากที่นั่นกลับเข้าวัง หม่อมฉัน

เจ็บใจเหลือเกินที่เสียทีให้แก่พวกมัน แต่อย่างน้อยเราก็มั่นใจว่าทางเข้าออกหุบผากาฬต้องอยู่แถวนี้”


               “กลับกันเถิดเพชรกล้าเราไม่อยากอยู่แถวนี้นานนัก แล้วเราจะนำกำลังทหารมากำจัดพวกมันเสียให้หายแค้น”


               ใช้หลังหัตถ์ยกมาเช็ดโอษฐ์อย่างเจ็บใจ

               อัคคี ไอ้คนเลว

               เราจะฆ่าเจ้าให้ได้






มีต่ออีกนิด





หัวข้อ: บัลลังก์รักใต้เงาแค้น บทที่ 5 [03/09/58]
เริ่มหัวข้อโดย: Belove ที่ 03-09-2015 23:42:22
ต่อตรงนี้จ้า






                อัคคีควบม้าสีขาวกลับไปยังหุบผากาฬ เมื่อถึงกระท่อมบนเนินสูงของบิดาจึงได้กระโดดลงจากหลังม้า มอง

เห็นสมิงกำลังขัดดาบจนเงาวับอยู่บนแค่หนากระท่อม


               “พ่อสมิง ข้ากลับมาแล้ว”


               อัคคีตรงไปหาสมิงพลางชี้ให้ดูม้าตัวสวย


               “มีคนคิดจะผ่านทาง ข้าเลยขอค่าผ่านทางมันมา”


               “ฮะ ฮ่ะๆๆ ฝีมือเยี่ยม อัคคี อีกหน่อยจะเก่งกว่าพ่อเสียล่ะมั้ง”


               “ใครจะเก่งกว่าพ่อได้ พ่อสมิงของข้านั้นเก่งที่สุดแล้ว”


               เสียงหยอกล้อของสองพ่อลูกเรียกให้บัวเดินมาสมทบ เขาก้าวไปมองม้าที่งดงามกว่าม้าทั่วไปอย่างพิจารณา

และเมื่อเห็นบังเหียนและอานม้าที่ตีตราสัญลักษณ์ไว้ ดวงตาที่เหลือเพียงข้างเดียวก็เบิกกว้าง


               “อัคคี!”


               เรียกบุตรชายเสียงดังลั่น เมื่ออัคคีก้าวมาหยุดยืนต่อหน้าบัวก็ยกมือขึ้นตบใส่ใบหน้าของอัคคีทันที


               “พ่อบัว!”


               “บัว ทำอะไรอย่างนั้น”


               “หยุดอยู่ตรงนั้นสมิง อย่ามายุ่ง”


               บัวหันไปตวาดห้ามให้สมิงหยุดก่อนที่เขาจะหันมาตะคอกอัคคี


               “ม้าตัวนี้ไม่ใช่ม้าธรรมดามันเป็นม้าจากในวัง และมีไม่กี่คนที่จะขี่มันได้ อัคคี บอกมาเดี๋ยวนี้ว่าเจ้าไปเจอใคร

มา”


               อัคคีนิ่งงันด้วยความน้อยใจ เมื่อถูกลงโทษโดยที่ยังไม่รู้สาเหตุ


               “ข้าเจออินทัช”


               “เจ้าฆ่ามันหรือไม่”


               “ข้าไม่ทันได้...”


               เพียะ


               ฝ่ามือลอยมากระทบซีกหน้าให้ยิ่งเจ็บช้ำ อัคคีได้แต่กล้ำกลืนมันลงไปในอก


               “ข้าเคยบอกแล้วว่าพวกมันเป็นศัตรูของข้า ทำไมเจ้าถึงกล้าขัดคำสั่งข้า ลืมไปแล้วหรือไงว่าพวกมันเป็น...”


               “เป็นคนทำลายทุกอย่างของพ่อบัว ข้าไม่เคยลืม”


               อัคคีเอ่ยเสียงเย็นชา เขาหันหลังจ้ำอ้าวกลับไปยังกระท่อมเล็กด้านหลังทิ้งให้บัวยืนกัดฟันมองตาม สมิงส่าย

หน้าเมื่อก้าวเข้ามาหาบัว


               “ข้าอยากจะรู้นักว่าทำไมเจ้าถึงใจร้ายกับลูกขนาดนั้น”


               “อย่ามายุ่งเรื่องนี้สมิง อัคคีเป็นลูกของข้า ข้าจะทำอย่างไรก็ได้”


               “ข้าก็เป็นพ่อของอัคคีเช่นกัน การที่ข้าเฝ้าเลี้ยงดูอัคคีตั้งแต่แบเบาะไม่ได้ทำให้เจ้ารู้สึกเลยหรือว่าข้าเองรักลูก

ของเจ้าแค่ไหน”


               สมิงพูดเสียงห้วนก่อนจะกลับไปเช็ดดาบต่อด้วยใบหน้าบึ้งตึง บัวได้แต่กัดฟันมองสมิงแล้วกระแทกเท้าเดิน

กลับเข้าไปยังกระท่อม





               พวกมันเป็นศัตรู จงจำให้ขึ้นใจ

               อัคคีตอกย้ำความรู้สึกตัวเองนับครั้งไม่ถ้วนขณะที่นอนกระสับกระส่ายตั้งแต่เย็นจนถึงยามดึก ความน้อยใจใน

ตัวบิดายังมีมากโขแต่เขาก็พยายามตัดมันทิ้งเพราะความรักที่มีต่อบัว แต่ใบหน้าของใครบางคนที่ขึ้นชื่อว่าศัตรูยังคงลอย

วนเวียนอยู่ในความแค้นที่ถูกฝังหัว


               เสียงประตูเปิดอย่างเช่นเคย อัคคีมองเห็นร่างตะคุ่มของฟ้าฟื้นเดินเข้ามาหา แต่ในวันนี้อัคคีไม่ได้ห้ามปราม

เขากลับกระชากแขนฟ้าฟื้นเข้ามาบดเบียดอยู่บนที่นอนฟูกผืนเล็ก ฟ้าฟื้นเองก็เต็มใจที่จะนอนทอดกายให้อัคคีละเลงลิ้น

ลงมาทั้งตัว


               “อึก ช้าๆอัคคี”


               อุทานเมื่อท่อนเนื้ออุ่นร้อนสอดเข้าไปในช่องทางอย่างรวดเร็วด้วยพายุอารมณ์ แรงเสียดสีสร้างความเสียว

ซ่านให้ฟ้าฟื้นต้องยกเอวลอยตอบรับ ฟ้าฟื้นเบียดกายแนบชิดใบหน้าบิดเบี้ยวไปตามแรงกระแทกกระทั้นจนหัวสั่นหัว

คลอน ต่างคนก็ต่างตกอยู่ในจินตนาการของตัวเอง ฟ้าฟื้นไม่เข้าใจว่าทำไมถึงมีเงาของคนแปลกหน้าที่เพิ่งพบเจอในวัน

นี้ซ้อนทับอยู่บนใบหน้าของอัคคี


               “ฮักๆ  อ๊า”


               ครวญครางกระหน่ำหนักเมื่อร่างกายบิดเกร็ง อัคคีหลับตาเร่งกายด้วยไฟแห่งความปรารถนาในหัวใจ


               “อินทัช ข้าจะทำลายเจ้าให้ได้”


                              --------------------โปรดติดตามตอนต่อไป---------------------


อย่าเพิ่งต่อว่าคนแต่งนะที่ยังไม่ให้อัคนี้แซบกันอินทัช เพราะดูตอนนี้แล้วยังรู้สึกว่า

อัคคียังไม่เจ็บพอที่จะทำร้ายอินทัชได้เลยต้องให้พ่อบัวกระหน่ำแค้นอีกยกหนึ่ง

เจอกันคราวหน้าคงได้แซบกันแล้วล่ะ

 o18 o18



หัวข้อ: Re: บัลลังก์รักใต้เงาแค้น บทที่ 5 [03/09/58]
เริ่มหัวข้อโดย: kms ที่ 04-09-2015 00:26:27
จริงๆชอบพ่อบัวเลย แซ่บสุดดดดดด 55555555555
หัวข้อ: Re: บัลลังก์รักใต้เงาแค้น บทที่ 5 [03/09/58]
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 04-09-2015 08:00:12
มองเห็นความลงตัวอยู่หน่อยๆ รุ่นลูกมีสองคู่สินะ
หัวข้อ: Re: บัลลังก์รักใต้เงาแค้น บทที่ 5 [03/09/58]
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 04-09-2015 08:52:24
อัคคีไม่สงสัยรึงัยว่าทำไมตัวเองหน้าตาเหมือนกับอินทัช  :pig4:
หัวข้อ: Re: บัลลังก์รักใต้เงาแค้น บทที่ 5 [03/09/58]
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 04-09-2015 09:53:54
แบบนี้สินะที่เขาเรียกว่าหลับหูหลับตาทำๆไป ต่างฝ่ายต่างก็คิดถึงแต่อีกคน

 :hao6:  รอความแซบค่ะ   :pig4: 
หัวข้อ: Re: บัลลังก์รักใต้เงาแค้น บทที่ 5 [03/09/58]
เริ่มหัวข้อโดย: pae666 ที่ 04-09-2015 10:45:15
รอดูเพชรกล้ากับฟ้าฟื้น เฮ้ย!! ใช่เหรอ 5555

รออ่านตอนแซ่บของอัคคีอินทัช นะค๊าบบบบ กะลังมันส์เลย >3<
หัวข้อ: Re: บัลลังก์รักใต้เงาแค้น บทที่ 5 [03/09/58]
เริ่มหัวข้อโดย: nunda ที่ 05-09-2015 07:02:26
เรื่องนี้มันลึกลับซับซ้อนยิ่งนัก
แต่ว่าก็โคตะระ "แซ่บ"
หัวข้อ: Re: บัลลังก์รักใต้เงาแค้น บทที่ 5 [03/09/58]
เริ่มหัวข้อโดย: sosi ที่ 05-09-2015 09:24:54
พ่อบัวเป็นคนรักของอาทิตแน่เลย  :katai1:
หัวข้อ: Re: บัลลังก์รักใต้เงาแค้น บทที่ 5 [03/09/58]
เริ่มหัวข้อโดย: boboman ที่ 05-09-2015 10:53:21
ใกล้ครบคู่ละ
เหลือแต่พ่อบัว ตกลงเฮียแกชอบใครเนี่ย -_-?
หัวข้อ: Re: บัลลังก์รักใต้เงาแค้น บทที่ 5 [03/09/58]
เริ่มหัวข้อโดย: kun ที่ 05-09-2015 14:59:36
เจอกันทุกคู่แล้ว รอแซ่บๆๆๆ อิอิ
แต่ว่าพ่อบัวก็ใจร้ายอัคคีจังอ่ะ
หัวข้อ: Re: บัลลังก์รักใต้เงาแค้น บทที่ 5 [03/09/58]
เริ่มหัวข้อโดย: ohuii ที่ 05-09-2015 17:30:56
ลุ้นคู่พ่อกว่าคู่ลูกๆอีก 5555555 เดาตอนจบคู่แม่ไว้แล้ว 5555
หัวข้อ: Re: บัลลังก์รักใต้เงาแค้น บทที่ 5 [03/09/58]
เริ่มหัวข้อโดย: am_am ที่ 06-09-2015 16:33:28
กรี๊ดดดดดดด ลุ้นสุดๆ เลยค่ะ
หัวข้อ: Re: บัลลังก์รักใต้เงาแค้น บทที่ 5 [03/09/58]
เริ่มหัวข้อโดย: kms ที่ 15-09-2015 23:56:20
รออพ่อบัววววววว
หัวข้อ: บัลลังก์รักใต้เงาแค้น บทที่ 6 [ 16 / 09 / 58 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Belove ที่ 16-09-2015 00:02:30


                                                     บัลลังก์รักใต้เงาแค้น

                                                              บทที่  6


               อัคคีตื่นแต่เช้าตรู่ตามที่ถูกสมิงฝึกมาตั้งแต่ยังเล็กเขามีหน้าที่ดูแลแปลงผักที่บัวปลูกมันขึ้นมา พ่อบัวของเขา

มีความรู้มากมายนับไม่ถ้วนจนทำให้ชาวหุบผากาฬอยู่ดีกินดีมากขึ้นเมื่อบัวให้คำแนะนำทั้งเรื่องการปลูกพืชและถนอม

อาหาร รวมทั้งความรู้ที่เพียรสอนอัคคีให้อ่านออกเขียนได้ และยิ่งไปกว่านั้นบัวยังสอนอัคคีในเรื่องการเมืองการปกครอง

อีกด้วย


               “ทำไมข้าต้องเรียนด้วยล่ะพ่อบัว น่าเบื่อจะตายสู้ไปฝึกดาบกับพ่อสมิงดีกว่า”


               อัคคีเคยโอดครวญในวัยเยาว์เมื่อถูกจับมานั่งท่องความรู้ประวัติศาสตร์


               “อย่าถามให้มากความนะอัคคี ตั้งใจอ่านที่พ่อสอนเดี๋ยวนี้”


               จนบัดนี้อัคคีก็ยังไม่รู้คำตอบว่าทำไมบัวจึงต้องทำเช่นนั้น


               แสงแรกของดวงอาทิตย์ยามอรุณรุ่งเรียกความสดชื่นให้อัคคี รวมทั้งได้ปลดปล่อยร่างกายไปกับฟ้าฟื้นในยาม

ดึกทำให้ร่างกายเบาหวิว รูปร่างของอัคคีแข็งแกร่งไปด้วยกล้ามเนื้อ ผิวคล้ำไอแดดกลับยิ่งส่งให้เขากลายเป็นชาย

หน้าตาหล่อเหลาจนน่าเสียดายที่ได้แต่ซ่อนตัวอยู่ในป่าลึกและปิดบังใบหน้าด้วยผ้าสีเข้ม


               ชายหนุ่มชะงักเมื่อเห็นบัวเดินตรงมาหา ความน้อยใจยังติดอยู่ในใจแต่อัคคีได้แต่กล้ำกลืนไว้เพราะความรักใน

ตัวบิดา


               “พ่อบัว”


               “มานี่สิอัคคี”


               บัวพาอัคคีนั่งลงบนแคร่ไม้ไผ่ใต้ต้นไม้ใหญ่ ดวงตาข้างเดียวมองบุตรชายอย่างพิจารณา


               “เจ้าอายุเท่าไหร่แล้วอัคคี”


               “ข้าอายุสิบแปดแล้วพ่อ”


               บัวถอนหายใจหนักหน่วงพลางวางมือไว้บนบ่าของอัคคี


               “พ่อขอโทษที่ใช้อารมณ์กับเจ้ามากไปหน่อย มันเป็นเพราะความแค้นที่ฝังอยู่ในอกจนยากจะระบาย”


               อัคคีมองบัวด้วยความรักและบูชาเมื่อบัวคือทุกสิ่งในชีวิตของเขาแม้ว่าบางครั้งบัวจะดุและเคร่งครัดกับเขา

ก็ตาม


               “ข้าอยากรู้ว่าพวกมันทำอะไรให้พ่อบัวเกลียดชังได้ขนาดนี้”


               บัวกัดกรามกรอดเมื่อรื้อฟื้นความหลัง


               “เจ้าเองก็โตเป็นผู้ใหญ่พอจะรู้ความแล้ว ก็ได้ข้าจะเล่าให้ฟัง ตระกูลของเราเป็นเสนาบดีอยู่ในวังมาหลายรุ่น

รวมทั้งข้าด้วย อยู่มาวันหนึ่งรัตนปุระนครมีปัญหากับเมืองอุดรรังษีจนถึงขั้นสู้รบ รัตนปุระนครจำต้องหาเมืองอื่นมาสนับ

สนุนเจ้าครองแคว้นคนใหม่ที่เพิ่งรับตำแหน่งจึงต้องอภิเษกกับเจ้าหญิงแห่งเมืองเหมราชที่เป็นกันชนระหว่างแคว้นทั้ง

สอง”


               ยิ่งเล่าน้ำเสียงของบัวก็ยิ่งเจ็บช้ำ ดวงตาเพียงข้างเดียวรื้นไปด้วยหยาดน้ำ


               “ข้าเห็นว่ายิ่งสู้กันก็มีแต่เสียหาย จึงกราบทูลให้ทรงหย่าศึกแต่พระชายาจากเมืองเหมราชกลับไม่เห็นด้วย

เพราะหากชนะศึกคราวนี้รัตนปุระนครกับเหมราชก็จะยิ่งใหญ่กว่าแคว้นใด เจ้าผู้ครองแคว้นเห็นด้วยกับข้าและส่งข้าไป

เจรจาทางการฑูตกับอุดรรังษีจนพร้อมจะหย่าศึก แต่ไม่นึกว่าพระชายาจะกล้าตลบหลังสั่งกองทหารไปโจมตีและใส่ร้าย

ว่าข้าเป็นหนอนบ่อนไส้”


               อัคคีขบกรามกรอด ดวงตาคมลุกโชนเมื่อฟังความหลังจากบัว


               “เลวที่สุด”


                “ครอบครัวของข้าถูกจัดการ ข้าพาเจ้าหนีตายจนกระทั่งตกเขาและได้สมิงมาช่วยไว้ ทีนี้เจ้าเข้าใจหรือยังว่า

เหตุใดข้าจึงได้แค้นพวกมันเยี่ยงนี้”


               “ข้าจะกำจัดพวกมันแทนพ่อบัว”


               “ข้ารู้ว่าเจ้าทำได้อัคคี”


               บัวมองชายหนุ่มอย่างมั่นใจ อัคคีขมวดคิ้วครุ่นคิดข้อสงสัยบางอย่าง


                “พ่อบัว ทำไมข้าจึงมีใบหน้าเหมือนเจ้าชายอินทัชเช่นนี้ ทั้งที่ไม่ได้เป็นอะไรกัน”


               บัวนิ่งงัน เขาไตร่ตรองคำตอบอยู่ครู่หนึ่ง


               “มันเป็นเพราะชะตากรรมไงล่ะ ชะตากรรมที่สร้างเจ้าขึ้นมาเพื่อให้เป็นผู้จบเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น”
               





               “หม่อมฉันขอกราบบังคมทูลเสด็จพ่อ เรื่องโจรป่าหยาบช้าแห่งหุบผากาฬขอให้หม่อมฉันได้เป็นผู้จัดการมัน

เถิดพะย่ะค่ะ”
 

              เจ้าชายรัชทายาทแห่งรัตนปุระนครตรัสอย่างองอาจเมื่อได้เข้าเฝ้าพระบิดาและพระมารดาขณะเสวยพระ

กระยาหาร


               “ไม่ได้เด็ดขาด”


               เจ้านางปะวะหล่ำตรัสแย้งทันควัน


               “เป็นถึงเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน ใยต้องไปทำงานเสี่ยงอันตรายเช่นนั้นอินทัช แม่ไม่ยอม”


               “เป็นเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินนั่นแหละยิ่งต้องทำงานเช่นนี้เพื่อเป็นขวัญกำลังใจแก่เหล่าทหาร”


               เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ตรัสด้วยสุรเสียงเนิบนาบแต่ทว่าเด็ดขาด


               “อินทัชอายุสิบแปดปีแล้วสมควรที่เริ่มงานดูแลบ้านเมือง เจ้าอย่าเลี้ยงลูกไว้ในอ้อมอกตลอดเวลาเลย

ปะวะหล่ำ”


               “หม่อมฉันเหลือลูกเพียงคนเดียว”


               เจ้านางปะวะหล่ำทรงแย้งเสียงขื่น


               “หากไม่รักลูกแล้วจะให้รักใคร หากไม่เป็นเพราะ...เฮอะ หม่อมฉันคงไม่ต้องสูญเสีย”


               “ปะวะหล่ำ!”


               เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ทรงตบโต๊ะเสียงดังลั่น


               “อดีตมันผ่านไปเนิ่นนานและมันก็ไม่อาจเรียกกลับคืนมาได้อีกเมื่อไหร่เจ้าจะเลิกคร่ำครวญถึงมันเสียที ส่วน

เจ้าอินทัช พ่ออนุญาตให้เจ้านำกำลังไปที่หุบผากาฬเพื่อกวาดล้างพวกโจรป่าเสียให้สิ้นซาก ถือเป็นงานแรกของเจ้า”


               ตรัสจบก็ดำเนินจากโต๊ะเสวยทันที เจ้าชายอินทัชได้แต่ทอดพระเนตรพระมารดาที่ยังคงฉุนเฉียว


               “เสด็จแม่สูญเสียอะไรพะย่ะค่ะ หม่อมฉันไม่รู้เรื่องเลย”


               เจ้านางปะวะหล่ำเก็บความไม่พอพระทัยไว้เมื่อหันมาหาพระราชโอรส


               “ช่างมันเถอะอินทัช เรื่องมันนานมาแล้ว ว่าแต่เจ้าจะไปปราบโจรป่าแน่รึ แม่เป็นห่วงนะแม่มีลูกอยู่คนเดียว”


               เจ้าชายอินทัชทรงกอดพระมารดาไว้พลางแย้มสรวล


               “มั่นใจลูกเถอะเสด็จแม่ ฝีมือต่อสู้ของหม่อมฉันก็ไม่เป็นรองใครและคราวนี้หม่อมฉันจะนำกำลังทหารไปด้วย

รับรองว่าหุบผากาฬจะต้องถล่มราบคาบ โดยเฉพาะมัน...”


               ปลายประโยคแผ่วเบาราวกับจะตรัสกับองค์เอง


               “...จะต้องตายด้วยมือของหม่อมฉัน”








               กองกำลังทหารกล้าจำนวนหนึ่งควบม้าจนฝุ่นตลบมาจนถึงเชิงป่าลึก เจ้าชายอินทัชธราธิปยกหัตถ์เพื่อให้

ทหารทั้งหมดหยุดม้า ทรงทอดพระเนตรภูเขาสูงที่โอบล้อมพื้นที่ด้านในไว้เป็นแอ่งกระทะ เพชรกล้าบังคับม้าให้มาหยุด

ยืนเยื้องอยู่เบื้องหลังเจ้านายเหนือหัว


               “หนทางเข้าไปภายในมันไม่น่าจะอยู่ไกลกว่านี้หรอก มิเช่นนั้นเจ้าพวกนั้นจะออกมาได้อย่างรวดเร็วได้

อย่างไร”


               เพชรกล้านิ่งคิด เขานึกถึงจุดที่เห็นเจ้าโจรป่าหน้าตาดีเร้นกายหายลับไปอย่างรวดเร็ว บางทีอาจเป็นบริเวณ

นั้นที่จะพาไปสู่ด้านในของหุบผากาฬ


               “เราลองไปสำรวจบริเวณที่พบเจอเจ้าพวกนั้นเมื่อคราวก่อนเถิดพะย่ะค่ะ”


               เจ้าชายอินทัชกระชับคันธนูคู่กายไว้มั่นในพระหัตถ์พลางบังคับม้าตัวใหม่ที่ไม่ใช่ “เจ้าเมฆา” อาชาสีขาว

ปลอดคู่พระทัยให้มันวิ่งตามเพชรกล้านายทหารคนสนิทไปยังทางที่จำได้ว่าเคยถูกลอบโจมตีเมื่อครั้งก่อน ทรงเม้มโอษฐ์

แน่นกุมบังเหียนอย่างระมัดระวังเมื่อม้าทุกตัวเริ่มเดินย่างเข้าสู่ป่ารก


               จะต้องฆ่ามันให้ได้ เจ้าโจรอัคคีที่แสนกำแหงกล้าล่วงเกินเจ้าชายอันสูงศักดิ์หลายครั้งหลายครา ดวงเนตรคม

เบิกกว้างสอดส่ายไปมาพร้อมกับทหารหลายชีวิต ป่ารกชื้นกลับเงียบสงัดจนวังเวงเมื่อใกล้ถึงโขดหินสูงที่ตั้งอยู่ตรงเชิง

เขา


             “ระวัง!”                
 
               เสียงทหารคนหนึ่งตะโกนลั่นเมื่อม้าของเขาเหยียบเข้าตรงกับดักจนพากันร่วงลงไปในหลุมขนาดใหญ่ที่มีไม้

แหลมอยู่ก้นหลุม ความโกลาหลย่อยๆเกิดขึ้นเมื่อถูกจู่โจมด้วยเหล่าโจรป่าที่ปรากฏกายขึ้นมาอย่างเงียบเชียบ การต่อสู้

จึงเริ่มต้นขึ้นทันทีเจ้าชายอินทัชตั้งคันธนูจนเหมาะมือแล้วโก่งคันศรยิงลูกดอกไปที่โจรป่าได้หลายคน

               แต่เพราะความชำนาญพื้นที่โจรป่าเริ่มได้เปรียบตามลำดับ เจ้าชายอินทัชถูกชายคนหนึ่งกระโจนใส่จนร่วง

จากหลังม้ากลิ้งหลุนอยู่ตามพื้น  ทรงตั้งสติโดยพลันแล้วจึงดึงดาบเนื้อดีออกมาต่อสู้อย่างไม่นึกเกรงกลัว


               “ระวังด้วยเจ้าชาย”


               เพชรกล้านึกเป็นห่วงเจ้าชายอินทัช ความห่วงใยทำให้เขาขาดความระวังเมื่อหันหน้ากลับมาอีกครั้งจึงถูก

กำปั้นหนักซัดใส่โหนกแก้มเต็มแรง


               “โอ๊ย!”


               เจ้าชายอินทัชสะดุ้งเฮือกเมื่อจู่ๆความเจ็บมาเยือนด้านหลังพระอังสะ ทรงเหลียวกลับไปมองก็เห็นลูกดอกจิ๋ว

ตัวหนึ่งทะลุฉลองพระองค์เข้าไปปักอยู่ในเนื้อ ทรงกัดพระทนต์เอื้อมมือดึงมันออกพลางเหลียวหาผู้ลอบทำร้าย ดวงเนตร

คมโชนแสงเมื่อเห็นร่างคุ้นตาปรากฏตัวจากหลังต้นไม้ต้นหนึ่ง ทรงยกพระหัตถ์ชี้หน้ามันผู้นั้นอย่างแค้นเคืองเมื่อรู้ว่า

พระองค์กำลังถูกพิษของยาสลบจากลูกดอกที่เป่ามาจากระยะไกล


               “ไอ้อัคคี เจ้า...”


               เกิดอะไรขึ้นกับพระองค์!


               พระวรกายของเจ้าชายอินทัชอ่อนปวกเปียกแขนขาชาด้านไปหมด ร่างสูงเซไปมาอย่างฝืนไม่อยู่ มีเพียง

พระเนตรที่ยังมองไปยังอัคคีเมื่อรู้ว่าเหตุที่เกิดต้องเป็นเพราะชายคนนั้นอย่างแน่นอน


               เกือบจะทรุดลงไปกองกับพื้น แต่ทันใดนั้นวรกายของพระองค์กลับถูกรวบแล้วยกขึ้นอย่างรวดเร็ว นั่นเป็นสิ่ง

สุดท้ายที่เจ้าชายอินทัชรับรู้ก่อนสติจะดับวูบลงไป


               “เจ้าชาย!”


               เพชรกล้าแทบสิ้นสติเมื่อเห็นเจ้าชายอินทัชถูกรวบตัวอย่างง่ายดาย เหล่าทหารเสียทีให้แก่โจรป่าแม้ว่าพวก

โจรจะมีกำลังน้อยกว่าแต่เป็นเพราะกับดักทั้งหลายที่ถูกอำพรางไว้เป็นอย่างดีทำให้เสียทหารไปมากมายจนเกือบไม่

เหลือ แต่เพชรกล้าก็ยังต่อสู้อย่างไม่เกรงกลัวนอกจากเป็นห่วงเจ้าชายอินทัชเท่านั้น


               เพชรกล้าวาดคมดาบใส่เจ้าโจรจนร่วงไปกองกับพื้นได้อีกคนหนึ่ง หลังจากนั้นกลับมีโจรอีกคนกระโดดเข้ามา

เป็นคู่ต่อสู้ทดแทน เพชรกล้าเบิกตากว้างเมื่อประสานสายตากับมัน


               “เจ้า!”


               ดวงตาที่โผล่พ้นขอบผ้าปิดบังใบหน้าของฟ้าฟื้นบอกถึงความเอาจริง เพชรกล้ากระชับดาบในมือไว้แน่นก่อน

เงื้อสูงแล้วพุ่งเข้าใส่ การต่อสู้ด้วยฝีมือที่ไม่ยิ่งหย่อนกว่ากันจึงเริ่มต้น นายทหารจากในวังยอมรับว่าเจ้าโจรป่าหน้าตาดีคน

นี้ฝีมือจัดจ้านอย่างน่าตกใจ


               “อ๊ะ”


               ดีที่มันเสียหลักล้มลง เพชรกล้าเตรียมฉวยโอกาสลงดาบใส่มัน แต่ไม่นึกว่าเจ้าโจรคนนี้จะคว้าก้อนหินขึ้นมา

แล้วฟาดขว้างใส่ลำตัวของเขาจนจุก


             “อุ๊บ"


              เพชรกล้าตัวงอขณะเดียวกับฟ้าฟื้นเด้งตัวจากพื้นดินเพื่อตั้งหลัก แม้จะเจ็บจนร้องไม่ออกแต่เพชรกล้าก็ยังชู

ดาบเข้าใส่ เขามองเห็นฟ้าฟื้นยิ้มเยาะด้วยสายตาพร้อมกับเงื้อท่อนไม้ขนาดใหญ่ขึ้นมาฟาดเปรี้ยงเข้ากลางแสกหน้าของ

เพชรกล้า เขาเซถอยหลังด้วยความมึนงงก่อนจะตกใจเมื่อปลายเท้าเหยียบเข้ากันก้อนหินก้อนหนึ่งและทันใดนั้น ตาข่าย

เหนียวที่ถูกพรางอยู่กับพื้นก็รวบห่อร่างกายของเขาเข้าไปอยู่ด้านในและลอยละล่องห้อยโตงเตงอยู่กลางอากาศ


              “โธ่โว้ย ปล่อยกู”


               ตะโกนด้วยความโมโหเมื่อเห็นเจ้าโจรป่าก้าวเข้ามาใกล้ ท่อนไม้ในมือลอยละลิ่วฟาดใส่ท้ายทอยของเขาอีก

ครั้ง

                 เพียงเท่านั้นเพชรกล้าก็สิ้นฤทธิ์อยู่ในถุงตาข่าย








               แพขนตากระพริบถี่ก่อนจะปรือตาเมื่อมองเห็นแสง เจ้าชายอินทัชส่ายพักตร์ไล่ความมึนงงไปมาก่อนจะ

ทบทวนความทรงจำว่าเกิดอะไรขึ้น


               พระองค์ถูกอัคคีทำร้ายด้วยลูกดอกอาบยาสลบ!


               เมื่อสมองทำงานเต็มที่ความตกพระทัยก็มาเยือน เจ้าชายอินทัชขยับแขนขาแต่ความตกใจก็กลับมาทันทีเมื่อ

เห็นสภาพของพระองค์


               พระวรกายถูกตรึงอยู่กับต้นไม้ใหญ่ พระปฤษฎางค์เสียดสีอยู่กับเปลือกไม้แขนสองข้างถูกดึงโอบลำต้นไปมัด

อยู่อีกด้านหลัง เจ้าชายอินทัชพยายามดิ้นรนแต่มันก็ไม่สำเร็จ

               เสียงก้าวเท้าสวบสาบดังขึ้นจากเบื้องหลัง เจ้าชายอินทัชรีบตะโกนก้อง


               “ใคร นั่นใคร ปล่อยเราเดี๋ยวนี้”


               พระหทัยหล่นวูบเมื่อเจ้าของเสียงเดินมาปรากฏกายต่อหน้า ซ้ำยังจ้องหน้าของพระองค์ด้วยนัยน์ตาโชนแสง

ด้วยความแค้นเคือง ทรงจำดวงตาคู่นี้ได้แม่นเพราะมันคือดวงตาที่เฝ้าหลอกหลอนพระองค์มาหลายทิวาราตรี


               “ไอ้อัคคี”


               เจ้าชายอินทัชเชิดพักตร์สูงอย่างไว้องค์ทั้งที่อังสาทั้งสองไหวสะท้าน หทัยเต้นรัวเร็วเมื่อร่างสูงที่ซ่อนกายอยู่

ในอาภรณ์สีดำย่างกรายเข้าใกล้ทุกขณะ จนกระทั่งอยู่ใกล้เพียงเอื้อมหัตถ์ถึงหากพระองค์จะไม่ถูกพันธนาการไว้ด้วย

เชือกเส้นโตจนดิ้นไม่หลุดจากต้นไม้ใหญ่ที่แผ่กิ่งปกคลุมปิดบังแผ่นฟ้าเบื้องบน


               “เจ้า จงรู้ว่าเรานั้นเป็นใคร”


               เอื้อนเอ่ยดำรัสออกไปโดยหวังว่าจะประกาศองค์ให้มันเกรงแต่สิ่งที่ได้รับกลับคืนนั่นคือดวงตาคมเย้ยหยัน

เพียงสิ่งเดียวที่โผล่พ้นผ้าคลุมใบหน้าสีดำสนิทไม่ต่างจากอาภรณ์ของมัน


               “พระอาญามิพ้นเกล้า เจ้าชายอินทัชธราธิป เจ้าชายรัชทายาทแห่งรัตนปุระนคร”


               น้ำเสียงแข็งกระด้าง ห้วนจัดดังลอดผืนผ้าให้รับรู้ว่ามันผู้นั้นรู้จักพระองค์ดีแค่ไหน เจ้าชายอินทัชเบิกเนตร

อย่างขัดเคืองระคนแปลกใจที่มันกลับรู้จักพระองค์แต่ไร้ซึ่งความเกรงกลัว


               “หากไม่อยากหัวขาดก็ปล่อยเราเสีย”


               “เห็นทีจะทำตามประสงค์มิได้”


               อัคคีก้าวเข้ามาใกล้พลางยกแขนของมันคร่อมร่างพระองค์ไว้กับต้นไม้ใหญ่ ดวงตากร้าวราวกับไฟสุมเมื่อไม่

ถึงอึดใจพัสตราภรณ์งดงามก็ถูกมันกระชากออกจนขาดวิ่น


               “เพราะพระองค์จะต้องตกเป็นสมบัติของข้า อัคคีแห่งหุบผากาฬ”

               
               
                            ------------------------------ TBC------------------------------------


                                        ตอนหน้ามีเฮ คริคริ  :hao3: :hao3:



หัวข้อ: Re: บัลลังก์รักใต้เงาแค้น บทที่ 6 [ 16 / 09 / 58 ]
เริ่มหัวข้อโดย: boboman ที่ 16-09-2015 15:15:57
อยากอ่านตอนหน้าแล้วง่า
อยากเฮ 55555
หัวข้อ: Re: บัลลังก์รักใต้เงาแค้น บทที่ 6 [ 16 / 09 / 58 ]
เริ่มหัวข้อโดย: SOO2 ที่ 17-09-2015 09:03:08
กรี้ดด รอตอนหน้าแทบไม่ไหว
  :z1: :z1:
มาต่อเร็วๆน้าาา
หัวข้อ: Re: บัลลังก์รักใต้เงาแค้น บทที่ 6 [ 16 / 09 / 58 ]
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 17-09-2015 10:31:56
 :hao6:   เชลยรัก    :mew1: 

แฝดกันซะด้วย ใช่ไหมๆ
หัวข้อ: Re: บัลลังก์รักใต้เงาแค้น บทที่ 6 [ 16 / 09 / 58 ]
เริ่มหัวข้อโดย: sosi ที่ 17-09-2015 15:44:23
ตอนนี้สั้นจัง. เป็นพี่น้องฝาแฝดกันปะเนี่ยหน้าตาคล้ายกันด้วย
หัวข้อ: Re: บัลลังก์รักใต้เงาแค้น บทที่ 6 [ 16 / 09 / 58 ]
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 17-09-2015 20:03:45
อัคคีไม่สงสัยเหรอว่าหน้าเหมือนกันขนาดนี้ ถ้าไม่ใช่ฝาแฝดจะเป็นอะไรได้
เรื่องที่พ่อบัวเล่าให้อัคคีฟังไม่ใช่เรื่องจริง(ทั้งหมด)ใช่มั้ย แล้วตกลงเรื่องจริงเป็นยังไงกันนะ
หัวข้อ: Re: บัลลังก์รักใต้เงาแค้น บทที่ 6 [ 16 / 09 / 58 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Freja ที่ 17-09-2015 22:19:04
มีอีกคู่หรือเปล่าเอ่ย?  เพชรกล้ากับโจรป่า?

กลัวว่าพ่อบัวจะกลับไปหาพ่ออินทัชแล้วสามีคนปัจจุบันเล่า?
หัวข้อ: Re: บัลลังก์รักใต้เงาแค้น บทที่ 6 [ 16 / 09 / 58 ]
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 18-09-2015 01:42:53
มาปูเสื่อรอตอนต่อไป :z1:
หัวข้อ: Re: บัลลังก์รักใต้เงาแค้น บทที่ 6 [ 16 / 09 / 58 ]
เริ่มหัวข้อโดย: nunda ที่ 18-09-2015 07:54:19
แง๊ๆๆ อัคคีไอ้บ้า อย่ารุนแรงนักซิ สงสารเจ้าชาย (T_T)
หัวข้อ: Re: บัลลังก์รักใต้เงาแค้น บทที่ 6 [ 16 / 09 / 58 ]
เริ่มหัวข้อโดย: ไอ้ดื้อ ที่ 18-09-2015 12:09:06
ค้างงง รอนะคะ :hao5:
หัวข้อ: Re: บัลลังก์รักใต้เงาแค้น บทที่ 6 [ 16 / 09 / 58 ]
เริ่มหัวข้อโดย: papanoy ที่ 27-09-2015 12:41:56
เจ้าชายอินทัชกับอัคคีหายไปไหน...นานแล้วนาาาา
คิดถึงๆๆๆๆ
  :กอด1:
หัวข้อ: Re: บัลลังก์รักใต้เงาแค้น บทที่ 6 [ 16 / 09 / 58 ]
เริ่มหัวข้อโดย: kms ที่ 29-09-2015 13:15:15
สงสัยอัคคีพ่อแม่เดียวกันกับอินทัช
ไม่ใช่ลูกพ่อบัวแน่เลย
หัวข้อ: บัลลังก์รักใต้เงาแค้น บทที่ 7 [ 02 / 10 / 58 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Belove ที่ 02-10-2015 21:47:30

                                                     บัลลังก์รักใต้เงาแค้น

                                                              บทที่  7               


               เจ้าชายอินทัชทรงเบิกเนตรกว้างเมื่ออาภรณ์ถูกทำลายด้วยน้ำมือของโจรป่านามอัคคีโดยไร้หนทางต่อสู้

ดวงตาดุกร้าวกวาดสายตามองวรกายเปล่าเปลือยตั้งแต่บนจรดล่าง พระโลมาสะท้านเยือกเมื่อมันก้าวเข้ามาชิดใกล้จน

กระทั่งได้กลิ่นกายสาบเหงื่อของชายชาตรีก่อนที่มันจะกำแหงหาญบดบี้ริมฝีปากลงมากับโอษฐ์อิ่มที่พยายามเม้มหนี


               “ปล่อย ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้”


               คำกล่าวอึกอักอยู่ในพระศอเมื่อกระทำอันใดมิได้ ร่างกายอุดมไปด้วยความแข็งขืนรุกเบียดแนบแน่นจนหายใจ

ไม่ออกซ้ำร้ายมันยังปลดชายผ้านุ่งออกแล้วเสียดสีองคาพยพเข้ากับพระโสณีหยามหยันให้เจ็บพระหทัย


               “เป็นเพราะพวกเจ้าพ่อของข้าจึงได้ประสบชะตากรรมเลวร้ายเยี่ยงนี้”


               ใบหน้าที่เหลือดวงตาเพียงข้างเดียวของบิดาลอยอยู่ในมโนสำนึก คำกล่าวที่เคยได้ยินตั้งแต่จำความได้

บันดาลให้เกิดโทสะจนยากจะระงับยิ่งมองเห็นใบหน้าที่รบกวนจิตใจหลายเพลาทำให้อัคคีหมดสิ้นเหตุผลที่จะยับยั้ง

ตนเอง

               ใช้เท้าของตนเตะข้อพระบาทให้กว้างออก ท่อนเนื้อชูคอขู่ฟ่อฟาดเผียะเข้ากับแก่นกายของพระราชโอรส

ดวงตาแกร่งกล้าโชนแสงประสานกับพระเนตรเบิกกว้างด้วยความตระหนก อัคคีไม่รีรอสิ่งใดอีกเมื่อเขาดันกายเข้าไปใน

ช่องทางเร้นลึกทันที


               “อย่า อ๊ากกกก”


               น้ำพระเนตรหลั่งรินลงมาพร้อมกับความเจ็บปวดเมื่อร่างกายถูกชำแรก กล้ามเนื้อปริแยกจนรู้สึกได้ ความคิด

ต่างๆว่างเปล่าขาวโพลนไปหมดจนกระทั่งเอวแกร่งกระแทกกายเข้ามาเป็นครั้งที่สองจึงได้สติและร่ำไห้ออกมา


               “เจ็บ!”


               ร่างกายสั่นระริกหมดแรงต่อสู้ดิ้นรนใดๆอันไม่เกิดประโยชน์เพราะถูกมัดติดกับต้นไม้ และไม่ถึงอึดใจอัคคีก็

กระทุ้งท่อนเนื้อเข้ามาอีกครั้งจนใกล้สุดลำ


               “จงเจ็บให้สมกับสิ่งที่พวกเจ้าทำเลวกับผู้อื่น เคราะห์กรรมเหล่านี้เจ้าต้องเป็นผู้รับมัน อินทัช”


               คำรามต่ำอยู่ใกล้หูก่อนจะขบแรงๆลงมาที่ซอกพระศอจนสะดุ้งสุดกาย ไอ้โจรป่าหยาบช้าถอนกายออกแค่

เพียงหมิ่นเหม่แล้วจึงเด้งเอวกระแทกเข้าใส่ช่องทางอ่อนนุ่มครั้งแล้วครั้งเล่า


               เจ้าชายอินทัชกัดพระโอษฐ์แน่นจนแทบห้อเลือดเมื่อถูกกระทำย่ำยีเหยียบย่ำขัตติยกษัตริย์จนไม่เหลือศักดิ์ศรี ทรงหอบหายใจลึกเมื่อพระวรกายสั่นสะท้านไป


กับเอวแกร่งที่กระทุ้งกายมาไม่ยั้งแม้พระองค์จะยังถูกมัดพระหัตถ์ไพล่หลังอยู่กับต้นไม้ พระปฤษฎางค์เสียดสีกับเปลือกไม้จนพระฉวีแสบร้อน


               “อ๊า เจ็บ ปล่อย”

               พระอูรุถูกดันให้อ้ากว้างเมื่อท่อนเนื้อหยาบกระด้างแทรกกายสอดลึกจนสุดลำโคน พระโสณีสั่นระริกเมื่อ

สัมผัสเสียดสีด้วยไฟร้อนแรงเผาไหม้จนหมดทางสู้ พระองค์เงยหน้าปล่อยน้ำพระเนตรให้ไหลรินอาบพักตร์ มันคว้าแก่น

กายของพระองค์ไปกอบกุมบีบเค้นอย่างจาบจ้าง ทรงกลั้นเสียงครางไว้ไม่อยู่เมื่อร่างกายกำลังถูกเร่งเร้าให้ตอบรับอย่าง

น่ารังเกียจ


               “ฮึก อ๊า ข้าจะฆ่าเจ้าด้วยมือของข้าอ้ายโจรป่าหยาบช้า”


               เกร็งวรกายเมื่อมันบีบรัดจนเกินกลั้นและปลดปล่อยน้ำคาวขาวขุ่นออกมาอย่างน่าละอาย ได้ยินเสียงมันคำราม

ก้องแล้วขยับเอวอย่างอหังการ์ ดวงตาคมมีวี่แววสุขสมสาแก่ใจ


               “หากพระองค์ทำได้ก็เชิญลงมือ”


               เอวแกร่งกระแทกลึกจนเจ้าชายอินทัชสะดุ้งเฮือกพลันรู้สึกถึงของเหลวอุ่นร้อนทะลักทลายไหลลงมาตามพระ

อูรุ พลันมันดึงผ้าคลุมหน้าสีดำออกเผยให้เห็นใบหน้าชัดเจน


               เจ้าชายอินทัชอ้าโอษฐ์ค้างเมื่อใบหน้าของมันไม่ได้แตกต่างอะไรจากพระพักตร์ของพระองค์แม้แต่นิดเดียว






               ฟ้าฟื้นไม่เข้าใจตัวเองอยู่เหมือนกันว่าทำไมไม่ปลิดชีพคนบุกรุกเสียให้หมดลมหายใจ แถมยังลากถุงตาข่ายที่

บรรจุร่างหมดสติของมันมาที่เวิ้งหินไม่ไกลนักซึ่งเขาเป็นคนค้นพบและรู้จักแต่เพียงผู้เดียว

               เวิ้งหินที่ด้านบนเป็นก้อนหินใหญ่ ด้านใตเป็นลานเล็กที่มีชะง่อนหินยื่นออกมาเป็นเพดานปกคลุมด้วยกิ่งไม้

จากต้นไม้ใหญ่จนไม่มีใครเคยมองเห็น เขาพบมันเมื่อออกมาลาดตระเวนแถวนี้และใช้มันเป็นที่พักผ่อนแต่เพียงผู้เดียว

แต่บัดนี้เขากลับลากมันมาด้วยแทนที่จะกดคมมีดลงบนลำคอของมันเสียให้สิ้น

               ปากถุงยังมัดแน่นสนิทเมื่อร่างคนในนั้นเริ่มขยับตัวทีละนิดโดยมีฟ้าฟื้นนั่งมองนิ่งๆ เห็นมันยกมือกุมท้ายทอย

ใบหน้าเจ็บปวด ดวงตาของมันยังกระพริบถี่อยู่อีกหลายครั้งกว่าจะเปิดขึ้นมามองสภาพภายนอก เมื่อสบตากับเขามันจึง

ผวาลุกนั่งและรับรู้ว่าตนเองยังติดอยู่ในถุงตาข่ายที่ทออย่างแน่นหนาสำหรับดักผู้บุกรุก


                “ไว้ชีวิตข้าเพราะอะไร”


               แม้แต่คำกล่าวแรกหลังจากฟื้นขึ้นมายังผยองจนฟ้าฟื้นแสนจะหมั่นไส้ เขาเบะปากอยู่ภายในผ้าคลุมใบหน้า

ของเขาพลางลุกขึ้นยืนเต็มความสูงแล้วเลิกคิ้วเยาะหยัน


               “ตายเร็วก็ไม่สนุกสิ”


               เพชรกล้าขบกรามกรอดเมื่อถูกเจ้าโจรป่าหน้าอ่อนเยาว์หยามหยันศักดิ์ศรี เขานึกถึงใบหน้าที่เคยเห็นแวบหนึ่ง

เมื่อคราก่อนกำลังยิ้มเยาะใส่เขาอยู่


               “เจ้าใช้เครื่องทุ่นแรงจนชนะข้า หาใช่ฝีมืออันแท้จริง”


               เจ้าโจรยักไหล่อย่างไม่แยแส


               “หึหึ ข้ามันแค่โจรป่า อะไรที่ทำให้กำจัดศัตรูได้ข้าก็จะทำ”


               “ไร้ศักดิ์ศรี”


               “ศักดิ์ศรีไม่ทำให้ข้ามีชีวิตรอด ข้าไม่ต้องการเป็นเช่นเจ้าที่เต็มไปด้วยศักดิ์ศรีแต่พ่ายให้แก่ข้า”


               เพชรกล้ามองกลับด้วยความโมโห แต่ถึงกระนั้นเขาเองก็ต้องยอมรับความจริง ไม่ว่าจะด้วยวิธีการใดตอนนี้

เขาคือฝ่ายเพลี่ยงพล้ำ


               “ต้องการสิ่งใด”


               นายทหารหนุ่มถอนหายใจออกมาจนฟ้าฟื้นลอบยิ้ม


               “คนแพ้ต้องเป็นทาสคนชนะ”


               เพชรกล้าขมวดคิ้วมองนัยน์ตาพราวคู่นั้นด้วยความไม่เข้าใจ


               “เจ้าจะให้ข้าเป็นทาสของเจ้า เฮอะ บ้าไปแล้ว”


               “ก็เจ้าแพ้”


               “เช่นนั้นเมื่อใดข้าจะได้ไถ่ตัวจากการเป็นทาสของเจ้า”


               ตอบโต้อย่างฉุนกึ้กกับความคิดประหลาดนั่นที่จะให้เขาลดตัวไปเป็นข้าทาส


               “จนกว่าข้าจะเปิดโอกาสให้เจ้าได้ประลองฝีมือชิงความเป็นไท”


               แม้จะยังเคืองอยู่มากแต่ความคิดหนึ่งวิ่งวูบเข้ามาในความคิดของเพชรกล้า ถ้าหากเขาจะใช้ประโยชน์ในการนี้

เพื่อหาทางแทรกซึมเข้าไปในหมู่บ้านโจรด้วยการยอมเป็นทาสของเจ้าโจรหน้าอ่อนนี่ล่ะ เขากรอกตาไปมาอย่างใช้ความ

คิด


               “ก็ได้ ข้ายอมรับ”


               คราวนี้ฟ้าฟื้นเป็นฝ่ายเลิกคิ้วด้วยความสงสัยบ้างที่อยู่ๆเจ้าคนบุกรุกหน้าดุก็ยอมเสียง่ายๆ แต่ก็ดีแล้วเขาจะได้

แกล้งเสียให้หนำใจที่บังอาจทำให้ฟ้าฟื้นแทบจะหมดความมั่นใจเพราะปะทะฝีมือกันกี่ครั้งก็ดูเหมือนเขาจะเป็นฝ่ายเสีย

เชิงตลอด ยกเว้นคราวนี้ที่ฟ้าฟื้นมีกับดักมาช่วยไว้


               “ข้ายอมแล้วก็ปล่อยข้าเสียทีเจ้าโจรป่า”


               “เรียกข้าว่านายท่าน!”


               เพชรกล้าชะงัก เขามองอีกฝ่ายด้วยความแค้น


               “นายท่าน พอใจหรือยัง”


               ฟ้าฟื้นยักไหล่กวนโมโห เขาก้าวเข้าไปใช้มีกพกตัดถุงตาข่ายออกจนกระทั่งมันพ้นจากร่างของคนบุกรุก

จัดการเสร็จสรรพกำลังจะเก็บมีดท่อนแขนกลับถูกคว้าไว้แล้วกระชากจนเสียหลักล้มลงมากระแทกเข้ากับแผ่นอกหนา

ของคนบุกรุก เพชรกล้าถือโอกาสกระชากผ้าคลุมออกจากใบหน้านั้นอย่างรวดเร็ว


               พากันชะงักงันเมื่อสบสายตาในระยะประชิดจนได้ยินเสียงหัวใจของอีกฝ่าย


               “ข้าชื่อเพชร นายท่านมีนามว่าอะไร”


               น้ำเสียงอ่อนนุ่มอย่างไม่รู้ตัวทำให้ฟ้าฟื้นเกือบจะลืมหายใจ


               “ข้าชื่อฟ้าฟื้น จงจำใส่หัวของเจ้าไว้เถิดเจ้าทาสผู้ต่ำต้อย”
               







               ทันทีที่เถาวัลย์พันธนาการหลุดออกจากการผูกยึด เจ้าชายอินทัชก็ทิ้งวรกายอ่อนแรงลงจนร่วงไปนั่งอยู่กับพื้น

โดยมีโคนต้นไม้ใหญ่ช่วยพยุงแผ่นหลังไว้ ดวงเนตรงดงามที่ยังมีร่องรอยน้ำตาเบิกกว้างกับสิ่งที่เห็น


               “มะ ไม่ ไม่จริง เป็นไปไม่ได้”


               ทรงรำพึงรำพันตั้งแต่อัคคีกระชากผืนผ้าออกจากใบหน้าแล้วยิ้มเยาะอย่างสาแก่ใจ ก่อนจะถอนกายออกมาจน

ช่องทางโหวงว่าง น้ำคาวปะปนกับโลหิตสีจางไหลเปรอะเปื้อนอย่างน่าอาย แต่เจ้าชายอินทัชกลับลืมใส่พระทัยเพราะยัง

คงงงงันกับสิ่งที่เห็น


               เหตุใดโจรป่าแสนเลวอย่างอัคคีจึงมีใบหน้าเหมือนพระองค์เช่นนี้เล่า


               จะต่างกันก็ตรงโจรป่านั้นร่างกายสูงกว่าเกือบคืบรวมถึงร่างกายกำยำไปด้วยกล้ามเนื้อพร้อมกับผิวคล้ามแดด

และมีดวงตาดุดัน ส่วนพระองค์นั้นแม้จะสูงแต่วรกายโปร่งกว่าและพระฉวีผุดผ่องเพราะไม่ค่อยได้ต้องไอแดดแถมยังมี

พระเนตรคล้ายพระมารดาจึงได้หวานซึ้งเช่นนี้


               “ทะ ทำไม”


               อัคคีย่อตัวลงมาเผชิญหน้ามุมปากยิ้มเยาะเมื่อเขาช่วงชิงในสิ่งที่ต้องการมาได้แล้ว


               พรมจรรย์ของเจ้าชายอินทัชธราธิปถูกทำลายด้วยโจรป่าหยาบช้าอย่างเขา!


               “ชะตากรรมอย่างไรล่ะ ชะตากรรมที่เจ้าต้องชดใช้ให้พ่อของข้า”


               ฉาด!


               ฝ่าพระหัตถ์ลอยละลิ่วเข้าซีกหน้าของอัคคีเต็มๆ เจ้าชายอินทัชกันแสงออกมาอย่างสุดกลั้น


               “ชะตากรรมบ้าบออะไรข้าไม่รู้เรื่องสักอย่างข้าไปทำอะไรให้เจ้า อัคคีไอ้คนชั่วช้า”


               วรกายโปร่งถูกผลักให้หงายหลังกระแทกกับพื้นดิน เสียงอุทานดังลอดออกมาจากเจ้าชายอินทัชที่ยังเจ็บปวด

ไปกับการถูกข่มเหงเมื่อครู่ อัคคีกระโจนเข้าคร่อมทับและใช้มือบีบปลายคางเจ้าชายอินทัชจนพระพักตร์บิดเบี้ยว


               “ด่าอีกสิ ด่าเสียให้พอ และจงรู้ว่าบัดนี้คนสูงศักดิ์เทียมฟ้าอย่างเจ้าชายรัชทายาทแห่งรัตนปุระนครได้ตกเป็น

ของข้าแล้ว”


               เจ้าชายอินทัชถ่มพระเขฬะใส่หน้าอัคคี ดวงเนตรงามแดงก่ำฉ่ำชื้น


               “ไม่มีทางที่ข้าจะตกเป็นของเจ้า ไอ้โจรชั่ว”


               ไฟของอัคคีลุกโชนขึ้นมาอีกครั้ง ความต้องการในร่างกายของเจ้าชายอินทัชไม่ได้หมดลงแค่เพียงการกระทำ

ครั้งเดียว อัคคีคว้าท่อนแขนเรียวที่ทุบตีเขาไว้และตรึงมันกับพื้นดินแข็งกระด้างแล้วกระชากเสียงตะคอกใส่เจ้าชายอินทัช

จนสะดุ้งสุดตัว


               “เจ็บครั้งเดียวไม่พอ อยากให้ข้าตอกย้ำใช่ไหมว่าเจ้าเป็นของข้าแล้ว อินทัช ได้ ข้าจะทำให้เจ้าต้องยอมรับ

ความจริงด้วยใจของเจ้าเอง”


               “ไม่นะ อื้อ...”


               โอษฐ์นุ่มราวกลีบกุหลาบถูกขยี้จนแทบแหลกด้วยปากแห้งแตกระแหงของอัคคี เจ็บจนหายใจไม่ออกทำให้

เจ้าชายต้องผวากลืนอากาศกลายเป็นเปิดโอกาสให้อัคคีเล็ดรอดลิ้นหยุ่นเข้าไปจู่โจม อัคคีกดร่างบดเบียดกับผิวกายนุ่มที่

เริ่มจะหมดแรงต้านทาน เขาปล่อยท่อนแขนของเจ้าชายอินทัชเมื่อไม่จำเป็นต้องยึดไว้อีกแล้ว


               พระถันบนยอดอกเป็นเป้าหมายต่อไปของเขา อัคคีขยี้มันให้อยู่ในกำมือจนเจ้าชายอินทัชผวาเฮือก ร่างสูง

กำยำเลื่อนตัวลงมาครอบปากลงไปกับถันงามสีอ่อนแล้วเม้มปากตามดูดดึงให้มันแข็งเป็นไต


               “เจ็บ ปล่อยนะอัคคี”


               ร้องไห้จนหมดแรงแต่อัคคีก็ยังไม่รามือ เจ้าชายอินทัชเจ็บพระทัยที่ตนเองไร้ทางต่อสู้แถมร่างกายกลับ

ยินยอมให้อัคคีได้ล่วงเกิน ทรงห้ามจิตใจตนเองไม่ได้เลยเมื่อความต้องการวิ่งวนไปมาอย่างน่าอับอาย ทรงเผลอไผล

แอ่นกายให้อัคคีได้ละเลงลิ้นจนสาแก่ใจ


               “ฮึก ฮึก อ๊ะ ตรงนั้นมัน...”


               สะดุ้งทันทีเมื่อท่อนเนื้อสีสวยถูกอัคคีงับหัวด้วยปากของเขา เจ้าชายอินทัชกัดพระทนต์แน่นกับความซ่าน

ทรวงที่เอ่อล้นขึ้นมา


               “ต้องการข้าแล้วใช่ไหม จงยอมอ้าขาให้ข้าเดี๋ยวนี้ เจ้าชายอินทัช”


               “ไม่มีทาง อื้มมม”


               บิดวรกายไปมาอยู่บนพื้นดินเมื่ออัคคีรูดปากกินมันเข้าไปจนหมด ความต้องการบางอย่างที่ไม่เคยรู้จักวิ่ง

พล่านไปทั่วร่างด้วยความทรมาน เจ้าชายอินทัชหลงกลไปกับสิ่งที่อัคคีกำลังทำจนไม่รู้องค์เลยว่ากำลังยกท่อนขาตั้งฉาก

กับพื้นเพื่อให้อัคคีที่พร้อมอยู่นานแล้วสอดกายเข้ามาทันที


               “อ๊า อัคคี”


               เสียงร้องอย่างเจ็บปวดปะปนเสียงครางกระเส่าดังสะท้อนผืนป่าไปมาอย่างน่าละอาย แต่เจ้าชายอินทัชห้าม

องค์ไม่ได้จริงๆ ทรงยกแขนโอบกอดร่างที่กำลังขยับเขยื้อนแทรกกายเข้าไปจนล้ำลึกกว่าครั้งแรก ท่อนเนื้อครูดเสียดสี

ผนังช่องทางสร้างความเสียวสยิวอย่างที่พระองค์ไม่เคยรู้สึกมาก่อน


               “ตอดชมัด โอย สะใจโว้ย”


               อัคคีคำรามราวกับเจ้าป่ากำลังสนุกกับเหยื่อ เขาใช้มือยันพื้นคุกเข่าโหมกายกระแทกกระทั้นจนน้ำกามไหล

เหนอะหนะ ใบหน้าของคนใต้ล่างที่บิดเบี้ยวเพราะแรงอารมณ์ปะปนกับน้ำตาจากความโทมนัสกำลังทำให้เขา

กระเจิดกระเจิงจนแทบจะลืมความแค้น อัคคีโน้มตัวลงไปประทับริมฝีปากกับเรียวปากนุ่มอย่างติดใจ


               “เจ็บมากไหมอินทัช”


               เสียงกระซิบเบาๆข้างหูทำให้เจ้าชายอินทัชปล่อยเสียงสะอื้นออกมา แต่น้ำตากลับถูกเช็ดด้วยริมฝีปากของ

อัคคีที่ไล่จูบไปทั่วพักตร์ก่อนจะมาหยุดที่โอษฐ์ของพระองค์ ความหวานแทรกซึมผ่านปลายลิ้นที่ซุกไซ้ซอกซอนอยู่ใน

โพรงปากเรียกร้องให้เจ้าชายอินทัชเคลิบเคลิ้มและเผลอตวัดชิวหาตอบโดยไม่รู้องค์


                “อะ อึก อืม”


               ความเจ็บปวดทั่วสรรพางค์จางหายกลายเป็นความร้อนระอุกับร่างกายที่กอดรัดจนไม่เหลือช่องว่าง พระ

ปฤษฎางค์ถูไถไปกับพื้นแข็งยิ่งสร้างความรัญจวนจนต้องยกพระอูรุกอดเกี่ยวไปกับร่างแกร่งที่เพิ่มแรงเข้าใส่ เสียงเนื้อ

กระทบเนื้อดังแว่วไปมาพร้อมพากันหอบหายใจหนักหน่วงเมื่อร่างกายเริ่มใกล้แตะขอบหฤหรรษ์


               “ฮึก ฮึก อา อัคคี”


               “โอ ซี้ด อินทัช”


               แม้ว่าโลกนี้จะถล่มทลายลงในบัดดลแต่ทว่าทั้งคู่คงไม่อาจสนใจได้ เพราะตอนนี้ต่างพากันสุขสมอยู่ซึ่งกันจน

ลืมเรื่องราวทุกอย่างไปแล้ว


                               ---------------โปรดติดตามตอนต่อไป-------------------



              กระซิกๆ หายไปนาน ลืมเจ้าชายกับโจรป่ากันหรือยังคะ

คนแต่งมัวแต่ทำต้นฉบับ น้ำใสของผมฯ กับเกมพิศวาสฯ อยู่ ก็เลยไม่ได้แต่งเลย

แต่ตอนนี้กลับมาแล้ว มิตรรักนักอ่านอย่าลืมอุดหนุนนิยายที่อิช้ันขายอยู่นะคะ

หมดเขต 7 ตุลาคมเด้อจ้า
หัวข้อ: Re: บัลลังก์รักใต้เงาแค้น บทที่ 7 [ 02 / 10 / 58 ]
เริ่มหัวข้อโดย: boboman ที่ 02-10-2015 22:21:30
จิ้มจึกๆ ก่อน
ตอนนี้มัน... -.,-//
สองคู่ชู้ชื่นนี่ร้อนแรงกันจริงเชียว
หัวข้อ: Re: บัลลังก์รักใต้เงาแค้น บทที่ 7 [ 02 / 10 / 58 ]
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 02-10-2015 22:23:10
นี่ตบจูบของแท้เลย
อีกฝ่ายก็ออกแนวทาสรักเบาๆ
รอวันที่จะสะสางความแค้น.  :mew1:
หัวข้อ: Re: บัลลังก์รักใต้เงาแค้น บทที่ 7 [ 02 / 10 / 58 ] บทนี้ยกให้กับสาวก Twincest
เริ่มหัวข้อโดย: SOO2 ที่ 03-10-2015 01:49:13
เพลานี้มีเพียงเรา อุก! :m25:
หัวข้อ: Re: บัลลังก์รักใต้เงาแค้น บทที่ 7 [ 02 / 10 / 58 ] บทนี้ยกให้กับสาวก Twincest
เริ่มหัวข้อโดย: kms ที่ 03-10-2015 04:46:12
โอ้ยยยย คู่ฟ้าฟื้นก็น่าจะแซ่บบบบบบบ
ชอบบบบบบ
รอตลอด มาต่อไวไวนะคะ
หัวข้อ: Re: บัลลังก์รักใต้เงาแค้น บทที่ 7 [ 02 / 10 / 58 ] บทนี้ยกให้กับสาวก Twincest
เริ่มหัวข้อโดย: Noeynoey ที่ 03-10-2015 11:26:53
ตอนนี้นี่แบบ   :haun4:
เค้าละช๊อบชอบ
หัวข้อ: Re: บัลลังก์รักใต้เงาแค้น บทที่ 7 [ 02 / 10 / 58 ] บทนี้ยกให้กับสาวก Twincest
เริ่มหัวข้อโดย: kun ที่ 03-10-2015 12:36:41
ช่างรุนแรงและอ่อนโยนในเวลาเดียวกัน สุดยอดดดด
จมกองเลือดแปป
หัวข้อ: Re: บัลลังก์รักใต้เงาแค้น บทที่ 7 [ 02 / 10 / 58 ] บทนี้ยกให้กับสาวก Twincest
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 03-10-2015 22:06:16
หืม ถึงขั้นลืมโลกกันเลยเหรอ
หัวข้อ: Re: บัลลังก์รักใต้เงาแค้น บทที่ 7 [ 02 / 10 / 58 ] บทนี้ยกให้กับสาวก Twincest
เริ่มหัวข้อโดย: am_am ที่ 04-10-2015 16:37:53
กรี๊ดดดดดดดดด ฟินสุด ๆ อ่ะ  :impress2:
หัวข้อ: Re: บัลลังก์รักใต้เงาแค้น บทที่ 7 [ 02 / 10 / 58 ] บทนี้ยกให้กับสาวก Twincest
เริ่มหัวข้อโดย: nunda ที่ 10-10-2015 06:43:14
สงสารอินทัชจัง ไอ่อัคคีใจร้าย ฮึ่ย!!!
หัวข้อ: Re: บัลลังก์รักใต้เงาแค้น บทที่ 7 [ 02 / 10 / 58 ] บทนี้ยกให้กับสาวก Twincest
เริ่มหัวข้อโดย: kms ที่ 12-10-2015 02:16:35
รอๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: บัลลังก์รักใต้เงาแค้น บทที่ 7 [ 02 / 10 / 58 ] บทนี้ยกให้กับสาวก Twincest
เริ่มหัวข้อโดย: lolata ที่ 12-10-2015 06:52:05
เกลียดตัวกินไข่กันจริงๆ สองคนนี้
หัวข้อ: บัลลังก์รักใต้เงาแค้น บทที่ 8 [ 22 / 10 / 58 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Belove ที่ 22-10-2015 00:07:07


                                                   บัลลังก์รักใต้เงาแค้น

                                                            บทที่  8               


               มือเรียวที่เคยนุ่มบัดนี้แข็งสากเพราะทำงานหนัก ร่างสูงโปร่งของบัวกำลังขมีขมันกับการแยกเมล็ดพันธุ์พืชใน

กระจาดเพื่อจะนำไปให้คนในหุบผากาฬได้ปลูกมันต่อไป เขาเพลิดเพลินจนกระทั่งชะงักเพราะเศษผ้าสีมอแสนเก่าที่พัน

อยู่โคนนิ้วนางหลุดลุ่ยลงมา ดวงตาที่เหลือเพียงข้างเดียวเพ่งมองมันพลางขมวดคิ้วโก่งก่อนจะดึงเศษผ้าออกช้าๆ

               เศษผ้าหลุดออกไปหมดแล้วเผยให้เห็นสิ่งที่แอบซ่อนอยู่บนนิ้วของเขามาเนิ่นนาน มันเป็นแหวนแสนสวย

ประดับด้วยเพชรน้ำงามที่ผ่านการเจียรนัยเป็นอย่างดี เปลือกตาของบัวกระพริบถี่เพื่อขับไล่หยดน้ำที่คลออยู่เต็มหน่วยตา

เขาถอดมันออกมาเพ่งมองด้วยความเจ็บช้ำ

               ยี่สิบปีแล้วสินะ ยี่สิบปีแห่งความเจ็บช้ำ แต่ก็เป็นยี่สิบปีที่เขายังทนเก็บแหวนวงนี้ไว้กับตัวเพียงเพราะคนที่ให้

มันมายังคงวนเวียนอยู่ในหัวใจของเขา ทั้งรักทั้งชังจนไม่อาจลืมเลือน

               น้ำตาหยดหนึ่งเกลือกกลิ้งและร่วงลงมาแตะต้องแหวนวงนั้น ภาพแห่งความหลังค่อยๆฉายชัดขึ้นมาในความ

ทรงจำราวกับเรื่องทั้งหมดเพิ่งจะเกิดขึ้นไม่นานมานี้เอง








               “โกมุท”


               สุรเสียงดังกังวานของเจ้าชายอาทิตยวงศ์ศตรัศม์รัชทายาทแห่งเมืองรัตนปุระนครในวัยสิบเก้าชันษาทำให้

โกมุทต้องวางหนังสือเล่มใหญ่หนาลงแล้วหันไปมองวรกายสูงที่ก้าวพระบาทเข้ามาหา


               “ทรงโดดเรียนอีกแล้ว ท่านอาจารย์เดวิดบ่นจนหูของหม่อมฉันแทบไหม้”


               แม้จะต่อว่าแต่ด้วยน้ำเสียงนุ่มชวนฟังจึงไม่ได้ทำให้เจ้าชายแห่งรัตนปุระนครเกรงกลัวเลยสักนิด ยิ่งประกอบ

กับใบหน้าอ่อนโยนที่มีแต่รอยยิ้มส่งมาเจ้าชายอาทิตยวงศ์ก็ยิ่งไม่รู้สึกรู้สากับคำต่อว่า ทรงมองใบหน้าเรียวผุดผาดที่มี

เครื่องหน้างดงามอย่างไม่เคยนึกเบื่อแม้ว่าพระองค์และโกมุทจะรู้จักกันมาตั้งแต่แรกเกิดแล้วก็ตาม


               “เราเบื่อ ทำไมต้องเรียนด้วยไอ้ประวัติศาสตร์ชนชาติตะวันตกเนี่ย”


               โกมุทยิ้มขำกับท่าทีเอาแต่พระทัยเหมือนเมื่อครั้งยังเป็นเด็กน้อย จนแม้กลายเป็นเจ้าชายรัชทายาทแล้วก็ยัง

ไม่วายดื้อดึงโดยเฉพาะเวลาอยู่กับเขา


               “เรียนเพื่อให้รู้ว่าอดีตเป็นเช่นไร และพระองค์จะจัดการเช่นไรหากเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นในอนาคต”


               “เฮ้อ”


               ทรงทิ้งตัวไปกับโต๊ะที่เต็มไปด้วยกองหนังสือของโกมุทด้วยพระพักตร์เบื่อหน่าย


               “อดีตคืออดีต มันจะเอามาใช้ตัดสินเหตุการณ์ภายหน้าได้ยังไรหากองค์ประกอบต่างกัน โกมุท”


               ใบหน้างดงามกว่าบุรุษอื่นผินหน้าไปมองพลางคลี่ยิ้ม


               “ทรงเรียกหม่อมฉันด้วยชื่ออีกแล้ว เมื่อไหร่จะทรงเรียกหม่อมฉันว่าน้าเสียทีพะย่ะค่ะ”


               “ให้เราเรียกเจ้าว่าน้า เฮอะ ไม่ล่ะ เราไม่เรียกคนที่อายุมากกว่าเราแค่สามปีว่าน้าหรอกนะ”


               โกมุทส่ายหน้าด้วยความระอาแต่ก็ไม่เคยจัดการกับความดื้อรั้นของเจ้าชายอาทิตยวงศ์ได้เสียทีถึงแม้ว่า

พระองค์จะทรงเป็นหลานน้าแท้ๆของเขาก็ตาม

               บิดาของโกมุทคืออัครเสนาบดีเกริกซึ่งมีบุตรอยู่สองคนคือบุตรหญิงนามกุสุมาและบุตรชายคือโกมุท บุตรทั้งคู่

อายุห่างกันถึงสิบห้าปีในตอนนั้นเสนาบดีเกริกคิดว่าเขาจะไม่มีลูกคนที่สองเสียแล้ว และเป็นเพราะความงดงามฉลาด

เฉลียวของกุสุมาบุตรีเพียงคนเดียวของเสนาบดีเกริกทำให้เจ้าฟ้าเอกทัศน์วัฒนาในวัยหนุ่มใหญ่โปรดปรานจนจัดพิธีอภิ

เศกและแต่งตั้งให้กุสุมเป็นเจ้านางของพระองค์

               และเมื่อเจ้านางกุสุมามีพระประสูติกาลเจ้าชายองค์แรกให้เจ้าฟ้าเอกทัศน์โกมุทเพิ่งจะมีอายุครบสามขวบปี

เท่านั้น โกมุทยังจำได้แม้จะยังเยาว์เมื่อเขาเดินเตาะแตะไปหาพี่สาวที่ยังอยู่ไฟ เขาก้มลงมองเด็กน้อยที่อยู่ข้างกายพี่สาว


               “โกมุท จับมือหลานสิจ๊ะ”


               เจ้านางกุสุมาที่มีใบหน้างดงามแม้จะยังอ่อนเพลียแย้มสรวลก่อนจะจับมือของเขาให้มาแตะที่นิ้วน้อยๆของเด็ก

ตัวจิ๋วกว่าเขาเสียอีก


               “หลานของโกมุทนะ ชื่ออาทิตย์”


               อาทิตย์


               โกมุทจารึกชื่อทารกน้อยไว้ในใจของเขา และตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาโกมุทก็มีหน้าที่พิเศษเพิ่มมาอีกอย่างหนึ่งคือ

ช่วยเจ้านางกุสุมาเลี้ยงเจ้าชายอาทิตยวงศ์ แม้ว่าทั้งคู่จะเจริญเติบโตขึ้นตามวัยหากแต่เพียงคนเดียวที่เจ้าชายแห่งรัตน

ปุระนครจะยอมให้ก็คือโกมุทพระมาตุจฉาของพระองค์นั่นเอง

               ภาพเจ้าชายตัวน้อยเดินตามเด็กชายวัยไม่ห่างกันนักวิ่งเล่นทั่ววังเป็นภาพที่ทุกคนเห็นจนเจนตาแม้ว่าโกมุทจะ

เป็นเด็กที่ชอบร่ำเรียนและอ่านหนังสือมากกว่าแต่เมื่อเจ้าชายน้อยมาชักชวนให้ไปเล่นโกมุทก็ไม่เคยขัด และเมื่อเจ้าชาย

ทรงดื้อขึ้นมาเพียงแค่โกมุททำหน้าขรึมและเรียกชื่อพระองค์ว่าอาทิตย์ ก็จะทรงหยุดดื้อและหันมาทำพักตร์สลดใส่ทันที


               “โกมุทอย่าดุสิ”


               “ก็อย่าดื้อนักสิพะย่ะค่ะ หม่อมฉันขี้เกียจวิ่งไล่ตามพระองค์แล้ว”


               “โธ่ อย่าพูดอย่างนั้นสิ”


               เจ้าชายอาทิตยวงศ์ในวัยเยาว์ตัวป้อมแก้มยุ้ยโผเข้ากอดผู้เป็นน้าที่รูปร่างเริ่มยืดสูงขึ้น เจ้าชายน้อยโน้มคอ

โกมุทมาจูบที่แก้มดังฟอด


               “เรารักโกมุทคนเดียว โกมุทอย่าโกรธเราเลยนะ”


               โกมุทอดยิ้มไม่ได้ หลังจากนั้นแล้วก็ต้องยินยอมตามพระทัยเพราะวาจาหวานที่เจ้าชายอาทิตยวงศ์ออดอ้อน

และเหตุการณ์ก็ยังเป็นเช่นนั้นแม้ว่าจะเจริญพระชนมายุมาจนเป็นเจ้าชายที่แสนสง่างามเช่นนี้ แต่กับโกมุทเจ้าชาย

อาทิตยวงศ์ก็ยังปฏิบัติพระองค์เช่นเดิม

               โกมุทมองพระพักตร์คมเข้มพระขนงดกดำที่ขมวดเพราะถูกขัดใจ พระนาสิกโด่งได้รูปทำให้พระพักตร์ของเจ้า

ชายอาทิตยวงศ์ทรงเลื่องชื่อจนกลายเป็นที่หมายปองของหญิงงามทั้งหลาย


               “อย่าทรงลืมว่าพระองค์เป็นหลานของหม่อมฉันแม้ว่าพระองค์จะอายุน้อยกว่าเพียงสามปี”


               “อะไรๆก็อายุน้อยกว่า เจ้าทำอะไรเก่งกว่าเราบ้างโกมุท อย่างมากก็แค่เรียนเก่งกว่า ยิงธนูเก่งกว่า อย่างอื่น

เราเก่งกว่าเจ้าทุกอย่าง ก็ได้ ท่านน้า ท่านน้า ท่านน้า พอใจหรือยัง”


               “อาทิตย์”


               เอ่ยเสียงดุปรามออกไปจนเจ้าชายอาทิตยวงศ์ต้องทรงหยุดตรัส


               “โธ่ โกมุทอย่าโกรธนะ เราขอโทษ”


               ทรงลุกจากท่าประทับนั่งแล้วก้าวเข้ามาโน้มกายลงประทับพระโอษฐ์เข้ากับแก้มของโกมุทอย่างรวดเร็ว

โกมุทสะดุ้งใบหน้าร้อนเห่อแดงเรื่อ


               “อาทิตย์ เราทั้งคู่ไม่ใช่เด็กแล้วนะเลิกหอมแก้มเสียที”


               “ก็แก้มเจ้าหอมนี่ หอมนิดเดียวจะเป็นไรกัน”


               บรรยากาศเป็นกันเองสูญเสียไปทันทีเมื่อทหารมหาดเล็กนายหนึ่งวิ่งเข้ามาทำความเคารพด้วยท่าทีตื่นตกใจ


               “พระอาญาไม่พ้นเกล้า บัดนี้เจ้าฟ้าเอกทัศน์ทรงประชวรหนักพะย่ะค่ะ”
               





               ด้วยประชวรเพราะพระหทัยอ่อนแออยู่แล้ว เมื่อเกิดอาการกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดพระอาการจึงรวดเร็วจน

ยากจะคาดคิด เจ้าชายอาทิตยวงศ์ทรงกระหืดกระหอบเข้ามายังที่ประทับแห่งเจ้าฟ้ารัตนปุระนคร ทรงเห็นเจ้านางกุสุมา

ประทับอยู่ข้างแท่นบรรทมในขณะที่เจ้าฟ้าเอกทัศน์พักตร์ซีดเผือด


               “พระบิดา”


               ทรงก้าวเข้าไปอย่างตกพระทัยในเหตุการร้ายแรง เจ้านางกุสุมาประทับนิ่งเงียบจนเมื่อเห็นราชโอรสจึงได้มีน้ำ

พระเนตรคลอหน่วย


               “อาทิตย์”


               ฝ่าพระหัตถ์อ่อนแรงวางลงบนพระเศียรของเจ้าชายอาทิตยวงศ์ที่กัดพระทนต์กลั้นเสียงสะอื้นดวงเนตรแดงช้ำ


               “จงเป็นกษัตริย์ที่ดี ปกครองแผ่นดินด้วยทศพิธราชธรรม”


               “พะย่ะค่ะ พระบิดา”


               ราวกับทรงรอคอยพระราชโอรส พระอัสสาสะแผ่วเบาลงเรื่อยๆจนกระทั่งหยุดนิ่งเมื่อหมอหลวงรีบตรวจ

ร่างกายแล้วหันกลับมาส่ายหน้า เสียงร่ำไห้จึงระงมไปทั่วก่อนที่จะได้ยินเสียงเป่าแตรแจ้งข่าวร้ายว่าบัดนี้ เจ้าฟ้าเอกทัศน์

วัฒนาได้สวรรคตแล้ว

               แม้แต่เจ้านางกุสุมาก็ยังลุกขึ้นมาทั้งที่น้ำพระเนตรนอง ทุกคนค้อมคำนับอย่างพร้อมเพรียง


               “ถวายบังคมเจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ศตรัศม์แห่งรัตนปุระนคร”
               




               เมื่อได้อยู่เพียงลำพังในห้องบรรทมหลังจากจัดการเรื่องการสวรรคตของพระราชบิดาในเบื้องต้นแล้ว เจ้าฟ้า

องค์ใหม่จึงได้ถอนพระปัสสาสะออกมาพร้อมกับปิดพระเนตรเพื่อกลั้นความโทมนัสไว้ เสียงเปิดประตูเรียกสติให้พระองค์

มองไปยังร่างสูงโปร่งของคนที่ก้าวเข้ามาหยุดยืนใกล้ๆ


               “เจ้าฟ้า”


               “โกมุท ได้โปรด”


               ต้องแสดงความเข้มแข็งในฐานะรัชทายาทและกษัตริย์พระองค์ใหม่จนต้องเก็บงำความเศร้าเอาใจ จนกระทั่ง

บัดนี้ความอดทนจึงหมดลงไปแล้ว


               “เราขอแค่เวลานี้เท่านั้นโกมุท”


               “โธ่ อาทิตย์”


               โกมุทน้ำตาซึมด้วยความสงสาร เขาก้าวเข้าไปวางมือไปบนพระอังสาสั่นสะท้านแล้วโอบกอดไว้ เจ้าฟ้า

อาทิตยวงศ์ทรงกลั้นอารมณ์ไม่ไหวอีกต่อไป น้ำพระเนตรจึงหลั่งไหลออกมา


               “อยู่ข้างๆเรา ได้โปรด”


               โกมุทเองก็สะเทือนใจไม่น้อยหลังจากเพิ่งไปปลอบโยนเจ้านางกุสุมาผู้เป็นพี่สาว และตอนนี้เขาต้องประคับ

ประคองเจ้าฟ้าคนใหม่ที่มีวัยเพียงสิบเก้าชันษาเอาไว้


               “เราจะอยู่เคียงข้างเจ้าไม่ไปไหน เราสัญญา”


               ลูบพระอังสาอย่างอ่อนโยนเพื่อปัดเป่าความอ่อนแอออกไป จนกระทั่งเจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ทรงคลายความโศก

เศร้าได้บ้างจึงได้เงยพักตร์สบพระเนตรกับโกมุท


               “นอนเสียเถิดอาทิตย์ พักผ่อนให้เต็มที่เมื่อตื่นขึ้นมาในวันพรุ่งนี้เจ้าจะต้องเป็นกษัตริย์ที่เข้มแข็ง”


               ประคองให้เจ้าฟ้าคนใหม่เอนวรกายไปบนแท่นพระบรรทม เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ทรงกระทำตามโดยดี เปลือก

พระเนตรคมปิดลงช้าๆ


               “โกมุท จูบเราหน่อย เหมือนที่เจ้าจูบเราเมื่อยังเล็ก”


               ตรัสทั้งที่ยังหลับพระเนตร โกมุทก้มหน้าลงไปจูบที่พระนลาฎแผ่วเบาก่อนจะขยับกาย แต่แล้วใบหน้าเรียว

กลับถูกพระหัตถ์ยึดไว้และดึงเข้าหาอีกครั้ง


               “อึก อาทิตย์”


               เปล่งเสียงอย่างยากเย็นเมื่อกลายเป็นว่ากลีบปากนุ่มถูกเจ้าฟ้าองค์ครอบครองอย่างไม่ทันตั้งตัว ความร้อน

วูบวาบแผ่ซ่านจนสติแทบจะเลอะเลือนกว่าเจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์จะยอมปล่อย ดวงตาประสานกันอย่างค้นคว้าและสับสน


               “โกมุท เราขอโทษ”


               โกมุทเม้มปากแน่น ตอนนี้หัวใจของเขาเต้นแรงเหลือเกิน โกมุทรีบยันกายขึ้นมานั่งพลางหันหน้าหนีสาย

พระเนตรของลึกล้ำคู่นั้น


               “บรรทมได้แล้วพะย่ะค่ะ พรุ่งนี้พระองค์ต้องปฏิบัติภารกิจอีกมาก”


               “โกมุท”


               หักห้ามหัวใจที่เต้นรัวเร็วแล้วลุกขึ้นก้าวออกจากห้องของเจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ โกมุทรีบกลับเข้าไปในห้องส่วน

ตัวของเขา ความสับสนในความรู้สึกก่อกวนจนเขาเกือบจะนอนไม่หลับตลอดทั้งคืน
               






               หลังจากนั้นไม่นานพิธีเถลิงถวัลย์ราชสมบัติก็เสร็จสิ้นลง เจ้าฟ้าองค์ใหม่ขึ้นครองราชอย่างเต็มภาคภูมิ

พระองค์เสด็จมาหามหาเสนาบดีเกริกผู้เป็นพระอัยกาถึงเรือน


               “ท่านตา สบายดีหรือ”


               เกริกรับเสด็จอย่างเป็นกันเอง ตอนนี้เขาก็ชราภาพมากแล้ว


               “ปวดเข่าปวดตัวไปตามเรื่องพะย่ะค่ะ นี่เจ้าฟ้ามาถึงบ้านตามีอะไรหรือเปล่า ทำไมไม่ให้ตาไปเข้าเฝ้าในวัง”


               “มาเยี่ยมท่านตาไม่ใช่เรื่องลำบากเลยนะ หลานเองก็คิดถึงตาเช่นกัน แต่มาวันนี้มีเรื่องจะปรึกษาท่านตา”


               เกริกรับฟังอย่างตั้งใจเมื่อเจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ทรงเอ่ยขึ้น


               “หลานอยากจะให้โกมุท เอ่อ ท่านน้าโกมุทไปช่วยงานหลาน”


               เกริกมุ่นคิ้วอย่างแปลกใจ


               “โกมุทงั้นหรือ น้าของเจ้าฟ้าเขาไม่ได้อยากไปเป็นอาจารย์สอนเด็กๆหรอกหรือพะย่ะค่ะ”


               “ท่านตา หลานเพิ่งจะขึ้นมารับตำแหน่งหาได้มีที่ปรึกษาข้างกาย ท่านน้าเก่งหลายเรื่องควรจะมาช่วยงาน

หลาน”


               เกริกนิ่งคิดก่อนจะพยักหน้าอย่างเห็นดีด้วย


               “ให้โกมุทไปช่วยก็ดี เจ้าฟ้าจะได้มีเพื่อนช่วยคิด”


               และนั่นเองทำให้โกมุทหมั่นไส้เจ้าฟ้าองค์ใหม่เหลือเกินเมื่อรู้ข่าว


               “หม่อมฉันไม่อยากเป็นเสนาบดี”


               “ก็ไม่ต้องเป็น”


               เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ยักพระอังสาอย่างไม่แยแส


               “ตำแหน่งในวังมีเยอะแยะ อยากได้ตำแหน่งไหนก็เลือกเอา แต่ที่ต้องทำคือเจ้าต้องมาอยู่เคียงข้างเรา”


               รับสั่งกำกวมเรียกเลือดในกายมาเลี้ยงผิวหน้าจนร้อนซู่ ในที่สุดโกมุทก็ไม่อาจขัดกระแสรับสั่งได้ เขาต้องมา

รับงานเสนาบดีที่อายุน้อยที่สุด

               และแล้วบ้านเมืองที่เคยสงบก็กลับมีเหตุร้ายเกิดขึ้นเมื่อเมืองอุดรรังษีที่อยู่ไกลออกไปทางทิศเหนือได้ข่าวถึง

การผลัดราชสมบัติ จึงได้คิดช่วงชิงโอกาสนี้เปิดศึกตามชายแดนสร้างความเดือดร้อนจนเจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ต้องหาวิธี

แก้ไข


               “มันกะจังหวะนี้มานานแล้วเพราะพระบิดาป่วยไข้มาได้พักใหญ่ แต่ก็ไม่นึกว่าจะเหิมเกริมโจมตีรัตนปุระนครจน

ได้”


               โกมุทถอนหายใจหนักหน่วงในที่ประชุมของเสนาบดีที่มีเจ้าฟ้าแห่งรัตนปุระนครทรงเป็นประธาน


               “ส่งฑูตไปเจรจาก็ไม่เป็นผล อุดรรังษีไม่ยอมเจรจา”


               “พวกเราควรจะสู้พะย่ะค่ะ”


               เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์เองก็เห็นด้วย


               “เราต้องทำให้พวกนั้นรู้ว่ารัตนปุระนครจะไม่ปล่อยให้ใครมาลูบคมง่ายๆ”


               “แล้วใครจะคุมทัพพะย่ะค่ะ”


               โกมุทกล่าวอย่างหนักใจ เขาเองไม่อยากให้เกิดการสูญเสียทั้งสองฝ่าย


               “เราจะไปเอง”


               “เจ้าฟ้า!”


               ทุกคนในที่ประชุมตกใจกับการตัดสินพระทัยของเจ้าฟ้าองค์ใหม่ พากันห้ามปรามเซ็งแซ่แต่เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์

ทรงยืนยันคำเดิม โกมุทคิดหนักก่อนจะกล่าวออกมา


               “ถ้าเช่นนั้น หม่อมฉันจะตามไปกับพระองค์ด้วย”






                                               โปรดติดตามตอนต่อไป



         คริคริ สาย Incest น้าหลานก็มาแถมเคะยังอายุมากกว่าด้วยสินะ  :hao3: :hao3: :hao3:
               
               
หัวข้อ: Re: บัลลังก์รักใต้เงาแค้น บทที่ 8 [ 22 / 10 / 58 ]
เริ่มหัวข้อโดย: nunda ที่ 22-10-2015 06:31:26
แล้วพ่อสมิงของเค้าล่ะ (T_T)
หัวข้อ: Re: บัลลังก์รักใต้เงาแค้น บทที่ 8 [ 22 / 10 / 58 ]
เริ่มหัวข้อโดย: boboman ที่ 22-10-2015 19:26:11
นั่นจิ เชียร์สมิงงง TOT
หัวข้อ: Re: บัลลังก์รักใต้เงาแค้น บทที่ 8 [ 22 / 10 / 58 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Nus@nT@R@ ที่ 24-10-2015 10:20:57
รุ่นใหญ่เนี่ยรักสามเศร้าเหรอ.....สงสารสมิง :(
หัวข้อ: Re: บัลลังก์รักใต้เงาแค้น บทที่ 8 [ 22 / 10 / 58 ]
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 24-10-2015 11:09:11
รอตอนต่อไป :pig4:
หัวข้อ: Re: บัลลังก์รักใต้เงาแค้น บทที่ 8 [ 22 / 10 / 58 ]
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 24-10-2015 15:02:57
 :mew1:
หัวข้อ: Re: บัลลังก์รักใต้เงาแค้น บทที่ 8 [ 22 / 10 / 58 ]
เริ่มหัวข้อโดย: kun ที่ 24-10-2015 15:05:24
แต่ปัจจุบัน ไม่ง่ายแล้วน่ะ 3P ลงตัวน่ะ อิอิ
หัวข้อ: Re: บัลลังก์รักใต้เงาแค้น บทที่ 8 [ 22 / 10 / 58 ]
เริ่มหัวข้อโดย: boonpa ที่ 24-10-2015 15:26:44
 :mew1: รอตอนต่อไปจ้า
หัวข้อ: Re: บัลลังก์รักใต้เงาแค้น บทที่ 8 [ 22 / 10 / 58 ]
เริ่มหัวข้อโดย: neverland ที่ 24-10-2015 18:23:28
เหยยย เรื่องราวยุ่งเหยิงมาก เหมือนเอาเชือกมาขยุ้มจนเป็นปมที่แกะไม่ออก  :katai1:
หัวข้อ: Re: บัลลังก์รักใต้เงาแค้น บทที่ 8 [ 22 / 10 / 58 ]
เริ่มหัวข้อโดย: kms ที่ 27-10-2015 01:24:29
กรี๊ดดดดดดด ชอบคู่คุณพ่อสุดดดดด
ขอ3p 5555555
อยากรู้เกิดอะไรขึ้นนน
มาต่อไวไวนะคะ
หัวข้อ: บัลลังก์รักใต้เงาแค้น บทที่ 9.1 [ 01 / 11 / 58 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Belove ที่ 01-11-2015 14:55:10


                                                            บัลลังก์รักใต้เงาแค้น

                                                                   บทที่  9.1


               การศึกไม่ได้แก้ปัญหาง่ายอย่างที่คิดแม้ว่าเจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์จะเสด็จประพาสไปพำนัก ณ ขอบชายแดนด้าน

ที่มีพื้นที่ติดพันกับอุดรรังษีเมื่อเจ้าชายวัชรศรซึ่งเป็นเจ้าชายรัชทายาทแห่งอุดรรังษีเป็นผู้นิยมการต่อสู้ และเมื่อกษัตริย์ผู้

เป็นราชบิดาให้ท้ายในการแอบโจมตีรัตนปุระนครเจ้าชายวัศรศรยิ่งไม่ยอมรามือ

               เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์พำนักอยู่ในที่พักสร้างเป็นกระโจมไม่ต่างจากนายทหารคนอื่นเพียงแต่อาจจะมีพื้นที่

มากกว่าเพราะต้องแบ่งพื้นที่สำหรับประชุมการรบไว้ทางด้านหน้าและมีบังตาเข้าไปสู่แท่นพระบรรทมด้านใน ทรงปฏิบัติ

ตัวเรียบง่ายในสมรภูมิสร้างความชื่นชมให้แก่เหล่าทหารใหญ่น้อยที่เจ้าฟ้าของตนมาเป็นขวัญกำลังใจถึงชายแดน การสู้

รบดำเนินมาราวเดือนเศษแล้ว จนเหล่าทหารเริ่มจะอ่อนล้าและเจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์เองก็ตึงเครียดมากขึ้นทุกที


               “มันอาศัยซุ่มโจมตีอยู่ตามหมู่บ้านตะเข็บชายแดน สร้างความเดือดร้อนให้แก่ชาวบ้าน ช่างเลวสิ้นดี”


               ตรัสด้วยความขุ่นเคืองท่ามกลางนายทหารที่เข้าเฝ้าเพื่อปรึกษาหารือการยุทธ


               “มันอาศัยวิธีนี้ทำลายเสบียงของเราลงจนร่อยหรอพะย่ะค่ะ”


               นายทหารอาวุโสท่าหนึ่งก็หนักใจไม่น้อย โกมุทที่ยืนฟังอยู่เอ่ยปากขึ้นด้วยใบหน้าครุ่นคิด


               “เราอาจจะต้องหาพันธมิตรมาช่วย”


               “ว่าไงนะ”


               เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ทรงหันไปหาที่ปรึกษาคู่ใจกับความคิดนั้น


               “พันธมิตรงั้นหรือโกมุท”


               “พะย่ะค่ะ  ศัตรูของศัตรูคือเพื่อน หม่อมฉันได้ยินมาว่าเมืองเหมราชที่อยู่ไม่ห่างจากเรานักและมีเขตชายแดน

เชื่อมกับอุดรรังษีก็มีปัญหาการสู้รบไม่ต่างจากเรานัก หากรัตนปุระนครได้เมื่อเหมราชมาเป็นพันธมิตร คิดว่าอุดรรังษีเองก็

ไม่น่าต้านทานได้”


               เสียงพูดคุยดังเซ็งแซ่อยู่ในวงประชุมจนเจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ต้องยกหัตถ์ขึ้นห้ามไว้


               “ความคิดของท่านโกมุทเข้าทีมาก เราลืมคิดถึงความร่วมมือกับเมืองที่เดือดร้อนเช่นเรา”


               เสนาบดีฝ่ายการทหารพยักหน้าเห็นพ้อง เขาหันไปมองโกมุทอย่างชื่นชม


               “ท่านโกมุทช่างฉลาดหลักแหลมสมกับคำร่ำลือ มิเสียแรงที่เป็นบุตรของท่านเกริก นี่ถ้าหากกระผมมีบุตรสาว

คงจะรีบยกให้ท่านโกมุทเสียตั้งแต่เพลานี้”


               โกมุทคลี่ยิ้มพลางค้อมศีรษะรับคำชื่นชมนั้น


               “กระผมเพียงแค่ใช้วิธีอย่างในตำราประวัติศาสตร์ที่ได้ร่ำเรียนมาเท่านั้นขอรับ หาได้ฉลาดอย่างที่ท่านลุง

ชื่นชมเลย”


               “นอกจากเก่งแล้วยังถ่อมตนอีกจะหาคนดีพร้อมเช่นท่านโกมุทได้ที่ไหนกันเล่า นี่กระผมมีหลานสาวอยู่คน

หนึ่งถ้าท่านโกมุทไม่รังเกียจ...”


               “นี่ไม่ใช่เวลามาจับคู่คลุมถุงชน”


               สุรเสียงเข้มดังขึ้นพร้อมพระพักตร์บึ้งตึงขัดจังหวะจนการสนทนาหยุดลง เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ทอดพระเนตรพระ

มาตุลาจนโกมุทนึกเสียวสันหลัง


               “ตกลงตามที่โกมุทพูด เตรียมเรื่องไปเจรจากับเหมราชให้เร็วที่สุดแล้วก็เลิกประชุมกันได้แล้ว ข้าจะพักผ่อน”


               วงประชุมแตกทันทีเมื่อเจ้าเหนือหัวพระพักตร์ดุโดยไม่ทราบสาเหตุ โกมุทลอบมองพักตร์คมพลางถอนหายใจ

เฮือกพร้อมเตรียมก้าวเท้าออกจากที่พักของเจ้าฟ้าเป็นคนสุดท้าย


               “เดี๋ยว โกมุท เจ้าจะไปไหน”


               ใบหน้างดงามหันกลับมามองหลานชายผู้สูงศักดิ์อย่างไม่เข้าใจในพายุอารมณ์นั้น


               “ก็พระองค์จะพักผ่อน หม่อมฉันก็ไม่บังอาจรบกวนพะย่ะค่ะ”


               น้ำเสียงราบเรียบของพระมาตุลายิ่งทำให้เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ทรงหงุดหงิดยิ่งกว่าเดิม


               “เดี๋ยวนี้ไม่เห็นเราอยู่ในสายตาแล้วใช่ไหม พอได้เป็นเสนาบดีคนดังที่อยากจะมีแต่คนยกลูกสาวหลานสาวให้

ก็ไม่เห็นค่าของเราแล้วงั้นสิ”


               คราวนี้โกมุทเลยงงจริงๆ เขาไม่เข้าใจว่าเจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ไปเสวยรังแตนมาจากไหนถึงได้พาลไปทั่วขนาดนี้


               “พระองค์คงจะเครียดจากการกรำศึกมาเป็นเวลานาน ถึงได้ทอดพระเนตรสิ่งใดก็ไม่โปรด หม่อมฉันคิดว่า

พระองค์ควรจะเปลี่ยนพระอิริยาบทไป...”


               “เลิกคิดแทนเราเสียที เราคิดอะไรเองได้”


               โกมุทกัดปากนิ่งอึ้งเมื่อได้ยินสุรเสียงดุดันราวกับตวาดออกมาจากโอษฐ์ของเจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ ทั้งที่เขาไม่

เคยได้ยินมาเลยตั้งแต่เกิด ดวงตาหวานช้อนมองอย่างนึกน้อยใจจนขอบตาร้อนผ่าว


               “ขอพระราชทานอภัย หม่อมฉันลืมไปว่าพระองค์กลายเป็นเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินเหนือผู้คนทั้งปวงแล้ว มิบังควรที่

หม่อมฉันจะเอ่ยวาจาไม่บังควร หม่อมฉันทูลลา”


               “โกมุท!”


               หยาดน้ำที่คลออยู่ในหน่วยตาหวานเรียกสติกลับคืนมาสู่เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ พลันร่างกายสูงโปร่งหันหลังให้

แล้วสืบเท้าก้าวเดินหนีไปที่ทางออกเจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ก็ทรงก้าวพระบาทเข้าไปแล้วดึงท่อนแขนเรียวของโกมุทให้หัน

ร่างคืนสู่อ้อมกอดของพระองค์

               นิ่งงันราวกับโลกจะหยุดหมุนเมื่อทรงโอบกอดโกมุทไว้ในวงแขน โกมุทยืนนิ่งแทบจะลืมหายใจกว่าจะกล้าเงย

หน้าประสานสายตากับพระเนตรคมที่จ้องมองมา ความสนิทสนมที่อยู่ด้วยกันมานานทำให้เขาลืมสังเกตว่าเจ้าฟ้าอาทิตย

วงศ์ทรงมีพระวรกายยืดสูงกว่าพระองค์ตั้งแต่เมื่อไหร่ จนกระทั่งได้ยืนนิ่งอยู่ในอ้อมกอดจึงได้รู้ว่าบัดนี้ผู้เป็นหลานชาย

แท้ๆกลับสูงกว่าเขาไปแล้วเป็นคืบ




                                                                TBC



เวลาน้อย แต่งตุนไว้ก่อน
 :z13: :z13:                
หัวข้อ: Re: บัลลังก์รักใต้เงาแค้น บทที่ 9.1 [ 01 / 11 / 58 ]
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 01-11-2015 14:59:12
 :L1:    ขอบคุณค่ะ

หัวข้อ: Re: บัลลังก์รักใต้เงาแค้น บทที่ 9.1 [ 01 / 11 / 58 ]
เริ่มหัวข้อโดย: kms ที่ 01-11-2015 16:31:33
อ๊ากกกกกกกค้างสุดดดดดดดดดดด
ขอให้คู่พ่อจบสามพีนะคะๆๆ
หัวข้อ: Re: บัลลังก์รักใต้เงาแค้น บทที่ 9.1 [ 01 / 11 / 58 ]
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 01-11-2015 18:12:47
หาพันธมิตรให้บ้านเมือง พ่วงด้วยหาคู่มาให้คนรักตัวเองโดยไม่ได้ตั้งใจ???? :pig4:
หัวข้อ: Re: บัลลังก์รักใต้เงาแค้น บทที่ 9.1 [ 01 / 11 / 58 ]
เริ่มหัวข้อโดย: kun ที่ 01-11-2015 18:39:12
ค้างอ่ะ กอดแล้วยังไงต่อๆๆๆ
ลุ้นรุ่นพ่อมากเลยอ่ะตอนนี้
หัวข้อ: Re: บัลลังก์รักใต้เงาแค้น บทที่ 9.1 [ 01 / 11 / 58 ]
เริ่มหัวข้อโดย: boboman ที่ 01-11-2015 19:34:25
สมิงเค้าล่ะะะ T^T
เชียร์สมิงงง เราชอบเถื่อนๆ 555
หัวข้อ: Re: บัลลังก์รักใต้เงาแค้น บทที่ 9.1 [ 01 / 11 / 58 ]
เริ่มหัวข้อโดย: nunda ที่ 01-11-2015 23:39:32
หาพันธมิตรนี่ ใช่ที่จะได้แม่ของอินทัช ใช่ม๊ายยยย
หัวข้อ: Re: บัลลังก์รักใต้เงาแค้น บทที่ 9.1 [ 01 / 11 / 58 ]
เริ่มหัวข้อโดย: kms ที่ 02-11-2015 01:00:37
รอๆๆๆๆๆคู่พ่อต่ออออ
หัวข้อ: บัลลังก์รักใต้เงาแค้น บทที่ 9.2 [ 02 / 11 / 58 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Belove ที่ 02-11-2015 14:15:58


                                             บัลลังก์รักใต้เงาแค้น
                                                   
                                                     บทที่  9.2
     

                "เจ้าฟ้า...”


               “อาทิตย์ เราคืออาทิตย์ของเจ้า”


               ทรงแก้ไขคำพูดด้วยน้ำเสียงออดอ้อน พระหัตถ์ที่วางแนบอยู่เหนือบั้นเอวขยับรั้งโกมุทให้ยิ่งใกล้ชิดจนรับรู้ถึง

ลมหายใจอุ่นๆ


               “ปล่อยหม่อมฉันเถิด”


               โกมุทเอ่ยเตือนด้วยหัวใจหวิวไหว อ้อมกอดของหลานชายที่เป็นถึงเจ้าฟ้าในคราวนี้ช่างแตกต่างจากการกอด

รัดในวัยเยาว์ ความรู้สึกดังกล่าวกำลังทำให้เลือดในกายชายหนุ่มวิ่งพล่านไปมา


               “เจ้าเบื่ออ้อมกอดของเราเสียแล้วหรือท่านน้า”


               หยอกเย้าอยู่ใกล้ๆใบหูจนใบหน้าเนียนของโกมุทแดงก่ำอย่างยากจากจะหักห้าม มือเรียวที่วางแนบอยู่ตรง

พระอังสากว้างออกแรงผลักทั้งที่รู้ว่าไม่อาจสะเทือนแม้แต่น้อย


               “ทรงรู้อยู่แล้วว่าอะไรคือความเหมาะสมหรือไม่เหมาะสมนะพะย่ะค่ะ หากมีผู้ใดมาพบเห็นจะเสื่อมเสีย

เกียรติยศของพระองค์ได้ อุ๊บ!”


               คำตักเตือนพลันหายไปทันทีเมื่อกลีบปากช่างต่อว่าถูกอีกฝ่ายปิดมันลง โกมุทยืนตัวแข็งอยู่ในอ้อมกอด

ราวกับวิญญาณกำลังจะหลุดลอยออกจากร่างเมื่อเจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์กำลังจูบเขาอย่างหนักหน่วง ดวงตาเรียวดังเนื้อทราย

เบิกกว้างก่อนจะค่อยๆปรือปิดลงด้วยแรงอารมณ์ที่กำลังถูกชักจูงให้คล้อยตาม ร่างกายที่ฝืนหนีก็กลับโอนอ่อนและ

เผลอไผลบดเบียดแนบชิดโดยที่โกมุทไม่รู้ตัว


               เป็นนานกว่าเจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์จะยอมคืนอิสระให้เรียวปากอิ่มที่ถูกจูบจนสั่นสะท้าน ดวงตาสองคู่ประสานสบ

กันอย่างค้นคว้าและหวามไหว


               “เลิกใช้ความเหมาะสมมาห้ามเราเสียทีโกมุท เราเป็นแค่ผู้ชายธรรมดาคนหนึ่งที่อยากอยู่ใกล้คนที่เรารักก็แค่

นั้น”


               รักงั้นหรือ


               โกมุทตะลึงไปกับดำรัสของเจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ ดวงตางามที่ช้อนมองปะปนกันไปทั้งความตกใจสงสัยและหวั่น

ไหวกับคำพูดของชายสูงศักดิ์ที่เป็นหลานแท้ๆของตน เขาฝืนยิ้มออกมาอย่างยากเย็น


               “น้าหลานก็ต้องรักกันอยู่แล้ว”


               เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ทรงกัดพระโอษฐ์อย่างขัดพระทัย พระหัตถ์เลื่อนยกมาบีบที่หัวไหล่ทั้งสองข้างของโกมุท

และเขย่าจนศีรษะสั่นคลอน


               “เมื่อไหร่เจ้าจะเลิกปฏิเสธความจริงเสียที เมื่อไหร่ที่เจ้าจะรู้สักทีว่าเราเลิกมองเจ้าเป็นน้าของเรานานแล้ว หือ

โกมุท”


               “อาทิตย์”


               น้ำเสียงแผ่วเบาจนแทบจับใจความไม่ได้เมื่อได้ยินความจริงจากโอษฐ์ของเจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ หัวใจของ

โกมุทเต้นเร็วและแรงจนเกือบจะกระเด็นมานอกทรวงอก มือเรียวที่วางแนบอยู่บนอังสากว้างบีบกระชับอย่างไม่รู้ตัวเรียก

ร้องให้เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ทรงก้มพักตร์ลงไปแนบชิดจุมพิตอีกครั้ง

               จุมพิตยิ่งอ่อนหวานจนโกมุทแทบละลายลงไปกองกับพื้น ลิ้นเล็กที่พลิกหนีในคราแรกบัดนี้ตวัดตอบโต้เรียก

เสียงพึมพำอย่างถูกพระทัยและแปรเปลี่ยนจูบหวานให้กลับทวีความเร่าร้อนขึ้นเรื่อยๆ โกมุทหลับตาพริ้มพลางยกแขนขึ้น

คล้องพระศอแล้วโอบรัดเข้าหา มันทำให้เจ้าฟ้าอาทิตยวงส์หมดความยับยั้งชั่งใจลงทันที

               ทรงช้อนพระหัตถ์ตวัดเข้าใต้เข่าของพระมาตุลาแล้วอุ้มจนร่างโปร่งบางลอยขึ้นเหนือพื้นอย่างง่ายดาย เจ้าฟ้า

อาทิตยวงศ์ที่ยังจุมพิตร้อนแรงพาโกมุทเข้าไปในบังตาด้านในที่มีเพียงแท่นพระบรรทมเล็กตั้งอยู่ ทรงวางร่างนุ่มลงไป

ก่อนจะขยับวรกายขึ้นเอนนอนทาบทับ พระหัตถ์ซุกซนดึงเครื่องแต่งกายออกไปจนเหลือเพียงกายเปล่าเปลือยเบียดแนบ

ซึ่งกันจนอุ่นร้อน


               “งามเหลือเกิน น้าของเรา”


               สุรเสียงยั่วเย้าวาบหวามเมื่อทรงสละเรียวปากอิ่มเพื่อทอดพระเนตรเรือนร่างงดงามที่ทอดกายอยู่เบื้องล่าง

ร่างสูงโปร่งขาวผ่องเนียนนุ่มน่าสัมผัสไปทุกสัดส่วน ใบหน้าแดงเรื่อด้วยเลือดลมสูบฉีดพลางหลบตาต่ำอย่างขัดเขินแต่ก็

ไม่ได้ขัดขวางอีกต่อไปเมื่อเจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์จะไล่แตะต้องไปตามเนื้อนุ่มจนแม้แต่จะวางพระหัตถ์แนบไปกับแก่นกาย

งดงามพอเหมาะของเขาและนวดเฟ้นปลุกเร้าให้เขาตื่นขึ้นมาอยู่ในอุ้งหัตถ์ร้อน โอษฐ์ชื้นแตะไล้อยู่ตรงซอกคอก่อนจะ

เลื่อนกายลงมาครอบครองยอดอกสีชมพูสวยที่เต่งตูมยวนยั่ว มาถึงตอนนี้โกมุทก็ถึงกับบิดกายพล่านอยู่บนแท่นบรรทม


               “อาทิตย์ อา... พระองค์กำลังจะฆ่าหม่อมฉัน”


               น้ำเสียงสั่นพร่าตัดพ้อระคนเสียงครางหวานผะแผ่ว ดวงตาเรียวปรือฉ่ำพลางกัดปากแดงก่ำด้วยไฟแห่ง

อารมณ์ที่ทะยานขึ้นมา สองแขนโอบรัดรอบพระศอกดลงต่ำเพื่อให้วรกายหนั่นแน่นยิ่งเบียดรัดและไม่เลิกวอแวกับเม็ด

เล็กเหนือทรวงอกที่แข็งขันชูชันรอรับปลายชิวหา โกมุทกำลังทรมานไปกับความต้องการจนต้องชันขาขึ้นมาเปิดทางให้

เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์เบียดร่างสัมผัสช่องว่าง


               เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์เองก็กำลังกระเจิดกระเจิงไปกับความต้องการจนยากจะหยุดยั้ง พระชิวหากวาดไล่ดอมดม

ไปทั่วทั้งลำตัวของโกมุท ความกระหายกำลังพุ่งสูงจนปวดหนึบไปทั่วพระนาภี


               “จงเป็นของเราเถิดนะโกมุท”


               ตรัสจบประโยคพลันดันกายสอดแทรกเข้าใส่ คราแรกโกมุทถึงกับเกร็งกายรับความเจ็บปวดที่ถูกชำแรก

เข้าหา เสียงร้องดังลอดออกมาจนเจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ต้องทรงจูบปลอบขวัญ


               “อย่ากลัวอย่างเกร็งนะคนดี เรารักเจ้าโกมุท เราจะไม่ทำให้เจ้าต้องเจ็บปวด”


               พรมจูบไปบนใบหน้าชื้นเหงื่อก่อนจะหยุดที่ริมฝีปาก เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ทรงดึงความสนใจด้วยลิ้นที่ตวัดเกี่ยว

อยู่ในโพรงปากและค่อยๆดันกายเข้าไปช้าๆ เสียงร้องของความเจ็บปวดเริ่มห่างหายกลับกลายเป็นเสียงหอบหายใจ

กระเส่ายามที่พระองค์ขับเคลื่อนอยู่บนร่างกายนุ่มมือใต้ล่าง


               “อา อึก อาทิตย์ ลึกไปแล้ว”


               ร้องท้วงเมื่อทรงดันกายเข้าไปจนสุดทาง ความคับแน่นที่แสนบริสุทธิ์กำลังทำให้พระองค์หน้ามืดจนอยากจะ

เร่งเร้าให้มากกว่านี้ หากแต่เป็นเพราะไม่อยากให้โกมุทบอบช้ำจึงต้องห้ามใจเพื่อให้โกมุทได้ปรับตัวจนกระทั้งความฉ่ำ

ชื้นของช่องทางหลั่งรินออกมาช่วงลดความเจ็บปวด เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์จึงได้ยันกายขึ้นมองโกมุทอย่างพอพระทัย


               “ขึ้นสวรรค์กับเรานะโกมุท”


               ขับเคลื่อนเลื่อนเอวเข้าออกอยู่ภายในร่างกายที่แอ่นรับสอดประสานกันอย่างลงตัว โกมุทขยับเอวเปิดทาง

กว้างพลางรับแรงกระแทกเร่าร้อนด้วยความยินดี เสียงลมหายใจหอบสะท้านซ่านหัวใจเมื่อเจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์กำลังกำนัล

เขาให้ลุ่มหลงไปกับไฟรักก่อนจะพากันเกร็งกายเมื่อจูงมือกันไปสู่แดนสวรรค์
               







               “หายเจ็บหรือยังท่านน้า”


               เสียงหยอกล้อพร้อมกับสายพระเนตรฉ่ำหวานที่จ้องมองทำให้โกมุทถึงกับขัดเขินจนต้องใช้ปลายนิ้วหยิกเบาๆ

ไปบนหน้าท้องแข็งแกร่งของเจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ที่ตะแคงกายนอนอยู่เคียงข้างบนแท่นพระบรรทมเล็กในที่พักท่ามกลาง

สงครามแย่งชิงเขตแดน โกมุทกัดริมฝีปากหักห้ามความอายเมื่อถูกกอดรัดไปทั้งตัว


               “หม่อมฉันไม่มีหลานดื้อๆอย่างนี้หรอกพะย่ะค่ะ”


               เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์แสร้งร้องสูดโอษฐ์ราวกับเจ็บปวดเสียเต็มประดากับปลายนิ้วที่หยิกเนื้อลงมา พระองค์แย้ม

สรวลเมื่อเห็นโกมุทยิ่งย่นหน้างอง้ำเมื่อถูกหยอกล้อ


               “ใช่ เจ้าไม่มีหลานดื้อๆอย่างเราหรอก เพราะเจ้ามีแต่สวามี...”


               “พูดมากจริงเชียว”


               ยกมือปิดโอษฐ์ให้หยุดเสียง แต่กลับถูกดึงไปพรมจูบทั่วฝ่ามือเรียวอย่างหลงใหล เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ทรงทอด

พระเนตรโกมุทจริงจังยิ่งขึ้น


               “ขอโทษนะโกมุท ที่เราต้องบอกรักเจ้าอยู่บนเตียงเล็กๆแข็งๆและร้อนอบอ้าวเช่นนี้ ทั้งที่เราอยากจะให้เจ้ามี

ความสุขอยู่บนเตียงนุ่มมากกว่า”


               โกมุทช้อนสายตามองเจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ด้วยความรักและภักดี


               “เท่านี้ก็ดีแล้วพะย่ะค่ะ หม่อมฉันอยากให้พระองค์มีความสุข”


               “เจ้าช่างใจเย็นเหมือนชื่อของเจ้า โกมุทแปลว่าเกิดจากน้ำซึ่งมันก็คือดอกบัวใช่ไหม”


               ทรงตระกองกอดร่างนุ่มไว้กับอกเมื่อทรงยอมรับแล้วว่ารักคนที่นอนเคียงข้างมากแค่ไหน โกมุทเองก็มองตอบ

อย่างเทิดทูน


               “ดอกบัวเกิดแต่ตม หากแต่มันกลับรักแสงแดดจากดวงอาทิตย์ยิ่งชีพ หากวันไหนไร้แสงวันนั้นดอกบัวก็จะ

เหี่ยวเฉาและตายอย่างไร้คุณค่าพะย่ะค่ะ”


               มือนุ่มที่จับแต่กองหนังสือตำราเป็นหลักยกขึ้นมาลูบพระพักตร์คมของเจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ สายตาที่จับจ้องบอก

ถึงความรักและภักดีแม้แต่ยอมทอดกายให้พระองค์ในสนามรบเช่นยามนั้น


               “ไม่มีวันที่เราจะทอดทิ้งเจ้า โกมุท”


               ทรงถอดธำมรงค์วงเล็กออกจากข้อนิ้วพระหัตถ์ ธำมรงค์ที่มีเพชรงามประดับอยู่บนยอดอวดแสงสวย เจ้าฟ้า

อาทิตยวงศ์ทรงดึงมือเรียวของโกมุทแล้วบรรจงสอดแหวนเข้ากับนิ้วนางของโกมุทได้อย่างพอดีจนน่าแปลกใจ


               “โกมุท เรารักเจ้า”



               ดึงมือเรียวมาจูบแล้วไล่พรมขึ้นไปก่อนจะพาโกมุทไปสู่สวรรค์อีกครา


 



                                            โปรดติดตามตอนต่อไป

หัวข้อ: Re: บัลลังก์รักใต้เงาแค้น บทที่ 9.2 [ 02 / 11 / 58 ]
เริ่มหัวข้อโดย: sosi ที่ 02-11-2015 18:10:52
รักแล้วทำไมถึงไม่ปกป้อง :katai1:  เชียร์สมิงดีกว่า :mew1:
หัวข้อ: Re: บัลลังก์รักใต้เงาแค้น บทที่ 9.2 [ 02 / 11 / 58 ]
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 02-11-2015 18:43:01
 :o8:   น้า-หลาน
หัวข้อ: Re: บัลลังก์รักใต้เงาแค้น บทที่ 9.2 [ 02 / 11 / 58 ]
เริ่มหัวข้อโดย: nunda ที่ 02-11-2015 19:05:11
ถ้าไม่เกิดเรื่อง สองคนนี้คงจะอยู่กันได้อย่างเป็นสุข...ละมั้ง
...การเป็นเจ้าเหนือหัว แปลว่าต้องสละความสุขของตนเองเพื่อประชาทั้งปวง...
หัวข้อ: Re: บัลลังก์รักใต้เงาแค้น บทที่ 9.2 [ 02 / 11 / 58 ]
เริ่มหัวข้อโดย: kun ที่ 02-11-2015 21:01:33
แต่เหตุการณ์ก็ทำให้จากกันอ่ะ
ตอนนี้เลือกไม่ถูกเลยจะโหวตแบบไหนดีน่ะ
หัวข้อ: Re: บัลลังก์รักใต้เงาแค้น บทที่ 9.2 [ 02 / 11 / 58 ]
เริ่มหัวข้อโดย: boboman ที่ 02-11-2015 21:56:41
ไม่รู้ล่ะ เชียร์สมิงอ่ะ -^-! 555555
หัวข้อ: Re: บัลลังก์รักใต้เงาแค้น บทที่ 9.2 [ 02 / 11 / 58 ]
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 03-11-2015 02:18:32
รุ่นพ่อก็หวานกันไป :katai2-1:
หัวข้อ: Re: บัลลังก์รักใต้เงาแค้น บทที่ 9.2 [ 02 / 11 / 58 ]
เริ่มหัวข้อโดย: kms ที่ 04-11-2015 00:44:51
เลือกโหวต3พีรัวๆๆๆๆๆ
ชอบคู่คุณพ่อมากค่าาา
คิดถึงพ่อสมิงแล้วๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: บัลลังก์รักใต้เงาแค้น บทที่ 9.2 [ 02 / 11 / 58 ]
เริ่มหัวข้อโดย: kms ที่ 07-11-2015 03:15:41
รอๆๆๆๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: บัลลังก์รักใต้เงาแค้น บทที่ 9.2 [ 02 / 11 / 58 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Arzumi ที่ 11-11-2015 19:16:10
 :hao3:
หัวข้อ: บัลลังก์รักใต้เงาแค้น บทที่ 10.1 [ 11 / 11 / 58 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Belove ที่ 11-11-2015 21:37:18


                                                    บัลลังก์รักใต้เงาแค้น

                                                          บทที่  10.1


               ศึกรบยังคงโหมหนักในระหว่างจัดม้าเร็วเร่งนำสาส์นร่วมเป็นพันธมิตรไปยังเหมราช บางคราเจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์

ต้องทรงไปบัญชาการรบด้วยตนเอง ส่วนตัวโกมุทที่เป็นฝ่ายสนับสนุนคิดอยากจะช่วยเหลืองานของเจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์จึง

ได้ตัดสินใจควบม้าลาดตระเวนไปยังรอบเขตที่พักทางด้านหลังหวังจะป้องกันการลอบโจมตีจากพวกอุดรรังษี

               ร่างสูงโปร่งบังคับม้าพลางกระชับคันธนูอยู่ในมือ ดวงตาเรียวงามมองอย่างระแวดระวังไปตามต้นไม้ใหญ่น้อย

เพื่อสอดส่องภัย จนกระทั่งต้องหยุดม้าลงเมื่อได้ยินเสียงสวบสาบดังแว่วเข้าหู โกมุทโก่งคันศรให้พร้อมให้มันพุ่งออกไป


               “นั่นใคร”


               เอ่ยออกไปด้วยความหวาดหวั่น โกมุทพยายามมองหาต้นเหตุแห่งเสียงด้วยความตื่นเต้น


               สวบบบ

               พรึ่บบบ


               ทันทีที่กิ่งไม้ไหวเอนโกมุทก็ยิงลูกศรออกไปอย่างรวดเร็วไม่แพ้กัน ใจชื้นขึ้นมาเมื่อได้ยินเสียงอุทานแม้ว่ามัน

จะเบามาก เขารีบกระแทกส้นเท้าบังคับอาชาให้พุ่งตรงไปทางต้นเสียง แต่แล้วโกมุทก็ต้องตกใจเมื่อมีร่างสูงใหญ่ของคน

แปลกหน้ากระโจนลงมาใส่เขาจนร่วงลงจากหลังม้า

               ร่างทั้งสองกลิ้งไปตามพื้นจนหยุดลงในตอนที่โกมุทเป็นฝ่ายอยู่เบื้องล่าง มีดคมในมือจ่ออยู่ที่คอของโกมุท

เตรียมจะปาดลงไปหากเจ้าของมันไม่ชะงักเสียก่อน

               ดวงตาที่ซ่อนอยู่ในผ้าคลุมสีดำเบิกกว้างเมื่อเห็นใบหน้าของโกมุทชัดเจน โกมุทเองก็เบิกตามองอย่าง

ประหวั่นพรั่นพรึง หากไม่มีเสียงโห่ร้องด้วยความฮึกเหิมจากทางด้านที่มีการสู้รบดังขัดจังหวะมีดคมก็คงจะปลิดชีวิตเขา

ไปเสียแล้ว

                จู่ๆมันผู้นั้นก็ผุดลุกออกจากร่างกายของโกมุทและเร้นกายเข้าไปในป่าลึก โกมุทรีบยันกายลุกขึ้นยืนพลางถอน

ลมหายใจเมื่อผ่านช่วงแห่งความน่ากลัวไปได้ เขารีบเป่าปากเรียกอาชาคู่ใจขึ้นมาและควบมันกลับเข้าไปในค่ายพักโดย

ไม่รู้เลยว่าไม่ไกลออกไปนัก คนที่เพิ่งจะไว้ชีวิตเขาลอบมองตามจนลับตา


               “ทรงบาดเจ็บ”


               บุคคลที่ยืนเบื้องหลังกล่าวขึ้นเมื่อเห็นรอยธนูถากที่ต้นแขนจนเลือดซิบ


               “ไกลหัวใจ”


               น้ำเสียงเย่อหยิ่งกำแหงดังมาจากคนผู้นั้นเมื่อก้มมองบาดแผลที่เกิดขึ้นจากบุรุษผู้มีใบหน้าอันงดงาม เขาดึง

ผ้าคลุมหน้าตนเองออกเผยให้เห็นรอยยิ้มอันพึงใจ

               นานหนักหนาแล้วที่มิเคยพบพานบุรุษคนใดที่ดึงดูดสายตาเช่นนี้ ถึงกับต้องสูดลมหายใจเพื่อระงับจิตใจเมื่อ

ความต้องการกำลังท่วมท้น


               “ชายผู้นั้นเป็นใคร”


               เอ่ยถามชายซึ่งยืนอย่างนอบน้อมอยู่เบื้องหลังด้วยความอยากรู้ และสายสืบของเขาก็ไม่ทำให้ผิดหวัง


               “กราบบังคมทูล ชายผู้นั้นนามว่าโกมุทตำแหน่งเสนาบดีแห่งรัตนปุระนครและมีความสัมพันธ์เป็นน้าของเจ้า

ฟ้าอาทิตยวงศ์พะย่ะค่ะ”


               น้าของอาทิตยวงศ์


               มุมปากยิ้มลึกอย่างพอใจเมื่อรู้สึกว่ารางวัลแห่งการศึกน่าจะคุ้มค่าควรแก่การทุ่มเท


               “กลับกันได้แล้ว ข้าจะรีบไปวางแผนการรบ”


               เขาหมุนกายกลับไปเพื่อกระโดดขึ้นไปบนหลังอาชาตัวใหญ่ที่มีบังเหียนงดงามวางอยู่บนหลังมัน บังเหียนที่

ทำให้ผู้พบเห็นรู้ว่าผู้ที่จะบังคับอาชาตัวนี้ได้มีเพียงผู้สืบสันตติวงศ์แห่งเมืองอุดรรังษีเท่านั้น
               








               เมื่อควบอาชามาจนถึงที่พักของเจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์โกมุทก็ต้องตกใจเมื่อเห็นเหล่านายทหารชั้นผู้ใหญ่ราย

ล้อมกันอยู่ด้านนอก เขารีบกระโดดลงจากหลังม้าและก้าวเข้าไปทันที เหล่าทหารและเสนาบดีเมื่อเห็นโกมุทที่มีศักดิ์เป็น

พระมาตุลาก็เปิดทางให้เขาก้าวเข้าไปภายในอย่างร้อนรน


               “เกิดเหตุอันใดขึ้น”


               เอ่ยถามเสียงเข้มกับเหล่าเสนารักษ์ที่เข้าเฝ้าอยู่ภายใน นายแพทย์ทหารอาวุโสเป็นผู้ให้คำตอบแก่เขา


               “เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ทรงเข้าไปร่วมรบกับเหล่าทหารอย่างอาจหาญจนได้รับบาดเจ็บ”


               บาดเจ็บ!


               หัวใจร่วงหล่นไปอยู่แทบเท้าด้วยความห่วงใยเป็นล้นพ้น โกมุทก้าวยาวๆไปยังด้านหลังบังตาของที่พัก เขา

เห็นวรกายของเจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์นั่งอยู่บนแท่นบรรทมและมีผ้าพันแผลพันอยู่รอบพระพาหา(ต้นแขน) โกมุทถึงกับกลั้น

อารมณ์ไม่อยู่ส่งเสียงตวาดลั่นจนเหล่าแพทย์และทหารเสนารักษ์ถึงกับสะดุ้ง


               “ทำไมจึงไม่คุ้มครองเจ้าฟ้า เหตุใดพระองค์จึงบาดเจ็บ สะเพร่ากันเหลือเกิน”


               “โกมุท เราปลอดภัยน่า ใจเย็นก่อนเถิด”


               พระพักตร์จืดเจื่อนของผู้เป็นทั้งหลานและคนรักยิ่งทำให้โกมุทนึกเคืองเพราะรู้ดีว่าเจ้าฟ้าอาทิตวงศ์ทรง

กระทำด้วยความมุทะลุ เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ผู้เป็นเจ้าเหนือหัวคนทั่วแคว้นถึงกับตรัสอะไรไม่ออกเมื่อเห็นโกมุทโกรธจน

ควันออกหูจึงทรงโบกพระหัตถ์ให้เหล่าแพทย์กลับออกไป และเมื่ออยู่เพียงลำพังก็ทรงแย้มสรวลเอาใจ


               “อย่าโกรธเราสิโกมุท”


               ร่างโปร่งก้าวสวบๆมายืนเคียงแท่นพระบรรทม ดวงตาเรียวกรุ่นไปด้วยความเป็นห่วงระคนขัดเคือง


               “พระองค์ทรงนึกอะไรขึ้นมาพะย่ะค่ะถ้าได้บ้าดีเดือดแบบนั้น นี่ถ้าทรงเป็นอะไรขึ้นมาหม่อมฉันจะกลับไปบอก

ท่านพี่กุสุมาเช่นไรและไหนจะยังประชาชนทั่วทั้งรัตนปุระนครอีกล่ะ อุ๊บ”


               ถูกดึงจนเสียหลักให้ล้มอยู่บนตักแล้วเจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์จึงทรงปิดปากช่างต่อว่านั้นเสีย โกมุทดิ้นรนด้วยความ

โมโหแต่เป็นเพราะจุมพิตอันหนักหน่วงทำให้เขาต้องยินยอมหยุดดิ้นรนในที่สุด


               “พระองค์ก็เป็นเสียอย่างนี้ เอะอะก็จูบ”


               โกมุทที่ยอมนิ่งให้ทรงกอดรัดและคลอเคลียมองค้อนอย่างหมั่นไส้ เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์สรวลออกมาอย่างถูก

พระทัยพลางเชยคางมนให้เงยขึ้นสบพระเนตร


               “ก็เราชอบจูบเจ้านี่ แล้วเจ้าล่ะไม่ชอบหรือไร”


               “อย่าทรงเฉไฉความผิด”


               “จะโกรธอะไรนักหนานะท่านน้า”


               แสร้งถอนพระปัสสาสะทั้งที่พระเนตรยังพราวแสง ทรงขยับวรกายพลิกให้โกมุทลงไปนอนหงายอยู่บนแท่น

พระบรรทมโดยมีพระองค์เอนทับ


               “เราก็ไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย ที่ต้องทำก็เพื่อเป็นขวัญกำลังใจแก่เหล่าทหาร”


               โกมุทเม้มปากนิ่งก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่างยอมแพ้


               “หม่อมฉันเป็นห่วงพระองค์ หากพระองค์เป็นอะไรไปหม่อมฉันคงอยู่ไม่ได้”


               เจ้าฟ้าอาทิตยวงส์ทรงประสานสายตาล้ำลึก ปลายข้อพระหัตถ์ตวัดไล้ไปตามกรอบหน้างามอย่างแสนรัก


               “เรารู้ เราไม่มีทางเป็นอะไรหรอก เรากลัวท่านน้าร้องไห้ขี้มูกโป่ง”


               “บ้า หม่อมฉันไม่ใช่เด็กๆแล้ว”


               “จริงเหรอ งั้นพิสูจน์กันหน่อย”


               ตรัสจบก็ซุกพระพักตร์ลงกับลำคอระหงและขบเม้มเบาๆจนโกมุทไหวสะท้าน


               “พระองค์ทรงบาดเจ็บ อื้อ...”


               “เจ็บแค่ที่แขน ตรงนี้ไม่ได้เจ็บสักหน่อย”

               ดึงมือเรียวของโกมุทไปกอบกุมพระคุยหฐาน(เอิ่ม...ตรงนั้นนั่นแหละ)จนเจ้าของมือหน้าแดงก่ำเมื่อพบว่าจุดนั้น

กำลังคับแน่นอยู่ในพระสนับเพลา(กางเกง) เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ทรงบังคับให้โกมุทนวดเฟ้นด้วยปลายนิ้ว


               “อาทิตย์ บ้าจริง”


               น้ำเสียงขัดเขินยิ่งทำให้หลานชายผู้สูงศักดิ์กระทำการอย่างถูกพระทัย และในที่สุดโกมุทก็ต้องโอนอ่อนตาม

พระทัยให้ทรงตักตวงความหวานจนลืมเรื่องบาดหมางในที่สุด





-----------โปรดติดตามตอนต่อไป----------------




เวลาน้อยใช้สอยประหยัด แต่งสะสมไว้ก่อน

ปอลิง ใครถามถึงพ่อสมิง อีกนานจ้ากว่าจะออก เก็บความคิดถึงไว้ก่อนน้า




 :z2: :z2: :z2: :z2:
หัวข้อ: Re: บัลลังก์รักใต้เงาแค้น บทที่ 10.1 [ 11 / 11 / 58 ]
เริ่มหัวข้อโดย: nunda ที่ 11-11-2015 23:41:15
ขอบคุณค่ะ
รอตอนต่อไป ^^
หัวข้อ: Re: บัลลังก์รักใต้เงาแค้น บทที่ 10.1 [ 11 / 11 / 58 ]
เริ่มหัวข้อโดย: kms ที่ 12-11-2015 00:40:56
หรือคนที่โดนธนูเปนมือที่3 ทำไมอาทิตย์เข้าใจผิด
สงสารพ่อบัวก่อนล่วงหน้า ฮืออออ
คิดถึงพ่อสมิงงง
หัวข้อ: Re: บัลลังก์รักใต้เงาแค้น บทที่ 10.1 [ 11 / 11 / 58 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Freja ที่ 12-11-2015 02:24:26
ตะเอง(คนเขียน)
วันนี้เราได้ราชาศัพย์ใหม่  *พระคุยหฐาน*

แต่ชาตินี้จะมีวันได้ใช้ไหมเนี่ย?
หัวข้อ: บัลลังก์รักใต้เงาแค้น บทที่ 10.2 [ 12 / 11 / 58 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Belove ที่ 12-11-2015 22:03:25


                                                 บัลลังก์รักใต้เงาแค้น

                                                       บทที่  10.2



               รุ่งเช้าหลังจากถวายการดูแลเจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ที่เพิ่งตื่นจากบรรทมแล้ว โกมุทก็ได้รับข่าวไม่สู้ดีนักว่าเจ้านาง

กุสุมาผู้เป็นพี่สาวทรงพระประชวร เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์เองก็ทรงร้อนพระทัยไม่น้อยเมื่อได้ยินข่าว


               “เจ้ากลับไปดูแลพระมารดาเถอะโกมุท”


               โกมุทเองก็นึกเช่นนั้นแต่ยังสองจิตสองใจเพราะเป็นห่วงเจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์เช่นกัน


               “หม่อมฉันเป็นห่วงพระองค์”


               ถอนหายใจพลางโอบกอดแผ่นปฤษฎางค์และเกยคางไว้กับพระอังสากว้าง เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ทรงดึงโกมุท

ให้ก้าวมาด้านหน้าและกระชับต้นแขนเพื่อให้โกมุทสบายใจ


               “เราโตแล้ว เชื่อใจเราเถิดอย่าได้กังวล เราฝากให้เจ้าดูแลพระมารดาแทนเราที่ยังติดพันการรบอยู่ที่นี่ หาก

คลี่คลายได้เมื่อไหร่เราจะรีบกลับไป”


               โกมุทดึงพระหัตถ์ของเจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์มาแนบที่แก้มตนและสบสายตาด้วยความรักเทิดทูน


               “พระมารดาของพระองค์เป็นพี่สาวของหม่อมฉันเช่นกัน หม่อมฉันจะดูแลท่านพี่กุสุมาให้ดีที่สุดเหมือนกับที่ได้

ดูแลพระองค์ และตอนนี้ขอให้หม่อมฉันได้ดูแลพระองค์ให้สุขกายสบายตัวอีกสักครั้งก่อนเดินทางกลับพระราชวังเถิด

พะย่ะค่ะ”


               ดึงพระหัตถ์และกดวรกายให้เอนลงไปกับแท่นพระบรรทมจากนั้นโกมุทจึงได้ทอดสายตาหวานฉ่ำมองเจ้าฟ้า

อาทิตยวงศ์ มือเรียวของเขาดึงสนับเพลาลงมาช้าๆพลางขยับกายคุกเข่าอยู่ระหว่างพระอูรุ เขาวางมือกอบกุมท่อนเนื้ออุ่น

ที่ยังหลับใหลและใช้ปลายนิ้วนวดเฟ้นไปมาเพื่อปลุกเร้าให้ตื่นขึ้น โกมุทก้มหน้าลงไปแต่ก็ยังช้อนสายตามองสบ

พระเนตรก่อนที่เขาจะแตะปลายลิ้นลงไปอย่างนุ่มนวล


               “ท่านน้า เจ้าไม่ต้องทำถึงขนาดนี้ก็ได้”


               เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ทรงสูดพระอัสสาสะเมื่อโกมุทกำลังยั่วเย้าด้วยลิ้นชื้น ความเป็นบุรุษเพศตื่นจากหลับใหล

อวดกายแข็งขัน โกมุทคลี่ยิ้มทั้งที่ยังไม่เลิกโลมเลียจนเปียกชื้น


               “หม่อมฉันอยากทำ เพราะพระองค์คือชีวิตและจิตใจของหม่อมฉัน”


               พูดจบก็งับริมฝีปากลงไปกอบกลืนรูดรั้ง เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ทรงเปล่งพระเสียงด้วยความต้องการทะยานอยาก

สองหัตถ์กดศีรษะทุยของโกมุทที่ขยับขึ้นลงอย่างถูกพระทัย เส้นเอ็นปูดโปนอยู่โดยรอบบอกให้รู้ว่าพระองค์นั้น “ตื่น” ไป

หมดทั้งกาย โกมุทจึงคลายอิสระแต่กลับลุกขึ้นดึงรั้งผ้านุ่งของตนลงอวดสะโพกหนั่นแน่นกลมกลึง เขาคร่อมกายลงกับ

พระโสณีของเจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์และกดเอวลงไปให้ช่องทางของเขากลายเป็นสิ่งกลืนกินความเป็นชายแข็งแรงนั้นแทนที่


               “อา โกมุท วิเศษเหลือเกิน”


               แม้ว่าจะผ่านแรงรักยามราตรีที่ผ่านมา แต่ตอนนี้ร่างกายของโกมุทก็ยังทำให้พระองค์มีความสุขเกินจะกล่าว

ทรงยื่นพระหัตถ์ออกไปให้โกมุทได้ยึดจับเป็นหลักยามร่างโปร่งนุ่มเนียนได้เคลื่อนย้ายสะโพกบดคลึงให้พระองค์ได้สอด

ลึกและสัมผัสอยู่ภายใน ใบหน้าหวานหลับตาพริ้มพร้อมกัดริมฝีปากตนเองไว้ยามเมื่อเจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ทรงสวนกายเข้า

ใส่ เสียงหวานครวญคร่ำไม่ชาดระยะเมื่อต่างพากันไปสู่จุดหมายแห่งความหวานก่อนที่โกมุทจะทอดกายซบไปบนพระ

อุระและเงยหน้าให้เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ทรงประทานจุมพิตหวานเป็นรางวัล
               






               โกมุทเดินทางกลับเข้าพระราชวังไปแล้ว เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ทรงรับมือกับศึกอีกหลายวันจนกระทั่งได้รับพระ

ราชสาส์นตอบกลับจากกษัตริย์แห่งเมืองเหมราช การประชุมเสนาบดีและนายทหารชั้นผู้ใหญ่จึงเกิดขึ้นและเมื่อผู้นำ

สาส์นอ่านข้อความจบลง ความตึงเครียดจึงบังเกิดติดตามมาทันที


               “หมายความเช่นใด ไอ้การเชื่อมสัมพันธไมตรีอันแน่นแฟ้นยืนยาวที่เมืองเหมราชต้องการ มันคือสิ่งใดกันแน่”


               ทรงตรัสถามราชทูตที่เดินทางกลับมาแจ้งข่าว


               “ขอเดชะ กษัตริย์เหมราชทรงหมายถึงการเชื่อมสัมพันธ์ด้วยการเป็นทองแผ่นเดียวกันพะย่ะค่ะ”


               เสียงฮือฮาดังขึ้นทันทีจากเหล่าผู้เข้าร่วมประชุม ต่างพากันถกเถียงความเป็นไปได้โดยไม่ทันสังเกตพระ

พักตร์ที่เปลี่ยนสีของเจ้าเหนือหัว


               “ทรงมีพระราชธิดาพระองค์เล็กที่มีพระสิริโฉมงดงามพระนามว่าเจ้าหญิงปะวะหล่ำ ซึ่งบัดนี้เจริญพระชันษาได้

สิบแปดปีแล้ว เห็นควรว่าควรจะอภิเษกกับพระองค์เพื่อเจริญสัมพันธไมตรีระหว่างสองเมืองพะย่ะค่ะ หากว่าพระองค์ทรง

ยอมรับข้อเสนอกษัตริย์แห่งเหมราชก็ยังยกทัพไปประชิดกับอุดรรังษีเพื่อดึงความสนใจไปจากรัตนปุระนคร”


               “เราไม่ต้องการแต่งงานเพื่อการเมืองเยี่ยงนี้”


               ตรัสเสียงเข้มพร้อมพักตร์เครียดเมื่อทรงนึกถึงความรักระหว่างพระองค์กับโกมุท แต่เหล่าเสนาบดีกลับมีความ

เห็นไปอีกทาง


               “อันที่จริงด้วยพระชนพรรษาของพระองค์ก็ควรที่จะมีเจ้านางได้แล้วพะย่ะค่ะ และเจ้าหญิงจากเมืองเหมราช

อันมีฐานะคู่ควรก็ไม่มีเหตุอันใดที่ควรปฏิเสธ พวกเกล้ากระหม่อมต่างเห็นพ้องต้องกันว่าพระองค์ควรที่จะรับไมตรีจาก

เหมราช”


                “แต่เราไม่ได้รักเจ้าหญิงอะไรนั่น แม้แต่หน้าก็ยังไม่เคยเห็น”


               เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์พยายามแย้งความเห็นจากเหล่าเสนาบดี พระทัยเต้นรัวด้วยความกลัดกลุ้ม


               “พระองค์เป็นผู้ครองแคว้นรัตนปุระนคร เป็นเจ้าฟ้าเหนือผู้คนทั้งปวง บางครั้งอาจจะต้องเสียสละความสุขส่วน

พระองค์เพื่อความสุขของส่วนรวมพะย่ะค่ะ”


               กัดพระทนต์แน่นเมื่อได้ฟังคำเตือนจากเสนาบดีชั้นผู้ใหญ่ ใบหน้าของพระมาตุลาปรากฏอยู่ในห้วงความคิด

แต่เพราะทรงเป็นถึงเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินที่ต้องทำให้ประชาชนมีสุขจึงได้แต่ทรงหลับพระเนตรลงเพื่อปิดบังความเสีย

พระทัยจากเหล่าเสนาบดี


               “ถ้าหากเราตกลง เหมราชจะทำเช่นไร”


               ราชทูตรีบตอบคำถาม และคำตอบนั้นบาดลึกลงไปกลางพระทัยของเจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ศตรัศม์


               “ทันทีที่ทรงเห็นควรกับข้อเสนอ เหมราชจะส่งกองรบไปที่ชายแดน และเมื่อพระองค์กลับถึงพระราชวัง

เจ้าหญิงปะวะหล่ำก็จะเสด็จดำเนินมาที่รัตนปุระนครเพื่อพิธีอภิเษกสมรสกับพระองค์พะย่ะค่ะ”



-------------------------------โปรดติดตามตอนต่อไป-------------------------------



โอ๊ยยย แต่งไปก็สงสารไป

แต่ยิ่งอยู่สูงก็ยิ่งต้องเสียสละความสุขส่วนตัวนะ

 :mew2: :mew2:





หัวข้อ: Re: บัลลังก์รักใต้เงาแค้น บทที่ 10.2 [ 12 / 11 / 58 ]
เริ่มหัวข้อโดย: boboman ที่ 12-11-2015 22:45:50
จิ้ม
ก็ยังเชียร์สมิงอยู่ดี 555555
รอตอนหน้าน้า
หัวข้อ: Re: บัลลังก์รักใต้เงาแค้น บทที่ 10.2 [ 12 / 11 / 58 ]
เริ่มหัวข้อโดย: nunda ที่ 13-11-2015 07:48:54
เค้าอ่ะชอบพ่อสมิงนะ พ่อสิงเค้าตัองหกหักแน่เลยอ่ะ (T_T)
เห็นแบบนีัแลัว โกมุทรักเจ้าอาทิตยวงศ์มากเลยอ่ะ

หัวข้อ: Re: บัลลังก์รักใต้เงาแค้น บทที่ 10.2 [ 12 / 11 / 58 ]
เริ่มหัวข้อโดย: kms ที่ 14-11-2015 00:20:49
ฮือออออ เศร้าล่วงหน้าาาาาาา
เปลี่ยนใจเชียร์พ่อสมิงงงง
หัวข้อ: Re: บัลลังก์รักใต้เงาแค้น บทที่ 10.2 [ 12 / 11 / 58 ]
เริ่มหัวข้อโดย: am_am ที่ 15-11-2015 14:54:49
เศร้าอ่ะ กลัวจนไม่กล้าจะอ่านแล้ววววว :mew2:
หัวข้อ: Re: บัลลังก์รักใต้เงาแค้น บทที่ 10.2 [ 12 / 11 / 58 ]
เริ่มหัวข้อโดย: kms ที่ 16-11-2015 23:24:24
รอๆๆๆพ่อบ้วววว
หัวข้อ: บัลลังก์รักใต้เงาแค้น บทที่ 11 [ 22 / 11 / 58 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Belove ที่ 22-11-2015 22:11:35


                                                 บัลลังก์รักใต้เงาแค้น

                                                        บทที่  11


               การยกทัพกลับคืนสู่รัตนปุระนครทำให้โกมุทดีใจเหลือเกิน เขาเฝ้ารอเจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์อย่างตื่นเต้นรวมทั้ง

เจ้านางกุสุมาที่วรกายอ่อนแอสามวันดีสี่วันไข้ก็ยังมีกำลังใจขึ้นมากเมื่อทราบข่าวว่าพระราชโอรสจะกลับสู่พระราชวัง

สองพี่น้องเฝ้ารอใจจดใจจ่อจนกระทั่งกองทัพทหารเดินทางมาถึงในที่สุด


               “ลูกแม่”


               เจ้านางกุสุมาสวมกอดกายหนาของเจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ทันทีเมื่อทรงก้าวเข้ามาในห้องบรรทมของพระมารดา

ด้วยความร้อนพระทัย เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ทรงโอบกอดร่างอันบอบบางของพระมารดาไว้แน่น


               “พระมารดาเป็นเช่นไรบ้างพะย่ะค่ะ หม่อมฉันเป็นห่วงเหลือเกิน”


               “แม่ก็ป่วยนิดๆหน่อยๆแบบนี้แหละไม่หายขาดเสียที ดีที่ได้โกมุทมาอยู่เป็นเพื่อน”


               เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ทรงสบพระเนตรกับโกมุทที่ยืนอยู่ใกล้ๆด้วยความคิดถึง โกมุทเองก็ยิ้มรับด้วยความยินดี


               “แม่ดีใจที่ศึกด้านชายแดนจบลงเสียได้ แล้วนี่ทำไมทางอุดรรังษีถึงยินยอมหย่าศึกง่ายดายเช่นนี้เล่า”


               แม้เป็นสตรีแต่เพราะสนใจการเล่าเรียนเขียนอ่านจากบิดาทำให้เจ้านางกุสุมาฉลาดหลักแหลม ทรงรู้ดีว่าการ

เลิกทำศึกต่อกันนั้นต้องมีสาเหตุ เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ทรงลอบถอนพระทัยด้วยความกลัดกลุ้มกว่าจะตัดสินใจตรัสออกไป


               “เหตุเพราะศึกรบทำท่าจะยืดเยื้อเราจำต้องหาพันธมิตร จึงได้ส่งสาส์นไปที่เมืองเหมราชซึ่งเป็นเมืองที่มีชาย

ขอบติดกับอุดรรังษีเช่นกัน และเหมราชยินยอมที่จะช่วยเหลือเรา”


               “เหมราช”


               เจ้านางกุสุมาทวนคำพลางขมวดพระขนง


               “ช่วยกันง่ายๆเช่นนั้นรึ บอกแม่มาให้หมดดีกว่าอาทิตยวงศ์”


               ท่าทีอึกอักของเจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์พร้อมกับสายพระเนตรที่เหลือบขึ้นมองมาทางเขาบ่อยๆทำให้โกมุทสังหรณ์

ใจประหลาด หัวใจของเขาเต้นตึกตักเมื่อยืนรอฟังข้อตกลงของเหมราชเช่นเดียวกับเจ้านางกุสุมา


               “ทางเหมราชมีข้อเสนอเพื่อช่วยเราด้วยการ เอ่อ...ให้หม่อมฉันแต่งงานกับพระธิดาองค์เล็กของเหมราช

พะย่ะค่ะ”


               ราวกับหัวใจหลุดลอยออกจากร่าง โกมุทแทบจะหยุดลมหายใจเมื่อได้ฟังข้อเสนอดังกล่าว ใบหน้าที่ขาวอยู่

แล้วยิ่งซีดเผือดลงทันที เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ได้แต่ลอบมองด้วยความเห็นใจ

               ทำไมจะไม่ทรงรู้เล่าว่าโกมุทจะช้ำใจแค่ไหนเมื่อได้ยิน ในเมื่อพระองค์เองก็ไม่นึกโสมนัสแม้แต่นิดเดียวและ

ยังทรงห่วงความรู้สึกของโกมุทเหลือเกิน


                “แต่งงาน แสดงว่าลูกตอบตกลงไปแล้วใช่ไหม เพราะถ้าไม่ตกลงการรบก็คงจะยังไม่หยุดและลูกก็คงกลับมา

ไม่ได้”


               เจ้านางกุสุมาทรงคาดคั้นและเมื่อเห็นพระราชโอรสนิ่งงันด้วยจนแก่คำตอบผู้เป็นพระมารดาจึงได้ถอนหายใจ

ออกมา


               “ความจริงแม่ไม่เห็นด้วยกับการแต่งงานเพื่อการเมืองเช่นนี้ แต่ในฐานะที่ลูกเป็นเจ้าฟ้าแห่งรัตนปุระนครแม่ก็

ไม่มีเหตุผลที่จะคัดค้าน แล้วพระธิดาแห่งเหมราชจะเดินทางมาถึงเมื่อไร”


               เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ทรงเม้มโอษฐ์เมื่อจำต้องเอ่ยสิ่งที่ทำร้ายโกมุทอีกครั้ง


               “อีกไม่กี่วันนี้เจ้าหญิงปะวะหล่ำก็จะมาถึงรัตนปุระนครแล้วพะย่ะค่ะ”







               รู้ทั้งรู้ว่าต้องมีสักวันที่เรื่องนี้จะเกิดขึ้น แม้จะทำใจไว้บ้างแล้วแต่เมื่อเกิดขึ้นจริงโกมุทไม่นึกว่าเขาจะเสียใจ

มากขนาดนี้ น้ำตาที่หยาดหยดเหือดแห้งทิ้งไว้แต่รอยคราบที่เจ้าของใบหน้าไม่ได้สนใจ เมื่อได้อยู่เพียงลำพังในห้องของ

เขาโกมุทไม่จำเป็นที่ต้องเก็บงำความรวดร้าว ใบหน้าหวานเศร้าสร้อยเหม่อมองท้องฟ้าอยู่ข้างหน้าต่าง

               คนที่เขารักเป็นถึงเจ้าแผ่นดินอย่างไรเสียก็ต้องอภิเษกกับคนที่คู่ควร และยิ่งเขาเป็นผู้ชายเช่นเดียวกับเจ้าฟ้า

อาทิตยวงศ์ มองเช่นไรก็ไม่มีทางเป็นไปได้ที่เขาจะเป็นตัวจริง

                เสียงเปิดและปิดบานประตูดังขึ้นโดยไม่ได้ขออนุญาต โกมุทหลับตาลงเมื่อเขาจำเสียงฝีเท้านั้นได้เป็นอย่างดี

จนกระทั่งร่างโปร่งของเขาถูกรวบไปกอดไว้น้ำตาที่ว่าเหือดแห้งกลับร้อนเอ่อขึ้นมาอีกครั้ง


                “โกมุท เราขอโทษ”


               สุรเสียงอมทุกข์ที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนดังอยู่ตรงข้างหู โกมุทปล่อยเสียงสะอื้นอย่างกลั้นไม่อยู่

เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ปล่อยให้โกมุทได้ร้องไห้ออกมา ได้แต่ทรงโอบกอดร่างสั่นสะท้านนั้นไว้ในอ้อมกอด

               ด้วยเหตุผลนั้นเข้าใจแต่เขาห้ามหัวใจไม่ให้เจ็บปวดไม่ได้ เป็นเพราะรู้ว่าอีกไม่นานอ้อมกอดอบอุ่นนี้จะต้องไป

เป็นของคนอื่นสิ่งที่โกมุททำได้ในปัจจุบันคือสวมกอดตักตวงไออุ่นนี้ไว้ให้ได้มากที่สุด

               เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ลูบผมนุ่มด้วยความสงสาร โกมุทร้องไห้จนหมดแรงต้องปล่อยให้เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ทรง

ช้อนกายลอยจากพื้นเพื่อพาร่างสั่นเทาไปยังเตียงนอนที่ตั้งอยู่กลางห้อง ทรงวางโกมุทให้นอนคุดคู้ราวกับเด็กทารกก่อน

จะเอนวรกายลงนอนเคียงข้างและลูบหลังปลอบโยน


               “หม่อมฉันรู้ว่าต้องมีวันนี้”


               “เราไม่อยากให้มีวันนี้”


               ตรัสด้วยความเจ็บปวดไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน แต่เพราะด้วยหน้าที่จึงทำให้จำต้องทิ้งหัวใจไว้เบื้องหลัง


               “ขอให้เจ้ารู้ว่าเรารักเจ้า โกมุท”


               ทรงจูบซับน้ำตาทีละนิดจนมาหยุดที่เรียวปากที่แดงเพราะการร้องไห้ทรงปรนจูบอ่อนโยนระคนร้าวราน โกมุท

เปิดทางรับให้ปลายลิ้นร้อนได้เข้ามาสัมผัส เขาเบียดกายเข้ากอดด้วยความโหยหา

               ขอแค่วันนี้ เดี๋ยวนี้ ที่เขายังมีสิทธิ์ครอบครองชายผู้เป็นใหญ่เหนือแผ่นดินและชายผู้ครอบครองหัวใจ โกมุท

ขยับกายเพื่อให้วรกายแข็งแกร่งพลิกขึ้นมาทาบทับเหนือร่าง มือสั่นเทาช่วยกันปลดเปลื้องอาภรณ์เพื่อจะได้โอบกอด

แนบแน่นรับไออุ่นจากร่างกายอีกฝ่ายได้เต็มที่

               เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ทรงจูบและสัมผัสทั่วร่างงามด้วยความโหยหา หัตถ์หนาลูบไล้ทุกสัดส่วนที่พระองค์ได้เป็น

เจ้าของ รอยสีกุหลาบผุดขึ้นทั่วทั้งกายขาวเนียนที่แอ่นกายให้เชยชมด้วยใจรักและเปิดรับทางให้พระองค์ได้เป็นสุขเมื่อ

แทรกกายเข้าทางสวาทอีกครั้ง


               “หม่อมฉันรักพระองค์ แม้ว่าทำได้เพียงเฝ้ามอง”


               โกมุทรำพันเสียงกระเส่า แม้ร่างกายจะสุขสมหากแต่น้ำตากลับไหลเป็นทางจนเปียกไรผม เขายกเอวสูงรับ

แรงสะเทือนที่เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์กำลังมอบให้จนร่างสั่นคลอน


               “ไม่ใช่แค่เฝ้ามอง แต่เจ้านั่งอยู่ในใจเราต่างหากโกมุท”


               ทรงปรนเปรอให้โกมุทจนไม่รู้ว่ากี่ครั้งแม้จะรู้ว่าความสุขสมในค่ำคืนนี้เต็มไปด้วยน้ำตาแห่งความเสียใจที่ไม่

อาจครองคู่กันได้จนกระทั่งพากันหลับใหลไปกับน้ำตา






               ในที่สุดเจ้าหญิงปะวะหล่ำและเจ้าเมืองแห่งเหมราชก็มาถึงรัตนปุระนคร พิธีอภิเษกถูกจัดขึ้นอย่างสมพระ

เกียรติภายในพระราชวังวุ่นวายกับงานใหญ่ครั้งนี้ กว่าเจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์จะรู้สึกพระองค์งานพิธีอภิเษกก็ผ่านมาจนถึงการ

ส่งตัวเข้าหอ เจ้าหญิงปะวะหล่ำมีพระสิริโฉมงดงามสมคำร่ำลือ แต่เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ไม่ได้รู้สึกอะไรมากไปกว่าเห็นเป็น

สตรีงดงามคนหนึ่งเท่านั้น ความเงียบงันจึงบังเกิดเมื่อได้อยู่กันเพียงลำพัง

               เจ้าหญิงปะวะหล่ำที่กลายเป็นเจ้านางพระองค์ใหม่แห่งรัตนปุระนครทรงช้อนพระเนตรมองพระสวามีของ

พระองค์ พระพักตร์คมเข้มสมชายชาตรีรวมถึงวรกายสูงและเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อของวัยหนุ่มทำให้เจ้านางปะวะหล่ำ

พึงใจไม่ยากนักพระปรางจึงอาบด้วยเลือดลมของวัยดรุณีเมื่อคาดการว่าอีกไม่นานจะเกิดอะไรขึ้นกับพระองค์บ้าง


               “หม่อมฉันฝากตัวกับเจ้าพี่ด้วยเพคะ ต่อจากนี้เราทั้งสองต้องครองคู่กันจนแก่เฒ่า”


               แย้มสรวลอย่างเอียงอายและยกหัตถ์ขึ้นพนมและกราบที่พระอังสา ทรงเบียดกายสาวเข้าหาพระทัยสั่นไหว

เมื่อได้ใกล้ชิดกับเจ้าฟ้าที่แสนหล่อเหลา

               เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ทรงเดาพระทัยของเจ้านางปะวะหล่ำออก ทรงทอดถอนใจเมื่อรู้ว่าในคืนส่งตัวควรจะทำเช่น

ไรหากแต่พระองค์ไม่นึกอยากจะมีความสัมพันธ์กับเจ้านางของพระองค์แม้แต่น้อย


               “ยินดีต้อนรับสู่รัตนปุระนครนะปะวะหล่ำ เราทั้งคู่ผ่านงานพิธีอันวุ่นวายกันมาหลายวันแล้วเจ้าคงเหน็ดเหนื่อย

น่าดู ใช่ไหม เราเองก็เหนื่อยไม่แพ้เจ้า เอาเป็นว่าคืนนี้เราพักผ่อนกันให้หายเหนื่อยก่อนเถิดนะ”


               “แต่ว่า เจ้าพี่เพคะ”


               เจ้านางปะวะหล่ำทรงอ้าโอษฐ์ค้างเมื่อเห็นร่างสูงทิ้งกายลงนอนและหลับพระเนตรลงโดยไม่สนใจพระองค์อีก

สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้พระองค์อยากจะส่งเสียงกรีดร้องออกมาเมื่อมันช่างไม่ได้ดั่งใจพระองค์เสียเลย
               






               “ส่งตัวเมื่อคืนที่ผ่านมาเป็นเช่นไรบ้างเพคะทูนหัวของบ่าว รสชาติชีวิตคู่ในคืนแรก”


               แก้วกุดั่นนางกำนัลของเจ้านางปะวะหล่ำที่ติดสอยห้อยตามมาจากเมืองเหมราชเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอยากรู้

เมื่อเข้าเฝ้าในยามสาย คำถามยิ่งกระตุ้นให้เจ้านางอารมณ์เสีย


               “อย่าถามให้มากความแก้วกุดั่น ข้ายิ่งอารมณ์ไม่ดีอยู่ด้วย”


               ทรงส่งเสียงเอ็ดจนแก้วกุดั่นหน้าเสีย แต่เพราะรับใช้กันมาตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์จึงรู้วิธีรับมือ


               “โถ เจ้าหญิงน้อยของหม่อมฉัน เกิดเหตุอันใดขึ้นเพคะเล่าให้แก้วกุดั่นฟังเถิด”


               เจ้านางปะวะหล่ำทรงเล่าให้คนสนิทฟังด้วยพระทัยรุ่มร้อน


               “คืนแรกที่เข้าห้องหอ ข้านึกว่าพระสวามีจะต้องมีอะไรกับข้าและทำให้ข้าได้รู้รสแห่งรัก แต่นี่อะไร เจ้าพี่

อาทิตยวงศ์ทรงบรรทมและทิ้งให้ข้าเปล่าเปลี่ยว เจ้าคิดดูสิว่าข้าจะรู้สึกเช่นไร”


               “อาจจะทรงเหน็ดเหนื่อยอย่างที่พระองค์ตรัสจริงก็ได้นะเพคะ แต่ว่าคืนนี้เช่นไรเสียเจ้านางต้องได้รับในสิ่งที่

ควรได้ หม่อมฉันว่าเจ้านางควรจะเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับคืนนี้”


               “เจ้าจะให้ข้าทำเช่นไรแก้วกุดั่น”


               ทรงถามด้วยความอยากรู้และรับฟังคำแนะนำของแก้วกุดั่นด้วยความหมายมาด
               





               เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์หงุดหงิดอยู่ไม่น้อยที่ไม่เห็นหน้าโกมุทในการประชุมของเสนาบดีในวันนี้ แม้จะรู้ว่าโกมุท

ตั้งใจหลบหน้าในช่วงหลังพิธีอภิเษก แต่ก็ไม่รู้จะทำเช่นไรนอกจากเก็บความหงุดหงิดไว้ในพระทัยจนกระทั่งหมดวันและ

ต้องก้าวกลับเข้าไปในห้องบรรทมที่มีเจ้านางปะวะหล่ำคอยอยู่

               นี่ก็อีกคน

                ทรงถอนพระปัสสาสะอย่างกลัดกลุ้มเมื่อไม่รู้ว่าจะทำเช่นไรกับพระชายาของพระองค์ดี


               “เจ้าพี่กลับมาแล้ว หม่อมฉันต้องการความช่วยเหลืออยู่พอดีเพคะ”


               ร่างอวบอิ่มในวัยดรุณียืนอวดกายอยู่กลางห้องด้วยท่าทีชวนให้วาบหวามเมื่อกำลังพันกายท่อนบนด้วยผ้าแถบ

ผืนบางจนมองเห็นรูปร่างชัดเจน เจ้านางปะวะหล่ำชะม้ายตามองก่อนจะก้าวนวยนาดเข้ามาหา


               “หม่อมฉันไม่คุ้นชินกับการนุ่งผ้าของรัตนปุระเลย พระองค์ช่วยจับผ้าให้หม่อมฉันสักนิด อ้าว อุ๊ย!”


               ชายผ้าแถบร่วงหลุดจากหัตถ์จนเผยให้เห็นอกอิ่มสล้าง เจ้าฟ้าอาทิตยวงส์ทรงมองด้วยสายพระเนตรเรียบเฉย


               “แย่จัง นี่หม่อมฉันทำอะไรลงไป พระองค์อย่าเพิ่งจ้องมองนะเพคะ อายเหลือเกิน”


               ตรัสว่าอายแต่เจ้านางปะวะหล่ำกลับโผเข้ากอดและเบียดทรวงอกเต่งตูมเข้าใส่วรกายหนั่นแน่นของเจ้าฟ้า

อาทิตยวงศ์พร้อมกับช้อนสายพระเนตรเย้ายวน เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ได้แต่ประทับนิ่งกับการกระทำของพระชายา

               หากเป็นโกมุทที่เป็นผู้เบียดกายเข้าหาคงจะดีไม่น้อย แต่นี่พระองค์ไม่ได้รู้สึกรู้สาสักนิดแม้ว่าเจ้านางปะวะหล่ำ

กำลังเชิญชวนให้พระองค์ได้ร่วมรัก เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ทรงดันพระอังสาของพระชายาออกอย่างสุภาพ


               “วันนี้เราประชุมกับเสนาบดีทั้งวัน เราเหนื่อย ขอโทษนะปะวะหล่ำที่คงให้ในสิ่งที่เจ้าต้องการไม่ได้”


               ประโยครู้ทันการกระทำและปฏิเสธออกมานั้นสร้างความอับอายและขุ่นเคืองให้เจ้านางปะวะหล่ำไม่น้อย ทรง

ทอดพระเนตรพระสวามีพลางกลั้นเสียงกรีดร้องอย่างสุดกำลังโดยไม่สนพระทัยว่ายังอยู่ในสภาพไม่เรียบร้อย


               “อะไรกันเพคะ นี่หม่อมฉันมาที่นี่เพื่อเป็นเมียของพระองค์ แต่พระองค์กลับไม่ได้สนพระทัยหม่อมฉันแม้แต่

น้อย ทรงเป็นพระอิฐพระปูนหรือเช่นไร หรือว่าหม่อมฉันไม่งดงามพอ”


               เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ส่ายพักตร์อย่างกลัดกลุ้มเมื่อเห็นท่าทางของพระชายา


               “มิใช่เช่นนั้นหรอกปะวะหล่ำ เราเหนื่อยจริงๆ เราขอโทษอีกครั้งที่ทำให้เจ้าไม่พอใจ เอาเป็นว่าไม่กวนให้เจ้า

หงุดหงิดยิ่งกว่านี้แล้ว เราจะไปนอนที่ห้องหนังสือ”


               ตรัสจบก็ทรงหันวรกายก้าวพระบาทออกประตูทิ้งให้เจ้านางปะวะหล่ำส่งเสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บพระทัย

เพียงเดียวดายในห้องบรรทม








               “เจ็บใจนัก ทำอย่างไรเจ้าพี่ก็ไม่ยอมเชยชมร่างกายของข้าเสียที นี่ผ่านไปเป็นสัปดาห์แล้วที่แต่งงานกันแถม

ยังหนีหน้าข้าด้วยการไปนอนที่ห้องหนังสือทุกคืน”


               “น่าเจ็บใจจริงๆเพคะ ทูนหัวของบ่าวงดงามถึงเพียงนี้กลับทรงไม่เห็นค่า”


               แก้วกุดั่นรีบกล่าวเสริมเจ้านายของตน


               “หรือว่าทรงมีใครแอบซ่อนไว้เพคะ”


               เจ้านางปะวะหล่ำฉุกพระทัยคิดตามคำพูดของแก้วกุดั่น


               “จริงสิ หรือว่าทรงมีนางสนมคนโปรดแอบซ่อนไว้ ไม่ได้การละ แก้วกุดั่นเจ้าต้องใช้ความสามารถของเจ้าไป

สืบเรื่องนี้มา ข้าต้องรู้ให้ได้ว่าเจ้าพี่มีใครแอบซ่อนไว้จริงหรือเปล่า อย่าให้ข้ารู้นะ”


               ทรงกัดพระโอษฐ์ด้วยความพลุ่งพล่าน


               “ข้าจะทำให้มันรับใช้เจ้าพี่ไม่ได้อีกเลย คอยดูสิ”
               




มีต่ออีกนิด....

หัวข้อ: บัลลังก์รักใต้เงาแค้น บทที่ 11 [ 22 / 11 / 58 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Belove ที่ 22-11-2015 22:22:36


ต่อกันตรงนี้...





               “โกมุท หยุดเดี๋ยวนี้นะ เจ้าจะหลบหน้าเราไปถึงเมื่อไหร่”


               เสร็จสิ้นจากการว่าราชการและเมื่อเสนาบดีคนอื่นออกไปจากห้องประชุมแล้วเจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์จึงทรงตรัส

เรียกโกมุทที่เพิ่งจะมาทำงานในวันนี้หลังจากเสร็จงานอภิเษก ใบหน้างามหมองหม่นอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเจ้าฟ้าอาทิตวงศ์

คว้าท่อนแขนไว้ก่อนที่โกมุทจะเร่งเท้าหนี


               “หม่อมฉันไม่ได้หลบหน้าพระองค์พะย่ะค่ะ”


               “แล้วการที่เจ้าไม่มาช่วยเราทำงานเหมือนเช่นเคยจะเรียกว่าอะไร”


               โกมุทสบตาด้วยความปวดร้าว จะให้เขากราบทูลได้เช่นไรว่าตั้งแต่วันงานอภิเษกเขาก็ยังหยุดเสียใจไม่ได้ แต่

เพราะเกริกผู้เป็นบิดาเห็นเขาหมกตัวอยู่แต่ในห้องจึงได้ถามด้วยความสงสัย เขาจึงจำใจต้องมาทำงานในวันนี้


               “หม่อมฉันก็แค่...”


               “คิดถึงเหลือเกินท่านน้า”


               ทรงดึงร่างบางเข้ามากอดจนโกมุทเจ็บแปลบ


               “ปล่อยหม่อมฉันเถิด อย่าทำเช่นนี้”


               “เจ้าไม่คิดถึงเราเลยใช่ไหม”


               ใครบอกล่ะ โกมุทคิดถึงเจ้าของหัวใจของเขาทุกวินาทีต่างหาก

               แม้ปากจะบอกให้ปล่อย แต่ใจของโกมุทกลับทำตรงกันข้าม เขากลับไม่กล้าผลักไสให้เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ห่าง

ออกจากความใกล้ชิดนี้


               “หม่อมฉัน...”


               “ทั้งที่เราคิดถึงเจ้าเหลือเกิน”


               “อาทิตย์”


               ห้ามใจไม่ไหวจนต้องปล่อยให้เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ดึงใบหน้าเข้าหาและกดจูบด้วยความโหยหา โกมุทปล่อยใจ

ไปกับความเคลิบเคลิ้มจากรสลิ้นที่ตวัดอยู่ในโพรงปาก


               ขอแค่นี้ แค่นี้ที่เขาต้องการ

               โกมุทตักตวงความสุขเหล่านี้จนไม่รู้เลยว่ามีสายตาคู่หนึ่งจับจ้องการกระทำของทั้งคู่ด้วยความคาดไม่ถึง







                    --------------------------โปรดติดตามตอนต่อไป--------------------------------

     

                      ทุกครั้งที่แต่งฉากดราม่า คนแต่งมักจะมีน้ำตานองหน้าเสมอ แง้ๆๆ

                                                    :sad4: :sad4: :sad4:



หัวข้อ: Re: บัลลังก์รักใต้เงาแค้น บทที่ 11 [ 22 / 11 / 58 ]
เริ่มหัวข้อโดย: kms ที่ 22-11-2015 23:17:50
สงสารโกมุทล่วงหน้า แง้ๆๆ
หัวข้อ: Re: บัลลังก์รักใต้เงาแค้น บทที่ 11 [ 22 / 11 / 58 ]
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 23-11-2015 08:59:05
 :L2:   :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: บัลลังก์รักใต้เงาแค้น บทที่ 11 [ 22 / 11 / 58 ]
เริ่มหัวข้อโดย: 14th-friedegg ที่ 23-11-2015 09:33:51
ชอบบบบบ ชอบ twincest

แต่สงสารท่านน้าาาาา
ฮือออออ
อยากรู้จัง ท่านน้า ขโมยลูกเขามาได้ยังไง??
หัวข้อ: Re: บัลลังก์รักใต้เงาแค้น บทที่ 11 [ 22 / 11 / 58 ]
เริ่มหัวข้อโดย: boboman ที่ 23-11-2015 10:18:01
สงสารโกมุททท T^T หนีไปซบอกพ่อสมิงเถอะะ 55555
หัวข้อ: Re: บัลลังก์รักใต้เงาแค้น บทที่ 11 [ 22 / 11 / 58 ]
เริ่มหัวข้อโดย: kms ที่ 25-11-2015 23:57:57
คิดถึงพ่อสมิงแล้ววว
หัวข้อ: บัลลังก์รักใต้เงาแค้น บทที่ 12.1 [ 28 / 11 / 58 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Belove ที่ 28-11-2015 21:12:44


                                                     บัลลังก์รักใต้เงาแค้น

                                                          บทที่  12.1


               เจ้านางปะวะหล่ำทรงนั่งนิ่งพลางกำหัตถ์แน่นด้วยฤทธิ์แห่งโทสะเมื่อได้ยินในสิ่งที่แก้วกุดั่นคนสนิทนำมา

ราบทูล พระทัยเต้นด้วยไฟแห่งริษยาเมื่อรู้ว่าคนที่เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ทรงมอบความรักให้นั้นกลับเป็นบุรุษเพศ


              “มันเป็นใคร!”


               “มันผู้นั้นชื่อโกมุทเพคะ”


               แก้วกุดั่นผู้รู้ใจทำงานไม่เคยพลาด หลังจากที่เห็นภาพแห่งความใกล้ชิดนั้นนางก็รีบสืบความต่อทันที


               “เป็นเสนาบดีวัยหนุ่ม และที่สำคัญเอ่อ...ยังเป็นพระมาตุลาของเจ้าฟ้าอีกด้วยเพคะ”


               ตกพระทัยซ้ำสองเมื่อรู้ว่าบุคคลผู้นั้นมีความสำคัญในระดับเครือญาติ เจ้านางปะวะหล่ำยิ่งเจ็บพระทัยเหลือ

เกิน เจ็บจนยั้งไม่อยู่ต้องเสด็จพระราชดำเนินไปยังห้องพักของศัตรูแห่งหัวใจตามที่แก้วกุดั่นบอกทาง ทรงทุบบานประตู

ไม้อย่างแรงด้วยความคุกรุ่น รอแทบไม่ไหวในผู้อยู่ด้านในได้เปิดออก พลันเมื่อทอดพระเนตรใบหน้าของชายผู้ชื่อว่า

โกมุทแล้วเจ้านางปะวะหล่ำก็ถึงกับกัดพระโอษฐ์แน่น

               ใบหน้านั้นหวานซึ้งคลับคล้ายกับเจ้านางกุสุมาผู้เป็นพระมารดาของเจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ รูปร่างสูงโปร่งเหมาะ

เจาะพร้อมด้วยสง่าราศีแม้ว่าบัดนี้จะดูอมทุกข์อยู่ไม่น้อย เจ้านางปะวะหล่ำไม่ทรงแปลกพระทัยที่เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์จะ

ทรงมีใจให้บุรุษรูปงามคนนี้ ความเคืองแค้นรุมเร้าจนต้องออกแรงผลักไสให้โกมุทร่วงล้มไปกับพื้นและทรงก้าวตามเข้ามา

ภายในห้อง แก้วกุดั่นรีบสาวเท้าตามพร้อมปิดประตูตามอย่างรวดเร็ว

               โกมุทใจสั่นเมื่อเห็นว่าผู้บุกรุกเข้ามาในห้องส่วนตัวของเขาเป็นใคร ดวงเนตรที่จ้องเขม็งอย่างเอาเรื่องทำให้

โกมุทพอจะเดาได้ถึงเหตุผลที่เจ้านางคนใหม่ต้องลดเกียรติลงมาเช่นนี้


               “ถวายบังคมเจ้านางปะวะหล่ำพะย่ะค่ะ”


               “ก็ยังดีที่เจ้ารู้ว่าเราเป็นเจ้านาง”


               โกมุทหน้าซีดเผือดเมื่อได้ฟังคำตรัสยอกย้อน เขาได้แต่ข่มใจด้วยความอดทน


               “จำใส่หัวของเจ้าเอาไว้ ไม่ว่าก่อนหน้านี้เจ้าพี่อาทิตยวงศ์จะมีใครแต่บัดนี้เราคือเจ้านางของพระองค์ และเรา

จะไม่ยอมให้อ้ายอีตัวไหนมาแย่งเจ้าพี่ไปจากเรา”


               เจ้านางปะวะหล่ำเชิดพักตร์สูงพลางก้าวเข้าใกล้โกมุทอย่างคุกคาม


               “ครั้งนี้เราแค่มาเตือน เจ้าควรจะรู้ว่าคำเตือนของเรามีแค่ครั้งเดียว เราไม่สนว่าเจ้าจะเป็นถึงพระมาตุลาหากเจ้า

ทำให้เราโกรธเราก็ไม่ยั้งมือแน่”


               ทรงหันพระวรกายกลับออกไปพร้อมแก้วกุดั่นที่เปิดประตูรออยู่แล้วอย่างรู้พระทัย โกมุทถึงกับทรุดฮวบลงกับ

พื้นอย่างหมดแรง ดวงตาหวานร้อนผ่าวจนต้องปล่อยให้มันไหลอาบแก้ม


               อาทิตย์

               บัดนี้ดอกบัวงามใกล้เหี่ยวเฉาเพราะขาดแสงแห่งความอบอุ่น โกมุทได้แต่ปล่อยใจไปกับความระทดท้อจนสิ้น

เรี่ยวแรง
               





               เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ปวดพระเศียรเหลือเกินเมื่อการเจรจากับอุดรรังษีให้หยุดรุกรานยังไม่เป็นผลเมื่ออุดรรังษี

ต้องการพื้นที่ในเขตทับซ้อนเพิ่มขึ้น แม้จะยังเบาใจว่าช่วงนี้อุดรรังษีหันไปให้ความสนใจกับเมืองอื่นมากกว่า แต่เจ้าฟ้า

อาทิตยวงศ์เองก็ยังไม่ไว้วางพระทัย ทรงนึกหาหนทางแก้ไขโดยไม่เกิดการสูญเสียไปมากกว่านี้

               ครุ่นคิดจนกลับมาถึงห้องพระบรรทมอันมีเจ้านางปะวะหล่ำอยู่ในห้องด้วย เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ทรงเหนื่อยหน่าย

เหลือเกินเมื่อผัดผ่อนมาหลายเพลา แต่ทำเช่นไรพระองค์ก็ไม่มีความต้องการในร่างกายของพระชายาเสียที


               “นึกว่าเจ้าพี่ลืมทางกลับมาที่นี่แล้วเพราะมัวหลงไปทางอื่น”


               คำค่อนขอดเรียกให้เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ทรงเงยพักตร์ขึ้นมาอย่างไม่พอพระทัยนัก


               “หมายความเช่นไรปะวะหล่ำ นี่เจ้ากำลังต่อว่าเราอยู่ใช่ไหม”


               เจ้านางปะวะหล่ำก้าวพระบาทมาหาพลางทอดพระเนตรอย่างเจ็บแค้น


               “นึกว่าจะไม่ทรงเข้าใจเสียอีกเพคะ หม่อมฉันก็แค่กราบทูลเรื่องจริง”


               “อะไรคือเรื่องจริงของเจ้า”


               เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ตรัสถามเสียงแข็งทำให้เจ้านางปะวะหล่ำสิ้นสุดความอดทน


               “ก็เรื่องจริงที่ว่าพระองค์ไม่ต้องการหม่อมฉันเพราะมีคนอื่น”


               “ปะวะหล่ำ เจ้ากำลังกล่าวโทษเรา ตั้งแต่เราอภิเษกกับเจ้าเราไม่เคยมีใคร”


               เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์เองก็เริ่มจะหมดความอดทนเช่นกัน พักตร์จึงกร้าวขึ้นจนเจ้านางปะวะหล่ำขาดสติ


               “แล้วก่อนหน้านั้นเล่าเพคะนี่คงจะอาลัยอาวรณ์มันนักล่ะสิ ทำไมเพคะ ทรงติดใจรสชาติแห่งบุรุษอย่างพระ

มาตุลาเช่นนั้นหรือจึงไม่สนใจหม่อมฉัน”


               “ปะวะหล่ำ!”


               “อย่านึกว่าหม่อมฉันมาอยู่ที่นี่ไม่นานแล้วจะไม่รู้เรื่องอะไร ที่กริ้วขนาดนี้เพราะหม่อมฉันพูดความจริงใช่ไหม

เพคะ ถ้าไม่ใช่เรื่องจริงก็ต้องทำให้หม่อมฉันมีความสุขสิเพคะ”


               เจ้านางปะวะหล่ำดึงทึ้งอาภรณ์ออกจนเหลือแต่วรกายอวบอัดเปล่าเปลือยต่อหน้าพระพักตร์ด้วยสายพระเนตร

ท้าทาย เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ทอดพระเนตรด้วยความนึกไม่ถึง


               “เจ้ามันบ้า ปะวะหล่ำ คนอย่างเจ้านี่หรือที่ต้องมาเป็นเจ้านางแห่งรัตนปุระนคร”


               สะบัดพระพักตร์หนีและก้าวพระบาทออกไปจากห้องพระบรรทมปล่อยให้เจ้านางปะวะหล่ำส่งเสียงกรีดร้องลั่น

ห้อง แก้วกุดั่นที่รออยู่ไม่ไกลนักรีบวิ่งถลาเข้ามาปลอบโยน


               “โถ อย่ากันแสงเพคะทูนหัวของแก้วกุดั่น”


               “เจ็บใจนัก เราจะทำเช่นไรถึงจะให้เจ้าพี่หันมาสนใจเราและกำจัดมันออกไปจากชีวิตเจ้าพี่”


               แก้วกุดั่นนิ่งคิดพลันยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมา


               “หม่อมฉันได้ฟังจากนางกำนัลมาว่าที่หลังหมู่บ้านแห่งหนึ่งมีเรือนของนักบวชหญิงที่เก่งทางด้านคุณไสยนาม

ว่าแม่ย่าเฟื่องรุ้งอาศัยอยู่”


               เจ้านางปะวะหล่ำชะงักพลางหันมามองคนสนิทอย่างลังเล


               “เจ้าจะให้เราไปหานักบวชหญิงคนนั้นรึ”


               “ไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็ต้องด้วยกล ไม่ได้ด้วยมนตร์ก็ต้องคาถา มันต้องมีสักทางที่พระองค์จะทำสำเร็จเพคะ”


               พระขนงของเจ้านางปะวะหล่ำย่นจนเกือบจะชนกันเมื่อกำลังครุ่นคิดหนักหน่วง







               เจ้านางปะวะหล่ำเร้นกายออกจากพระราชวังอย่างไม่ยากเย็นนักในเช้ามืดวันต่อมาด้วยการช่วยเหลือของ

มานพและอาวุธนายทหารสองคนที่ติดสอยห้อยตามกันมาตั้งแต่เหมราช ทรงประทับในรถม้าคันเล็กเพื่อเดินทางไปยัง

ท้ายหมู่บ้านจนถึงเรือนไทยหลังเก่าที่มีต้นไม้ใหญ่ปกคลุมจนดูน่ากลัว เจ้านางปะวะหล่ำในชุดสาวชาวบ้านสั่งให้มานพ

และอาวุธเฝ้ารออยู่ด้านนอกก่อนที่พระองค์จะข่มความหวาดหวั่นแล้วก้าวเข้าไปตามทางเดินเท้าเล็กๆพร้อมแก้วกุดั่นจน

กระทั่งถึงบันไดทอดยาวสู่ชานเรือนชั้นบน

               ชานเรือนกว้าง เก่าคร่ำ ได้ยินเสียงเอี๊ยดอ๊าดทุกครั้งที่ย่ำเท้า เจ้านางปะวะหล่ำหันกลับไปสบตากับแก้วกุดั่น

บ่อยครั้งด้วยความไม่มั่นใจจนกระทั่งสะดุ้งสุดตัวเมื่อได้ยินเสียงเปิดประตู


               “มีผู้ใดอยู่อยู่หรือไม่ เรามาหาแม่ย่าเฟื่องรุ้ง”


               ส่งเสียงถามออกไปพลันตกพระทัยเมื่ออยู่ๆร่างผอมในชุดสีเข้มทั้งตัวก็โผล่มาจากความมืดของเรือนไทย


               “ข้าคือเฟื่องรุ้ง มีธุระอันใดกับข้า”


               เมื่อร่างนั้นก้าวออกมาให้เห็นเต็มตาเจ้านางปะวะหล่ำถึงกับอ้าโอษฐ์ค้าง


               นามเรียกขานว่าแม่ย่าทำให้ทรงจินตนาการว่าต้องเป็นหญิงชราวัยใกล้จะเข้าโลง แต่ร่างที่ปรากฏให้เห็นกลับ

เป็นสตรีร่างสูงผอมใบหน้าดุจนน่าเกรงขามตัดผมสั้นจนเดาอายุไม่ออก แต่เจ้านางปะวะหล่ำคาดการไว้ว่าอย่างไรอายุ

ของแม่ย่าเฟื่องรุ้งก็ไม่น่าจะเกินสี่สิบปีเท่านั้น




TBC

ใครคิดถึงพ่อสมิงใจเย็นๆน้า

ต้องรู้ที่มาก่อนว่าทำไมโกมุทถึงได้แค้นเคืองนัก

เดี๋ยวพ่อสมิงค่อยออกตอนที่โกมุทหนีไปพร้อมอัคคีนะจ๊ะ แบ่งบทให้เจ้าฟ้าอาทิตย์ก่อน
 o18 o18 o18
หัวข้อ: Re: บัลลังก์รักใต้เงาแค้น บทที่ 12.1 [ 28 / 11 / 58 ]
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 28-11-2015 21:19:50
เดาว่าแม่ย่านี่แหละตัวร้ายอันดับหนึ่งเลย
ขอบคุณที่มาต่อนะคะ
หัวข้อ: Re: บัลลังก์รักใต้เงาแค้น บทที่ 12.1 [ 28 / 11 / 58 ]
เริ่มหัวข้อโดย: nunda ที่ 28-11-2015 21:53:00
เอาจริงๆนะ เราว่าปะวะหล่ำก็น่าสงสารอยู่นะ
เป็นผู้หญิงต่างบ้านต่างเมือง ถูกจับให้แต่งงานการเมือง
แต่พอมาถึง สามีคนที่ตนจะฝากผีฝากไข้ด้วยกลับไม่สนใจ มันก็น่าเศร้าอยู่นะ
คือถ้านางเป็นผู้หญิงสมัยนี้อาจจะสะบัดก้นกลับบ้านไปแล้ว
ทำไมต้องง้อคนที่ไม่สนใจเรา จริงมะ???
หัวข้อ: Re: บัลลังก์รักใต้เงาแค้น บทที่ 12.1 [ 28 / 11 / 58 ]
เริ่มหัวข้อโดย: kms ที่ 28-11-2015 23:38:51
หมอผีมาแล้ว ร้ายแน่ๆ
โกมุทจะโดนอะไรบ้าง เศร้าล่วงหน้าาาา
หัวข้อ: Re: บัลลังก์รักใต้เงาแค้น บทที่ 12.1 [ 28 / 11 / 58 ]
เริ่มหัวข้อโดย: aisen ที่ 28-11-2015 23:54:04
เข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ รออ่านเรื่องพ่อมเนื้อเรื่องภาคลูกจะค่อยตามมาใช่ไหม
หัวข้อ: บัลลังก์รักใต้เงาแค้น บทที่ 12.2 [ 29 / 11 / 58 ] 100%
เริ่มหัวข้อโดย: Belove ที่ 29-11-2015 11:22:59


                                                บัลลังก์รักใต้เงาแค้น

                                                       บทที่ 12.2



             เมื่อได้สบตาเจ้านางปะวะหล่ำจึงถึงกับแข้งขาอ่อนเมื่อแม่ย่าเฟื่องรุ้งจ้องมองด้วยนัยน์ตาวาวราวกับปีศาจทะลุ

ทะลวงเข้าในหัวใจอันเต็มไปด้วยไฟแค้น มุมปากลึกกดลงแสยะยิ้มทำให้ใบหน้านั้นยิ่งดูน่าหวาดหวั่น


               “หญิงผู้สูงศักดิ์มาถึงเรือนชานต้องต้อนรับ เชิญ”


               ก้าวหันหลังกลับเข้าไปยังห้องที่จากมา หากแต่คราวนี้ประตูยังเปิดกว้างรอให้เจ้านางปะวะหล่ำที่ยืนนิ่งราวกับ

ถูกสะกดก้าวพระบาทผ่านโต๊ะว่างเครื่องรางของขลังเข้าไปภายในห้องนั้น


               “เจ้านาง ระวังเพคะ ว้าย!”


               แก้วกุดั่นที่ทำท่าจะก้าวตามกลับต้องตกใจจนสติใกล้วิปลาสเมื่ออยู่ๆบานประตูไม้ก็ปิดฉับอยู่ตรงหน้ากีดกัน

นางจากเจ้านายให้อยู่ลำพังกับเจ้าของบ้าน แก้วกุดั่นหน้าซีดแข้งขาทรุดอยู่ตรงหน้าบานประตูนั่นเอง

               เจ้านางปะวะหล่ำสะดุ้งสุดตัวเมื่อบานประตูปิดลงทันทีเมื่อพระองค์ก้าวมาสู่ภายในที่มีเครื่องโต๊ะหมู่เรียงราย

เต็มไปด้วยของขลัง แม่ย่าเฟื่องรุ้งนั่งนิ่งขัดสมาธิอยู่เบื้องหน้าโต๊ะหมู่นั้น เจ้านางปะวะหล่ำได้แต่กลืนพระเขฬะเหนียว

หนับลงคอเมื่อจำใจต้องก้าวไปประทับนั่งเผชิญหน้าอยู่ตรงกันข้าม


                “สิ่งที่ต้องการช่างยากเย็นเข็ญใจยิ่ง เมื่ออีกฝ่ายเขาเห็นเจ้าเป็นเพียงอากาศธาตุ”


               เจ้านางปะวะหล่ำเงยหน้าสบตาด้วยดวงเนตรเบิกกว้าง คำพูดของเฟื่องรุ้งที่พูดออกมาโดยที่พระองค์ยังไม่ทัน

ตรัสถามทำให้ความเลื่อมใสบังเกิดขึ้นในพระทัยของสาวน้อยวัยดรุณีเช่นพระองค์


               “ยากเย็นเช่นไรก็ตาม แต่ข้าจำเป็นต้องได้”


               ริมฝีปากคล้ำเหยียดยิ้มลึก ดวงตาดุเบิกโพลงวาววับเมื่อได้ยินคำตอบของผู้มาเยือน


               “แม้ว่าจะต้องลงทุนราคาแพงงั้นรึ”


               พระพักตร์หล่อเหล่าสมชายชาตรีของเจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ผุดขึ้นกลางมโนสำนึก ความร้อนรุ่มติดตามมาจน

วรกายสั่นสะท้านยามที่เจ้านางปะวะหล่ำเชิดพักตร์และจ้องมองเฟื่องรุ้งกลับอย่างมั่นใจในคำตอบ


               “ขอให้ได้ในสิ่งที่ข้าต้องการ ลงทุนหนักหนาเพียงไหนข้าก็จ่ายได้”


               พระทัยเต้นรัวด้วยความหวาดหวั่นเมื่อเห็นนักบวชหญิงยกมือลูบปากช้าๆ แม่ย่าเฟื่องรุ้งคว้าถุงผ้าเก่าคร่ำใบ

หนึ่งมาจากพานเล็กที่วางอยู่บนโต๊ะหมู่ด้านหลัง


               “สิ่งที่อยู่ในถุงนี้เป็นสมุนไพรที่หาได้ยากยิ่ง เพียงแค่ต้มน้ำดื่มกินขอแค่เพียงแตะปลายลิ้น ไม่ว่ามันผู้ใดมี

หัวใจแข็งแกร่งแค่ไหนก็ต้องยอมสยบให้กับอารมณ์ดิบที่ฝังอยู่จนกระทั่งมัวเมาอยู่ในความกำหนัด ชื่อของมันคือว่าน

กามา”


               สรรพคุณของว่านกามาทำให้เจ้านางปะวะหล่ำพึงใจเป็นอย่างยิ่ง ร่างอวบอัดขยับเข้าใกล้แม่ย่าเฟื่องรุ้งโดย

ไม่รู้องค์พลางยกหัตถ์ไขว่คว้าถุงผ้าที่เฟื่องรุ้งหลอกล่อจนกระทั่งหญิงสูงศักดิ์อยู่ใกล้จนยกมือคว้าเข้ามาสู่ตัวได้


               “ข้าต้องการมันแม่ย่า”


               “ข้าบอกเจ้าแล้วว่าราคามันแสนแพง”


               เสียงเรียบกับมีรอยกระหายแต่ในตอนนี้เจ้านางปะวะหล่ำไม่ทันสังเกตสิ่งใดแล้วเมื่อสายตาได้แต่จับจองอยู่

กับถุงบรรจุว่านกามา


               “จะให้ข้าจ่ายเท่าไหร่โปรดบอกข้า”


               “ราคาของมันแพงเท่ากับร่างกายของเจ้าเอง”


               วรกายอวบอัดถูกพลิกให้นอนหงายอยู่หน้าโต๊ะหมู่นั่นเอง แม้ว่านักบวชหญิงจะมีรูปร่างผอมเกร็งแต่เจ้านาง

ปะวะหล่ำกลับไม่อาจหาญสู้ ได้แต่ปล่อยให้ปลายนิ้วยาวแหลมดึงเชือกของเสื้อที่ผูกมัดอยู่ตรงเอวให้คลายออกจนอวด

อกอิ่มล่อตาก่อนที่ปลายนิ้วนั่นจะเอื้อมไปแตะที่ข้อเท้าแล้วลากไล้ขึ้นมาตามท่อนขาจนผ้าซิ่นที่สวมอยู่ค่อยๆสูงขึ้นตาม

ปลายนิ้วมองเห็นท่อนขาขาวเรียว

               ไม่รู้ว่าความหาญกล้าของพระองค์มันหดหายไปไหนแต่ตอนนี้เจ้านางปะวะหล่ำได้แต่นอนนิ่งทั้งที่พระทัยไหว

ระรัวจนอกกระเพื่อมกับการกระทำของเฟื่องรุ้ง ดวงตาดุเบิกโพลงขณะบีบมือลงไปที่ต้นขาอ่อนก่อนจะควานนิ้วเข้าไปใน

ร่องหลืบจนเจ้านางปะวะหล่ำผวา


               “อ๊า...”


               ครั้งแรกที่มีสิ่งแปลกปลอมมาแตะต้องจุดสงวน พระโอษฐ์ถึงกับสั่นระริกกับความรู้สึกแปลกใหม่ที่ได้ลิ้มลอง

ทรงแอ่นกายช้าๆเมื่อเฟื่องรุ้งโน้มกายลงมาขบเม้มปลายถันให้ยิ่งสยิวกาย บัดนี้เจ้านางปะวะหล่ำไม่รั้งรอที่จะเปิดทางให้

แม่ย่าเฟื่องรุ้งได้ล่วงล้ำเข้าไป ลมหายใจหอบหนักเมื่อลิ้นร้อนลากยาวไปจนถึงเนินนุ่มแล้วตักตวงอย่างกระหาย เจ้านาง

ปะวะหล่ำหวีดร้องอย่างสิ้นความอับอายเมื่อร่างกายกำลังถูกกระชากให้ปริแตกด้วยฝีมือของแม่ย่าเฟื่องรุ้ง

               


               “เจ้านาง เกิดเหตุอันใดภายในห้องเพคะ”


               แก้วกุดั่นที่นั่งรอจนแทบหลับคาพื้นรีบยันกายขึ้นมาอย่างรวดเร็วเมื่อเห็นเจ้านายเหนือหัวก้าวกลับออกมาจาก

ห้องมืด หากแต่บัดนี้เจ้านายของตนกลับเปลี่ยนไปจากตอนที่มาราวคนละคน

               แม้จะสวมเสื้อผ้าอย่างสาวชาวบ้านแต่มันก็งดงามด้วยการรีดจนเรียบ แต่เมื่อกลับออกมาเสื้อผ้านั้นยับยู่ยี่และ

พระพักตร์ที่มีแต่ความบึ้งตึงในตอนนี้ช่างอิ่มเอิบราวกับต้นไม้เฉาที่ได้น้ำเลี้ยงรวมทั้งรอยยิ้มสาสมใจเมื่อทรงชูถุงผ้าแสน

เก่าในอุ้งหัตถ์


               “กลับกันเถิดแก้วกุดั่น อีกไม่นานเจ้าพี่อาทิตยวงศ์จะต้องเป็นของเรา”








               วันนี้เป็นวันแรกที่เจ้านางองค์ใหม่แห่งรัตนปุระนครมานั่งอยู่ในที่ประชุมของเสนาธิการด้วยเมื่อหัวข้อการ

ประชุมเกี่ยวข้องกับเขตชายแดนของเหมราชเช่นกัน หางพระเนตรสะบัดใส่โกมุทจนกระทั่งเจ้าตัวต้องยืนนิ่งด้วยความ

อดทน

               ข้อถกเถียงกันเรื่องความต้องการของอุดรรังษีดังอื้ออึงอยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่งจนกระทั่งเจ้านางปะวะหล่ำตรัส

เสนอออกมา


               “เจ้าฟ้าแห่งอุดรรังษีเต็มไปด้วยความละโมบแม้ว่าจะทรงชรามากแล้ว แต่เจ้าชายวัชรศรอันเป็นรัชทายาทก็

ทรงนิยมในการก่อศึกไม่แตกต่างจากพระบิดาหรอก”


               “แล้วเจ้านางมีความคิดเห็นประการใดพะย่ะค่ะ”


               “ก็ลองถามเขาว่าถ้าเราไม่อยากมีเรื่องจะต้องทำเช่นไรบ้าง แต่ถ้าเราส่งพวกนักการทูติหางแถวไปก็จะเป็นที่

กังขาว่าไม่ให้เกียรติอุดรรังษี ข้าคิดว่าควรจะส่งเสนาบดีที่มีสิทธิ์อำนาจตัดสินใจไปด้วยตัวเอง”


               เสียงฮือฮาดังขึ้นอีกครั้ง เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ทรงมองพระชายาอย่างไม่ไว้วางพระทัยนัก


               “ที่เจ้าเสนอมาก็มีส่วนดีอยู่ปะวะหล่ำ แต่ใครเล่าที่จะเป็นผู้เหมาะสมถือสาส์นเจริญสัมพันธไมตรี”


               เจ้านางปะวะหล่ำคลี่ยิ้มพลางตวัดสายพระเนตรไปยังโกมุททันที


               “เสนาบดีโกมุทเช่นไรเล่าเพคะ นอกจากจะเป็นผู้มีความสามารถเรื่องการต่างประเทศแล้วยังเป็นถึงพระ

มาตุลาของเจ้าฟ้าแห่งรัตนปุระนคร”


               “ไม่ได้!”


               เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ทรงตวาดลั่นพลันผุดลุกขึ้นยืนด้วยความเคืองขุ่นในข้อเสนอนั้น


               “งานนี้เสี่ยงอันตรายยิ่งนัก ข้าจะไม่ยอมให้ท่านน้าไปเสี่ยงเด็ดขาด”


               “โถ พระองค์เพคะ เพื่อบ้านเมืองแล้วผู้ใดก็จำต้องเสี่ยงทั้งนั้น แม้แต่หม่อมฉันยังยอมจากบ้านจากเมืองมา

เพื่อทำหน้าที่เชื่อมสัมพันธไมตรีระหว่างรัตนปุระนครกับเหมราช แล้วเหตุใดท่านโกมุทถึงจะเห็นแก่ความสุขความ

ปลอดภัยส่วนตัวจนไม่ยอมเสี่ยงเล่าเพคะ”


               “ปะวะหล่ำ!”


               “กราบทูลฝ่าบาท”


               โกมุทก้าวออกมาและเอ่ยด้วยเสียงเด็ดขาด


               “หม่อมฉันจะเป็นผู้เชิญสาส์นไปยังอุดรรังษีเองพะย่ะค่ะ”




                      ------------------------โปรดติดตามตอนต่อไป----------------------------   

                   ได้โปรดลงคอมเมนท์กันเถิด คนแต่งอยากรู้ว่าคนอ่านคิดอะไรอยู่ นะนะ พลีสสส            
                 

                                                      :o12: :o12: :o12:



หัวข้อ: Re: บัลลังก์รักใต้เงาแค้น บทที่ 12.2 [ 29 / 11 / 58 ] 100%
เริ่มหัวข้อโดย: kms ที่ 29-11-2015 12:15:06
คิดอยู่ว่าเมื่อไหร่จะได้เจอพ่อสมิง อิอิ
พูดเล่นค่ะ คิดว่าเด๋วต่อไปโกมุทคงจะโดนทำร้ายจนเข้าใจผิดกับเจ้าอาทิตย์
แต่ไม่อยากให้โกมุทกลายเปนคนไม่ดีเลย
ตอนแรกๆนิสัยโกมุทดูยังมีแต่ความแค้น อยากให้มีชีวิตแบบมีความสุข ไหนๆก็มีพ่อสมิงแล้วไรงี้ 555
หัวข้อ: Re: บัลลังก์รักใต้เงาแค้น บทที่ 12.2 [ 29 / 11 / 58 ] 100%
เริ่มหัวข้อโดย: kms ที่ 10-12-2015 02:51:44
Lol
หัวข้อ: Re: บัลลังก์รักใต้เงาแค้น บทที่ 12.2 [ 29 / 11 / 58 ] 100%
เริ่มหัวข้อโดย: Guill ที่ 10-12-2015 11:25:05
มารอติดตามจ้า
หัวข้อ: Re: บัลลังก์รักใต้เงาแค้น บทที่ 12.2 [ 29 / 11 / 58 ] 100%
เริ่มหัวข้อโดย: darkside8 ที่ 20-12-2015 09:07:22
มารอติดตามเหมือนกันครับ

 :hao6:
หัวข้อ: Re: บัลลังก์รักใต้เงาแค้น บทที่ 12.2 [ 29 / 11 / 58 ] 100%
เริ่มหัวข้อโดย: วายซ่า ที่ 26-12-2015 11:18:51
กะลังเข้มข้นเลย รอต่อนะคะ
หัวข้อ: Re: บัลลังก์รักใต้เงาแค้น บทที่ 12.2 [ 29 / 11 / 58 ] 100%
เริ่มหัวข้อโดย: winmania ที่ 27-12-2015 14:51:11
ลุ้นว่าอะไรทำให้โกมุทโกรธเกลียดอาทิตย์ขนาดนั้น

ใจเลยอยากให้โกมุทรักพ่อสมิงนะ แต่ท่าจะเป็นไปได้ยากเพราะขนาดมีอะไรกันอยู่กะพ่อสมิง โกมุทยังเพ้อถึงอาทิตย์อยู่เลย เฮ้อออสงสารพ่อสมิงอ่ะ
หัวข้อ: Re: บัลลังก์รักใต้เงาแค้น บทที่ 12.2 [ 29 / 11 / 58 ] 100%
เริ่มหัวข้อโดย: Nus@nT@R@ ที่ 02-01-2016 20:19:23
โอ้ยยยย กำลังสนุกเลยค่ะ มาต่อไวๆนะคะ
หัวข้อ: Re: บัลลังก์รักใต้เงาแค้น บทที่ 12.2 [ 29 / 11 / 58 ] 100%
เริ่มหัวข้อโดย: papanoy ที่ 02-01-2016 23:52:40
ตกลงเรื่องนี้คนเขียนจะไม่เขียนต่อแล้วจริงๆ เหรอ เสียดายจัง
คิดถึงเจ้าชายอินทัชกับอัคคีมากมาย
                           :กอด1:
หัวข้อ: Re: บัลลังก์รักใต้เงาแค้น บทที่ 12.2 [ 29 / 11 / 58 ] 100%
เริ่มหัวข้อโดย: kms ที่ 03-01-2016 03:27:54
รอเสมอ ฮือออออออ
หัวข้อ: Re: บัลลังก์รักใต้เงาแค้น บทที่ 12.2 [ 29 / 11 / 58 ] 100%
เริ่มหัวข้อโดย: Belove ที่ 03-01-2016 03:34:23
ตกลงเรื่องนี้คนเขียนจะไม่เขียนต่อแล้วจริงๆ เหรอ เสียดายจัง
คิดถึงเจ้าชายอินทัชกับอัคคีมากมาย
                           :กอด1:


คนแต่งรู้สึกเฟลนิดหน่อยสำหรับเรื่องนี้ค่ะ
ประกอบกับต้องเคลียร์เรื่องที่ต้องแต่งบทพิเศษเรื่องอื่นอีก
ก็เลยหายไป
รอให้หายเฟลและเคลียร์เรื่องอื่นเสร็จจะกลับมาแต่งต่อนะคะ
ขอบคุณที่ติดตามค่ะ ^^
หัวข้อ: Re: บัลลังก์รักใต้เงาแค้น บทที่ 12.2 [ 29 / 11 / 58 ] 100%
เริ่มหัวข้อโดย: Silvan ที่ 03-01-2016 09:21:54
รอได้ค่ะ แต่อย่าหายไปนานน้า
หัวข้อ: Re: บัลลังก์รักใต้เงาแค้น บทที่ 12.2 [ 29 / 11 / 58 ] 100%
เริ่มหัวข้อโดย: little_munoi ที่ 06-01-2016 08:50:52
ผู้หญิงนี่ร้ายจังงงง โอ๊ยยยยย
สงสารโกมุท สงสารอาทิตย์
หง่าาาา รุ่นพ่อนี่ดราม่าจัง
หัวข้อ: บัลลังก์รักใต้เงาแค้น บทที่ 13/1 [ 28 / 01 /59 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Belove ที่ 28-01-2016 12:45:27


                                                             บัลลังก์รักใต้เงาแค้น

                                                                   บทที่  13/1


               สถานที่เดียวที่ปลอดภัยพอที่จะได้พบหน้ากันได้ก็คือห้องบรรทมของเจ้านางกุสุมาที่พลานามัยยังไม่สมบูรณ์นักด้วยพระ

หทัยที่อ่อนแอลง โกมุทเข้ามาดูแลพี่สาวสูงศักดิ์เป็นประจำโดยเฉพาะวันนี้ที่เขานั่งมองเจ้านางด้วยความรักและภักดีก่อนจะจากไกล

เดินทางสู่อุดรรังษีในวันรุ่งขึ้น เจ้านางกุสุมาบรรทมลงไปหลังจากเสวยยาที่หมอหลวงจัดถวายแล้ว

               บานประตูเปิดออก เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ก้าวพระบาทเข้ามาภายใน ทรงทรุดวรกายลงนั่งบนขอบพระแท่นบรรทมและทอด

พระเนตรพระมารดาด้วยความเป็นห่วง


               “ท่านแม่ยังไม่แข็งแรง ท่านน้าก็ยังจะทิ้งไปอีก”


               “หม่อมฉันทำเพื่อบ้านเมือง”


               “เรารู้”


               รู้ดีแต่หัวใจยังคงเป็นกังวล เจ้าฟ้าเหนือหัววางหัตถ์แนบไปบนมือเรียวของโกมุท พลางสบตากันด้วยความอาลัย


               “ดูแลตนเองด้วยโกมุท รู้ใช่ไหมว่าเรารักเจ้าแค่ไหน”


               น้ำตาหยดหนึ่งร่วงลงมือด้วยความอาดูร โกมุทยกหัตถ์นั้นขึ้นวางบนกระหม่อมและนำมาแนบที่แก้มของตน


               “หม่อมฉันรู้ และพระองค์ก็เป็นยอดดวงใจของหม่อมฉันเช่นกัน”


               ทำได้แค่เพียงทาบโอษฐ์ลงไปกับกลีบปากนุ่มเพื่ออำลา เพียงเวลาน้อยนิดแต่จารึกอยู่ในหัวใจทั้งคู่ตลอดไป



               

               ขบวนเดินทางของเสนาบดีโกมุทด้วยม้าเร็วหลายตัวออกเดินทางตั้งแต่เช้ามืด เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ทรงเป็นกังวลไม่น้อย ทูต

ถือราชสาส์นถือเป็นงานที่เสี่ยงมาก เพราะหากเมืองที่ไปไม่พอใจก็อาจเกิดอันตรายแก่คนถือสาส์นก็เป็นได้ ความกังวลนั้นทำให้เจ้าฟ้า

อาทิตยวงศ์หงุดหงิดตลอดทั้งวัน


                “เจ้านางปะวะหล่ำให้หม่อมฉันกราบทูลฝ่าบาทให้เสวยพระกระยาหารร่วมกันเพคะ”


               นางกำนัลกราบทูลเมื่อพระองค์อยู่ในห้องกับพระมารดา


               “กลับไปทูลเจ้านางว่าเราจะอยู่ดูแลพระมารดา”


               เจ้านางกุสุมายกหัตถ์แตะพระพาหุของราชโอรส


               “ไปเถอะลูก ไปอยู่กับเจ้านาง เช่นไรก็อภิเษกอยู่ร่วมกันแล้ว แม่อยู่ได้ แม่พวกนี้ก็อยู่กันเยอะแยะ”


               เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ถอนพระอัสสาสะพลางกำชับให้นางกำนัลดูแลพระมารดาก่อนจะก้าวกลับไปยังตำหนัก พระขนงขมวดมุ่น

เมื่อทอดพระเนตรเจ้านางปะวะหล่ำที่ทรงรออยู่ที่โต๊ะเครื่องเสวย


               “รู้ว่าเราอยู่กับพระมารดาเจ้ายังส่งคนไปตามเราอีกนะปะวะหล่ำ”


               เจ้านางปะวะหล่ำเชิดพักตร์พลางแย้มสรวลเชิงท้าทาย


               “ทำไมเพคะ กินข้าวกับเมียแค่นี้ถึงกับกริ้วเชียวหรือ”


               “ปะวะหล่ำ!”


               “อย่างน้อยเสวยน้ำสุธารสสักแก้วหม่อมฉันก็ดีใจจนน้ำตาจะไหลแล้ว”


               “แค่น้ำใช่ไหม”


               ทรงคว้าแก้วน้ำใสขึ้นมาดื่มราวประชดก่อนจะกระแทกมันกลับคืนไปยังโต๊ะ เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ทรงหันพระองค์หมุนกลับหาก

แต่พระอาการแปลกประหลาดกลับเกิดขึ้นจนต้องยกหัตถ์กุมพระเศียร

               โลกราวกับหมุนคว้าง พระเสโทหลั่งไหลราวกับน้ำหากแต่หนาวเหน็บสลับร้อนวูบวาบไปทั่ววรกายก่อนไหลรินไปตรง

จุดศูนย์กลางจนกำหนัดหลงลืมองค์ไปหมดสิ้น ได้แต่มองพระปฤษฎางค์เจ้านางปะวะหล่ำที่ก้าวพระบาทนำไปยังห้องบรรทมด้วยพระ

พักตร์ยั่วยวน ทรงกระชากภูษาขาดวิ่นและเหวี่ยงพระชายาขึ้นไปบนแท่นพระบรรทมและกระโจนตามขึ้นไปทันที






               การเดินทางไปยังอุดรรังษีมิใช่เรื่องง่ายเพราะเป็นเมืองที่มีขุนเขาใหญ่น้อยโอบล้อมเป็นปราการด่านสำคัญ กว่าจะไปถึง

ราชวังงดงามโอ่อ่าก็ร่วมเดือน เมื่อก้าวเข้าสู่ท้องพระโรงอันมีเจ้าฟ้าแห่งอุดรรังษีและเจ้าชายวัชรศรว่าราชการโกมุทก็เริ่มทำงาน

               ทันทีที่สบตากับเจ้าชายวัชรศรโกมุทก็กระตุกวาบเมื่อคลับคล้ายกับเคยเห็นที่ไหนมาก่อน เขารีบทบทวนความทรงจำโดย

พลัน

               วันนั้น ในป่าใหญ่ชายแดนเมืองรัตนปุระนคร!

               เจ้าของดวงตาประกายหมายมาดนี้เองที่สบตากับโกมุทขณะลอบลาดตะเวน

               หัวใจของโกมุทพลันสะดุ้ง เมื่อจำได้แล้วว่าคนที่ปะทะฝีมือกันและเขายังฝากรอยแผลจากฝีมือยิงธนูเข้าใส่ที่ต้นแขนนั้นคือ

เจ้าชายรัชทายาทแห่งอุดรรังษีที่เขาต้องมาเจริญสัมพันธไมตรี


               “ผู้นำสาส์นครานี้เป็นถึงพระมาตุลางั้นรึ ถือว่าให้เกียรติอุดรรังษียิ่งนัก”


               เจ้าชายรัชทายาทผู้มีอำนาจไม่แพ้พระบิดาตรัสเสียงกระหยิ่ม เนตรยามทอดมองนั้นทำให้โกมุทถึงกับหนาวๆร้อนๆ

เขาได้แต่ฝืนยิ้มและเอื้อนเอ่ยเจรจาทางการทูต


               “เกล้ากระหม่อมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าทั้งสองเมืองน่าจะปรองดองและช่วยกันพัฒนาบ้านเมืองให้เจริญด้วยการค้า ศึกรบนั้นมี

แต่จะสูญเสียกันทุกฝ่าย”


               “เจรจาได้ดี” เจ้าชายวัชรศรสรวลหนักอย่างถูกพระทัย


               “รูปงามและฉลาดนัก เราชักอิจฉาเจ้าฟ้าอาทิตย์เสียแล้วที่มีเสนาบดีเช่นท่าน”


               ตรัสชมออกนอกหน้าจนโกมุทได้แต่ฝืนยิ้ม


               “เดินทางมาแรมเดือนคงจะอ่อนล้ากันมาก เชิญพวกท่านพักผ่อนให้สบายใจที่อุดรรังษีเถิด”
               



               โกมุทและเหล่าทหารที่ร่วมเดินทางมาจากรัตนปุระนครจำเป็นต้องพักอยู่ที่อุดรรังษีอย่างไม่มีกำหนดกลับแม้จะว้าวุ่นใจเพียง

ใด สาเหตุเพราะเจ้าฟ้าแห่งอุดรรังษีมิยอมตอบถ้อยความในราชสาส์นเสียที


               “ทรงประชวร มิสามารถว่าราชการได้ ช่วงนี้เจ้าชายวัชรศรทรงว่าราลการแทน”


               คำตอบจากเสนาบดีของอุดรรังษีเป็นเช่นนั้นแม้ว่าโกมุทจะนั่งเล่นนอนเล่นนานเดือนเศษแล้วก็ตาม ความเป็นห่วงบ้านเมือง

และทั้งเจ้านางกุสุมาพี่สาวรวมถึงเจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ทำให้โกมุทหมดความอดทนลง เขาจึงขอเข้าเฝ้าเจ้าชายวัชรศรในวันหนึ่ง


               “มีรับสั่งให้ท่านเสนาบดีโกมุทเข้าเฝ้าบัดเดี๋ยวนี้”


               นายทหารรักษาพระองค์มาแจ้งต่อโกมุท เขาถึงกับขมวดคิ้วเมื่อเห็นเป็นเวลาโพล้เพล้เต็มที


               “บัดนี้งั้นหรือ นี่มันค่ำแล้ว”


               “เพิ่งเสร็จจากงานขอรับ ไม่มีเวลาสะดวกนอกจากบัดนี้”


               โกมุทถอนหายใจเมื่อรับรู้ถึงความจำเป็น แต่แล้วคิ้วโก่งกลับยิ่งขมวดหนักขึ้นไปอีกเมื่อทหารของเขาถูกกีดกันมิให้ไปด้วย


               “ทรงมีรับสั่งเพียงแค่ท่านโกมุทผู้เดียว ผู้อื่นย่อมมิอาจเข้าเฝ้าได้”


               ต้องเอ่ยห้ามอาการฮึดฮัดของเหล่าทหารที่ไม่พอใจคำสั่งนั้น โกมุทตัดสินใจเด็ดขาด


               “ก็ได้ นำเราไปสิ”


               ข่มความหวาดหวั่นไปยังตำหนักเจ้าหอหน้าของเจ้าชายรัชทายาทอันโอ่อ่ากว้างขวาง ก้าวตามทหารไปยังห้องโถงกว้างห้อง

หนึ่งและหยุดยืนกลางห้อง พลันโกมุทต้องตกใจเมื่อทหารที่นำมากลับปิดประตูหนาหนักและทิ้งเขาไว้เพียงลำพัง และเพียงไม่กี่อึดใจ

โกมุทก็ต้องซ่อนความพรั่นพรึงไว้เมื่อเห็นเจ้าชายวัชรศรก้าวเดินมาจากประตูอีกด้านหนึ่ง


               “ขอเดชะ ฝ่าละอองพระบาท”


               โค้งคำนับและกล่าวคำทักเมื่อเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้งโกมุทจึงต้องสู้ตากับดวงตามากเล่ห์ราวกับสุนัขป่า


               “พบกันอีกครั้งนะโกมุท”


               ยิ้มลึกมุมโอษฐ์นั้นทำให้โกมุทหายใจไม่ทั่วท้องเสียเลย


               “หลังจากวันที่เจ้าทักเราด้วยลูกศรแสนคม”
               

               


                TBC


กลับมาแต่งต่อแล้ว ลืมเรื่องนี้กันไปแล้วหรือยัง

มะคืนท่านน้าโกมุทมาเข้าฝัน

แต่แต่งได้แป๊บเดียวก็ต้องไปธุระแล้ว ว่างเมื่อไหร่จะมาต่อน้า



 :mew1: :mew1:   
หัวข้อ: บัลลังก์รักใต้เงาแค้น บทที่ 13/2 [ 30 / 01 /59 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Belove ที่ 30-01-2016 00:35:26


                                          บัลลังก์รักใต้เงาแค้น 


                                              บทที่ 13/2


              “ขอประทานอภัย หม่อมฉันไม่ทราบว่าชายปิดหน้าปิดตาผู้นั้นคือพระองค์”


               โกมุทเอ่ยเสียงเรียบ เขาเชิดหน้าขึ้นด้วยความทรนงในศักดิ์ศรี


               “ใครจะคาดคิดว่าองค์รัชทายาทแห่งอุดรรังษีจะสอดแนมกองกำลังของข้าศึกด้วยองค์เอง”


               กล้าหาญและกำแหงนัก!


               เจ้าชายวัชรศรจ้องมองชายหนุ่มเบื้องหน้าอย่างถูกพระทัย อันที่จริงก็ถูกพระทัยตั้งแต่กลางป่าแล้วและยิ่งเมื่อเห็นพิษสง

ฝีปากกล้าก็ยิ่งทำให้ต้องการเอาชนะ


               “คิดการใหญ่ใจต้องนิ่ง ท่านเสนาบดีก็น่าจะรู้มิเช่นนั้นคงไม่กล้ามาเยือนถิ่นเราด้วยตัวท่านเองหรอก”


               ทรงก้าวเข้ามาใกล้มากขึ้นจนโกมุทต้องลอบกลืนน้ำลาย ทีท่าของเจ้าชายวัชรศรช่างไม่น่าไว้วางใจยิ่งนัก


               “หม่อมฉันถือเป็นเกียรติที่ได้มาเยือนอุดรรังษี”


               “หากถือเป็นเกียรติท่านเสนาบดีก็ควรคิดพำนักที่นี่เป็นการถาวร”


               “พระองค์ทรงหมายถึงเช่นไรพะย่ะค่ะ หม่อมฉันเขลาเกินกว่าจะเข้าใจ”


               ริมฝีปากของโกมุทสั่นเทาด้วยความหวาดหวั่นเมื่อเจ้าชายวัชรศรขยับเข้าใกล้จนแทบไม่เหลือช่องว่าง ทรงวางหัตถ์บนไหล่

ของโกมุทและจ้องมองด้วยดวงเนตรวาววับ


               “ท่านเป็นถึงพระมาตุลามิใช่หรือ คงจะเป็นการดีกว่านี้มากหากทั้งสองเมืองจะเจริญสัมพันธไมตรีแน่นแฟ้นด้วยการผูกญาติกัน

เสีย”


               “ผูกญาติ”


               โกมุทก้าวถอยหลังด้วยความกลัวแต่แล้วแขนของเขาก็ถูกกระชากด้วยแรงจากหัตถ์แข็งแกร่งดุจเหล็กกล้าและดึงเข้าหา

พระองค์


               “คนฉลาดอย่างท่านอย่าได้เสแสร้งแกล้งโง่ไปหน่อยเลยโกมุท ท่านรู้อยู่แก่ใจว่าเราพึงใจในตัวท่านตั้งแต่วินาทีแรกที่สบตา

กันกลางป่า”


               “ปล่อยหม่อมฉันเดี๋ยวนี้!”


               ดิ้นรนสุดแรงเกิดหากแต่เจ้าชายวัชรศรกลับไม่ยอมปล่อย ทรงก้มพักตร์เข้าใกล้หวังล่วงเกินใบหน้างามของโกมุทที่หลบเลี่ยง

หนี


               “เจ้าจะดิ้นรนเพื่ออะไรโกมุท เจ้าควรจะยินยอมให้เราได้เชยชมให้สมใจที่ตั้งตารอคอยเจ้า”


               รอคอยงั้นหรือ?


               แม้จะอยู่ในความหวาดหวั่นแต่สมองของโกมุทก็ยังแล่นปราด เหตุใดเจ้าชายวัชรศรจึงตรัสราวกับรู้ว่าต้องเป็นโกมุทที่เดินทาง

มายังอุดรรังษี


               “ไม่มีทาง ปล่อยนะ”


               เค้นแรงสุดตัวผลักร่างหนาของเจ้าชายวัชรศรออกไป เจ้าชายรัชทายาทสบถอย่างหงุดหงิดและขยับเข้าหาอีกครั้ง ทันใดนั้น

โกมุทจึงดึงมีดพกเล่มเล็กจากเอวที่เขาแอบซ่อนไว้ขึ้นมาสะบัดคมและจ่อเข้ากับคอตนเอง


               “หากพระองค์เข้ามาก็จะได้แต่ศพของหม่อมฉันเท่านั้น”


               “ร้ายกาจนักโกมุท รู้ว่าเราต้องการเจ้าถึงกับใช้ตนเองเป็นตัวประกัน”


               เจ้าชายวัชรศรกดยิ้มลึกน่าพรั่นพรึง


               “อยู่บ้านเมืองอื่น เราก็อยากจะรู้นักว่าหากเหลือเพียงตัวคนเดียวเจ้าจะมีปัญญาทำอะไรได้”


               ไม่ได้การ!


               โกมุทเบิกตากว้าง เขาชิงหันหลังเปิดประตูหนาหนักกลับไปทางเดิมโดยไม่มีทหารคนใดขัดขวางแต่เมื่อวิ่งกลับไปถึงที่พัก

ของคณะทูตโกมุทก็ถึงกับทรุดเมื่อเหลือเพียงร่างที่ไร้วิญญาณของเหล่าทหารและเสนาบดี บัดนี้เหลือเพียงตัวเขาที่ยังมีชีวิต


               “จับตัวเสนาบดีโกมุทไว้”


               เสียงคำสั่งดังขึ้นเบื้องหลัง และเมื่อหันกลับไปโกมุทก็ต้องพบเจอกับทหารมากมายรายล้อมตัวอยู่ เขาถูกจับและมัดไว้ด้วย

เชือกเส้นใหญ่จนหมดทางดิ้นรน


               “อุดรรังษีไม่เคยเลิกคิดที่จะช่วงชิงดินแดนจากรัตนปุระนคร”


               เจ้าชายรัชทายาทตรัสด้วยเสียงเหี้ยมโหด


               “เพียงแต่รอเวลาที่เหมาะสม และเวลานั้นมาถึงแล้ว เจ้าจะไม่ยอมเป็นของเราตอนนี้ก็ไม่เป็นไร เพราะเราจะจัดการเจ้าในวันที่

รัตนปุระนครพังพินาศ สั่งการลงไป ให้เคลื่อนทัพมุ่งสู่รัตนปุระนครในเช้ามืดวันพรุ่งนี้”


               โกมุทถูกควบคุมตัวไว้ในรถม้าคันหนึ่งในขบวนทัพใหญ่ของอุดรรังษีที่เจ้าชายวัชรศรคุมทัพมา เขาหมดสิ้นกำลังใจเมื่อรู้ว่า

บ้านเมืองกำลังจะมีภัยแต่เขากลับช่วยเหลือสิ่งใดมิได้ โกมุทมีชีวิตอยู่เพียงลมหายใจในการเดินทางกลับบ้านพร้อมข้าศึก และเมื่อถึง

ชายแดนติดต่อกับรัตนปุระนครทัพของอุดรรังษีก็เริ่มโจมตีทันที หัวเมืองพ่ายแพ้เพราะไม่ทันตั้งรับข้าศึก มินานนักเจ้าชายวัชรศรก็บุกเข้า

ใกล้ชั้นหัวเมืองเต็มที ในคืนนี้พระองค์พักผ่อนคลายอิริยาบทอยู่ในพลับพลาที่ประทับและทรงบังคับให้โกมุทเข้ามาอยู่ใกล้ๆ


               “ใกล้ถึงบ้านเจ้าแล้วนะโกมุท เช้ามืดวันพรุ่งนี้เราก็จะพาเจ้ากลับวังพร้อมกับทัพของเรา”


               เงยพักตร์สรวลดังลั่น โกมุทได้แต่มองด้วยความเกลียดชัง หลังจากนั้นไม่นานเขาถูกพาให้เข้ามาอยู่หลังม่านกั้นจากภายนอก

เมื่อมีผู้ขอเข้าเฝ้าเจ้าชายวัชรศร โกมุทลอบมองจากช่องว่างเมื่อเห็นผู้ที่ก้าวเข้ามาคิ้วของโกมุทก็ถึงกับขมวดเป็นปมในเมื่อเขาจำได้ว่าผู้

เข้าเฝ้านั้นคือนายทหารคนสนิทของเจ้านางปะวะหล่ำ


               “เจ้านางรับสั่งให้หม่อมฉันมาต้อนรับเจ้าชายพะย่ะค่ะ”


               “งั้นหรือ เจ้านางของเจ้าสบายดีใช่ไหม”


               “พะย่ะค่ะ ทรงมีพระครรภ์ได้หลายเดือนแล้ว”


               โกมุทถึงกับแข้งขาสั่น น้ำตาพลันท่วมท้นทั้งดวงตาและหัวใจเมื่อรู้ว่าคนที่เคยสัญญารักมั่นได้มีความสัมพันธ์กับพระชายาจน

มีทายาท


               “ฮ่าๆ มิเสียแรงที่ปะวะหล่ำเป็นน้องสาวของสหายเรา ในที่สุดก็ท้องกับเจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์จนได้ ฝากยินดีและขอบใจปะวะ

หล่ำด้วย บอกนางว่าของขวัญที่ส่งไปให้นั้นถูกใจมาก เราจะจัดการตามที่นางต้องการ”


               ครานี้โกมุทถึงกับทรุดตัวลงไปกองกับพื้น ดวงตาแดงก่ำด้วยทั้งโทมนัสและเคียดแค้น

               ในที่สุดเขาก็รู้ความจริงแล้วว่าทุกอย่างมิใช่ความบังเอิญ แต่กลับเป็นเรื่องที่วางแผนไว้แล้วและเขาก็กลายเป็นเหยื่อของแผน

ร้ายนั้น
               


               การศึกเข้มข้นขึ้น โกมุทแสนจะเป็นห่วงบ้านเมืองแต่เขาก็ทำอะไรไม่ได้เมื่อมีทหารคุ้มกันแน่นหนา จนกระทั่งวันหนึ่งที่เจ้า

ชายวัชรศรก้าวกลับเข้ามาในพลับพลาในยามค่ำด้วยความหงุดหงิดและตรงเข้ามาหาและกระชากไหล่ของโกมุทเข้าไปอย่างรวดเร็ว


               “ปล่อยหม่อมฉัน”


               “เล่นตัวนักนะโกมุท”


               พลันดึงโกมุทเข้าไปกดจูบอย่างจาบจ้วงและกระหาย โกมุทดิ้นรนขัดขืนจนลืมตัวยกมือตบพระพักตร์เสียงดังสนั่น เจ้าชาย

วัชรศรทอดพระเนตรสายตาดุดัน


               “บังอาจนัก หึหึ เย่อหยิ่งจองหองไปเถอะ รู้หรือไม่ว่าพรุ่งนี้เราจะทำยุทธหัตถีกับอาทิตยวงศ์ชู้รักของเจ้า”


               “ไม่จริง!”


               “และเมื่อนั้นทั้งรัตนปุระนครและตัวเจ้าก็จะกลายเป็นของเราทั้งหมด”



               TBC


               
               
หัวข้อ: Re: บัลลังก์รักใต้เงาแค้น บทที่ 13/2 [ 30 / 01 /59 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Nus@nT@R@ ที่ 30-01-2016 09:09:40
สงสารโกมุท
หัวข้อ: บัลลังก์รักใต้เงาแค้น บทที่ 14 [03/02/59] พ่อสมิงออกแล้วนะจ๊ะ
เริ่มหัวข้อโดย: Belove ที่ 03-02-2016 21:59:35


                                                            บัลลังก์รักใต้เงาแค้น

                                                                  บทที่  14


               โกมุทไม่อาจทนได้อีกต่อไป เช่นไรชีวิตของเขาก็มีเพียงชีวิตเดียว หากมันจะต้องเสียไปโดยที่ไม่ได้พยายามอะไรสักอย่างก็

คงเสียดายลมหายใจไม่น้อย ดังนั้นโกมุทจึงตัดสินใจหนี!

               อาจเป็นเพราะเจ้าชายวัชรศรเห็นว่าเขาไม่ได้มีพิษสงอันใดนอกจากยิงธนูอันเล็งผลได้ในระยะไกล ดังนั้นโกมุทจึงเพียงถูก

จำกัดพื้นที่ให้อยู่เพียงกระโจมเล็กใกล้พลับพลาที่ประทับของเจ้าชายวัชรศรและมิได้ถูกผูกมัดแต่อย่างใด โกมุทใช้เวลาที่เจ้าชายวัชรศร

กำลังคร่ำเคร่งปรึกษาหารือกับเหล่าขุนพลคู่ใจเพื่อการศึกในวันรุ่งขึ้นเพื่อหนีออกจากทัพของอุดรรังษี

               มีเพียงทหารไม่กี่คนที่เฝ้าหน้ากระโจม โกมุทจึงก้าวออกไปพร้อมกับรอยยิ้มของเขา เหล่าทหารนั้นรู้ดีว่าโกมุทเป็นใครและยิ่ง

รู้อีกว่าเจ้านายเหนือหัวของมันมีพระทัยให้ชายหนุ่มคนนี้ การแสดงออกต่อโกมุทจึงเต็มไปด้วยความเกรงใจ


               “ท่านเสนาบดีต้องการสิ่งใดขอรับ”


               “มิได้ต้องการอะไรเลย” โกมุทกล่าวตอบเสียงนุ่ม


               “แต่เห็นว่ารุ่งเช้าพวกเจ้าก็จะมีงานหนัก และภายนอกนั่นก็กำลังสนุกสนานรื่นเริง”


               โกมุทหมายถึงงานเลี้ยงของเหล่าทหารที่เลี้ยงดูให้อิ่มหนำก่อนเปิดศึกใหญ่


               “หากพวกเจ้าอยากไปร่วมสนุกกับเพื่อนฝูงก็จงไปเถิด”


               “แต่ว่า...” ความลังเลเกิดขึ้นบนใบหน้า โกมุทรีบกล่าวออกไปโดยไม่ให้เสียจังหวะ


               “เราจะหนีไปไหนได้ ทัพอุดรรังษียิ่งใหญ่ออกปานนี้ เราเองก็อยู่กับพวกเจ้ามานายหลายเดือนหากคิดหนีก็คงจะหนีเสียนาน

แล้ว”


               ทหารเหล่านั้นยิ้มแย้มทันทีเพราะเห็นด้วยกับคำพูดของโกมุท และอีกไม่กี่อึดใจก็เหลือเพียงเขาที่ลอบมองซ้ายขวาอย่าง

ระมัดระวังก่อนจะรีบหลบหนีออกจากทัพเดินทางด้วยเท้าท่ามกลางความมืดมิดจนกระทั่งไปถึงหมู่บ้านเล็กๆที่ถูกโจมตีจากทัพอุดรรังษี

เขามองเห็นอาชาตัวผอมยืนนิ่งอยู่ไม่ไกลนักโกมุทจึงรีบขี่มันกลับเข้ามาที่กำแพงเมืองชั้นใน

               เหล่าทหารรักษาความปลอดภัยต่างจำเขาได้ โกมุทจึงเข้ามาในเขตพระราชวังได้ทันก่อนพระอาทิตย์จะขึ้นพ้นขอบฟ้า เขารีบ

ก้าวเข้าไปหาเจ้านางกุสุมาผู้เป็นพี่สาว โกมุทถึงกับตกใจเมื่อเห็นความซูบซีดจากพระฉวี เมื่อเจ้านางกุสุมลืมพระเนตรขึ้นมองโกมุทจึงปรี่

เข้าไปประคองและกอดพี่สาวไว้


               “พี่นาง หม่อมฉันกลับมาแล้ว”


               “โกมุท น้องพี่”


               เจ้านางกุสุมาร้องไห้ด้วยความยินดีที่ได้เห็นหน้าน้องชายเพียงคนเดียวอีกครั้ง แขนเล็กโอบกอดโกมุทไว้อย่างไร้เรี่ยวแรง


               “เจ้ากลับมาแล้วจริงๆ”


               “พี่นางอาการเป็นเช่นไรบ้าง ทำไมผ่ายผอมอย่างนี้”


               เจ้านางกุสุมามองโกมุทด้วยพระเนตรเศร้าสร้อย


               “โกมุท ทำใจดีๆนะ พี่จะแจ้งข่าวร้ายว่าระหว่างเจ้าไม่อยู่บิดาของเราทั้งคู่ได้เสียชีวิตลงแล้ว”


               ชายหนุ่มตกตะลึงแม้จะรู้ว่าเสนาบดีเกริกบิดาของตนนั้นชรามากแล้ว แต่เขาก็ไม่นึกว่าจะไม่ทันได้ดูใจก่อนบิดาสิ้นลม น้ำตา

แห่งความเสียใจจึงไหลท้นอาบแก้ม

               เสียงเปิดประตูดังสนั่นก่อนที่เจ้านางปะวะหล่ำจะก้าวเข้ามาด้วยวรกายอุ้ยอ้ายเมื่อทรงพระครรภ์ใหญ่แล้วพร้อมกับนางแก้ว

กุดั่นคนสนิท สายพระเนตรที่จ้องมองโกมุทมีแต่ความเคียดแค้น

               ก็จะไม่ให้แค้นได้อย่างไรในเมื่อหัวใจของเจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ทรงมีแต่โกมุทแม้ว่าเจ้านางปะวะหล่ำจะใช้ว่านกามาหลอกล่อให้

ทรงกำหนัดและมีความสัมพันธ์กันหลายครั้งจนกระทั่งตั้งพระครรภ์สมพระทัย แต่ในทุกครั้งพระสวามีกลับจินตนาการถึงแต่โกมุทถึงขั้น

หลุดคำรำพันออกมา และเมื่อทรงใช้ว่านกามาจนหมดตั้งแต่นั้นเจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ก็ไม่เคยสนใจพระองค์อีกเลย เจ้านางปะวะหล่ำจึงทรง

ชิงชังโกมุทยิ่งนักที่เป็นเสี้ยนหนามตำใจ


                “กลับมาทำไมโกมุท ทำไมยังไม่ตายไปเสียที่อุดรรังษี”


               “ปะวะหล่ำ ทำไมพูดเช่นนั้น โกมุทเสี่ยงตายไปทำงานนะ”


               เจ้านางกุสุมาเอ่ยอย่างเหน็ดเหนื่อย พระเนตรที่มองพระสุณิสา(ลูกสะใภ้)เต็มไปด้วยความผิดหวัง เจ้านางปะวะหล่ำเชิดพักตร์

สูงพลางเบ้โอษฐ์ใส่สองพี่น้อง


               “ทำไมหม่อมฉันจะพูดไม่ได้เพคะ ในเมื่อน้องชายของพระมารดาคือมารหัวใจของหม่อมฉัน”


               “เจ้านางปะวะหล่ำ”


               โกมุทกัดฟันเอ่ยปากห้ามอาการเกรี้ยวกราดของเจ้านางปะวะหล่ำ หากแต่เขาหยุดไม่ได้เสียแล้ว


               “นี่ไม่รู้จริงๆหรือแกล้งไม่รู้กันแน่เพคะ ว่าโกมุทน้องชายของพระองค์นอกจากจะมีศักดิ์เป็นพระมาตุลาของพระโอรสแล้วก็ยัง

เป็นเมียด้วยอีกตำแหน่งหนึ่ง”


               “ปะวะหล่ำ เจ้าพูดอะไรบัดสีเช่นนั้น”


               เจ้านางกุสุมาเบิกพระเนตรกว้าง ทรงหอบตัวโยนเพราะหัวใจเต้นแรงด้วยความตกพระทัย


               “หยุดนะ เจ้านาง ถ้ายังพูดอีกคำเดียว”


               “จะทำไมโกมุท ไม่กล้ายอมรับความจริงเหรอว่าเจ้าสมสู่กับผัวของเราแม้ว่าเจ้าจะเป็นชายเฉกเช่นเดียวกับท่านพี่”


               “ไม่จริง!”


               เจ้านางกุสุมาอ้าโอษฐ์ค้าง ดวงเนตรเบิกถลนนิ่งงัน โกมุทส่งเสียงร้องลั่นเมื่อเห็นพระอาการนั้น


               “ตามหมอหลวงมาเดี๋ยวนี้ เจ้านางหัวใจหยุดเต้น”


               สิ้นเสียงโกมุท นางกำนัลที่เฝ้าหมอบอยู่เบื้องนอกก็ถลากันวุ่นวาย โกมุทพยายามกดหน้าอกของพี่สาวอย่างที่เคยอ่านใน

ตำราแพทย์ของฝรั่ง โดยที่เจ้านางปะวะหล่ำเองก็ยืนพักตร์ซีดอยู่ในห้องเพราะไม่นึกว่าเจ้านางกุสุมาจะเกิดพระหทัยวายได้ และเมื่อหมอ

หลวงวิ่งเข้ามาตรวจพระอาการก็ต้องส่ายหน้าด้วยความเสียใจ


               “เจ้านางกุสุมาสวรรคตแล้วพะย่ะค่ะ”


               โกมุทผวาเข้าไปกอดร่างของพี่สาว เขาร้องไห้และมองเจ้านางปะวะหล่ำด้วยความโกรธแค้น


               “เจ้าทำให้พี่สาวเราตาย ปะวะหล่ำ”


               เสียงเอะอะตึงตังดังขึ้นที่ประตู พลันเจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ปรากฏกายขึ้น ทรงมองทีละคนก่อนจะก้าวไปยังร่างพระมารดาด้วย

ความตกพระทัยทันที


               “ท่านแม่ เกิดอะไรขึ้น”


               “ทรงถามเจ้านางของพระองค์เองดีกว่าว่าเกิดอะไรขึ้น”


               เหตุร้ายที่เกิดขึ้นทำให้ความดีใจที่ได้พบหน้ากันอีกครั้งหายไปโดยพลัน โกมุทร้องไห้แทบขาดใจที่ต้องเสียพี่สาวอย่าง

กะทันหันรวมทั้งทราบข่าวสูญเสียบิดาไปพร้อมกัน แต่ไม่ทันได้เอื้อนเอ่ยสิ่งใดอีกก็ต้องตกใจกันเป็นคำรบสองเมื่อได้ยินเสียงเป่าหวูด

เตือนภัยพร้อมกับนายทหารชั้นผู้ใหญ่ที่รีบก้าวเข้ามาด้วยความร้อนรน


               “ทัพของอุดรรังษีตีขนาบข้างกำแพงวังเข้ามาแล้วพะย่ะค่ะ เจ้าฟ้าได้โปรดมีรับสั่งให้ป้องกันเมืองด้วยเถิด”


               เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ทรงกัดพระทนต์แน่น เพราะความเป็นเจ้าเหนือหัวเหนือชีวิตของผู้คนจึงต้องวางเรื่องส่วนพระองค์ไว้ก่อน

แม้ว่าเพิ่งจะสูญเสียพระมารดาไปอย่างไม่มีวันกลับ


               “อุดรรังษีจะตีเมืองเข้ามาได้เช่นไรเร็วขนาดนี้ ไม่มีทางที่พวกนั้นจะรู้เส้นทางนอกจากจะมีไส้ศึก”


               เจ้านางปะวะหล่ำหันขวับไปทางโกมุทท่ามกลางความตกตะลึงของทุกคน


               “โกมุทถูกส่งตัวไปอุดรรังษีเป็นเวลานาน และกลับมาโดยปราศจากผลงานแถมยังไม่มีเสนาบดีคนอื่นกลับมาด้วย ถ้าไม่ใช่

เพราะเจ้าโอนเอียงไปทางอุดรรังษีแล้วจะเป็นเพราะเหตุใด”


               “ไม่จริง พูดบ้าอะไรอย่างนั้น เราไม่มีวันทรยศ”


               “เรื่องนั้นเอาไว้ก่อน โกมุทอยู่ที่นี่อย่าเพิ่งไปไหน”


               เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ก้าวบาทเข้ามากราบแทบเท้าเจ้านางกุสุมาเป็นครั้งสุดท้าย อัสสุชลคลออยู่ในหน่วยตาเมื่อตัดพระทัยหัน

หลังออกไปจากห้องเพื่อทำศึกกับอุดรรังษี เมื่อเหลือกันไม่กี่คนภายในห้องโกมุทจึงก่นด่าออกมาอย่างลืมตัว


               “หญิงสารเลว”


               เจ้านางปะวะหล่ำเหยียดยิ้มเยาะหยันคำด่านั้น


               “เป็นเพราะเจ้าที่เป็นเสี้ยนหนามชีวิตเรา หากเจ้ายังอยู่ชีวิตของเราคงจะไม่มีความสุขเพราะฉะนั้นเจ้าจึงควรเสียสละ แก้วกุดั่น

จงจับตัวโกมุทไว้ เราจะนำมันไปส่งมอบให้แก่เจ้าชายวัชรศรสหายของพระเชษฐาของเรา”


               กระจ่างแจ้งแก่ใจแล้วว่าหญิงสูงศักดิ์เบื้องหน้าคือสาเหตุของเรื่องทั้งหมด โกมุทเดือดดังไฟร้อนเขาสะบัดแขนที่ถูกแก้วกุดั่น

จับไว้แล้วพุ่งตัวเข้ากระแทกเจ้านางปะวะหล่ำจนล้มไปกองกับพื้น


               “ว้าย อ๊ะ ไม่นะ”


               น้ำคาวขุ่นไหลทะลักกองกับพื้น พักตร์ของเจ้านางปะวะหล่ำบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด แก้วกุดั่นร้องลั่นพลันถลาไปเปิดประตู

ห้องตะโกนเรียกหมอหลวงที่เพิ่งจะออกจากห้องไปเตรียมการเรื่องพระศพของเจ้านางกุสุมาให้กลับเข้ามาใหม่เมื่อเจ้านางปะวะหล่ำกลับ

มีพระประสูติกาลก่อนกำหนด พระนางถูกพาตัวกลับไปยังห้องของพระองค์อย่างรวดเร็ว แก้วกุดั่นสั่งการให้มานพและอาวุธทหารคนสนิท

ของเจ้านางควบคุมตัวโกมุทไว้หน้าห้องของเจ้านางปะวะหล่ำ


               เสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดดังลอดมาจากภายในห้อง ไม่นานนักโกมุทจึงได้ยินเสียงทารกร้องไห้จ้า แม้ใจจะรังเกียจเจ้า

นางปะวะหล่ำแต่อีกใจหนึ่งโกมุทก็ยังยินดีเมื่อทารกนั้นคือเลือดเนื้อเชื้อไขของบุรุษที่รักและยังเป็นหลานของเขาอีกด้วย


               “พระราชโอรส อ๊ะ มีอีกคน”


               เสียงหมอหลวงดังมาอีกครั้ง คราวนี้ทุกคนถึงกับตกใจเมื่อรู้ว่าเจ้านางปะวะหล่ำทรงพระครรภ์แฝด ดวงตาของโกมุทถึงกับเบิก

กว้าง ความโกรธเกลียดชิงชังโชนแสงอยู่ในความคิดจนเขาตัดสินใจอุกอาจ

               โกมุทคว้าดาบมาจากมานพและฟันเข้ากลางลำตัวเจ้าของดาบจนล้มลง เขาผลักประตูห้องเข้าไปภายในที่มีแต่หมอหลวง

และผู้ช่วยสูงอายุ เจ้านางปะวะหล่ำนอนหอบเหนื่อยอยู่บนเตียงถึงกับเบิกเนตรกว้างเมื่อเห็นโกมุทยืนจังก้า


                “เจ้าจะทำอะไร”


               โกมุทไม่ตอบ เขาพุ่งตรงไปยังทารกชายทั้งสองที่นอนร้องไห้เคียงกันและอุ้มมาได้คนหนึ่งไว้ในอ้อมกอด


               “ใครเข้ามา ข้าจะฆ่าพระโอรส”


               จ่อดาบเข้ากับคอเล็กของพระโอรสจนอาวุธและทหารที่เหลือไม่กล้าทำอะไร โกมุทถือโอกาสวิ่งหนีออกไปทันที


               “ไปตามลูกเรากลับมา เร็วสิ”


               เจ้านางปะวะหล่ำทรงคร่ำครวญแทบขาดใจเมื่อพระโอรสถูกชิงตัวไปต่อหน้า โกมุทไม่สนใจอะไรอีกแล้วเมื่อเขาได้แต่พุ่งตัว

หนีออกไปจากวังด้วยความเคียดแค้น โกมุทตรงไปยังคอกม้าอย่างคุ้นสถานที่เขากระโจนขึ้นขี่หลังอาชาพ่วงพีตัวหนึ่งก่อนควบหนี

เข้าไปในป่าลึกด้านหลังพระราชวัง
               

               โกมุทควบม้าหนีไม่คิดชีวิต มือที่อุ้มทารกตัวเล็กต้องจับดาบไปด้วยส่วนอีกมือก็ต้องจับบังเหียนม้าพลางกระแทกเท้าเข้า

สีข้างม้า ได้ยินเสียงม้าควบตะลุยป่าของทหารลูกน้องเจ้านางปะวะหล่ำตามมาเบื้องหลัง หัวใจของโกมุทเต้นรัวด้วยความตื่นเต้นและ

ตกใจเมื่อม้าของเขาถูกธนูยิงเข้าที่ขาจนล้มลง โกมุทกับพระโอรสไถลไปกับพื้นกระแทกเข้ากับต้นไม้จนจุกและโกมุทต้องตกใจยิ่งกว่า

เพราะหากไม่มีต้นไม้มาช่วยขวางเขาคงจะตกลงไปในหุบเหวเบื้องหน้าเสียแล้ว


               “ส่งพระโอรสคืนมาเดี๋ยวนี้”


               ลูกน้องของเจ้านางปะวะหล่ำยืนล้อมกรอบจนโกมุททำอะไรไม่ถูก เขามองทารกในอ้อมแขนก่อนตัดสินใจ

               หากบุญของเขาและหลานตัวน้อยยังมี โกมุทจะต้องรอด!

               โกมุทโอบกอดทารกไว้แน่น เขาหันหลังกระโดดลงหน้าผาสูงทิ้งให้เหล่าทหารตะโกนด้วยความตกใจ และเมื่อกลับไปแจ้ง

ข่าวของโกมุทที่พาพระโอรสองค์น้อยกระโดดลงหน้าผาสูงเจ้านางปะวะหล่ำก็กรีดร้องด้วยความเสียใจที่ต้องสูญเสียพระโอรสไปอย่าง

ไม่มีทางได้กลับคืน

               



               เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ทรงสู้ศึกอย่างสมเกียรติยศจนกระทั่งไสช้างเข้าหาประจันหน้ากับเจ้าชายวัชรศร ทรงยกง้าวชี้หน้าศัตรูด้วย

ความโมโห


                “วัชรศร เราไม่เคยไปรุกรานท่าน ไฉนยกทัพมาบุกเมืองเรา”


               เจ้าชายวัชรศรหัวเราะลั่นเมื่อได้ยินคำถามนั้น


               “ก็เพราะเราชอบสู้รบไงล่ะ หากไม่อยากให้บ้านเมืองย่อยยับก็ยอมแพ้และส่งเครื่องบรรณาการมาให้เรา โดยเฉพาะน้าของ

ท่าน”


               คำพูดของเจ้าชายวัชรศรทำให้เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ยิ่งกริ้วหนัก


               “โกมุทงั้นหรือ”


               “ใช่ นี่เดาไม่ออกเลยหรือว่าส่งโกมุทไปอยู่กับเราตั้งนานแล้วโกมุทจะยังภักดีต่อเจ้าอยู่ ถ้าไม่ส่งตัวโกมุทมาเราจะถล่มเมือง

เจ้าให้ราบ”


               เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ทรงไสช้างเข้าหาอย่างเจ็บพระทัย ทรงต่อสู้กับเจ้าชายวัชรศรบนหลังช้างอย่างไม่นึกหวาดหวั่น เจ้าชาย

วัชรศรเองก็ผิดคาดเพราะไม่นึกว่าเจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์จะทรงปรีชาสามารถ และเมื่อเพลี่ยงพล้ำเจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ก็ทรงฟันง้าวเข้าใส่ข้อ

มือของเจ้าฟ้าวัชรศรจนขาดวิ่น


               “อ๊ากกก”


               เจ้าชายวัชรศรร้องลั่นด้วยความเจ็บปวดมเมื่อข้อพระหัตถ์ถูกตัดขาดทรงตะโกนสั่งถอยทัพทันที เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์มองตาม

หลังด้วยความแค้นพระทัยแต่ก็ไม่ได้ติดตามไปเพราะไม่ต้องการก่อศึกอีกแล้ว ทรงออกคำสั่งให้นำทัพกลับเข้ากำแพงเมือง

               แต่เมื่อกลับเข้ามาในพระราชวังก็ต้องตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น เมื่อรู้ข่าวพระประสูติกาลพระราชโอรสองค์หนึ่งและต้องสูญเสีย

พระราชโอรสอีกองค์หนึ่งไปพร้อมกับโกมุทหัวใจของพระองค์






               ร่างสูงใหญ่แน่นหนาด้วยมัดกล้ามซ่อนกายอยู่ในเสื้อผ้ารัดกุมสีเข้มพร้อมผ้าโพกปิดบังใบหน้านั่งอยู่บนหลังม้าพร้อมกับสมุน

อีกกลุ่มหนึ่งที่พากันเฮฮาหลังจากเพิ่งปล้นขบวนสินค้าได้ทรัพย์สินมามากมาย หัวหน้ากองโจรยกมือเป็นสัญลักษณ์ให้ลูกน้องหยุดม้า

และกระโดดลงม้ายืนบนพื้น


               “พักที่นี่ก่อน กินข้าวกินน้ำเสียให้อิ่มก่อนจะกลับเข้าไปในหุบผา”


               ออกคำสั่งชัดเจน เขายื่นมือรับข้าวห่อด้วยใบบัวจากลูกน้องแล้วแยกไปนั่งกินใต้ต้นไม้ กินได้ไม่ถึงครึ่งคิ้วเข้มดกดำก็ต้อง

ขมวดเมื่อได้ยินเสียงแปลกประหลาด เจ้าตัวจึงวางห่อข้าวและก้าวไปตามเสียงนั้น และเมื่อเห็นต้นเหตุ สมิง หัวหน้ากองโจรแห่งหุบผา

กาฬก็ถึงกับแปลกใจ

               ชายคนหนึ่งนอนนิ่งอยู่กับพื้นไม่ได้สติหากในอ้อมกอดมีทารกที่เป็นต้นเหตุของเสียงที่เรียกสมิงมาเห็น สมิงก้าวเข้าไปทันที

เขาพลิกร่างบาดเจ็บนั้นและจ่อมือเข้ากับจมูก

             ยังมีลมหายใจ

                แต่อาการบาดเจ็บน่าเป็นห่วงเมื่อมีแผลฉกรรจ์ทั่วทั้งตัวโดยเฉพาะดวงตาข้างซ้ายที่คล้ายจะถูกกิ่งไม้คมทิ่มแทงแต่ทารกใน

อ้อมแขนกลับไร้รอยขีดข่วน สมิงถอนหายใจด้วยความสงสาร

             เขาตะโกนเรียกลูกน้องให้มาช่วยกันพาร่างบาดเจ็บของผู้ใหญ่หนึ่งคนและเด็กแรกเกิดอีกหนึ่งคนพาเข้าสู่หุบผาดำที่น้อยคน

นักจะมีโอกาสเหยียบย่างเข้าไป



                                                                    โปรดติดตามตอนต่อไป


เม้นท์ให้คนแต่งบ้างน้า

เป็นกำลังใจให้นิดนึง พลีสส
 :mew2: :mew2:

หัวข้อ: Re: บัลลังก์รักใต้เงาแค้น บทที่ 14 [03/02/59] พ่อสมิงออกแล้วนะจ๊ะ
เริ่มหัวข้อโดย: Freja ที่ 03-02-2016 22:27:12
โกมุทอย่ากลับไปหาเจ้าฟ้านั่นเลย   รักมากแค้นมากเกิดอะไรขึ้นระหว่างกันเยอะเกิน
สู้อยู่กับพ่อสมิงไม่ดีกว่าหรือ   ความเก่าไม่เคยถามหา  ไม่ต้องมีความคาดหวังให้เป็นอะไร   เป็นแค่คนที่รักก็พอ

อยากเอาว่านนั่นถวายนางปะวะหล่ำให้เสวยเยอะๆแล้วปล่อยขังไว้คนเดียวสัก 7 วัน
หัวข้อ: Re: บัลลังก์รักใต้เงาแค้น บทที่ 14 [03/02/59] พ่อสมิงออกแล้วนะจ๊ะ
เริ่มหัวข้อโดย: papanoy ที่ 04-02-2016 00:00:51
ในที่สุดโกมุทกับพ่อสมิงก็ได้พบกันเสียที  :katai2-1:

คิดว่าพ่อสมิงจะปิ๊งปั๊งกันเป็นรักแรกพบซะอีก อิอิ  :mew1:
หัวข้อ: Re: บัลลังก์รักใต้เงาแค้น บทที่ 14 [03/02/59] พ่อสมิงออกแล้วนะจ๊ะ
เริ่มหัวข้อโดย: kms ที่ 04-02-2016 00:33:58
เย้ในที่สุดพ่อบัวก็ได้พบกับพ่อสมิงงงง
ดีใจมากกกกกก
มาต่อไวไวนะคะ รอเสมอน้า
หัวข้อ: Re: บัลลังก์รักใต้เงาแค้น บทที่ 14 [03/02/59] พ่อสมิงออกแล้วนะจ๊ะ
เริ่มหัวข้อโดย: aisen ที่ 04-02-2016 19:02:18
ชอบเรื่องนี้ เป็นกำลังใจให้แต่งต่อไปนะคะ
หัวข้อ: Re: บัลลังก์รักใต้เงาแค้น บทที่ 14 [03/02/59] พ่อสมิงออกแล้วนะจ๊ะ
เริ่มหัวข้อโดย: kun ที่ 04-02-2016 20:24:07
พ่อสมิทเจอพ่อบัวแล้ว อยากรู้ๆๆๆพ่อบัวเริ่มเปิดใจให้พ่อสมิมเข้ามาตอนไหน
หัวข้อ: Re: บัลลังก์รักใต้เงาแค้น บทที่ 14 [03/02/59] พ่อสมิงออกแล้วนะจ๊ะ
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 04-02-2016 21:17:11
 :pig4:
หัวข้อ: Re: บัลลังก์รักใต้เงาแค้น บทที่ 14 [03/02/59] พ่อสมิงออกแล้วนะจ๊ะ
เริ่มหัวข้อโดย: papanoy ที่ 04-02-2016 23:57:53
 :katai4: :katai4: :katai4:
หัวข้อ: Re: บัลลังก์รักใต้เงาแค้น บทที่ 14 [03/02/59] พ่อสมิงออกแล้วนะจ๊ะ
เริ่มหัวข้อโดย: kms ที่ 08-02-2016 11:21:16
รออออพ่อสมิงงงงงงง
หัวข้อ: บัลลังก์รักใต้เงาแค้น บทที่ 15 [10/02/59]
เริ่มหัวข้อโดย: Belove ที่ 10-02-2016 22:49:10


                                                             บัลลังก์รักใต้เงาแค้น

                                                                     บทที่  15


               หุบผากาฬที่มีเขาทะมึนโอบล้อมโดยรอบกลับมีพื้นที่กว้างเป็นแอ่งกระทะอยู่ตรงกลาง ชัยภูมิอันงดงามเหมาะแก่การหลบ

ซ่อนตัวของเหล่าโจรนี้ถูกสมิงหัวหน้าโจรเป็นผู้ค้นพบ เขาเป็นโจรวัยย่างเข้าสามสิบที่มีฝีมือฉกาจหากแต่เลือกปล้นเพียงผู้มีอันจะกิน

และขบวนสินค้าเท่านั้น สมิงปลูกกระท่อมไว้บนเนินสูงที่สุดของพื้นที่และมีลูกน้องของเขากระจายกันอยู่ต่ำลงไปกว่ายี่สิบหลัง

               ร่างสูงกำยำไปด้วยกล้ามเนื้อผิวเข้มคล้ามแดด รอบปากและคางเต็มไปด้วยหนวดเคราอย่างคนไม่นิยมดูแลตัวเองนัก สมิงยัง

ไม่มีเมียแม้ว่าลูกน้องของเขาจะยุยงให้ฉุดสาวงามสักคนในหมู่บ้านมาอยู่ด้วยก็ตาม ตอนนี้หัวหน้ากองโจรยืนนิ่งอยู่หน้าประตูมองคนบาด

เจ็บที่พามาด้วยอย่างหนักใจ ส่วนทารกแรกเกิดที่สายสะดือยังไม่แห้งนั้นสมิงให้นางอิ่มเมียเสือผาดลูกน้องมือขวาของเขาที่มีลูกอ่อนราว

เกือบขวบรับไปให้น้ำนมแก้หิวแล้ว


               “พี่สมิงจะทำยังไงกับมัน” ผาดถามจากเบื้องหลัง เขามองดูแล้วเจ้าหนุ่มที่สมิงพามาด้วยบาดเจ็บสาหัสเอาการอยู่


               “เนื้อตัวมันฟกช้ำคงเพราะตกจากหน้าผาลงมา ไหนจะแผลตรงตามันอีกล่ะ ข้าดูแล้วจะไม่ไหวเอานา”


               สมิงเองก็เห็นด้วยกับผาด แต่เพราะเหตุใดเขาก็ไม่รู้ที่ทำให้สมิงยังมีความหวัง ในเมื่อมันผู้นั้นยังมีลมหายใจที่จะยื้อวิญญาณ

จากมัจจุราช สมิงเองก็ไม่อาจทนดูดายอยู่ได้


               “ข้าจะช่วยมันเอง” สมิงตัดสินใจ


               “สมุนไพรที่เก็บไว้ก็พอมีอยู่ เช่นไรเสียข้าฝากเอ็งกับอีผาดเลี้ยงเด็กไปก่อน”


               “เรื่องนั้นไม่ต้องเป็นห่วง อีผาดน้ำนมมันเหลือเฟือไอ้ฟ้าฟื้นมันดูดแทบไม่ทัน เอาเถอะ ถ้าพี่สมิงตัดสินใจจะช่วยมัน ข้าก็ขอ

เอาใจช่วยให้มันรอด”


               ผาดเดินจากไปแล้วเหลือเพียงสมิงเจ้าของกระท่อมกับชายแปลกหน้า สมิงก้าวเข้าไปในกระท่อมกว้างที่มีร่างบาดเจ็บนอน

หายใจรวยริน ใบหน้าคลุกดินและเปื้อนคราบคาวเลือดขยับอย่างอ่อนแรง


               “หากมีบุญร่วมกันข้าก็คงจะช่วยเจ้าได้ ขอให้รอดก็แล้วกัน”


               สมิงนำสมุนไพรที่เขามีไว้รักษายามบาดเจ็บมาพอกไว้ตามบาดแผลโดยเฉพาะบนดวงตาข้างซ้ายที่ถูกกิ่งไม้ทิ่มแทง เลือด

หยุดไหลแล้วแต่ร่างกายอ่อนแอนั้นกลับมีไข้ขึ้นสูงจนสมิงวิตก เขาได้แต่หาบน้ำมาเช็ดตัวให้ตามมีตามเกิดและได้ยาหม้อมาจากสมุนคน

หนึ่งไว้ใช้ลดไข้ ครั้นกรอกเข้าไปในปากมันก็ขย้อนออกมาจนสมิงกลุ้ม จนเวลาล่วงไปกว่าสัปดาห์ทั้งไข้ทั้งแผลจึงค่อยทุเลาสมิงจึง

ใจชื้นขึ้นมาได้ เช้าวันนี้สมิงถึงกับลงทุนก่อไฟต้มข้าวเตรียมไว้ให้

               สมิงก้าวเข้ามาในกระท่อมพร้อมชามข้าวต้ม ดวงตาคมดุเบิกตากว้างอย่างยินดีเมื่อเห็นผู้ชายรูปร่างสะโอดสะองขยับกายและ

ลืมตาข้างที่ไม่ได้รับบาดเจ็บช้าๆ สมิงรีบถลาเข้าไปวางชามข้าวแล้วประคองมันขึ้นมาไว้ด้วยท่อนแขนใหญ่โต


                “ฟื้นแล้วรึ ในที่สุดเจ้าก็ไม่ตาย นี่ข้าดีใจจริงๆนะ”


               “ลูก ลูก”


               แม้จะยังบาดเจ็บแต่ใจของมันคงห่วงลูก สมิงเข้าใจหัวอกพ่ออย่างมัน


               “กินข้าวต้มฝีมือข้าเสียก่อนแล้วข้าจะพาลูกมาหา ถ้าไม่กินเจ้าคงไม่มีแรงอุ้มลูกหรอก”


               สมิงตักข้าวมาเป่าคลายความร้อนก่อนจะบรรจงป้อนอย่างที่ไม่เคยทำให้ใคร ไอ้หนุ่มแปลกหน้าเหลือบตามองชั่งใจแต่ก็ยอม

อ้าปากรับข้าวฝีมือสมิง ไม่นานข้าวต้มก็ใกล้หมดชามจนสมิงยิ้มอย่างยินดี


               “อิ่ม”


               “งั้นก็นอนลงก่อน”


               สมิงประคองมันลงนอนอีกครั้งอย่างทะนุถนอม เขาก้าวไปที่หน้ากระท่อมและกู่ร้องออกไปเรียกผาดที่สร้างกระท่อมอยู่ตรง

ทางลาดไม่ไกลนักบอกให้นางอิ่มอุ้มเด็กทารกมาส่งให้


               “พี่สมิงนี่นอกจากฆ่าคนเก่งก็ยังรักษาคนเก่งอีกนะ” ไอ้ผาดนึกทึ่งขณะมองเมียส่งเด็กคืนให้ชายแปลกหน้ารับไปอุ้มและ

ร้องไห้ออกมา


               “ว่าแต่มันเป็นผู้ชายแน่หรือพี่ พอเช็ดคราบฝุ่นคราบเลือดออกแล้วผิวพรรณมันขาวผ่องยิ่งกว่าอีอิ่มเมียข้าอีก”


               “ไอ้ผาด ถ้าไม่อยากถูกถีบก็เลิกมองเดี๋ยวนี้”


               สมิงขึ้นเสียงอย่างหงุดหงิด เพราะอะไรไม่รู้ที่เขาไม่อยากให้ใครมามองมันผู้นั้นด้วยสายตาโลมเลียเช่นนี้ เขาก้าวเข้าไปนั่ง

ใกล้และเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าสติสัมปชัญญะกลับคืนมาสู่มันแล้ว


               “เจ้ากับลูกชื่ออะไร มาจากไหน ทำไมจึงร่วงจากผาจนบาดเจ็บเจียนตายเช่นนี้”


               มันกัดริมฝีปากขบคิดครู่ใหญ่จึงเงยหน้ามาตอบ


               “ข้าชื่อบัว เคยทำงานอยู่ในวังแต่ถูกทำร้ายจนต้องหนีตายออกมา”


               คนในวังนี่เองผิวพรรณจึงได้ผุดผ่องเป็นยองใยจนสมิงต้องลอบกลืนน้ำลายอยู่หลายคราวยามเช็ดตัวให้ ชื่อบัวก็ช่างไพเราะ

เหมาะเจาะกับใบหน้าหวานเหลือเกิน


               “แล้วเด็กคนนี้เล่าชื่ออะไร”


               บัวก้มหน้าไปมองร่างจ้อยในอ้อมอก ดวงตาเพียงข้างเดียวฉายทั้งรักและแค้น


               “ชื่ออัคคี”


               “อัคคี ชื่อเข้มแข็งดีข้าชอบ” สมิงหัวเราะชอบใจ “หากเจ้าหลบหนีมาจากในวังที่นี่เหมาะสำหรับเจ้ามาก เพราะไม่มีใครหรอก

ที่คิดจะมาเยือนหุบผากาฬแห่งนี้ พักอยู่ที่นี่เสียให้สบายใจเถิดพ่อบัว อ้อ ลืมบอกไป ข้าชื่อสมิงเป็นหัวหน้าโจรป่าแห่งหุบผากาฬ”





               บัวมองร่างสูงใหญ่ราวกับยักษ์ปักหลั่นหนวดเคราเฟิ้มที่กำลังสั่งงานลูกน้องให้แบกฟูกผืนใหญ่เข้ามาในกระท่อม ได้ยินเสียง

ลูกน้องโห่แซวทะเล้นจนเจ้าตัวถึงกับหัวเราะลั่นก่อนจะไล่เตะลูกน้องจนวิ่งเตลิดออกไป ใบหน้าดุหากมีรอยยิ้มแหวกหนวดออกมาส่งให้

เขาเมื่อเดินกลับเข้ามา


               “นอนบนฟูก พ่อบัวจะได้ไม่เจ็บหลัง คนในวังอย่างพ่อบัวน่ะไม่คุ้นกับการนอนบนเสื่อเก่าๆหรอก”


               “แล้วเจ้าล่ะจะนอนตรงไหนในเมื่อข้ามาอาศัยอยู่อีกคน”


               “ก็นอนกับพ่อบัว” พูดหน้าตายก่อนจะแสร้งทอดถอนหายใจ


               “โธ่ พ่อบัว ฟูกออกจะกว้าง พ่อบัวคงไม่ใจไม้ไส้ระกำให้ข้านอนหนาวอยู่ข้างนอกหรอกใช่ไหม ข้านอนไม่ดิ้นหรอก”


               นอนไม่ดิ้น แต่ก็ขยับเข้าใกล้จนวางแขนพาดลงมาที่เอวของบัวจนได้ บัวขืนกายหนีจนสมิงได้แต่ตัดพ้อ


               “โจรเช่นข้ามันน่ารังเกียจนักรึ พ่อบัวจึงทำเหมือนข้าเป็นไส้เดือนกิ้งกือเช่นนี้”


               บัวได้แต่ถอนหายใจ เขาสำนึกในบุญคุณของสมิงยิ่งนักที่ช่วยเขาและอัคคีไว้ เมื่อได้อาศัยและเริ่มคุ้นเคยกับชาวโจรที่อาศัย

อยู่ด้วยกันแล้วก็ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด แต่ละคนอัธยาศัยดีอย่างยิ่งโดยเฉพาะนางอิ่มแม่นมของอัคคี และบัวก็รู้ว่าสมิงคิดกับตนเช่นไร

หากแต่เป็นเพราะเขาเองที่ยังปักใจอยู่กับคนอื่นต่างหาก


               “ข้าแค่กลัวอัคคีจะตื่น”


               บัวผูกเปลเลี้ยงอัคคีเอง แต่เวลาหิวก็จะพาไปหานางอิ่มให้ดื่มกินนมจากเต้าจนอิ่มหนำ ดีที่อัคคีเลี้ยงง่ายไม่งอแงบัวจึงเบาใจ


               “ขอแค่กอด ข้าไม่หักหาญน้ำใจพ่อบัวหรอก”


               สมิงดึงร่างเพรียวบางเข้ามากอด ยิ่งกอดสมิงก็ยิ่งรู้ตัวว่าเขาตกหลุมรักพ่อบัวเข้าเสียแล้วและยิ่งต้องการพ่อบัวมากเหลือเกิน

แต่เขาก็ไม่อยากดึงดันใช้แรงข่มเหงให้พ่อบัวเสียน้ำใจ


               “คนฉลาดอย่างพ่อบัวต้องดูออกแน่ๆว่าข้ารู้สึกเช่นใดกับพ่อบัว”


               สมิงรำพันออกมาจนบัวนึกสงสาร เขาดันไหล่กว้างออกห่างเพื่อจะสบตากับสมิง


               “พูดกันอย่างลูกผู้ชาย ข้าไม่ได้รังเกียจเจ้านะสมิง ซ้ำยังรู้ว่าเป็นหนี้บุญคุณเจ้ามากเหลือเกิน แต่ที่ข้ายังไม่พร้อมจะเป็นของ

เจ้าเพราะว่าใจของข้ายังมีคนอื่นครอบครองอยู่และข้ายังตัดใจไม่ได้แม้ว่าเขาจะทำร้ายจิตใจข้าจนยับเยิน ข้าไม่อยากเอาเปรียบเจ้า”


               สมิงมองสบตาบัว แม้จะเจ็บอยู่ในใจราวกับมีหนามแหลมมาทิ่มแทงแต่สมิงก็นิยมในความตรงไปตรงมาของบัวที่ไม่โป้ปดกับ

เขา


               “ขอบใจที่พูดกับข้าตรงๆเช่นนี้ แต่ข้าก็อยากจะบอกพ่อบัวว่า ข้ารักพ่อบัวและอยากจะดูแลพ่อบัวกับอัคคีแม้ว่าพ่อบัวจะยังไม่มี

ใจก็ตาม ข้าเชื่อว่าความรักและความจริงใจของข้าจะเอาชนะใจพ่อบัวได้ในสักวัน”


               บัวมองเห็นความสัตย์ตรงจากดวงตาของสมิง เขาได้แต่คลี่ยิ้มและหลับไปในอ้อมกอดของหัวหน้าโจร






               “พ่อบัวปลงใจกับพี่สมิงแล้วหรือยัง”


               คำถามของนางอิ่มเมียเสือผาดทำให้บัวถึงกับหน้าแดงเมื่อบัวพาอัคคีมากินนมที่บ้านเสือผาด


               “แม่อิ่มถามอะไรอย่างนั้น”


               “อย่ามาทำเขินอายหน่อยเลย เขารู้กันทั้งหุบผากาฬแล้วว่าพ่อสมิงน่ะทั้งรักทั้งเทิดทูนพ่อบัวแค่ไหน อย่าบอกนะว่านอนด้วย

กันทุกคืนยังไม่ได้ขึ้นสวรรค์กัน โธ่ น่าสงสานพี่สมิงเขานะ”


               นางอิ่มทำสีหน้าอ่อนอกอ่อนใจเต็มประดา


               “เขาสู้อุตส่าห์ประคบประหงมพ่อบัวกับเจ้าอัคคีริ้นไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอม”


               จริงๆแล้วบัวก็เห็นจริงตามที่อิ่มพูด ตลอดเวลาสามเดือนที่เขาอาศัยอยู่ที่นี่ สมิงทำทุกอย่างให้บัวและอัคคีมาโดยตลอด และ

ยามค่ำคืนสมิงก็ได้แต่นอนกอดบัวไว้กับอกเท่านั้น


               “แต่ข้าตาบอดเสียข้างหนึ่งแล้ว แถมยังมีเจ้าอัคคีอีกคน”


               “พ่อบัวก็รู้ว่าพี่สมิงไม่ได้รังเกียจเรื่องตาที่บอด และอัคคีนี่เขาก็รักยิ่งกว่าลูกตัวเองอีก จะมีใครที่ดีอย่างพี่สมิงอีกเล่า”


               นางอิ่มเกลี้ยกล่อมจนบัวเริ่มจะเขว


               “ไม่สงสารพี่สมิงเหรอที่เขาต้องอดทนไม่ปล้ำพ่อบัวน่ะ รู้หรือเปล่าว่าถ้าผู้ชายมันอัดอั้นมากๆเส้นเลือดที่หัวมันจะโปนแล้ว

แตกตายได้ง่ายๆเลยนะ”


               “แม่อิ่มไปรู้มาจากไหน” บัวหรี่ตามองนางอิ่มด้วยความคลางแคลง อิ่มได้แต่โบกมือไปมา


               “ก็รู้จากไอ้ผาดนี่แหละ ช่วงไหนฉันงอนมันหลายวัน มันนี่แทบจะกระอักเลือดตาย ถ้าพ่อบัวสงสารพี่สมิงก็อย่าให้พี่เขาต้อง

อดทนขนาดนั้นเลย”

               




   มีต่ออีกนิด...



หัวข้อ: บัลลังก์รักใต้เงาแค้น บทที่ 15 [10/02/59]
เริ่มหัวข้อโดย: Belove ที่ 10-02-2016 22:56:49
ต่อกันที่นี่...


                บัวลอบมองสมิงในยามหัวค่ำขณะไกวเปลให้อัคคีหลับ สมิงกำลังขัดดาบด้วยใบหน้าเคร่งเครียด บัวไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะ

อุปทานหรือเปล่าเขาจึงเห็นเส้นเลือดที่ขมับของสมิงชัดเจนเหลือเกิน หรือว่าที่อิ่มพูดจะเป็นเรื่องจริง

               อัคคีหลับไปแล้วบัวจึงเอนกายลงไปนอนบนฟูกบ้าง ไม่นานแสงไฟจากตะเกียงก็ดับลงเขารู้สึกถึงแรงยวบจากฟูกอีกฝั่งหนึ่ง

เมื่อสมิงล้มตัวลงนอนเคียงข้าง บัวพลิกกายนอนตะแคงหันหน้าไปหาร่างกำยำของสมิงแล้วเอ่ยถามเบาๆ


               “เหนื่อยไหม” ถามเพราะวันนี้กองโจรบุกไปปล้นขบวนสินค้ามา บัวจึงเริ่มบทสนทนาด้วยเรื่องนั้น สมิงหันหน้ามาถามด้วย

ความน้อยใจ


               “พ่อบัวสนใจด้วยหรือว่าข้ารู้สึกเช่นใด”


               “สมิง อย่ากล่าวเช่นนั้น” บัวยกฝ่ามือวางบนลำตัวแข็งแกร่ง


               “ข้ารู้ว่าเจ้าทรมาน”


               “แต่พ่อบัวก็ยังแกล้งให้ข้าทรมานยิ่งกว่าเดิม”


               ตัดพ้อพลางเมินหน้าหนีไปอีกทางจนบัวต้องกลั้นยิ้มเมื่อเห็นคนตัวโตเกิดอาการน้อยใจ


               “รังเกียจหรือเปล่าที่ข้าตาบอดไปข้างหนึ่ง”


               “หากรังเกียจก็คงไม่คิดช่วยไว้หรอก”


               “อัคคีล่ะ รังเกียจไหม”


               “ทุกวันนี้รักยิ่งกว่าชีวิตตัวเองเสียด้วยซ้ำ”


               บัวตื้นตันใจเหลือเกิน เขาเป็นฝ่ายยกท่อนแขนวางพาดไปบนลำตัวและซุกหน้าไว้กับไหล่หนาของสมิง


               “สัญญาได้ไหมว่าจะเลี้ยงอัคคี สอนวิชาการต่อสู้ที่เจ้ารู้ให้มัน”


               “ข้าคิดเช่นนั้นตั้งแต่รับมันเป็นลูกแล้ว”


               “ตอนนี้เจ้าปวดหัวหรือเปล่า”


               คำถามที่ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องที่กำลังคุยกันสักนิดทำให้สมิงต้องหันกลับมามองด้วยความแปลกใจ เขามองเห็นประกายตา

สดใสจากดวงตาเพียงข้างเดียวของบัว


               “ทำไมข้าต้องปวดหัว”


               “ก็ถ้าเจ้าปวดหัวข้าจะช่วยบรรเทาให้เจ้าอย่างไรล่ะ”


               สมิงพรายยิ้ม เขาตะแคงตัวเข้าหาและเชยคางบัวเข้าใกล้


               “ถ้าข้าไม่ปวดหัวแต่ปวดอย่างอื่น พ่อบัวจะช่วยบรรเทาให้ข้าหรือเปล่า”


               บัวเองก็เขินจนชักร้อนวูบวาบ เขาหลบตาไปทางอื่นเมื่อเอ่ยตอบเสียงเบา


               “ถ้าสมิงอยากให้ข้าช่วยข้าก็จะช่วย”


               “พ่อบัว!”


               สมิงดันกายบางให้กลับไปเป็นหงายทันที  ขยับตัวตามอีกทีเดียวสมิงก็ขึ้นไปคร่อมอยู่บนร่างเพรียว เขากดจูบไปบนเรียวปาก

อิ่มอย่างกระหายจนบัวแทบสำลัก เสื้อผ้าทอมือถูกดึงรั้งฉีกขาดเพราะไม่ทันใจโจรป่า สมิงปรนจูบใบตามใบหน้าเนียนโดยเฉพาะแผล

เป็นรอบดวงตา


               “ข้าจะรักและถนอมพ่อบัวไปตลอดชีวิต”


               แทบจะกลืนบัวไปทั้งตัว ไม่มีส่วนใดที่สมิงไม่ได้สำรวจ สมิงจงใจทิ้งรอยแดงไว้ทั่วตัวก่อนจะมาหยุดอยู่ตรงกลางลำตัวที่มี

ท่อนเนื้องดงาม สมิงจูบไล่ไปตามความยาวจนบัวสะท้านไปทั้งตัวเมื่อไรหนวดถูไถกับเนื้ออ่อน ร่างบางบิดกายไปมาด้วยความกระสันไม่

แพ้กันเพราะบัวก็ห่างหายจากเรื่องนี้มานานมากแล้ว


               “พ่อบัวงดงามเหลือเกิน ไม่เสียแรงที่ข้าเฝ้าถนอม”


               ปลายลิ้นร้อนจู่โจมเข้าช่องทาง บัวสะดุ้งเฮือกเผลอไผลชันขาขึ้นอย่างไม่รู้ตัว เขาถึงกับคว้าเส้นผมดกดำของสมิงไว้เมื่อสมิง

สอดนิ้วมือใหญ่และยาวเข้าไปช้าๆรวมถึงยังโจมตีด้วยลิ้นไม่มีหยุด บัวหายใจกระเส่ากัดฟันแน่น ความต้องการของร่างกายเอ่อท้นจน

เลือดในกายไหลวูบวาบ


               “ถ้าตอนนี้เจ้ายังช้า ข้าจะฆ่าเจ้าสมิง”


               “ข้ากลัวแล้วพ่อบัว อยาฆ่าแกงกันเลย”


               หัวเราะชอบใจก่อนยืดกายขึ้น อวดลำตัวแข็งแกร่งจนบัวถึงกับอ้าปากค้างเมื่อได้เห็นเต็มตาแม้จะอยู่ในความมืด กลางกายที่

พร้อมเต็มที่ทำให้บัวนึกหวั่นแต่เขาก็ไม่อาจต้านทานเมื่อสมิงดันมันเข้ามาในที่สุด


               “สมิง เบาๆ อึก”


               คราแรกถึงกับจุก บัวเกร็งกายรับจนสมิงต้องโน้มตัวลงไปล้อเล่นกับยอดอกเม็ดเล็กเบนความสนใจ ปลายลิ้นที่กระดกรัวจน

ยอดอกเปียกชุ่มเรียกเสียงครางแผ่วหวานยั่วยวนให้สมิงสอดกายลึกเข้าไปในช่องทางคับแน่นเรื่อยๆ จนในที่สุดเขาก็ทำสำเร็จ


               “โอ รัดอะไรแน่นปานนี้”


               สมิงเงยหน้าส่งเสียงครางหนักเมื่อความอุ่นร้อนแผ่ซ่านอยู่รอบความแข็งแกร่งของชายชาตรี เขานึกอยากจะรุนแรงให้สาแก่

ใจตั้งแต่คราวแรกแต่เขาก็เห็นใจบัวหากจะต้องชอกช้ำเพราะเขา สมิงจึงค่อยๆเคลื่อนไหวเนิบนาบให้บัวได้ปรับตัวก่อนที่ความเร็วจะเพิ่ม

มากขึ้นเรื่อยๆ


               “ฮัก ฮัก เสียวมาก ตรงนั้นเลย”


               บัวร้องลั่นพลันผวากอดเกี่ยวไปทั้งเนื้อทั้งตัว รสสวาทของสมิงดิบเถื่อนแต่ก็ปลุกไฟร้อนให้โหมไหม้ ร่างกายของบัวบิดเร่า

เหงื่อไหลเหนียวหนับ สมองพลันว่างโล่งเมื่อถูกกระชากจนขาดผึง


               “อ๊า...อาทิตย์”


               กลั้นไม่อยู่จนเผลอหลุดปาก สมิงชะงักเอวไปแวบหนึ่งก่อนจะกระแทกกายเข้าใส่ บัวรู้สึกถึงแรงอัดอุ่นร้อนวาบที่พุ่งเข้ามาใน

ช่องทางของตน สมิงหอบหายใจหนักเมื่อทิ้งกายซบอยู่บนร่างของเขา บัวลูบไหล่สมิงอย่างสำนึกผิด


               “สมิง ข้าขอโทษ ข้าไม่ได้ตั้งใจ”


               สมิงเงยหน้าขึ้นมา เขามองบัวอย่างเข้าใจ


               “สักวันหนึ่ง ข้าจะทำให้เจ้าเรียกชื่อข้าเวลาสุขสมให้ได้ พ่อบัวของข้า”
               


             TBC



 :hao5: :hao5:


เปิดขายนิยาย X-theme the series season 2 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=45021.0)

แล้วนะคะ อุดหนุนกันหน่อยน้า

หัวข้อ: Re: บัลลังก์รักใต้เงาแค้น บทที่ 15 [10/02/59]
เริ่มหัวข้อโดย: kms ที่ 10-02-2016 23:03:56
ในที่สุดดดดดดดดดดดด
เย้ๆๆ ถึงจะฟินนนนนแต่ก็แอบสงสารพ่อสมิงอ่ะ
พ่อบัวลืมอาทิตย์สะทีๆๆ พ่อสมิงดีขนาดนี้แล้ว
หัวข้อ: Re: บัลลังก์รักใต้เงาแค้น บทที่ 15 [10/02/59]
เริ่มหัวข้อโดย: aisen ที่ 11-02-2016 20:25:58
ตอนแรกๆขึ้นสวรรค์ พอพูด"อาทิตย์" นิ พ่อสมิงเหมือนตกนรก
หัวข้อ: Re: บัลลังก์รักใต้เงาแค้น บทที่ 15 [10/02/59]
เริ่มหัวข้อโดย: kun ที่ 13-02-2016 15:31:21
เลือดสาดอยุ่ดีๆๆๆพ่อสมิง ตกสววค์เลย
เชียร์พ่อบัวสมิง
หัวข้อ: Re: บัลลังก์รักใต้เงาแค้น บทที่ 15 [10/02/59]
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 13-02-2016 16:25:13
 :pig4:   :L1: 
หัวข้อ: Re: บัลลังก์รักใต้เงาแค้น บทที่ 15 [10/02/59]
เริ่มหัวข้อโดย: lovewannabe ที่ 13-02-2016 17:35:26
สนุกมากค่ะ แต่สงสาร สมิงจัง บัวก็น่าสงสาร ฮือๆ
หัวข้อ: Re: บัลลังก์รักใต้เงาแค้น บทที่ 15 [10/02/59]
เริ่มหัวข้อโดย: Nus@nT@R@ ที่ 13-02-2016 20:21:42
ฮือ....พ่อสมิงน่าสงสาร
หัวข้อ: Re: บัลลังก์รักใต้เงาแค้น บทที่ 15 [10/02/59]
เริ่มหัวข้อโดย: kms ที่ 16-02-2016 14:35:13
รอพ่อสมิงงงงงง
หัวข้อ: Re: บัลลังก์รักใต้เงาแค้น บทที่ 15 [10/02/59]
เริ่มหัวข้อโดย: Apple_matinie ที่ 16-02-2016 17:17:54
 :sad11:
หัวข้อ: บัลลังก์รักใต้เงาแค้น บทที่ 16 [18/02/59]
เริ่มหัวข้อโดย: Belove ที่ 18-02-2016 21:44:39

                                              บัลลังก์รักใต้เงาแค้น

                                                     บทที่  16


               กว่าสิบแปดปีเท่าอายุของอัคคีที่อาศัยอยู่ในหุบผากาฬบัวยอมรับว่าแท้จริงแล้วเขามีความสุข

               มันเงียบสงบปราศจากความวุ่นวายยกเว้นเวลาที่เขาครุ่นคิดถึงอดีตก็จะมีเพียงจิตใจของเขาเองที่ร้อนรุมดั่งไฟแผดเผา หาก

แต่ธรรมชาติท่ามกลางขุนเขาโอบล้อมก็ช่วยบำบัดให้บัวเย็นลงได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือสมิง โจรป่าที่แสนดีต่อบัว

คนที่เบื้องนอกน่ากลัวแต่สมิงทำดีต่อบัวจนต้องยอมรับในเรื่องนี้และทำให้บัวสงสารสมิงมากขึ้นทุกวัน


                “เหม่ออะไรอยู่พ่อบัว”


               สะดุ้งสุดตัวเมื่อถูกสวมกอดจากเบื้องหลัง บัวรีบกำมือตนเองเพื่อหลบให้แหวนนั้นพ้นจากสายตาของสมิง


               “ตกใจหมดเลยสมิง อย่าทำให้ข้าตกใจแบบนี้อีกนะ”


               หันไปต่อว่าอย่างไม่จริงจังนัก สมิงหัวเราะร่าพลางหอมแก้มนุ่มดังฟอดใหญ่


               “ก็เห็นเจ้านั่งนิ่งเป็นหุ่นข้าก็เลยหยอกเล่น ขวัญเอ๋ยขวัญมาพ่อบัวเมียรักของข้า”


               ใช่สินะ ตอนนี้เขาเป็นเมียของโจรป่าสมิง หาใช่เสนาบดีคนสำคัญของรัตนปุระนคร


               บัวลอบถอนหายใจโดยไม่ให้สมิงเห็นก่อนจะหันกลับมาคลี่ยิ้มให้คนที่ตระกองกอดไม่ยอมปล่อย


               “ข้าแยกเมล็ดพันธุ์ผักสำหรับปลูกน่ะสมิง เพลินไปหน่อยเลยไม่รู้ว่าตอนนี้ใกล้จะพลบค่ำแล้ว”


               บัวเหลียวมองโดยรอบจึงได้รู้ว่าพระอาทิตย์ใกล้จะสิ้นแสงเต็มทีหลังจากที่เขามัวแต่หวนคิดถึงอดีต สมิงดึงร่างโปร่งบางขึ้น

มานั่งบนตักแล้วป้อนคำหวาน


“เมียข้าฉลาดนัก ตั้งแต่ได้เจ้ามาอยู่ที่นี่พวกเราชาวหุบผากาฬมีความเป็นอยู่ดีขึ้นมาก มิเช่นนั้นคงได้แค่ขุดเผือกขุดมันหากบเขียดมากิน

แต่เท่านั้น รู้หรือเปล่าว่าข้ารักเจ้ามากแค่ไหน”


บัวรู้ดีว่าคำบอกรักนั้นมาจากหัวใจของสมิงอย่างแท้จริงจนอดยิ้มไม่ได้ เขาเอื้อมมือไปลูบใบหน้าคร้ามเข้มที่มีหนวดเคราเฟิ้มแล้วกล่าว

ตอบ


“ข้ารู้สมิง และข้าก็ซึ้งใจเหลือเกินกับความรักของเจ้า ขอบใจนะสมิงที่รักข้าแต่ว่าจะดีกว่านี้ถ้าเจ้าจะยอมโกนหนวดโกนเครายาวๆนี่ออก

เสียบ้าง”


เสียงขู่เบาๆดังลอดมาจากลำคอของสมิง เขาซุกหน้าเข้าหาซอกคอนุ่มของบัวเพื่อขบเม้มด้วยความเสน่หา


“ทั้งที่เจ้าก็ชอบหนวดเคราของข้ายามที่มันเกลือกกลิ้งอยู่ตรงนั้นของเจ้านี่นะบัว ถ้าข้าโกนหนวดทิ้งจริงๆเจ้าจะเสียใจ”


“อื้อ สมิง จั๊กจี้”


บัวสะท้านกายเมื่อถูกมือสากโลมไล้ไปทั่วตัว สมิงหมดความอดทนจนต้องช้อนกายของบัวจนลอยเหนือพื้น


“ทนไม่ไหวแล้วพ่อบัว วันนี้เข้าบ้านกันเร็วหน่อยเถิด”


“แต่ว่าอัคคียังไม่กลับมาเลย...”


“อัคคีมันโตแล้ว โตจนมีเมียได้สักโหล และมันก็ชอบไปเฝ้ายามอยู่กับพวกพี่ๆที่ด้านนอก เจ้าอย่าเป็นห่วงมันนักเลย ห่วงแต่ข้าเถิดข้า

เกรงว่าจะกระอักเลือดตายเสียแล้วถ้าไม่ได้กินเจ้า”


“ฮื้อ สมิง”


โจรป่าเลื่องชื่อก้าวฉับๆกลับเข้าไปในกระท่อมหลังใหญ่ บรรจงวางร่างนุ่มลงไปบนฟูกแล้วจัดแจงเปลื้องเสื้อผ้าอาภรณ์จนนุ่งลมห่มฟ้า

ก่อนจะโผกายเข้ากอดรัดพัลวัน เขาสำรวจร่างบัวอย่างคุ้นเคยไปทุกจุดด้วยปลายลิ้นและฝ่ามือเน้นย้ำที่จุดอ่อนไหวกลางตัวที่ผลุบหาย

เข้าไปในโพรงปากของสมิง


“อ๊า...ซี้ด”


ครางหวานไม่ขาดสายเมื่อหนวดเครามากมายนั้นสัมผัสเสียดสีไปกับเนินเนื้อสามเหลี่ยม มันก่อความรัญจวนจนบัวดิ้นพล่านและสุขสม

คราแรกตั้งแต่สมิงปรนเปรอด้วยปาก จากนั้นไฟร้อนก็ยิ่งโหมกระหน่ำเมื่อท่อนเนื้อแข็งขันจะถลำลึกเข้ามาและกระชากร่างกายของบัวจน

แทบขาดวิ่น


“พ่อบัว ขยับอีกนิด ดีมาก โอย ข้าแทบขาดใจ”


เรียวขากอดก่ายผลักดันให้สมิงยิ่งแทรกกายกระชั้นถี่ บัวบิดกายเร่าร้อนเมื่อเขากำลังไต่อยู่บนสายรุ้ง


“สมิง สมิง อา...”


หูไม่ฝาด!


หัวใจของสมิงโลดแล่นฉุดไม่อยู่เมื่อได้ยินเสียงครวญคร่ำยามสุขสม ในที่สุดวันนี้พ่อบัวคนงามก็รำพันคำรักเป็นชื่อของเขา หาใช่ชื่อของ

ชายอื่นที่เคยกุมหัวใจของบัวไว้ รอยยิ้มของสมิงทะลุหนวดเคราออกมาทันที


“พ่อบัว พ่อบัวของข้า วันนี้ข้าจะพาเจ้าขึ้นสวรรค์ยันฟ้าแจ้ง ถ้าทำไม่ได้ก็ไม่ใช่ไอ้สมิงแห่งหุบผากาฬแล้ว”


กำลังใจมากล้น สมิงหยัดกายโหมแรงเข้าใส่ปรนเปรอจนบัวล่องลอยไปกับไฟรักจนไม่ทันคิดถึงเรื่องอื่นอีกเลย







ร่างเปลือยนุ่มนิ่มนอนตะแคงคุดคู้อยู่กลางผืนดิน เนื้อตัวมีแต่ฝุ่นไคลและคราบคาวจากศึกหนักใบหน้าเต็มไปด้วยรอยน้ำตาโดยที่เจ้าตัว

ไม่ได้สนใจจะเช็ด ร่องรอยเบื้องล่างมีแผลฉีกขาดเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบโลหิตเกรอะกรังและน้ำกาม อัคคีที่นั่งขัดสมาธิอยู่ข้างๆมอง

แล้วพลันหัวใจอ่อนยวบ

ผลผลิตจากความแค้นแม้นไม่ได้รู้เรื่องราวแต่หนหลังกลับต้องมารับเคราะห์จนถูกกระทำย่ำยีให้เสียศักดิ์ศรี อัคคีอดใจไม่ได้ที่จะเอื้อมมือ

ไปแตะที่ไหล่เนียนเบาๆจนเจ้าของสะดุ้งสุดตัว


“อินทัช”


“อย่ามายุ่ง”


“หนาวหรือเปล่า”


“เรื่องของข้า”


“กินน้ำกับผลไม้ที่ข้าไปหามาเสียสักนิด”


อัคคีก่อไฟขับไล่ความหนาวและไปหาอาหารมาโดยไม่กลัวเจ้าชายอินทัชจะหนีเพราะเขารู้ดีว่าแค่ขยับกายอีกฝ่ายก็ระบมไปหมดแล้ว ใช้

เวลาไม่นานทั้งน้ำและผลไม้ก็กองอยู่ตรงหน้าแต่เจ้าชายอินทัชไม่ยอมแม้แต่เหลียวมอง


“ข้าจะฆ่าเจ้า”


เค้นเสียงอย่างคับแค้น อัคคีได้แต่ส่ายหน้า


“จะฆ่าข้าได้อย่างไรถ้าแค่แรงจะยกแขนยังไม่มี อย่าดื้อกับผัวนะอินทัช”


“เลว!”


ถ้อยคำบาดใจเรียกให้เจ้าชายสูงศักดิ์หันพักตร์มาต่อว่า อัคคีไม่สนใจเขาช้อนกายนุ่มขึ้นมาอยู่ในวงแขนแล้วเลิกคิ้วมองยียวน


“ไม่หิวน้ำแน่นะ ทั้งที่เจ้าเสียให้ข้าตั้งหลายน้ำ”


“อัคคี ไอ้...”


“ไม่ยอมกินดีๆงั้นข้าป้อน”


ยกกระบอกไม้ไผ่เทน้ำเข้าปากแล้วอมไว้ อัคคีใช้มือหนึ่งบีบท้ายทอยมือหนึ่งบีบคางเรียวบังคับให้เรียวปากนุ่มเปิดกว้าง เขากดปากตัว

เองลงไปแล้วปล่อยให้น้ำไหลสู่โพรงปากหวานที่หมดแรงขัดขืน แม้ว่าเจ้าชายอินทัชจะพยายามส่ายพักตร์หนีแต่ก็ไม่เป็นผล ในที่สุดก็

ต้องยอมกลืนน้ำลงคอแห้งผากอย่างกระหาย


“อืม”


น้ำหมดแล้วแต่อัคคีไม่ยอมปล่อย เขาตวัดลิ้นตามลงไปอย่างง่ายดายจนได้ตักตวงความหวานเอาไว้อีกครั้ง และจุมพิตนี้นุ่มนวลกว่าที่

ผ่านมาหลอกล่อให้เจ้าชายอินทัชงวยงงไปกับความรู้สึกประหลาดล้ำ

มันผูกพันราวกับอีกฝ่ายเกิดมาเพื่อกันและกัน อบอุ่นไปทั้งจิตใจทั้งที่อัคคีเพิ่งจะทำให้พระองค์เจ็บช้ำ แต่อะไรบางอย่างทำให้เจ้าชายอิน

ทัชรับรู้ว่าอัคคีไม่ได้เลวโดยสันดาน ความรู้สึกเหล่านั้นทำให้เจ้าชายอินทัชเผลอไผลจูบกลับจนรสจูบนั้นหนักหน่วงเร่าร้อนขึ้นเรื่อยๆ

เนิ่นนานกว่าจะผละปากออกและสบตาด้วยความสับสน อัคคียกปลายนิ้วแตะไล้ไปตามกลีบปากที่ช้ำเพราะถูกจูบมาหลายรอบช้าๆดวงตา

ของเขาเป็นประกายแข่งกับแสงจากดาวประกายพฤกษ์ที่ปรากฏกายบนท้องฟ้า


“ชอบจูบนี้ของเราหรือเปล่า”


“ถามอะไรโง่ๆ”


ความขัดเขินเอ่อท้นจนเจ้าชายอินทัชต้องเบนสายตาหนี พระปรางฉีดเลือดเห็นชัดแม้ยามค่ำคืน อัคคีซ่อนยิ้มเมื่อเห็นอาการนั้น


“กินกล้วยนะจะได้มีแรง ข้าอุตส่าห์ไปหามาให้”


ปลิดกล้วยห่ามใกล้สุดจากเครือที่หามาได้ปอกเปลือกและยื่นอยู่ใกล้ปาก คราแรกเจ้าชายอินทัชอยากจะปฏิเสธแต่เสียงร้องโครกครากที่

ดังไม่ไว้หน้าทำให้ต้องยอมอ้าปากกัดกินกล้วยเข้าไปเคี้ยวตุ้ยๆ จนลูกแรกผ่านไปถึงลูกที่สองและที่สามจึงได้เริ่มอยู่ท้อง เจ้าชายอินทัช

ไม่เคยนึกเลยว่าคนที่เคยเสวยแต่พระกระยาหารชั้นเลิศต้องมากินกล้วยอยู่กลางป่า หากแต่เพราะความหิวแม้แต่กล้วยก็ยังอร่อย


อัคคีมองคนในอ้อมแขนที่กัดกินกล้วยจากมือของเขาทีละคำด้วยท่าทางเอร็ดอร่อยราวกับเด็กน้อย ความเอ็นดูบังเกิดอยู่ในหัวใจจนเผย

รอยยิ้มอ่อนโยนออกมา เจ้าชายอินทัชที่เงยพักตรร์มองพอดีถึงกับอึ้งและชะงักโอษฐ์ที่เคี้ยวกล้วยอยู่


“มองอะไร”


“ก็ไม่นึกว่ากล้วยป่าอาหารลิงมันจะอร่อยขนาดที่เจ้าเคี้ยวไม่ยอมหยุด”


“อัคคี เจ้านี่...”


“ขอข้าชิมบ้างนะอินทัช”


กล้วยที่เหลือเพียงนิดเดียวในมือถูกส่งเข้าปากคนป้อน อินทัชมองอย่างเสียดายและโมโหที่ถูกแย่งกิน ทรงยกหัตถ์ทุบไหล่อัคคีจนเจ้า

ตัวนิ่วหน้า


“แย่งเราทำไม กล้วยลูกอื่นก็ยังเหลือ”


คราวนี้อัคคีกลั้นไม่อยู่เขาหัวเราะออกมาเมื่อเห็นสีหน้างอง้ำราวกับเด็กถูกแย่งของเล่น


“ข้าอยากกินกล้วยลูกเดียวกับเจ้านี่นา ไม่เอาน่าอินทัช เลิกทะเลาะกันสักพักจะได้ไหม”


กระชับอ้อมแขนให้ความอุ่นของร่างกายขับไล่ความหนาวเย็น อินทัชอยากจะผลักไสนักแต่วงแขนนั้นอบอุ่นจนไม่กล้าทำอย่างที่ใจคิด

ได้แต่นิ่งอยู่ในอ้อมกอดฟังเสียงหัวใจเต้นด้วยความประหลาดใจ

หัวใจดวงนั้นเต้นพร้อมพระหทัยของพระองค์จนแทบจะกลายเป็นจังหวะเดียวกัน ใบหน้าที่เหมือนพระองค์ทุกกระเบียดนิ้วนั่นก็ด้วย เมื่อ

ความฉุนเฉียวเลือนไปพระองค์จึงได้ฉุกใจคิด


“เจ้าเป็นใครกันแน่นะอัคคี ทำไมโจรป่าอย่างเจ้าถึงได้เหมือนข้าเช่นนี้”


ทรงยกหัตถ์ขึ้นลูบไปตามโครงหน้าที่เหมือนพระองค์เป็นพิมพ์เดียว ดวงตาประสานถักทอลึกล้ำดึงดูดให้เข้าใกล้กันจนรู้สึกถึงลมหายใจ


“เป็นใครก็ช่าง จงรู้แต่ว่าข้าปรารถนาในตัวเจ้าเหลือเกินอินทัช”


บรรจงจูบหวานล้ำตราตรึงจนเจ้าชายอินทัชสะท้านไปทั้งกาย ร่างกายเปลือยเปล่าเบียดแทรกเนื้อตัวที่ไร้อาภรณ์ท่อนบนของอัคคี

ทรงวาดแขนคล้องคอของอัคคีแล้วเหนี่ยวรั้งบดจูบตอบ อัคคีวางมือไปบนเนื้อตัวลูบไล้อ่อนหวานกว่าครั้งที่ผ่านมา


“ใบหน้าเจ้าตอนกินกล้วยช่างน่าดูยิ่งนักอินทัช”


กระซิบข้างหูก่อนเม้มติ่งหูด้วยริมฝีปาก อัคคีวอนขอเสียงนุ่ม


“กลืนกินข้าเหมือนตอนที่ข้าป้อนกล้วยเจ้าได้หรือไม่”


หลงไปกับสิ่งยั่วยวนเมื่ออัคคีปลดผ้านุ่งที่เพียงคาดไว้หลวมๆออกทิ้งอวดกายหนุ่มที่ผงาดง้ำ อัคคีดันไหล่ให้อินทัชเลื่อนกายลงต่ำพลาง

กระชับจุดแข็งขืนส่งให้อีกฝ่ายที่มองอย่างงงงัน เจ้าชายอินทัชแตะชิวหาไปกับปลายยอดทักทาย ทรงดูดดื่มน้ำใสที่ไหลรินออกมาก่อน

จะทรงอ้าโอษฐ์กว้างครอบเข้าไปช้าๆ


“อา อินทัช”


อัคคีเงยหน้าพึมพำเสียงกระเส่า สัมผัสภายในช่องปากช่างอุ่นจนร้อนวูบวาบไปหมด เขาขยุ้มเส้นผมอ่อนนุ่มของคนที่กระทำงกเงิ่นไร้

เดียงสาแล้วบังคับให้ขยับใบหน้าเลื่อนเข้าออกจนช่องท้องบีบเค้นไปหมด


ผลักร่างนุ่มให้นอนหงายราบไปกับผืนดินอีกครั้ง อัคคีขยับตามไปนั่งคร่อมอยู่บนหน้าอกและดันท่อนเนื้อเปียกชุ่มเข้าไปในโอษฐ์งามอีก

ครั้งพร้อมกับเลื่อนเอวเข้าออก เจ้าชายอินทัชดูดดุนจนแก้มตอบ เสียงท่อนเนื้อขยับกระทบลำคออึกอักจนรับรู้ถึงของเหลวรสฝาดที่พุ่ง

พรวดเข้ามา


“โอ อินทัชของข้า”


อัคคีถึงกับเป่าปากเมื่อสุขสมด้วยปากงาม เขามองใบหน้าของเจ้าชายอินทัชด้วยแรงปรารถนาที่ไม่หยุดหย่อน


“ข้าจะพาเจ้าไปสวรรค์อีกสักรอบดีไหม”


ดึงกายออกมาจากใบหน้าพลางใช้ปลายนิ้วเช็ดคราบคาวรอบริมฝีปาก อัคคีเลื่อนกายลงต่ำและเป็นฝ่ายกลืนกินยอดสวยบนแผ่นอกเรียบ

เนียนอย่างหลงใหล สัมผัสครานี้ไร้ความรุนแรงมีแต่ความกระสันจะไปถึงฝั่งฝันจนอินทัชต้องแอ่นกายให้ลิ้นร้อนได้ละเลงอย่างสะใจ


“อัคคี อื้อ ได้โปรด ข้าต้องการเจ้าเหลือเกิน”


หมดสิ้นแล้วซึ่งความอายในเมื่อยามนี้หลงไปกับไฟร้อนที่อัคคีจุดมันขึ้นมา ดวงตางดงามฉ่ำปรือแดงก่ำมองอัคคีอย่างเรียกร้อง อัคคี

คำรามลั่นเขายันท่อนขาอินทัชให้ยกสูงเปิดทางสวรรค์เพื่อที่เขาจะแทรกกายเข้าไปอย่างง่ายดาย


“อื้อ อัคคี”


นุ่มนวลแต่ทว่าเร่าร้อนเหลือเกิน อินทัชกัดโอษฐ์หลับตาพริ้มเมื่อท่อนเนื้อขยับเสียดสี จุดอ่อนไหวภายในถูกกระแทกให้สะดุ้งหวามไหว

จนต้องผวาโอบกอดร่างแกร่งเอาไว้แน่น ความเสียวสะท้านเกาะกุมอารมณ์จนเผลอจิกเล็บลงไปบนแผ่นหลังชื้นเหงื่อแล้วลากเป็นทาง

แต่กลับยิ่งเร้าอารมณ์ให้อัคคีเริงโลดไปกับรสสวาท


“อินทัชของข้า เมียของข้า”


ส่งเสียงคำรามทุ้มลึกแข่งกับเสียงจักจั่นเรไรบนยอดไม้ ช่องทางหวานล้ำฉ่ำไปด้วยน้ำหล่อเลี้ยงส่งไปสู่เส้นชัยที่รออยู่ อินทัชคว้าท่อน

เนื้อตนเองเกาะกุมโยกรั้งส่งเสียงแข่งอย่างไม่ยอมแพ้ ก่อนจะสะดุ้งวาบเมื่อมันปลดปล่อยน้ำคาวออกมา


“ซี้ด อัคคี ข้า ข้า...”


ดวงตาราวกับเนื้อทรายเบิกกว้างเมื่อนำไปสู่เส้นทางหฤหรรษ์ ช่องทางตอดรัดบีบรัดส่วนประสานจนอัคคีเองถึงกับหน้ามืด เขากัดฟันยัน

กายกระแทกแรงลึกเมื่อหน้าท้องบิดมวนเต็มที และไม่นานหลังจากนั้นดวงดาวก็ปรากฏอยู่ตรงหน้าเมื่อเขาคว้าชัยไว้ได้อีกครั้ง


ทิ้งกายซบร่างนุ่มที่นอนกลางผืนดินพลางให้รางวัลเป็นจูบหวาน ดวงตาของเจ้าชายอินทัชหรี่ปรือไปด้วยความสุขสมระคนอ่อนเพลียที่

ต้องผ่านศึกหนักมาตั้งแต่ช่วงบ่าย เปลือกตาปิดลงช้าๆพร้อมกับที่พระองค์หลับผล็อยไปทั้งที่ยังมีอัคคีสอดประสานอยู่ในกายงดงาม

อัคคีมองใบหน้าที่เหมือนเขาหากแต่หวานล้ำด้วยดวงตามุ่งมั่น


“ครั้งนี้ข้าทำรักกับเจ้ากลางดินแข็งกระด้าง ข้าสัญญา ต่อไปครั้งหน้าข้าจะมอบความสุขสมเปรมปรีให้แก่เจ้าบนที่นอนผืนงาม เจ้าชายอิน

ทัชธราธิป”


กล่าวทั้งที่เจ้าชายอินทัชหลับสนิทอยู่ในอ้อมกอดนั่นเอง




TBC



 :katai5: :katai5:



หัวข้อ: Re: บัลลังก์รักใต้เงาแค้น บทที่16[18/02/59] อัคคี-อินทัชกลับมาแล้ว Twincest NC18+
เริ่มหัวข้อโดย: kms ที่ 18-02-2016 23:39:12
เย้ ในที่สุดก็ถึงวันของพ่อสมิงงงงงงงงงงงง เย้ๆๆๆๆ
ขอให้พ่อบัวรักพ่อสมิงเรวๆ
หัวข้อ: Re: บัลลังก์รักใต้เงาแค้น บทที่16[18/02/59] อัคคี-อินทัชกลับมาแล้ว Twincest NC18+
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 19-02-2016 05:45:17
 :jul1:      เจ้าชายได้กล้วยจนมีแรง
โอ๊ยอยากให้เขาหวานกันแบบนี้ตลอดไป
หัวข้อ: Re: บัลลังก์รักใต้เงาแค้น บทที่16[18/02/59] อัคคี-อินทัชกลับมาแล้ว Twincest NC18+
เริ่มหัวข้อโดย: Freja ที่ 19-02-2016 07:25:26
เย้ๆ     ดีใจแทนพ่อสมงิ  เอ๊ย  พ่อสมิงของป้า  อาทิตย์มันรักแรกมาแรงไปแรง
สมิงเป็นไฟที่มักจะมีอยู่ในเรือน อบอุ่นยามที่จำเป็นและต้องการ   รักที่ให้โดยที่ไม่มีการร้องขอสิ่งตอบแทน  ง่ายๆไม่ซับซ้อน   ถ้าเราเป็นพ่อบัวนะถึงจะได้กลับไปหาอาทิตย์อีกแล้วอีกฝ่ายก็ต้อนรับด้วยความยินดี  แต่อะไรต่อมิอะไรมันเกิดขึ้นมาขวางระหว่างทั้งสองมากเกินไป      อีกอย่างเวลาผ่านมาป่านนี้อาทิตย์จะไม่มีใครสักคนที่อยู่ข้างตัวเชียวหรือ?  ในเมื่อตัวเองก็ไม่ได้ร่วมเรียงเคียงเขนยกับชายา  น่าจะมีใครสักคนถวายงานอยู่หรอก  งานนี้ป้าเชียร์โจรมากกว่าเจ้าค่ะ  ส่วนคู่ incest ก็ละไว้ให้ลูกก็แล้วกัน

ตอนที่แล้วมีคำผิดค่ะ   สงสารนะคะ   เขียนผิดเป็นสงสาน
หัวข้อ: Re: บัลลังก์รักใต้เงาแค้น บทที่16[18/02/59] อัคคี-อินทัชกลับมาแล้ว Twincest NC18+
เริ่มหัวข้อโดย: aisen ที่ 20-02-2016 10:04:34
สมใจพ่อสมิงเขาแล้ว คู่แฝดนิก็ไม่น้อยหน้า
หัวข้อ: Re: บัลลังก์รักใต้เงาแค้น บทที่16[18/02/59] อัคคี-อินทัชกลับมาแล้ว Twincest NC18+
เริ่มหัวข้อโดย: kun ที่ 20-02-2016 12:13:52
แทบละลาย เลือดหมดตัวกันไปเลย กล้วยนี้ให้พลังสูง ฮ่าๆๆๆๆ รอบหน้าค้องที่เตียงน่ะ อิอิ
รุ่นพ่อมาแล้ว คู่อัคคีอินทัช ก็มาแล้ว นังขาดคู่ไหนน่ะ อิอิ รอสูบเลือดรอ ฮ่าๆๆ
หัวข้อ: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >> บทที่17 [11/03/59] NC18+
เริ่มหัวข้อโดย: Belove ที่ 11-03-2016 15:44:26


                                                            บัลลังก์รักใต้เงาแค้น

                                                                 บทที่  17


               เพชรกล้าไม่อยากจะเชื่อว่าตนเองยอมเดินตามเจ้าโจรป่าหน้าอ่อนต้อยๆ

               โจรป่าที่แจ้งชื่อต่อเขาว่าฟ้าฟื้นเดินสบายๆในป่าลึกราวกับชมนกชมไม้ในขณะที่เขากลับต้องถูกทั้งกิ่งไม้และเถาวัลย์เกี่ยว

แขนเกี่ยวขาเป็นรอยเต็มไปหมดจนกระทั่งฟ้าฟื้นหยุดเดินที่หน้ากระท่อมเก่าเจียนพังหลังหนึ่งที่ซ่อนอยู่หลังต้นไม้ใหญ่


                “ที่นี่แหละ”


               เพชรกล้าชะงัก เขากวาดสายตามองอย่างฉงน


               “เจ้าไม่ได้พาข้าไปยังหุบผากาฬรึ”


               ฟ้าฟื้นขมวดคิ้ว


               “หุบผากาฬไม่ใช่สถานที่ที่ใครจะเข้าไปโดยง่าย ผู้จะเข้าไปได้ต้องเป็นคนภายในและคนที่ไว้ใจได้เท่านั้น โดยเฉพาะทหาร

ในวังเช่นเจ้าอย่าหวังจะได้เหยียบแม้แต่ปากทางเลย”


               เพชรกล้าตกใจไม่น้อยเมื่อฟ้าฟื้นรู้ว่าเขาเป็นใคร เขามองฟ้าฟื้นอย่างฉงนฉงาย


               “เจ้ารู้?”


               “คงคิดว่าข้าโง่นักสินะ” ฟ้าฟื้นเบ้ปากใส่


               “รู้ตั้งแต่คราแรกที่สู้กับเจ้าเสียด้วยซ้ำ การต่อสู้ของเจ้าน่ะมันเก่งเกินไป มันเป็นทางการเกินไป ไม่มีชาวบ้านที่ไหนหรอกที่จะ

ต่อสู้เช่นนี้นอกจากพวกทหารที่ผ่านการฝึกปรือ”


               ฉลาดกว่าที่คิด โจรป่าจากหุบผากาฬไม่ได้โง่ ไม่เช่นนั้นคงไม่มีชื่อเสียงร่ำลือในการปล้นสดมภ์ขบวนสินค้าที่ผ่านเดินทางใน

เส้นทางภูเขาเช่นนี้ แต่เพราะนี่เป็นเส้นทางที่สั้นที่สุดไปยังเมืองใกล้เคียงได้ ขบวนสินค้าจึงจำใจต้องผ่านแต่พวกนั้นก็พยายามเลี่ยงให้

ไกลจากหุบผากาฬมากที่สุด


               “รู้ว่าข้าเป็นทหารจากในวัง แล้วใยจึงไว้ชีวิต”


               นั่นสินะ ฟ้าฟื้นก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมเขาจึงไว้ชีวิตชายผู้นี้


               เรื่องนี้น่าจะเป็นเรื่องที่เขาโง่ที่สุดแล้ว อันที่จริงเขาควรจะเชือดคอนายทหารคนนี้ให้หมดลมหายใจลงเสียสิ้นเรื่องสิ้นราว

หากแต่เพราะอะไรบางอย่างเข้ามากวนใจเมื่อสบสายตาคู่นั้นมันทำให้เขาเฉือนปลายมีดลงไปที่คอของเพชรกล้าไม่ได้


               “จะถามเพื่ออะไรนัก ไว้ชีวิตก็คือไว้ชีวิต ไม่เห็นต้องมีเหตุผล อย่าสู่รู้ให้มากนักเลย”


               แสร้งเปลี่ยนความว้าวุ่นให้เป็นขุ่นเคืองฟ้าฟื้นสะบัดหน้าใส่ทำหน้างอง้ำจนเพชรกล้าแอบขำ


               ความจริงเจ้าโจรป่าวัยรุ่นหนุ่มยามสีหน้าแดงเรื่อแล้วเม้มปากแน่นดวงตาวาววับนี่ก็น่าเอ็นดูหยอกเสียเมื่อไหร่


               “ไม่ถามเรื่องนี้ก็ได้” เพชรกล้าเหลียวมองรอบตัว


               “แล้วนายท่านจะให้ข้าอยู่ที่นี่เพียงลำพังงั้นหรือ จะมั่นใจได้เช่นไรว่าทาสอย่างข้าจะไม่หนีไป”


               ฟ้าฟื้นก้าวเข้ามาใกล้ เขายกยิ้มท้าทาย


               “อยากจะกลับไปเมื่อใดก็ไป หากว่าเจ้ายอมทิ้งศักดิ์ศรีว่าพ่ายแพ้แก่ข้าไว้ที่นี่”


               เพชรกล้านึกหมั่นไส้ใบหน้ายียวนเต็มกำลัง เขาคว้าท่อนแขนของฟ้าฟื้นเข้าหาตัว แขนอีกข้างถือโอกาสโอบกอดร่างของฟ้า

ฟื้นไว้ คนถูกกอดฝืนตัวพลางจ้องมองเชลยด้วยความขุ่นเคือง ฟ้าฟื้นขุ่นเคืองความบังอาจของเพชรกล้าและรวมถึงขุ่นเคืองหัวใจของ

เขาเองที่เต้นแรงยามใกล้ชิดกับนายทหารโอหังคนนี้อีกด้วย


               “ปล่อย!”


               “นายท่านเก่งกาจออกปานนี้ แค่ทำให้ข้าปล่อยคงไม่เกินความสามารถหรอกกระมัง นอกเสียจากว่า...”


               เพชรกล้าคลี่ยิ้มก่อกวนกลับคืนบ้าง


               “...บางทีเจ้าอาจจะชอบใจที่ได้อยู่ในอ้อมกอดของข้า”


               “ไอ้เพชร!”


               ฟ้าฟื้นตวาดกร้าวอย่างขัดเคือง เป็นเพราะเติบโตมาในดงโจรแม้จะฉลาดกว่าคนอื่นแต่เขาก็ยังมีกิริยาที่ไม่ได้ขัดเกลา และ

เมื่อเพชรกล้าได้ฟังก็นึกโมโห ถึงอย่างไรเขาก็มีอายุมากกว่า มิควรที่ฟ้าฟื้นจะเรียกเขาโดยใช้คำหยาบคายเช่นนี้


               “อย่าเรียกข้าด้วยคำหยาบต่ำเช่นนี้อีก ฟ้าฟื้น”


               ยามเอาจริงใบหน้าของเพชรกล้าช่างดุนัก ดวงตาของเขาคมกล้าดั่งเช่นชื่อขณะจ้องตาของฟ้าฟื้นที่เริ่มหวาดหวั่นมากขึ้น

เรื่อยๆ ฟ้าฟื้นเชิดหน้าขึ้นอย่างถือดี จะให้ทหารจากในวังรู้ไม่ได้ว่าเขากำลังใจสั่น


               “ข้าจะเรียกเจ้าเช่นนี้ มีปัญหาอันใด หือ ไอ้เพชร ไอ้เพชร อะ อุ๊บ!”


               ปากถูกปิด เสียงถูกดูดกลืนหายเมื่อเพชรกล้าจัดการปากจัดด้วยปากของเขา ชายหนุ่มจงใจบดน้ำหนักลงไปราวกับจะขยี้

กลีบปากนั้นให้แหลกช้ำ ฟ้าฟื้นทำได้เพียงผินหน้าหลบเลี่ยงแต่กลับถูกเพชรกล้าติดตามได้ทุกครั้ง


               “อื้อ ไอ้...”


               แค่คำด่าจะหลุดจากปากอีกครั้งเพชรกล้าก็เหวี่ยงฟ้าฟื้นไปบนพื้นกระท่อมสกปรกเจียนพังจนฝุ่นคละคลุ้ง เขากระโจนตาม

ขึ้นไปทาบทับร่างฟ้าฟื้นไว้จนดิ้นไม่หลุด


               “เป็นเด็กเป็นเล็กอย่าริอ่านปากกล้าด่าผู้ใหญ่”


               เพชรกล้าส่งเสียงหนักดุอยู่ใกล้ๆ ขณะตรึงแขนสองข้างของฟ้าฟื้นไว้กับพื้นกระท่อม


               “เพราะบางทีผู้ใหญ่อาจหมดความเอ็นดูเด็กมารยาททรามเช่นเจ้า”


               บ้าที่สุด!


               ฟ้าฟื้นกัดฟันอย่างเจ็บใจ คราที่เพชรกล้าจริงจังขึ้นมาทำให้เขารู้ว่าที่ผ่านมาชายหนุ่มเพียงยอมอ่อนข้อ แต่หาใช่คราวนี้ที่ทำ

อย่างไรฟ้าฟื้นก็ไม่อาจดิ้นหลุดแม้ว่าจะออกแรงมากแค่ไหน และแรงของเขาก็ยิ่งถดถอยลงไปเรื่อยๆเมื่อเพชรกล้ากำลังก้มหน้ามาจูบ

เขาอีกครั้ง


               “ยะ อย่า อื้อ..”


               ปากของฟ้าฟื้นถูกบังคับให้เปิดรับลิ้นร้อนที่สอดลึกเข้ามาอย่างจาบจ้วง เพชรกล้าตวัดทีเดียวเขาก็ครอบครองโพรงปากของ

ฟ้าฟื้นไว้ได้ทั้งหมด ฟ้าฟื้นเจ็บไปรอบปากเมื่อเขาคาดว่ามันอาจจะบวมเจ่อแต่เพชรกล้าก็ยังไม่ให้โอกาสจนกระทั่งฟ้าฟื้นหมดแรงดิ้นรน

เขาหยุดหอบนอนนิ่งให้เพชรกล้าข่มเหงอย่างเจ็บใจ


               เมื่อคนใต้ร่างหมดแรงนอนนิ่ง ใจจริงเพชรกล้าก็อยากจะปล่อย แต่เพราะความรู้สึกบางอย่างยามได้ลิ้มรสความหวานระคน

ร้อนแรงยามตวัดลิ้นซอกซอนมันทำให้เขาเลิกคิด หากแต่ความหนักหน่วงกับน้ำหนักที่แกล้งบดขยี้กลับลดน้อยถอยลง ที่เพิ่มมากขึ้นคือ

จูบที่เรียกร้องให้ฟ้าฟื้นมึนงงไปกับรสชาติแปลกใหม่จนกระทั่งเผลอไผลตวัดลิ้นสู้


               “เจ้ากำลังจะทำให้ข้าตบะแตก”


               เพราะมียศศักดิ์เป็นถึงนายทหารรักษาพระองค์ที่ต้องฝึกปรือเข้มงวดและอยู่ใกล้ชิดพระราชวงศ์ เพชรกล้าแทบไม่มีเวลาส่วน

ตัวแม้แต่จะคิดเรื่องครอบครัว ความใกล้ชิดกับร่างกายผู้อื่นเช่นนี้เป็นเพียงไม่กี่ครั้งที่ผ่านเข้ามาในชีวิต และเป็นเพราะฟ้าฟื้นที่มีบาง

อย่างดึงดูดหัวใจมันทำให้เพชรกล้าหลุดจากการควบคุมตนเอง

               ฝ่ามือตะปบลงไปบนร่างของฟ้าฟื้น ความร้อนผ่าวไปด้วยความต้องการทำให้เนื้อตัวของฟ้าฟื้นแทบเต้นตามไปด้วย เขาไม่รู้

ตัวสักนิดว่าเสื้อผ้าสีเข้มที่ตนสวมนั้นหลุดลุ่ยไปจากร่างตั้งแต่เมื่อใด เพราะฟ้าฟื้นเองก็ลืมตัวดึงรั้งเสื้อผ้าของเพชรกล้าอย่างรวดเร็วไม่

แพ้กัน จวบจนเพชรกล้าเบียดกายแข็งแกร่งลงมานั่นแหละสติของฟ้าฟื้นเพิ่งจะกลับคืน แต่เขาก็ทำอะไรไม่ได้เสียแล้ว


               “ร่างกายของเจ้ายั่วสายตาข้าเหลือเกิน”


               เพชรกล้าพึมพำยามลงลิ้นสำรวจ แปลกที่กลิ่นสาบเหงื่อในวัยหนุ่มของฟ้าฟื้นยิ่งกระตุ้นให้เขาต้องการจนแทบจะกระโจนใส่

เพชรกล้าต้องรั้งมันไว้เพราะเขาไม่ต้องการข่มขืนฝืนใจฟ้าฟื้น


               “เจ้า อื้อ ไอ้บ้าเอ๊ย”


               ฟ้าฟื้นสบถดังลั่นเมื่อลิ้นร้อนละเลงอยู่รอบลานนมก่อนจะตวัดยอดสีเนื้อแค่เพียงบางเบา เขากำลังต้องการให้เพชรกล้า

จัดการให้มากกว่านี้จนต้องขยุ้มเส้นผมของเพชรกล้าลงไปกับแผ่นอกเนียนเรียบ เพชรกล้าพอใจเหลือเกินที่เขาปลุกเร้าได้ผล เขาอ้า

ปากครอบลงไปบนเนินอกและลากปากขบเม้มติ่งน้อยจนมันยืดติดปาก

               ท่อนขาหนั่นแน่นขยับอ้ากว้างให้เพชรกล้าทิ้งสะโพกลงตรงกลาง มือสากจับแต่อาวุธต่อสู้บัดนี้กอบกุมท่อนเนื้อของฟ้าฟื้น

เอาไว้จนมิด มือยิ่งสาก ฟ้าฟื้นยิ่งดิ้นไปด้วยความกำหนัดยามเพชรกล้ารูดรั้ง เขาถึงกับขยับเอวสู้เมื่อร่างกายกำลังบีบคั้น


               “ข้า...โอย เจ้าทาสโง่เง่าเชื่องช้า”


               ด่าทอใส่หน้าเมื่อเพชรกล้ายังไม่ยอมกระทำเสียที สวรรค์อยู่ตรงหน้าหากแต่ยังค้างคาเพราะอีกฝ่ายยังกลั่นแกล้ง เพชรกล้า

คำรามลั่นก่อนจะขยับผลักท่อนขาเต็มมือให้อ้ากว้างเต็มที่แล้วจึงดันเอวเข้าไปทีเดียวจนมิด


               “อึก จุก”


               แม้จะไม่ใช่ครั้งแรกแต่เพราะถูกแทรกกายเข้าไปทีเดียวหมดทั้งท่อนลำใหญ่โตฟ้าฟื้นจึงสะดุ้งสุดตัว เขาเงยหน้าสบตากับ

ดวงตาดุคุโชนที่ก้มมองลงมา


               “ข้าบอกเจ้าแล้วว่าให้มีสัมมาคารวะกับผู้ใหญ่ เจ้าเด็กปากเสีย”


               ราวกับเป็นการลงทัณฑ์ เพชรกล้าขยับเอวออกแล้วแทงลึกอีกครา ฟ้าฟื้นผวาทั้งแขนทั้งขาเข้ากอดรัดร่างแข็งแกร่งที่ผ่าน

การฝึกปรือเป็นอย่างดีของเพชรกล้า เสียงครางดังลอดมาจากลำคอที่เชิดสูงเมื่อถูกกระทำรัก เพชรกล้าสาวเอวเร็วรี่ไม่รั้งรอสิ่งใดอีก

แล้ว


               “โอย เจ็บ แต่ อื้อ ตรงนั้น”


               คราหนึ่งที่ถูกกระแทกจุดอ่อนไหวฟ้าฟื้นถึงกับหน้ามืด ช่องทางชื้นฉ่ำไปดวยความต้องการที่ถาโถมเข้าใส่ ฟ้าฟื้นปล่อยให้

เพชรกล้าบุกอยู่ในร่างกายจนกระท่อมร้างโยกไหวตามแรงกระหน่ำ เขาเกร็งกายค้างเมื่อร่างกายของเขาถูกกระชากขาดวิ่น


               “อื้อ แตก”


               อุทานดังลั่นพลันเบิกตากว้าง  เพชรกล้ากัดฟันคำรามเมื่อร่างกายของฟ้าฟื้นกำลังเร่งเร้าส่วนแข็งขืนจนร่อนรุ่มไปหมด เพชร

กล้าสอดมือช้อนใต้เอวของฟ้าฟื้นให้รอรับเมื่อเขาทะยานดันตัวเองให้ล่องลอยตามฟ้าฟื้นในเวลาไม่นานนัก

               หอบหนักแข่งกันอยู่บนพื้นกระท่อม ฝุ่นกระจายจนเหลือแต่ร่องรอยดิ้นรนของฟ้าฟื้นที่ไม่คาดเลยว่าสถานที่ที่เขาพาเชลยมา

จะกลายเป็นสถานที่ที่เขามีความสัมพันธ์เกินเลยกับนายทหารจากในวัง เมื่อพายุอารมณ์พัดผ่านฟ้าฟื้นกัดฟันแน่นรีดแรงทั้งหมดผลัก

ร่างของเพชรกล้าให้ออกไปจากตัว


               “อึก เบาๆสิเจ้า เดี๋ยวของข้าหักไปจะทำเช่นไร”


               เพชรกล้าประท้วงเมื่ออยู่ๆก็พลันหลุดออกจนน้ำคาวที่คั่งค้างกระฉอกตามมาจากช่องทางสวรรค์ เขามองฟ้าฟื้นสายตาพราว

ผิดจากก่อนหน้า มองเห็นฟ้าฟื้นกำลังยันกายลุกนั่งเขารีบฉวยโอกาสรวบร่างนั้นมากอดอีกครั้ง


               “ปล่อยเดี๋ยวนี้ ไอ้ทาสเจ้าเล่ห์”


               ฟ้าฟื้นผลักไสทุบตี แต่เพชรกล้าอดทนตั้งรับ ความสัมพันธ์ครานี้ติดอยู่ในใจจนไม่อาจปฏิเสธได้


               “ทาสเช่นข้าอยากเลื่อนขั้นเป็นผัว”


               “ฝันไปเถอะ ไม่มีทาง แค่เอากันครั้งเดียวข้าไม่นับเป็นผัว”


               เพชรกล้าหัวเราะ เช่นไรฟ้าฟื้นก็ยังอ่อนเดียงสาอยู่มาก และร่างกายนี้ก็ช่างตอบรับกับความต้องการของเพชรกล้าได้ดีจนเขา

คาดไม่ถึง ยิ่งกวาดสายตามองร่างเปลือยเปียกชุ่มปะปนคราบเหงื่อคราบคาวแล้วก็ยิ่งชวนมอง


               “พูดเช่นนี้กำลังเชิญชวนข้าใช่ไหมฟ้าฟื้น”


               เสียงของเขาอ่อนนุ่มลงอย่างไม่น่าเชื่อ เพชรกล้ากอดรัดฟ้าฟื้นราวกับลูกไก่ในกำมือ เขาซุกหน้าลงไปกับซอกคอของฟ้าฟื้น

แล้วกัดเบาๆ


               “ถ้าเอากันครั้งเดียวไม่นับว่าเป็นผัว เจ้าจะให้ข้าเอาเสียกี่ครั้งจึงจะนับ”


               “ไอ้ อะ...บอกให้ปล่อยไงเล่า”


               ฟ้าฟื้นเริ่มเรียนรู้ เพชรกล้าไม่ชอบให้แข็งกระด้างใส่ เมื่อรู้แล้วว่าถึงอย่างไรเขาก็สู้เพชรกล้าไม่สำเร็จ ฟ้าฟื้นจึงตัดใจอยู่นิ่ง

ในอ้อมกอด


               “ก็แค่นี้เอง”


               “คนเลว”


               ต่อว่าด้วยใบหน้าแดงก่ำด้วยความอับอายที่เพลี่ยงพล้ำ เพชรกล้ามองใบหน้านั้นก่อนจะกดจูบตามอย่างห้ามไม่อยู่ เขาสงสัย

ตนเองว่าจะกลายเป็นทาสของเจ้าโจรป่าหน้าอ่อนนี่จริงๆเสียแล้วแต่เป็นทาสแห่งรสสวาทที่เกิดขึ้น


               “ไหนๆก็เลวแล้ว ขอเลวอีกสักครั้งเถอะนะ ฟ้าฟื้น”


               อ่อนโยนจนฟ้าฟื้นตกใจ เพชรกล้าวางร่างกายแน่นมือลงไปบนพื้นกระท่อมอีกครั้ง เขาเลื้อยกายทาบทับก่อนจะกลืนกินฟ้า

ฟื้นเข้าไปดั่งงูตัวใหญ่กินเหยื่อ


               “เจ้า เพชร”


               เรียกเสียงครวญคร่ำไม่หยุดหย่อนเมื่อคราวนี้เพชรกล้าปรนเปรอปลุกเร้าไฟร้อนให้จุดติดอีกครั้ง เพชรกล้ากระซิบข้างหูยาม

กำลังจะพาฟ้าฟื้นสู่แดนสุขาวดีคำรบสอง


                “เรียกข้าว่าพี่เพชร พี่เพชรผัวของเจ้าไงล่ะฟ้าฟื้น”


               “ไม่ ข้าไม่..ฮึก ได้โปรด”


               “จะยอมหรือยังฟ้าฟื้น”


               ฟ้าฟื้นกัดฟันจ้องตาอีกฝ่าย ไฟปรารถนารุมเร้าจนต้องพ่ายแพ้


               “พี่เพชร ได้โปรด...”


               เพชรกล้าส่งเสียงฮึกเหิม เขากระแทกกระทั้นกายฉุดให้ฟ้าฟื้นได้ท่องเที่ยวไปกับสวรรค์บนดินจนกระทั่งพากันหมดแรงอยู่ใน

กระท่อมร้างกลางป่าลึก



                                                                         โปรดติดตามตอนต่อไป
               
                                                                      :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >> บทที่17 [11/03/59] NC18+
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 11-03-2016 18:12:48
 :haun4:    คู่นี้ก็เบาๆเนอะ
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >> บทที่17 [11/03/59] NC18+
เริ่มหัวข้อโดย: iNcamisang ที่ 11-03-2016 19:37:14
 :pighaun: :pig4:
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >> บทที่17 [11/03/59] NC18+
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 11-03-2016 21:00:10
 :z1: :z1: :z1: :z1: :z1:
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >> บทที่17 [11/03/59] NC18+
เริ่มหัวข้อโดย: kun ที่ 11-03-2016 21:03:18
พี่เพชรน้องฟ้ามาแบบฟินๆๆเลือดสาดอ่ะ อิอิ
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >> บทที่17 [11/03/59] NC18+
เริ่มหัวข้อโดย: van16 ที่ 12-03-2016 11:38:53
 :hao6: ดีงามทุกคู่เลย ติดงอมแงม มาต่อไวๆ นะ :hao7: :hao5:
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >> บทที่17 [11/03/59] NC18+
เริ่มหัวข้อโดย: Nus@nT@R@ ที่ 12-03-2016 16:02:30
เสร็จพี่เพชร อิอิ
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >> บทที่17 [11/03/59] NC18+
เริ่มหัวข้อโดย: kms ที่ 12-03-2016 16:13:44
กรี๊ดดดดดดด คู่นี้ก็แซ่บบบบบ
พี่เพชรรรรรร
มาต่อไวไวน่ะค๊าาา
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >> บทที่17 [11/03/59] NC18+
เริ่มหัวข้อโดย: kms ที่ 17-03-2016 23:58:13
รอๆๆพี่เพชรกับฟ้าฟื้น
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >> บทที่17 [11/03/59] NC18+
เริ่มหัวข้อโดย: papanoy ที่ 18-03-2016 23:03:09
            ดีใจจังที่มาต่อแล้ว :pig4:

   ชอบทุกคู่เลย น่ารัก น่าติดตามกันคนละแบบ คนเขียนเก่งนะ เขียนแต่ละคู่ได้อารมณ์แตกต่างกันเลย
           
                      ชอบเรื่องนี้มาก    :กอด1: :L1:
หัวข้อ: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >> บทที่18 [19/03/59]
เริ่มหัวข้อโดย: Belove ที่ 19-03-2016 00:03:44


                                                        บัลลังก์รักใต้เงาแค้น

                                                              บทที่  18


               ลืมตาตื่นขึ้นมาในยามย่ำรุ่ง แสงแห่งอรุโณทัยสาดส่องทะลุหลังคาตับจากของกระท่อมโย้เย้ เพชรกล้ามองเห็นแผ่นหลังของ

ฟ้าฟื้นที่กำลังผูกรัดเสื้อผ้าสีเข้มให้รัดกุมเข้ากับตัวในขณะที่เขายังเปลือยกายอยู่บนพื้นเปื้อนฝุ่น


               “ฟ้าฟื้น” เอ่ยเรียกด้วยเสียงละมุนกว่าเคยหากแต่ร่างนั้นยังนิ่งเฉยหันหลังให้กับเขา


               “ฟ้าฟื้น หันหน้ามาคุยกันหน่อยไม่ได้รึ”


               หันหน้ามาหาในที่สุด หากแต่ฟ้าฟื้นกลับขว้างเสื้อผ้าของเพชรกล้าใส่เจ้าของ


               “ใส่เสื้อผ้าแล้วกลับไป”


               สีหน้าจริงจังของฟ้าฟื้นทำให้เพชรกล้าต้องขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฟ้าฟื้นกำลังคิดอะไรอยู่และโกรธเคืองเรื่องอันใดอีก ใน

เมื่อราตรีที่ผ่านมาฟ้าฟื้นก็ยังยินยอมให้เขากระทำรักเกือบตลอดทั้งคืน


               “ทำไมทำหน้าบึ้งใส่พี่เยี่ยงนี้”


               ลุกขึ้นแล้วเข้าไปโอบกอดแต่เพชรกล้าพลันสะดุ้งสุดตัวเมื่อรู้สึกเจ็บแปลบที่ท่อนแขน เขาก้มลงไปมองเห็นโลหิตไหลรินจาก

บาดแผลถูกกรีดที่ผิวหนังด้วยคมมีดในมือของฟ้าฟื้นจนต้องขยับกายออกห่าง


               “ฟ้าฟื้น นี่ทำอะไรลงไป!”


               เพชรกล้าถามเสียงดัง เขาทั้งตกใจและขุ่นเคืองในสิ่งที่ฟ้าฟื้นทำเมื่ออีกฝ่ายทำร้ายเขาด้วยมีดคม ฟ้าฟื้นเม้มปากแน่นและ

เชิดหน้าขึ้น


               “ข้าบอกให้พี่กลับไป แล้วไม่ต้องมาพบหน้าข้าอีก”


               คำพูดตัดรอนทำให้เพชรกล้าถึงกับกัดฟันจนสันกรามขึ้นเป็นแนว เขากระชากไหล่ของฟ้าฟื้นแล้วเขย่าเรียกสติ


               “พูดอะไรเช่นนั้น นี่ลืมไปแล้วใช่ไหมว่าเราเป็นอะไรกัน ทั้งที่เวลาเพิ่งจะผ่านไปเพียงไม่กี่ชั่วยาม”


               ฟ้าฟื้นสบตาไม่ยอมหลบ มันเต็มไปด้วยความสับสนครุ่นคิดและเจือรอยเศร้าซ่อนอยู่


               “ข้าไม่ลืม แต่เราไม่ควรจะผูกพันกันให้มากกว่านี้”


               ดวงตาของเพชรกล้าแปรเปลี่ยนเป็นงุนงงเมื่อฟังคำของฟ้าฟื้น


               “เจ้าหมายความอย่างไรฟ้าฟื้น”


               ฟ้าฟื้นกลืนก้อนสะอื้นลงคอ รอยรักที่เพชรกล้าฝากไว้ยังตราตรึงอยู่ในหัวใจของเขา


               “ข้าเป็นโจร พี่เป็นทหาร สักวันหนึ่งเราก็ต้องเข่นฆ่ากันอยู่ดี เพราะฉะนั้นข้าจึงบอกว่าเราไม่ควรจะผูกพันกันให้ยิ่งเจ็บช้ำในวัน

ที่เราต้องปลิดชีวิตอีกคนในวันหน้า”


               เหตุผลของฟ้าฟื้นทำให้เพชรกล้านิ่งงัน เขาปฏิเสธไม่ได้ว่ามันเป็นเรื่องจริง ด้วยภาระหน้าที่เขามิอาจปล่อยให้โจรจากหุบผา

กาฬลอยนวล แต่ถ้าวันหนึ่งที่เขาต้องทำเช่นนั้นจริงๆเล่า


               “ฟ้าฟื้น พี่...”


               อับจนด้วยถ้อยคำตอบโต้ได้แต่กัดฟันนิ่งจ้องมองใบหน้าของฟ้าฟื้นอย่างอาลัย เพชรกล้าเลื่อนปลายนิ้วแตะต้องใบหน้านั้น

ราวกับจารึกไว้บนหัวใจของเขา


               “รู้ใช่ไหมว่าพี่รู้สึกเช่นไรกับเจ้า”


               “ได้โปรดอย่าพูดออกมา”


               ฟ้าฟื้นกลั้นก้อนสะอื้นพลางยกมือปิดปากของเพชรกล้าไว้ ดวงตาของเขาแดงก่ำ


               “ยิ่งพูดเราทั้งสองก็ต่างเจ็บปวดเสียเปล่าๆ พี่สวมใส่เสื้อผ้าของพี่แล้วจงไปเสียเถอะ เดินเท้าไปทางทิศเดิมที่เราผ่านมาไม่

นานจะพบม้าอยู่ตัวหนึ่ง อาจจะไม่ใช่ม้าดีเท่าม้าจากในวังแต่มันก็จะพาให้พี่กลับไปได้โดยง่าย”


               ฟ้าฟื้นตัดใจผลักไสร่างแกร่งของเพชรกล้าออกห่างก่อนจะหันหลังให้อีกครั้ง เพชรกล้าได้แต่มองไหล่ที่ไหวสะท้านเพราะ

กลั้นสะอื้น เขาเองก็ต้องตัดใจลุกขึ้นสวมเสื้อผ้าอาภรณ์จนเรียบร้อยจากนั้นจึงกระชากแขนของฟ้าฟื้นเข้าหาตัวแล้วบดจูบไปบนริมฝีปาก

สั่นระริกที่ฟ้าฟื้นกัดไว้เพื่อกลั้นเสียงร้อง เพชรกล้าถอนจูบสั่งลาอย่างอาวรณ์


               “เจ้าจะอยู่ในใจพี่ ฟ้าฟื้น”


               นายทหารองครักษ์ตัดสินใจหันหลังก้าวลงจากกระท่อมร้างกลางป่า ส่วนฟ้าฟื้นก็ได้แต่หันหลังให้ภาพนั้น เขาไม่อยากมอง

เห็นเพชรกล้าจากไป


               “พี่เองก็อยู่ในใจข้า พี่เพชร”
               






               เสียงนกร้องขับขานปลุกให้เจ้าชายอินทัชธราธิปตื่นจากนิทรา แต่ครั้นลืมตาขึ้นมากลับพบว่าพระองค์มิได้อยู่ที่เดิมอีกแล้ว

เสียงน้ำไหลรินทำให้พระองค์ผุดลุกประทับนั่งพลางเหลียวมองรอบกาย จึงได้เห็นว่ามีธารน้ำใสอยู่เบื้องหน้าและกลางลำธารกำลังมีใคร

บางคนแหวกว่ายอยู่ อัคคีนั่นเอง

               ดวงตาคมหันมองริมธารเมื่อเห็นเจ้าชายสูงศักดิ์ตื่นจากหลับใหลจึงก้าวขึ้นจากลำน้ำอวดช่วงกายแข็งแรงคล้ำแดด อัคคีก้าว

เข้ามาใกล้ทิ้งกายลงนั่งเคียงข้างกับวรกายของเจ้าชายที่ยังเปลือยเปล่าเช่นเดียวกับเขา


               “ตื่นแล้วหรือคนขี้เซา”


               เอื้อมมือบีบปลายจมูกอย่างนึกเอ็นดู


               “ขนาดข้าอุ้มเจ้ามาจนถึงริมธารแห่งนี้ก็ยังมิยอมตื่น”


               ก็เป็นเพราะใครเล่าที่ทำให้พระองค์หลับลืมตื่นเช่นนี้ หากมิใช่ตัวคนพูดที่กระทำบทรักตั้งแต่ยามบ่ายจนถึงเพลาดึกสงัดจน

เรี่ยวแรงหมดสิ้น ปรางนวลแดงก่ำพลางตวัดสายตาหนีอัคคียิ่งมองยิ่งติดใจ


               “พาข้ามาที่ลำธารทำไม”


               “พามาอาบน้ำชำระคราบไคลที่อยู่เต็มกายของเจ้า หรือว่าเจ้าจะเก็บมันไว้เป็นที่ระลึกกันเล่าอินทัช”


               “อัคคี เจ้าบ้า!”


               ผลักศีรษะคนช่างสัพยอกจนหน้าหงาย อัคคีหัวเราะเมื่อเห็นท่าที่ข่มความอายก่อนจะช้อนวรกายนุ่มแล้วอุ้มขึ้นพามายังลำธาร

ใสแล้ววางเจ้าชายอินทัชลงให้สายน้ำเซาะไปตามเนื้อตัวเนียนนุ่ม เขามองร่องรอยแดงกระจายอยู่ทั่วลำตัวขาวที่เกิดจากฝีมือของเขา


               “เจ็บไหมอินทัช”


               แตะลงไปบางเบาราวกับจะช่วยปัดเป่าความเจ็บปวดออกไปหากแต่เจ้าชายอินทัชกลับสบตาด้วยอาการตัดพ้อ


               “เจ็บกายไม่เท่าเจ็บใจที่ถูกเจ้าย่ำยีข่มเหงหรอกอัคคี”


               ตาคมสลดลง อัคคีโอบไหล่เนียนเข้ามาให้อ้อมกอดพลางก้มลงกดจูบลงไป


               “ข้าขอโทษอินทัช มันเป็นเพราะข้าสับสนกับความรู้สึกของตัวเอง”


               ความรู้สึกแค้นเคืองด้วยคำที่ถูกสั่งสอนมาตั้งแต่เยาว์กับความเสน่หาแค่เพียงครั้งแรกที่เห็นหน้ามันทำให้อัคคีข่มเหงเจ้าชาย

ผู้สูงศักดิ์จนไม่เหลือเกียรติยศศักดิ์ศรี


               “เราทำอะไรหรืออัคคี จึงต้องก้มหน้าก้มตารับกรรมถึงเพียงนี้”


               “อินทัชอย่าตัดพ้อข้านัก ข้าไม่สามารถเอ่ยที่มาได้จริงๆเพราะมันเป็นเรื่องของผู้ใหญ่”


               ครานี้เจ้าชายอินทัชจึงได้เงยพักตร์สบตาอัคคีด้วยความสงสัย


               “เจ้าเป็นใครกันแน่อัคคี”


               นั่นสินะ เขาเป็นใครกันแน่

               เพลานี้เองที่อัคคีนึกสงสัยที่มาของตนครามครัน เขาเองก็ใคร่รู้คำตอบนั้นเหลือเกิน


                “ข้าไม่รู้ ยิ่งเจ้าถามข้ายิ่งไม่รู้ แต่ข้าจะไม่ปล่อยให้ความสงสัยข้าเป็นเพียงความว่างเปล่าเด็ดขาด”


               อัคคีวักน้ำลูบล้างคราบคาวออกจากวรกายของเจ้าชายอินทัชเมื่อเห็นว่าสะอาดเอี่ยมจึงอุ้มกลับมาที่ฝั่งและสวมเสื้อผ้าชุดชาว

บ้านให้กายงามเพราะอาภรณ์ของเจ้าชายอินทัชถูกเขาฉีกขาดไปเสียตั้งแต่วานนี้แล้ว จากนั้นจึงสวมชุดของตนเอง


               “กลับไปพระราชวังของเจ้าเถิด”


               “แล้วเจ้า?”


               ใจหายทั้งที่อัคคียอมปล่อยตัวกลับ ความผูกพันวิ่งวนอยู่ในหัวใจจนขอบเนตรชื้น อัคคีฝืนยิ้มพลางมองวงพักตร์งามให้ประทับ

ในใจ


               “ไม่นานข้าจะตอบข้อสงสัยของเจ้า”


               ดึงปลายคางมนเข้าใกล้ อัคคีบรรจงจูบอ่อนหวานกว่าทุกครั้งจนเจ้าชายอินทัชแทบสำลักขาดใจ อัคคีค่อยๆคืนอิสระให้จนเจ้า

ชายอินทัชเองเสียอีกที่เป็นฝ่ายโหยหา


               “อัคคี”


               โจรหนุ่มลุกขึ้นยืน เขาดึงข้อหัตถ์เรียวของเจ้าชายอินทัชให้ลุกขึ้นเดินตาม ไม่นานนักเจ้าชายอินทัชจึงมองเห็นม้าตัวหนึ่งมัด

อยู่กับต้นไม้ อัคคียกเอวของเจ้าชายอินทัชส่งขึ้นนั่งบนหลังม้าและดึงเชือกที่ผูกรั้งม้าออก เจ้าชายอินทัชพระทัยหายเมื่อสบสายตากับ

อัคคี


               “รอข้านะอินทัช ไม่นานข้าจะคลี่คลายเรื่องทุกอย่างให้ได้ ข้าสัญญา”


               กล่าวจบก็ฟาดฝ่ามือลงไปที่สะโพกม้าจนมันส่งเสียงร้องลั่นและควบฝีเท้าออกไปโดยที่เจ้าชายอินทัชไม่ทันตั้งตัว น้ำ

พระเนตรคลออยู่ในหน่วยตาเมื่ออัคคีห่างไกลเรื่อยๆจนลับสายตา







               กลับมายังหุบผากาฬอัคคีได้แต่ใคร่ครวญสิ่งที่เกิดขึ้น เขานึกถึงวันที่ได้พบกับเจ้าชายอินทัชคราแรกที่มาส่องสัตว์กลางป่า

เป็นเพราะขบวนทหารและม้าพ่วงพีประดับอานบังเหียนประทับตราวังหลวงทำให้อัคคีรู้ว่าคนที่นั่งอยู่บนหลังม้าหาใช่ชาวบ้านธรรมดา เขา

นึกกระหยิ่มเมื่อเดาได้ว่านั่นต้องเป็นพระราชวงศ์ชั้นสูง หากแต่เมื่อเจ้าชายอินทัชบังคับม้าเข้ามาใกล้ อัคคีกลับนึกแปลกใจที่ใบหน้านั้น

คล้ายกับเขาเสียเหลือเกิน

               แล้วเรื่องราวที่พ่อบัวเล่าให้เขาฟังเล่า หากเป็นเรื่องจริงอัคคีอยากรู้ว่าเหตุใดบิดาของเขาและครอบครัวจึงถูกใส่ความจน

กระทั่งพ่อบัวต้องพาเขาหนีตายมาจนถึงที่นี่ ความสงสัยใคร่รู้ทำให้อัคคีนอนหลับไม่สนิทอยู่หลายคืน

               เสียงกุกกักภายนอกดังขึ้น อัคคีไม่ได้ขยับเพราะจำฝีเท้าได้ว่าเป็นของฟ้าฟื้น เขาปล่อยให้ฟ้าฟื้นก้าวเข้ามานั่งกอดเข่าอยู่

ด้านข้างด้วยสีหน้าเหงาหงอย


               “นอนไม่หลับหรืออัคคี”


               “เจ้าเองก็ด้วยหรือฟ้าฟื้น”


               “เฮ้อ เซ็งว่ะ”


               ฟ้าฟื้นทิ้งกายลงนอนเคียงข้าง


               “ข่มตานอนแต่หลับไม่ลงเลย”


               จะหลับลงได้อย่างไรเมื่อหลับตาครั้งใดก็มีแต่ใบหน้าของเพชรกล้าลอยวนอยู่เต็มไปหมด ฟ้าฟื้นหงุดหงิดยิ่งนักที่ตัดใจจาก

นายทหารจากวังหลวงไม่ได้เสียที


               “คิดอะไรอยู่อัคคี”


               “คิดว่าจะทำเช่นไรให้ปริศนาไขกระจ่าง”


               “ต้องสืบที่ต้นเหตุของปริศนาสิ”


               ฟ้าฟื้นกล่าวตอกย้ำในสิ่งที่อัคคีกำลังคิด มันทำให้อัคคีตัดสินใจได้จนต้องดีดตัวขึ้นมานั่ง


               “ขอบใจฟ้าฟื้น”


               ฟ้าฟื้นทำหน้างงงันเมื่อเขาไม่เข้าใจว่าอัคคีขอบใจเขาเพราะเหตุใด จนกระทั่งอัคคีเอ่ยออกมา


               “ข้าต้องไปจากหุบผากาฬ”


               “ว่ากระไรนะ”


               ดีดกายขึ้นมานั่งตามพลางมองอัคคีด้วยความสงสัย อัคคีหันมาให้คำตอบ


               “ข้าจะไปที่ต้นเหตุของปริศนา”


               “ข้าจะไปกับเจ้า”


               “ฟ้าฟื้น ข้าไม่รู้ว่าที่นั่นจะมีอันตรายใดหรือเปล่า”


               “ข้ากับเจ้ากินนมเต้าเดียวกันมา ข้าไม่หวั่นหรอกไม่ว่าจะเกิดเหตุอันใดขึ้น”


               อัคคีมองฟ้าฟื้นอย่างซื้งในน้ำใจ ฟ้าฟื้นกรอกตาไปมาก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงขลาดอาย


               “แต่ว่า ตอนนี้เจ้าช่วยข้าเรื่องหนึ่งได้ไหมอัคคี”


               อัคคีเลิกคิ้วแทนคำถาม ฟ้าฟื้นจึงได้ถอนหายใจเฮือกใหญ่


               “เรามาลองจูบกันอย่างที่เคยทำเมื่อครั้งก่อนได้ไหม”


               สบตาหวั่นไหวแต่ฟ้าฟื้นก็เผยอริมฝีปากรอรับ อัคคีงงงันแต่ก็ยินยอมแนบปากลงไปอย่างเช่นที่เคยทำมาแล้วครั้งหนึ่งกับฟ้า

ฟื้น หากแต่คราวนี้เขากลับไม่มีความต้องการระบายออกอย่างเช่นในคราวนั้นสักนิด ฟ้าฟื้นก็คงคิดเช่นกันเพราะเมื่อผละปากออกฟ้าฟื้นก็

งับปากตัวเองอย่างหงุดหงิด

               ฟ้าฟื้นเคยต้องการอัคคี หากแต่คราวนี้ดูเหมือนแม้แต่รสจูบยังไร้อารมณ์ ซ้ำยังรู้สึกรังเกียจตัวเองที่ให้อัคคีจูบซ้ำแทนรอยของ

ผู้ชายคนนั้น คนที่รบกวนหัวใจของฟ้าฟื้นมาตลอดหลายวัน


               “เฮ้อ ตายด้านแล้วกระมัง”


               อัคคีกับฟ้าฟื้นหัวเราะออกมาพร้อมกันเมื่อรับรู้ว่าต่างก็ไม่ต้องการความสัมพันธ์ทางกายกับอีกฝ่ายหนึ่ง คงเหลือแต่เพียง

ความผูกพันฉันท์พี่น้องที่เติบโตมาด้วยกันเท่านั้น






               อัคคีไปหาบัวตั้งแต่เช้าเมื่อตัดสินใจได้แล้ว เขาเอ่ยปากกับบัวอย่างมั่นใจ


               “พ่อบัว ข้าจะไปที่วังหลวงของรัตนปุระนคร”


               บัวชะงักพลางมองบุตรชายด้วยความสงสัย


               “เหตุใดจึงจะไป”


               “เพราะข้าคิดว่าถึงเวลาที่ต้องแก้แค้นคนที่ทำให้พ่อบัวเจ็บช้ำแล้ว”


               บัวนิ่งงัน ดวงตาที่เหลือเพียงข้างเดียวแดงก่ำ


               สิบแปดปีแล้วที่บัวต้องเจ็บปวดกับความเจ็บช้ำกับการสูญเสียและคำใส่ร้าย และผลผลิตของคนที่ทำให้เขาเจ็บช้ำก็ยืนอยู่

เบื้องหน้านี่เอง

               ถึงเวลาแล้วสินะ

                บัวกัดฟันถอดแหวนที่ห่อหุ้มด้วยเศษผ้าจนมองไม่เห็นเนื้อในอันงดงามออกจากนิ้วแล้วส่งให้อัคคีรับไว้


               “เก็บแหวนวงนี้ไว้อย่าให้ใครเห็น เอาไว้เตือนจิตใจของเจ้าว่าพ่อเจ็บแค่ไหนเพราะพวกมัน”


               ดวงตาเพียงข้างเดียวโชนแสงด้วยไฟแค้น


               “ทำให้พวกมันได้รับรู้ถึงความเจ็บปวด ให้รับรู้ว่าพ่อต้องทนทุกข์ทรมานแค่ไหน จำใส่ใจไว้นะอัคคี!”






               อีกไม่กี่วันหลังจากนั้นอัคคีจึงอำลาพ่อสมิงและพ่อบัวเพื่อเดินทาง แม้ว่าพ่อสมิงจะไม่เห็นด้วยแต่เขาก็ขัดใจพ่อบัวไม่ได้ พ่อ

สมิงจึงได้แต่มอบมีดเล่มหนึ่งให้อัคคีเก็บไว้ติดตัว พ่อบัวเองเมื่อถึงเวลาที่อัคคีจะไปจริงๆก็อาลัยไม่น้อยแต่เขาก็ต้องตัดใจให้อัคคีจากไป

ส่วนฟ้าฟื้นบอกเมื่อกล่าวพ่อกับแม่แล้วจึงเก็บข้าวของตามมาเป็นเพื่อนอัคคีที่ตอนนี้ปล่อยหนวดเคราให้ยาวรุงรังจนแทบมองไม่เห็น

ใบหน้า ซ้ำร้ายยังใส่ผ้าปิดตาไว้ข้างหนึ่งเหมือนพ่อบัวอีกด้วย

               ฟ้าฟื้นไม่รู้ว่าอัคคีจะไปที่ใด เขาไม่จำเป็นต้องถามเพราะเขามาเพื่อเป็นเพื่อนอัคคีเท่านั้น หากแต่เมื่อเดินทางพ้นป่าละเมาะ

ออกมาจนมองเห็นเขตกำแพงเมืองกว้างขวางฟ้าฟื้นถึงกับอ้าปากค้าง


               “อัคคี นี่อย่าบอกนะว่าเจ้ามาที่...”


               ใช่แล้ว จุดมุ่งหมายของอัคคีก็คือพระราชวังอันงดงามของรัตนปุระนครนั่นเอง






                                     โปรดติดตามตอนต่อไป
               
บอกกล่าวผลงานชิ้นใหม่จ้า
แนวเทพเจ้าอียิปต์นะจ๊ะ ใครชอบแนวนี้ก็ไปอ่านกันเลย

อนูบิส จ้าวแห่งแดนมรณะ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=52544.0)

 :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >> บทที่18 [19/03/59]
เริ่มหัวข้อโดย: chaweewong19841 ที่ 19-03-2016 00:20:08
รอต่อนต่อไปคะ
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >> บทที่18 [19/03/59]
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 19-03-2016 00:31:02
รอตอนต่อไปนะคะ  :L1:
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >> บทที่18 [19/03/59]
เริ่มหัวข้อโดย: iNcamisang ที่ 19-03-2016 00:31:23
มารอด้วยคนค่ะ :)
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >> บทที่18 [19/03/59]
เริ่มหัวข้อโดย: kun ที่ 19-03-2016 09:28:11
แอบตกใจว่าจะไปเจอกันอีกเมื่อไร
ลุ้นๆๆๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >> บทที่18 [19/03/59]
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 19-03-2016 09:32:49
 :m15:   ล้างแค้นเพื่อรัก
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >> บทที่18 [19/03/59]
เริ่มหัวข้อโดย: aisen ที่ 19-03-2016 10:44:59
รอตอนต่อไป ด้วยความตื่นเต้น
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >> บทที่18 [19/03/59]
เริ่มหัวข้อโดย: kms ที่ 01-04-2016 00:09:40
สงสารฟ้าฟื้นนนนนนน
ขอให้ได้เจอพี่เพชร
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >> บทที่18 [19/03/59]
เริ่มหัวข้อโดย: kms ที่ 03-04-2016 23:36:53
รอๆๆตอนหน้าค่า
หัวข้อ: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >> บทที่19 [12/04/59] Twincest พีเรียดเจ้าชายและโจรป่า
เริ่มหัวข้อโดย: Belove ที่ 12-04-2016 21:56:50


                                                                บัลลังก์รักใต้เงาแค้น

                                                                      บทที่  19


               เพชรกล้ามาพบกับเจ้าชายอินทัชธราธิปอยู่หน้ากำแพงเมืองหลังจากพลัดหลงกันในป่าเมื่อบุกโจมตีหุบผากาฬ เขาตระเวน

เสาะหาร่องรอยของเจ้าชายอินทัชทั่วแถบที่แยกจากกันแต่ก็ไม่พบจนเตรียมจะกลับไปรับโทษทัณฑ์เพราะรู้ตนว่าทำงานผิดพลาดใหญ่

หลวง ทั้งคู่ตื่นเต้นและดีใจโดยเฉพาะเพชรกล้าที่เจ้านายเชื้อพระวงศ์ปลอดภัยแม้ว่าเขาจะแปลกใจที่ฉลองพระองค์ในตอนนี้กลายเป็น

เสื้อผ้าของชาวบ้าน


               “เรื่องนี้ช่างเราเถอะ เราและเจ้าปลอดภัยกลับมาก็ดีแล้ว”


               ดูเหมือนเจ้าชายอินทัชก็ไม่ประสงค์จะเล่าเหตุที่เกิดขึ้นให้นายทหารคนสนิทได้รับรู้


               “เราได้เรียนรู้ก็แล้วกันว่าพวกโจรแห่งหุบผากาฬร้ายกาจเพียงใด”


               ร้ายกาจที่ทำให้พระองค์เจ็บช้ำและหลงละเมอไปพร้อมกัน หากเมื่อสบตากับเพชรกล้าก็มองเห็นแววตาที่ไม่ต่างกันนักจนพา

กันทอดถอนใจทั้งเจ้านายและลูกน้อง

               กลับมาจากในป่าแล้วเพชรกล้าก็ต้องปวดศีรษะกับรายงานข่าวที่มีจากชายแดนทางทิศของเมืองอุดรรังษีที่เป็นไม้เบื่อไม้เมา

กับรัตนปุระนครมาเนิ่นนานว่าบัดนี้อุดรรังษีกำลังจัดเตรียมผู้คนเพื่อโจมตีอีกครั้ง ทั้งสองเมืองมีปัญหากันมาตลอดตั้งแต่เมื่อครั้งเจ้าฟ้า

อาทิตยวงศ์ทรงตัดข้อพระหัตถ์ของเจ้าฟ้าวัชรศรที่ในอดีตนั้นเคยเป็นองค์รัชทายาท แต่ในปัจจุบันทรงครองตำแหน่งเจ้าฟ้าของเมืองที่

คิดแต่จะโจมตีเมืองรอบข้างโดยเฉพาะรัตนปุระนครอันเป็นคู่แค้นแต่อดีต เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์มีกระแสรับสั่งให้เหล่าเสนาบดีและทหารชั้น

ผู้ใหญ่ประชุมแต่เช้ารวมถึงเจ้านางปะวะหล่ำและเจ้าชายอินทัชธราธิปองค์รัชทายาทก็เข้ารับฟังการประชุมด้วย


             “อุดรรังษีส่งกองทัพเล็กๆมาตีตามหัวเมืองของเรามาตลอดหลายปีที่ผ่านมาแต่ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตเพราะมุ่งความสนใจไปเอา

จริงกับเมืองอื่นๆที่เล็กกว่าเรา แต่บัดนี้เจ้าฟ้าวัชรศรคิดกลับมาโจมตีครั้งใหญ่อีกแล้ว”


             เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ตรัสด้วยความหนักพระทัย แม้จะเคยชนะในการศึกครั้งนั้นแต่พระองค์ไม่ต้องการรบทัพจับศึกอีกเพราะรู้ดีว่า

มันมีแต่การสูญเสีย


              “หากไม่เพราะในอดีตเรามีหนอนบ่อนไส้คิดกบฎไปเข้ากับพวกอุดรรังษี ครานั้นการรบก็คงจะไม่ใหญ่โตหรอกเพคะ”


              สุรเสียงค่อนขอดของเจ้านางปะวะหล่ำทำให้พระขนงเข้มของเจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ต้องขมวดลงอย่างไม่พอพระทัยนัก


              “เมื่อไหร่ที่เจ้าจะเลิกกล่าวถึงเรื่องในอดีตเสียทีในเมื่อเรื่องทุกอย่างมันก็จบลงแล้ว และท่านน้าของเราก็ชดใช้ด้วยชีวิต”


              เรื่องที่พระราชบิดาและพระราชมารดาถกเถียงกันต่อหน้าเสนาบดีก่อให้เกิดความสงสัยในพระทัยของเจ้าชายอินทัช ทรงรู้แต่

เรื่องการศึกจากการเล่าเรียนประวัติศาสตร์ หากแต่เรื่องไส้ศึกนั้นหาได้รู้ไม่ เหตุใดจึงไม่มีอาจารย์ท่านใดเคยกล่าวให้รับรู้ เจ้าชายอินทัช

ตั้งพระทัยว่าจะต้องสืบเรื่องในอดีตให้รู้ความจริงให้ได้ หากแต่ตอนนี้พระองค์จะต้องรับฟังคำปรึกษาหารือของเหล่าเสนาธิการก่อนเพราะ

รู้องค์เองดีว่าต้องเริ่มศึกษาพระราชกรณียกิจต่อจากพระราชบิดาแล้ว

              ที่ประชุมถกเถียงเคร่งเครียดพักใหญ่ เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ดำริใคร่ครวญดีแล้ว จึงได้ตรัสออกมาเป็นพระราชโองการ


              “เร่งจัดเตรียมอาวุธยุทโธปกรณ์ให้พร้อมสรรพรวมถึงเสบียงต่างๆหากมีการศึกด้วย เบื้องต้นให้เสาะหาชาวบ้านที่ยินยอม

พร้อมใจสมัครมาเป็นทหารและรับเข้ามาฝึกปรือการสู้รบโดยไม่มีการบังคับฝืนใจหากใครไม่อยากเข้าร่วม เราจะประมาทเจ้าฟ้าวัชรศรไม่

ได้เป็นอันขาด”






              “พระมารดา”


              เจ้าชายอินทัชธราธิปก้าวพระบาทเข้าไปยังห้องบรรทมของเจ้านางปะวะหล่ำ วรกายโปร่งบางตรงเข้าสวมกอดพระมารดา

อย่างเด็กน้อยที่ยังไม่โต


               “ว่าไงลูกแม่ เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยมาหาแม่เลยนะ”


               เจ้านางปะวะหล่ำลูบเกศาพระโอรสอย่างเอ็นดู แม้ว่าเจ้าชายอินทัชจะยังปฏิบัติตนไม่สมกับที่ตั้งพระทัยไว้นักแต่เช่นไร     

เจ้านางปะวะหล่ำก็ยังรักพระโอรสราวกับแก้วตา



             “ลูกเร่งศึกษาวิชาความรู้พะย่ะค่ะ ตอนนี้บ้านเมืองกำลังอยู่ในภาวะไม่สงบลูกจึงอยากเรียนรู้ให้มาก”


              “ชื่นใจแม่นักอินทัชที่เจ้าตั้งใจศึกษาหาความรู้ แต่ลูกแม่คงเคร่งเครียดน่าดู เช่นนี้ไหม แม่จะส่งนางเล็กๆไปปรนนิบัติให้หาย

เครียด”


               เจ้าชายอินทัชได้แต่ฝืนสรวลเมื่อได้ฟังคำจากพระมารดา จะบอกได้อย่างไรว่าพระองค์มิมีใจต้องการหญิงงามคนไหนทั้งสิ้น


               “อย่ารบกวนเลยพะย่ะค่ะ แค่ร่ำเรียนและฝึกการต่อสู้ลูกก็ไม่อยากจะทำอย่างอื่นแล้ว ลูกมาหาพระมารดาวันนี้เพราะต้องการ

ถามเรื่องหนึ่งมากกว่า”


               “เรื่องใดรึอินทัช”


               “เรื่องที่พระมารดาตรัสกับพระบิดาวันนี้ ลูกอยากรู้เรื่องไส้ศึกในอดีตพะย่ะค่ะ”



                สีพระพักตร์ของเจ้านางปะวะหล่ำเปลี่ยนไปทันที ทรงกัดพระทนต์แน่นหนาราวกับยังไม่หายโกรธเกลียดจากเหตุการณ์นั้น



              “ไส้ศึกผู้นั้นเป็นถึงพระมาตุลาของบิดาเจ้า มันผู้นั้นถูกส่งไปเป็นทูตเจรจาสงบศึกแต่กลับทำตัวเป็นนกต่อล่อพวกอุดรรังษีให้

โจมตีเขตเมืองได้โดยง่าย และเมื่อถูกจับได้กลับต่อสู้และจับตัวฝาแฝดของลูกไปเป็นตัวประกัน”

              ฝาแฝด!
              สิ่งที่ตกใจยิ่งกว่าเรื่องทั้งหมดคือรู้ว่าพระองค์มีฝาแฝด


              “ลูกไม่เคยรู้มาก่อนว่ามีฝาแฝด เหตุใดพระมารดาไม่เคยเล่าให้ฟัง” ครางออกมาอย่างเหลือเชื่อ พระพักตร์ของเจ้าชายอินทัช

ซีดเผือด “แล้วฝาแฝดของลูกไปไหนเสียแล้วพะย่ะค่ะ”

              “นั่นแหละที่แม่ไม่ได้เล่าให้เจ้าฟัง มันเป็นสิ่งที่แม่ต้องทนอยู่กับความเจ็บปวดมาตลอดสิบแปดปี เมื่อไส้ศึกที่มีศักดิ์เป็นถึงพระ

อัยกาของเจ้าชิงตัวลูกของแม่อีกคนไปและต่อสู้การจับกุมจนพากันเสียชีวิตทั้งคู่ตั้งแต่วันแรกเกิด”

              ดวงเนตรงามของเจ้าชายอินทัชกรอกไปมาอย่างใช้ความคิด หากพระองค์มีฝาแฝดและฝาแฝดที่ว่านั้นสิ้นพระชนม์ไปจริงดั่งคำ

พระมารดาตรัสแล้ว

            คนเราบนโลกนี้จะมีใบหน้าที่เหมือนกันอย่างเช่นฝาแฝดสักกี่คนเล่า

             แล้วฝาแฝดที่พระมารดาบอกว่าตายไปแล้วนั้น เหตุใดกลับมีชีวิตเช่นโจรอยู่ในป่าลึก และยังแค้นเคืองผู้ให้กำเนิดของตนอีก
ด้วย





                มันเป็นเรื่องราวที่เจ้าชายอินทัชต้องกลับไปครุ่นคิดในห้องบรรทมของพระองค์ตลอดทั้งคืน



               เรื่องที่ไม่เข้าใจก็ยังคงไม่เข้าใจจนเวลาผ่านไปนับสัปดาห์หลังจากรู้เรื่องในอดีต หากได้อยู่เพียงลำพังเจ้าชายอินทัชก็จะ

หยิบเรื่องนี้มาคิดแต่ก็ยังไม่สามารถคลี่คลายได้ จนแม้เวลานี้เมื่อยามดึกสงัดหลังจากแปลตำราฝรั่งที่อาจารย์ชาวต่างชาติมอบให้ไว้เสร็จ

สิ้นลงแล้ว และทรงเอนวรกายลงไปบนแท่นพระบรรทมที่อยู่ในความมืดสลัวของห้อง

               พระทัยกระหวัดเฝ้าคิดถึงใครบางคนจนเจ็บในพระทัย ทั้งที่ถูกกระทำย่ำยีเจ็บช้ำแต่ส่วนหนึ่งกลับยอมรับว่าทรงโหยหาสัมผัส

นั้นเหลือเกิน


               “ไม่ เราต้องไม่คิดถึงคนใจร้ายเช่นนั้น”


               หลับเนตรลงแต่ภาพใบหน้าที่เหมือนพระองค์ราวส่องกระจกกลับตามมาหลอกหลอนแม้แต่ในจินตนาการ จำได้แม้แต่สัมผัส

จากมือสากที่ลูบไล้ทั่วกายก่อนจะตามด้วยปลายลิ้นร้อนที่ปลุกเร้าจนตื่นไปทั่วทุกองคาพยพ


               “บ้าที่สุด”


               ต่อว่าองค์เองที่เต็มไปด้วยความต้องการจากคนในจินตนาการ ทรงเม้มโอษฐ์แน่นเมื่อรั้งใจไม่อยู่จนต้องล้วงพระหัตถ์เข้าไป

ในพระสนับเพลา(กางเกง)แล้วกอบกุมแก่นกายที่ตื่นขึ้นมาไว้ในอุ้งหัตถ์

               ในจินตนาการนั้นคนใจร้ายมองพระองค์ด้วยประกายตาวาววาม ก่อนจะก้มหน้าลงไปแตะไล้ปลายลิ้นชื้นลงไปบนเนินเนื้อนุ่ม

และกวาดเข้าปากอย่างเก่งกาจ เจ้าชายอินทัชขยับหัตถ์โยกคลึงด้วยความกระสันราวกับถูกริมฝีปากขบเม้มลงมา กล้ามเนื้อบีบรัดตาม

แรงฝ่ามือจนหยาดน้ำกระฉอกลื่นมือและทรงหอบหายใจหนักหน่วงอยู่ในความมืด


               “เราเกลียดเจ้า อัคคี”


               บอกองค์เองราวกับจะย้ำให้รู้สึกเช่นนั้นทั้งที่รู้อยู่ว่าความจริงช่างห่างไกล ทรงปิดเปลือกเนตรลงอย่างสบายองค์ขึ้นที่ได้ปลด

ปล่อยและสติเริ่มหายไปเมื่อใกล้บรรทมสนิทลงทุกที

               อาจเป็นเพราะความวางพระทัยที่อยู่ในสถานที่ประทับของพระองค์ ทำให้เจ้าชายอินทัชมิได้ระแวดระวังอันใดแม้เมื่อสลักของ

บานประตูกำลังถูกไขและผลักออกช้าๆ ร่างสูงร่างหนึ่งก้าวเดินแผ่วเบาเข้ามาภายในห้องบรรทมของเจ้าชายรัชทายาทราวกับฝีเท้าแมว

ก่อนมาหยุดยืนที่ปลายพระแท่นบรรทมและจ้องมองวรกายที่ซุกอยู่ในผ้าห่มผืนหนา


               “ในที่สุดก็ได้เจอ”


               พึมพำด้วยความลิงโลดใจอยู่ในความมืด ร่างนั้นตรงขึ้นไปเอนกายลงนอนขนาบวรกายของเจ้าชายอินทัชและจ้องมองพักตร์

งามอย่างหลงใหล ปลายนิ้วสากจากการจับอาวุธตั้งแต่เกิดแตะไล้แผ่วเบาไปตามกรอบหน้างามจนกระทั่งเจ้าของใบหน้าลืมตาตื่นขึ้นมา

อย่างตกใจ


               “ใคร อะ อุ๊บ”


               เจ้าชายอินทัชตกพระทัยแทบสิ้นสติหลังจากถูกรบกวนจากนิทราแสนหวานถึงเจ้าของใบหน้าเดียวกับพระองค์ และครั้นลืม

เนตรขึ้นมากับเห็นบุคคลแปลกปลอมที่กล้าหาญเข้ามาเยือนถึงห้องรโหฐานในวังหลวง แต่เมื่อโอษฐ์งามกำลังจะขยับร้องกลับถูกปิดไว้

พร้อมกับถูกยึดกายไว้ด้วยพลกำลังแข็งแกร่ง พยายามดิ้นรนหากแต่โอษฐ์ที่ถูกปิดไว้สนิทถูกล่วงล้ำด้วยจุมพิตที่ไม่อาจลืมเลือน เจ้าชาย

อินทัชได้แต่นิ่งงันและปล่อยให้เจ้าของจุมพิตช่วงชิงความหวานไปได้จนมันพอใจ


               “เจ้า อัคคี!”


               “ชู่ เสียงดังไปใยเล่าเมียรัก หรือจะให้ผัวโจรเช่นข้าถูกจับไปประหาร”


               ส่งเสียงหยอกล้ออยู่ใต้พระกรรณพลันกอดรัดร่างกายไว้ด้วยความโหยหา เจ้าชายอินทัชได้แต่ตื่นเต้นระคนตระหนกเมื่อได้

สบตาวาววามดังเช่นในฝันคู่นั้นท่ามกลางความมืด


               “เจ้ามาในวัง และยังบุกมายังห้องของเราได้อย่างไร”


               ตรัสถามเพราะไม่อาจล่วงรู้ว่าโจรป่าผู้หนึ่งทำเช่นไรจึงเร้นกายเข้ามายังห้องบรรทมของพระองค์ได้ แม้ว่าจะเป็นคนที่พระองค์

คิดถึงมาตลอดเช่นอัคคีก็ตาม


               “ไม่มีสิ่งใดใต้ผืนฟ้าหากอัคคีต้องการแล้วจะไม่ได้”


               เอ่ยคำที่บิดาโจรป่าสมิงสอนสั่งตั้งแต่จำความได้ออกมาก่อนจะฝังจมูกโด่งลงไปกับปรางนุ่มและสูดหอมเสียจนฉ่ำหัวใจที่เฝ้า

คิดถึงมาตลอด อัคคีคลอเคลียจนกระทั่งยึดเรียวปากอิ่มนั้นไว้ได้อีกครา ลิ้นร้อนบุกสอดลิ้นตวัดหาความหวานจนฝ่ายเพลี่ยงพล้ำแทบ

หมดลมหายใจ


               “คิดถึง”


              กล่าวเสียงนุ่มจนเจ้าชายอินทัชแทบละลายไปกับคำหวานพาลลืมเรื่องราวที่สงสัยทั้งหมด เมื่อใบหน้าที่กวนพระทัยอยู่ใน

จินตนาการบัดนี้กลายเป็นตัวตนที่จับต้องได้ ไออุ่นจนร้อนเบียดกายแนบแน่นปลุกเร้าความต้องการให้เพริดจนยากจะห้ามใจ


              “คิดถึงข้าอย่างที่ข้าคิดถึงเจ้าบ้างหรือเปล่าอินทัช”


               ไม่ได้เอ่ยปากตอบหากแต่เจ้าชายอินทัชใช้ร่างกายแทนคำนั้น สองแขนยกคล้องไปรอบลำคอเหนี่ยวรั้งให้อัคคียิ่งรุมร้อนด้วย

ไฟเสน่หา และมันยิ่งดีกว่าคำพูดเมื่ออัคคีกำลังปรนจูบไปทั่ววรกายที่เปล่าเปลือยตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่ทรงรู้ รู้แต่ว่าบัดนี้ทรงพลีกายให้โจรป่า

ได้เชยชมอย่างเต็มใจ

                คิดถึงร่างกายนี้

               อัคคีสำรวจซ้ำไปทุกสัดส่วน เขาตอกย้ำไปบนจุดเล็กกลางแผ่นอกเรียบที่เขาคุ้นเคยและติดใจ ปลายลิ้นฉกลงก่อนจะตาม

ด้วยลากปากขบเม้มเรียกเสียงครางแผ่วได้จากพักตร์งามที่ตอนนี้ปรือตาฉ่ำหวานตอบรับเขาอยู่


                “อา อัคคี เจ้าโจรชั่ว บังอาจบุกมาและยังทำให้เราทรมานเหลือเกิน”


                ตัดพ้อเมื่อร่างกายนี้ต้องการให้อีกฝ่ายเติมเต็มแต่อัคคียังไม่มอบให้ดังประสงค์ ความต้องการมากมายตั้งแต่ก่อนหลับใหล

กลับมาอีกครั้งจนเจ้าชายอินทัชทนไม่ไหว ทรงผลักให้อัคคีหงายหลังไปบนฟูกแสนนุ่มและเป็นฝ่ายขยับต่ำกลืนกินความเป็นชายของ

อัคคีเข้าไปอย่างโหยหา


               “อืม ดีเหลือเกินเมียรักของข้า”


                อัคคีคำรามต่ำอย่างลืมตัว ลิ้นเล็กในโพรงปากหวานกำลังมอบความหฤหรรษ์จนแข็งขันชูชัน เจ้าชายอินทัชเหลือบเนตรฉ่ำ

มองอย่างพอพระทัยจึงได้คายให้มันได้อวดกายหลอกล่อ เจ้าชายอินทัชขยับองค์คร่อมมันไว้ก่อนกดบั้นพระองค์ลงมาเพื่อกลืนกินมัน

แทน


                “โอ วิเศษ”


                 อัคคีเป่าปากเมื่อความรัดรึงที่คุ้นเคยกลับมาอีกครั้ง เขาดันเอวแทงลึกเข้าไปจนเจ้าชายอินทัชสะดุ้ง ดวงตาสองคู่สอด

ประสานกันยามต่างเคลื่อนที่เข้าหากันให้สัมผัสร้อนเสียดสีอยู่ภายใน


               “อินทัช”


               “อัคคี”


               พร่ำรำพันแต่นามของอีกฝ่าย เวลาแห่งความรัญจวนใจนี้ทำให้เจ้าชายอินทัชปล่อยวางข้อสงสัยทั้งหมดลง หากแม้นอัคคีเป็น

แฝดของพระองค์จริงแล้วและการร่วมรักกับฝาแฝดเป็นเรื่องผิดประเวณี แต่บัดนี้หัวใจของพระองค์กลับไม่ได้คิดว่าอัคคีเป็นฝาแฝดสักนิด

               น้ำรักฉ่ำชุ่มโชกแต่อัคคีก็ยังไม่พอใจ การเสพสุขบนฟูกนุ่มยิ่งพาให้อารมณ์บรรเจิดกว่าบนพื้นดินแข็งกระด้างมากมายนัก เขา

พลิกกายโปร่งบางของเจ้าชายรัชทายาทแห่งรัตนปุระนครลงไปกลางเตียงกว้างเพื่อที่เขาจะฝังกายที่ยังแข็งแกร่งเข้าไปในช่องทาง

หวานอีกครั้ง


                “อื้ม อัคคี ตรงนั้นเสียวมาก”


               ตรัสเสียงสั่นพร่าพลางยกบั้นพระเอวรองรับ แม้จะขึ้นสวรรค์ไปเสียหลายรอบแล้วแต่ดูเหมือนความต้องการกลับยังไม่ถดถอย

ยังอยากจะให้อัคคีได้ชำแรกกายไปสู่ช่องทางไม่รู้เบื่อ


               “ตอดดีเหลือเกิน ไม่เสียแรงที่เสี่ยงมาหา อินทัชของข้า”


               ดึงข้อพระบาทขึ้นมาวางพาดไว้บนบ่าของตน อัคคีค้อมกายกัดฟันขยับเอวสอดลึกเมื่อความบีบคั้นมาเยือน เขาปรนจูบเร่าร้อน

ไปบนกลีบปากแสนหวานอย่างไม่รู้เบื่อเมื่อกำลังจูงมือให้เจ้าชายอินทัชขึ้นสวรรค์ไปพร้อมเขาอีกครา


               “แรงเลยอัคคี ฮึก ฮึก โอ...”


               กระชากจนกล้ามเนื้อบีบรัดเหลือแค่เพียงน้ำใสไหลริน เจ้าชายอินทัชส่งสายตาสุขสมแม้อ่อนแรงเต็มที อัคคีทะลวงแรงที่

เหลือลงไปเต็มที่เมื่อใกล้ฟ้าสาง


               ร่างทั้งสองซบกันอยู่กลางแท่นพระบรรทมยับย่น เสียงหอบหายใจเป่ารดเคียงข้างเมื่อสบตาหวานซึ่งกันและกัน



               TBC







               
               
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >> บทที่19 [12/04/59] Twincest พีเรียดเจ้าชายและโจรป่า
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 12-04-2016 22:03:45
ร้อนแรงดั้งเดือนเมษาจริงๆคู่นี้
ความจริงเปิดเผยแล้วสินะแต่ว่าปมความแค้นสิจะทำไงต่อ. รุ่นใหญ่กำลังภายในเยอะด้วยสิ
สงสารเด็กๆเนอะ
 :L2:
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >> บทที่19 [12/04/59] Twincest พีเรียดเจ้าชายและโจรป่า
เริ่มหัวข้อโดย: cocoaharry ที่ 13-04-2016 10:43:53
ถึงจะแซบขนาดไหน เชื่อว่าดราม่ากำลังมาแน่นอน
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >> บทที่19 [12/04/59] Twincest พีเรียดเจ้าชายและโจรป่า
เริ่มหัวข้อโดย: Silvan ที่ 13-04-2016 10:46:10
อยากให้อินทัชกับอัคคีสมหวังครองคู่กันเร็วๆ

กลัวดราม่ารุ่นลูกมากกว่ารุ่นพ่อเสียอีกค่ะ
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >> บทที่19 [12/04/59] Twincest พีเรียดเจ้าชายและโจรป่า
เริ่มหัวข้อโดย: iNcamisang ที่ 13-04-2016 12:31:28
 :haun4: :haun4:
สูบเลือดหมดตัวเลยค่า :katai2-1:
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >> บทที่19 [12/04/59] Twincest พีเรียดเจ้าชายและโจรป่า
เริ่มหัวข้อโดย: kms ที่ 13-04-2016 12:50:34
ฟ้าฟื้นตามมาด้วยมั้ยยยยยย อิอิ
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >> บทที่19 [12/04/59] Twincest พีเรียดเจ้าชายและโจรป่า
เริ่มหัวข้อโดย: papanoy ที่ 13-04-2016 17:51:27
แฮบปี้ละคู่นี้  :katai2-1:
แล้วเพชรกล้ากับฟ้าฟื้นจะได้เจอกันด้วยไหมนะอยากให้เจอ
            :กอด1:
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >> บทที่19 [12/04/59] Twincest พีเรียดเจ้าชายและโจรป่า
เริ่มหัวข้อโดย: Freja ที่ 13-04-2016 18:18:36
ชัวร์ว่าดราม่ามากกว่ารุ่นพ่อแน่นอน    พี่น้องนะ แถมมีอะไรต่อมิอะไรมาขวางทางเต็มไปหมด   เสด็จพ่อเองอยู่มาจนป่านนี้ก็น่าจะมีใครถวายงานอยู่แล้ว    เก็บพ่อบัวให้พ่อสมิงเถอะนะนะนะ
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >> บทที่19 [12/04/59] Twincest พีเรียดเจ้าชายและโจรป่า
เริ่มหัวข้อโดย: kun ที่ 13-04-2016 20:26:59
ละลาย จมกองเลือดอย่างแรง คู่นี้เป็นอะไรที่สุดๆๆๆ
ขึ้นเองเลยด้วย สุดยอดดดดด อย่างอื่นไม่สน สนแต่ตอนนี้ขอไปสูบเลือดก่อน ฮ่าๆๆๆ
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >> บทที่19 [12/04/59] Twincest พีเรียดเจ้าชายและโจรป่า
เริ่มหัวข้อโดย: aisen ที่ 13-04-2016 21:45:02
อ่านคู่นี้เรียกเลือดได้ตลอด
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >> บทที่19 [12/04/59] Twincest พีเรียดเจ้าชายและโจรป่า
เริ่มหัวข้อโดย: papanoy ที่ 16-04-2016 23:04:25
            :katai4:
หัวข้อ: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >> บทที่20 [24/04/59] Twincest พีเรียดเจ้าชายและโจรป่า
เริ่มหัวข้อโดย: Belove ที่ 24-04-2016 00:19:40


                                                             บัลลังก์รักใต้เงาแค้น

                                                                   บทที่  20



               “อัคคี หยุดก่อน เราหมดเรี่ยวแรงแม้แต่จะขยับกายแล้ว”


               ประท้วงเสียงแผ่วพลางยกหัตถ์ปรามใบหน้าที่กำลังก้มลงมาหาเศษหาเลยอยู่กับปรางนุ่มเมื่อเจ้าชายอินทัชธราทิปได้แต่

ทอดกายอยู่ในวงแขนแกร่งที่ยังคงโอบกอดไว้หลังจากเสร็จศึกแห่งรักที่โรมรันกันอยู่บนแท่นพระบรรทมกว้าง


               “ยังไม่บอกข้าเลยว่าคิดถึงข้าดั่งเช่นที่ข้าคิดถึงเจ้าหรือไม่ ว่าไงอินทัช”


               จูบหนักที่ไรผมด้วยความเสน่หา เจ้าชายอินทัชเม้มโอษฐ์พลางเชิดพักตร์ใส่


               “เรื่องอะไรที่เราจะต้องบอกคนอย่างเจ้าว่าเรารู้สึกเช่นใด”


               อัคคีลอบยิ้มเมื่อเห็นทีท่านั้น แม้ว่าเจ้าชายผู้สูงศักด์จะเบือนหน้าหนี แต่เขาก็เห็นดวงเนตรงามแสดงความขัดเขิน


               “ไม่เป็นไร ไม่อยากบอกก็ไม่ต้องบอก แต่ข้าจะถือเสียว่าเสียงหวานของเจ้าที่คร่ำครวญเสียจนแหบแห้งคือคำตอบ”


               “อัคคี เดี๋ยวเถอะ”


               ทุบถองไปที่ต้นแขนพร้อมกับผลักไส พักตร์งามเปลี่ยนสีแดงจัดอยู่ในยามความสลัวของใกล้รุ่ง อัคคีหัวเราะชอบใจ

พลางดึงให้เจ้าชายอินทัชซบลงที่บ่าของเขา


               “เป็นงานเป็นการหน่อย เรามีเรื่องต้องพูดกัน”


               เจ้าชายอินทัชขยับกายออกเพื่อจะได้สบตากับโจรป่าที่มีใบหน้าเหมือนพระองค์ไม่มีผิดเพี้ยน สุรเสียงที่ตรัสออกไปจริงจัง

เมื่อพระองค์ต้องการความกระจ่างเหลือเกิน


               “เรื่องอันใดถึงทำให้เมียรักของข้าต้องคิดมากจนคิ้วชนกันเช่นนี้”


               เอ่ยถามอาทรอย่างไม่เคยรู้สึกกับผู้ใด อัคคีนิ่งฟังคนในอ้อมกอดเจรจาอย่างตั้งใจ


               “เราเพิ่งรู้จากพระมารดาเมื่อไม่นานมานี้ว่าเรามีฝาแฝด”


               ฝาแฝด!


               บัดนี้อัคคีเป็นฝ่ายนิ่งงันบ้าง


               ข้อสงสัยที่เขามีกำลังกระจ่างขึ้นมาแล้ว คนเราบนโลกใบนี้จะมีสักกี่คนที่มีใบหน้าเหมือนกันราวกับส่องกระจกเล่า หากมิใช่

ฝาแฝดที่ถือกำเนิดมาพร้อมกัน


               “พระมารดาบอกเราว่า ฝาแฝดของเราถูกชิงตัวไปตั้งแต่เพิ่งจะลืมตาดูโลก และเสียชีวิตเพราะไส้ศึกที่เป็นถึงพระมาตุลาของ

พระบิดา”


               “อะไรนะ”


               อัคคีอุทานอย่างตกใจ ใบหน้าซีดเผือดลงอย่างเห็นได้ชัด เขากำลังงงงันในเรื่องที่เกิดขึ้น เจ้าชายอินทัชทรงเล่าเรื่องย่อๆให้

อัคคีฟังจนอัคคียิ่งสับสนเมื่อเขาต้องเรียบเรียงเรื่องทั้งหมดเสียใหม่

               พ่อบัวที่เฝ้ากรอกหูให้รับรู้อยู่ทุกเมื่อเชื่อวันว่าเหตุที่ต้องระหกระเหินพาเขาหนีมากลางป่าเพราะถูกคนในวังใส่ความและ

ทำร้าย แต่บัวก็ไม่ได้เล่าว่าความที่ถูกใส่ไคล้นั่นคือเรื่องอันใด อัคคีเองยังเชื่อเสียด้วยซ้ำว่าเขาคือลูกของบัวกับมารดาที่เป็นหญิงก่อนที่

บัวจะพบและปลงใจกับสมิง

                หากปะติดปะต่อกับเรื่องที่เจ้าชายอินทัชเล่าให้ฟัง อัคคีควรจะเชื่อเช่นนั้นหรือว่าพ่อบัวของเขาเป็นถึงน้าแท้ๆของเจ้าฟ้าองค์

ปัจจุบันที่เป็นไส้ศึกให้กับเมืองอุดรรังษี

               ที่สำคัญคืออัคคีมิใช่ลูกของบัวแต่เป็นหลาน และบิดามารดาแท้จริงของเขาคือผู้กุมอำนาจแห่งรัตนปุระนคร ส่วนคนที่เขายัง

ตระกองกอดนี่เล่า กลับกลายเป็นฝาแฝดที่อยู่ร่วมอุทรยิ่งกว่าพี่น้องเสียอีก ซ้ำร้ายอัคคีกลับผูกพันถลำลึกไปกับความสัมพันธ์ที่ยากจะ

ถ่ายถอนใจกับเจ้าชายอินทัชอีกด้วย

                สบตาซึ่งกันอย่างหวั่นไหวในความเป็นจริง เจ้าชายอินทัชเองก็เจ็บปวดไม่แพ้กัน ทรงเบือนพักตร์หนีพร้อมกับกลั้นน้ำตาไว้

อย่างยากเย็น


               “หากเรื่องที่เราทั้งคู่สงสัยเป็นเรื่องจริง ก็หมายความว่าเราเป็นฝาแฝดกัน และที่เรากับเจ้านั้นกระทำกันมันเป็นเรื่องผิดขนบ

จารีตที่มีอยู่ มันไม่สมควรอย่างยิ่ง”


               ผิดขนบธรรมเนียม ผิดจารีตประเพณีงั้นหรือ

               ไม่!

               อัคคีตะโกนก้องอยู่ในใจ

               ช่างขนบธรรมเนียมหรือจารีตใดๆนั่นเถอะ ยอมรับก็ได้ว่าเขาหลงรักเจ้าชายอินทัชตั้งแต่แรกเห็นโดยไม่ได้รู้สึกผูกพันเช่นพี่

น้องเลยสักนิด เขาหลงใหลใบหน้างามกับวรกายโปร่งบางน่าสัมผัสจนต้องการครอบครองทั้งร่างกายและหัวใจ แล้วจะให้อัคคีต้องตัดใจ

เพราะเขาเพิ่งรู้ความจริงว่าทั้งคู่เป็นฝาแฝดกันเช่นนั้นหรือ

               อัคคีทนรับความเจ็บปวดนี้ไม่ได้จริงๆ


               “ถามหัวใจของเจ้าเถิดอินทัช”


               อัคคีเชยคางมนให้หันกลับมาสบตา ดวงเนตรงามบัดนี้แดงก่ำด้วยหยาดน้ำใสจนอัคคีต้องจูบซับมันไว้


               “ลองถามหัวใจของเจ้าว่าเห็นข้าเป็นพี่น้องหรือไม่ ส่วนหัวใจของข้านั้นตอบได้คำเดียวว่าไม่ เจ้าคือเมียของข้า คนที่ชิงหัวใจ

ของข้าไป ข้ารักเจ้านะอินทัช”


               “อัคคี!”


               คำบอกรักโดยไม่ได้ตั้งตัวกำลังต่อสู้กับมโนธรรมในจิตใจจนเจ้าชายอินทัชแสนจะเจ็บปวด ทั้งที่ควรจะดีใจที่อัคคีมิได้หลอก

ลวงเห็นพระองค์เป็นแค่เครื่องมือบำบัดความใคร่ แต่กลับทรงเจ็บปวดเพราะรู้ดีว่ามันไม่มีทางลงเอยได้อย่างสวยงามเป็นแน่เพราะทรง

เป็นถึงเจ้าชายรัชทายาทแห่งรัตนปุระนครที่ถูกพระบิดาปลูกฝังมาเสมอว่าทรงเป็นคนของไพร่ฟ้า


               “รักข้าบ้างหรือไม่อินทัช”


               “รัก”


               ตอบคำเดียวสั้นๆตรงจากหัวใจ แม้ว่าเบื้องแรกจะทรงขัดเคืองในสิ่งที่อัคคีกระทำเลวร้าย หากแต่เพราะความต้องการที่มิอาจ

หักห้ามเนื่องจากเหตุแห่งรักของเขา และเมื่อเจ้าชายอินทัชได้เรียนรู้นิสัยใจคอของอัคคีก็ยิ่งไม่อาจตัดใจได้เลย


               “แต่จะทำเช่นไรเล่าหากรักของเรากลับเป็นสิ่งต้องห้าม”


               “อย่ากลัวไปเลยเมียรัก ข้าจะไม่ให้ใครมาขัดขวางได้เป็นอันขาด”


               อัคคีสัญญาหนักแน่น เขากดจูบแนบแน่นไปกับเรียกปากหวานล้ำเนิ่นนานกว่าจะยอมผละออก อย่างน้อยเขาก็ยังคลายความ

กังวลไปเปราะหนึ่งที่ได้เปิดเผยความรู้สึกและเข้าใจกับเจ้าชายอินทัชในที่สุด


               “เหตุใดเจ้าจึงยังมีชีวิตอยู่ หาได้เสียชีวิตอย่างเช่นที่พระมารดาบอกเราเล่าอัคคี”


               เมื่อเข้าใจในรักแล้วเจ้าชายอินทัชจึงได้มีสติใคร่ครวญเรื่องที่เกิดขึ้น จึงตรัสถามด้วยความสงสัยเมื่อความเป็นจริงผิดไปจากที่

เจ้านางปะวะหล่ำทรงเล่าให้ฟัง


               “ข้าเติบโตมาด้วยการเลี้ยงดูของพ่อบัว”


               “พ่อบัวงั้นรึ”


               “พ่อบัวเล่าให้ข้าฟังว่า พ่อเป็นตระกูลเสนาบดีและถูกใส่ความให้ร้าย ครอบครัวของพ่อถูกกำจัดจนพ่อต้องพาข้าหนีตาย

เข้าไปในป่าและตกจากหน้าผาสูงเกือบเอาชีวิตไม่รอด จนกระทั่งพ่อสมิงที่เป็นหัวหน้าโจรของหุบผากาฬผ่านมาจึงช่วยชีวิตพ่อบัวและ

ข้าไว้ ข้าและพ่อบัวจึงได้เข้าไปอยู่ในหุบผากาฬ”


               นิ่งฟังจนจบเจ้าชายอินทัชจึงเม้มโอษฐ์ด้วยความสงสัย หากนำเรื่องที่เจ้านางปะวะหล่ำเล่าและเรื่องที่อัคคีเล่าให้ฟังแล้ว

อย่างน้อยที่มั่นพระทัยมีสิ่งเดียวเท่านั้น


               “เราคิดว่าพ่อบัวที่เจ้าเอ่ยถึงแท้จริงแล้วคือพระมาตุลาของพระบิดา หากจะนับญาติตามศักดิ์จริงๆพ่อบัวของเจ้าจะต้องเป็น

พระอัยกาหรือว่าปู่ของพวกเราทั้งคู่”


               “แต่ข้าไม่เชื่อว่าพ่อบัวจะเป็นไส้ศึกให้อุดรรังษีเข้ามาตีเมือง”


               อัคคีเอ่ยอย่างมั่นใจ คนอย่างพ่อบัว รักจริงเกลียดจริง ไม่มีทางที่พ่อบัวจะเป็นนกสองหัวเป็นอันขาด


               “นั่นเป็นสิ่งที่เราสองคนต้องหาความจริงว่าเรื่องในอดีตเป็นเช่นใดกันแน่”


               “ข้าจะต้องเข้ามาในเขตพระราชฐานเพื่อสืบหาความจริง ตอนนี้ข้าเข้ามาในพระราชวังได้เพราะสมัครเข้ามาเป็นทหารเพื่อ

เตรียมทำศึก”


               อัคคีต้องการสืบเรื่องจริงและแก้ข้อกล่าวหาให้บัวเพื่อให้คนที่เขารักได้มีที่ยืนสง่าผ่าเผย เจ้าชายอินทัชทอดพระเนตรใบหน้า

ที่บัดนี้พรางด้วยหนวดเคราของอัคคี


               “เราจะแต่งตั้งเจ้าเป็นองครักษ์ประจำตัวแทนเพชรกล้าที่ต้องไปช่วยงานด้านการฝึกปรือทหาร”


               อัคคีมองอย่างชื่นชมในความหลักแหลมของคนในอ้อมกอด


               “แล้วองครักษ์จะได้นอนกอดผู้เป็นเจ้านายทุกค่ำคืนหรือไม่”


               “เดี๋ยวเหอะเจ้าตัวดี เราจะเลาะฟันเจ้าให้หมดปาก”


               ตวัดสายพระเนตรใส่พลางแทงข้อศอกเข้าลำตัวของอัคคีอย่างหมั่นไส้ในคารม อัคคียกคิ้วสูงเมื่อนึกขึ้นได้ถึงความจำเป็นอีก

ข้อหนึ่ง


               “ข้าเดินทางมาวังหลวงพร้อมเพื่อนสนิทที่เติบโตมาด้วยกันชื่อฟ้าฟื้น จะทำเช่นไรกับมันดีหากว่าข้าจะต้องมาอยู่กับเจ้าเพื่อ

สืบเรื่องในอดีต”


               เจ้าชายอินทัชนิ่งคิดอีกคราก่อนจะตัดสินใจ


               “เราจะฝากเพื่อนของเจ้าให้ไปอยู่ในสังกัดของเพชรกล้า เจ้าจะได้ไม่ต้องเป็นห่วงเพื่อน”


               อัคคียิ้มออกมาได้เมื่อเจ้าชายอินทัชช่วยแก้ปัญหาให้เขา อัคคีพรมจูบไปบนพักตร์งามตอบแทนการช่วยเหลือนั้น


               “เมียของข้าฉลาดเป็นเลิศ”


               “ใครเป็นเมียโจรอย่างเจ้ากัน”


               ดวงตาพราวมองอีกฝ่ายราวกับจะกลืนกินตลอดทั้งร่าง อัคคีพลิกกายขึ้นไปทาบทับอยู่บนวรกายโปร่งบางอีกครั้ง


               “ปากแข็งไม่เลิกนะอินทัช งั้นข้าจะตอกย้ำอีกสักครั้งว่าเจ้าคือเมียของข้าก่อนที่พระอาทิตย์จะมาเยือน”


               “อัคคี อย่าสิ อื้อ...”
               







               ตั้งแต่เดินทางมาพร้อมกับอัคคีและสมัครเข้าเป็นพลทหารในพระราชวังฟ้าฟื้นก็ได้แต่ลอบมองบุรุษผู้แข็งแกร่งอย่างชายชาติ

ทหารของเพชรกล้าอยู่ห่างๆ ฟ้าฟื้นไม่กล้าแสดงตนว่าเขาคือใครด้วยซ้ำ ยามที่ต้องเข้าร่วมการฝึกฝีมือต่อสู้เขาก็พยายามอยู่ในกลุ่มที่

ห่างไกลจากครูฝึกเช่นเพชรกล้าอย่างที่สุด หัวใจของเขาทั้งชื่นชมในความสามารถของเพชรกล้าและแสนเศร้าเมื่อรู้ว่าตนเองกับเพชร

กล้านั้นช่างห่างไกลกันเหลือเกิน

               เพชรกล้าคือนายทหารหนุ่มใหญ่อนาคตไกล เขาเป็นถึงราชองครักษ์คนสำคัญที่มีคนกล่าวขวัญถึงว่าตำแหน่งเสนาบดีด้าน

การทหารคงอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม ในขณะที่ฟ้าฟื้นเป็นแค่ลูกโจรป่าไร้การศึกษาหากินอยู่ในไพรกว้าง แตกต่างกันจนไม่อาจคิดว่าฟ้าฟื้นจะ

เข้าถึงเพชรกล้าเลยสักนิด

               ได้แต่ลอบมองอยู่ไกลๆอย่างเจียมตัวเจียมใจ ยิ่งเห็นหน้าฟ้าฟื้นก็ยิ่งไม่อาจตัดใจจากร่างสูงบึกบึน รสรักในกระท่อมกลางป่า

ยังวนเวียนแม้แต่ในยามหลับสร้างความทรมานให้แก่เขาไม่น้อย ก็ดูสิว่าร่างแกร่งเปลือยท่อนบนอวดกล้ามเป็นมัดท่ามกลางแสงโพล้เพล้

ยามเย็น ขณะกำลังซ้อมพลองอยู่กับหุ่นซ้อมเพียงลำพังนั้นทำให้หัวใจของเขาสั่นไหวเพียงไหน

               ก่อนที่จะทำร้ายจิตใจตนเองไปมากกว่านี้ ฟ้าฟื้นบอกตนเองว่าเขาควรถอย เขาจึงขยับกายออกจากใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งริม

ลานซ้อมที่ฟ้าฟื้นซ่อนกายแอบมองเพื่อจะกลับไปยังโรงพักของเหล่าพลทหารทันที

               เสียงกรอบแกรบดังแว่วเรียกความสนใจจากเพชรกล้า พลองยาวในมือที่กำลังโบกตีเข้าใส่หุ่นซ้อมชะงักงันก่อนจะหันหลับไป

มอง เขาเห็นชายในชุดพลทหารคนหนึ่งกำลังหันหลังและก้าวออกไปจากบริเวณนั้น


               “เดี๋ยว หยุดก่อน”


               ส่งเสียงเรียกเพื่อหยุดฝีเท้านั้น เพชรกล้าเดินตรงไปยังพลทหารที่ยังไม่ยอมพลิกกายกลับมาหาเขา


               “พลทหาร ไหนๆก็มาแล้ว มาเป็นคู่ซ้อมให้ข้าหน่อย”


               “เอ่อ ข้าไม่เก่งพลองขอรับ”


               เพชรกล้าขมวดคิ้วมองแผ่นหลังนั้น เหตุใดช่างคุ้นตาเสียเหลือเกิน เขายิ่งก้าวเข้าไปใกล้จนหยุดยืนอยู่ใกล้เพียงแค่เอื้อมมือ

ถึง


               “ไม่เก่งก็ต้องยิ่งฝึก มัวแต่คิดว่าไม่เก่งแล้วเมื่อใดเจ้าถึงจะเก่งเล่า”


               “ตะ แต่ว่า ข้า...”


               “เหตุใดจึงหันหลังพูดกับข้า”


               ส่งเสียงดุข่มขวัญ เพชรกล้าเห็นไหล่ทั้งสองข้างนั้นสั่นเทาผิดสังเกต


               “นี่คือคำสั่ง หันหน้ามาเดี๋ยวนี้!”


               ฟ้าฟื้นสะดุ้งเฮือก ดวงตากรอกไปมาเพื่อหาทางเอาตัวรอด เขาไม่ต้องการเผชิญหน้ากับเพชรกล้าในตอนนี้ ฟ้าฟื้นจึงตัวสินใจ

ในฉับพลันว่าเขาต้องหนี


               “หยุดเดี๋ยวนี้ทหาร”


               เรื่องอะไรจะหยุด


               ฟ้าฟื้นโกยอ้าววิ่งหนีทันที ได้ยินเสียงฝีเท้าวิ่งตามมาติดๆจนฟ้าฟื้นยิ่งต้องเร่งแรงวิ่ง แต่ในที่สุดเขาก็ถูกรวบตัวจนกระทั่งกลิ้ง

ล้มไปกับพื้นพร้อมๆกับคนที่กระโจนเข้าใส่ และเมื่อร่างของทั้งคู่หยุดลงฟ้าฟื้นก็ต้องกัดริมฝีปากไว้แน่นเมื่อเห็นเพชรกล้าเบิกตากว้างอยู่

บนร่างของเขา


               “ฟ้าฟื้น!”


               ในที่สุดก็หลบไม่พ้น ฟ้าฟื้นถอนหายใจออกมา


               “ปล่อย”


               “เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”


               “เรื่องของข้า”


               “มันเป็นเรื่องของเจ้าที่ข้าจำเป็นต้องรู้ ว่าทำไมโจรจากหุบผากาฬจึงกลายมาเป็นพลทหารในวังหลวงเช่นนี้”


               ส่งเสียงแข็งใส่ทั้งที่ความจริงหัวใจของเพชรกล้าลิงโลดอย่างดีใจเมื่อได้เห็นโจรหนุ่มอีกครั้ง เพชรกล้ายังอาลัยอาวรณ์ในรส

รักกลางป่าไม่รู้วาย แต่เขาจำเป็นต้องทำท่าแข็งขันเพราะหน้าที่


               “ถ้าไม่ปล่อย ข้าจะไม่พูดด้วย”


               ยืนยันข้อเสนอเดิมจนเพชรกล้าต้องลุกจากร่างนั้นอย่างเสียดาย ฟ้าฟื้นรีบดันกายลุกขึ้นยืนและทำหน้าบึ้งใส่เพชรกล้า


               “เช่นไรล่ะ ข้าปล่อยเจ้าแล้วก็พูดออกมา”


               “ไม่เห็นจะมีอะไรเลย ข้าก็แค่เบื่อเป็นโจรเลยหนีพ่อมาเป็นทหารก็แค่นั้น”


               “แค่นั้น?”


               “แค่นั้นก็คือแค่นั้น ท่านครูฝึกอย่าซักไซ้ให้มากความ”


               เพชรกล้าเกือบจะซ่อนรอยยิ้มไว้ไม่มิดขณะกำลังมองฟ้าฟื้นที่หนีหน้าไปทางอื่น ไม่นึกไม่ฝันว่าจะได้เจอคนที่วนเวียนอยู่ใน

ความทรงจำของเขาตลอดเวลาจนเพชรกล้าต้องหาทางลืมเลือนด้วยการทำงานหนัก แม้ว่าเขาจะยังสงสัยว่าฟ้าฟื้นมาอยู่ในพระราชวัง

เพราะสาเหตุใด แต่เพชรกล้าจะฉกฉวยโอกาสอันดีนี้ไว้


               “ข้าจำเป็นต้องซักไซ้เพื่อความมั่นคงของรัตนปุระนครในยามที่อาจเกิดสงครามได้ทุกเมื่อ หากเจ้ายังให้ความกระจ่างแก่ข้า

ไม่ได้ เห็นทีข้าจะต้องสอบสวนเจ้าเป็นกรณีพิเศษ ไปกับข้าเดี๋ยวนี้!”


               “ไม่ไป ข้าไม่ไปเด็ดขาด ปล่อยข้า ปล่อยสิวะ”


               ดิ้นรนอย่างเปล่าประโยชน์เมื่อในที่สุดข้อมือทั้งสองของฟ้าฟื้นก็ถูกมัดติดกันด้วยเชือกผูกเอวของเพชรกล้าที่ออกแรงลากให้

ฟ้าฟื้นเดินตามอย่างไม่เต็มใจ
 

              “จะพาข้าไปไหน”


               ฟ้าฟื้นเบิกตากว้างเมื่อเจ้าของแผ่นหลังบึกบึนหันหน้ามาตอบทันควัน


               “ข้าจะพาเจ้าไปสอบสวนความจริงที่บ้านของข้า”



               TBC




             
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >> บทที่20 [24/04/59] Twincest พีเรียดเจ้าชายและโจรป่า
เริ่มหัวข้อโดย: kms ที่ 24-04-2016 00:49:55
กรี๊ดดดดดดด รอฟ้าฟื้นรัวๆๆๆๆๆๆๆ
ชอบคู่เพชรกล้าฟ้าฟื้นมากค่า
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >> บทที่20 [24/04/59] Twincest พีเรียดเจ้าชายและโจรป่า
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 24-04-2016 06:14:00
 :katai2-1:    สืบสวนลึกซึ้ง ฮี่ๆๆ
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >> บทที่20 [24/04/59] Twincest พีเรียดเจ้าชายและโจรป่า
เริ่มหัวข้อโดย: lolata ที่ 24-04-2016 07:19:55
ไปสอบสวนที่บ้านจะโดนท่าอะไรบ้างละเนี่ย 555
ดีๆ อยู่กันครบคู่
ค่อยๆสืบหาความจริงไป ไม่อยากคิดเลยว่าแม่ของแฝดจะร้ายขนาดไหน
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >> บทที่20 [24/04/59] Twincest พีเรียดเจ้าชายและโจรป่า
เริ่มหัวข้อโดย: diltosscap ที่ 24-04-2016 08:04:13
รอเพชรกล้า สอบสวนฟ้าฟื้นในตอนหน้า

สงสารอาทิตย์ รอให้อาทิตย์ไดเจอบัว
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >> บทที่20 [24/04/59] Twincest พีเรียดเจ้าชายและโจรป่า
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 24-04-2016 08:30:09
ตอนหน้าต้องเตรียมทิชชู่ไว้ซับเลือดใช่ไหม  :hao7:
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >> บทที่20 [24/04/59] Twincest พีเรียดเจ้าชายและโจรป่า
เริ่มหัวข้อโดย: iNcamisang ที่ 24-04-2016 09:45:39
ดีใจที่อัคคี อินทัชเข้าใจกันดีจัง มีร่วมมือกันด้วย น่ารักอ่ะ

ปล.พี่เพชรสืบสวนน้องเบาๆนะคะ
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >> บทที่20 [24/04/59] Twincest พีเรียดเจ้าชายและโจรป่า
เริ่มหัวข้อโดย: aisen ที่ 24-04-2016 09:56:05
มาต่อแล้วค่า ชอบทุกคู่เลยนะ อยากให้เจ้าอาทิตย์มีคู่ใจใหม่ ปล่อยพ่อบัวให้พี่สมิงเถอะนะ
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >> บทที่20 [24/04/59] Twincest พีเรียดเจ้าชายและโจรป่า
เริ่มหัวข้อโดย: papanoy ที่ 24-04-2016 10:48:45
ไม่อยากคิดเลยว่าสภาพของฟ้าฟื้นหลังการสอบสวนของท่านครูฝึกจะเป็นเช่นไร คริ คริ :hao5:
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >> บทที่20 [24/04/59] Twincest พีเรียดเจ้าชายและโจรป่า
เริ่มหัวข้อโดย: kun ที่ 24-04-2016 13:45:58
อินทัชจะลุกไหวไหมนิ ฮ่าๆๆๆๆๆ

กรี๊ดดดดดด เขาจะไปสอบสวนบนเตียงแล้ว ชิมิ คิกๆๆๆ
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >> บทที่20 [24/04/59] Twincest พีเรียดเจ้าชายและโจรป่า
เริ่มหัวข้อโดย: van16 ที่ 24-04-2016 14:57:31
เพชรกล้าต้องรีด (ความลับ) จากฟ้าฟื้นให้หมดแรงเลยนะ :hao7: :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >> บทที่20 [24/04/59] Twincest พีเรียดเจ้าชายและโจรป่า
เริ่มหัวข้อโดย: bun ที่ 24-04-2016 19:36:07
ไปสอบสวนที่บ้านฟ้าฟื้นคงหมดแรงก่อนแน่
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >> บทที่20 [24/04/59] Twincest พีเรียดเจ้าชายและโจรป่า
เริ่มหัวข้อโดย: nunda ที่ 24-04-2016 23:52:35
ห่างหายไปนาน ^^
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >> บทที่20 [24/04/59] Twincest พีเรียดเจ้าชายและโจรป่า
เริ่มหัวข้อโดย: Freja ที่ 25-04-2016 02:51:46
หนักแน่ๆเลยฟ้าฟื้นเอ๊ย  ท่าจะโดนทั้งสอบทั้งสวนแน่ๆ
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >> บทที่20 [24/04/59] Twincest พีเรียดเจ้าชายและโจรป่า
เริ่มหัวข้อโดย: kawoat ที่ 25-04-2016 14:03:46
กำลังเข้มข้นเลยยยย ความจริงใกล้เปิดเผย เจ้านางตีฉิ่งแกตาายแน่  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >> บทที่20 [24/04/59] Twincest พีเรียดเจ้าชายและโจรป่า
เริ่มหัวข้อโดย: Silvan ที่ 25-04-2016 18:15:27
อินทัชกับอัคคีหวานสมใจเราเลยค่ะ

รอดูฉากเรียกเลือดของเพชรกล้ากับฟ้าฟื้น :hao6:
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >> บทที่20 [24/04/59] Twincest พีเรียดเจ้าชายและโจรป่า
เริ่มหัวข้อโดย: iNcamisang ที่ 26-04-2016 11:20:29
คู่ลูกน่ารักกกกกกกก

แต่คู่คุณพ่ออ่ะ ไม่อยากให้อาทิตย์ต้องเสียโกมุทไปให้สมิงเลย เหตุการณ์ที่ทำให้โกมุทแค้นก็เพราะเข้าใจผิดไม่ใช่หรอ แล้วทำไมอาทิตย์ต้องเป็นฝ่ายเสียสละด้วย เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมาอาทิตย์ก็ไม่ได้เลิกรักโกมุทไม่ใช่หรอ ทำไมมีแต่คนเชียร์พ่อสมิงกันจังเลย TT
  :katai4:

3P ก็ดีนะคะ win win
5555555
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >> บทที่20 [24/04/59] Twincest พีเรียดเจ้าชายและโจรป่า
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 26-04-2016 14:59:49
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >> บทที่20 [24/04/59] Twincest พีเรียดเจ้าชายและโจรป่า
เริ่มหัวข้อโดย: kms ที่ 28-04-2016 00:56:55
รอๆๆๆฟ้าฟื้นนนนนน
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >> บทที่20 [24/04/59] Twincest พีเรียดเจ้าชายและโจรป่า
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 28-04-2016 16:47:14
มาติดตามด้วยคน แนวนี้ไม่ค่อยได้อ่านเท่าไหร่
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >> บทที่20 [24/04/59] Twincest พีเรียดเจ้าชายและโจรป่า
เริ่มหัวข้อโดย: papanoy ที่ 28-04-2016 23:02:11
 :katai4: :katai4: :katai4:
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >> บทที่20 [24/04/59] Twincest พีเรียดเจ้าชายและโจรป่า
เริ่มหัวข้อโดย: kms ที่ 03-05-2016 02:18:27
รอออออออฟ้าฟื้นนนนนนนน
หัวข้อ: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >> บทที่21 [03/05/59] Twincest พีเรียดเจ้าชายและโจรป่า
เริ่มหัวข้อโดย: Belove ที่ 03-05-2016 20:55:51


                                                            บัลลังก์รักใต้เงาแค้น

                                                                    บทที่  21


               “ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้”


               ฟ้าฟื้นอับอายผู้คนที่เดินผ่านไปมาเหลือเกินเมื่อเดินเข้าสู่เขตชุมชน ข้อมือที่ถูกจับมัดและลากจูงโดยเพชรกล้าต่างทำให้

ผู้คนพากันเหลียวมอง แต่เพชรกล้าก็ยังทำเป็นหูทวนลมลากเขามาจนถึงประตูรั้วกว้างที่ด้านในเป็นบ้านหลังใหญ่หลังหนึ่ง เมื่อเพชรกล้า

พาเขาเดินผ่านเข้าไปฟ้าฟื้นจึงเห็นว่าภายในมีผู้คนมากมายกำลังจับกลุ่มพักผ่อนกันในยามค่ำ และเมื่อพวกเขาเห็นเพชรกล้าทุกคนต่างก็

ลุกทำความเคารพ สายตาของทุกคนเต็มไปด้วยความสงสัยเมื่อมองมายังเขา


               “ที่นี่ที่ไหน”


               “บ้านของข้า”


               ฟ้าฟื้นสะท้อนใจยิ่งนัก บ้านของเพชรกล้าใหญ่โตแถมยังมาบริวารอยู่อาศัยเต็มไปหมด ส่วนฟ้าฟื้นนั้นเล่าไม่มีอะไรสักอย่างที่

ควรคู่กับคนใหญ่คนโตอย่างเพชรกล้า มันเป็นความจริงที่ฟ้าฟื้นต้องยอมรับ หากแต่เขาก็นึกน้อยใจในวาสนาของตนเหลือเกิน


               “เพชร กลับมาแล้วหรือลูก อ้าวแล้วนั่นเด็กที่ไหน แล้วทำไมต้องผูกมัดกันขนาดนี้”


               เพชรกล้าพลันหยุดเท้าทันควันจนฟ้าฟื้นที่เดินตามหลังหยุดไม่ทันจึงชนโครมเข้ากับแผ่นหลังกว้าง ฟ้าฟื้นได้แต่ยกมือคลำ

จมูกของเขาที่กระแทกเข้ากับบ่าของเพชรกล้าที่ยิ้มรับหญิงที่เริ่มเข้าสู่วัยชราคนนั้น


               “กลับมาแล้วจ้ะแม่จ๋า”


               เสียงของเพชรกล้าอ่อนโยนยามเอ่ยกับมารดา ก่อนเขาจะหันใบหน้าเข้มมาหาฟ้าฟื้นที่สะดุ้งโหยงเมื่อสบตาด้วย


               “นี่คุณหญิงเพทายแม่ของข้า”


               ฟ้าฟื้นฝืนยิ้มอ่อนพลางยกมือทำความเคารพหญิงชราที่ยังคงงดงามตามวัย มารดาของเพชรกล้ายิ้มรับแต่ยังคงมองด้วยความ

สงสัยจนเพชรกล้าจำเป็นต้องกล่าวตอบ


               “เด็กดื้อคนนี้ชื่อฟ้าฟื้น มันทำความผิดบางอย่างที่ลูกต้องสอบสวนโดยด่วน ลูกขอเวลาเป็นการส่วนตัวห้ามใครเข้าใกล้ห้อง

ของลูกนะครับแม่”


               “ไม่นะ คุณหญิงขอรับ ได้โปรดช่วยกระผมด้วย”


               ฟ้าฟื้นทำหน้าเหมือนกินยาขม เขาหันไปหามองคุณหญิงเพทายอย่างอ้อนวอนขอความเมตตาจนหญิงชราชักจะสงสาร


                “แล้วมันทำผิดอะไรนักหนาจนต้องผูกโยงกันขนาดนี้เล่าพ่อเพชร พูดจากันดีๆไม่ได้เชียวหรือ”


               “แม่อย่าพูดให้ลูกเห็นใจเลยครับ ถึงอย่างไรลูกก็ต้องสืบสวนหาความจริงจากเจ้าเด็กดื้อคนนี้ให้ได้ อย่าลืมนะครับ ห้ามใคร

เข้าใกล้ห้องของลูกอย่างเด็ดขาด”


               พูดจบเพชรกล้าก็กระตุกเชือกที่พันรั้งข้อมือของฟ้าฟื้นให้เร่งเดินตาม ฟ้าฟื้นได้แต่มองคุณหญิงเพทายตาละห้อยแต่หญิงชรา

ก็ไม่อาจฝืนคำสั่งบุตรชายที่เป็นประมุขของบ้านได้




               ฟ้าฟื้นถูกเหวี่ยงให้เสียหลักเข้าไปยังห้องกว้างห้องหนึ่ง ภายในมีเตียงกว้างสร้างจากไม้เนื้อหนา ฟูกที่ปูอยู่บนเตียงก็หนานุ่ม

อย่างที่ฟ้าฟื้นไม่เคยเห็นมาก่อน หากแต่เวลานี้มิใช่เวลาที่เขาจะมาตื่นเต้นกับสิ่งของหรูหราแปลกตาในเมื่อเจ้าของห้องยืนจังก้าจ้องมอง

เขาอยู่


               “ต่อให้ติดปีก เจ้าก็หนีไม่พ้นหรอกฟ้าฟื้น”


               เจ็บใจนัก

               ฟ้าฟื้นมองใบหน้าคมเข้มคล้ำแดดนั้นด้วยความโมโห เขาจะไม่ยอมลงให้เพชรกล้าโดยง่ายเป็นแน่ คิดได้ดังนั้นฟ้าฟื้นจึงยก

ข้อมือที่ยังถูกพันธนาการไว้ขึ้นมาและโผเข้าใส่ร่างของเพชรกล้า แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะมองออก เพชรกล้าเบี่ยงตัวฉากหนีเพียงแค่นิด

เดียวก่อนจะคว้าร่างของฟ้าฟื้นเอาไว้และเหวี่ยงลงไปบนเตียงกว้างทันที


               “ฤทธิ์มากจริงนะเจ้าโจรกระจอก”


               “กระจอกก็อย่ามายุ่งด้วยสิ โอ๊ย!”


               แขนของฟ้าฟื้นถูกดึงขึ้นไปเหนือศีรษะจนชิดติดกับใบหูทั้งสองข้าง ปลายเชือกที่มัดข้อมือถูกดึงรั้งไปมัดแน่นกับท่อนไม้หัว

เตียงอย่างแน่นหนา ฟ้าฟื้นได้แต่ดิ้นรนไปมาและมองเพชรกล้าที่กำลังกระตุกยิ้มด้วยความเจ็บใจ


               “อยู่ในป่าข้าต้องเป็นเชลยของเจ้า มาบัดนี้เจ้ากลับมาเป็นเชลยของข้า”


               “ไอ้คนเลว”


               ฟ้าฟื้นด่าทอออกไปเป็นชุดด้วยความโมโหระคนน้อยใจ เพชรกล้าถึงกับส่ายหน้าเมื่อต้องนิ่งฟังวาจานั้นจนในที่สุดเขาก็หมด

ความอดทน


               “หุบปากเสียทีฟ้าฟื้น”


               ราชองครักษ์คนสำคัญกระโจนเข้าใส่ เพชรกล้าใช้ปลายนิ้วที่แข็งราวกับเหล็กบีบขากรรไกรของฟ้าฟื้นจนอ้ากว้างและหยุด

เสียงด่าทอนั้นด้วยปากของเขา


               “อื้อ ไอ้ อึก”


               ลิ้นร้อนดันลึกทันทีโดยไม่ต้องอารัมภบท ฟ้าฟื้นแทบสำลักเมื่อถูกตวัดเกี่ยวพันเกือบถึงลำคอแต่เขาไม่อาจปฏิเสธเมื่อปากยัง

ต้องอ้ากว้างเพราะเพชรกล้ายังบีบไว้แน่น จนกระทั่งฟ้าฟื้นเกือบจะหมดลมหายใจที่เก็บกักไว้เพชรกล้าจึงได้ยอมถอดถอนปลายลิ้นเพื่อ

ให้โอกาสเขาผวาดูดกลืนอากาศเข้าปอดอีกครั้ง ฟ้าฟื้นไอออกมาจนน้ำตาไหล


               “จะบอกได้หรือยังว่าทำไมถึงเข้ามาในวัง”


               แม้จะถามเช่นนั้นแต่น้ำเสียงกลับอ่อนลง ดวงตาดุก็อ่อนแสงจนเหลือเพียงประกายวับวามยามก้มมอง ฟ้าฟื้นชักไม่แน่ใจว่า

น้ำตาที่ไหลตอนนี้เป็นเพราะเขาสำลักอากาศหรือเป็นเพราะความรู้สึกอ่อนแอในใจกันแน่


               “ก็บอกแล้วไงว่ามาเป็นทหาร ทำไมไม่ฟังกันบ้าง”


               ฟ้าฟื้นหยุดดิ้นรนเพราะรู้ดีว่าดิ้นไปก็เปล่าประโยชน์ เขาเบือนหน้าหนีเพราะไม่อยากให้เพชรกล้ามองเห็นความรู้สึกจาก

ดวงตาของเขา แต่เพชรกล้าก็ไม่ยอมปล่อยให้ทำเช่นนั้นเมื่อปลายคางของฟ้าฟื้นถูกดึงกลับมาในที่สุด


               “จะบอกดีๆหรือว่าจะให้ข้าทรมานเจ้า หือ ฟ้าฟื้น”


               “ข้าไม่มีอะไรจะบอก”


               “ดีล่ะ เจ้าเด็กปากแข็ง ข้าจะทำให้เจ้าต้องคายความจริงออกมาให้ได้”


               “จะทำอะไร อย่านะ”


               ชุดของทหารใหม่ถูกกระชากทิ้งออกจากตัวทันที เหลือเพียงร่างกายหนั่นแน่นในวัยหนุ่มของฟ้าฟื้นอวดสายตาอยู่ เพชร

กล้ามองตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างพึงพอใจก่อนที่เขาจะกระโจนเข้าใส่และฝังจมูกโด่งลงไปกับซอกคอที่เขาโหยหา


               “อา ฟ้าฟื้น”


               “อื้อ อย่า...”


               ทั้งที่รู้ว่าห้ามไม่ได้แต่ฟ้าฟื้นก็ต้องลอง เขาพยายามกลั้นใจมิให้อ่อนไหวไปกับการกระทำของเพชรกล้าแต่ก็หักห้ามใจไม่ได้

จริงๆเมื่อตอนนี้เพชรกล้าสำรวจไปทั่วร่างกายของเขาอย่างเป็นเจ้าของ ไม่เว้นแม้แต่ความเป็นชายก็ตกเป็นของลิ้นร้อนที่ไล้โลมเลียจน

ฟ้าฟื้นสั่นสะท้านไปทั้งตัว


               “อา ได้โปรดเถอะ”


               ฟ้าฟื้นยอมแพ้ในที่สุดเมื่อเพชรกล้ากำลังดึงเขาให้ไต่อยู่ตามทางขึ้นสวรรค์ที่ห่างหายไปเป็นเวลาเนิ่นนาน ตอนนี้ฟ้าฟื้นถึงกับ

หอบลึกพร้อมกับแอ่นกายด้วยความเสียวซ่าน เพชรกล้าส่งเสียงลึกๆอย่างพอใจก่อนจะรีบเร่งจัดการดึงกางเกงของตนเองออกขว้างทิ้ง

เหลือไว้แต่ท่อนกายแข็งแกร่งที่ฟ้าฟื้นรู้ฤทธิ์เดชดีอยู่แล้ว


               “คิดถึงกันบ้างไหมฟ้าฟื้น”


               กระซิบถามเสียงกระเส่าพลางวางมือร้อนไล่ลงตั้งแต่ต้นแขนที่ยังคงถูกพันธนาการจนถึงสีข้างเปลือยเปล่า ฟ้าฟื้นผวาตาม

ความอุ่นร้อนจนต้องขยับเปิดทางให้ร่างหนาบึกบึนเบียดลงระหว่างกลาง ท่อนเนื้อแนบชิดทักทายกระทั่งเพชรกล้าลากมันลงมาจนถึง

ปากทางที่ขยับตอบรับอย่างคุ้นเคย


               “ไม่ ใครจะไปคิดถึงคนอย่างเจ้า”


               ตอบกลับเสียงสั่นพร่าไม่แพ้กัน แต่หากร่างกายกลับกระทำการตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิงเมื่อกำลังเปิดทางให้เพชรกล้าดันลึก

เข้าไปด้วยความโหยหา


               “อื้อ ขยับเร็วหน่อยมันจะตายไหม”


               ผงกหัวตวาดเมื่อเพชรกล้าดันเอวเข้าไปอย่างไม่รีบร้อนนัก แต่มันกลับทำให้ภายในยิ่งเสียดสีจนฟ้าฟื้นทรมานเหลือเกิน เพชร

กล้ามองใบหน้าอ่อนเยาว์แดงจัดที่กำลังกัดฟันปรือตาเพราะไฟเสน่หาที่เขาจุดอย่างพอใจ มือสากลูบไล้ไปตามกรอบหน้าและหยุดลงที่

มุมปากของฟ้าฟื้น


               “เรียกข้าว่าพี่เพชรก่อนสิ แล้วพูดจาหวานๆให้สมกับความคิดถึงหน่อย”


               “ไม่”


               “งั้นก็หยุดแค่นี้”


               เพชรกล้าหยุดจริงๆ แต่เขาหยุดในขณะที่ท่อนเนื้อเสียดสีจุดอ่อนไหวอยู่ภายในจนฟ้าฟื้นแทบขาดใจ ฟ้าฟื้นถึงกับยกสะโพก

ตนเองเพื่อให้เพชรกล้าดันลึกเข้าไปอีก


               “พี่เพชร พี่เพชรจ๋า”


               ดวงตาฉ่ำน้ำมองออดอ้อนจนเพชรกล้าคลี่ยิ้มอย่างพอใจ เขาโน้มใบหน้าลงไปบดจูบหนักหน่วงแต่ฟ้าฟื้นก็ตอบรับเร่าร้อนไม่

ยอมแพ้  เพชรกล้าช้อนสะโพกแน่นมือขึ้นสูงเพื่อที่เขาจะชันเข่าและกระแทกแรงลงไปจนเสียงดังลั่นห้อง หนทางแห่งสวรรค์ชุ่มชื้นช่วย

เร่งให้เขามองเห็นปลายทางรำไร


               “ตอดดีเหลือเกินฟ้าฟื้นของข้า อา ทนไม่ไหวแล้ว”


               “พี่เพชร อีกนิด อีกนิดเดียวข้าจะ อ๊ะ!”


               ฟ้าฟื้นเกร็งไปทั้งตัวเมื่อในที่สุดเขาก็ปลดปล่อยออกมา เพชรกล้าเห็นดังนั้นก็เร่งความเร็วติดตามไปอย่างทันท่วงที ช่องทาง

ร้อนระอุของฟ้าฟื้นบีบคั้นจนเขาหน้ามืดเมื่ออีกไม่กี่อึดใจเขาก็ติดตามฟ้าฟื้นไปยังปลายทางได้สำเร็จ

               เสียงลมหายใจดังอยู่ใกล้หูของกันและกันเมื่อเพชรกล้าซบหน้าลงไปบนบ่าของฟ้าฟื้น ร่างกายต่างเหนียวหนับไปด้วยเหงื่อ

ไคลและคาวรัก ต่างก็หันหน้าเข้าหาและปรนจูบกันอีกครั้ง


               “จะปล่อยข้าได้หรือยัง เจ็บข้อมือไปหมดแล้ว”


               ฟ้าฟื้นประท้วงเสียงแหบเพราะเขาปล่อยเสียงครางออกไปจนเจ็บคอ เพชรกล้าจึงยอมปลดเชือกที่พันธนาการอยู่ออกให้ เมื่อ

เป็นอิสระฟ้าฟื้นจึงทุบใส่ต้นแขนของเพชรกล้าเสียหลายที


               “ไอ้คนบ้า มัดแน่นเชียว เห็นไหมว่าข้อมือข้าแดงไปหมดแล้ว”


               “จิกหัวเรียกผัวว่าไอ้แถมยังด่าอีก ปากจัดจริงๆนะเจ้า”


               ฟ้าฟื้นมองอย่างน้อยใจก่อนจะเบือนหน้าหนีไปทางอื่น


               “ใช่สิ ก็ข้ามันคนต่ำต้อย ไหนเลยจะสูงส่งเป็นผู้ดีอย่างท่านครูฝึกกันเล่า”


               เพชรกล้ามองฟ้าฟื้นอย่างพิจารณา เขาเห็นแววตาน้อยใจฉายชัดอยู่จนพอจะเข้าใจแล้วว่าฟ้าฟื้นคิดอะไรอยู่ เขาจึงก้มลงจูบ

ที่หน้าผากของฟ้าฟื้นอย่างอ่อนโยน


               “นี่ตกลงว่าคิดมากเรื่องนี้เองรึ จะสูงส่งหรือต่ำต้อยมันก็คนเท่ากันทั้งนั้นนะฟ้าฟื้น”


               “แต่ข้า...”


               “อย่าคิดเปรียบเทียบอีก เข้าใจไหม”


               ฟ้าฟื้นยอมหันกลับมาสบตา เพชรกล้าเองก็มองกลับด้วยความจริงใจจนฟ้าฟื้นซาบซึ้งยิ่งนัก เขากลั้นสะอื้นจนเพชรกล้าต้อง

เช็ดน้ำตาให้


               “ตกลงจะบอกพี่ได้หรือยังว่าเข้ามาในวังทำไม”


               “ข้าตามเพื่อนมาเป็นทหารในวัง เท่านั้นจริงๆพี่เพชร ข้าไม่อยากเป็นโจรอีกแล้ว”


               ตอบตามความจริง ในคราแรกที่ตามอัคคีเข้ามาในเมืองใหญ่ ฟ้าฟื้นไม่คิดว่าอัคคีจะเข้ามาสมัครเป็นทหาร ฟ้าฟื้นก็ได้แต่เข้า

มาเป็นทหารตามเพื่อนด้วย แต่เมื่อได้เห็นเพชรกล้าในนามครูฝึกฟ้าฟื้นก็ไม่นึกอยากกลับไปเป็นโจรอีก


               “เพราะถ้าข้าเป็นโจร ข้าก็ต้องต่อสู้กับทหารอย่างพี่”


               คำสารภาพจากปากทำให้เพชรกล้าใจอ่อน เขานึกเอ็นดูกับความคิดของโจรรุ่นเยาว์เสียเหลือเกิน


               “ชื่นใจจริงๆฟ้าฟื้น”


               เขาจูบอ่อนหวานแทนรางวัล ร่างกายที่ยังกอดก่ายแนบแน่นเริ่มขยับอีกครั้ง และฟ้าฟื้นก็ไม่ได้หยุดพักอีกเลยเมื่อเพชรกล้า

ตักตวงจากร่างกายของเขาจนกระทั่งค่ำคืนผ่านล่วงไป




มีต่ออีกนะ...


หัวข้อ: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >> บทที่21 [03/05/59] Twincest พีเรียดเจ้าชายและโจรป่า
เริ่มหัวข้อโดย: Belove ที่ 03-05-2016 21:01:52


ต่อกันตรงนี้...




                เสียงเคาะประตูดังขึ้นเมื่อใกล้จะฟ้าสางเต็มที เพชรกล้าขยับกายห่างออกจากฟ้าฟื้นที่นอนหลับอย่างอ่อนแรงเมื่อไม่นานมานี้

หลังจากกรำศึกกับเขามาตลอดทั้งคืน เพชรกล้าสบถอย่างหงุดหงิด


               “นั่นใคร ข้าสั่งแล้วว่าห้ามมารบกวน”


               “นี่แม่เอง พอจะรบกวนได้บางไหม”


               เสียงที่ตอบกลับมาทำให้ฟ้าฟื้นสะดุ้งตื่น เขามองเห็นเพชรกล้าที่มีเพียงผ้านุ่งพันท่อนล่างเดินไปเปิดประตูให้มารดา

ที่ก้าวเข้ามาในห้องอย่างรวดเร็ว


                “เอ่อ...”


               พากันวางหน้าไม่ถูกเมื่อเห็นสายตาเข้มงวดของคุณหญิงเพทายที่กวาดสายตามองสภาพที่เกิดขึ้นภายในห้องของบุตรชาย

               เรียกว่าเละเทะก็ว่าได้

                ผ้าปูที่นอนหลุดลุ่ยเต็มไปด้วยคราบคาว เก้าอี้ด้านข้างก็ล้มระเนระนาด แถมลูกชายตัวดีกับคนที่พาเข้าบ้านก็มีสภาพไม่ต่าง

กันนัก คุณหญิงเพทายเงยหน้าจ้องบุตรชายที่เป็นถึงราชองครักษ์พร้อมกับส่งเสียงเข้ม


               “แต่งตัวกันให้เรียบร้อยแล้วไปคุยกับแม่ที่ห้องโถง”


               พูดจบคุณหญิงก็เดินกลับออกไปนั่งรออยู่บนตั่งที่นั่งเป็นประจำ รออยู่ไม่นานนักเพชรกล้าก็จูงมือฟ้าฟื้นมานั่งอยู่กับพื้นข้างตั่ง

นั่นเอง


               “เจ้าตัวดี มีอะไรจะพูดก็พูดมา”


               แม้ว่าจะเป็นถึงราชองครักษ์แต่ยามนี้เพชรกล้าได้แต่กลืนน้ำลายอึกใหญ่เมื่อเห็นหน้าดุของมารดา เพชรกล้าก้มลงไปกราบ

แทบเท้าคุณหญิงเพทายทันที ฟ้าฟื้นเห็นดังนั้นเขาก็รีบก้มลงกราบตามอย่างเก้ๆกังๆก่อนจะลุกมาก้มหน้างุด


               “ก็อย่างที่แม่เห็นนั่นแหละจ้ะ”


               ชายชาติทหารกลับไปเป็นเด็กตัวเล็กอีกครั้งยามอยู่กับมารดา เพชรกล้ายิ้มเฝื่อนเหมือนเมื่อครั้งทำผิดในวัยเยาว์


               “ลูกกับฟ้าฟื้น เราเอ่อ... ได้เสียกันแล้ว”


               “แต่เด็กคนนี้เป็นผู้ชายนะเพชร ลูกกำลังบอกแม่ว่าลูกมีเมียเป็นผู้ชายด้วยกันเช่นนั้นรึ”


               คุณหญิงเพทายชี้นิ้วไปยังฟ้าฟื้นที่ได้แต่นั่งเงียบ แม้จะนึกเอ็นดูไม่น้อย แต่คุณหญิงไม่นึกว่าฟ้าฟื้นจะมีความสัมพันธ์กับบุตร

ชายในสภาพนี้


               “แม่จ๋า ลูกเลือกไม่ได้”


               เพชรกล้าเองก็หน้าสลดลงเมื่อรู้ดีว่า สิ่งที่เลือกนั้นอาจทำให้เสียชื่อเสียงแก่วงศ์ตระกูล


               “ลูกรู้ว่าอาจทำให้แม่และพ่อที่จากไปอับอาย แต่ลูกไม่อาจโกหกใจตนเองว่าลูกรักฟ้าฟื้น จะให้ลูกทำเช่นไรในเมื่อลูกรักใน

จิตใจของฟ้าฟื้นที่เป็นชายเช่นเดียวกับลูก”


               ฟ้าฟื้นน้ำตาคลอ เพียงแค่ได้ยินคำว่ารักจากเพชรกล้าที่กล้าหาญยอมรับกับบุพการีเขาก็ดีใจมากแล้ว เพียงเท่านี้เขาก็ไม่

ต้องการสิ่งใดอีก


               “คุณหญิงอย่าได้กังวลเลยขอรับ กระผมจะไม่อยู่ให้เป็นที่อับอายดอก”


               “ไม่ได้”


               เพชรกล้าหันมาดุเขาต่อหน้ามารดา


               “เจ้าเป็นเมียพี่แล้ว จะไปไหนไม่ได้เป็นอันขาด”


               คุณหญิงเพทายนิ่งมองบุตรชายและฟ้าฟื้นสลับกันไปมา เมื่อเห็นความจริงจังบนใบหน้าเพชรกล้าแล้วคุณหญิงก็ถอนหายใจ

ออกมาพลางยกมือห้าม


               “เอาเถอะ อย่าเพิ่งเถียงกัน ไหนลองเล่าให้แม่ฟังว่าทำไมถึงได้พบกันและเกิดเรื่องเช่นนี้ได้”


               เพชรกล้าตัดสินใจเล่าให้มารดาฟังย่อๆว่าเขาและฟ้าฟื้นพบกันในป่าใหญ่และเกิดความผูกพันซึ่งกัน คุณหญิงเพทายนิ่งฟัง

อย่างสงบจนเพชรกล้าเล่าจบฟ้าฟื้นก็ยิ่งสีหน้าสลดลงเรื่อยๆ


               “กระผมรู้ดีขอรับว่าตนเองต่ำต้อย เป็นเพียงลูกของโจรป่าไร้สกุล หาได้ควรคู่กับท่านราชองครักษ์”


               “แต่พี่ก็รักเจ้านะฟ้าฟื้น”


               ศึกหนักเป็นของคุณหญิงเพทายที่ยิ่งต้องคิดหนักเมื่อรู้ที่มา หากแต่บุตรชายแสดงออกชัดเจนเหลือเกินว่ารักอีกฝ่ายเพียงใด


               “ข้ารู้ว่าพี่รักข้า แต่ยอมรับสิว่ามันเป็นไปไม่ได้ พี่เป็นทหารยศใหญ่โตแต่ข้ามันเป็นโจร พี่เปลี่ยนความจริงไม่ได้ ข้าจะไปจาก

พี่เองพี่จะได้ไม่ต้องอายใคร”


               “ไม่ต้องไปไหนทั้งนั้นแหละ”


               คุณหญิงเพทายตัดสินใจ หญิงชราหันไปมองบุตรชายแล้วเอ่ยออกมา


               “ใช่ มันเป็นเรื่องน่าอับอายที่ลูกจะรักกับชายด้วยกัน แต่แม่คงจะทนกับมันได้มากกว่าหากจะต้องเห็นลูกชายของแม่เสียใจ

หากสูญเสียคนที่รักไป”


               “แม่ครับ”


               เพชรกล้ายิ้มอย่างยินดี เขากราบลงไปแทบเท้ามารดาอีกครั้ง คุณหญิงเพทายถอนหายใจออกมาเมื่อเอื้อมมือไปลูบผมเพชร

กล้า


               “ลูกเองก็ต้องทนกับคำครหาต่างๆที่จะถาโถมเข้ามากับสิ่งที่ลูกเลือกเองคราวนี้ จะทนไหวหรือเปล่าเพชรกล้า”


                เพชรกล้ากอดขามารดาไว้ด้วยความรัก


               “มีเพียงคนเดียวในโลกนี้ที่ลูกสนใจก็คือแม่ ถ้าแม่ยอมรับสิ่งที่ลูกเลือกได้ หมดทั้งโลกลูกก็ไม่กลัว”


               ฟ้าฟื้นร้องไห้ออกมาอย่างตื้นตัน เขาขยับเข้าไปเคียงข้างและกราบคุณหญิงเพทายด้วยความเคารพอย่างที่สุด ก่อนจะเงย

หน้าขึ้นมาสบตากับหญิงชราที่มองอย่างเข้าใจมากขึ้น


               “ไหนๆก็คิดจะร่วมชีวิตกันแล้ว เจ้าเองก็ต้องทำตัวให้มีคุณค่านะฟ้าฟื้น มาอยู่ที่นี่แม่จะสอนให้เจ้ารู้หนังสือและวิชาอื่นๆด้วย

เจ้าจะได้เลิกน้อยใจว่าไม่คู่ควรกับพี่เขาเสียทีดีไหม”


               เพชรกล้าและฟ้าฟื้นยิ้มให้กันอย่างดีใจ เมื่อในที่สุดต่างก็เข้าใจกันได้ เพชรกล้าดึงมือฟ้าฟื้นมากุมและเอ่ยคำสัญญาต่อหน้า

มารดาของเขา


               “พี่จะรักเจ้าเพียงคนเดียว ฟ้าฟื้น”



TBC

 :mew1: :mew1:





               
               

               
       
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >> บทที่21 [03/05/59] Twincest พีเรียดเจ้าชายและโจรป่า
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 03-05-2016 21:08:34
ปลื้มปริ่ม
ลงเอยไปอีกคู่อย่างสายฟ้าฟาด. ฟ้าฟื้นน่ารักดี เพชรก็กล้าหาญสมชื่อเลย
ขอบคุณคนเขียนค่ะ
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >> บทที่21 [03/05/59] Twincest พีเรียดเจ้าชายและโจรป่า
เริ่มหัวข้อโดย: diltosscap ที่ 03-05-2016 22:29:19
คุณหญิงแม่ช่างน่ารักเหลือเกิน ความรักแม่ยิ่งใหญ่นัก เพชรกล้า ฟ้าฟื้น เข้าใจในรัก สมหวังแล้ว เหลือแฝดก็ไม่น่าจะมีปัญหาเพราะเข้าใจกันดีว่ารักกัน เหลือ พ่ออาทิตย์ เอาใจช่วยพ่ออาทิตย์ให้ได้รักกลับคืน อาจจะพ่วงได้เพื่อนเป็นโจรป่ามาด้วย แต่ไม่ต้องหาเมียใหม่ให้พ่ออาทิตย์นะคะ ไม่อยากได้ อยากได้น้าบัวให้พ่ออาทิตย์
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >> บทที่21 [03/05/59] Twincest พีเรียดเจ้าชายและโจรป่า
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 03-05-2016 23:14:29
แฮปปี้กันไปคู่หนึ่งแล้ว~
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >> บทที่21 [03/05/59] Twincest พีเรียดเจ้าชายและโจรป่า
เริ่มหัวข้อโดย: papanoy ที่ 03-05-2016 23:23:15
คู่นี้น่ารักมาก สมหวังละ

   :กอด1: :L1:

        :pig4:
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >> บทที่21 [03/05/59] Twincest พีเรียดเจ้าชายและโจรป่า
เริ่มหัวข้อโดย: aisen ที่ 04-05-2016 07:47:07
น่ารัก มากพี่เพชร น้องฟ้าได้ยินแล้วชื่นใจมาก
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >> บทที่21 [03/05/59] Twincest พีเรียดเจ้าชายและโจรป่า
เริ่มหัวข้อโดย: Silvan ที่ 04-05-2016 10:01:28
หลงรักขุ่นแม่พี่เพชรเข้าแล้ว

ลงเอยด้วยดีไปหนึ่งคู่ฟินจุงค่า
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >> บทที่21 [03/05/59] Twincest พีเรียดเจ้าชายและโจรป่า
เริ่มหัวข้อโดย: kms ที่ 04-05-2016 11:11:09
กรี๊ดดดดดดดดด มีความสุขขขขขขขขข
ในที่สุดฟ้าฟื้นก็สมหวังงงงงง
ชอบคู่นี้มากๆค่ะ
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >> บทที่21 [03/05/59] Twincest พีเรียดเจ้าชายและโจรป่า
เริ่มหัวข้อโดย: Freja ที่ 04-05-2016 18:36:12
เมืองนี้ก็น่าจะเปิดกว้างอยู่หรอก  เจ้าเมืองเองก็โปรดไม้ตระกูลเดียวกัน
คู่นี้สมหวังแล้ว ความดีความชอบต้องยกให้ท่านแม่ล้วนๆ

นึกสงสารพ่อสมิงขึ้นมารำไรถ้าหากว่าโกมุทกลับไปหาอาทิตย์นะ  อยู่เคียงข้างกันมาตั้งกี่ปีไร้ความดีงามไร้ความหมาย   กับอาทิตย์ถึงจะเป็นเรื่องเข้าใจผิดแต่ระหว่างคนสองคนก็มีเรื่องมากมายมาขวาง  เวลาก็ผ่านมาเนิ่นนานแล้ว    โกมุทน่าจะมองในสิ่งที่มีมากกว่าสิ่งที่ควรจะได้หรือสิ่งที่เสียไป
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >> บทที่21 [03/05/59] Twincest พีเรียดเจ้าชายและโจรป่า
เริ่มหัวข้อโดย: nunda ที่ 04-05-2016 22:03:58
อร๊ายยย ตอนนี้ดีงาม ท่านแม่เพทาย กราบค่ะ

แต่เกร็งเหลือเกิน กลัวมาม่ามาไม่ทันตั้งตัว
คือด้วยการปูพื้นมา และปมต่างๆในเรื่อง
อิคนอ่านนี่มโมดราม่าของ2คู่นี้ +คู่รุ่นพ่อได้ร้อยแปดอย่างอ่ะ เง้อออ
คนเขียนขาาา อย่าเยอะนะคะ คนอ่านปวดตับ
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >> บทที่21 [03/05/59] Twincest พีเรียดเจ้าชายและโจรป่า
เริ่มหัวข้อโดย: kun ที่ 05-05-2016 18:07:53
เป็นคุณแม่ที่น่ารักมากเลยอ่ะ
คู่รองเหมือนทางจะโปร่งแล้วน่ะ
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >> บทที่21 [03/05/59] Twincest พีเรียดเจ้าชายและโจรป่า
เริ่มหัวข้อโดย: ณ ที่เดิม™ ที่ 08-05-2016 14:11:51
อ่านไปอ่านมาแล้วเพลิน 55  :hao7:
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >> บทที่21 [03/05/59] Twincest พีเรียดเจ้าชายและโจรป่า
เริ่มหัวข้อโดย: kms ที่ 17-05-2016 00:03:41
รออๆๆๆๆฟ้าฟื้นนนนนน
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >> บทที่21 [03/05/59] Twincest พีเรียดเจ้าชายและโจรป่า
เริ่มหัวข้อโดย: papanoy ที่ 17-05-2016 17:10:21
รอ...พ่อบัวกับอาทิตย์เจอกัน...พ่วงด้วยพ่อสมิง..
            :katai2-1:
หัวข้อ: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >>บทที่21Twincest พีเรียดเจ้าชายและโจรป่า [ประกาศลาพัก]
เริ่มหัวข้อโดย: Belove ที่ 18-05-2016 13:30:38



ประกาศลาพักประมาณ 1 เดือนค่ะ


เป็นเพราะว่าตั้งแต่เริ่มแต่งนิยายเอง
รวมถึงต้องทำงานประจำด้วยแล้ว ทำให้คนแต่ง
ไม่มีเวลาได้เสพงานนิยายของนักเขียนท่านอื่นๆเลย


รู้สึกเหมือนลูกศิษย์ที่ออกมาท่องวิทยายุทธลองผิดลองถูกในบู๊ลิ้ม
แล้วไม่มีอาจารย์ชี้แนะ


จึงขอลาพักไปอ่านนิยายนักเขียนในดวงใและหาข้อมูลมาพัฒนาฝีมือ
แล้วจะกลับมาแต่งนิยายตัวเองต่อ


รอเค้ากันด้วยน้าตะเอง


Belove


 :L1: :L1:

หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >>บทที่21Twincest พีเรียดเจ้าชายและโจรป่า [ประกาศลาพัก]
เริ่มหัวข้อโดย: kms ที่ 19-05-2016 13:48:43
แง้ๆๆๆๆๆ รอพ่อบัวกับฟ้าฟื้นเสมออออออออ
อย่าทิ้งเรื่องนี้น่ะค้า
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >>บทที่21Twincest พีเรียดเจ้าชายและโจรป่า [ประกาศลาพัก]
เริ่มหัวข้อโดย: kun ที่ 20-05-2016 20:00:06
รอจ้า
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >>บทที่21Twincest พีเรียดเจ้าชายและโจรป่า [ประกาศลาพัก]
เริ่มหัวข้อโดย: iNcamisang ที่ 20-05-2016 22:14:59
แล้วจะรอนะค้าาาา  :sad4:
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >>บทที่21Twincest พีเรียดเจ้าชายและโจรป่า [ประกาศลาพัก]
เริ่มหัวข้อโดย: PoppyPrince ที่ 21-05-2016 10:37:55
เอาใจช่วยคู่อัคคีกับอินทัชค่ะ
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >>บทที่21Twincest พีเรียดเจ้าชายและโจรป่า [ประกาศลาพัก]
เริ่มหัวข้อโดย: nunda ที่ 24-05-2016 16:33:30
รอค่าาาาา ^^
นี่ก็กลับไปอ่านตั้งแต่ต้นอีกรอบ กันลืม
เป็นกำลังใจให้คนเขียนค่ะ ^^
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >>บทที่21Twincest พีเรียดเจ้าชายและโจรป่า [ประกาศลาพัก]
เริ่มหัวข้อโดย: papanoy ที่ 31-05-2016 23:41:35
                    :katai4: :katai4:
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >>บทที่21Twincest พีเรียดเจ้าชายและโจรป่า [ประกาศลาพัก]
เริ่มหัวข้อโดย: lolata ที่ 01-06-2016 04:38:44
รอค่ะ
หัวข้อ: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >>บทที่22 Twincest กลับมาแล้วจ้า 7/6/59
เริ่มหัวข้อโดย: Belove ที่ 07-06-2016 14:53:45


                                                     บัลลังก์รักใต้เงาแค้น

                                                           บทที่  22



               อัคคีมาพบหน้าฟ้าฟื้นอีกครั้งก็คือที่ลานฝึกอาวุธในยามสาย รู้สึกแปลกตาที่เห็นเพื่อนสนิทมีใบหน้าแจ่มใสขึ้นทั้งที่ผ่านมาฟ้า

ฟื้นมีแต่สีหน้าอมทุกข์มาตลอด


               “มีอะไรดีๆหรือเปล่าฟ้าฟื้น อย่างกับไม้เหี่ยวได้น้ำ”


               “เดี๋ยวเหอะอัคคี”


               ส่งเสียงเขียวใส่เพื่อนเมื่อถูกล้อเลียนแต่ฟ้าฟื้นก็ยังมีรอยยิ้มบนใบหน้า ใครจะนึกว่าเรื่องหัวใจลงเอยได้อย่างไม่น่าเชื่อ เพชร

กล้าบอกให้เขาเก็บของจากเรือนพักทหารไปอยู่ที่บ้านหลังใหญ่ มันทำให้ฟ้าฟื้นอิ่มเอมใจจนอยากจะเล่าให้อัคคีฟัง หากแต่เสียงเอ่ย

ขานพระนามเจ้าชายอินทัชธราธิปเสด็จมายังลานฝึกกลับดังขึ้นเสียก่อน


               “โชคดี วันนี้จะได้เห็นหน้าเจ้าชาย”


               ฟ้าฟื้นเอ่ยอย่างตื่นเต้นขณะเข้าแถวรับเสด็จกับเหล่าทหาร เขาไม่ทันเห็นว่าอัคคีกลับขรึมลงอย่างเห็นได้ชัด และยิ่งเมื่อเจ้า

ชายอินทัชมาหยุดยืนอยู่บนแท่นสูงด้านหน้าลานฝึกด้วยแล้ว อัคคีก็ยิ่งก้มหน้าต่ำลงอีก


               “เอ๊ะ ทำไมเจ้าชายถึงมีใบหน้าเหมือน...”


               “ฟ้าฟื้น หยุดพูดได้แล้ว!”


               ปรามเพื่อนเสียงเข้มให้หยุดพูด ฟ้าฟื้นจึงยอมหยุดแต่เขาก็ลอบมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของอัคคีอย่างแปลกใจ เพราะถ้าอัคคี

โกนหนวดเครารุงรังและถอดผ้าคาดตาออกแล้ว เพื่อนสนิทที่อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่แบเบาะของเขาก็มีใบหน้าไม่ต่างอันใดกับเจ้าชายอิน

ทัชสักนิด ที่สังเกตได้ว่าต่างกันคืออัคคีมีรูปร่างที่แข็งแรงกว่าและผิวคล้ำกว่าเท่านั้น


               “วันนี้จะมีการคัดเลือกองครักษ์คนใหม่สำหรับอารักษาเจ้าชายเนื่องเพราะข้าจะต้องรับผิดชอบงานด้านอื่น”


               เสียงดังของเพชรกล้าที่ทำหน้าที่ครูฝึกกล่าวหน้าแถว


               “ให้โอกาสคนที่มั่นใจในฝีมือสมัครใจออกมาและแข่งกันต่อหน้าพระพักตร์ ผู้ใดยืนหยัดได้จนถึงคนสุดท้ายจะได้รับตำแหน่ง

ราชองครักษ์แทนข้า”


               เสียงฮือฮาดังขึ้นทันที บ้างก็กระเหี้ยนกระหือรือในฝีมือตน บ้างก็ส่ายหน้าเพราะรู้ว่ายังอ่อนด้อย และเมื่อเพชรกล้าส่ง

สัญญาณเหล่าทหารจำนวนหนึ่งที่มั่นใจในความสามารถก็ก้าวออกไปยังลานกว้างด้านหน้ารวมถึงอัคคีด้วย


               เลือกอาวุธเป็นดาบยาวคมกริบที่คุ้นเคยมือที่สุด ร่างสูงแข็งแรงด้วยวัยหนุ่มหันขวับไปมองเจ้าชายสูงศักดิ์ด้วยนัยน์ตาพราว

ระยับพลางตวัดดาบลงแสดงความเคารพ เจ้าชายอินทัชเกร็งกายจนต้องบีบพระหัตถ์แน่นไปด้วยความห่วงใยระคนตื่นเต้นเมื่อการต่อสู้

เริ่มต้นระหว่างอัคคีกับคู่ต่อสู้ที่ยืนจังก้ารออยู่แล้วด้วยหอกยาวคมไม่แพ้กัน

               หอกยาวตรงดิ่งเข้าหา อัคคีตวัดดาบรับคล่องแคล่ว สายตาคมดุจเหยี่ยวเพ่งมองคู่ต่อสู้ไม่วางตาเมื่อเขาขยับตอบโต้อย่าง

ชาญฉลาด เสียงเหล็กเนื้อดีกระทบกันดังก้องบาดหู ประกายไฟพุ่งกระจายออกมาทุกครั้งที่ฟาดฟันท่ามกลางเสียงโห่ร้องของเหล่า

ทหารที่พากันมองด้วยความตื่นตา ไม่นานนักแค่พอได้ออกแรงอัคคีก็จ่อปลายดาบเข้าใส่คู่ต่อสู้ที่ล้มลงไปนอนอยู่บนพื้นอย่างสง่างาม

เจ้าชายอินทัชที่ประทับทอดพระเนตรอยู่ถึงกับเผลอสรวลอย่างดีพระทัยที่อัคคีได้รับชัยชนะ

                เพชรกล้าและบรรดาครูฝึกอีกหลายคนดูแลการประลองฝีมือให้เป็นไปอย่างต่อเนื่อง เจ้าชายอินทัชตื่นเต้นไปกับการประลอง

ต่อสู้โดยเฉพาะเมื่อคนในลานประลองคืออัคคี ได้แต่พยายามระงับอารมณ์ไว้ให้ได้เพื่อไม่ให้ผิดสังเกตที่ทรงเป็นห่วงอัคคี แต่อัคคีก็มี

ฝีมือเก่งกล้าจนสามารถยืนหยัดเอาชนะผู้เข้าประลองอื่นๆในที่สุด เสียงตะโกนโห่ร้องชื่นชมความสามารถของอัคคีดังก้องไปทั่วทั้งลาน

ฝึก


               “เราได้ผู้ชนะแล้วนั่นคืออัคคี จงก้าวมารับพระราชทานเข็มกลัดตำแหน่งราชองครักษ์จากเจ้าชายอินทัชธราธิป”


               อัคคีก้าวอย่างองอาจเข้าไปหา เขาคุกเข่าลงข้างหนึ่งเพื่อให้เจ้าชายอินทัชทรงประทานเข็มกลัดที่หน้าอกของเขา ดวงเนตร

ที่ก้มมองในระยะใกล้บ่งบอกถึงความภาคภูมิใจในตัวอัคคี


               “เก่งมากอัคคี”


               “ผัวเจ้าเก่งอยู่แล้ว”


               “บ้า”


               เสียงกระซิบตอบกลับจากคนที่คุกเข่าทำให้เจ้าชายอินทัชสะบัดสายพระเนตรใส่ด้วยความขัดเขิน ยังไม่ชินเสียทีกับคำพูด

โผงผางของอัคคีแม้จะรู้ว่าเป็นเรื่องจริง ทรงตั้งใจจะฝึกหัดกิริยามารยาทฝาแฝดของพระองค์ให้งดงามกว่านี้ให้ได้หากได้อยู่ใกล้ชิดกัน


               “เยี่ยมเลยอัคคี มิเสียแรงเป็นลูกของจอมโจรสมิงแห่งหุบผากาฬ”


               ฟ้าฟื้นเอ่ยด้วยความชื่นชมเมื่อเจ้าชายอินทัชเสด็จกลับไปแล้วและเพชรกล้าสั่งเลิกแถว อัคคีนึกเป็นห่วงฟ้าฟื้นอยู่ไม่น้อย


               “ข้าต้องไปเป็นองครักษ์แล้ว แต่ยังเป็นห่วงเจ้าหากต้องอยู่โดยไม่มีเพื่อน”


               “อย่าห่วงนักเลย”  ฟ้าฟื้นกล่าวตอบ ใบหน้าของเขาบอกถึงความกระดากอาย


               “ข้าจะไปอยู่บ้านท่านครูฝึก”


               อัคคีได้ยินดังนั้นจึงเลิกคิ้วด้วยความสงสัย แม้จะวางแผนกับเจ้าชายอินทัชแล้วว่าจะฝากฝังฟ้าฟื้นไว้กับเพชรกล้าแต่เขาก็ยัง

มิได้เอ่ยออกไป แล้วเหตุใดฟ้าฟื้นจึงพูดเช่นนั้นเหมือนกับรู้อยู่แล้ว


               “ทำไมถึงจะไปอยู่บ้านท่านครูฝึกได้ เจ้าไปสนิทสนมกับท่านครูฝึกตั้งแต่เมื่อใด”


               “ก็ เอ่อ ตั้งแต่เมื่อครั้งต่อสู้กันกลางป่าคราวนั้นนั่นแหละ”


               อัคคีหรี่ตามองเพื่อนสนิท ใบหน้าแดงก่ำมีพิรุธทำให้รู้ว่าฟ้าฟื้นเก็บงำความลับไว้ อัคคีนึกถึงใบหน้าเศร้าหมองของฟ้าฟื้นแล้ว

ก็เอะใจ


               “อย่าบอกนะ ว่าคนที่ทำให้เจ้าเป็นทุกข์ตั้งแต่วันนั้นคือท่านเพชรกล้า”


               ฟ้าฟื้นไม่ตอบ เขาได้แต่ยกมือลูบท้ายทอยและมีสีหน้าขัดเขินเป็นการยอมรับ อัคคีถึงกับหัวเราะชอบใจ


               “บุญแท้ นี่เจ้าต้องอดทนหลบหลีกท่านครูอยู่เป็นนานเพราะเรื่องนี้ ตอนนี้คงได้ปรับความเข้าใจกันแล้ว หน้าของเจ้าถึงได้

บานเป็นกระด้งตั้งแต่เมื่อเช้า ยินดีด้วยนะฟ้าฟื้น”


               “พูดมากน่าอัคคี  ข้าเองยังไม่รู้เลยว่าไปอยู่บ้านเขาแล้วจะเป็นเช่นไรบ้าง ในเมื่อข้ากับเขาช่างแตกต่างกันเหลือเกิน”


               ยังกังวลอยู่ไม่น้อยกับความห่างชั้นของฐานะ อัคคีได้แต่ตบบ่าเป็นกำลังใจให้ฟ้าฟื้น


               “อย่าคิดมาก ข้าเชื่อว่าคนอย่างท่านครูฝึกหากไม่จริงจังคงไม่รับเจ้าเข้าบ้านเช่นนี้ ไปเถอะ อย่าทำหน้างอเป็นตะบวย ไปซ้อม

ดาบกันดีกว่า”








               “อย่ารุ่มร่ามนักสิอัคคี อื้อ”


               ทรงทัดทานแต่ก็ไม่สำเร็จเมื่อได้อยู่เพียงลำพังในห้องโถงกว้างก่อนจะถึงห้องบรรทมของเจ้าชายอินทัช อัคคีดึงวรกายโปร่ง

เข้ามากอดและจูบหนักที่ปรางนวลเสียจนฉ่ำใจ เจ้าชายอินทัชได้แต่ปัดป้องเมื่อรู้สึกรำคาญกับหนวดเครารกครึ้มนั่น


               “เมื่อไหร่จะโกนหนวดเสียทีนะ”


               “ไม่ใช่ว่าเจ้าชอบหรอกเหรออินทัช ข้าได้ยินเสียงครางของเจ้าหวานนักยามหนวดเคราของข้ากระทบกายเจ้า”


               “บ้าแล้วอัคคี ชอบพูดลามกเสียจริง”


               พักตร์แดงก่ำแต่เจ้าชายอินทัชก็อดยอมรับไม่ได้ว่า ยามหนวดรกนั่นเสียดสีไปกับเนื้ออ่อนมันสร้างความรัญจวนได้ไม่น้อย


               “ทำเช่นไรได้เล่า ก็เจ้าอยากได้ผัวเป็นโจรป่า จะให้เรียบร้อยนุ่มนิ่มอย่างคนในวังเช่นเจ้าได้อย่างไร”


               คำกล่าวนั้นทำให้เจ้าชายอินทัชทรงชะงักไปชั่วครู่ ทรงเพ่งมองคู่แฝดของพระองค์พลางตรัสเสียงหนักแน่น


               “เจ้าต้องฝึกมารยาทชั้นสูงนะอัคคี”


               อัคคีสะดุ้งโหยง ดวงตาคมกระพริบตาปริบๆเมื่อสบตากับนัยน์ตาแสนหวาน หากแต่ความจริงจังที่เจ้าชายอินทัชทอดพระเนตร

ตอบทำให้อัคคีถึงกับยิ้มแหยด้วยความประหวั่นพรั่นพรึง


               “ส่งข้าไปสู้กับเสือสางเสียยังดีกว่าให้ข้าฝึกมารยาทขั้นสูงของเจ้า”


               ส่ายพักตร์อย่างระอาให้กับเจ้าชายที่กลายเป็นโจรป่า แต่เห็นสีหน้าของอัคคีแล้วเจ้าชายอินทัชก็อดขำไม่ได้


               “ทำไมทำหน้าเยี่ยงเราบังคับให้เจ้ากลืนยาขม แค่ฝึกมารยาทไม่เห็นจะยากเย็นตรงไหน ตอนต่อสู้ออกแรงยากเข็ญกว่านี้เจ้า

ยังทำได้ กับเพียงแค่ฝึกคำพูดจาให้เสนาะหูและทำตัวให้ห่ามน้อยลงใยถึงต้องเกรงนักเล่าอัคคี อย่าลืมสิว่าแท้แล้วเจ้าเองก็เป็นเจ้าชาย

องค์หนึ่ง เป็นโอรสแห่งเจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์และเจ้านางปะวะหล่ำแห่งรัตนปุระนครแห่งนี้”


               ความจริงแม้ว่าจะยังไม่กระจ่างแจ้งทำให้อัคคีต้องขบคิดอยู่ไม่น้อย เขานิ่งมองพักตร์งามของเจ้าชายอินทัชพร้อมกับใช้ปลาย

นิ้วเกลี่ยไล้ไปตามแก้มนวล


               “ข้าไม่ได้อยากเป็นเจ้าชาย ข้าแค่ต้องการหาความจริงและปลดปล่อยพ่อบัวให้พ้นจากความผิดที่ถูกกล่าวหา เพื่อว่าพ่อบัวจะ

ได้หลุดออกจากความโกรธแค้นชิงชังและมีความสุขกับชีวิตอย่างแท้จริง และอีกอย่างก็คือ...”


               อัคคีเกี่ยวเอวคอดเข้าหาตัว มือสากวางแนบไปกับปรางนุ่มมืออย่างจงใจ กลีบโอษฐ์นุ่มถูกลูบไล้ก่อนที่เขาจะคลอเคลียริม

ฝีปากของตนตามไปอย่างหลงใหล


               “...ขอแค่ได้อยู่กับเจ้า ข้าก็พอใจแล้ว”


               จุมพิตหวานกว่าที่เคยบ่งบอกถึงความในใจของอัคคีจนเจ้าชายอินทัชเองก็มิอาจปฏิเสธ ได้แต่ทรงเอียงพระศอรับริมฝีปากให้

กระชับแนบและเปิดทางให้อัคคีเข้าไปดื่มด่ำกับรสหวานของพระองค์ รสจูบพาให้ล่องลอยจนต่างก็สะดุ้งสุดตัวเมื่อได้ยินเสียงบานประตู

ทางเข้าถูกเปิดออกจนต้องรีบผละจากกัน เสียงเหล่านางกำนัลอ้อนแอ้นกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามาด้านในทำให้เจ้าชายอินทัชที่ยังหอบจาก

จุมพิตหนักหน่วงถึงกับต้องเบี่ยงกายหลบเพื่อมิให้ใครเห็นพิรุธ


               “ถึงเวลาสรงน้ำแล้วเพคะ”


               สตรีนางหนึ่งงดงามด้วยใบหน้าและอาภรณ์น้อยชิ้น ตรงเข้ามายอบตัวต่ำเบื้องหน้าเจ้าชายอินทัชก่อนจะค่อยๆเงยหน้าชม้าย

ตาให้อย่างมีจริต รอยยิ้มนั้นเผื่อแผ่ไปให้แก่ชายแปลกหน้าที่ยืนใกล้กับเจ้าชายสูงศักดิ์ด้วย


               “บอกกี่ครั้งแล้วว่าเราอาบน้ำเองเป็น”


               พักตร์งามที่หันกลับมาเมื่อควบคุมพระสติได้แล้วบึ้งตึงเมื่อกวาดพระเนตรมองเหล่า “นางเล็กๆ” ของพระมารดาที่ส่งมาดังเช่น

ทุกวัน หากแต่เจ้าชายอินทัชก็มิได้ทรงเสน่หาอย่างที่พระมารดาต้องการทั้งยังทรงเบื่อหน่ายอีกด้วย


              “แต่จะดีกว่ามากถ้าพวกเราช่วยให้พระองค์สุขสบายพระวรกายเพคะ”


              อีกนางหนึ่งไม่รั้งรอที่จะเดินนำเข้าไปห้องสรงด้านข้างอย่างว่องไวและเทน้ำอุ่นตีเกร็ดหอมลงไปในอ่างน้ำกว้างอย่างชำนาญ

ส่วนนางที่ยังอยู่ใกล้ชิดก็รีบปลดเปลื้องอาภรณ์ของเจ้าชายอินทัชออกก่อนจะรุนพระปฤษฏางค์ให้ก้าวไปยังอ่างสรงที่จัดเตรียม

พรักพร้อม


               “ลงไปสิเพคะเจ้าชาย พวกหม่อมฉันจะถวายการดูแล”


                ตลอดเวลาดังกล่าวอัคคีได้แต่ยืนกอดอกมองอย่างขำขันกับ “พิธี” อาบน้ำของคนในวัง ดวงตาคมพร่างพราวยามมองร่าง

เปลือยเปล่าก้าวลงไปในอ่างน้ำหอมกรุ่นด้วยพักตร์บึ้งตึง


              “เจ้า ออกไปก่อน”


               นางที่เป็นหัวหน้ากรีดนิ้วสั่งเมื่อเห็นอัคคีก้าวตามมายืนพิงกรอบประตูมองไม่ห่าง เจ้าชายอินทัชตวัดเนตรมองพลางย่นพระ

ขนงเมื่อเห็นท่าทางของนาง


              “เขาเป็นองครักษ์ของเราชื่ออัคคี ตั้งแต่นี้ต่อไปเขาจะต้องอยู่ใกล้เราเสมอ”


             คำว่า “องครักษ์” ทำให้สายตาของเหล่าหญิงงามถึงกับแปรเปลี่ยน ร่างกายกำยำด้วยวัยหนุ่มทำให้ต้องลอบกลืนน้ำลายกันอยู่

ไม่น้อยแม้ว่าจะนั่งอยู่ริมอ่างสรงและเอนกายกันลงมาใช้ผ้าผืนนุ่มขัดสีฉวีวรรณให้กับเจ้าชายแห่งรัตนปุระนคร หากแต่สายตาก็

ฉวัดเฉวียนให้แก่ราชองครักษ์คนใหม่จนเจ้าชายอินทัชชักจะหงุดหงิดพระทัย

             ยิ่งเห็นสายตาของอัคคีที่กำลังกวาดมองสาวงามแต่ละคนพร้อมรอยยิ้มกริ่มบนใบหน้าแม้ว่าจะยืนนิ่งเป็นหุ่นปั้นอยู่ที่เดิม ยิ่ง

ทำให้แม่พวกสาวๆถึงกับหัวเราะคิกคักเจ้าชายอินทัชก็หมดความอดทน


                 “ออกไปให้หมดทุกคน!”




มีต่ออีกนิด...


หัวข้อ: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >>บทที่22 Twincest กลับมาแล้วจ้า 7/6/59
เริ่มหัวข้อโดย: Belove ที่ 07-06-2016 14:58:38


ต่อกันตรงนี้...




              สะดุ้งเฮือกกันถ้วนหน้าจนพากันสีหน้าเลิ่กลั่กกับพระอารมณ์เสียที่ไม่เคยพบเจอมาก่อน นางหัวหน้ายิ้มแห้งเมื่อกล่าวอย่างอก

สั่นขวัญแขวน


               “พวกหม่อมฉันล่วงเกินสิ่งใดให้ขุ่นข้องพระทัยเพคะ”


               “ไม่รู้ ไม่ต้องถาม หงุดหงิดเข้าใจไหม ออกไปกันให้หมด น้ำนี่ก็จะอาบเอง ออกไป!”


               คำสุดท้ายห้วนจัดจนต้องลนลานคลานเข่ากันออกไปแทบไม่ทัน เหลือเพียงราชองครักษ์คนใหม่ที่เลิกคิ้วมองอย่างสงสัยใน

ห้องสรง อัคคีก้าวไปยังขอบอ่างสรงและเชยคางมนที่ยังบึ้งตึงใส่เขา


             “เป็นอะไรอินทัช หงุดหงิดเรื่องอะไรกันถึงโวยวายจนแม่พวกสาวๆตกใจ”


             เจ้าชายอินทัชทรงปัดมือของอัคคีออกแล้วสะบัดหน้าหนี


              “ทำไม ชอบมากหรือไงพวกสาวๆนุ่งน้อยห่มน้อย ยืนมองตาเป็นมันไม่หลบเลี่ยงเช่นนั้น เราจะหาให้เจ้าสักสิบคนดีไหมอัคคี”


             อ้อ ทรงหึง

             อัคคีแทบกลั้นหัวเราะไม่อยู่


             เขาหย่อนกายลงไปในอ่างสรงโดยไม่สนใจว่าชุดทหารของเขาจะเปียกปอนน้ำในอ่าง และนั่งลงเผชิญหน้ากับเจ้าชายอินทัชที่

ยังไม่หายหงุดหงิด


                "ลงมาทำไม ตามแม่พวกนั้นไปสิ”


                “ใครจะกล้า เมียดุอย่างกับเสือ”


หัวเราะเบาๆก่อนจะดึงกายหอมกรุ่นเขามาแนบข้างทั้งที่เจ้าชายอินทัชยังคงขัดขืนผลักไส แต่อัคคีก็หยุดยั้งพระหัตถ์ทั้งสองไว้ได้ด้วยมือ

เดียว ร่างแกร่งโอบรัดจนดิ้นไม่หลุดและในที่สุดเจ้าชายอินทัชก็ต้องยอดนิ่งอยู่ในอ้อมกอดแน่นหนาและปล่อยให้อัคคึซุกหน้าลงกับซอก

พระศอนุ่มลื่น


                   “ก็เจ้ามองพวกนั้นอย่างกับจะกลืนลงคอ”


สะบัดเสียงใส่แม้ว่าจะยอมให้อัคคีลูบคลำวรกายเปลือยเปล่าให้ทั่ว ทรงเริ่มหอบเพราะจุดอ่อนไหวตกอยู่ในกำมือสากใต้น้ำอุ่น


               “มองอย่างเดียว รักเมีย หลงเมีย ไม่กล้ายุ่งกับใครหรอก เชื่อข้านะเมียจ๋า”


               “บ้าจริง ใครเมียเจ้า”


               “จนถึงตอนนี้ยังไม่รับอีก หรือจะให้ข้าไปหาแม่พวกสาวๆจริงๆหือ อินทัช”


หยอกเย้าพร้อมกับนวดเฟ้นกายล่างจุดไฟร้อนในอ่างน้ำ เจ้าชายอินทัชยกหัตถ์ทั้งสองรั้งต้นคอของอัคคีก่อนจะมองด้วยพระเนตรฉ่ำ


                    “ลองดูสิ เราจะสั่งกุดหัวทุกคน”


หัตถ์นุ่มเลื่อนมือถอดชุดทหารของอัคคีออกอย่างเร่งร้อน เพียงไม่นานจึงเหลือเพียงเนื้อแนบชิดเบียดกายอยู่ในอ่างน้ำหอม ทรงโอบรัด

อัคคีไว้ยามที่เขาลงลิ้นที่ยอดอกแสนสวยพลางขยับพระโสณีให้กว้างเปิดทางให้อัคคีที่เต็มไปด้วยความต้องการดันเอวเข้าหาอย่าง

ชำนาญ


                “อื้อ เบาๆ”


ประท้วงเมื่ออัคคีไม่รอให้ได้พัก สายน้ำช่วยให้อัคคีสอดกายได้ลึกซึ้ง ทรงหอบหนักเมื่อขยับกายคร่อมเอวหนาของอัคคีและกอดก่าย

ปล่อยให้อัคคีขบเม้มไปตามวรกายตามใจชอบ


             “ไหนว่ามารยาทขั้นสูง”


                 อัคคียิ้มแย้มหยอกเย้าก่อนจะขบเม้มกลีบปากสีแดงเรื่อ


                “เจ้าชายกลับกลายร่างเป็นเสือขู่แว้ดเพราะหึงผัว”


                “อยากตายหรือไง”


                 “โอ๊ะ อินทัช”


               อัคคีเผลอร้องเมื่อช่องทางถูกตอดรัดไม่ทันตั้งตัวเพราะเจ้าชายอินทัชทรงกลั่นแกล้ง เขาเกือบจะแตะฝั่งเสียแล้ว


               “ร้ายเหลือเกินเมียข้า”


               “ต่อไปจะกล้ามองคนอื่นอีกไหม”


               ตรัสเสียงดุข่มขู่พลางมองอย่างคาดโทษจนอัคคียิ้มเจื่อน


               “ไม่กล้าแล้วพะย่ะค่ะเจ้าชาย โปรดไว้ชีวิตหม่อมฉันด้วย”


               “ดีมาก ให้รู้บ้างว่าใครเป็นใคร แล้วนี่จะช้าอยู่ใย เราหนาวเนื้อตัวสั่นแล้วเห็นหรือไม่อัคคี”


                 “ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม” อัคคีหัวเราะชอบใจ


                 “หม่อมฉันจะถวายความอบอุ่นบัดเดี๋ยวนี้”


รั้งเอวบางเข้าหา อัคคีดันร่างลึกสุดทางแล้วขยับวนท่อนเนื้อให้หมุนคว้างเสียดสีเนื้ออ่อนด้านในจนเจ้าชายผวาด้วยความกระสัน เสียงลม

หายใจหอบหนักประสานเมื่อพากันขยับจนน้ำในอ่างสรงกระฉอกเลอะเทอะ หากแต่หยุดยั้งความปรารถนาในกายซึ่งกันไม่ได้เลย


             “อัคคี เสียวมาก แรงๆเลย”


             “อา เมียข้า ตอดเช่นนั้น เอาอีก ดีเหลือเกิน”


ราวกับจูงมือกันอยู่ในสวนดอกไม้และสูงขึ้นไปเหนือจากนั้น เจ้าชายอินทัชพริ้มเนตรเมื่ออัคคีพาพระองค์ล่องลอยไปตามสายรุ้งงดงาม

ก่อนจะกอดรัดแน่นหนากันอยู่ในอ่างสรงที่เหลือน้ำไม่ถึงครึ่ง และยังไม่ทันจะหายเหนื่อย อัคคีก็โอบกอดพระวรกายไว้แน่นหนาและลุก

ขึ้นยืนทั้งที่ยังเชื่อมกายกันอยู่ เจ้าชายอินทัชเงยพักตร์อย่างตกพระทัย


              “อึก อื้อ อะไรอัคคี”


              อัคคีกระชับวงแขนพลางกระแทกเอวซ้ำดึงดันให้ลึกจนสุดโคน


              “ข้าก็จะพาเจ้าไปเช็ดตัวให้อุ่นบนเตียง เจ้าจะได้ไม่หนาว ดีไหมอินทัช”


                “อัคคี อื้อ”


หมดแรงห้ามปรามเมื่ออัคคีก้าวลิ่วราวกับกายของเจ้าชายเบาราวหมอนสักใบตรงไปยังห้องบรรทมและทิ้งกายที่ยังเปียกชื้นทั้งคู่ลงไปบน

เตียงกว้าง อัคคีขยับท่อนขาเรียวแยกออกและโยกเอวเข้าใส่อีกครั้งเมื่อระหว่างทางเดินช่างกระตุ้นให้ความต้องการบังเกิด


                “หวานเหลือเกิน เช่นนี้ข้าจะมีปัญญามองใครได้อีกเล่า”


พึมพำอยู่บนเนื้อกายขาวผ่องที่แอ่นรับให้เชยชมสมใจ เจ้าชายอินทัชมองกลับด้วยพระเนตรแดงฉ่ำ ทรงยกพระโสณีรับแรงทุกหยาดหยด

เมื่อไฟปรารถนาคุโชน


             “อัคคี อา เรารักเจ้า”
   เผยความนัยของหัวใจอย่างกลั้นไม่อยู่ พร้อมกับปล่อยพระทัยให้อัคคีจับจูงไปสู่สรวงสวรรค์บนดินอีกครั้ง


                                       TBC


                         กลับมาแล้ว ยังรักกันอยู่ไหม คิดถึงกันบ้างไหม ^^                                            :กอด1: :กอด1: 








   
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >>บทที่22 Twincest กลับมาแล้วจ้า 7/6/59
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 07-06-2016 15:17:13
ฟินพะยะค่ะ.  o13
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >>บทที่22 Twincest กลับมาแล้วจ้า 7/6/59
เริ่มหัวข้อโดย: Alinrat ที่ 07-06-2016 18:04:53
หายไปเสียนานเป็นแรมเดือน ได้ฤกษ์ดีกลับมาแล้วนะเพคะ  :-[
EP 22 ทำคนอ่านฟินเหลือเกิน รีบมาต่ออีกนะเพคะ  :mew1:
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >>บทที่22 Twincest กลับมาแล้วจ้า 7/6/59
เริ่มหัวข้อโดย: nunda ที่ 07-06-2016 19:24:23
โอยยยยยย คิดถึงค่ะ
คิดถึงคนเขียน คิดถึงเจ้าชายแฝด
ตอนนี้ฟินมากกกก
แต่กลัวมาม่าจัง
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >>บทที่22 Twincest กลับมาแล้วจ้า 7/6/59
เริ่มหัวข้อโดย: kms ที่ 07-06-2016 23:53:18
คิดถึงเหมือนเดิมมมมมมมมม
คิดถึงฟ้าฟื้นกับเพชรกล้ามากกกกกกก
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >>บทที่22 Twincest กลับมาแล้วจ้า 7/6/59
เริ่มหัวข้อโดย: Silvan ที่ 08-06-2016 12:50:58
เป็นไงล่ะรู้ฤทธิ์อินทัชแล้วสิอัคคี

ขี้หึงประดุตนางเสือเลยย555

อนาคตอัคคีจะกลัวเมียไหมนี่
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >>บทที่22 Twincest กลับมาแล้วจ้า 7/6/59
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 08-06-2016 14:21:56
หึงได้น่ารักเสียจริงเจ้าชาย~
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >>บทที่22 Twincest กลับมาแล้วจ้า 7/6/59
เริ่มหัวข้อโดย: Apple_matinie ที่ 08-06-2016 14:37:31
 :mew4:
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >>บทที่22 Twincest กลับมาแล้วจ้า 7/6/59
เริ่มหัวข้อโดย: kun ที่ 09-06-2016 11:05:32
กลับมาพร้อมความฟินเลือดสาดเกินบรรยาย สลบก่อน อิอิ
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >>บทที่22 Twincest กลับมาแล้วจ้า 7/6/59
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 09-06-2016 20:55:52
 :pig4: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >>บทที่22 Twincest กลับมาแล้วจ้า 7/6/59
เริ่มหัวข้อโดย: iNcamisang ที่ 09-06-2016 23:16:48
เย่ๆๆ กลับมาแล้ว คิดถึงจังเล้ยยย
มาถึงก็จัดหนักจัดเต็มเชียวนะพะยะค่ะ  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >>บทที่22 Twincest กลับมาแล้วจ้า 7/6/59
เริ่มหัวข้อโดย: kms ที่ 10-06-2016 01:53:53
รอฟ้าฟื้นนนนนนนนนกับพ่อบัววววววว
หัวข้อ: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >>บทที่23 พีเรียด โจรป่ากับเจ้าชาย 14/6/59
เริ่มหัวข้อโดย: Belove ที่ 14-06-2016 00:09:08


                                                   บัลลังก์รักใต้เงาแค้น

                                                           บทที่  23



               “ไหนลองปูที่นอนให้แม่ดูที พ่อฟ้าฟื้น”


               ร่างสูงของเพชรกล้าได้แต่ยืนมองอย่างเอาใจช่วยอยู่เบื้องหลังของสตรีร่างเล็ก แม้แผ่นหลังจะเริ่มค้อมลงด้วยวัยชราแต่คุณ

หญิงเพทายยังมีบุคลิกเข้มแข็ง เฉียบขาดด้วยเป็นทั้งเมียของนายทหารและแม่ของราชองครักษ์ สร้างความยำเกรงให้แก่สมาชิกใหม่

ของบ้านอย่างฟ้าฟื้นไม่น้อย


               “ข้า เอ๊ย กระผมไม่เคยปูผ้าเช่นนี้บนฟูกขอรับ คุณหญิงแม่”


               “ไม่เคยก็ต้องฝึก” คุณหญิงเพทายสีหน้าขึงขังจนฟ้าฟื้นแทบจะร้องไห้


               “ในเมื่อจะมาเป็นเมียพ่อเพชรแล้ว พ่อฟ้าก็ต้องฝึกปฏิบัติอย่างคนเป็นเมียปรนนิบัติผัว”


               “แต่ว่า...”


               “ไม่ต้องแต่ แม่บอกให้ทำก็ทำ”


               คำสั่งเป็นเด็ดขาดจากสตรีเพียงนางเดียวแต่ไม่มีใครกล้าขัด ฟ้าฟื้นได้แต่ชายตาไปยังเพชรกล้าที่มองอย่างให้กำลังใจก่อนที่

เขาจะลุกจากพื้นไม้ขัดมันปลาบขึ้นมาแล้วนำผ้าปูที่นอนสีขาวมาปูลงไปบนฟูกที่ยัดด้วยนุ่นอย่างทุลักทุเล


               “อะไร้ ทำไมมันยับย่นเช่นนี้”


               เสียงบ่นดังขึ้นทันทีเมื่อคุณหญิงเพทายตรงเข้ามาตรวจงาน


               “แล้วคนนอนจะนอนได้สบายอย่างไรกันเล่าพ่อฟ้า ไหนลองปูอีกครั้งให้แม่ชมเป็นขวัญตาเถอะพ่อ”


               ฟ้าฟื้นอยากจะร้องไห้เหลือเกิน แต่เมื่อเห็นสีหน้าจริงจังของคุณหญิงเพทายแล้วเขาจำเป็นต้องตรงเข้าไปดึงชายผ้าเหน็บ

เข้าไปใต้ฟูกหนาอีกครั้งพร้อมกับสายตาเข้มงวดของคุณหญิงเพทาย


               “ก็ยังไม่ดีนัก ดูตรงมุมนี้สิ พ่อฟ้า...”


               “แม่จ๋า”


               เสียงเพชรกล้าดังขัดจังหวะมารดาที่กำลังจะเริ่มสั่งสอนฟ้าฟื้นอีกครั้ง นึกขำใบหน้าของฟ้าฟื้นที่กำลังเหยเกเต็มที เพชรกล้า

ก้าวไปหาและเอื้อมมือเกาะต้นแขนมารดาอย่างประจบ


               “ฟ้าฟื้นไม่เคยทำงานเช่นนี้มาก่อน ได้แค่นี้ก็ดีมากแล้ว แม่ค่อยสอนฟ้าฟื้นวันอื่นนะแม่ วันนี้ลูกเหนื่อยเหลือเกินอยากเอนหลัง

เต็มที”


               คุณหญิงเพทายค้อนขวับเมื่อได้ยินคำพูดของบุตรชายเพียงคนเดียว


               “ไม่ทันไรก็พูดจาเอาใจเมียเสียแล้วพ่อเพชร ที่แม่ต้องฝึกพ่อฟ้าก็เพื่อให้ดูแลพ่อเพชรให้สุขสบาย แต่ เอาเถอะ เห็นแก่พ่อ

เพชรที่ทำงานเหน็ดเหนื่อยแม่จะพอแค่นี้ แต่ว่าพ่อฟ้า...”


               ฟ้าฟื้นถึงกับสะดุ้งเฮือกเมื่อคุณหญิงเพทายหันขวับมาหา


               “ขอรับ คุณหญิงแม่”


               “รุ่งเช้าตื่นนอนแล้วไปหาแม่ แม่จะสอนการจัดสำรับเช้า อย่าลืมจนนอนเพลินล่ะ”


               ทันทีที่คุณหญิงเพทายเดินลับสายตาออกไปตามด้วยเพชรกล้าที่ตามไปปิดประตูฟ้าฟื้นก็ถอนหายใจยาวอย่างโล่งอกจน

เพชรกล้าที่เดินกลับมาถึงกับยิ้มขำ


               “แม่ของพี่โหดร้ายปานนั้นเลยรึ”


               “พี่เพชรลองมาปูผ้าเช่นนี้ดูบ้างไหม”


               หน้าง้ำลงอย่างหมั่นไส้พลางทิ้งกายลงนั่งที่ปลายเตียง เพชรกล้าตรงเข้ามานั่งเคียงข้างและมองฟ้าฟี้นอย่างเอ็นดู


               “ไม่เอาน่า อย่าทำหน้าบึ้งตึงเช่นนั้น พี่ไม่ชอบ”


               เลื่อนมือโอบเอวพลางเชยคางให้ฟ้าฟื้นหันหน้ามาหา ปลายนิ้วสากนวดเฟ้นกรอบหน้าเบามือ


               “พี่อยากเห็นเจ้ายิ้มหวานๆให้ยามพี่กลับจากทำงานมาเหนื่อยๆได้ไหมฟ้าฟื้น”


               ฟ้าฟื้นเหยียดริมฝีปากออกทันทีอย่างประชดประชันจนเพชรกล้าต้องส่ายหน้าอย่างระอา


               “เช่นนี้เขาเรียกแยกเขี้ยวมิใช่ยิ้ม ให้โอกาสอีกครั้ง เร็วเข้าฟ้าฟื้น”


               เพราะสายตาคมที่มองนั่นเองที่ทำให้ฟ้าฟื้นยอมยิ้มได้ เพชรกล้าที่รออยู่แล้วจึงรีบกดริมฝีปากเข้าหาอย่างรวดเร็ว มือที่โอบ

เอวอยู่เดิมออกแรงรั้งกายให้ฟ้าฟื้นหงายหลังลงไปบนฟูกนุ่มตามด้วยกายแกร่งของเพชรกล้าที่โถมทับลงไปทันที


               “อื้อ พี่เพชร ไหนว่าเหนื่อย อยากเอนหลัง”


               “ก็นี่เช่นไร เอนหลังลงไปบนฟูกนุ่มอย่างตัวเจ้า”


               พึมพำอยู่กับกายในวัยหนุ่มของฟ้าฟื้น กลิ่นหนุ่มยั่วจมูกจนต้องเร่งซุกหน้าเข้าหาพลางสาละวนถอดเสื้อผ้าออกจนต่างไม่

เหลือติดตัว


               “เห็นข้าเป็นที่นอนงั้นหรือ เดี๋ยวเถอะ”


               ฟ้าฟื้นขู่ฟอดแต่มีหรือที่เพชรกล้าจะกลัว เขาฟอนเฟ้นเนื้อตัวของฟ้าฟื้นจนอ่อนระทวยไปทั้งตัว


               “จำคำคุณหญิงแม่ไม่ได้รึฟ้าฟื้น เป็นเมียต้องปรนนิบัติผัว แล้วจะมีเรื่องใดที่เจ้าจะปรนนิบัติข้าได้ดีกว่าเรื่องนี้อีกเล่า”


               น้ำเสียงออดอ้อนเว้าวอนจนฟ้าฟื้นใจอ่อน ใบหน้าอ่อนเยาว์แดงจัดด้วยความต้องการที่กระพือขึ้นมาจากการปลุกของเพชร

กล้า ฟ้าฟื้นออกแรงผลักให้เพชรกล้าขยับหงายอยู่กลางเตียงอวดท่อนลำแข็งแรงเป็นเส้นตรงอยู่เบื้องหน้า และเพราะเจียมตนดีว่าหาได้

มีดีจะเทียบเคียงเพชรกล้า แต่เพราะหัวใจรักจึงอยากจะมอบความสุขให้และเป็นเช่นดังที่เพชรกล้ากล่าว สิ่งที่ฟ้าฟื้นจะทำได้คงมีเพียง

ไม่กี่สิ่งอย่างเท่านั้น


               ขยับกายขึ้นคร่อมอยู่เหนือแก่นกายแข็งแกร่ง ฟ้าฟื้นหันหลังให้กับเพชรกล้าพลางเปิดทางรับให้เพชรกล้าแทรกกายเข้าหา

ความอุ่นร้อนกระทบภายในจนสั่นสะท้านกว่าที่ฟ้าฟื้นจะกดเอวลงไปกระทั่งนั่งทับไปกับท่อนขาที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามได้


               “โอ ดีเหลือเกินฟ้าของพี่”


               หน้าคมแหงนเงยเป่าปากระบายความรู้สึก ช่องทางร้อนตอดรัดเร่งเร้าความต้องการจนหน้ามืด เพชรกล้ากัดฟันผงกศีรษะมอง

แผ่นหลังเนียนยามขยับขับเคลื่อนอยู่บนเอวของเขา ฟ้าฟื้นเหลียวหลังมองสบตาฉ่ำปรือด้วยความปรารถนาไม่ต่างกัน


               “โยกเลยเมียรัก ได้ดั่งใจเหลือเกิน”


               ครางต่ำต่อเนื่อง เพชรกล้าขยับคว้าสะโพกหนั่นแน่นแล้วบีบเค้นสนุกมือ เขาสวนเอวเข้าหาเรียกเสียงผวาได้จากคนคุม

บังเหียน เพชรกล้ายกเอวฟ้าฟื้นกระแทกกลับลงมายามที่เขาดันเอวเข้าไป


               “อื้อ พี่เพชร”


               ใบหน้าเหยเกตามแรงอารมณ์ ฟ้าฟื้นเหยียดกายบิดเร่าพลางใช้มือทั้งสองลูบไล้ตนเองด้วยความเสียวซ่าน มือเรียวคว้าท่อน

เนื้อตนเองรูดรั้งไปพร้อมกับเร่งเอวขึ้นลงอยู่บนร่างแกร่งที่ไม่ยอมอยู่นิ่ง ความคับแน่นร้อนรนภายในจนกล้ามเนื้อบีบรัดน้ำคาวขุ่นพุ่งพรวด

เต็มกำมือ


               “อ๊า พี่เพชร”


               ครวญหวานยาวพร้อมกับความสุขสมนำหน้า เพชรกล้ากัดฟันจับเอวคอดไว้มั่นพลางขยับถี่ยิบ และเพียงเสี้ยวอึดใจเขาก็ถึงฝั่ง

ฝันอยู่เต็มช่องทางคับแคบจนมันรินไหลลงมาตามต้นขาของฟ้าฟื้นที่ยังหอบหนัก ฟ้าฟื้นทิ้งกายหงายหลังลงมานอนแผ่อยู่บนลำตัวของ

เพชรกล้าเนื้อตัวเหนียวหนับ


               “ความจริง ท่านแม่ไม่จำเป็นต้องสอนเจ้าปูผ้าบนฟูกก็ได้นะ”


               เพชรกล้ากระซิบเสียงกระเส่าพลางสอดแขนโอบเอวฟ้าฟื้นไว้ก่อนจะพลิกกายกลับให้ฟ้าฟื้นต้องอยู่ด้านล่างบ้าง


               “เพราะถึงจะปูตึงเช่นไร มันก็ต้องยับย่นเพราะบทรักของข้ากับเจ้าอยู่ดี”
               





               อัคคีกำลังควบคุมจิตใจตนเองมิให้ตื่นเต้นเมื่อเขาเดินตัวตรงติดตามอยู่เบื้องหลังของเจ้าชายอินทัชธราธิปรัชทายาทแห่งรัตน

ปุระนคร อัคคีย้ำให้เขารู้ตัวอยู่เสมอว่าบัดนี้เขากำลังปฏิบัติหน้าที่ราชองครักษ์

               ร่างสูงอยู่ในชุดนายทหารทำให้เขาสง่างามไม่แพ้บุรุษอื่น แม้จะยังไม่ถึงกับโกนหนวดเคราเกลี้ยงเกลา หากแต่เพราะแต่งเล็ม

จนเข้ารูปเข้ารอยก็ยิ่งทำให้อัคคีกลายเป็นบุรุษหนุ่มน่ายำเกรง เข็มกลัดแห่งราชองครักษ์เด่นชัดอยู่ที่หน้าอกด้านซ้ายทำให้เขาภาคภูมิใจ

เป็นอย่างยิ่งยามเหล่าข้าราชบริพารโค้งคำนับเมื่อเจ้าชายอินทัชก้าวพระบาทผ่าน

                เดินตัวตรงสง่าผ่าเผยหากแต่สายตาก็ยังไม่วายลอบมองความงดงามของสถานที่แปลกตา ส่วนในของราชวังงดงามยิ่งกว่าที่

คาด เจ้าชายอินทัชกำลังเดินนำเขาผ่านทางเดินกว้างที่ฝั่งหนึ่งเป็นช่องกระจกโค้งมนตกแต่งด้วยผ้าม่านหนาสีฟ้าเข้มขอบทองมัดรวบ

ด้วยเชือกเกลียวสีทองเช่นกัน ระหว่างช่องลมมีดโคมแก้วอัจกลับลายกนกงดงาม ส่วนอีกด้านเป็นกำแพงประดับประดาด้วยภาพวาด

เหมือนบุคคลเรียงรายตลอดทางเดิน


               “ภาพวาดเหล่านี้คืออดีตบรมมหากษัตริย์ที่เป็นบรรพบุรุษของเรา”


               เสียงกล่าวดังแว่วมาจากร่างโปร่งที่ทอดพระบาทนำอยู่เบื้องหน้า อัคคีใช้หางตาเหลือบมองภาพวาดเหล่านั้นด้วยความตื้นตัน

รู้ดีว่าเจ้าชายอินทัชต้องการบอกสิ่งใดกับเขา คำว่า “เรา” มิเพียงหมายถึงผู้ที่เอ่ยคำออกมา หากแต่รวมถึง “เขา” เข้าไปด้วย

               ก้าวตามเจ้าชายอินทัชอย่างไม่รู้จุดหมายจนกระทั่งหยุดยืนอยู่หน้าบานประตูหนาหนักที่มีราชองครักษ์ยืนนิ่งอยู่ด้านหน้า รอ

จนได้รับคำขานพระนามเจ้าชายอินทัชธราธิปบานประตูจึงเปิดออกให้เจ้าของพระนามเดินเข้าไป

               อัคคีหยุดยืนอยู่หน้าห้อง แม้จะไม่คุ้นเคยกับขนบธรรมเนียมในวังหลวงแต่เขาก็พอจะเดาได้ว่าบุคคลที่อยู่ภายในต้องมีความ

สำคัญมาก เขาจึงไม่กล้าผลีผลาม หากแต่เจ้าชายอินทัชกลับหันมาและพยักหน้าให้เขา


                “ตามเข้ามาเถิดอัคคี”


               นั่นเองจึงทำให้อัคคีกล้าจะเดินตามเข้าไป เขาลอบกวาดสายตาอย่างรวดเร็วจึงเห็นเป็นห้องโถงกว้างและมีเก้าอี้เบาะหนัง

ยาวตั้งอยู่ทั้งสองฝั่ง ทั้งห้องตกแต่งด้วยเครื่องเงินเครื่องทองอันเป็นสัญลักษณ์ของรัตนปุระนครจนลานตาไปหมดและมีบานประตูอยู่ตรง

ข้ามกับที่เขาเพิ่งจะก้าวผ่านมา


               “ห้องนี้เรียกว่าห้องรอเฝ้า”


               ตรัสเล่าให้ฟังเสียงเรียบหากแต่พระเนตรหวานมองอย่างให้กำลังใจ เพียงชั่วอึดใจบานประตูอีกฝั่งจึงเปิดออกก่อนปรากฏกาย

บุรุษสูงสง่าก้าวออกมา ใบหน้าขรึมและปลายผมสีดอกเลาช่างคล้ายคลึงกับเจ้าชายอินทัช ทำให้อัคคีรู้ทันทีว่าเขาคือใคร


               “ขอเดชะพระอาญามิพ้นเกล้า”


               อัคคีโค้งคำนับจนคางเกือบชิดอกทั้งที่เขาอยากจะมองพระพักตร์นั้นเหลือเกิน น้ำตารื้นจนเขาต้องกัดฟันไว้แน่นเพื่อข่มความ

ตื้นตันที่พรูขึ้นมาในความรู้สึก


               “เงยหน้าขึ้นเถิดอัคคี”


               สุรเสียงเจ้าชายอินทัชแว่วเข้าหูให้เขาได้กลับมายืนตัวตรง อดไม่ได้ที่จะฟังการสนทนาที่เกิดขึ้น


               “อินทัช พ่อไม่เห็นหน้าเจ้าเสียนาน สบายดีใช่ไหม”


               เป็นเพราะศึกกับอุดรรังษีประชิดเมืองลูกหลวงเข้ามาทุกที ทำให้เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ศตรัศม์ทรงออกบัญชาการรบด้วยองค์เอง

นานๆถึงจะเสด็จกลับเข้ามาในพระราชวัง ความวิตกกังวลฉายชัดอยู่บนพระพักตร์จนเจ้าชายอินทัชพระทัยหาย


               “ลูกสบายดีพะย่ะค่ะพระบิดา ห่วงก็แต่พระบิดาที่กรำงานหนัก ลูกอยากจะช่วยพระบิดาเหลือเกิน”


               เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ทรงแย้มสรวลได้แม้จะยังเคร่งเครียด ทรงวางพระหัตถ์ลงบนพระอังสะของราชโอรส


               “แค่ได้ข่าวว่าลูกพ่อขยันศึกษาตำราและฝึกปรือการต่อสู้พ่อก็ดีใจมากแล้ว ยังไม่จำเป็นต้องถึงมือเจ้าหรอกอินทัช แล้วนี่พา

ใครมาหาพ่อ”


               เจ้าชายอินทัชแย้มสรวลน่าเอ็นดูยามอยู่กับพระบิดา ทรงขยับวรกายมาทางอัคคีแล้วเอ่ยออกไปทันที


               “องครักษ์คนใหม่ของลูกพะย่ะค่ะ”


               “ได้ข่าวเหมือนกันว่าลูกคัดเลือกองครักษ์ใหม่แทนเพชรกล้า ที่แท้คือเจ้าหนุ่มคนนี้งั้นรึ ไหนแนะนำตัวให้รู้จักหน่อยสิ”


               “พระอาญามิพ้นเกล้า หม่อมฉันนามว่าอัคคีพะย่ะค่ะ”


               น้ำเสียงเข้มแข็งนั้นเรียกความสนพระทัยจากเจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ได้เป็นอย่างดี สะดุดเนตรเหลือเกินกับร่างสูงเทียบเท่า

พระองค์ กรอบหน้าเต็มไปด้วยหนวดเคราครึ้ม ทรงก้าวพระบาทเข้าไปหยุดอยู่ตรงหน้าสบเนตรกับดวงตาคมที่มีเพียงข้างเดียว ส่วนอีก

ข้างถูกบดบังด้วยผ้าคาดตาสีดำมอ หากแต่ดวงตาเพียงข้างเดียวกลับรู้สึกคุ้นเคยแต่ทรงคิดไม่ออกว่าเคยเห็นที่ใด


               “เหตุใดดวงตาของเจ้าจึงเหลือเพียงข้างเดียว”


               มีพระราชปุจฉาในสิ่งที่สงสัย อัคคีกลืนน้ำลายลงคอเพื่อให้เขาตอบกลับได้ด้วยน้ำเสียงปกติที่สุด


               “หม่อมฉันพลัดตกเหวตั้งแต่เมื่อครั้งแรกเกิด จึงเสียดวงตาไปตั้งแต่บัดนั้นพะย่ะค่ะ”


               พลัดตกเหว!

               สะเทือนพระทัยจนต้องถอนพระอัสสาสะ เมื่อกระหวัดคิดถึงความสูญเสียที่กลายเป็นบาดแผลในพระทัยจนกระทั่งทุกวันนี้

เมื่อได้รับรายงานจากผู้ที่ติดตามพระมาตุลาไปว่าพลัดตกหุบเหวสูงไปทั้งพระราชโอรสอีกองค์หนึ่งซึ่งยังไม่ได้ทอดพระเนตรเสียด้วยซ้ำ


               “ก็ยังโชคดีที่รอดชีวิตมาได้ ชื่ออะไรนะ อัคคีใช่ไหม”


               เจ้าฟ้าแห่งรัตนปุระนครทรงจ้องลึกเข้าไปในดวงตาเพียงข้างเดียวนั้น และสายตาที่อีกฝ่ายจ้องตอบช่างชวนให้นึกถึงดวงตา

ของใครบางคนที่ยังอยู่ในพระทัยไม่ว่าเวลาจะผันผ่านไปเท่าใดก็ตาม


               “โกมุท”


               เพียงแผ่วเบาที่ตรัสอย่างเผลอไผลก่อนที่เสียงจากราชองครักษ์ด้านนอกจะเอ่ยคำขานพระนามออกมา


               “เจ้านางปะวะหล่ำเสด็จ”


               ไม่ทันที่ราชองครักษ์จะผลักประตู บานประตูกลับถูกเปิดออกเพราะความพระทัยร้อน เจ้านางปะวะหล่ำทรงย่ำพระบาทเข้ามา

หยุดยอบองค์ทำความเคารพตามขั้นตอนแล้วจึงทอดพระเนตรพระสวามีอย่างไม่พอพระทัย


               “เหตุใดทรงลดเบี้ยหวัดของหม่อมฉันเพคะ”


               “ปะวะหล่ำ”


               “ทรงรู้อยู่แล้ว ว่าค่าใช้จ่ายของหม่อมฉันมีมาก แต่ก็ทรงกล้าลดทอนลง นี่พระองค์ยังเห็นหม่อมฉันเป็นชายาอยู่หรือเปล่า”


               “หยุดนะ ปะวะหล่ำ!”


               ตรัสเสียงเครียดเข้มต่ำลึกในพระศอ ทรงอับอายคนภายนอกเช่นอัคคีเหลือเกินที่ต้องมาเห็นสิ่งที่ไม่ควรเห็น เจ้าชายอินทัช

เองก็ยั้งพระมารดาไว้ไม่ทัน


               “ก็เพราะเรายังเห็นว่าเจ้าเป็นชายาเราถึงได้ลดเบี้ยหวัดของเจ้า ในยามหน้าสิ่วหน้าขวานบ้านเมืองระส่ำระสายด้วยศึกจาก

ภายนอก เจ้านางแห่งเมืองสมควรแล้วหรือที่จะใช้ทรัพย์สินเพื่อความพอใจของตนเพียงผู้เดียว”


               “พระองค์!”


               “พระมารดา”


               เจ้าชายอินทัชขยับเข้าไปขวางระหว่างกลาง ทรงรั้งพระหัตถ์เจ้านางปะวะหล่ำเอาไว้มิให้กริ้วมากไปกว่านี้


                “พระมารดาอย่าเคืองเลย ตอนนี้การศึกสำคัญมากบ้านเมืองต้องใช้จ่ายมากขึ้นด้วย พระมารดาก็แค่ไม่ต้องตัดฉลองพระองค์

ชุดใหม่นะพะย่ะค่ะ ฉลองพระองค์เดิมพระมารดายังใส่ไม่หมดเลย”


               “เอ๊ะ เจ้าลูกคนนี้ ไม่ได้ดั่งใจจริงๆ”


               ทรงสะบัดพักตร์ด้วยไม่สบพระอารมณ์จนหันไปเห็นคนแปลกหน้ายืนนิ่งอยู่ด้วย เจ้านายปะวะหล่ำพลันขมวดพระขนงทันที


               “นี่ใครกัน”


               “องครักษ์คนใหม่ของลูกเองพะย่ะค่ะ ชื่อว่าอัคคี”


               ทอดพระเนตรองครักษ์คนใหม่ด้วยพระเนตรคลางแคลง ครั้นสบเนตรด้วยพระหทัยของเจ้านางก็เต้นรัว

               คล้าย

               คล้ายใครกัน

               ทรงนึกไม่ออกว่าดวงตาเพียงข้างเดียวที่จับจ้องพระองค์ด้วยความสงสัยใคร่รู้และลึกลงไปเป็นไฟร้อนฉาบหลังนี้คล้ายกับ

ดวงตาของใครกันแน่




                                          TBC


หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >>บทที่23 พีเรียด โจรป่ากับเจ้าชาย 14/6/59
เริ่มหัวข้อโดย: kms ที่ 14-06-2016 01:20:14
กรี๊ดดดดดดด ฟ้าฟื้นน่ารักมากกกกกกกก
เจ้านางนี้ร้ายไม่หยุดจริงๆ
แอบสงสารเจ้าฟ้าอาทิตย์
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >>บทที่23 พีเรียด โจรป่ากับเจ้าชาย 14/6/59
เริ่มหัวข้อโดย: Silvan ที่ 14-06-2016 10:48:34
เจ้านางจะนึกรักอัคคีที่เป็นลูกไหมนะ

หรือว่าจริงๆแม้แต่อินทัชนางก็ไม่เคยรัก
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >>บทที่23 พีเรียด โจรป่ากับเจ้าชาย 14/6/59
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 14-06-2016 11:26:38
เหยยยย คู่น้องฟ้านี่ก็ช่างน่าอิจฉาจริงๆ จะปูผ้าไปทำไมเนอะตึงๆ ยังไงก้อต้องปูใหม่อยู่ดีแหละ ปูบ่ยอๆเดี๋ยวเก่งเองแหละ ฮี่ๆ
ส่วนทางนี้แอบสงสารฝ่าบาทอะ แต่ว่าทำไมคล้ายโกมุทได้ พระราชาไม่ใช่พ่อที่แท้จริงเหรอ สรุปว่าใครคือพ่อที่แท้จริงอ่า ทำกิฟท์ไม่ได้ซะด้วยต้องธรรมชาติแท้ๆ แล้วแฝดได้นี่ก้อสุดยอดแล้วยุคนั้นอะนะ
หมั่นไส้นางปีศาจ
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >>บทที่23 พีเรียด โจรป่ากับเจ้าชาย 14/6/59
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 14-06-2016 14:43:43
เมื่อใหร่นางจะตายซะที!
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >>บทที่23 พีเรียด โจรป่ากับเจ้าชาย 14/6/59
เริ่มหัวข้อโดย: kun ที่ 14-06-2016 15:39:15
ฟ้าฟื้นร้อนแรงมาก อย่างที่เพรชกล้าบอกเลย ไม่ค้องปูหรอก อิอิ
ยังไงๆๆๆสงสัยแล้วอ่ะ
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >>บทที่23 พีเรียด โจรป่ากับเจ้าชาย 14/6/59
เริ่มหัวข้อโดย: iNcamisang ที่ 15-06-2016 19:40:01
เป็นพระชายาที่ไม่ทำหน้าที่เมียที่ดีเอาซะเลย เบื่อนาง
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >>บทที่23 พีเรียด โจรป่ากับเจ้าชาย 14/6/59
เริ่มหัวข้อโดย: Apple_matinie ที่ 15-06-2016 19:58:44
ตอนหน้าขอให้พระราชาจับได้ว่าพระชายามีชู้
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >>บทที่23 พีเรียด โจรป่ากับเจ้าชาย 14/6/59
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 15-06-2016 20:58:56
เฝ้ารอลุ้นเมื่อไหร่วะปะหล่ำจะแพ้ภัยตัวเองเสียที  :katai1:
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >>บทที่23 พีเรียด โจรป่ากับเจ้าชาย 14/6/59
เริ่มหัวข้อโดย: Guill ที่ 18-06-2016 08:07:27
ลุ้นว่าผลสุดท้ายจะเป็นยังไง
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >>บทที่23 พีเรียด โจรป่ากับเจ้าชาย 14/6/59
เริ่มหัวข้อโดย: nunda ที่ 19-06-2016 09:09:01
กดดันจัง
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >>บทที่23 พีเรียด โจรป่ากับเจ้าชาย 14/6/59
เริ่มหัวข้อโดย: kms ที่ 19-06-2016 23:38:55
รอพ่อบัว ฟ้าฟื้นนนนนนนน
หัวข้อ: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >>บทที่24 พีเรียด โจรป่ากับเจ้าชาย 9/7/59
เริ่มหัวข้อโดย: Belove ที่ 09-07-2016 00:21:07


                                                               บัลลังก์รักใต้เงาแค้น

                                                                      บทที่  24


               ช่างเถอะ จะเป็นใครก็ช่าง มีเรื่องที่สำคัญกว่าองครักษ์ของราชโอรสมากนัก เจ้านางปะวะหล่ำดำริในพระทัยก่อนจะหันไปยัง

พระสวามี


               “หม่อมฉันต้องการเบี้ยหวัดของหม่อมฉันคืนเพคะ”


               ยืนกรานเสียงแข็งหากแต่เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ก็ยังคงหนักแน่นในเจตนา


               “หากเจ้าจะมองด้วยสายตาของความเสียสละ ก็จะรู้ว่าแม้แต่เบี้ยหวัดของเราก็ยังลดไปถึงกึ่งหนึ่งเพื่อนำเงินเหล่านั้นไปช่วย

บ้านเมือง”


               “หมายความว่าพระองค์จะไม่ให้”


               “ถูกแล้วปะวะหล่ำ”


               สุรเสียงเด็ดขาดเข้มแข็งทำให้เจ้านางปะวะหล่ำเจ็บแค้นในพระทัยยิ่งนัก ทรงกำพระหัตถ์หักห้ามโทสะขณะจ้องพระเนตรไป

ที่เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ หากแต่เพราะอีกฝ่ายแม้จะเป็นสวามีแต่ก็เป็นถึงผู้ครองแคว้นจึงได้แต่สะบัดพักตร์กระแทกพระบาทจากไปด้วยความ

โกรธกริ้ว และไม่มีที่ใดที่จะกลายเป็นที่ระบายอารมณ์นั้นได้ดีเท่าเรือนโบราณท้ายเมืองอีกแล้ว

               หากแต่เมื่อไปถึงก็ต้องทรงกริ้วหนักยิ่งขึ้นเมื่อพานพบว่าแม่ย่าเฟื่องรุ้งมิได้อยู่เพียงลำพัง กลับมีหญิงสาวชาวบ้านเปลือยกาย

อยู่ให้ห้องหับเร้นลึกจึงทรงกรีดร้องและตรงเข้าไปทุบตีทันที


               “แม่ย่า เมื่อไหร่แม่ย่าจะเลิกยุ่งกับอีนังพวกนี้เสียที”


               หลังจากส่งต่อหญิงชาวบ้านให้แก้วกุดั่นที่รออยู่ภายนอกไปจัดการต่อดังเช่นเคยแล้ว เจ้านางปะวะหล่ำจึงส่งเสียงตวาดไปยัง

หญิงชรานัยน์ตาดุที่มองกลับด้วยสายตาดูแคลน


               “พวกมันเหล่านั้นก็มีปัญหาชีวิตทุกข์ใจต้องการความช่วยเหลือเหมือนกับเจ้านางเช่นกัน การที่ข้าช่วยเหลือพวกมันจะผิดอัน

ใด”


               “แม่ย่าเปรียบพวกมันเทียบกับข้าเชียวรึ เกินไปแล้วนะ”


               “หุบปาก!”


               ทันทีที่เสียงตวาดสิ้นสุดเจ้านางก็พลันหมดเสียง เหลือเพียงโอษฐ์ที่ขยับไปมาพร้อมพระเนตรเหลือกลาน แม่ย่าเฟื่องรุ้งกรีด

รอยยิ้มบนใบหน้าอย่างพอใจ


               “แล้วก็นั่งลงเสียที แล้วคราวนี้มีอะไรก็กล่าวมา”


               เจ้านางปะวะหล่ำก้าวบาทมากระแทกกายลงนั่งเบื้องหน้าแม่ย่าเฟื่องรุ้งอย่างไม่เต็มพระทัยนัก ทรงค้อนควักตวัดพระเนตร

อย่างแค้นพระทัย


               “ก็เรื่องเดิม” เมื่อแม่ย่าเฟื่องรุ้งอนุญาตให้กล่าววาจาได้ เสียงจึงเปล่งดังได้เช่นเดิม ร่องรอยเหี่ยวย่นรอบดวงตาของแม่ย่า

เฟื่องรุ้งกระตุกวับ


               “เรื่องของผัวเจ้านางอีกสินะ”               


               “ใช่ สวามีของข้าไม่เคยเห็นคุณค่าของข้ามาตั้งแต่ยังสาว จนบัดนี้ลูกโตเป็นหนุ่ม ก็ยังไม่เคยเห็นข้าเป็นเมีย”


               “เจ้านาง ลองถามใจตัวเองดูทีรึ ว่าแท้จริงแล้วเจ้านางรักผัวบ้างหรือไม่”


               คำถามของหญิงชราสวมชุดสีเข้มนั้นกระแทกพระทัยอย่างจัง เจ้านางปะวะหล่ำนิ่งงันถามไถ่หัวใจตนเองโดยสัตย์


               ไม่ได้รัก!

               มันคือหน้าที่ของขัตติยกษัตรีย์ที่พระองค์ต้องกระทำ และเมื่อได้รู้ว่าทรงเป็นรองใครบางคนที่ได้ครอบครองพระสวามีของ

พระองค์มาก่อนหน้าความต้องการเอาชนะจึงบังเกิด มันเป็นทิฐิมานะของพระธิดาองค์สุดท้องที่มีแต่ผู้ตามพระทัยจนเคยชิน ไม่มีสิ่งใดที่

เจ้าหญิงองค์น้อยต้องการแล้วไม่ได้

               แม้จะทรงกำจัดศัตรูไปได้แล้วก็ยังไม่สามารถพิชิตใจเจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ลงได้ ภายหลังมันจึงกลายเป็นความคับแค้นจนยาก

จะขจัด


               “ไม่ ข้าไม่เคยรัก” เจ้านางปะวะหล่ำตรัสตอบตรงกับใจคิด


               “ทุกวันนี้ก็อดทนอยู่อย่างซังกะตาย เบื่อแสนเบื่อผู้ชายจืดชืดเช่นนั้นเหลือเกินแล้ว”


               “ทำไมเจ้านางไม่กลับไปยังเมืองเหมราชบ้านเมืองของเจ้านาง”

         
                 แม่ย่าเฟื่องรุ้งเสนอหนทางอันทำให้เจ้านางปะวะหล่ำฉุกพระทัยคิด


               “แต่การจะกลับไปมือเปล่าก็อาจจะเสียงทั้งเวลาที่ล่วงมาเกือบยี่สิบปีและเสียทั้งหน้าตาของเจ้าหญิงผู้สูงศักดิ์”


               “แม่ย่าหมายความถึงเช่นใด”


                ทรงเค้นเสียงถามเมื่อทรงครุ่นคิดตาม แม่ย่าเฟื่องรุ้งแสยะยิ้มน่ากลัวก่อนตอบ


                “ครอบครองรัตนปุระนครก่อนกลับบ้านเมืองของเจ้านาง”


                   ความคิดพลันสว่างวาบกับข้อชี้แนะของแม่ย่าเฟื่องรุ้ง ในเมื่อทนอยู่ไปก็ไร้ค่ามีแต่จะทำให้เจ็บพระทัยมากขึ้นทุกวัน เหตุใด

พระองค์ต้องอยู่ด้วยความอดทนเล่าหากว่าจะมีทางเลือกอื่น

                  กลับบ้านพร้อมกับนำของขวัญไปมอบให้พระราชบิดาพระราชมารดาเสียไม่ดีกว่าหรือ

                  ใบหน้าบึ้งตึงค่อยจางหายแทนด้วยรอยยิ้มถูกพระทัย ทรงขยับเข้าไปใกล้ชิดหญิงวัยชราที่ยังคงแข็งแรงอย่างไม่น่าเชื่อ

พลางวางหัตถ์ไปแนบที่บ่าของแม่ย่าเฟื่องรุ้ง


                  “แม่ย่า ท่านคือที่พึ่งของข้าจริงๆ แสงสว่างในยามมืดของข้าก็คือท่าน มิเสียแรงที่ข้ายอมพลีกายให้ท่าน”


                   วรกายอวบอัดในวัยดอกไม้เบ่งบานเต็มที่ถูกฝ่ามือเหี่ยวย่นผลักให้หงายไปกับพื้นไม้แข็งกระด้างทันที ดวงตาคมกล้าสว่าง

วูบเมื่อถอดอาภรณ์งามออกจากร่างสตรีสูงศักดิ์ช้าๆจนเหลือเพียงร่างขาวโพลนในห้องมืดที่มีเพียงแสงตะเกียงสลัวเลือนลาง

                  แม่ย่าเฟื่องรุ้งโถมกายเข้าหาผิดกับบุคลิกเย็นชาอันเป็นปกติ ปทุมถันอ่อนนุ่มถูกบีบเค้นด้วยมือเย็นเยียบและกลืนกินเนื้อตัว

ด้วยปลายลิ้นและคมฟัน เสียงครวญครางระงมออกจากโอษฐ์ยามแอ่นกายให้อีกฝ่ายเชยชมจุดสงวนจนน้ำใสไหลวนจากแก่งโขดหินที่

ถูกเรือน้อยพุ่งชน

                 เจ้านางปะวะหล่ำปล่อยใจไปกับความหฤหรรษ์ที่แม่ย่าเฟื่องรุ้งปรนเปรอให้ มันเป็นความสุขที่หาจากที่ใดมิได้อีกแล้ว ทรง

ได้แต่ตักตวงมันไว้ให้อิ่มหนำพอที่จะบรรเทาความต้องการของความเป็นปุถุชนลงให้หมด






                  “คิดสิ่งใดอยู่รึอัคคี”


                 เจ้าชายอินทัชธราธิปทอดพระเนตรแผ่นหลังกว้างที่ยืนอยู่หน้าช่องบัญชรเหม่อมองพระจันทร์ครึ่งเสี้ยวบนฟากฟ้า คนถูก

เรียกจึงได้ถอนหายใจและหันหน้ามาตอบ


                “คิดถึงหุบผากาฬ คิดถึงพ่อบัว คิดถึงพ่อสมิง”


                เจ้าชายอินทัชก้าวพระบาทเข้าไปหาและหยุดยืนเคียงข้างฝาแฝดของพระองค์พลางเงยพักตร์มองพระจันทร์ไปพร้อมกันกับ

อัคคี


                    “พ่อสมิงของเจ้าดุร้ายอย่างที่เขาเล่าลือกันหรือไม่”


                    “จะว่าดุก็ดุ พ่อสมิงของข้าเก่งมากทั้งเรื่องต่อสู้และวิชาอาคมที่ต้องดำรงชีพอยู่ในป่า ถึงแม้จะได้ชื่อว่าโจรแต่พ่อสมิงก็

เลือกปล้นเฉพาะเศรษฐีที่ขูดเร้นกับชาวบ้านเท่านั้น แต่ดุอย่างไรพ่อสมิงก็ไม่เคยดุข้า และพ่อยังกลัวพ่อบัวราวกับกลายเป็นหนูตัวเล็ก”


                   ยามเล่าถึงบิดาที่เป็นโจรป่า ดวงตาคมกลับฉายแววอ่อนโยนสนิทสนมจนเจ้าชายอินทัชนึกสะท้อนอยู่ในอก


                  “แล้วกับพ่อแม่แท้จริงที่ได้พบหน้าเป็นครั้งแรกในวันนี้เล่า เจ้าคิดเห็นเช่นใด”


                  อัคคีเงียบงัน เขาเหม่อมองท้องฟ้าสีดำสนิทที่มีหมู่ดาวกระจายตัวแข่งกันส่องแสงระยิบระยับเพื่อเรียบเรียงความคิดของตน

ก่อนจะตอบออกไป


                  “สำหรับเจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ข้ารู้สึกถึงความตื้นตันที่ได้พบท่าน เหมือนพระองค์เป็นดวงตะวันที่ส่องแสงสว่างจนข้าไม่อาจ

เอื้อม ส่วนเจ้านางปะวะหล่ำ ข้า... ไม่รู้สิ ข้าแปลกใจว่าแม่ที่ข้าจินตนาการทำไมห่างไกลจากเจ้านางนัก”


                “แต่ทั้งสองคือพ่อและแม่ที่แท้จริงของเจ้านะอัคคี”


                จริงเช่นที่เจ้าชายอินทัชตรัส ความรู้สึกผูกพันนั้นมีอยู่หากแต่ความยอมรับนั้นอาจจะยังไม่ถึงเวลา บางทีหากอัคคีได้รู้ความ

จริงของเรื่องทั้งหมดแล้วทุกอย่างอาจจะดีขึ้น หรือไม่ก็เลวร้ายยิ่งกว่าเดิม

                แต่นั่นเป็นเรื่องของอนาคตที่อัคคียังไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น อัคคีได้แต่หันไปมองพระพักตร์งามของคนที่ยืนเคียงข้าง ที่เป็น

ปัจจุบันของเขา


                 “นั่นสินะ ข้ามีพ่อแม่จริงๆ มีพ่อปลอมๆอีกสองคนและมีเจ้า”


                 ดึงให้เจ้าชายอินทัชหันมาสบตา อัคคีวางมือบนอังสาของเจ้าชายและกระชับมือแน่น


                “และข้ามีเจ้าที่เป็นทั้งพี่น้องและคนรัก สัญญาได้ไหมว่าจะอยู่เคียงข้างข้าตลอดไปไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น”


                “ทำไมต้องสัญญาในเมื่อที่เราทำทั้งหมดก็เพื่อเจ้าทั้งนั้น ทั้งที่ก่อนหน้านี้เจ้าทำเลวกับเรา เราก็ยังไม่ถือโทษ”


                 “ทำเพราะรักดอกอินทัช”


                  อัคคีพรายยิ้มพลางเลื่อนมือขึ้นลูบไล้ไปตามเครื่องหน้าอย่างหลงใหล


                 “เห็นคราแรกก็ตรึงตาและอยากเป็นเจ้าของ ไอ้ข้ามันแค่โจรต่ำต้อยจะให้ทำเช่นไรนอกจากฉุดมาทำเมีย”


                 “บ้า ไม่แปลกใจบ้างหรือไรว่าหน้าเหมือนกันราวกับแกะ”


                 “ก็แปลกใจแต่อยากได้มากกว่า และคิดว่าเพราะสวรรค์ส่งเรามาคู่กันจึงได้หน้าเหมือนกันเช่นนี้”


                 ส่งเสียงหัวเราะเบาๆก่อนจะดึงกายนุ่มเข้ามากอด


                 “หรือเจ้าว่าไม่จริง”


                พักตร์งามแดงก่ำ เจ้าชายอินทัชเคยอ่านจากตำราฝรั่งที่บอกไว้ว่าฝาแฝดเกิดจากชาติกำเนิดเดียวกัน และมีความเชื่อว่าคนที่

จะมาเกิดเป็นฝาแฝดนั้นก็ต้องมีความผูกพันลึกล้ำยิ่งกว่าใคร ฤาว่าสวรรค์จะส่งเขากับอัคคีมาเพื่อกันและกันจริงๆ


                 “ไม่รู้ ตอบคำถามเจ้าทีไรเข้าเนื้อทุกที”


                ความขัดเขินนั้นทำให้พักตร์นั้นชวนมองยิ่งขึ้นไปอีก อัคคีเห็นแล้วเขาจึงไม่คิดที่จะทน เขาช้อนแขนแข็งแรงใต้ร่างและอุ้ม

เจ้าชายอินทัชพาดบ่าลงวางโยนลงไปบนแท่นพระบรรทม


              “อัคคี เจ้าบ้า เล่นอะไรของเจ้า ตกใจหมด”


              ทรงเอ่ยปากต่อว่าด้วยความตกใจแต่อัคคีก็ไม่สน เขาทิ้งกายลงมาทาบทับพลางตรึงข้อพระหัตถ์ทั้งสองไว้เหนือเศียร


                “เล่นรักเช่นไรเล่า”


                “แต่เมื่อราตรีที่ผ่านมาก็เพิ่งจะ อุ๊บ...”


                   สุรเสียงขาดหายเมื่อถูกปิดโอษฐ์ด้วยลิ้นร้อน อัคคีคลอเคลียดูดดื่มเนิ่นนานกว่าจะยอมผละออก ฉลองพระองค์บางเบา

หลุดออกจากวรกายโดยง่ายเมื่อเจ้าชายอินทัชเองก็มิได้ปัดป้อง ทรงยินยอมให้อัคคีได้แนบกายอุ่นลงมาสัมผัสไปทุกส่วน


                “ข้าอยากกินเจ้าทุกคืน”


                พึมพำเสียงกระเส่าเมื่อความต้องการถาโถม อัคคีจับร่างนุ่มให้ตะแคงข้างโดยมีเขาซ้อนอยู่เบื้องหลัง ท้ายทอยสีนวลถูกอัคคี

ง้างงับเข้าปากแล้วดูดเบาๆพร้อมกันกับที่เขาแทรกความเป็นชายเข้าไปในช่องทางแสนหวาน


              “อื้อมม”


               เหยียดวรกายไปกับความเร่าร้อน คนเบื้องหลังดันเอวเข้าหาจนสุดลำพลางวาดมือกอบโกยท่อนลำของพระองค์ไว้ในอุ้งมือ

ข้างหนึ่ง อีกข้างก็ลูบไล้แผ่นอกเนียนเรียบไม่ยอมหยุด โดยเฉพาะตุ่มไตเม็ดเล็กจนกระทั่งมันชูชันสู้ปลายนิ้ว


               “รักเหลือเกินเมียจ๋า”


                 พึมพำข้างหูขณะโยกเอวแกร่งเข้าใส่ ต้นขานุ่มเนียนของเจ้าชายอินทัชถูกดันให้ยกสูงเพื่อรองรับแรงกระแทกทั้งหมดสิ้น

หนักหน่วงแต่พอดีที่จะสัมผัสจุดอ่อนไหวภายในให้เตลิดจนต้องบิดกายพล่านไปมา

                 “ตรงนั้น ดีมาก อา อัคคี แรงอีก เราจะ...โอ...”


                  หันพักตร์เหลียวหลังกลับไปให้อัคคีปรนจูบเร่าร้อน พระชิวหาเปียกชุ่มเปรอะเปื้อนไปรอบกลีบโอษฐ์ ทรงดูดดึงปลาย

ลิ้นของอัคคีไว้ยามที่ร่างกายกำลังใกล้ปริแยกเต็มที


                     “อ๊า...”


                    ลมหายใจแทบขาดห้วงเมื่อคว้าความสุขสมไว้ในกำมือ ปล่อยให้อัคคีเร่งระบายความตึงเครียดก่อนจะรู้สึกถึงความอุ่น

วาบที่พุ่งเข้ามาอยู่ในช่องทางจึงรับรู้ว่าอัคคีก็มีความสุขเช่นกับพระองค์จึงได้พิงกายอิงแอบไปกับแผ่นอกกว้างและหลับตาลงอย่างผาสุก






                    “เจ้านางประสงค์สิ่งใดเพคะ”


                   เจ้านางปะวะหล่ำนั่งนึกตรึกตรองอยู่ในห้องของพระองค์ มีนางแก้วกุดั่นสอพลอข้างกายไม่มีหยุด


                     “นี่ นังแก้ว เอ็งอยากจะกลับเหมราชบ้างไหม”


                      แก้วกุดั่นทำตาโต กี่ปีแล้วที่จากบ้านจากเมืองมามิได้กลับไปพบหน้าญาติพี่น้อง หญิงรับใช้ยิ้มหน้าแป้นยามเอ่ยตอบ


                      “โถ เจ้านางของบ่าว ทำไมถึงจะไม่อยากกลับเล่าเพคะ พระองค์ตรัสปุ๊บหม่อมฉันก็คิดถึงบ้านทันทีเพคะ”           

                     
                      “เช่นนั้นก็ดีแล้ว ไปเรียกมานพมา”


                       เมื่อนายทหารที่หอบหิ้วกันมาตั้งแต่เมื่อครั้งจากเหมราชมาสู่รัตนปุระนครเข้าเฝ้า เจ้านางปะวะหล่ำจึงทรงมีกระแส

รับสั่งด้วยสุรเสียงเบาทว่าเฉียบขาด


                     “เดินทางไปทัพของอุดรรังษี อย่าให้ใครรู้เด็ดขาด แจ้งข่าวแก่เจ้าฟ้าวัชรศรด้วยตัวเจ้าเองว่าข้าต้องการความช่วย

เหลือ”


                    ดวงเนตรเต็มไปด้วยความมั่นใจ เมื่อทรงเอ่ยออกไป
 

                     “หากทำสำเร็จ ต้องการสิ่งใดข้าก็จะให้เหมือนเมื่อครั้งอดีต ที่ข้าเคยมอบสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตให้พระองค์           

TBC

หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >>บทที่24 พีเรียด โจรป่ากับเจ้าชาย 9/7/59
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 09-07-2016 00:45:14
เจ้านางกำลังจะทำอะไรอีก!!
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >>บทที่24 พีเรียด โจรป่ากับเจ้าชาย 9/7/59
เริ่มหัวข้อโดย: Nus@nT@R@ ที่ 09-07-2016 01:39:39
ร้ายจริงๆ
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >>บทที่24 พีเรียด โจรป่ากับเจ้าชาย 9/7/59
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 09-07-2016 07:45:23
แฝดหวานมากๆค่ะชอบ
เราหวังว่าแผนการครั้งนี้ของเจ้านายคือการระเบิดทำลายตนเองนะเจ้าคะ เอาเลยค่าเต็มที่เลย
รอดูคนโดนกรรมตามสนอง
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >>บทที่24 พีเรียด โจรป่ากับเจ้าชาย 9/7/59
เริ่มหัวข้อโดย: Silvan ที่ 09-07-2016 10:44:04
เลว

พูดได้คำเดียว

สำหรับคนที่คุณก้อรุว่าใคร
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >>บทที่24 พีเรียด โจรป่ากับเจ้าชาย 9/7/59
เริ่มหัวข้อโดย: iNcamisang ที่ 09-07-2016 13:04:31
เอาอีกละ สร้างเรื่องอีกละ  :fire: :m31: :m16:
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >>บทที่24 พีเรียด โจรป่ากับเจ้าชาย 9/7/59
เริ่มหัวข้อโดย: Guill ที่ 09-07-2016 14:08:55
เคยมอบอะไรให้กันนะ
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >>บทที่24 พีเรียด โจรป่ากับเจ้าชาย 9/7/59
เริ่มหัวข้อโดย: Alinrat ที่ 09-07-2016 19:41:38
EPนี้ เครียดน่าดูเลยจริงๆ  :m26: :m26:
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >>บทที่24 พีเรียด โจรป่ากับเจ้าชาย 9/7/59
เริ่มหัวข้อโดย: kun ที่ 10-07-2016 10:31:35
เหมือนจะมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นซะแล้ว
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >>บทที่24 พีเรียด โจรป่ากับเจ้าชาย 9/7/59
เริ่มหัวข้อโดย: nunda ที่ 16-07-2016 01:01:59
เห็นแฝดรักกันมากขนาดนี้ ไม่อยากให้ดราม่ามาเยือนเลย (T_T)
หัวข้อ: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >>บทที่25 พีเรียด โจรป่ากับเจ้าชาย 25/7/59
เริ่มหัวข้อโดย: Belove ที่ 25-07-2016 19:53:51


                                                            บัลลังก์รักใต้เงาแค้น

                                                                   บทที่  25


               แผ่นกระดาษจารึกลายพระอักษรของเจ้านางปะวะหล่ำอยู่ในพระหัตถ์เพียงข้างเดียวของเจ้าฟ้าวัชรศร ส่วนอีกข้างที่ขาดหาย

กลายเป็นเสี้ยนหนามตำพระทัยถึงการพ่ายแพ้แก่เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ศตรัศมิ์นั้นครอบด้วยข้อมือเทียมโลหะหล่อเป็นรูปตะขอโค้งวาววาม

สายพระเนตรที่จ้องมองลายพระอรสาส์นนั้นเต็มไปด้วยความครุ่นคิดถึงผลดีผลเสียที่จะตามมา


               “เจ้านางของเจ้าปรารถนารุนแรงเช่นนี้เสมอนะ มานพ”


               ตรัสกับทหารเอกของเจ้านางปะวะหล่ำที่ลักลอบข้ามมาถึงฝั่งทัพอุดรรังษีด้วยตัวเอง มานพค้อมศีรษะลงเมื่อได้ยินกระแส

รับสั่ง


               “เจ้านางทรงคิดถึงเหมราชพะย่ะค่ะ แต่หากจะให้กลับมือเปล่าก็คงจะไม่คุ้มค่า”


               “เด็ดขาดเหมือนเคยสินะ ได้ข่าวว่ามีโอรสกับไอ้อาทิตย์มิใช่รึ”


               “เจ้าชายอินทัชนั้นเป็นเด็กว่าง่าย หัวอ่อน คงไม่ใช่ปัญหาที่เจ้านางกังวลพะย่ะค่ะ เจ้านางยังให้หม่อมฉันกราบทูลฝ่าพระบาท

ว่า หากพระองค์กระทำการยึดเมืองรัตนปุระนครได้สำเร็จ หากต้องการสิ่งใดก็จะถวายให้ดั่งที่เคยถวายสิ่งสำคัญที่สุดแด่พระองค์เมื่อครั้ง

อดีต”


               พระเนตรดุดันโชนแสงเมื่อได้ฟัง ทรงนึกย้อนไปถึงอดีตตั้งแต่เมื่อยังทรงเป็นเจ้าชายศึกษาวิชาร่วมกับพระเชษฐาของเจ้านาง

น้อยวัยกำดัดแห่งเหมราช มีอยู่คราหนึ่งได้เสด็จประพาสไปหาพระสหายถึงเหมราชและได้พบกับเจ้าหญิงปะวะหล่ำที่มีพระชนม์เพียงสิบ

หกชันษา พระเชษฐาของเจ้าหญิงปะวะหล่ำได้ชักชวนให้พระองค์และพระขนิษฐาเข้าป่าล่าสัตว์ เจ้าหญิงที่เริ่มเข้าสู่วัยดรุณีมองเห็น

กวางน้อยปราดเปรียวและมีพระประสงค์ต้องการกวางนั้นแต่หาได้มีทหารคนใดจับได้แม้แต่พระเชษฐาของตน ด้วยความเอาแต่พระทัยจึง

ได้เสด็จมาหาเจ้าชายวัชรศร


               “ทรงล่ากวางน้อยให้หม่อมฉันได้ไหมเพคะ”


               เจ้าชายวัชรศรในวัยหนุ่มทอดพระเนตรเจ้าหญิงน้อยที่เลื่องชื่อด้วยความงามพร้อมกับแย้มสรวลเจ้าเล่ห์ออกมา


               “ทำแล้วพี่จะได้อะไรคุ้มค่าเหนื่อยบ้างเล่าปะวะหล่ำ น้องก็เห็นว่ากวางตัวนั้นมันจับได้ยากเย็นแค่ไหน”


               สบพระเนตรซึ่งกันอย่างท้าทาย เจ้าชายวัชรศรแม้จะไม่ได้หล่อเหลามากมายนัก หากแต่ความองอาจก็ไม่น้อยหน้าใคร ทำให้

เจ้าหญิงปะวะหล่ำทรงก้าวพระบาทเข้ามาใกล้วางพระหัตถ์ไปบนพระอังสาของเจ้าชายวัชรศรพร้อมกับช้อนพระเนตรฉ่ำหวานขึ้นมอง


               “สิ่งมีค่าในป่าลึกเยี่ยงนี้ช่างหาได้ยากยิ่ง หากแต่น้องคิดว่าตัวน้องเองนี่ก็เป็นสิ่งมีค่าที่สุดในยามนี้ที่เป็นสิ่งตอบแทนความ

เหน็ดเหนื่อยของเจ้าพี่”


               เจ้าชายวัชรศรรู้ความนัยของประโยคนั้นดี ในวันรุ่งขึ้นจึงได้ออกแรงล่ากวางตัวนั้นมาผูกเชือกประทานให้แด่พระขนิษฐาของ

พระสหาย และตกดึกในคืนนั้นเองจึงได้เข้าไปทวงรางวัลถึงในกระโจมของเจ้าหญิงปะวะหล่ำ พรหมจารีล้ำค่าจึงตกเป็นของพระองค์ก่อน

ที่จะกลับออกมาในยามย่ำรุ่งโดยไม่มีใครล่วงรู้ถึงความสัมพันธ์ครานั้น

               ผ่านมาเนิ่นนานแต่ความกล้าได้กล้าเสียยังอยู่ในพระนิสัยของเจ้านางปะวะหล่ำ เจ้าฟ้าวัชรศรหันขวับไปหามานพแล้วตรัส

อย่างมั่นพระทัย


                “ตกลงตามข้อเสนอของปะวะหล่ำ ข้าจะยึดรัตนปุระนครให้เป็นของขวัญแด่เจ้านางก่อนเสด็จกลับเหมราช”


               รอยแย้มสรวลนั้นเต็มไปด้วยความหมายมาด ความช่วยเหลือของเจ้านางปะวะหล่ำจะทำให้พระองค์ได้รับชัยชนะได้ง่ายขึ้น

และพระองค์จะทรงกำจัดเจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์เพื่อชำระรอยแค้นแห่งอดีด

               พระหัตถ์ตะขอวาววามเกี่ยวแผ่นกระดาษในมือเข้าไปเผาในคบไฟเพื่อทำลายหลักฐาน ดวงเนตรของเจ้าฟ้าวัชรศรสะท้อน

แสงไฟจนแดงฉาน






               “สงครามครานี้ใหญ่หลวงนัก”


               เพชรกล้ากล่าวออกมาขณะอยู่เพียงลำพังกับฟ้าฟื้นในห้องของเขา ฟ้าฟื้นที่กำลังจัดการเก็บของสำหรับออกสู่สมรภูมิรบจึง

ได้ยั้งมือและเดินมาหาเพชรกล้าที่มีสีหน้าตึงเครียดอยู่บนเตียง


               “ข้าเป็นแต่โจรป่า หาได้รู้สถานการณ์ระหว่างเมือง มันรุนแรงขนาดนั้นเลยรึพี่เพชร”


               เพชรกล้ารั้งให้ฟ้าฟื้นเอนกายเข้าหาและกอดไว้หลวมๆ


               “อุดรรังษีขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองกระหายสงคราม มักจะลอบโจมตีเมืองอื่นเพื่อมาเป็นประเทศราช เมื่อเกือบยี่สิบปีก่อนอุดรรังษี

เคยตีประชิดชายแดนของรัตนปุระนคร แต่เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ทรงพระปรีชาสามารถเอาชนะได้แถมยังตัดข้อพระกรของเจ้าฟ้าวัชรรศรได้

ด้วย ความแค้นจึงมีอยู่มาก ทว่าเวลาที่ผ่านมาทางอุดรรังษียังมิได้มีทีท่าอันใดแต่บัดนี้ก็ได้ส่งกองทัพมาประชิดด้วยพระองค์เอง คงหวัง

ที่จะแก้แค้นศึกในอดีต”


               “ใหญ่หลวงดังที่พี่บอกจริงๆด้วย”


                ฟ้าฟื้นเองเมื่อรู้ที่มาก็อดกังวลไปกับเพชรกล้าไม่ได้


               “เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์เสด็จคุมทัพด้วยพระองค์เองเช่นกัน โดยให้พี่รับหน้าที่เป็นครูฝึกทหารใหม่ที่สมัครใจร่วมรบอย่างเช่นเจ้า

และบัดนี้การฝึกก็สำเร็จลงแล้ว อีกไม่กี่เพลาทัพใหญ่ก็จะเดินทางไปเผชิญศึก ฟ้าฟื้น เจ้ากลัวหรือไม่”


               ฟ้าฟื้นเงยหน้ามองกลับ เขายกมือลูบไล้คางสากของเพชรกล้าแล้วเอ่ยอย่างมั่นใจ


               “ข้าเคยเป็นโจร แต่ตอนนี้ได้เป็นถึงทหารหลวงที่ได้รับใช้เบื้องยุคลบาทก็ถือว่าเป็นบุญหัวของข้าแล้ว มีเหตุใดที่ต้องกลัวอีก

และยิ่งในทัพมีพี่เพชรอยู่ด้วย ข้าไม่นึกกลัวสิ่งใด”


               “ชื่นใจ”


               เชยคางฟ้าฟื้นพร้อมให้รางวัลด้วยจูบหวานฉ่ำ ฟ้าฟื้นเอียงหน้ารับจูบที่เริ่มจะเพิ่มความหนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ กายหนักของ

เพชรกล้าทับลงมาบนลำตัวของฟ้าฟื้นอย่างจงใจให้สัมผัสนั้นบดเบียดและวาบหวาม ฟ้าฟื้นขยับรับอย่างเต็มใจและเพียงไม่นานร่างทั้ง

สองก็กอดก่ายกันโดยไม่มีสิ่งใดขวางกั้นอีก


               “เมื่อไปทัพแล้ว เราอาจจะไม่มีเวลาอยู่ด้วยกันฉันท์ผัวเมียเช่นนี้”


               เพชรกล้ากระหน่ำโลมเลียไปทั่วร่าง มือร้อนลูบคลำแผ่นอกนุ่มมือและบีบคั้นยอดอกด้วยความกระหาย ฟ้าฟื้นเหยียดกายให้

เพชรกล้าได้เชยชมสมใจแถมยังใช้ฝ่ามือช่วยปลุกเร้าให้ความเป็นชายของเพชรกล้าแข็งขันอยู่ในมือ


               “ข้าเข้าใจดีพี่เพชร และไม่เคยคิดเรียกร้องสิ่งใด”


               สบตากันอีกคราอย่างรู้ซึ้งถึงจิตใจของอีกฝ่าย ฟ้าฟื้นขยับขาเปิดทางกว้างเพื่อรอรับให้เพชรกล้าสอดเอวประสานเข้ามาจนสุด

ทาง สองมือของขากอดก่ายร่างแกร่งไว้แน่นหนายามที่เพชรกล้าเริ่มบรรเลงจังหวะรักบนเตียงกว้าง


               “ขอบใจฟ้าฟื้น ข้ารักเจ้าเหลือเกิน”


               “ข้าก็รักพี่เพชร อื้อ...เสียว...”


               จังหวะแห่งรักรุนแรงแต่ทว่าแฝงความหวานไว้จนฟ้าฟื้นร้องระงมไปด้วยความสุขสันต์ เขาดันไหล่เพชรกล้าให้ลุกขึ้นนั่งโดยที่

มีฟ้าฟื้นขยับตามไปนั่งทับบนตัก ฟ้าฟื้นขยับเอวบดเคล้าให้ท่อนเนื้อที่อยู่ภายในหมุนวนจนพาให้ใจสั่น เพชรกล้าเองก็ปล่อยเสียงทุ้มต่ำ

แหบพร่าเมื่อช่องทางหยุ่นนุ่มของฟ้าฟื้นกำลังพาให้เขาเข้าใกล้จุดหมายเต็มที


               “อืมมม เมื่อใดข้าถึงจะเลิกรักเจ้าได้นะฟ้าฟื้น”


               รำพันรักพลางกอดก่ายร่างไว้แน่นและลุกขึ้นยืน ฟ้าฟื้นกอดร่างแกร่งไว้มั่นราวกับลูกลิงเมื่อเพชรกล้าโยกกายเข้าหาเขา แรง

กระแทกฉุดให้ฟ้าฟื้นหน้ามืดและกระโจนถึงฝั่งฝัน และเมื่อนั้นเพชรกล้าก็ยิ่งออกแรงย้ำจนกระทั่งตามฟ้าฟื้นไปติดๆ


               “ข้าไม่มีวันทำให้พี่เลิกรักข้าได้ดอก เราจะรักกันจนวันตาย”


               เสียงหอบหายใจหนักประสานกันอยู่ในห้อง เพชรกล้าอยากจะนอนกอดฟ้าฟื้นพักเหนื่อยก่อนที่จะเริ่มบทรักจังหวะต่อไป หาก

ไม่มีเสียงเคาะประตูรัวๆเสียก่อน


               “พ่อเพชร พ่อเพชร”


               เสียงคุณหญิงเพทายดังขึ้นอยู่หน้าประตู เพชรกล้าหันไปสบตากับฟ้าฟื้นและค่อยๆถอดถอนความเป็นชายออกอย่างเสียดาย

เขาวางฟ้าฟื้นลงและรีบคว้าผ้านุ่งพันท่อนล่างก่อนจะไปที่ประตูและเปิดออกกว้าง คุณหญิงเพทายยืนเด่นด้วยสีหน้าเคร่งเครียด


               “คุณแม่มีเหตุด่วนร้ายแรงอันใดหรือขอรับ”


               “ด่วนมากด้วยพ่อเพชร รีบเตรียมการแต่งตัวเข้าเถิด ทหารจากในวังเร่งมาถึงหน้าเรือนแจ้งข่าวว่าทัพของอุดรรังษียกมาใกล้

ขอบชายแดนจนยากที่จะต้านแล้ว แม่จะไปเตรียมเสบียงให้ด้านล่าง”


               คุณหญิงเพทายเดินจากไปชั้นล่างอย่างกระฉับกระเฉง แม้จะเป็นกังวลหากแต่เพราะเป็นภรรยาของนายทหารชั้นผู้ใหญ่และ

ยังมีบุตรที่เจริญรอยตามบิดาทำให้คุณหญิงเพทายเป็นสตรีเข้มแข็งกว่าหญิงอื่น และเพียงไม่นานเพชรกล้ากับฟ้าฟื้นก็อยู่ในชุดทหารนั่ง

อยู่ต่อหน้าคุณหญิงเพทาย เพชรกล้าก้มกราบแทบเท้ามารดาที่ยื่นมือมาลูบศีรษะเพื่อให้กำลังใจ


               “แม่ขอให้เพชรมีสติชนะอุปสรรคทั้งปวง ตั้งใจทำงานเพื่อรัตนปุระนคร ฟ้าฟื้นมาหาแม่”


               ฟ้าฟื้นขยับเข้าใกล้ เขาก้มลงกราบตามเพชรกล้าด้วยความเคารพคุณหญิงเพทายอย่างแท้จริง


               “ทำอะไรอย่าใจร้อน ขอให้รักษาเนื้อรักษาตัวดูแลกันให้ดีทั้งผัวและเมีย ไปเถอะอย่าได้ช้า รัตนปุระนครรอพวกเจ้าอยู่”


               “คุณแม่ ดูแลตัวเองด้วยนะขอรับ”


               เพชรกล้าสวมกอดมารดาไว้ก่อนจะตัดใจลุกขึ้นยืน


               “ไปกันเถิดฟ้าฟื้น”


               คุณหญิงเพทายนั่งนิ่งอยู่บนตั่ง สายตาของหญิงชรามองตามหลังบุตรชายไปอย่างเข้มแข็ง แม้จะเป็นห่วงแต่เมื่อเพชรกล้าไป

ทำงานเพื่อบ้านเมืองผู้เป็นมารดาก็ทำได้เพียงส่งกำลังใจไปให้

               ได้แต่ภาวนะขอให้รัตนปุระนครได้รับชัยชนะกลับมา







               ความวุ่นวายเกิดขึ้นไปทั่วพระราชวังเมื่อมีพระราชโองการยาตราทัพมาจากเจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ศตรัศมิ์ ขบวนทัพถูกจัดขึ้น

อยากรวดเร็ว ในขณะที่เจ้าฟ้าแห่งรัตนปุระนครประทับยืนอยู่หน้าพระสาทิสลักษณ์ของเจ้าฟ้าในอดีต

               ในที่สุดก็มีวันนี้อีกครั้ง

                พระพักตร์เคร่งเครียดกับศึกใหญ่ แม้จะไม่มีความหวาดกลัวโดยส่วนพระองค์ หากแต่ความห่วงใยในพสกนิกรนั้นมากมาย

ล้นพ้น และนึกท้อในพระทัยที่ต้องแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นด้วยองค์เองทุกอย่าง หาได้มีผู้ใดมาร่วมคิดและให้กำลังใจ อย่าได้หวังสิ่งนั้นจาก

เจ้านางปะวะหล่ำอันเป็นพระชายาเพราะไม่ได้พบพักตร์กันนานหลายวันแล้ว


               “โกมุท หากมีเจ้าอยู่ด้วย เราคงไม่รู้สึกโดดเดี่ยวถึงเพียงนี้”


               ใบหน้าที่ไม่เคยจางหายไปจากความทรงจำปรากฏขึ้นในภวังค์จนต้องทอดถอนพระทัย จนกระทั่งเสียงเอ่ยพระนามเจ้าชาย

อินทัชธราธิปดังขึ้นหน้าประตูจึงได้กลับคืนสู่ความจริงและหันไปหาพระราชโอรสที่ก้าวเข้ามาพร้อมองครักษ์นามอัคคี


               “มีอะไรหรือลูก”


               เจ้าชายอินทัชถวายความเคารพแล้วเงยพักตร์สบพระเนตรพระบิดา


               “ลูกมาทูลขอพระบรมราชานุญาตตามพระบิดาไปร่วมรบด้วยพะย่ะค่ะ”


               “อินทัช ศึกนี้ไม่ใช่เรื่องเล่นๆนะ”


               “ลูกก็ไม่ได้พูดเล่นพะย่ะค่ะ” เจ้าชายอินทัชตรัสอย่างมั่นพระทัย “ลูกอายุสิบแปดแล้ว หาใช่เด็กเล็ก ควรจะช่วยเหลืองานพระ

บิดาให้มากกว่าอยู่แต่ในห้องเรียน และพระบิดาก็อย่าได้ทรงเป็นห่วง ลูกมีอัคคีอยู่ด้วย ไม่มีใครทำอันตรายลูกได้หรอกพะย่ะค่ะ”


               “ดูเหมือนลูกจะมั่นใจในตัวองครักษ์คนนี้เหลือเกินนะ”


               “อัคคีคือคนที่ลูกไว้ใจที่สุดพะย่ะค่ะ”


               คำตอบของเจ้าชายอินทัชทำให้ต้องทรงก้าวพระบาทไปหยุดยืนสบตากับอัคคีที่แม้จะเหลือดวงตาเพียงข้างเดียว หากแต่

ดวงตาคู่นั้นช่างกล้าแกร่งจนเจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์แอบชื่นชมอยู่ในพระทัย


               “เจ้าจะทำตามที่อินทัชลูกของเรากล่าวมาหรือไม่อัคคี”


               อัคคีค้อมศีรษะลงแต่กระนั้นความสง่างามก็ยังฉายชัดอยู่ในบุคลิก


               “หม่อมฉันจะไม่ยอมให้เจ้าชายอินทัชได้รับบาดเจ็บแม้แต่ปลายเล็บพะย่ะค่ะ”


               น่าแปลกที่ทรงเชื่อคำพูดของเด็กหนุ่มตรงหน้า ความองอาจสง่างามของอัคคีทำให้เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ทรงนึกไปถึงใครบาง

คนราวกับว่าอัคคีได้รับการสั่งสอนมา


               “เจ้ามีพ่อแม่หรือเปล่าอัคคี”


               เผลอตรัสถามออกไปอย่างไม่รู้องค์ ดวงตาข้างเดียวของอัคคีฉายแสงวูบหนึ่งก่อนจะกล่าวตอบ


               “พระอาญาไม่พ้นเกล้า พ่อของหม่อมฉันชื่อบัว”


   

มีต่ออีกนิด...


หัวข้อ: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >>บทที่25 พีเรียด โจรป่ากับเจ้าชาย 25/7/59
เริ่มหัวข้อโดย: Belove ที่ 25-07-2016 20:00:32
ต่อกันตรงนี้...



                บัว!


               “เจ้าช่างใจเย็นเหมือนกับชื่อของเจ้า โกมุทแปลว่าเกิดจากน้ำซึ่งมันก็คือดอกบัวใช่ไหม”


               ประโยคที่เคยเอื้อนเอ่ยยามเต็มอิ่มไปด้วยไอรักผุดขึ้นมาจนเจ็บแปลบ ทรงหันพักตร์หนีเพื่อมิให้อัคคีเห็นความสะเทือน

พระทัยที่เกิดขึ้น


               “พ่อให้เจ้าไปด้วยได้ เจ้าจะได้รู้ว่าการศึกที่แท้จริงนั้นคืออะไร แต่เจ้าก็ต้องระวังตัวเพราะเจ้าเป็นลูกเพียงคนเดียวของพ่อ

เข้าใจไหมอินทัช”


               เจ้าชายอินทัชโค้งคำนับรับราชโองการก่อนจะโผเข้ากอดเจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ไว้แน่น


               “ลูกรู้พะย่ะค่ะ ลูกจะระวังตัวให้มากที่สุด”


               “รู้ก็ดีแล้ว จงเตรียมตัวให้ดี ฤกษ์ยาตราทัพคือพ้นยามสาม เจ้าจงไปเตรียมตัวให้พร้อมกันทั้งคู่เถิด พ่อจะไปดูเขาเตรียมทัพ”


               กราบทูลลาจากห้องทรงงานแล้วเจ้าชายอินทัชและอัคคีจึงกลับมาที่ห้องพระบรรทม เจ้าชายอินทัชยืนนิ่งที่หน้าต่าง ทอด

สายพระเนตรมองความวุ่นวายของผู้คนที่อยู่เบื้องนอก รู้สึกถึงอ้อมกอดจากด้านหลังจึงได้เอนองค์ลงไปพิงแอบไว้


               “การศึกนี่มันร้ายแรงแค่ไหนอัคคี”


               “ข้าก็หารู้ไม่ รู้เพียงแต่ว่าข้าจะไม่ยอมให้เจ้าเป็นอะไรเด็ดขาด”


               เอ่ยอย่างมั่นใจในตนเองจนเจ้าชายอินทัชหันองค์กลับมาหาพลางคล้องพระกรไปรอบคอของอัคคี


               “เรามั่นใจในตัวเจ้าอยู่แล้ว”


               “ถ้าไม่มั่นใจในตัวผัวแล้วจะมั่นใจใครได้อีกเล่า”


               “เดี๋ยวเถอะ เวลาหน้าสิ่วหน้าขวานยังจะมาพูดเล่นอีก”


               “ถ้าไม่หยอกเจ้าตอนนี้แล้วจะไปหยอกตอนไหน อีกไม่นานก็จะล่วงเข้ายามราตรี ทัพหลวงก็พร้อมจะเดินทาง หลังจากนั้นข้า

คงไม่ได้หยอกเย้าเจ้าเช่นนี้อีก มานี่เถอะ”


               ดึงหัตถ์ให้เจ้าชายอินทัชก้าวบาทตามมาที่พระแท่นและผลักเบาๆให้ทรงเอนกายลงไป


               “อัคคี จะทำอะไร อื้อ...”


               “ก่อนกรำศึกหนัก ขอให้ข้าได้เชยชมเจ้าเป็นแรงใจอีกสักครั้ง”


               “แต่ว่า...”


               ไม่อาจห้ามปรามเพราะในพระทัยก็รู้สึกไม่ต่างไปจากอัคคีนัก จึงทรงเงยพักตร์รับจูบหนักพร้อมกับช่วยกันปลดเปลื้องอาภรณ์

จนไม่มีเหลือ ทรงทอดองค์ลงไปบนที่นอนนุ่มและปล่อยให้อัคคีเป็นผู้นำไปสู่ความหฤหรรษ์


               “ลึกอีกนิด อือ อัคคี ดีเหลือเกิน”


               “เมียข้า เช่นนั้น แน่นมาก โอ”


               พร่ำรำพันกับความสุขสมที่มอบให้แด่กัน อัคคีปรนจูบหวานและกอดรัดวรกายนุ่มไว้แนบอก


               “หลับตาเสียเถิดอินทัช เมื่อใกล้ถึงเวลาข้าจะปลุกเจ้าจากนิทรามาสู่ความเป็นจริง”








               เสียงกลองศึกปี่แตรดังไปทั่วทั้งพระราชวัง ธงศึกปลิวไสวด้วยแรงลมในยามใกล้รุ่ง และหลังจากพ้นยามสามได้ไม่นานทัพ

หลวงของรัตนปุระนครก็เริ่มเคลื่อนทัพตามฤกษ์ชัย ทั่วทุกคนในรัตนปุระนครต่างก็เป็นกังวัลกับศึกกับอุดรรังษียกเว้นเจ้านางปะวะหล่ำที่

ยังสบายพระทัยอยู่ในห้องพระบรรทม


               “เจ้านางไม่ไปส่งทัพหรือเพคะ” แก้วกุดั่นทูลถามเมื่อเห็นเจ้านายเหนือหัวยังนั่งประทินผิวอยู่บนพระที่นั่ง


               “ไม่ล่ะ ขี้เกียจจะไป ถึงอย่างไรเราก็รู้จุดจบของสงครามอยู่แล้วนี่ว่าเป็นเช่นไร เออนี่ นังแก้ว ไปดูทีรึว่าอินทัชกลับมาจากส่ง

ทัพหรือยัง ถ้ามาแล้วข้าจะได้ไปหาลูกหน่อย ไม่พบหน้าหลายวันแล้ว”


               แก้วกุดั่นรับคำก่อนจะกระวีกระวาดออกไปตามกระแสรับสั่ง ไม่นานนักนางก็วิ่งถลากลับมาด้วยสีหน้าตื่นตกใจ


               “เจ้านาง เจ้านางเพคะ เกิดเรื่องใหญ่แล้ว พระโอรสทรงออกศึกด้วยเพคะ”


               พระพักตร์ของเจ้านางปะวะหล่ำซีดเผือดด้วยความตกพระทัยที่ได้ยิน เพราะเส้นใยเดียวที่ยังรั้งพระองค์ไว้กับรัตนปุระนครได้ก็

คือเจ้าชายอินทัชนั่นเอง



TBC


หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >>บทที่25 พีเรียด โจรป่ากับเจ้าชาย 25/7/59
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 25-07-2016 20:04:18
ไอ้หยาแม่มาตอนกำลังทำศึกดุเดือดพอดี
เห้อ ชักศึกเข้าบ้านแล้วยังจะมีใจห่วงออนทัชเพื่อไรอะ
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >>บทที่25 พีเรียด โจรป่ากับเจ้าชาย 25/7/59
เริ่มหัวข้อโดย: iNcamisang ที่ 25-07-2016 20:23:52
ช่างเป็นสตรีที่ห่วยแตกยิ่งนัก
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >>บทที่25 พีเรียด โจรป่ากับเจ้าชาย 25/7/59
เริ่มหัวข้อโดย: kun ที่ 25-07-2016 20:40:47
ลูกได้ออกศึกเลย เป็นไงล่ะ
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >>บทที่25 พีเรียด โจรป่ากับเจ้าชาย 25/7/59
เริ่มหัวข้อโดย: Silvan ที่ 25-07-2016 20:58:00
รู้สึกดีที่นางยังรักลูก
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >>บทที่25 พีเรียด โจรป่ากับเจ้าชาย 25/7/59
เริ่มหัวข้อโดย: nunda ที่ 25-07-2016 21:00:26
จะมีใครตายไหม ไม่นะ พลีสสส
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >>บทที่25 พีเรียด โจรป่ากับเจ้าชาย 25/7/59
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 25-07-2016 22:23:10
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >>บทที่25 พีเรียด โจรป่ากับเจ้าชาย 25/7/59
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 26-07-2016 00:11:11
สู้ๆนะ...
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >>บทที่25 พีเรียด โจรป่ากับเจ้าชาย 25/7/59
เริ่มหัวข้อโดย: kms ที่ 26-07-2016 00:27:52
ขอให้เจ้าอาทิตย์ได้เจอพ่อบัวววววว
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >>บทที่25 พีเรียด โจรป่ากับเจ้าชาย 25/7/59
เริ่มหัวข้อโดย: YADA ที่ 27-07-2016 21:13:13
โอ้ยยย... อย่าให้ใครเป็นอะไรเลยนะ ฮือออออ
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >>บทที่25 พีเรียด โจรป่ากับเจ้าชาย 25/7/59
เริ่มหัวข้อโดย: Freja ที่ 29-07-2016 00:41:06
เอิ่มอัคคีเอ๊ยอึ๊บก่อนลงศึกนี่เมียนายจะเดินเหิรได้คล่องหรือเปล่านี่?
ไหนจะทรงม้าอีกล่ะ?  กิ๊วๆ

อินางแม่ก็อยากให้ปีนเข้าตบล้างน้ำ  เป็นถึงเจ้าฟ้าลูกแผ่นดินแต่ถ่างให้คนอื่นเอาได้ง่ายๆ   ยางอายบ้านเมืองอินางสงสัยบ่มีกัน

พ่อบัวให้อยู่กับสามีเน่อ  ไฟเก่าอย่าลุกอีกเลย
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >>บทที่25 พีเรียด โจรป่ากับเจ้าชาย 25/7/59
เริ่มหัวข้อโดย: kms ที่ 29-07-2016 01:01:28
รอๆๆๆพ่อบัววววว
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >>บทที่25 พีเรียด โจรป่ากับเจ้าชาย 25/7/59
เริ่มหัวข้อโดย: lady_panko ที่ 29-07-2016 08:43:32
อุต๊ะ กำลังเช้มข้น
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >>บทที่26 20% 14/8/59
เริ่มหัวข้อโดย: kms ที่ 14-08-2016 23:29:41
รอตอนเต็มค๊าาาาา
หัวข้อ: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >>บทที่26 100% 16/8/59
เริ่มหัวข้อโดย: Belove ที่ 16-08-2016 00:22:16


                                                                 บัลลังก์รักใต้เงาแค้น

                                                                        บทที่  26             


               เสียงโห่ร้องเอาฤกษ์ชัยดังลั่นอยู่กลางลานกว้างที่ทัพใหญ่ของรัตนปุระนครและอุดรรังษีเผชิญหน้ากันอยู่ ธงทิวต่างสะบัด

พริ้วไปตามแรงลมโบกตั้งแต่ฟ้าสาง ด้านหน้าคือผู้นำทัพอันเป็นมหาบุรุษหมายเลขหนึ่งของทั้งสองทัพสวมใส่เสื้อเกราะประทับอยู่บน

หลังอาชาประจำพระองค์ รายล้อมเบื้องหลังออกไปด้วยเสนาธิการฝ่ายการศึกและเหล่าทหารนับร้อยนับพัน เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ศตรัศมิ์

ทรงขยับบังเทียนอาชาคู่พระทัยพร้อมกับทอดพระเนตรข้าศึกด้วยความมุ่งมั่น


               “พระบิดาระวังองค์ด้วยพะย่ะค่ะ”


               เจ้าชายอินทัชธราธิปประทับบนหลังม้าเยื้องอยู่ทางด้านข้างตรัสกับพระราชบิดาด้วยความห่วงใย เพิ่งเคยเสด็จออกศึกครานี้

เป็นคราแรกและเมื่อได้เห็นความยิ่งใหญ่ของทั้งสองทัพก็ปลุกความรักแผ่นดินขึ้นมาจนพระทัยเต้นไปพร้อมกับเสียงกลองศึก เจ้าฟ้า

อาทิตยวงศ์ทรงหันพักตร์มาวางพระหัตถ์บนพระอังสาของพระราชโอรส


               “เจ้าเองก็ต้องระวังอินทัช การศึกครั้งนี้ใหญ่หลวงนักเราจะต้องปกปักรัตนปุระนครไว้ให้ได้”


               ตรัสจบจึงหันกลับไปยังเบื้องหน้า ทรงบังคับม้าให้ควบไปยังพื้นที่ระหว่างทัพ  พระเนตรมองตรงไปยังบุรุษผู้ควบอาชามาก

จากอีกฝั่ง แขนตะขอวาววามสะท้อนแสงอาทิตย์ราวกับสะท้อนความแค้นมาจากคนผู้นั้นยามเผชิญหน้า


               “วัชรศร เหตุใดจึงมีแต่ความแค้นสุมใจของเจ้า ทั้งที่ศึกคราวนั้นก็เป็นเพราะเจ้าที่คิดราวีเรา”


               ตรัสเสียงหนักกับเจ้าฟ้าวัชรศรที่พระพักตร์โกรธขึ้งเมื่อมองมายังพระองค์


               “เกิดเป็นชายชาตินักรบจะให้คุ้มค่าที่เกิดมาก็ต้องต่อสู้ ชื่อเสียงจะได้เลื่องลือถึงความกล้าหาญ”


               เจ้าฟ้าวัชรศรตรัสเสียงหนักไม่แพ้กัน พระเนตรนั้นคมกล้าด้วยความผยอง


               “แต่การต่อสู้ของเจ้าสร้างความเดือดร้อนให้แก่ผู้คนใต้การปกครอง เจ้าเป็นถึงเจ้าฟ้าผู้ครองแคว้น ไฉนจึงไม่คิดให้ผู้คนของ

เจ้าอยู่กันอย่างมีความสุข”


               เจ้าฟ้าวัชรศรทรงเงยพักตร์หัวเราะลั่นราวกับได้ยินเรื่องขำขันเต็มประดา


               “เพราะคิดอย่างเจ้ารัตนปุระนครจึงย่ำอยู่กับที่ หาได้เติบโตไปให้แผ่นดินไพศาลกว่านี้ เสียแรงที่เจ้าเองก็เป็นถึงเจ้าฟ้าผู้

ครองแคว้นแต่กลับทำประโยชน์อันใดให้ผู้คนมิได้ นอกจากนั่งเสวยสุขอยู่ในวัง”


               “เป็นเพราะเราไม่ต้องการการสู้รบต่างหาก ผู้คนบาดเจ็บล้มตาย คนที่รออยู่เบื้องหลังก็เจ็บปวด เจ้าเป็นกษัตริย์ที่ไร้หัวใจสิ้น

ดี”


               ตรัสบริภาษอย่างเหลืออดจนเจ้าฟ้าวัชรศรเบิกเนตรลุกวาบพลันชี้พระหัตถ์ตะขอเงินใส่พักตร์ของเจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์


               “เจ้าพูดถูกแล้วอาทิตย์ แล้วข้าจะทำให้เจ้ารู้ว่าคนไร้หัวใจเขาทำกันเช่นไร”


               เจ้าฟ้าวัชรศรบังคับม้าให้ควบกลับไปยังทัพของตนพร้อมกับชูพระหัตถ์ขึ้นเป็นสัญลักษณ์ พลันเสียงโห่ร้องกึกก้องจึงดังขึ้น

ก่อนที่ทัพของอุดรรังษีจะกรีฑาทัพเข้าหา เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์เห็นดังนั้นจึงทอดถอนพระทัยออกมาและแสดงสัญลักษณ์ขึ้นบ้าง


               การศึกแห่งทัพหลวงได้เกิดขึ้นแล้ว!


               เสียงปี่แตรและกลองศึกดังก้องเพื่อสร้างขวัญกำลังใจให้เหล่าทหารหาญดังแข่งกันทั้งสองฝั่ง แผ่นดินใต้พระบาทดัง

สะเทือนเลื่อนลั่นเมื่อทัพทั้งสองต่างกรูเข้าหาและห้ำหั่นกันเพื่อบ้านเมือง ฝั่งหนึ่งมุ่งเอาชัยเพื่อประกาศความเก่งกล้าและอีกฝั่งก็เพื่อปก

ปักรักษาแผ่นดินบ้านเกิด

               เจ้าชายอินทัชธราธิปประทับบนหลังม้า ทรงกวัดแกว่งพระแสงดาบอย่างคล่องแคล่วแม้จะเป็นศึกแรกของพระองค์

ไม่ได้นึกหวั่นเกรงเพราะทรงรายล้อมไปด้วยเหล่าทหารกล้าที่พร้อมจะปกป้องบ้านเมือง รวมถึงทรงมีอัคคีที่ควบม้าอยู่ใกล้ไม่ห่างกาย

อัคคีเองก็สู้อย่างถวายหัว เขาไม่คิดว่าจะทำเพื่อรัตนปุระนครได้ถึงขนาดนี้ หากแต่ความรู้สึกผูกพันกับแผ่นดินเกิดทำให้เขาฟาดฟันดาบ

ลงไปอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย


               “เป็นอย่างไรบ้างอัคคี”


               เจ้าชายอินทัชตรัสถามด้วยความห่วงใยเมื่อการศึกหยุดพักในยามราตรี อันเป็นกฏเกณฑ์ของสมรภูมิรบ ผู้นำทั้งสองฝั่งต่าง

เข้าประทับในพลับพลาชั้นในสุด ส่วนเจ้าชายอินทัชก็มีพลับพลาส่วนพระองค์เช่นกัน


               “ข้าไม่เป็นไรหรอกอินทัช ไกลหัวใจอีกมาก”


               อัคคีกล่าวตอบขณะล้างแผลที่คมดาบสะกิดผิวหนังจนเลือดซิบ เขาต้องต่อสู้กับข้าศึกศัตรูและต้องระวังภัยให้เจ้าชายอินทัช

ไปด้วยแม้จะเก่งกล้าแค่ไหนก็ต้องมีพลาดได้รับบาดเจ็บกันบ้าง


               “มานี่ เราจะทำแผลให้”


               เจ้าชายอินทัชชะล้างบาดแผลและใส่ยาสมุนไพรพอกลงไปก่อนจะพันปากแผลด้วยผ้าสะอาดอย่างตั้งพระทัย อัคคีได้แต่

มองพระพักตร์งดงามด้วยความตื้นตันในความห่วงใยนั้น


               “ขอบใจนะอินทัช ขอบใจที่เจ้ารักข้า”


               “ใครกันที่รักเจ้า” ช้อนพระเนตรสบตาพลันปรางเนียนกลับเปลี่ยนเป็นสีเลือดฝาด


               “หลงตัวเอง”


               อัคคียิ้มขำกับความขัดเขินนั้น เขาเชยคางมนขึ้นมองกลับด้วยสายตาที่เปี่ยมด้วยใจรักไม่แพ้กัน


               “จะปฏิเสธให้มันได้อะไรเล่าเมียข้า ในเมื่อดวงตาอันเป็นหน้าต่างของหัวใจเจ้ามันก็บอกข้าว่าเจ้ารักข้าแค่ไหน”


               “พูดมากจริงๆ พักผ่อนได้แล้ว พรุ่งนี้ก็ต้องไปกรำศึกอีก”


               “ขอจูบสักทีได้ไหม”


               “อัคคี!”


               “สัญญาแค่จูบ”


               อัคคีกดริมฝีปากลงไปช้าๆ เขาครอบครองและตักตวงความสุขจากจุมพิตหวานก่อนจะค่อยๆช้อนแขนอุ้มเจ้าชายอินทัชวาง

ลงบนแท่นเล็กกลางพลับพลา


               “นอนเถิดเจ้าชายอันเป็นที่รักของข้า อัคคีคนนี้จะไม่ยอมให้ใครมารังแกเจ้าได้เป็นอันขาด”


               เสียงนุ่มนั้นหวานอยู่แถวพระกรรณคล้ายเห่กล่อมให้เจ้าชายอินทัชคล้อยหลับไปในอ้อมกอดนั้น อัคคีรอจนกระทั่งคนในอ้อม

กอดหลับสนิทเขาจึงจูบเบาๆที่ขมับอีกคราก่อนจะหลับตาตามไปในที่สุด






               “เหนื่อยไหมฟ้าฟื้น”


               เพชรกล้ายกปลายนิ้วขึ้นปัดปอยผมที่ปรกหน้าผากของฟ้าฟื้นขณะที่ทั้งคู่พักผ่อนอยู่ท่ามกลางเหล่าทหารหาญของรัตนปุระ

นคร แม้ว่าเพชรกล้าจะดำรงตำแหน่งครูฝึกและเสนาบดีแต่เขากลับไม่ยอมไปพักในกระโจม เขายินดีที่จะอยู่ร่วมกับทหารที่รบเคียงบ่า

เคียงไหล่ เพชรกล้าทำเพียงแยกมานั่งผิงไฟในมุมสงบที่ไกลจากคนอื่นกับฟ้าฟื้นเท่านั้น


               “พี่เพชรต้องเหนื่อยมากกว่าข้าอยู่แล้ว”


               ฟ้าฟื้นมองคนรักอย่างเทิดทูน ความกล้าหาญและเก่งกาจของเพชรกล้ายิ่งสร้างความประทับใจให้แก่เขาเป็นอย่างมาก ฟ้า

ฟื้นนึกอยากจะดำเนินรอยตามเส้นทางของเพชรกล้า เขาอยากจะเป็นทหารฝีมือดีเพื่อพิทักษ์บ้านเมือง


               “ข้าอยากเป็นนายทหารอย่างพี่เพชรบ้าง”


               “ถ้าเช่นนั้นเมื่อเสร็จการศึก กลับไปเจ้าจงตั้งใจร่ำเรียนหนังสือจะได้ศึกษาวิชาการทหาร”


               “ข้าสัญญาว่าจะตั้งใจเรียน”


               เพชรกล้าจ้องมองใบหน้าของฟ้าฟื้นอย่างเอ็นดู สายตาของฟ้าฟื้นนั้นบอกให้รู้ว่าหนุ่มน้อยมองเขาเป็นวีรบุรุษ เพชรกล้า

อยากจะจูบไปที่ปากกระจับใจแทบขาดถ้าไม่ติดว่ามิได้อยู่เพียงลำพังกันสองคน เขาจึงทำได้เพียงวางมือแนบไปกับบ่าของฟ้าฟื้นและ

ดึงให้พิงไปกับไหล่ของเขา


               “พี่ดีใจนะ อย่างน้อยการศึกครานี้พี่ก็มิได้อยู่อย่างโดดเดี่ยว ขอบใจที่อยู่เคียงข้างพี่นะฟ้าฟื้น”


               ฟ้าฟื้นยิ้มรับ เขาพิงศีรษะไปกับไหล่ของเพชรกล้าอย่างไว้วางใจ ความอบอุ่นของเพชรกล้าส่งผ่านวงแขนที่โอบกระชับ แค่นี้

ก็เพียงพอแล้วกับสถานการณ์แห่งความตึงเครียด แค่นี้ก็ทำให้เขาหลับตาลงได้อย่างมีความสุข






               ศึกระหว่างรัตนปุระนครและอุดรรังษีล่วงเข้าไปแล้วเป็นสัปดาห์ เหล่าทหารหาญพลีชีพเพื่อแผ่นดินและศักดิ์ศรีเป็นจำนวน

มาก ที่เหลือก็เริ่มอ่อนระโหยโรยแรงไปตามๆกัน เจ้าฟ้าวัชรศรแห่งอุดรรังษีกระทำเพียงวางแผนการรบอยู่ในพลับพลาเพราะพระองค์มั่น

พระทัยในฝีมือทหารของพระองค์


               “จะกระทำการอันใดต่อดีพะย่ะค่ะ”


              นายทหารคนสนิทกราบทูลถามขณะที่เจ้าเหนือหัวทรงใช้กล้องยาวสำหรับส่องทางไกลที่ได้มาจากการค้ากับฝรั่งมังค่าส่อง

เหตุการณ์ในสนามรบ เจ้าฟ้าวัชรศรทรงคลี่โอษฐ์แย้มสรวลหากแต่พระเนตรกลับโชนด้วยไฟแค้น


               “คงใกล้ถึงเวลาที่จะต้องเผด็จศึกรัตนปุระนครเสียที ข้าเองก็เบื่อที่ต้องเล่นเอาเถิดกับไอ้อาทิตย์เต็มทน”


                ปลายหัตถ์หมุนวงล้อบังคับกล้องส่องทางไกลไปในทิศทางที่ต้องการ หากแต่ปลายหัตถ์นั้นกลับชะงักเมื่อภาพที่ปรากฏใน

กล้องทำให้พระองค์ทรงเห็นใครบางคนที่กำลังสู้รบอยู่บนหลังม้า เจ้าฟ้าวัชรศรทอดพระเนตรบุคคลในจอภาพอย่างสนพระทัย แม้จะ

มองเห็นในระยะไกลหากเค้าหน้าและอาภรณ์ในชุดเกราะนั้นทำให้พระองค์รู้ว่าบุรุษบนหลังม้าหาใช่ทหารธรรมดา

                 ใบหน้านั้นคล้ายคลึงกับเจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์และเจ้านางปะวะหล่ำ เจ้าฟ้าวัชรศรมั่นพระทัยว่านั่นคือหน่อเนื้อเชื้อกษัตริย์โดย

ไม่ต้องสงสัย หากแต่ที่ทำให้สนพระทัยจนไม่อาจละสายพระเนตรกลับเป็นบุคลิกที่คลับคล้ายกับใครคนหนึ่งที่แอบอยู่ในซอกมุมลึกๆใน

ความทรงจำของพระองค์มาเนิ่นนานและไม่เคยลบเลือนไปได้ ใครบางคนที่พระองค์หวังจะครอบครองแต่ก็ต้องทรงผิดหวัง


                  “โกมุท!”


                  ภาพของชายหนุ่มที่มีใบหน้างดงามหากแต่กลับทรนงในศักดิ์ศรีจนไม่ยอมพลีกายให้ได้เชยชมทับซ้อนอยู่บนภาพของพระ

โอรสของเจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์


                  “ลูกชายของไอ้อาทิตย์มันชื่ออะไรนะ”


                ตรัสถามนายทหารคนสนิทโดยที่พระเนตรยังไม่ยอมละจากภาพในกล้องส่องทางไกล


                “กราบทูลฝ่าพระบาท พระนามว่าเจ้าชายอินทัชธราธิปพะย่ะค่ะ”


                 อินทัชธราธิป!


                 ทบทวนชื่อนั้นอยู่ในพระทัย ทรงกัดโอษฐ์ใคร่ครวญวิเคราะห์ความเป็นไปได้ก่อนจะแย้มสรวลออกมา


                  “สั่งการลงไป ในวันพรุ่งนี้จงดำเนินการตามแผนที่ข้าได้สั่งไว้ เราจะจัดการรัตนปุระนครให้สำเร็จลุล่วง และบางทีข้าอาจจะ

ได้ของดีติดไม้ติดมือกลับไปอุดรรังษีตอบแทนความเหน็ดเหนื่อยให้คุ้มค่า”





มีต่ออีกนิด...


หัวข้อ: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >>บทที่26 100% 16/8/59
เริ่มหัวข้อโดย: Belove ที่ 16-08-2016 00:28:06
ต่อกันตรงนี้...


                   เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ทรงตื่นจากบรรทมตั้งแต่ฟ้ายังไม่สางด้วยความกังวลในสถานการณ์ของศึกอันยิ่งใหญ่ ทัพของอุดรรังษี

ที่มีเจ้าฟ้าวัชรศรเป็นประมุขนั้นเก่งกล้ายิ่งกว่าสมัยที่ยังเป็นเพียงเจ้าชายมากนัก แม้ว่ารัตนปุระนครจะชำนาญภูมิประเทศมากกว่าแต่ก็ดู

เหมือนจะไม่ได้เปรียบอะไรเลย

                  ทรงก้าวพระบาทออกมานอกพลับพลาเพื่อครุ่นคิดหาวิธีแก้ไขปัญหา แต่ความคิดกลับหยุดชะงักเมื่อเห็นร่างสูงที่ก้าวออก

มาจากพลับพลาของพระโอรสที่อยู่ไม่ห่างกัน


                “อัคคี”


                ขานนามนั้นออกไปโดยไม่ติดขัดในความทรงจำสักนิด ร่างสูงนั้นหยุดเท้าและโค้งคำนับเมื่อเจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ทรงก้าวมา

หยุดเบื้องหน้า


                 “ตื่นเช้าเหมือนกันนะเจ้า”


                “ขอเดชะ หม่อมฉันตื่นเช้าเสียจนเคยแล้วพะย่ะค่ะ”


                ทอดพระเนตรใบหน้าที่ปิดดวงตาเสียข้างหนึ่งและบดบังด้วยหนวดเครา หากแต่ที่ถูกพระทัยคือความองอาจผึ่งผายในกริยา

แม้ว่าจะค้อมศีรษะลงก็ยังมิอาจลดความสง่างามลงได้ ยิ่งทอดพระเนตรความรู้สึกบางอย่างก็ยิ่งเอ่อล้นอยู่ในพระทัยอย่างบอกไม่ถูก


              “ฝีมือการต่อสู้ของเจ้าดีมาก ใครสอนเจ้ามา”


               “พ่อของหม่อมฉันนามว่าสมิงพะย่ะค่ะ”


              คำตอบนั้นทำให้เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ทรงขมวดพระขนงด้วยความสงสัย


             “จำได้ว่าพ่อของเจ้าชื่อบัว แล้วเหตุใดยังมีพ่อชื่อสมิงอีกเล่า ทำไมถึงมีพ่อสองคน”


              อันที่จริงมีพ่อสามคน

             อัคคีต่อประโยคนั้นในใจ แต่เขาทำเพียงยืนเงียบและจ้องมองกษัตริย์แห่งรัตนปุระนครด้วยสายตาที่ยากจะอ่านออก


            “ช่างเถอะ ข้าไม่อยากละลาบละล้วงเรื่องส่วนตัวของเจ้า”


             ทรงทอดถอนพระทัยก่อนจะละสายตาจากใบหน้านั้นไปยังสมรภูมิเบื้องหน้า


             “ข้าคิดว่าวัชรศรคงจะโจมตีอย่างหนักในเร็วๆนี้ ข้าเป็นห่วงรัตนปุระนครเหลือเกิน เกรงว่ามันจะจบสิ้นลงในสมัยของข้า”

แปลกพระทัยที่กล้าตรัสความในใจออกไปกับชายหนุ่มที่เป็นเพียงองครักษ์ของพระโอรส ราวกับไว้วางพระทัยมากมายนักทั้งที่ก็เพิ่งพบ

กันไม่กี่ครั้ง อัคคีหน้ายิ่งขรึมหนักเมื่อได้ยินประโยคนั้น


                “รัตนปุระนครไม่มีทางจบสิ้น เราจะไม่แพ้ศึกนี้พะย่ะค่ะ”


                คำพูดที่เต็มไปด้วยความมั่นใจของชายหนุ่มรุ่นลูกกลับสร้างความมั่นพระทัยให้กับเจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ได้อย่างประหลาด ทรง

หันกลับมาทอดพระเนตรใบหน้านั้นอีกครา


                 “จะห่วงก็แต่อินทัช ลูกของข้าถูกเลี้ยงดูมาอย่างทนุถนอมเกินไป”


                 “หม่อมฉันรับรองด้วยชีวิตของหม่อมฉัน เจ้าชายอินทัชจะไม่ได้รับอันตรายใดๆแม้แต่รอยเล็บข่วนพะย่ะค่ะ”


                  คำสัญญานั้นช่างมั่นคงจนเจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์มั่นในพระทัยนักว่าอัคคีจะกระทำดังที่พูด ทรงมั่นพระทัยจนกระทั่งล้วงหัตถ์

เข้าไปในฉลองพระองค์และหยิบบางอย่างออกมา


                  “นี่คือเข็มกลัดตราลัญจกรของข้า เจ้าจงเก็บมันไว้กับตัวอย่าให้ใครได้มันไป หากเกิดอะไรขึ้นกับข้าจงมอบมันให้แก่อินทัช

แต่เพียงผู้เดียว เข้าใจไหมอัคคี”


                อัคคีก้าวเข้าไปหาประมุขแห่งรัตนปุระนคร แม้จะหนักใจกับหน้าที่สำคัญที่แสนใหญ่หลวงแต่อัคคีก็ไม่ปฏิเสธ เขายื่นมือออก

ไปให้เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ทรงวางเข็มกลัดอันเป็นสัญลักษณ์ของผู้นำแคว้นลงบนฝ่ามือของเขา

                 เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ทรงวางเข็มกลัดนั้นลงไป หากแต่ขณะปล่อยพระหัตถ์ออกสายพระเนตรกลับมองเห็นแสงวาววับลอดมา

จากเศษผ้าสีดำมอที่ห่อหุ้มอยู่บนนิ้วของอัคคี พระทัยของพระองค์กระหน่ำด้วยความตื่นเต้นและรีบคว้าข้อมือของอัคคีไว้ทันที

                 ความงดงามของเพชรบนยอดแหวนกระจ่างจ้าสะท้อนกับแสงของดวงอาทิตย์ที่กำลังฉายฉานริมขอบฟ้า อัคคีตกใจที่เผลอ

เรอให้เศษผ้าเก่าคร่ำหลุดลุ่ยจนสิ่งที่ซ่อนอยู่เปิดเผยขึ้นมา เขาได้แต่ยืนนิ่งเมื่อเห็นท่าทีตกตะลึงของเจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์และไม่กล้าที่จะ

ชักมือกลับ

                เพชรงามนั้นมีเพียงชิ้นเดียว และเป็นเพชรบนยอดแหวนที่ทรงประทานให้แก่คนที่ไม่เคยหายไปจากหัวใจได้ หากแต่บัดนี้

มันกลับมาอยู่บนนิ้วของอัคคี เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ทรงนิ่งงันและคิดถึงเหตุผลร้อยแปดที่จะเป็นไปได้แต่ก็นึกไม่ออกในเมื่อผู้ที่เคยสวม

แหวนวงนี้ตายจากไปเมื่อสิบแปดปีที่แล้ว


              “อัคคี เจ้าได้แหวนวงนี้มาได้อย่างไร”


               “เอ่อ...”


              อัคคีหาข้อแก้ตัวอย่างรวดเร็ว เรื่องของพ่อบัวจะยังเปิดเผยไม่ได้ตอนนี้


              “พ่อของหม่อมฉันได้แหวนมาจากร้านขายของเก่าพะย่ะค่ะ”


              “ไม่จริง!”


                 เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์เตรียมที่จะซักฟอกความจริงให้กระจ่าง หากแต่เสียงสะเทือนเลื่อนลั่นกลับขัดจังหวะไว้ จำเป็นที่จะต้อง

ปล่อยอัคคีและหันไปมองกลางสมรภูมิเมื่ออุดรรังษีเริ่มเปิดศึกรบในวันใหม่แล้ว


          TBC

 :ling3: :ling3:



หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >>บทที่26 100% 16/8/59
เริ่มหัวข้อโดย: kms ที่ 16-08-2016 00:48:57
อยากให้เจ้าอาทิตย์กับพ่อบัวเจอกันจังเลยๆ
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >>บทที่26 100% 16/8/59
เริ่มหัวข้อโดย: iNcamisang ที่ 16-08-2016 08:24:32
เข้มข้นมากกก ตื่นเต้นๆๆๆ
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >>บทที่26 100% 16/8/59
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 16-08-2016 08:41:05
 o13   ลุ้นนน
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >>บทที่26 100% 16/8/59
เริ่มหัวข้อโดย: Silvan ที่ 16-08-2016 10:51:13
ม่ายยยยยยย อย่ามาแย่งพ่อบัวไปจากพ่อสมิงนะ

เค้าไม่ยอมมมมมมมม :ling1:

ถ้าสามพีจะยอมให้คุณอาทิตย์เข้าตี้ก็ได้นะ
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >>บทที่26 100% 16/8/59
เริ่มหัวข้อโดย: lady_panko ที่ 16-08-2016 17:14:42
อร๊ายยยย รุ่นขุ่นพ่อเค้าจะลงเอยกันอย่างไร

อยู่เป็นคู่ชู้ชื่นสามคนไปเลยได้มั้ย เลือกไม่ได้เลย สำคัญทุกคน
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >>บทที่26 100% 16/8/59
เริ่มหัวข้อโดย: Nus@nT@R@ ที่ 16-08-2016 18:15:10
อยากให้เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์เจอกับพ่อัวสักครั้ง
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >>บทที่26 100% 16/8/59
เริ่มหัวข้อโดย: sosi ที่ 16-08-2016 18:34:29
ลุ้นๆๆอาทิตย์จะรู้ความจริงเมื่อไหร่?
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >>บทที่26 100% 16/8/59
เริ่มหัวข้อโดย: nunda ที่ 16-08-2016 23:24:34
ลุ้นมากกกกกก
ขออย่าให้เหตุการณ์ร้ายแรงมากนะคะ (T_T)
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >>บทที่26 100% 16/8/59
เริ่มหัวข้อโดย: Freja ที่ 17-08-2016 02:33:31
พ่อบัวของพ่อหมิงนะ   เจอกันอีกทีได้แต่ขอแค่เคลียร์กันก็พอนะ  สงสารพี่หมิง

อัคคีน่าจะเป็นตัวพลิกแผนร้ายของนังแม่กับเจ้ามือเหล็ก

งวดนี้ขอหัวเลยแล้วกันนะ  แค่มือไม่หายแค้นหรอก

เอามาเซ่นตาพ่อบัว
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >>บทที่26 100% 16/8/59
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 17-08-2016 08:31:21
รอตอนต่อไป~
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >>บทที่26 100% 16/8/59
เริ่มหัวข้อโดย: KnightDevil ที่ 17-08-2016 11:35:28
โอย ลุ้นมาก ขอให้แฮปปี้ทุกคู่น้า คือสงสารพ่ออาทิตย์ไม่ได้รู้แผนร้ายเลยต้องทนทุกข์คิดถึงมากี่ปี พ่อบัวพ่อสมิงสามพีเถอะ :mew2:
หัวข้อ: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >>บทที่27 18/8/59
เริ่มหัวข้อโดย: Belove ที่ 18-08-2016 00:07:44


                                                           บัลลังก์รักใต้เงาแค้น

                                                                  บทที่  27



               อุดรรังษียิงปืนใหญ่เปิดศึกเช้ากว่าทุกวัน ดวงอาทิตย์ยังไม่ทันอวดแสงเต็มที่รัตนปุระนครก็ต้องตั้งทัพรับการบุกเสียแล้ว  และ

ในวันนี้อุดรรังษีก็รุกจนทัพของรัตนปุระนครระส่ำระสายไปหมด


               “สกัดไว้ อย่าให้พวกมันโจมตีเข้ามาได้”


               กระแสรับสั่งของเจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ศตรัศมิ์ซึ่งบัญชาการรบด้วยองค์เอง พระพักตร์ตึงเครียดเมื่อเห็นแนวทัพด้านหน้าถอยร่น

ลงมาทุกขณะ เสนาธิการฝ่ายทหารลงมาร่วมทำศึกครานี้จนหมดสิ้น แต่อุดรรังษีก็แข็งแกร่งเหลือเกิน


               “พระบิดา เหตุใดวันนี้เราจึงตอบโต้มันไม่ได้เลยพะย่ะค่ะ”


               เจ้าชายอินทัชธราธิปตรัสถามด้วยความหงุดหงิดขณะควบอาชาตรงเข้ามาหา เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์เองก็มีสีพระพักตร์บึ้งตึงไม่

แพ้กัน


               “วันนี้พวกมันจู่โจมรวดเร็วมาก เหมือนกับว่าที่ผ่านมาอุดรรังษียังไม่ได้เอาจริง แต่พอมาวันนี้มันบุกเราจนแทบจะรั้งไม่ไหว แต่

ถึงอย่างไรเราก็ต้องสู้ ระวังตัวให้มากอินทัช”


               ตรัสจบก็ทรงควบม้าไปทางด้านที่ยังเสียเปรียบทันที อัคคีจึงบังคับม้ามากระหนาบข้างเจ้าชายอินทัช     


               “ข้าคิดว่าอุดรรังษีต้องมีกลอุบายอันใดแน่ๆ”


               “ไม่ว่าเป็นอุบายใดเราก็จะไม่มีวันยอมให้มันชนะได้”


               เจ้าชายอินทัชตรัสด้วยขัตติยะมานะก่อนจะหันไปให้ความสนใจกับข้าศึกที่เริ่มดาหน้าเข้ามาโดยมีอัคคีที่สู้เคียงข้างอยู่บน

หลังม้าไม่ห่างกันนัก แต่อยู่ๆลางสังหรณ์บางอย่างก็พุ่งวาบเข้ามาจนพระโลมา(ขน)ลุกชันต้องหันขวับไปมองจนได้สบตากับดวงตาคู่หนึ่ง

ที่อยู่ไม่ไกลนัก ดวงตาคู่นั้นบอกถึงความมั่นใจและกำแหงหาญ เจ้าชายอินทัชถึงกับกัดโอษฐ์จนห้อเลือดเมื่อเลื่อนพระเนตรลงมาเห็นมือ

ข้างหนึ่งที่เป็นตะขอเงิน


               เจ้าฟ้าวัชรศร!

               ไม่ผิดแน่ เจ้าชายอินทัชทรงมั่นพระทัยยิ่งกว่าสิ่งใดทั้งหมด ความเกลียดชังวูบขึ้นมาเมื่อเห็นนัยน์ตาท้าทายราวกับจะเรียก

ร้องให้พระองค์ต่อกรด้วย


               “เลวทรามที่สุด”


               บริภาษอย่างลืมองค์พลันตบพระบาทเข้าใส่สีข้างของม้าประจำพระองค์ให้กระโจนเข้าใส่ต้นเหตุแห่งศึกครานี้ อัคคีที่ยังต่อสู้

พัวพันถึงกับตกใจเมื่อเห็นเจ้าชายอินทัชกระทำเช่นนั้น


               “อินทัชอย่าไป กลับมา”


               อัคคีดึงบังเหียนม้าให้หันหน้าไปยังทิศเดียวกับเจ้าชายอินทัช และเตรียมจะควบทะยานตามไป หากแต่เขากลับถูกขัดขวาง

ด้วยนายทหารใบหน้าดุดันที่อัคคีจำได้ว่าเป็นคนสนิทของเจ้าฟ้าวัชรศร


               “หลีกทางให้ข้า”


               คำรามลั่นด้วยความโมโห ใจยิ่งเป็นห่วงเมื่อเห็นเจ้าชายอินทัชยกดาบกวัดแกว่งเข้าใส่เจ้าฟ้าวัชรศรที่ตั้งรับอย่างใจเย็นและมี

ชั้นเชิง นายทหารที่ขวางอยู่จึงแค่นยิ้มก่อนจะบุกเข้าหาอัคคีเขาจึงรีบตอบโต้อย่างดุเดือด แต่นายทหารคนนี้มีฝีมือร้ายกาจกว่าที่คิดจน

แม้แต่อัคคีก็ยังไม่สามารถคว่ำลงได้


               “อินทัช!”


               หัวใจยิ่งเดือดเป็นไฟเมื่อเห็นเจ้าชายอินทัชพลาดท่าเสียทีจนร่วงลงมาจากหลังม้า แต่สิ่งที่อัคคีไม่นึกฝันก็พลันบังเกิดเมื่อเจ้า

ฟ้าวัชรศรทะยานเข้ารวบบั้นพระองค์ของเจ้าชายอินทัชไว้ได้


               “ปล่อยอินทัชเดี๋ยวนี้”


               คิดจะติดตามด้วยหัวใจร้อนรุ่ม แต่คนสนิทของเจ้าฟ้าวัชรศรกลับไม่ยอมให้เขากระทำได้ดังใจ อัคคีตอบโต้อย่างขาดสติจน

กระทั่งเขามองไม่เห็นลูกธนูที่ลอยมากลางอากาศจากฝั่งของอุดรรังษีและพุ่งเข้าปักที่หัวไหล่ของเขา


               “โอ๊ย!


               ยังไม่ทันตั้งตัวทหารคนสนิทของเจ้าฟ้าวัชรศรก็ควบม้าเข้าใกล้และยกเท้าถีบซ้ำเข้ามาใกล้กับบาดแผลจนอัคคีเสียหลักร่วง

หล่นจากหลังม้าไปอยู่บนพื้น แถมยังเงื้อดาบฟันลงมาที่คอของม้าจนมันแน่นิ่งเพื่อให้มั่นใจว่าอัคคีไม่สามารถติดตามไปได้ อัคคีลุกขึ้น

ยืนมองตามหลังเจ้าฟ้าวัชรศรที่ชิงตัวของเจ้าชายอินทัชไปได้ด้วยความเจ็บใจ เขากัดฟันดึงลูกธนูออกจากหัวไหล่ ดีที่บาดแผลนั้นไม่ลึก

จนอาการสาหัส

               เสียงโห่ร้องของอุดรรังษียิ่งตะโกนกึกก้องปนเปกับเสียงฮือฮาอย่างขวัญเสียของทัพรัตนปุระนคร การรบพากันปั่นป่วนหนัก

และอุดรรังษีก็ยิ่งดาหน้ากันเข้ามาจนยากจะต้านทาน


               “ฟ้าฟื้น”


               อัคคีมองเห็นฟ้าฟื้นอยู่ในขบวนทัพที่ถอยร่นเข้าไปในเขตของรัตนปุระนครมากขึ้นเรื่อยๆเขาจึงรีบคว้าแขนของเพื่อนสนิทไว้

แล้วเอ่ยถามทันที


               “เกิดอะไรขึ้นทัพจึงเสียขบวนเช่นนี้”


               “มีข่าวด่วนจากในวังว่าไอ้พวกอุดรรังษีมันเล่นไม่ซื่อ มันส่งกำลังพลตลบหลังและบุกเข้าไปในพระราชวัง”


               อัคคีใจหายวาบ ห่วงทั้งเจ้าชายอินทัชและพระราชวังหลวงอันเป็นหัวใจของแคว้น เขารีบคิดแก้ปัญหาเฉพาะหน้าอย่าง

รวดเร็ว


               “ฟ้าฟื้น เจ้ารีบรุดไปยังหุบผากาฬบัดเดี๋ยวนี้”


               เขาสั่งเพื่อนสนิท ฟ้าฟื้นขมวดคิ้วอย่างงงงัน


               “จะบ้าหรืออัคคี นี่ใช่เวลาที่จะให้ข้ากลับหุบผากาฬหรือ”


               “เวลานี้แหละเหมาะสมที่สุด” อัคคียืนยัน


               “เร่งไปหาพ่อสมิง บอกพ่อว่าข้าขอแรงช่วยเพื่อบ้านเมือง อย่างน้อยหุบผากาฬที่เราอาศัยก็อยู่ในเขตรัตนปุระนคร ข้าไม่อยาก

ให้เราแพ้ต่ออุดรรังษี”


               “เจ้าจะให้โจรป่าอย่างเราทำอะไรอัคคี”


               “โจรป่าอย่างเราจะทำอะไรได้ดีไปกว่าลอบเข้าไปในวังหลวงและเข่นฆ่าไอ้พวกข้าศึกเสียให้สิ้นเล่า อ้อ ฟ้าฟื้น และถ้าพ่อบัว

ของข้าไม่ยอมกระทำดังที่ข้าบอก ก็จงบอกพ่อบัวว่า ขอให้วางความแค้นส่วนตัวลงและทำทุกอย่างเพื่อบ้านเมืองก่อน สิ้นสุดจากเหตุร้าย

นี้แล้วแค้นของพ่อบัวจะต้องได้รับการชำระ ไปได้แล้วฟ้าฟื้น”


               อัคคีเหลียวมองหาม้าศึกที่ไร้คนขี่ เขาและฟ้าฟื้นวิ่งไปยังม้าเหล่านั้นก่อนจะกระโจนขึ้นขี่ ฟ้าฟื้นรีบควบม้าจากไปทันทีในขณะ

ที่อัคคีรีบบังคับม้าของเขาให้พุ่งตรงไปยังเจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ที่ทรงเหลียวมองหาพระราชโอรส


               “อัคคี อินทัชล่ะ”


               “พระอาญามิพ้นเกล้า เจ้าชายอินทัชถูกกลลวงของเจ้าฟ้าวัชรศรและถูกจับตัวไปพะย่ะค่ะ”


               “วัชรศร เลวมาก!”


               หทัยของคนเป็นพ่อยิ่งปริวิตกด้วยความเป็นห่วงลูก แต่ศึกหนักตรงหน้าและยังโดนตลบหลังด้วยการบุกเข้าไปในเขต

พระราชวังก็ยังละทิ้งไปมิได้


               “หม่อมฉันจะไปช่วยเจ้าชายอินทัช”


               “มันอันตรายมากและเจ้ายังบาดเจ็บ”


               “อันตรายแต่หม่อมฉันก็จะไปพะย่ะค่ะ เพราะเจ้าชายอินทัชคือชีวิตของหม่อมฉัน”


               อัคคียืดกายองอาจ เขาดึงผ้าคาดปิดดวงตาออกโยนทิ้ง สร้างความตกตะลึงให้แก่เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์เป็นอันมาก เพราะเมื่อได้

เห็นใบหน้าของอัคคีเต็มตาแม้ว่าจะยังเหลือหนวดเคราบดบัง แต่ก็เห็นได้ชัดว่าใบหน้านั้นมีพิมพ์เดียวกับพระราชโอรสของพระองค์ไม่มี

ผิด


               “อัคคี เจ้า!”


               “อย่าเพิ่งตรัสสิ่งใดเลยพะย่ะค่ะ ตอนนี้เวลาไม่คอยเราแล้ว หม่อมฉันขอกำลังส่วนหนึ่งเพื่อไปช่วยอินทัช”


               “ได้ ข้าอนุญาตตามที่เจ้าต้องการ”


               อัคคีโค้งคำนับรับราชโองการ ก่อนที่เขาจะจากไปจึงเงยหน้าขึ้นสบสายพระเนตรที่ระคนด้วยความรู้สึกตื้นตันดีใจและเป็น

กังวลในสิ่งที่เกิดขึ้น


               “รักษาพระองค์ด้วยพะย่ะค่ะ หม่อมฉันจะรีบกลับมาพร้อมอินทัช”


                ทอดพระเนตรตามแผ่นหลังนั้น ความอิ่มเอมพระทัยบังเกิดจนล้นปรี่พร้อมสังหรณ์ใจถึงเจ้าของแหวนที่พระองค์เคยประทาน

ให้ว่าอาจจะยังมีลมหายใจอยู่ ทำให้เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ทรงมีพลังขึ้นมาอีกครั้ง


               “ตีกระหนาบพวกมัน ให้อุดรรังษีได้รู้จักศักดิ์ศรีของพวกเรารัตนปุระนคร”


               เหล่าไพร่พลทหารหาญเมื่อเห็นผู้นำของพวกเขาเข้มแข็งกำลังใจก็กลับคืนมาสู่กองทัพ เสียงโห่ร้องจึงดังกึกก้องเสียยิ่งกว่า

เก่าและพร้อมใจกันต่อสู้กับข้าศึกที่มารุกรานบ้านเมือง








               “ปล่อย ปล่อยเรานะ!”


               แม้จะโวยวายและดิ้นรนเพียงใดเจ้าชายอินทัชก็ยังไม่หลุดรอดจากการจับกุมโดยเจ้าฟ้าวัชรศร องค์บางถูกจับคว่ำหน้าพาด

อยู่บนหลังม้าเบื้องหน้าผู้ควบคุม และเมื่อเข้ามาในเขตพลับพลาชั้นในของที่ตั้งทัพฝั่งอุดรรังษีจนวางพระทัยว่าปลอดภัยแล้วเจ้าฟ้าวัชร

ศรจึงบังคับให้อาชาหยุดวิ่ง ทรงเหวี่ยงเชลยลงไปกับพื้นก่อนจะกระโดดตามลงมา และทรงตวัดพระแสงดาบจ่อไปที่พระศอของเจ้าชาย

อินทัชทันที


               “โวยวายให้เกิดประโยชน์อันใดเล่าหลานชาย เหนื่อยเสียเปล่าๆ”


               เจ้าชายอินทัชรีบลุกขึ้นยืน ทรงหักห้ามความหวาดหวั่นและเชิดพักตร์อย่างทรนงแม้จะรู้องค์ว่าตกเป็นตัวประกันของเจ้าฟ้า

วัชรศรเสียแล้ว


               “พระองค์หลอกล่อหม่อมฉันมาด้วยเล่ห์”


               ตรัสด้วยความกริ้ว หากแต่กิริยานั้นกกลับไม่ได้ทำให้เจ้าฟ้าวัชรศรเดือดร้อนพระทัยแม้แต่น้อย


               “ไม่ดีรึ ถือเสียว่าข้าสอนเจ้าให้รู้จักกลวิธีของการศึกก็แล้วกันนะ”


               ความสนใจในตัวเจ้าชายตัวประกันหยุดลงชั่วครู่เมื่อนายทหารคนหนึ่งรีบก้าวเข้ามารายงานสถานการณ์


               “กองกำลังที่ส่งไปโจมตีประตูทางด้านหลังพระราชวังของรัตนปุระนครกำลังจะทำสำเร็จพะย่ะค่ะ มานพกำลังจะลอบเปิด

ประตูวังให้เรา”


               เจ้าชายอินทัชตกพระทัยจนแทบสิ้นสติ เล่ห์กลและอุบายของเจ้าชายวัชรศรนั้นมีมากมายเหลือเกิน หากแต่ที่สะกิดพระทัย

ของพระองค์มากกว่านั้นก็คือนามว่ามานพ มานพไหนที่จะลอบเปิดประตูวัง เพราะมีเพียงคนเดียวที่พระองค์รู้จักนั่นก็คือนายทหารคน

สนิทของเจ้านางปะวะหล่ำนั่นเอง เจ้าชายอินทัชได้แต่ภาวนาว่าลางสังหรณ์ของพระองค์จะผิดพลาด


               “ดีมาก ตอนนี้เรากำลังได้เปรียบ ทัพของรัตนปุระนครกำลังระส่ำระสาย ยิ่งถ้ารู้ว่าเจ้าชายรัชทายาทอยู่ในมือของข้าแล้วก็

คงจะยิ่งเสียขบวนมากกว่านี้ สั่งการไปให้โจมตีขั้นสุดท้าย และเมื่อใดที่ยึดเข้าวังได้ ชัยชนะจะเป็นของอุดรรังษีอย่างเด็ดขาด”


               รับคำสั่งแล้วจึงรีบนำไปปฏิบัติอย่างรวดเร็วจนเหลือนายทหารคนสนิทไม่กี่คนกระจายตัวกันอยู่ เจ้าชายอินทัชไม่แปลก

พระทัยเลยที่อุดรรังษีได้ชื่อว่ามีกองกำลังทหารที่แข็งแกร่งกว่าใคร ทรงเกร็งองค์ทันทีเมื่อเจ้าชายวัชรศรกดดาบลงที่ซอกพระศอของ

พระองค์


               “เดิน”


               จำต้องยอมทำตามคำสั่งนั้น เจ้าชายวัชรศรทรงยืนอยู่เบื้องหลังและบังคับด้วยดาบให้เจ้าชายอินทัชก้าวเข้าไปในพลับพลา

ส่วนพระองค์ และเมื่อต้องอยู่ในที่ลับตาคนเพียงลำพังกับกษัตริย์อันเหี้ยมโหดความหวาดหวั่นก็มาเยือนจนพระทัยแทบหยุดเต้น

               ได้ยินเสียงเก็บดาบคืนเข้าฝักจากบุรุษที่ยืนอยู่เบื้องหลัง แต่เจ้าชายอินทัชก็ยิ่งตกพระทัยยิ่งกว่าเดิมเมื่อมือตะขอเงินกำลัง

แตะตรงซอกพระศอแทนดาบ ความเย็นของมือนั้นทำให้เจ้าชายอินทัชหนาวจับใจ


                “รู้ไหมว่าทำไมข้าถึงเกลียดรัตนปุระนครนัก”


               ปลายคมของตะขอลากไล่จากซอกคอเลื่อนมาหยุดอยู่ที่คาง หัตถ์อีกข้างที่เหลือตบหนักลงไปที่บ่าของเชลยจนสะดุ้งโหยง

และบังคับให้ไหล่บางหันกลับมาเผชิญหน้ากับพระองค์ เจ้าฟ้าวัชรศรทอดพระเนตรพักตร์งามอย่างติดพระทัย นัยน์ตาดำขลับนั้นมี

ประกายกล้าแกร่งและหยิ่งในศักดิ์ศรีเหมือนใครบางคนที่พระองค์เคยใช้เป็นดั่งเชลยเช่นนี้ไม่มีผิด


               “เพราะว่าคนจากรัตนปุระนครมักจะทำให้ข้าพึงใจได้เสมอ”


               นัยน์ตาวาววามผิดปกติ ราวกับมันฉายโชนถึงความกระหายออกมาให้ได้รู้ ความประหวั่นพรั่นพรึงดำเนินเข้ามาสู่พระทัยของ

เจ้าชายอินทัชอย่างรวดเร็วเมื่อพอจะเข้าใจในความหมายของสายตาคู่นั้น


               “หม่อมฉันไม่เข้าใจ หากพระองค์พึงใจแล้วเหตุใดต้องทำลายรัตนปุระนครด้วยเล่า”


               ริมโอษฐ์ของเจ้าฟ้าวัชรศรผุดรอยแย้มสรวลออกมา ทรงใช้ปลายตะขอเงินเชยคางของเจ้าชายอินทัชก่อนจะใช้มันไล้ไปตาม

แก้มเนียนจนเจ้าชายอินทัชแทบผวา


               “เพราะคนที่ทำให้ข้าพึงใจนั้นไม่ยอมทำตัวให้สมกับที่ข้าพึงใจ ถ้าหากทำตัวน่ารักว่าง่ายสักนิด อยากได้สิ่งใดรับรองว่าวัชรศร

คนนี้จะหามาให้ทุกอย่างแม้แต่ดาวกับเดือน แต่คนผู้นั้นกลับขัดใจข้าและที่สำคัญคือบังอาจวนเวียนอยู่ในใจข้าจนไม่อาจลืมเลือน”


               ท่อนพระกรอีกข้างคว้าบั้นพระองค์ของเจ้าชายอินทัชเข้าหาอย่างรวดเร็ว เจ้าชายอินทัชขืนองค์ไว้พลางผลักไสหากแต่ไม่

สำเร็จ ได้แต่นึกหวาดกลัวขยะแขยงเหลือเกิน


               “และในวันนี้รัตนปุระนครก็กลับมีเจ้า ที่ทำให้ข้าต้องหวนคิดไปถึงอดีต”


               “หม่อมฉันกับคนๆนั้นเป็นคนละคนกัน พระองค์จะโยงเข้าหากันมิได้”


               เบี่ยงพักตร์หลบเลี่ยงเมื่อเจ้าฟ้าวัชรศรก้มต่ำลงทุกทีจนปลายจมูกเฉียดปรางนุ่มไปแค่เสี้ยววินาที


               “เป็นคนละคนกันก็ดีแล้ว เจ้าคงฉลาดกว่าคนผู้นั้นและรู้ว่าอะไรควรทำ อะไรไม่ควรทำใช่ไหมพ่อหลานชาย ข้าสัญญาว่าถ้า

เจ้ายินยอมให้ข้าได้เชยชมโดยง่าย ข้าจะไว้ชีวิตพ่อของเจ้าและจะทำเพียงยึดรัตนปุระนครให้เป็นประเทศราชเท่านั้น”


               “เลวทรามต่ำช้ายิ่งกว่าสถุล เสียแรงเกิดมาเป็นชั้นขัตติยะ”


               เจ้าชายอินทัชบริภาษไม่ไว้หน้าและดิ้นรนขัดขืนจากแรงกอดรัด หากแต่เจ้าฟ้าวัชรศรแข็งแกร่งเกินกว่าที่จะฝ่าออกไปได้ มิ

หนำซ้ำยังกระชากคางมนของเจ้าชายอินทัชเข้าหาก่อนจะบดขยี้โอษฐ์ลงมาจนเจ้าชายอินทัชเจ็บไปหมด


               “ปล่อย ไอ้คนเลว”


               ถูกลากไปที่แท่นบรรทมและผลักให้องค์บางหงายไปบนนั้น เต็มไปด้วยความอดสูเมื่อไม่สามารถป้องกันองค์ไว้ได้


               “อัคคี เราขอโทษ”


               อัสสุชลเอ่อท้นเมื่อรู้ว่าเหตุการณ์จะเป็นอย่างไร หากแต่เหมือนสวรรค์ทรงโปรดเมื่อเสียงเอะอะเบื้องนอกฉุดความสนใจจาก

เจ้าฟ้าวัชรศรไปได้ ทรงทอดพระเนตรเชลยอย่างเสียดายก่อนจะลุกขึ้นและรุดไปด้านนอกอย่างรวดเร็ว

                เจ้าชายอินทัชรีบดันองค์ลุกนั่ง พระทัยเต้นรัวไม่เป็นจังหวะเมื่อคิดถึงไม่กี่วินาทีที่ผ่านมาว่าเกือบจะถูกทำลายเกียรติยศด้วย

ฝีมือของเจ้าฟ้าวัชรศร พระเนตรงามเหลียวหลังแลหน้าไปรอบๆพลับพลา พลันสายตากลับสะดุดที่โถใบหนึ่งซึ่งตั้งอยู่บนโต๊ะ เจ้าชายอิน

ทัชรีบก้าวบาทเข้าไป ทรงเห็นเศษกระดาษที่ถูกไฟเผาไหม้ไปส่วนหนึ่งแต่ก็ยังมีอีกครึ่งที่รอดจากไฟ ทรงหยิบเศษกระดาษแผ่นนั้นมา

ถือไว้และเพ่งมองเนื้อในทันที


               พระทัยของเจ้าชายอินทัชร่วงลงไปกับพื้นเมื่อเห็นข้อความที่ยังหลงเหลือ เมื่อข้อความดังกล่าวคือการเอ่ยขอให้อุดรรังษียึด

รัตนปุระนครให้ได้ โดยจะอำนวยความสะดวกให้ตามที่ต้องการ


               ขายชาติ!


               เจ็บไปหมดทั้งทรวงเมื่อจำได้กระทั่งว่าลายมือนั้นเป็นลายมือของใคร



    TBC 

 :katai1: :katai1:                                                          
               
น่าจะจบที่ 30 บทล่ะนะ ใกล้แล้วววว

               
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >>บทที่27 18/8/59
เริ่มหัวข้อโดย: Freja ที่ 18-08-2016 01:00:32
 :hao5:  พ่อหมิงกับพ่อบัวมาแล้ว       อย่าทิ้งหมิงนะบัว   

ต่างคนต่างบุกวังกันก็ท่าจะดีนะ
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >>บทที่27 18/8/59
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 18-08-2016 07:28:36
อัคคีรีบมาช่วยเร็ว!
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >>บทที่27 18/8/59
เริ่มหัวข้อโดย: Silvan ที่ 18-08-2016 12:52:30
เกลียดนักคนขายชาติ  :fire:
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >>บทที่27 18/8/59
เริ่มหัวข้อโดย: KnightDevil ที่ 18-08-2016 15:13:59
อัคคีต้องช่วยอินทัชได้สิ ลุ้นมากค่ะ พ่อบัวสงสารพ่ออาทิตย์ด้วยสิแง
พ่ออาทิตย์โดนหลอกทั้งนั้นเลย สามพีสิแวๆห้ามตายน้า :katai1:
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >>บทที่27 18/8/59
เริ่มหัวข้อโดย: iNcamisang ที่ 18-08-2016 20:33:53
เข้มข้นที่สุดดดดดดดดดด
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >>บทที่27 18/8/59
เริ่มหัวข้อโดย: kms ที่ 19-08-2016 00:01:56
แอบกลัวใจพ่อบัววววว
เด๋วจะเจอกันแล้วใช่มั้ย
ไม่อยากให้จบเศร้าเลยคู่พ่อๆ
หัวข้อ: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >>บทที่28 19/8/59
เริ่มหัวข้อโดย: Belove ที่ 19-08-2016 12:47:55


                                                                บัลลังก์รักใต้เงาแค้น

                                                                       บทที่  28


               อัคคีและเพื่อนทหารที่รวบรวมได้เพียงห้าคนควบม้าเลาะชายป่าอ้อมสนามรบด้วยความเร่งรีบเพราะรู้ดีว่ามีกำลังเพียงหยิบมือ

จึงไม่อาจตีฝ่าการรบย้อนกลับมาทางที่ตั้งทัพอุดรรังษีมาได้ เพราะความชำนาญของเจ้าถิ่นทำให้ใช้เวลาไม่นานนักพวกเขาก็ซุ่มเงียบอยู่

ในเขตที่พักซึ่งไม่มีทหารอุดรรังษีหลงเหลืออยู่แล้ว มีเพียงพลับพลาใหญ่ด้านในเท่านั้นที่ยังมีการเคลื่อนไหว


               “มีคนป้องกันอยู่ด้านนอกราวๆสักสิบคน พวกเราจะไหวไหมวะ”


               หนึ่งในทหารที่มาด้วยกันกระซิบถาม อัคคีไตร่ตรองรอบคอบว่าเขาควรจะกำจัดทหารฝั่งอุดรรังษีเหลือให้น้อยที่สุดก่อนจะบุก

เข้าไปชิงตัวเจ้าชายอินทัชกลับคืนมา คิดได้ดังนั้นอัคคีจึงล้วงอาวุธลับที่ทุกคนในหุบผากาฬพกติดตัวไว้ตลอดเวลาออกมาจากด้านใน

เสื้อเกราะ

               ไม้ซางอันเล็กเพียงนิ้วก้อยแต่ภายในมีเข็มเคลือบสมุนไพรพิษบรรจุอยู่ภายใน อัคคีเล็งปลายกระบอกเข้าใส่นายทหารคนที่

อยู่ใกล้ที่สุดและเป่ามันออกไป เข็มพิษนั้นพุ่งแหวกอากาศตรงเข้าใส่คอหอยจนเหยื่อสะดุ้งตาเหลือก และเพียงไม่กี่วินาทีก็ร่วงลงไป

กองกับพื้น อัคคีกระทำซ้ำกับนายทหารอีกคนจนร่วงตามกัน


               “เฮ้ย เกิดอะไรขึ้น”


               อย่างน้อยก็เก็บไปได้สอง อัคคีทำสัญญาณมือให้เพื่อนทหารออกจากที่ซ่อนเข้าต่อสู้ เขาเก็บไปได้อีกหนึ่งก่อนจะเผชิญหน้า

กับโจทย์เก่าที่เพิ่งจะประลองฝีมือกันเมื่ออยู่กลางสนามรบ แต่คราวนี้อัคคีตั้งสติได้แล้ว เขาสู้อย่างไม่ประมาทและในที่สุดอัคคีก็ใช้ดาบ

ฟันกลางแสกหน้าจนนายทหารผู้นั้นล้มลง

               เสียงดังของการต่อสู้เรียกให้กษัตรย์แห่งอุดรรังษีพุ่งองค์ออกมาจากพลับพลาในที่สุด เจ้าฟ้าวัชรศรทรงกวาดพระเนตรมอง

ลูกน้องที่ล้มตายและส่วนหนึ่งถูกจับกุมตัวไว้ด้วยความเจ็บพระทัยองค์เองที่ทรงชะล่าใจให้ทหารไปรบเสียหมดกองทัพจนไม่เหลือใครที่

จะช่วยพระองค์ได้อีก ทรงจ้องอัคคีด้วยพระเนตรเบิกโพลง นึกแปลกพระทัยเมื่อใบหน้าที่มองเห็นคล้ายคลึงกับเจ้าชายอินทัชเหลือเกิน


               “เจ้าเป็นใคร บังอาจบุกเข้ามาถึงที่นี่ รู้หรือไม่ว่าโทษทัณฑ์คือเช่นไร”


               อัคคีไม่สนคำขู่ เขาจ้องมองเจ้าฟ้าวัชรศรด้วยความเกลียดชัง


               “อินทัชอยู่ไหน”


               “อัคคี เราอยู่นี่”


               เจ้าชายอินทัชก้าวออกมาจากพลับพลา อัคคีใจชื้นเมื่อเห็นว่าทรงปลอดภัยดีความกังวลใจจึงหมดลง เขาจึงมุ่งความสนใจ

ไปที่เจ้าฟ้าวัชรศรและบุกเข้าใส่โดยไม่เจรจาให้มากความ

               เจ้าฟ้าวัชรศรตั้งรับ ทั้งคู่สู้กันอย่างดุเดือดไม่ยอมแพ้ หากแต่ชั้นเชิงและกำลังในวัยหนุ่มของอัคคีได้เปรียบกว่า อัคคียกเท้า

ถีบเข้าที่ลำตัวของเจ้าฟ้าวัชรศรจนล้มลงและปัดพระแสงดาบจนพ้นทาง เขาจ่อดาบเข้าที่พระศอของเจ้าฟ้าวัชรศรทันที


               “พระองค์ปราชัยแล้ว”


               เจ้าฟ้าวัชรศรกัดโอษฐ์จนห้อเลือดเมื่อต้องพ่ายแพ้ อับอายจนพระพักตร์แดงก่ำ พระทัยที่มีแต่ความโกรธแค้นทำให้ไม่

สามารถยอมรับความจริงได้ ทรงใช้มือตะขอกระแทกใส่อัคคีจนเสียหลักก่อนที่จะโผเข้าหาเจ้าชายอินทัชและล็อคพระศอไว้ด้วยมือ

ตะขอ


               “อยากให้มันตายก็ลองเข้ามา”


               เมื่อเข้าตาจนเจ้าฟ้าวัชรศรก็ยอมทิ้งศักดิ์ศรี อัคคีตกใจเมื่อเห็นเจ้าชายอินทัชตกเป็นตัวประกันเช่นนั้น


               “พระองค์เป็นถึงกษัตริย์ ใยจึงประพฤติเช่นคนถ่อยเช่นนี้ ปล่อยตัวอินทัชเดี๋ยวนี้”


               “ข้าทำได้ทุกทางเพื่อชัยชนะ ถ้าไม่อยากให้ไอ้อินทัชตายก็เปิดทางให้ข้า”


               ดวงตาของอัคคีกร้าวไปด้วยไฟโทสะ เขาสบตากับเจ้าชายอินทัชที่จ้องมองเหมือนกับจะสื่อสารอะไรบางอย่าง และยังไม่ทัน

ที่เจ้าฟ้าวัชรศรจะกระทำสิ่งอื่นเจ้าชายอินทัชก็ทรงดึงพระขรรค์เล่มเล็กที่พกอยู่ตรงบั้นพระองค์แล้วแทงเข้าใส่พระนาภีของเจ้าฟ้าวัชรศร

ทันที


               “โอ๊ย!”


               เจ้าชายอินทัชเบี่ยงองค์หนีโดยพลัน ทันใดนั้นอัคคีก็วาดดาบคมกริบของเขาราวกับนัดแนะกันไว้กับเจ้าชายอินทัช คมดาบ

ฟันผ่านลำคอของเจ้าฟ้าวัชรศรจนกระเด็นกระดอนร่วงสู่พื้น โลหิตสีแดงฉานพุ่งจากลำคอที่ไร้ศีรษะราวกับน้ำพุและร่างของเจ้าชายวัชร

ศรก็ล้มลงสู่ผืนดินพร้อมกับเสียงโห่ร้องยินดีของเพื่อนทหาร แต่อัคคีไม่สนใจสิ่งใดนอกจากพุ่งกายเข้าไปหาเจ้าชายอินทัชและสวมกอด

ไว้แน่น


               “ปลอดภัยแล้วอินทัช”


               “อัคคี ขอบใจนะ”


               เมื่อเหตุการณ์ร้ายผ่านไปเจ้าชายอินทัชเพิ่งจะนึกกลัวจนกันแสงออกมา อัคคีลูบพระเกศาอย่างอ่อนโยน


               “ทีหลังอย่าทำอะไรบุ่มบ่ามอีกเข้าใจไหม”


               เจ้าชายอินทัชยิ้มรับทั้งน้ำตา แต่เมื่อนึกได้ว่าศึกนี้ยังไม่จบก็รีบเตือนสติอัคคี


               “อย่ามัวแต่โอ้เอ้อยู่เลย ป่านนี้พวกไพร่พลอุดรรังษีที่ยกไปในวังคงจะตีประตูเมืองแตกแล้วเพราะเรามีหนอนบ่อนไส้”


               “หนอนบ่อนไส้งั้นหรือ”


               “ใช่ อัคคี เราต้องรีบนำพระเศียรของเจ้าฟ้าวัชรศรไปแสดงต่อทหารในสนามรบเพื่อหยุดการต่อสู้ และยกทัพกลับไปจัดการ

กับศึกในวังโดยด่วน”


               ได้ฟังดังนั้นอัคคีจึงไม่รอช้า เขาฉุดแขนของเจ้าชายอินทัชวิ่งไปที่ม้าพร้อมทั้งคว้าพระเศียรของเจ้าฟ้าวัชรศรติดมือไปด้วย







               ไพร่พลร่วมร้อยคนของอุดรรังษีบุกเข้ามาในพระราชวังได้ในที่สุดด้วยการช่วยเหลือลอบไปเปิดประตูวังจากมานพ นายทหาร

คนสนิทของเจ้านางปะวะหล่ำ ทหารรักษาพระองค์ที่ยังเหลืออยู่ต่างก็สู้จนสุดใจหากแต่ส่วนใหญ่ถูกฆ่าฟันเป็นใบไม้ร่วง พวกนางสนม

กำนัลก็ถูกจับกุมตัวรวมกันอยู่ ณ ท้องพระโรง มีเพียงเจ้านางปะวะหล่ำกับนางแก้วกุดั่นเท่านั้นที่ยังดูไม่เดือดเนื้อร้อนใจ


               “นี่ นางแก้ว อยากได้อะไรก็หยิบๆไปเถอะ ถือเสียว่าเป็นของฝากให้แก่ญาติๆของเจ้าเมื่อกลับสู่เหมราช”


               ไม่มีใครกล้าขัดเมื่อเจ้านางปะวะหล่ำก้าวพระบาทเฉิดฉายไปมา จนกระทั่งกำลังพลของเพชรกล้าที่เป็นหน่วยจู่โจมจาก

สนามรบมาถึงเขตราชฐาน


               “บังอาจเหลือเกิน พวกมันเข่นฆ่าและทำลายทรัพย์สมบัติจนไม่เหลือชิ้นดี”


               เพชรกล้ามองอย่างเจ็บปวดเมื่อเห็นร่างของเหล่าทหารนอนตายกันเกลื่อน แต่ก่อนที่เขาจะสั่งการเพชรกล้ามองเห็นคนกลุ่ม

ใหญ่สวมใส่เสื้อผ้าชุดดำพรางหน้าตาควบม้าตรงมายังประตูเมืองโดยที่เบื้องหน้าสุดคือฟ้าฟื้นนั่นเอง เพชรกล้าเดาได้ในทันที


               “ฟ้าฟื้นไปตามพวกโจรจากหุบผากาฬมาหรือนี่ ดีจริงๆ”


               คลี่ยิ้มออกมาได้เมื่อฟ้าฟื้นกระโดดลงจากหลังม้าวิ่งเข้ามาหา ทั้งคู่กอดกันกลมเมื่อได้พบหน้ากันอีกครั้ง


               “พี่เพชร ข้าดีใจที่ได้เจอพี่”


               “พี่ก็ดีใจเช่นกันฟ้าฟื้น แล้วนี่พวกของเจ้างั้นหรือ”


               เพราะทุกคนแต่งกายเหมือนกันและพรางหน้าด้วยผ้าสีดำ เพชรกล้าจึงแยกไม่ออกว่าใครเป็นใครนอกจากชายคนหนึ่งรูปร่าง

สูงใหญ่และดูห้าวหาญกว่าผู้อื่น


               “อย่ามัวแต่ช้าอยู่เลย ยิ่งช้าไอ้พวกศัตรูก็ยิ่งได้ใจ”


               “แล้วจะทำเช่นไรดีล่ะลุงสมิง”


               ฟ้าฟื้นหันไปถามความเห็นทำให้เพชรกล้ารู้นาม ที่แท้ก็คือโจรป่าสมิงอันเลื่องชื่อนั่นเอง


               “พวกเราลอบเข้าไปก่อน เก็บพวกมันจากด้านนอก ให้พวกทหารนำทางไปเพราะชำนาญกว่า เก็บมันได้จนถึงตำแหน่งที่มัน

จับผู้คนไว้ก็ค่อยบุกเข้าไปช่วย หรือท่านจะมีความเห็นเช่นไร”


               สมิงหันมาหารือด้วย เพชรกล้าจึงพยักหน้ารับ


               “ข้าเห็นพ้องกับท่าน พวกเราจะนำทางให้พวกท่านเอง ขอบใจที่มาช่วยครานี้”


               เมื่อตกลงกันเข้าใจแล้ว เพชรกล้าจึงสั่งให้คนของเขาแบ่งเป็นกลุ่ม และแยกไปพร้อมกับโจรจากหุบผากาฬเพื่อจะซุ่มโจมตี

ทหารจากอุดรรังษีที่ยืนกระจายตัวควบคุมสถานการณ์ เพชรกล้านึกทึ่งในความสามารถของเหล่าโจรที่มีวิธีการ “ฆ่า” อย่างเงียบเชียบจน

กระทั่งมองเห็นที่ตั้งของท้องพระโรง เพชรกล้าหันไปสบตากับสมิงก่อนที่เขาจะเป็นผู้นำบุกเข้าไป


               “จัดการพวกมันอย่าให้เหลือ”


               เพชรกล้าออกคำสั่ง ทหารจากอุดรรังษีต่างตกใจเพราะไม่คิดว่าจะมีใครบุกเข้ามาได้ พวกเขารอเพียงทัพใหญ่จากสนามรบ

มาถึงงานก็จะเสร็จสมบูรณ์แต่สิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้กลับไม่เป็นเช่นที่วางแผน


               เสียงกรีดร้องและความวุ่นวายอลหม่านเกิดขึ้นทันที สตรีนางในที่ไม่เคยพบเห็นภาพหวาดเสียวต่างก็ร่ำไห้ด้วยความหวาด

กลัวเมื่อเห็นการต่อสู้ภายในท้องพระโรง เป็นครั้งแรกที่ทหารกับโจรป่าร่วมมือกันฟาดฟันกับศัตรูของบ้านเมืองจนกระทั่งทหารจากอุดร

รังษีถูกฆ่าตายไปเสียเกินครึ่ง ที่เหลือก็ยกมือยอมแพ้ให้จับกุม


               “เกิดอะไรกันขึ้น”


               เจ้านางปะวะหล่ำก้าวพระบาทมาจากด้านในท้องพระโรงพร้อมกับแก้วกุดั่นและมานพ สีพระพักตร์นั้นซีดเผือดเมื่อเห็นเพชร

กล้ากำลังคุมเชิงการจับกุมทหารอุดรรังษี เพชรกล้าหันกลับมาและโค้งคำนับ เขาเก็บความแปลกใจไว้เมื่อเห็นว่าเจ้านางปะวะหล่ำ

ปลอดภัยดีมิได้ได้รับอันตรายใดจากทหารอุดรรังษี


               “ทูลเจ้านาง เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ทรงส่งพวกหม่อมฉันให้มาช่วยทางวัง เจ้านางได้รับบาดเจ็บหรือไม่พะย่ะค่ะ”


               เจ้านางปะวะหล่ำพยายามควบคุมองค์ไม่ให้ตื่นเต้นจนเพชรกล้าจับได้ แก้วกุดั่นกับมานพก็มีสีหน้าเลิ่กลั่กเมื่อเหตุการณ์พลิก

กลับเสียแล้ว


               “ข้าไม่เป็นไร พวกเจ้าก็ทำดีแล้วนี่ พวกมันถูกจับได้ก็ดีแล้ว แล้วก็ช่วยหลีกทางให้ข้าด้วย”


               “จะไปไหนหรือปะวะหล่ำ”


               สุรเสียงทรงอำนาจดังขึ้นเรียกความสนใจจากทุกคนให้หันไปมองบุรุษผู้ครองแว่นแคว้น เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ทรงก้าวพระบาท

นำเข้ามาและจ้องมองด้วยพระเนตรดุจนเจ้านางปะวะหล่ำสะดุ้งอยู่ในใจ


               “เอ่อ...เจ้าพี่ ศึกยังไม่จบเหตุใดจึงเสด็จกลับได้เพคะ”


               “ศึกจบแล้วปะวะหล่ำ”


               “จบแล้ว” เจ้านางปะวะหล่ำยิ่งพักตร์ซีด “จบเช่นไรเพคะ ก็อุดรรังษียัง...”


               เศียรของเจ้าฟ้าวัชรศรกลิ้งหลุนมาจากอัคคีที่ยืนอยู่เบื้องพระปฤษฎางค์ของเจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์เป็นคำตอบที่ดีที่สุด เจ้านาง

ปะวะหล่ำนิ่งงันจนพระเสโท(เหงื่อ)ไหล่ชุ่มวรกาย ทหารของอุดรรังษีที่ถูกจับกุมต่างก้มหน้ายอมรับชะตากรรม


               “ตกใจมากงั้นรึ ที่รู้ว่าวัชรศรตายเสียแล้ว”


               จะว่าตกใจก็ตกใจ จะว่าโล่งใจก็ใช่ เจ้าฟ้าวัชรศรสิ้นพระชนม์ไปแล้ว ความลับของพระองค์ที่มีต่อคนตายย่อมเป็นความลับต่อ

ไป


               “จะว่าไปวัชรศรนี่ก็เก่งนะ ตัวทำศึกอยู่กลางสนามรบแต่กลับส่งคนมาบุกวังได้ พวกเจ้าก็มีความสามารถกันมากที่เข้าวังโดย

ไม่เสียเลือดเนื้อราวกับมีคนเปิดประตูให้เดินเข้ามาง่ายๆ บอกข้าทีรึว่ามีวิธีการใด”


               ท้ายประโยคที่ทรงหันไปตรัสกับทหารอุดรรังษียิ่งทำให้เจ้านางปะวะหล่ำตกพระทัยหนักขึ้นไปอีก และเมื่อเจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์

หันขวับมาจ้องพระพักตร์ ครานี้เจ้านางปะวะหล่ำก็ยิ่งกระสับกระส่าย


             “ว่าไงล่ะ ข้าถามก็จงตอบมา”




มีต่ออีกนิด...


หัวข้อ: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >>บทที่28 19/8/59
เริ่มหัวข้อโดย: Belove ที่ 19-08-2016 12:55:23
ต่อกันตรงนี้...


                เป็นครั้งแรกที่ทุกคนได้ยินเสียงตวาดห้วนจากเจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ ภายในท้องพระโรงเงียบกริบจนแทบจะได้ยินแม้แต่เสียง

เข็มหล่น ทหารอุดรรังษีเมื่อเห็นจวนตัวและตนเองเป็นฝ่ายพ่ายแพ้แล้วก็จำต้องสารภาพออกมา


               “ขอเดชะ กราบทูลฝ่าพระบาท มีคนเปิดประตูวังให้พวกหม่อมฉันพะย่ะค่ะ”


               สายพระเนตรยิ่งกร้าวราวกับไฟสุม พระทนต์กัดกรอดเมื่อตรัสประโยคต่อไป


               “บอกข้ามาว่ามันเป็นใคร”


               ทหารคนเดิมชี้มือไปทางมานพที่นั่งคุกเข่าตัวสั่นอยู่ข้างๆเจ้านางปะวะหล่ำและแก้วกุดั่น เจ้านางปะวะหล่ำฝืนหัวเราะออกมา

อย่างยากเย็น


               “เหลวไหลสิ้นดี มานพเป็นคนของข้า จะไปทำเช่นนั้นได้อย่างไร”


               “พระมารดา”


               เจ้าชายอินทัชที่ยืนเยื้องเจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ก้าวออกมาด้วยพระพักตร์เศร้า ดวงเนตรงามบัดนี้แดงเรื่อไปด้วยอัสสุชลเมื่อทรง

หยุดยืนต่อหน้าพระมารดา ทรงยื่นหัตถ์ไปจับพระหัตถ์ของเจ้านางปะวะหล่ำและวางกระดาษไหม้ไฟลงไปบนฝ่ามือนั้น


               “พระบิดาทรงเห็นกระดาษแผ่นนี้แล้วพะย่ะค่ะ”


               ไม่ต้องมองก็ทรงทราบว่ากระดาษในมือคืออะไร เจ้านางปะวะหล่ำวรกายแข็งราวกับหุ่นปั้นมีเพียงโอษฐ์ที่สั่นระริกเมื่อความ

ลับถูกเปิดเผยเสียแล้ว


               “หม่อมฉัน...”


               “เจ้าเป็นเจ้านาง เป็นเจ้าเหนือหัวของผู้คนในรัตนปุระนคร ใยถึงกระทำตัวต่ำช้าเยี่ยงนี้”


               เจ็บปวดยิ่งนักเมื่อเห็นสายพระเนตรที่เต็มไปด้วยความผิดหวังของพระโอรส เจ้านางปะวะหล่ำกำพระหัตถ์แน่นกับความ

กดดันที่ได้รับ


               “อินทัช แม่...”


               “พระมารดา ทำไมถึงเข้าข้างอุดรรังษีพะย่ะค่ะ ลูกผิดหวังเหลือเกิน”


               “ไม่ ทุกคนอย่ามากล่าวหาว่าข้าเป็นคนเลว ไม่จริง!”


               ยอมรับไม่ได้เมื่อความผิดถูกเปิดโปง เจ้านางปะวะหล่ำจึงโวยวายออกมา


               “ทรงยอมรับไม่ได้ว่าเป็นคนขายชาติทั้งที่ทรงกระทำมาแล้วหลายครั้งหรือพะย่ะค่ะ”


               ไม่ใช่เสียงเจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ ไม่ใช่เสียงเจ้าชายอินทัช หากแต่เป็นเสียงหนึ่งในบุรุษชุดดำผู้หนึ่งที่ก้าวออกมาจากกลุ่มพร้อม

กับดึงผ้าที่คาดพรางออกเผยให้เห็นใบหน้างดงามตามวัยและดวงตาที่เหลือเพียงข้างเดียว ทั้งเจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์และเจ้านางปะวะหล่ำ

ถึงกับตกตะลึงไปพร้อมกัน


               “โกมุท!”


               ร่างเพรียวคุ้นตาและคุ้นใจก้าวออกมาเผชิญหน้า พระทัยของเจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์เต็มไปด้วยความโสมนัสที่เห็นพระมาตุลายัง

มีชีวิตอยู่ โกมุทหันไปจ้องมองเจ้านางปะวะหล่ำด้วยนัยน์ตาแข็งกระด้างและเย็นชา


               “พระองค์จะไม่ทูลให้เจ้าฟ้าทรงรับรู้เสียหน่อยหรือว่าในอดีตนั้นได้ประทานยากระตุ้นหัวใจอย่างแรงให้แก่เจ้านางกุสุมาทั้งที่

ทรงเป็นโรคหัวใจขณะที่เจ้าฟ้าออกรบอยู่กับอุดรรังษี และไหนจะยังเรื่องที่ทำทีเป็นส่งหม่อมฉันไปเป็นทูตแต่กลับติดต่อกับเจ้าฟ้าวัชร

ศรให้ควบคุมตัวหม่อมฉันไว้พร้อมทั้งกล่าวหาไส่ไคล้ว่าหม่อมฉันเป็นแปรพักตร์ไปอยู่กับอุดรรังษีทั้งที่มันไม่จริงเลยแม้แต่นิดเดียว”


               “จริงหรือปะวะหล่ำ เจ้าเลวขนาดนั้นเลยหรือ”


               เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์เมื่อรู้ความจริงทั้งหมดก็ถึงกับกริ้วจนควันออกหู แต่เจ้านางปะวะหล่ำก็ยังดื้อดึงไม่ยอมแพ้


             “แต่เจ้าก็เลว โกมุท เจ้าลักพาลูกข้าไป”


               “ก็คู่ควรกับที่พระองค์คิดจะฆ่าหม่อมฉันปิดปากใช่ไหมพะย่ะค่ะ ชีวิตก็ต้องแลกด้วยชีวิต”


               “โกมุท ทำไมเจ้าถึงยังอยู่ ทำไมถึงไม่ตายไปเสียจริงๆ”


               สติเตลิดไปหมดแล้วกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เจ้านางปะวะหล่ำเงื้อหัตถ์ขึ้นและเตรียมจะฟาดใส่โกมุท แต่อัคคีที่อยู่ไม่ไกลนัก

รีบกระโดดเข้ามาคว้าหัตถ์ไว้ทันก่อนที่ใบหน้าของโกมุทจะได้รับบาดเจ็บ เจ้านางปะวะหล่ำเงยพักตร์ขึ้นมอง เมื่อเห็นใบหน้าของอัคคี

เต็มตาในวันนี้เจ้านางปะวะหล่ำก็อ้าโอษฐ์ค้าง


               “ลูก ลูกแม่ยังมีชีวิตอยู่หรือนี่”


               ดวงตาของอัคคียิ่งเย็นชากว่าทุกคน เขาปล่อยหัตถ์ของเจ้านางปะวะหล่ำลงอย่างไม่แยแส


               “หม่อมฉันไม่มีแม่เป็นคนขายแผ่นดินพะย่ะค่ะ”


               กลับกลายเป็นคำพูดของอัคคีที่สร้างความเจ็บปวดให้เจ้านางปะวะหล่ำอย่างที่สุด ทรงกรีดร้องอย่างบ้าคลั่งท่ามกลางสายตา

ทุกคน


               “พวกเจ้าต่างหากที่เลว คนที่ควรจะได้รับความเห็นใจคือข้า ข้าที่ต้องรอนแรมข้ามแคว้นจากบ้านเกิดเมืองนอนเพื่อมา

แต่งงานกับผู้ชายที่มีเมียเป็นชายด้วยกัน แล้วข้าล่ะ ใครเห็นใจข้าบ้าง ใช่สิ ข้ามันหัวเดียวกระเทียมลีบ แต่ข้าไม่ยอมให้พวกเจ้าเล่นงาน

ข้าหรอก”


               เจ้านางปะวะหล่ำตะโกนบางอย่างก้องไปทั่วท้องพระโรง พลันบังเกิดควันสีดำพวยพุ่งและเมื่อควันดำจางลงทุกคนจึงได้เห็น

สตรีคนหนึ่งในชุดเสื้อผ้าสีเข้มผมสีดอกเลาใบหน้าดุดันปรากฏกายขึ้นมา


               “แม่ย่าเฟื่องรุ้ง!”
               
            TBC

 :z3: :z3:                
 
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >>บทที่28 19/8/59
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 19-08-2016 14:02:36
 :katai2-1:   มันส์พะยะค่ะ
ตัวละครมากันครบแล้ว เตรียมตัวเลย แม่ย่าจะตายงานนี้หรืองานนหน้าต้องลุ้นกัน
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >>บทที่28 19/8/59
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 19-08-2016 16:45:08
ความจริงเปิดเผยแล้ว!!
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >>บทที่28 19/8/59
เริ่มหัวข้อโดย: Nus@nT@R@ ที่ 19-08-2016 18:01:47
หูยยยย พร้อมหน้าพร้อมตา รอตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >>บทที่28 19/8/59
เริ่มหัวข้อโดย: Freja ที่ 19-08-2016 18:32:59
เจ้านางไปกับแม่ย่าเถอะ

เย้...พี่หมิงมาแล้ว
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >>บทที่28 19/8/59
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 19-08-2016 20:09:00
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >>บทที่28 19/8/59
เริ่มหัวข้อโดย: kms ที่ 20-08-2016 02:50:36
เย้ เด็จแม่โดนเปิดโปงสะที
หัวข้อ: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >>บทที่29 20/8/59
เริ่มหัวข้อโดย: Belove ที่ 20-08-2016 10:28:44


                                                                   บัลลังก์รักใต้เงาแค้น

                                                                         บทที่  29


               เจ้านางปะวะหล่ำยกนิ้วชี้กราดไปยังหมู่ชายที่รายล้อมอยู่อย่างบ้าคลั่ง
 

             “ฆ่าพวกมัน พวกมันที่ทำร้ายจิตใจข้า โดยเฉพาะไอ้โกมุท ไอ้หอกข้างแคร่ที่เป็นเสี้ยนหนามตำใจข้า ฆ่ามัน!”


               ดวงตาฝ้าฟางเบิกโพลงจนแทบกลายเป็นสีขาวจ้องมองถลนออกมา โจรป่าสมิงแสยะยิ้มอยู่หลังผ้าปิดหน้าเมื่อรู้ว่าอีกฝ่าย

เตรียมจะใช้อาคมต่อสู้


               “คิดว่าใช้อาคมเป็นอยู่ฝ่ายเดียวงั้นรึนังหมอผี คนอย่างไอ้สมิงถ้าไม่แน่จริงไม่มาเป็นโจรป่าหรอก”


               แม่ย่าเฟื่องรุ้งบริกรรมคาถาก่อนจะเสกผีพรายให้พุ่งมาทำร้าย แต่สมิงก็ไม่รอช้าเขาเองก็มีอวิชาติดตัวอยู่บ้าง เขาสู้กับแม่ย่า

เพื่องรุ้งด้วยมนต์ดำ พร้อมกันกับที่มานพกระซิบบอกเจ้านาย


               “เจ้านาง เราต้องหนีเดี๋ยวนี้”


               เจ้านางปะวะหล่ำเข้าพระทัยทันที มานพจึงชักดาบขึ้นมากวัดแกว่งอยู่เบื้องหน้าเจ้านางปะวะหล่ำและแก้วกุดั่น


               “จะไปไหน”


               เพชรกล้าเข้ามาขวาง เขาจ้องมานพไม่กระพริบตา มานพจึงยกดาบเข้าต่อสู้กับเพชรกล้า เจ้านางปะวะหล่ำและแก้วกุดั่นได้

แต่ยืนตัวสั่น

               เหตุกการณ์โกลาหลมากขึ้น เมื่อมีการต่อสู้ทั้งคาถาอาคมและอาวุธ ดูเหมือนแม่ย่าเฟื่องรู้งจะเสียเชิงเมื่อในที่สุดก็ถูกสมิง

กำจัด เสียงร้องโหยหวนดังลั่นจนแสบแก้วหู ร่างผอมเกร็งล้มตึงไปนอนดิ้นพล่านอยู่บนพื้นดวงตาเหลือกลานราวกับกำลังถูกบีบคอและ

ในที่สุดแม่ย่าเฟื่องรุ้งก็นอนแน่นิ่งสิ้นลมหายใจ


               “แม่ย่า!”


               เจ้านางปะวะหล่ำกรีดร้องเมื่อชู้รักตายลงไป และมานพนายทหารคนสนิทก็เพิ่งจะถูกสังหารด้วยฝีมือของเพชรกล้า สติของ

เจ้านางแตกกระเจิงเมื่อเห็นว่าทุกอย่างพังพินาศ ตอนนี้เจ้านางคิดอยู่อย่างเดียวว่าเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็นเพราะเจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์


               “ชีวิตหม่อมฉันเป็นเช่นนี้เพราะพระองค์แต่เพียงผู้เดียว”


               ผวาคว้ามีดดาบที่ตกอยู่แถวนั้นแล้วพุ่งเข้าใส่ เพชรกล้าที่อยู่ใกล้ที่สุดเหลือบเห็นพอดี


               “เจ้าฟ้า ระวัง!”


               เพชรกล้ากระโจนเข้าปัดดาบแต่ก็ชุลมุนเกินกว่าจะทำได้ ดาบจากพระหัตถ์ของเจ้านางปะวะหล่ำจึงเสียบเข้าไปในร่างกาย

ของเขาแทนเจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์


               “พี่เพชร!”


               หัวใจของฟ้าฟื้นหล่นหายเมื่อเห็นดาบเสียบคาอยู่บนกายคนรัก เขาผวาเข้ามารับร่างของเพชรกล้าไว้ในอ้อมกอด


               “จับกุมเจ้านางเดี๋ยวนี้”


              เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์รับสั่งเสียงกร้าว เจ้านางปะวะหล่ำและแก้วกุดั่นจึงถูกจับกุมทันที ทุกคนจึงพุ่งความสนใจมาที่เพชรกล้า

เขานอนหายใจรวยรินอยู่ในอ้อมกอดของฟ้าฟื้น


                “อย่ะ อย่าร้องไห้ พี่เป็นทหาร พลีชีพเพื่อเจ้าฟ้าและแผ่นดินคือบุญที่สุดแล้ว”


               “ไม่ พี่เพชร อย่าทิ้งข้าไป”


               น้ำตาของฟ้าฟื้นพรูออกมาจนเปียกปอนใบหน้า เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ทรงยื่นหัตถ์มาลูบผมของเพชรกล้าด้วยสายพระเนตรอ่อน

โยน


               “ขอบใจเพชรกล้า เจ้าได้ปฏิบัติหน้าที่สมกับเป็นทหารกล้าแล้ว”


               เพชรกล้าละสายตาอ่อนระโหยจากเจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์มาสู่ฟ้าฟื้น เขายกมือสั่นเทาลูบแก้มของฟ้าฟื้น


               “พี่รักเจ้านะฟ้าฟื้น แม่ ฝากแม่ด้วย”


               ฟ้าฟื้นร้องไห้จนตัวโยน เขาเอื้อมมือวางแนบหลังมือซีดเย็นนั้นแล้วพยักหน้า


               “ข้าจะดูแลแม่ของพี่ให้เหมือนแม่ของข้าเอง ข้าสัญญา”


               ได้ฟังคำสัญญาจากปากของฟ้าฟื้นเพชรกล้าจึงหมดห่วง ดวงตาของนายทหารราชองครักษ์เพ่งมองใบหน้าของฟ้าฟื้นอีก

คราก่อนที่เปลือกตาจะปิดลงช้าๆ


               “พี่เพชร ไม่...”


               ฝ่ามือแห้งแข็งและเย็นซืดที่แนบอยู่กับใบหน้าของฟ้าฟื้นร่วงหล่นลงไปพร้อมกับลมหายใจที่ปลิดปลิว ฟ้าฟื้นโอบกอดร่าง

ของเพชรกล้าไว้ไม่ยอมปล่อย จนพ่อของเขาที่อยู่ในกองโจรและอัคคีต้องเข้ามาช่วยปลอบโยนจึงจะพอคลายความเศร้า






               เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์เสด็จไปยังบ้านพักของเพชรกล้าด้วยองค์เองแม้ว่าจะเป็นเวลาค่ำมืดแล้ว คุณหญิงเพทายออกมารับเสด็จ

อย่างกะทันหัน ครั้นเมื่อเห็นว่าเป็นประมุขของแผ่นดินรวมทั้งฟ้าฟื้นที่ผ่านการร้องไห้จนตาบวมคุณหญิงเพทายจึงพอจะเดาได้ หญิงชรา

ตัวสั่นเทาไหล่งองุ้มลงจนฟ้าฟื้นต้องเข้าไปประคอง


               “เพชรกล้าลูกแม่!”


               ผ่านความเสียใจเพราะสามีที่เป็นเสนาบดีฝ่ายทหารก็เคยพลีกายเพื่อชาติซ้ำร้ายยังเกิดขึ้นกับบุตรเพียงคนเดียว แต่คุณหญิง

เพทายก็ยังเข้มแข็งยืนหยัดอยู่ได้แม้ว่าร่างกายจะสั่นเทา


               “เพชรกล้าได้ทำตามเจตนารมย์ของเขาแล้วใช่ไหมเพคะ”


               เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ทรงกุมมือของคุณหญิงเพทายไว้เป็นการปลอบโยน


               “คุณหญิง เพชรกล้าเอาตัวเองรับดาบแทนข้า เขาเป็นนายทหารที่กล้าหาญและทำคุณประโยชน์ให้แก่บ้านเมือง ข้าขอ

ขอบใจคุณหญิงที่เสียสละทั้งสามีและลูกเพื่อแผ่นดิน”


               ฟ้าฟื้นน้ำตาไหลอีกครั้ง เขาก้าวไปเบื้องหน้าคุณหญิงเพทายและนั่งลงกราบแทบเท้า


               “ถึงแม้ว่ากระผมจะได้อยู่กับคุณหญิงแม่เพียงไม่นานแต่กระผมก็รักและเคารพคุณหญิงแม่ไม่แพ้แม่แท้ๆ ขอให้กระผมได้อยู่ที่

นี่ต่อไปเพื่อดูแลคุณหญิงแม่แทนพี่เพชรเถิดขอรับ”


               คุณหญิงเพทายโน้มกายลงลูบผมของฟ้าฟื้นก่อนจะดึงไหล่ให้เขาลุกขึ้นยืน


               “ได้สิ แม่ยินดีเหลือเกินที่พ่อฟ้าจะมาอยู่กับแม่ พ่อเพชรรักใครแม่ก็รักคนนั้น พ่อฟ้าก็เหมือนลูกของแม่อยู่แล้ว พ่อแม่ของพ่อ

ฟ้าจะให้มาอยู่อาศัยเสียด้วยที่นี่ก็ได้ บ้านเรือนกว้างขวางไม่เดือดร้อน พ่อฟ้าจะได้ดูแลพวกเขาไปด้วย”


               ฟ้าฟื้นยิ้มออกด้วยความตื้นตัน เขาสวมกอดคุณหญิงเพทายไว้ด้วยความรักไม่ต่างจากบุพการี ฟ้าฟื้นตั้งใจจะดูแลคุณหญิง

เพทายให้ดีที่สุดทดแทนให้กับความสูญเสียคนสำคัญที่สุดในชีวิตไป
               




               อัคคีก้าวเข้าไปใกล้ลูกกรงเหล็กที่กั้นเขาไว้กับสตรีสูงศักดิ์ที่ได้ชื่อว่าเป็นแม่ บัดนี้เจ้านางปะวะหล่ำอยู่ในสภาพอิดโรยแต่ก็ยัง

หยัดกายตรงเชิดพักตร์สูงด้วยทิฐิ ทรงประทับอยู่บนพื้นเย็นและแข็งกระด้างโดยมีนางแก้วกุดั่นนั่งร้องไห้กระซิกอยู่ไม่ไกลกันนัก

               อัคคีทรุดตัวลงนั่งเสมอกับเจ้านางปะวะหล่ำ สายตาที่เขาใช้มองพระมารดานั้นช่างมีหลากหลายอารมณ์สลับกัน เขาเคย

จินตนาการถึงแม่แท้ๆ หากแต่เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นทุกอย่างทำให้เขาไม่สามารถทำใจยอมรับได้จริงๆ ส่วนเจ้านางปะวะหล่ำนั้นเมื่อแรกเห็น

ก็ทอดพระเนตรด้วยความคิดถึง แต่เมื่อได้มองเห็นสายตาของพระโอรสที่พลัดพรากกันตั้งแต่แรกเกิดแล้วก็ทรงเม้มโอษฐ์แน่น


               “ถ้าจะมาเพื่อมองแม่ด้วยสายตาเช่นนี้ก็จงกลับออกไปเสีย เจ้าคงเสียใจที่มีแม่เช่นข้า”


               ความน้อยเนื้อต่ำใจแล่นมาจุกอกจนน้ำพระเนตรคลอเบ้า ทรงเบือนพักตร์หนีจากอัคคีที่ก็นึกเสียใจไม่แพ้กัน


               “ถึงแม้หม่อมฉันจะไม่เห็นด้วยในสิ่งที่พระองค์กระทำ แต่ถึงอย่างไรก็ทรงให้กำเนิดหม่อมฉัน”


               “แล้วอย่างไร ให้กำเนิดไปก็เท่านั้น ในเมื่อใจของเจ้าฝักใฝ่อยู่กับโกมุทที่ชิงตัวเจ้าไปอยู่แล้วนี่”


               อัคคีมองใบหน้าของเจ้านางแห่งรัตนปุระนครที่มีน้ำตาหยดหนึ่งร่วงลงมา เขาปฏิเสธไม่ได้ว่าใจหนึ่งก็รู้สึกผูกพันกับเจ้านาง

ปะวะหล่ำอยู่บ้าง


               “หม่อมฉันฝักใฝ่อยู่กับความถูกต้องพะย่ะค่ะ กราบขอบพระทัยที่ให้ลมหายใจของหม่อมฉัน”


               อัคคีก้มลงกราบแนบพื้น เจ้านางปะวะหล่ำมองภาพนั้นอย่างสะท้อนใจ และเมื่ออัคคีเงยหน้าขึ้นมาแล้วเจ้าชายอินทัชจึงก้าว

พระบาทมานั่งเคียงข้าง ทรงยื่นหัตถ์ผ่านลูกกรงเหล็กเข้าไปแตะท่อนพระกรของเจ้านางปะวะหล่ำ


               “พระมารดา”


               อัสสุชลไหลต้องปรางเนียน เช่นไรก็เป็นพระมารดาแม้ว่าจะทำสิ่งผิดพลาดลงไป มิหนำซ้ำยังเติบโตชันษามาใกล้ชิด เจ้า

ชายอินทัชจึงเจ็บปวดยิ่งนักที่เห็นสภาพของเจ้านางปะวะหล่ำขณะนี้


               “อินทัชลูกแม่”


               โผเข้ากอดพระโอรสโดยมีลูกกรงเหล็กขวางกั้น ความรู้สึกต่างๆประดังเข้ามาจนจุกอก


               “เจ้าผิดหวังในตัวแม่มากใช่ไหม แม่ทำไปเพราะความกดดัน ถ้าใครไม่มายืนอยู่ในจุดที่แม่อยู่คงไม่เข้าใจ”


               เจ้าชายอินทัชสะอื้นไห้ราวกับเด็กน้อยพลางทอดพระเนตรพระมารดาด้วยพระเนตรแดงก่ำ


               “ลูกเข้าใจพะย่ะค่ะ ถึงแม้ว่าพระมารดาจะทำในสิ่งที่ผิดพลาดแต่ลูกก็ยังคงรักพระมารดาดังเช่นเดิม”


               “แม่ขอโทษนะลูก”


               ประโยคสุดท้ายของเจ้าชายอินทัชเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่เตือนให้เจ้านางปะวะหล่ำตระหนักถึงผิดชอบชั่วดี หยาดน้ำตาจึงล้น

ทะลักออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ จนกระทั่งได้ยินเสียงฝีพระบาทของเจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ก้าวเข้ามา ทรงทอดพระเนตรพระชายาก่อนจะถอน

ลมหายใจ เจ้าชายอินทัชจึงขยับองค์หลีกทางให้เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์


               “ปะวะหล่ำ”


               ถึงอย่างไรก็ได้ชื่อว่าพระชายาแม้ทุกสิ่งที่ทำจะสร้างความเจ็บช้ำให้มากมายนักก็ตาม

               เสนาบดีฝ่ายยุติธรรมก้าวตามเข้ามาหยุดยืนด้านข้างและเปิดพระราชโองการอ่านความผิดของเจ้านางปะวะหล่ำที่ทรงประทับ

นิ่งฟังด้วยความสงบ


               “...ความผิดทั้งหมดหากเป็นสามัญชนจะต้องได้รับโทษประหารชีวิตตัดคอเสียบประจานเพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างสืบไป แต่

ด้วยเพระดำรงตำแหน่งเจ้านางแห่งแคว้นและเป็นพระมารดาของพระราชโอรสทั้งสอง เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ศตรัศมิ์จึงพระราชทานยาพิษ

ให้เสวยเสียแต่ในคุกเพื่อไม่ต้องรับความอับอาย”


               นางแก้วกุดั่นร้องไห้โฮ พลางเข้าไปกอดพระบาทไว้แน่น เจ้านางปะวะหล่ำเชิดพักตร์ด้วยขัตติยะนารี


               “หยุดร้องได้แล้วนางแก้ว ทรงประทานยาพิษให้ข้ามิใช่ให้เจ้า”


               ประตูลูกกรงเหล็กเปิดออก นายทหารนำแก้วยาพิษเข้ามาถวายให้เบื้องหน้า เจ้านางปะวะหล่ำถอนลมหายใจออกมา

พระเนตรที่เคยงดงามบัดนี้ดูอับเฉาร่วงโรยขณะสบพระเนตรกับเจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์


               “หม่อมฉันขอประทานอโหสิกรรมเพคะ”


               เป็นครั้งแรกที่เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ทรงมองพระชายาด้วยความสงสารเห็นใจ


               “ข้าอโหสิกรรมให้เจ้า ปะวะหล่ำ


               เจ้านางปะวะหล่ำทรงรับรู้คำนั้นก่อนจะก้มลงกราบที่พระบาทของเจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์


               “ฝากลูกด้วยนะเพคะ”


               “พระมารดา!”


               เจ้าชายอินทัชกันแสงจนแทบหมดแรง อัคคีได้แต่โอบกอดวรกายสั่นเทานั้นไว้เมื่อเจ้านางปะวะหล่ำรับถ้วยยาพิษมาเสวยเข้า

พระโอษฐ์และหลับพระเนตรลงตาม เพียงแค่อึดใจก็ทรงล้มลงแน่นิ่งไปกับพื้น


               “หม่อมฉันขอตามไปรับใช้เจ้านางนะเพคะ”


               นางแก้วกุดั่นข้ารับใช้ตั้งแต่เหมราชคว้าถ้วยยาพิษที่ยังมียาหลงเหลือมาเทพรวดเข้าปาก ไม่นานนักก็ล้มพับเคียงข้างเจ้านาย

ของตน เจ้าชายอินทัชทรงผวาเข้าไปกอดพระศพพระมารดาด้วยความอาลัย


               “จบสิ้นกันเสียทีเรื่องเลวร้ายทั้งหมด”


               เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ทรงรำพันด้วยความสลด







               จบเรื่องลงแล้ว เจ้าฟ้าอาทิตวงศ์จึงมีกระแสรับสั่งให้เชิญโจรป่าสมิงและโกมุทมาเข้าเฝ้าเป็นการส่วนพระองค์ สมิงนึก

กระดากอยู่ไม่น้อยเพราะเขาไม่เคยพบกับคนใหญ่คนโต จนโกมุทต้องเอ่ยให้กำลังใจ


               “ทำตัวตามสบายนั่นแหละสมิง ไม่ต้องฝืนหรอก”


               “จะดีรึพ่อบัว นั่นน่ะกษัตริย์เชียวนะ”


               “เชื่อข้าเถิดน่า”


               เสียงพูดคุยเงียบลงเมื่อบานประตูเปิดออก เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ทรงก้าวพระบาทเข้ามาหยุดยืนและทอดพระเนตรทั้งคู่โดย

เฉพาะโกมุท แต่ก็ต้องตัดใจหันมาสบตากับสมิง


               “ในนามของรัตนปุระนคร ข้าต้องขอบใจเจ้ามาก”


               “ไม่เป็นไร เอ่อ พะย่ะค่ะ ข้า เอ๊ย หม่อมฉันแม้จะเป็นโจรแต่ก็รักแผ่นดิน”


               “พูดกับข้าเช่นธรรมดาที่เจ้าพูดเถอะ ถือเสียว่าเป็นสหายกัน”


               “หา เป็นสหายกับเจ้า ขี้กลากจะกินหัวไอ้สมิงเอานะพะย่ะค่ะ”


               สมิงตาเหลือกจนเจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์แย้มสรวลออกมาได้


               “ฝีมือการต่อสู้ของเจ้าดีมาก มิน่าถึงได้สอนอัคคีจนเชี่ยวชาญ ข้าขอเสนอให้เจ้าเลิกเป็นโจรและมาเป็นครูฝึกวิชาการต่อสู้ให้

ทหารเจ้าจะสนใจไหม”


               สมิงนิ่งคิด ความจริงเขาก็ไม่ได้อยากเป็นโจร แต่เพราะชีวิตที่เคยตกระกำลำบากทำให้สมิงไม่มีทางเลือก หากตอนนี้มีทาง

เลือกมาอยู่ตรงหน้าแล้ว อยู่ที่เขาเองจะเลือกหรือไม่


               “ค่อยๆคิดก็ได้สมิง ข้าไม่เร่งรัดคำตอบ และอีกอย่างหนึ่งที่ต้องขอบใจคือที่เจ้าช่วยดูแลท่านน้าและลูกชายของเราเป็นอย่าง

ดี”


               “ท่านน้า! หมายถึงพ่อบัวงั้นหรือ”


               สมิงตกใจเมื่อรู้ว่าโกมุทมีศักดิ์เป็นถึงน้าของกษัตริย์ พอจะเดาเรื่องราวได้อยู่ว่าโกมุทมีส่วนเกี่ยวข้องอยู่ในพระราชวังแต่เขา

ไม่นึกว่าจะเป็นถึงพระมาตุลา


               “ข้าขอโทษที่ไม่ได้บอกเจ้านะสมิง เรื่องทุกอย่างมันเป็นความลับที่ข้าบอกใครไม่ได้”


               “เช่นนั้นอย่าบอกนะว่าเจ้าอัคคีน่ะ คือลูกของ...”


               ตกใจเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัวเมื่อลูกบุญธรรมที่เลี้ยงราวกับลูกในไส้แท้จริงแล้วเป็นถึงพระราชโอรส สมิงมึนงงจนต้องยกมือตบ

หน้าผากดังป้าบ


               “เก็บไปไตร่ตรองเรื่องที่ข้าเสนอด้วยนะสมิง แต่ตอนนี้ข้าขอเวลาอยู่กับท่านน้าสักครู่เถอะ”


               สมิงพยักหน้ารับก่อนจะก้าวเดินไปยังประตู แต่ก่อนที่จะก้าวเท้าออกไป พลันได้ยินเสียงที่โกมุทเรียกเจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์แม้

จะเพียงแผ่วเบาก็ตาม


               “อาทิตย์”


               อาทิตย์เช่นนั้นหรือ เจ้าของนามที่หลุดออกจากปากโกมุทยามลืมตัวนั้นคือเจ้าฟ้าพระองค์นี้เองหรือ คนที่กุมหัวใจของโกมุท

จนยากที่โจรป่าอย่างสมิงจะเข้าไปแทรกได้


               หรุบตาลงแล้วก้าวออกจากห้องไปอย่างเจียมตัวเจียมใจกับศึกรักที่ไม่มีทางสู้



มีต่ออีกนิด...


หัวข้อ: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >>บทที่29 20/8/59
เริ่มหัวข้อโดย: Belove ที่ 20-08-2016 10:35:31
ต่อกันตรงนี้




              “โกมุท ข้าดีใจเหลือเกินที่เจ้ายังมีชีวิตอยู่”


               เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ทรงดึงกายที่โหยหาเข้ามากอดแนบแน่น โกมุทขืนตัวอยู่พักหนึ่งจึงค่อยโอนอ่อนไปกับอ้อมกอดนั้น


               “อยู่อย่างไร้หัวใจและเต็มไปด้วยความแค้นก็เหมือนตายทั้งเป็นพะย่ะค่ะ”


               ตอบกลับเสียงขื่นกับชีวิตตลอดสิบกว่าปีที่ผ่านมา เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ทรงคลายอ้อมกอดพลางเชยคางของโกมุทเพื่อทอด

พระเนตรชัดๆ


               “เจ้าสูญเสียดวงตาไปข้างหนึ่ง”


               “แลกกับชีวิตที่เกือบตายเพราะตกเหว”


               “ดวงตาที่เสียไปไม่ได้ทำให้ข้ารักเจ้าน้อยลงเลยโกมุท ข้าขอโทษที่ดูแลเจ้าไม่ดี”


               โกมุทถอนหายใจ เมื่อเรื่องทุกอย่างคลี่คลายและไฟแค้นหายไปจากหัวใจ โกมุทก็เข้าใจดีว่าเจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์เองก็เป็น

เหยื่อของเรื่องทั้งหมดเช่นกัน


               “อย่าโทษองค์เองอีกเลยพะย่ะค่ะ เราต่างก็บอบช้ำกันมากเกินพอแล้ว”


               เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ทรงพิจารณาโกมุท รูปร่างที่เคยบอบบางดูแข็งแรงขึ้น มือที่เคยนุ่มก็สากเพราะทำงาน ผิวขาวคล้ำลง

เพราะไอแดด


               “โจรสมิงดูแลเจ้าดีอยู่ใช่ไหม”


               เดาจากสายตาที่สมิงมองโกมุทแล้ว เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์เข้าพระทัยถึงความลึกซึ้งในความสัมพันธ์ สีหน้าของโกมุทเปลี่ยนไป

แวบหนึ่งเหมือนละอายที่จะยอมรับ


               “สมิงดูแลหม่อมฉันและอัคคีเป็นอย่างดี ดีมากจน....”


               “เจ้าไม่ต้องกระอักกระอ่วนที่จะบอกข้าหรอกโกมุท ข้าเข้าใจดีว่าเจ้ากับสมิงคงจะผ่านเรื่องต่างๆมาด้วยกันมากมาย”


               พระเนตรเจ็บปวดยามมองคนที่อยู่ในพระทัยมาตลอดจนโกมุทรู้สึกเจ็บตามไปด้วย


               “อาทิตย์ หม่อมฉันขอโทษที่มีคนอื่นนอกจากพระองค์ ทั้งที่เคยสัญญาไว้ว่าจะมีพระองค์เพียงผู้เดียว”


               “อย่าพูดเช่นนั้น แค่เจ้ามีชีวิตอยู่ข้าก็ดีใจมากเหลือเกินแล้ว และเมื่อรู้ว่าเขาดูแลเจ้าดีข้าก็สบายใจ”


               เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์แนบโอษฐ์ลงไปแผ่วเบาบนริมฝีปากที่โหยหา


               “ถ้าเจ้าจะเลือกเขาเป็นคู่ชีวิตข้าก็ยินดีแม้ว่าจะเจ็บปวดก็ไม่เป็นไร ขอให้เจ้ามีความสุขก็พอแล้ว”
               


               TBC

           อีกสักแป๊บบบบ จะมาลงตอนจบให้ต่อเนื่องกันไปเลย
               o18 o18  
หัวข้อ: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >>บทที่29-30 20/8/59 ##จบแล้วรบกวนย้ายห้องค่ะ##
เริ่มหัวข้อโดย: Belove ที่ 20-08-2016 11:06:36


                                                         บัลลังก์รักใต้เงาแค้น

                                                               บทที่  30


              โกมุทเดินออกมาจากห้องเข้าเฝ้าฯมาสู่ห้องรอเฝ้าฯด้านนอกจึงเห็นสมิงยืนคอตกรอยู่


               “สมิง”


               เอ่ยเรียกเสียงนุ่มพลางวางมือแตะต้นแขนสมิงที่หน้าเศร้า โกมุทมองอย่างสงสัย


               “เป็นอะไรสมิงถึงได้ทำหน้าเหมือนกลืนยาขมเช่นนี้”


               สมิงมองพ่อบัวของเขาที่เพิ่งรู้ว่าแท้จริงมีนามว่าโกมุทด้วยความน้อยใจ


               “ข้าแค่รู้สึกไม่คู่ควรที่จะยืนอยู่ตรงนี้ในวังใหญ่โต และยิ่งรู้สึกว่าต่ำต้อยยามที่มองเจ้า พ่อบัว เจ้าช่างสูงส่งเหลือเกิน”


               “สูงเช่นไรก็ไม่สูงเท่าความดีหรอก เจ้าจะน้อยเนื้อต่ำใจทำไมในเมื่อความดีที่เจ้าทำมามันสูงส่งกว่าข้าเสียอีก”


               คำปลอบนั้นไม่ได้ทำให้ความรู้สึกของสมิงดีขึ้น เขาเงยหน้าสบตากับโกมุทและเอ่ยคำถามที่ยังคาใจออกมา


               “เขาคือคนนั้นใช่ไหม คนที่อยู่ในใจของพ่อบัวมาตลอด คนที่พ่อบัวไม่เคยลืมเลือนแม้ว่าข้าจะทำดีแค่ไหนก็ตาม”


               โกมุทนิ่งงัน เขาทอดสายตาไปยังหลังบานทวารที่เพิ่งจะก้าวออกมา หัวใจของโกมุทโกหกไม่ได้ว่ามันคือเรื่องจริง


               “ใช่สมิง เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์เป็นทั้งหลานและเป็นคนรักของข้า เขาเป็นรักแรกที่ข้ารักและเทิดทูนด้วยใจภักดี แต่ข้าก็รักเจ้า

เช่นกัน”


               โกมุทหันใบหน้ากลับมาหาสมิงและเผยความในใจที่ไม่เคยบอกสมิงมาก่อน


               “ความดีและความอดทนของเจ้าเอาชนะใจข้าได้”


               “อย่าพูดเพราะสงสารข้าเลยพ่อบัว อีกอย่างข้าเองก็รู้ตัวดีว่ามาทีหลัง หากพ่อบัวต้องการจะกลับไปหาเจ้าฟ้าข้าก็คงไม่มีสิทธิ์

ห้าม”


               สมิงยังอดที่จะน้อยใจไม่ได้ คิดเปรียบเทียบว่าโจรป่าเช่นเขาจะมีสิ่งใดไปสู้กับเจ้าฟ้าผู้ครองแว่นแคว้น ท่าทางของสมิงทำให้

โกมุทเริ่มจะหมั่นไส้ โกมุทจึงตอบโต้ด้วยเสียงอันดังขึ้น


               “ตลอดเวลาเกือบยี่สิบปีที่อยู่ด้วยกัน เจ้าก็คะยั้นคะยอถามข้าเสียเหลือเกินว่ารักเจ้าบ้างไหม วันนี้ข้าตอบแล้วว่ารัก เจ้ากลับ

ไม่เชื่อ ทำไมหรือสมิง มันเป็นความผิดของข้าใช่ไหมที่หัวใจข้านั้นมีรักถึงสองคนจะตัดใครไปก็ไม่ได้”


               “เกิดอะไรขึ้น”


               เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ที่ยังประทับอยู่ด้านในถึงกับเสด็จออกมาเมื่อได้ยินเสียงดังของโกมุท เห็นใบหน้านั้นงอง้ำเหมือนคนไม่ได้

ดังใจในขณะที่สมิงได้แต่ยิ้มเจื่อน ส่วนโกมุทเมื่อเห็นพระพักตร์ของเจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์เขาก็ยิ่งโมโห


               “ผัวเจ้าก็ไล่ให้ไปอยู่กับผัวโจร ส่วนผัวโจรก็จะส่งคืนให้ไปอยู่กับผัวเจ้า”


               เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ได้ฟังแล้วกลับวางพักตร์ไม่ถูก ทรงหันไปหาสมิงที่ได้แต่กระพริบตาปริบๆที่เห็นโกมุทอารมณ์เสีย


               “ดีล่ะ ถ้าไม่มีใครเอา ข้าจะไปโกนผมบวชเสียให้รู้แล้วรู้รอด”


               “โกมุท!”


               “พ่อบัว!”


               ทั้งเจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์และสมิงไม่มีใครกล้าห้ามเมื่อโกมุทสะบัดหน้าเดินจากไป ทั้งคู่ยืนจ้องหน้ากันและถอนหายใจออกมา


               “ท่านบอกกับพ่อบัวว่ากระไรพะย่ะค่ะ” สมิงทูลถามเสียงแห้ง


               “ข้าบอกโกมุทว่า หากเขาจะเลือกเจ้าข้าก็ยินดีเพราะเจ้าทำดีกับโกมุทมาตลอด แล้วเจ้าล่ะ” เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ทรงถามกลับ

บ้าง


               “ข้าบอกพ่อบัวว่าถ้าจะกลับไปหาท่านก็ได้ เพราะท่านมาก่อน”


               “กรรม” เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ถึงกับส่ายพักตร์       


               “สมิง ข้าคิดว่าเราต้องตกลงกัน” ตรัสอย่างตัดสินพระทัยได้แล้วจึงได้เอ่ยข้อเสนอออกมา


               “ข้ามาก่อนก็จริง แต่เจ้าก็ช่วยชีวิตโกมุทไว้ ที่สำคัญคือเราทั้งคู่ต่างก็รักโกมุทและโกมุทคงจะไม่กล้าเลือกใครแน่นอน สมิง

ถ้าเป็นเช่นนั้นเราจะยอมให้โกมุทมีเราทั้งคู่อยู่พร้อมกันได้หรือไม่”


               “ท่านหมายความว่า อยู่ด้วยกันสามคนผัวเมีย”


               สมิงตาเหลือก เขาไม่นึกว่าเจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์จะเสนอทางเลือกนี้ แต่สมิงเองก็นึกทางอื่นไม่ออก ใจจริงแล้วเขารักโกมุทมาก

จนไม่อาจตัดใจเช่นกัน


               “ข้าเองก็นิยมฝีมือและน้ำใจของเจ้าอยู่ไม่น้อย หากเราจะเป็นสหายกันและช่วยกันทำให้โกมุทมีความสุขเจ้าเจ้าคิดเช่นไร”


               มีสิ่งใดที่ต้องคิดอีก แค่ขอให้ได้อยู่ใกล้โกมุทสมิงก็เป็นสุขใจแล้ว


               “ข้านั้นไม่มีปัญหาใดให้ต้องปฏิเสธ ผู้ที่จะมีปัญหาคือพ่อบัวต่างหาก”


               จริงดังที่สมิงกล่าว ดังนั้นทั้งคู่จึงไปหาคนกลางที่นั่งหน้าบึ้งอยู่ในอุทยาน เมื่ออยู่ต่อหน้าโกมุท บุรุษที่แสนอาจหาญอย่างเจ้า

ฟ้าอาทิตยวงศ์และสมิงกลับไม่กล้าเอ่ยความ ได้แต่เกี่ยงกันด้วยสายตา


               “มีอะไรกันอีก มาพร้อมกันแบบนี้หรือคิดจะขับไสข้าไปที่อื่น”


               “ท่านน้า” เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์เป็นผู้กล้าก้าวเข้าไปหาและประทับขนาบข้างโกมุทไว้


               “ข้ากับสมิงมาขอโทษที่พูดจาทำให้ท่านน้าเข้าใจผิด แต่มันเป็นเพราะเราทั้งคู่ต่างก็รักท่านน้ามาก ได้โปรดเข้าใจพวกเรา

ด้วย และตอนนี้เรามีขอเสนอ”


               “ข้อเสนอ?”


               โกมุทมองพักตรของเจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์และสมิงสลับกันด้วยความสงสัย เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ทรงพยักเพยิดให้สมิงเป็นคน

กล่าว สมิงจึงก้าวมานั่งอีกด้านของโกมุทและยิ้มจืดนำทาง


               “เอ่อ พ่อบัว คือข้ากับท่านเจ้าเราตกลงกันได้แล้วว่า ในเมื่อเราก็รักพ่อบัวและพ่อบัวก็รักเราเหมือนๆกัน ก็ไม่เห็นต้องมีใคร

เสียสละเลย พวกเราก็อยู่ด้วยกันทั้งสามคนเช่นนี้ก็ได้จะได้ไม่ต้องมีคนเสียใจ ทีนี้ก็แล้วแต่พ่อบัวแล้วว่าจะคิดเห็นประการใดก็สุดแล้วแต่

พ่อบัวตัดสินใจเถอะ”


               โกมุทนิ่งงัน ไม่อยากจะเชื่อว่าสามีทั้งสองคนจะสมานฉันท์กันได้ ทั้งที่ทั้งคู่ต่างชั้นวรรณะและไม่มีอะไรเหมือนกันสักนิด จะมี

ก็เพียงความรักที่มีให้เขา แค่เพียงสิ่งเดียวที่ยกให้โกมุทเป็นคนสำคัญที่สุด


               “ตกลงกันได้จริงๆงั้นรึ”


              อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามให้แน่ใจพลางหันไปมองพักตร์เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์กับสมิงสลับกัน ทั้งคู่รีบพยักหน้ารับ โกมุทกรอกตาไป

มา


               “ถ้าใครรู้เข้า เขาจะคิดว่าข้านี้เป็นคนมากรักหรือเปล่า”


              “ไม่มีใครรู้ดีไปกว่าพวกเราหรอก”


              เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ประทานกำลังใจ ทรงกุมมือโกมุทไว้แน่นหนาราวกับไม่ต้องการให้โกมุทหนีไปไหนอีกแล้ว


             “ใช่แล้วพ่อบัว ยามเราลำบากก็ไม่เห็นมีผู้ใดสอดมือมาช่วยเหลือ ยามเรามีความสุขก็ไม่เห็นต้องสนใจอ้ายอีหน้าไหนทั้งสิ้น”


               สมิงช่วยเสริมให้โกมุทมั่นใจมากขึ้น คนกลางเช่นโกมุทเม้มปากใคร่ครวญพักใหญ่กว่าจะตัดสินใจได้ ในเมื่อความรักของเขา

มีให้ทั้งคู่โดยไม่อาจตัดใครออกไปจากชีวิต หนทางนี้อาจจจะดีที่สุด


                “ก็ได้ ข้ายอมรับข้อเสนอ”


                คำตอบของโกมุททำให้เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์และสมิงพากันยิ้มกว้าง และแย่งกันกอดรัดคนกลางจนเกือบหายใจไม่ออก โกมุท

ได้แต่ยิ้มขำและปล่อยให้สามีทั้งสองแสดงความรักโดยไม่ขัดขวาง




มีต่ออีกนิด...


หัวข้อ: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >>บทที่29-30 20/8/59 ##จบแล้วรบกวนย้ายห้องค่ะ##
เริ่มหัวข้อโดย: Belove ที่ 20-08-2016 11:11:12
อ่านตอนจบที่นี่...


               เมื่อผ่านพ้นสงครามกับอุดรรังษีบ้านเมืองก็กลับคืนสู่ความสงบ อุดรรังษีกลายเป็นประเทศราชของรัตนปุระนครเพราะแพ้

สงคราม เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ทรงมีรับสั่งให้อุดรรังษีหาผู้เหมาะสมเพื่อดำรงตำแหน่งเจ้าฟ้าโดยไม่ได้เข้าไปเกี่ยวข้องใดๆ หลังจากนั้นรัตน

ปุระนครจึงจัดงานเฉลิมฉลองครั้งยิ่งใหญ่เพื่อแต่งตั้งเจ้าชายรัชทายาทอีกหนึ่งองค์

               เสียงปี่กลองประโคมดังตามหลักราชประเพณี วันนี้อัคคีโกนหนวดเครารกรุงรังทิ้งไปเผยใบหน้าคมหล่อเหลาและสง่าผ่าเผย

ในชุดแต่งองค์ทรงยศครบครัน เขาก้าวเข้าไปหาและคุกเข่าลงเบื้องหน้าพระพักตร์เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ศตรัศมิ์ที่ประทับบนพระราชอาสน์

บัลลังก์แห่งกษัตริย์ของรัตนปุระนครพร้อมกับการขานพระนามใหม่จากผู้ดำเนินพิธีการ


                 “พระบรมราชโองการโปรดเกล้าพระนามแด่เจ้าชายรัชทายาท ให้ขานพระนามว่า เจ้าชายอัคคีคุณาธิป ขอให้พระองค์ทรง

พระเจริญ”


                ชาวประชาโห่ร้องแซ่ซ้องสรรเสริญ สมณะและพราหมณ์อวยชัยในพิธีเมื่อเจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ทรงพระราชทานพระสุพรรณบัฎ

แผ่นทองคำจารึกพระนามของเจ้าชายอัคคีคุณาธิปให้แด่เจ้าตัว อัคคีโค้งคำนับก่อนที่เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์จะดึงเขาเข้ามากอด


                 “ทรงพระหล่อมากนะเจ้าชายอัคคี”


                  ฟ้าฟื้นเพื่อนสนิทมาร่วมงานเฉลิมฉลองพร้อมกับคุณหญิงเพทาย ฟ้าฟื้นรับพ่อกับแม่ของเขามาอยู่ด้วยเมื่อหุบผากาฬไม่มี

โจรอีกต่อไปแล้ว และตอนนี้ฟ้าฟื้นกำลังตั้งใจศึกษาเล่าเรียนเพื่อที่จะเป็นนายทหารอย่างที่เขาต้องการ


                “พูดมากน่ะ หล่ออะไรกัน”


              อัคคีบ่นเบาๆเพราะเขายังไม่คุ้นกับเสื้อผ้าอาภรณ์หรูหราเช่นนี้ ความอึดอัดทำให้อัคคีรีบถอดชุดออกทันทีเมื่องานพิธีเสร็จสิ้น

ลงและกลับเข้ามาสู่ห้องของเจ้าชายอินทัช


                  “หม่อมฉันอยากอยู่กับอินทัช”


                   เขาเสนอความต้องการนี้เมื่อเจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ประทานห้องในวังหลวงให้อยู่เป็นส่วนตัว อัคคีปฏิเสธเพราะเขาต้องการ

ใกล้ชิดฝาแฝดของเขา พระบิดาก็ไม่ได้ขัดข้อง


                  “อ้าว ทำไมรีบถอดชุดล่ะอัคคี”


                 เจ้าชายอินทัชตรัสถามเมื่อตามเข้ามาในห้องพระบรรทมแล้วเห็นอัคคีถอดเครื่องทรงออกไปแล้ว


               “ร้อน อึดอัด ข้าอยากกลับไปใส่ชุดทหารมากกว่า”


               “ตอนนี้เจ้าเป็นเจ้าชายแล้ว ใส่บ่อยๆเดี๋ยวก็ชินไปเองนะเจ้าชายอัคคีคุณาธิป”


                ทรงล้อเลียนคู่แฝดจนถูกดึงไปกอด อัคคีฝังจมูกลงไปบนแก้มเนียนเพื่อสูดดมความหอมจนชื่นใจ


              “จะเป็นโจรป่าหรือเป็นเจ้าชาย อัคคีคนนี้ก็รักเจ้าคนเดียวนะอินทัช”


              “ทำเป็นปากหวาน เป็นเจ้าชายแล้วเดี๋ยวก็มีแม่พวกสาวๆมาปรนนิบัติ คร้านจะลืมเรา”


              เจ้าชายอินทัชกระเง้ากระงอดพลางผลักหน้าอัคคีแต่ก็ยิ่งถูกกอดจนดิ้นไม่หลุด


              “แหวกหัวใจข้าสิอินทัช แล้วจะรู้ว่าในใจข้านั้นมีแต่เจ้า”


              “ปากหวานไปละ ระวังมดจะขึ้นปากเจ้า”


                เจ้าชายอินทัชสรวลกลบเกลื่อนความขัดเขิน แต่คำหวานนั้นก็ทำให้ชื่นพระทัยไม่น้อย


               “ข้าดีใจที่เราได้อยู่ด้วยกัน เราเกิดมาพร้อมกันก็จะอยู่ด้วยกันตลอดไป”


                อัคคีทอดสายตามองพักตร์งามของเจ้าชายอินทัชก่อนจะพรมจูบลงไปบนโอษฐ์นุ่มที่ตอบรับอย่างเต็มใจ อัคคีถอดอาภรณ์

ของเจ้าชายอินทัชด้วยความยากลำบากจนชักจะหงุดหงิด


                “นี่แหละข้าถึงไม่ชอบชุดพวกนี้ มันทำให้ข้ากอดเจ้าได้ช้าลง”


              “ใจเย็นสิอัคคี ข้าถอดเองก็ได้”


              ส่ายพักตร์อย่างระอากับแฝดที่แสนจะใจร้อน เจ้าชายอินทัชถอดเครื่องทรงอย่างชำนาญจนในที่สุดวรกายเปลือยเปล่าก็ถูก

อัคคีครอบครอง


                “คิดถึงร่างกายของเจ้าเหลือเกิน ตรงนี้ ตรงนี้ ตรงนี้ก็ด้วย”


                 เพราะเหตุการณ์วุ่นวายทำให้ห่างหายจากบทรัก บัดนี้อัคคีจึงตักตวงความหวานจากเจ้าชายอินทัชทดแทน เขาพรมจูบไป

ทั้งตัวอย่างโหยหา มือไม้ป่ายเปะปะจนเจ้าชายอินทัชร้อนรุ่มไปทั้งตัว


                  “อา อัคคี เราก็คิดถึงเจ้า”


                  เจ้าชายอินทัชทอดพระเนตรอัคคีด้วยประกายพร่างพราวราวกับจะเชิญชวนให้ยิ่งลุ่มหลง อัคคีเลื่อนกายลงอยู่ตรงกลาง

ระหว่างพระโสณีหนั่นแน่นที่พร้อมรอให้เขาได้แทรกเข้าไปด้วยความเป็นชาย สัมผัสเบียดชิดพาให้วาบหวามจนต้องครางระงมยามที่

จังหวะรักเร่งไฟแห่งเสน่หา


                  “อินทัช เจ้ากำลังจะฆ่าข้า”


                   เงยหน้าเป่าปากเมื่อช่องทางแห่งสวรรค์บีบคั้นจนแทบทนไม่ไหว อัคคีดันพระอูรุ(ท่อนขา)ขาวเนียนยกสูงขณะที่เขาขับ

เคลื่อนเน้นย้ำจุดอ่อนไหวที่คุ้นเคย เจ้าชายอินทัชปรือเนตรฉ่ำหวาน ปรางแดงชื้นไปด้วยเสโทและหอบหนัก เสียงครางสุขสมระงมไม่

หยุดหย่อน


               “ซ้าย ซ้ายอีกนิด อัคคี อื้อ...”


               เกร็งวรกายเข้าหา โอษฐ์งามเม้มแน่นพลางกลั้นลมหายใจเมื่อพุ่งกายเข้าหาแดนสวรรค์ อัคคีกลืนน้ำลายเหนียวหนับเมื่อ

ความแข็งขันถูกรัดรึงรอบทิศ เขาตั้งขาขึ้นและขยับรัวจนปวดท้องน้อย และเพียงอึดใจเขาก็ได้ล่องลอยตามเจ้าชายอินทัชไปติดๆ กาย

เปียกชื้นเหนียวหนับกอดก่ายกันแน่นไม่ยอมปล่อย


                 “อินทัช ขอบใจนะที่เจ้าเกิดมาเพื่อข้า”


                 เจ้าชายอินทัชยิ้มหวานก่อนจะเป็นฝ่ายดึงใบหน้าคมของอัคคีมาจูบแล้วซุกกายอยู่ในอ้อมกอดแสนอบอุ่นนั้น


                 “เราไม่ได้เกิดมาเพื่อเจ้า อัคคี แต่เราทั้งคู่เกิดมาเพื่อกันและกัน”


                 สายสัมพันธ์ที่ไม่อาจตัดขาดเมื่อมีชีวิตพร้อมกัน เกิดมาพร้อมกัน อัคคีและอินทัชจะอยู่กันไปเช่นนี้จนกว่าวันสุดท้ายของ

ชีวิตจะมาถึง


                                     สบตาแทนคำสัญญาก่อนที่บทรักครั้งใหม่จะเริ่มต้นในราตรีที่ยาวนาน



                                           -------------------- จบแล้วจ้า---------------------------
               

Belove’s Talk

                เย้ๆ แต่งจบแล้ว ><

               บัลลังก์รักใต้เงาแค้น ออนแอร์ครั้งแรก 13/7/58

               และจบลงในวันที่ 20/8/59

               หนึ่งปีกับอีกหนึ่งเดือนที่คนแต่งผ่านอะไรกับเรื่องนี้ และได้รับอะไรหลายๆอย่างก็จากเรื่องนี้

               ที่เยอะสุดก็คงจะเป็นเรื่องบังคับใจตัวเองให้ก้าวผ่านความนอยด์ไปให้ได้

               บัลลังก์รักใต้เงาแค้น ไม่ใช่นิยายแนวตลาด คนอ่านมีไม่มาก หรือมีมากก็ไม่รู้เพราะยอดเม้นท์ก็มีไม่มาก ยอดบวกเป็ดก็ไม่สูง

ทำให้คนแต่งเองก็เดาทางไม่ถูกว่าผลตอบรับจะเป็นอย่างไร นี่เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้นอยด์ แต่ก็ก้าวผ่านมาเพราะบอกตัวเองว่า เรา

แต่งนิยายที่เรารักไม่ใช่เหรอ มันเป็นจินตนาการของเรา มันเป็นผลงานของเรา ใครไม่ชอบก็ช่างแค่มีคนอ่านสักคนสองคนก็ดีแล้ว เราถึง

ได้ผ่านมันมาได้

               อีกเรื่องคือความยากของภาษา แต่งไปก็ต้องตรวจเช็คภาษาคำราชาศัพท์ ท่อนไหนควรใช้ ท่อนไหนใช้คำสามัญได้ ซึ่งก็

ทำให้แต่ละบทที่ออกมาช้ากว่านิยายเรื่องอื่นมาก แต่เราก็ดีใจนะที่ทำได้

               และอีกเรื่องคือความหื่น เลิฟซีนเยอะไปไหม ถามใจเธอดู แต่งไปนี่ก็เลือดพุ่งไปจนจะไม่มีสำนักพิมพ์ไหนกล้ารับไปพิมพ์

แล้ว หน้าปกคงต้องติดเรท 30+++

               อ่านจบมาถึงตรงนี้ อยากจะบอกอะไรกับคนแต่งก็บอกได้เลยนะคะ นี่ก็มือสมัครเล่น เวลามีใครแนะนำอะไรก็จะเก็บไป

ปรับปรุงในเรื่องต่อๆไป และขอบคุณมากที่ติดตามมาพร้อมๆกัน ขอบคุณสำหรับแรงใจหลังไมค์ที่ทำให้คนแต่งกล้าจะแต่งต่อจนจบ

                จบจากเรื่องนี้ก็จะทุ่มเวลาให้ อนูบิส จ้าวแห่งแดนมรณะ ได้อย่างเต็มที่ และถ้าหาข้อมูล/พล็อตเรื่องพร้อมแล้ว เรื่องต่อไปก็

จะได้พบกับนิยายแนวทะเลทราย ซึ่งเป็นอีกแนวที่คนแต่งใฝ่ฝัน (แกใฝ่ฝันแต่เรื่องยากๆนะยะ :katai5: ) ซึ่งตั้งชื่อล่วงหน้าไว้แล้วว่า

“ลมหายใจแห่งผืนทราย”


               ติดตามงาน Belove ตลอดไปนะคะ


                :man1: :man1: :man1: :man1:
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >>บทที่29-30 20/8/59 ##จบแล้วรบกวนย้ายห้องค่ะ##
เริ่มหัวข้อโดย: KnightDevil ที่ 20-08-2016 12:02:35
ฮือ จบแล้ว
ขอบคุณนะคะที่แต่งนิยายสนุกๆมาให้ได้อ่านกัน
แต่แอบสงสารฟ้าฟื้นฮือ พี่เพชรไม่น่าเลย(;_;
รอตอนหวานๆเผื่อมีของสามสามีภรรยารุ่นใหญ่นะค้า<3
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >>บทที่29-30 20/8/59 ##จบแล้วรบกวนย้ายห้องค่ะ##
เริ่มหัวข้อโดย: iNcamisang ที่ 20-08-2016 12:14:12
เย่เย่เย่ สนึกมากๆเยยจะติดตามตลอดปายย
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >>บทที่29-30 20/8/59 ##จบแล้วรบกวนย้ายห้องค่ะ##
เริ่มหัวข้อโดย: Silvan ที่ 20-08-2016 12:23:35
เย้อยากได้ตอนพิเศษของพ่อสมิงพ่อบัวกะเจ้าฟ้าจังเลยค่า

อยากได้นะนะนะ

นี่ยังเศร้ามะหายที่เพชรกล้าตาย คนเขียนใจร้ายไม่สงสารฟ้าฟื้นเลยอ่า

รุสึกเฟลอ่านละหดหู่หลายเด้อ :hao5:
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >>บทที่29-30 20/8/59 ##จบแล้วรบกวนย้ายห้องค่ะ##
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 20-08-2016 12:30:15
จบดีจังค่ะ เราชอบที่ลงตัวกันทุกคู่และคี่. แค่แอบสงสารเพชรกล้ากับฟ้าฟื้น เป็นหม้ายตั้งแต่ยังหน่มเลยนะ
แอบเศร้าค่ะ ตามมาปีนึงเลยนะเนี่ย. ขอบคุณมากๆเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >>บทที่29-30 20/8/59 ##จบแล้วรบกวนย้ายห้องค่ะ##
เริ่มหัวข้อโดย: Nus@nT@R@ ที่ 20-08-2016 13:44:36
แอบเสียใจพี่เพชรไม่น่าตายเลย
ขอบคุณคนแต่งที่แต่งนิยายสนุกๆมาให้อ่านนะคะ
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >>บทที่29-30 20/8/59 ##จบแล้วรบกวนย้ายห้องค่ะ##
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 20-08-2016 14:10:23
จบแล้ว~ ขอบคุณนะคะ
สนุกมากๆเลย ^^
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >>บทที่29-30 20/8/59 ##จบแล้วรบกวนย้ายห้องค่ะ##
เริ่มหัวข้อโดย: aisen ที่ 20-08-2016 14:28:46
อ่านตั้งแต่ตอนแรกถึงตอนสุดท้าย ขอบคุณ  คุณbelove ที่แต่งนิยายดีๆอย่างนี้ และเป็นกำลังใจให้ต่อไปนะคะ
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >>บทที่29-30 20/8/59 ##จบแล้วรบกวนย้ายห้องค่ะ##
เริ่มหัวข้อโดย: lady_panko ที่ 20-08-2016 15:52:15
เพชรไม่น่าตายเลยอะ เข้าใจว่ากาลศึกมันก็ต้องการการสูญเสียบ้าง แต่ก็ใจร้ายกะฟ้าฟื้นไปนะ ฮือออออ

ปล เห็นด้วยว่าขอรุ่นขุ่นพ่อด้วยเถิดดดดด เค้าจะสามผีกันประการใดยังไงนะ ฮี่ๆๆๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >>บทที่29-30 20/8/59 ##จบแล้วรบกวนย้ายห้องค่ะ##
เริ่มหัวข้อโดย: chaichan ที่ 20-08-2016 16:18:12
ไม่ใช่ไม่ชอบนะค้า แต่ช่วงหลังๆ งานเยอะ จนแทบไม่มีเวลาเข้าบอร์ดเลยคร่า
ขนาดบางเรื่องยังไม่รู้ว่าจบแล้วด้วยซ้ำ
คนเขียนอย่าน้อยใจนะคร้า ติดตามทุกเรื่องคร่า :mew2: :mew2: :mew2:
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >>บทที่29-30 20/8/59 ##จบแล้วรบกวนย้ายห้องค่ะ##
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 20-08-2016 17:12:27
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >>บทที่29-30 20/8/59 ##จบแล้วรบกวนย้ายห้องค่ะ##
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 20-08-2016 20:34:34
 o22 เข้ามาอีกทีก็จบแล้ว  ขอบคุณสำหรับนิยายค่ะ  :pig4:

สารภาพว่าจำชื่อเรื่องไม่ได้ // หลบรองเท้าแป็บ

ไอ้ที่จำได้ก็ไม่ใช่ชื่อเรื่อง คือ พีเรียดเจ้าชายกับโจรป่า // หลบรองเท้าอีกที

เป็นที่มาที่ไปว่าทำไม นานๆ จะโผล่มาทีหนึ่ง // วิ่งหลบฉาก

หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >>บทที่29-30 20/8/59 ##จบแล้วรบกวนย้ายห้องค่ะ##
เริ่มหัวข้อโดย: ยอดมนุษย์ขนมปัง ที่ 21-08-2016 01:14:56
 :m4: ชอบๆๆ สนุกดีค่ะ


ติดตามเรื่องของคุณ Belove มาตลอด ตั้งแต่ร้ายซ่อนรักแล้วค่ะ อิอิ

ขอเป็นกำลังใจให้แต่งนิยายต่อไปเรื่อยๆนะคะ  :m1:
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >>บทที่29-30 20/8/59 ##จบแล้วรบกวนย้ายห้องค่ะ##
เริ่มหัวข้อโดย: kms ที่ 21-08-2016 03:58:03
ดีใจที่คู่พ่อจบแฮปปี้
แต่สงสารเพชรกล้ามากกกก ทำไมต้องตายยยย เสียใจอ่ะ
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >>บทที่29-30 20/8/59 ##จบแล้วรบกวนย้ายห้องค่ะ##
เริ่มหัวข้อโดย: kun ที่ 21-08-2016 12:09:54
สงสารฟ้าฟื้นเพรรกล้าจัง
ดีใจที่พ่อบัวได้2เลย อิอิ
อัคคีได้อยู่กับอิชทัชตลอดเวลาล่ะคราวนี้คุ้มล่ะ อิอิ
จบแล้วอ่ะ
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >>บทที่29-30 20/8/59 ##จบแล้วรบกวนย้ายห้องค่ะ##
เริ่มหัวข้อโดย: ~ ฤดูใบไม้ผลิ ~ ที่ 21-08-2016 20:33:31
ดีใจที่แฮปปี้ทุกคู่ สงสารก็แต่ฟ้าฟื้นที่พี่เพชรต้องมาจากไป  :mew4:
         :L2:  :L1: ให้กำลังใจคนเขียนน้าา :pig4:
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >>บทที่29-30 20/8/59 ##จบแล้วรบกวนย้ายห้องค่ะ##
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 22-08-2016 04:03:59
สุดท้ายก็แพ้ภัยตัวเอง แต่ยังมีความดีคือรักลูก

ความจริงชัดเจนแล้ว ความรักก็คงทนเช่นกัน คู่พ่อจัดไปค่ะ สามแซบ
คงฟินกันน่าดู

อินทัช อัคคีนี่เผลอไม่ได้เลยค่ะ อัคคีจัดหนักจัดเต็มตลอด

สงสารฟ้าฟื้น แต่โชคดีที่เพชรกล้าพาเข้าบ้าน น้องเลยไม่ต้องลำบาก
เสียดายเพชรกล้า อยู่มาตั้งนาน มาตายตอนจบ

สนุกมากค่ะ น่าลุ้นมาก
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >>บทที่29-30 20/8/59 ##จบแล้วรบกวนย้ายห้องค่ะ##
เริ่มหัวข้อโดย: MIwEMInE ที่ 22-08-2016 07:16:05
พี่เพชรของน้องงง :hao5:  :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >>บทที่29-30 20/8/59 ##จบแล้วรบกวนย้ายห้องค่ะ##
เริ่มหัวข้อโดย: Ice_Iris ที่ 22-08-2016 11:43:05

ย่องๆๆๆ

เข้ามา

แนวนี้หรือแนวไหน

แต่มันก็คือความรักของคนทั้งคู่

ชอบขอรับ

ฟินขอรับ

ขอบคุณที่แบ่งปันขอรับ

หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >> #Twincest# #Period#
เริ่มหัวข้อโดย: little_munoi ที่ 23-08-2016 17:05:43
คุณพระ มีความช๊อคการลงเอยที่แฮ๊ปปี้ขิงพ่อบัว
ปล. เราชอบนะ
แฝดก้อดี มีความสุข
คนดีต้องได้ดี
แต่ฟ้าฟื้นสิ
อันนี้เศร่าเบาๆ
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >> #Twincest# #Period#
เริ่มหัวข้อโดย: aoihimeko ที่ 25-08-2016 19:29:46
ขอบคุณสำหรับเรื่องราวดีๆค่ะ
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >> #Twincest# #Period#
เริ่มหัวข้อโดย: iNcamisang ที่ 28-08-2016 21:04:45
สนุกที่สุดเลยจะรอติดตามเรื่องอื่นๆต่อนะค้าาาา  :mew1:
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >> #Twincest# #Period#
เริ่มหัวข้อโดย: Dumzila047 ที่ 28-08-2016 22:07:44
อ่านจบแล้วว สนุกมาเรื่อย แอบน้ำตาซึมกับพี่เพชร และรุ่นพ่อก็สามพีกันไป อิอิ  :hao3:
แม่นางดอกกะหล่ำก็ได้รับผลกรรม  :z2:

ขอบคุณสำหรับนิยายค่ะ :hao7:
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >> #Twincest# #Period#
เริ่มหัวข้อโดย: lovewannabe ที่ 29-08-2016 00:06:36
ตอนเจ้าฟ้าอาทิตยฯตรัสกับคุณหญิงเพทายเรื่องเพชรกล้า เราน้ำตาไหลเลยอ่า สงสารคุณหญิงจัง
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >> #Twincest# #Period#
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 13-09-2016 01:03:57
สนุกมากเลยค่ะ ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆนะคะ  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >> #Twincest# #Period#
เริ่มหัวข้อโดย: Jthida ที่ 13-09-2016 10:40:34
สงสารเพรชกล้าอ่ะ ฮือ
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >> #Twincest# #Period#
เริ่มหัวข้อโดย: airicha ที่ 29-09-2016 15:31:10
พี่เพชรไม่น่าตายเลย สงสารฟ้าฟื้น   :o12: :o12:
คนแต่งใจร้าย :ling1: :ling1:
แต่ชอบคู่พ่อ 3 พ่อ 3p เลย อิอิ
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >> #Twincest# #Period#
เริ่มหัวข้อโดย: Persoulle ที่ 01-10-2016 03:17:45
ฮืออออออ เพชรกล้าาาาาาา  :ling1: :hao5:
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >> #Twincest# #Period#
เริ่มหัวข้อโดย: nunda ที่ 01-10-2016 09:16:36
เสียใจอ่ะ เพรชกล้าไม่น่าตายเลย สงสารฟ้าฟื้น

พ่อบัว สมิง กะ เจ้าฟ้าอาทิตย์ ก็อยากให้มีตอนพิเศษ
เรื่องของ3คนนี้ อาจเป็นเพราะไม่ใช่คู่หลัก มันเลยเหมือนรวบรัดตัดตอนไปอ่ะจ้าาา

ส่วนคู่เลิฟฟฟฟฟ อัคคีอินทัชนี่ก็เร่าร้อนเสมอๆ แล้วก็รักกันมากกกก ชอบอ่ะ
อยากให้มีตอนพิเศษแบบว่าหึงหวงกันบ้างไรงี้
แบบว่าอินทัชก็มีองครักษ์คนใหม่หล่อล่ำอยู่ข้างๆ
อัคคีก็มีนางในนางกำนัลเข้ามารายล้อมมม
อร๊ายยยย แค่คิดก็ฟิน หึงกันไปมา  ヽ( ´¬`)ノ

สุดท้ายขอบคุณคนเขียนมากๆนะคะ ^^
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >> #Twincest# #Period#
เริ่มหัวข้อโดย: neno.jann ที่ 02-10-2016 02:50:15
จบแล้วววววว จะบอกว่าอ่านแบบมาราธอนมาก ไม่ต้องหลับไม่ต้องนอนน แบบ ฟินอ่ะ ฟินไปไหนนน ฟินมากกกก อ่านตอนแรก หมันไส้อีเจ้าอาทิตย์ แต่อ่านๆไปก็เออ เป็นคนดีนี่หว่า แอบเสียดายถ้าจะอยู่เหี่ยวเมียไม่เอา 555 แล้วก็ได้ฟินสมใจ  :katai1: จะรวมเล่มมั้ยยยย ถ้ารวมเราจะสอยยยย  :hao3:
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >> #Twincest# #Period#
เริ่มหัวข้อโดย: Ciin ที่ 02-10-2016 22:16:05
สนุกมากกกกก เนื้อเรื่องซับซ้อนซ่อนเงื่อนดีมากเรยค่าาา ชอบๆๆๆ
ปล สงสารพี่เพชร กับ ฟ้ามากเรยย
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >> #Twincest# #Period#
เริ่มหัวข้อโดย: azure ที่ 04-10-2016 16:07:43
เพิ่งอ่านจบ ทีเดียวรวด
จะบอกว่าประทับใจมาเลยยยยยยย

แอบฮาว่าอาทิตย์ยอมอยู่แบบ3p ด้วย
ไม่น่าเชื่อนะท่านกษัตริย์ 55555

ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆเรื่องนี้นะคะ
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >> #Twincest# #Period#
เริ่มหัวข้อโดย: bambooiihallo ที่ 04-11-2016 01:43:06
ชอบบบบบ ชอบภาษาามากกกกกกค่า
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >> #Twincest# #Period# สอบถามเรื่องเปลี่ยนตอนจบใหม่
เริ่มหัวข้อโดย: Belove ที่ 22-02-2017 19:08:29
รบกวนสอบถามความคิดเห็นค่ะ




เนื่องจากจะมีการพิมพ์นิยายเรื่องนี้กับสำนักพิมพ์ ผู้แต่งจะขอปรับแก้ตอนจบใหม่
ให้พี่เพชรกล้าไม่ตาย (ซึ่งก็ไม่เยอะเท่าไหร่)
ทีนี้อยากจะสอบถามว่า จะให้ลงตอนแก้แล้วในเล้าเป็ดหรือไม่


และถ้าให้ลง
-จะให้แก้ในบทจบเดิม
หรือ
-ลงเป็นบทใหม่ เป็นทางเลือกให้อ่าน


ช่วยตอบกันด้วยนะคะ ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >> #Twincest# #Period# สอบถามเรื่องเปลี่ยนตอนจบใหม่
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 22-02-2017 19:28:41
สำหรับเรา แก้ก็ดีนะ ไม่อยากให้ตายอยู่แล้ว

ส่วนจะแก้ในเล้าแบบไหนก็ได้
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >> #Twincest# #Period# สอบถามเรื่องเปลี่ยนตอนจบใหม่
เริ่มหัวข้อโดย: Der Adler ที่ 23-02-2017 18:32:30
ลงแก้ด้วยจร้าาา...ชอบเรื่องนี้มากเลยยย
ยังงงว่าทำไมพึ่งเปิดมาเจอเนี้ยยยย
ชอบแนวนี้เหมือนกัน
กระชับ ฉับไว เรทได้ใจ (???)
หัวข้อ: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >> บทที่ 29-30 ฉบับแก้ไขตอนจบ [23 ก.พ. 60]
เริ่มหัวข้อโดย: Belove ที่ 23-02-2017 18:37:57


                                                                    บัลลังก์รักใต้เงาแค้น

                                                                     บทที่  29 (ฉบับแก้ไข)



                เจ้านางปะวะหล่ำยกนิ้วชี้กราดไปยังหมู่ชายที่รายล้อมอยู่อย่างบ้าคลั่ง


               “ฆ่าพวกมัน พวกมันที่ทำร้ายจิตใจข้า โดยเฉพาะไอ้โกมุท ไอ้หอกข้างแคร่ที่เป็นเสี้ยนหนามตำใจข้า ฆ่ามัน!”


               ดวงตาฝ้าฟางเบิกโพลงจนแทบกลายเป็นสีขาวจ้องมองถลนออกมา โจรป่าสมิงแสยะยิ้มอยู่หลังผ้าปิดหน้าเมื่อรู้ว่าอีกฝ่าย

เตรียมจะใช้อาคมต่อสู้


               “คิดว่าใช้อาคมเป็นอยู่ฝ่ายเดียวงั้นรึนังหมอผี คนอย่างไอ้สมิงถ้าไม่แน่จริงไม่มาเป็นโจรป่าหรอก”


               แม่ย่าเฟื่องรุ้งบริกรรมคาถาก่อนจะเสกผีพรายให้พุ่งมาทำร้าย แต่สมิงก็ไม่รอช้าเขาเองก็มีอวิชาติดตัวอยู่บ้าง เขาสู้กับแม่ย่า

เพื่องรุ้งด้วยมนต์ดำ พร้อมกันกับที่มานพกระซิบบอกเจ้านาย


               “เจ้านาง เราต้องหนีเดี๋ยวนี้”


               เจ้านางปะวะหล่ำเข้าพระทัยทันที มานพจึงชักดาบขึ้นมากวัดแกว่งอยู่เบื้องหน้าเจ้านางปะวะหล่ำและแก้วกุดั่น


               “จะไปไหน”


               เพชรกล้าเข้ามาขวาง เขาจ้องมานพไม่กะพริบตา มานพจึงยกดาบเข้าต่อสู้กับเพชรกล้า เจ้านางปะวะหล่ำและแก้วกุดั่นได้แต่

ยืนตัวสั่น


               เหตุกการณ์โกลาหลมากขึ้น เมื่อมีการต่อสู้ทั้งคาถาอาคมและอาวุธ ดูเหมือนแม่ย่าเฟื่องรุ้งจะเสียเชิงเมื่อในที่สุดก็ถูกสมิง

กำจัด เสียงร้องโหยหวนดังลั่นจนแสบแก้วหู ร่างผอมเกร็งล้มตึงไปนอนดิ้นพล่านอยู่บนพื้นดวงตาเหลือกลานราวกับกำลังถูกบีบคอและ

ในที่สุดแม่ย่าเฟื่องรุ้งก็นอนแน่นิ่งสิ้นลมหายใจ


               “แม่ย่า!”


               เจ้านางปะวะหล่ำกรีดร้องเมื่อชู้รักตายลงไป และมานพนายทหารคนสนิทก็เพิ่งจะถูกสังหารด้วยฝีมือของเพชรกล้า สติของ

เจ้านางแตกกระเจิงเมื่อเห็นว่าทุกอย่างพังพินาศ ตอนนี้เจ้านางคิดอยู่อย่างเดียวว่าเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็นเพราะเจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์


               “ชีวิตหม่อมฉันเป็นเช่นนี้เพราะพระองค์แต่เพียงผู้เดียว”


               ผวาคว้ามีดดาบที่ตกอยู่แถวนั้นแล้วพุ่งเข้าใส่ เพชรกล้าที่อยู่ใกล้ที่สุดเหลือบเห็นพอดี


               “เจ้าฟ้า ระวัง!”


               เพชรกล้ากระโจนเข้าปัดดาบแต่ก็ชุลมุนเกินกว่าจะทำได้ ดาบจากพระหัตถ์ของเจ้านางปะวะหล่ำจึงเสียบเข้าไปในร่างกาย

ของเขาแทนเจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์


               “พี่เพชร!”


               หัวใจของฟ้าฟื้นหล่นหายเมื่อเห็นดาบเสียบคาอยู่บนกายคนรัก เขาผวาเข้ามารับร่างของเพชรกล้าไว้ในอ้อมกอด


               “จับกุมเจ้านางเดี๋ยวนี้”


               เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์รับสั่งเสียงกร้าว เจ้านางปะวะหล่ำและแก้วกุดั่นจึงถูกจับกุมทันที ทุกคนจึงพุ่งความสนใจมาที่เพชรกล้า

เขานอนหายใจรวยรินอยู่ในอ้อมกอดของฟ้าฟื้น


               “ใครก็ได้ช่วยพี่เพชรที”


               ฟ้าฟื้นตะโกนลั่นเมื่อเห็นโลหิตไหลรินออกมาจากบาดแผลที่ยังมีมีดดาบปักคาไว้อยู่ เจ้าชายอินทัชรีบก้าวบาทเข้ามาทรงสั่ง

ห้ามทุกคนไม่ให้ดึงดาบออก เพราะทรงรู้ดีจากการอ่านตำราฝรั่งว่าหากดึงดาบเล่มนั้นออกจากกายของเพชรกล้าแล้ว ทรวงอกของเพชร

กล้าจะมีอากาศจากภายนอกเข้าไปและทำให้ถึงตายทันที


               “ไปตามหมอฝรั่งมาเร็ว!”


               เพราะเพชรกล้าเป็นนายทหารคู่พระทัยมาตั้งแต่พระองค์ยังเล็กและยังช่วยสอนวิชาการต่อสู้อีกด้วยเปรียบเสมือนเป็นครูของ

พระองค์ด้วยอีกคน เจ้าชายอินทัชก็ยิ่งทรงเป็นห่วงจนกระทั่งชายสูงอายุชาวต่างชาติคนหนึ่งก้าวเข้ามาจึงทรงได้ดึงแขนของฟ้าฟื้นให้

ผละจากร่างของเพชรกล้าและมอบการดูแลเพชรกล้าสู่มือของนายแพทย์ชาวต่างประเทศ






               อัคคีก้าวเข้าไปใกล้ลูกกรงเหล็กที่กั้นเขาไว้กับสตรีสูงศักดิ์ที่ได้ชื่อว่าเป็นแม่ บัดนี้เจ้านางปะวะหล่ำอยู่ในสภาพอิดโรยแต่ก็ยัง

หยัดกายตรงเชิดพักตร์สูงด้วยทิฐิ ทรงประทับอยู่บนพื้นเย็นและแข็งกระด้างโดยมีนางแก้วกุดั่นนั่งร้องไห้กระซิกอยู่ไม่ไกลกันนัก


               อัคคีทรุดตัวลงนั่งเสมอกับเจ้านางปะวะหล่ำ สายตาที่เขาใช้มองพระมารดานั้นช่างมีหลากหลายอารมณ์สลับกัน เขาเคย

จินตนาการถึงแม่แท้ๆ หากแต่เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นทุกอย่างทำให้เขาไม่สามารถทำใจยอมรับได้จริงๆ ส่วนเจ้านางปะวะหล่ำนั้นเมื่อแรกเห็น

ก็ทอดพระเนตรด้วยความคิดถึง แต่เมื่อได้มองเห็นสายตาของพระโอรสที่พลัดพรากกันตั้งแต่แรกเกิดแล้วก็ทรงเม้มโอษฐ์แน่น


               “ถ้าจะมาเพื่อมองแม่ด้วยสายตาเช่นนี้ก็จงกลับออกไปเสีย เจ้าคงเสียใจที่มีแม่เช่นข้า”


               ความน้อยเนื้อต่ำใจแล่นมาจุกอกจนน้ำพระเนตรคลอเบ้า ทรงเบือนพักตร์หนีจากอัคคีที่ก็นึกเสียใจไม่แพ้กัน


               “ถึงแม้หม่อมฉันจะไม่เห็นด้วยในสิ่งที่พระองค์กระทำ แต่ถึงอย่างไรก็ทรงให้กำเนิดหม่อมฉัน”


               “แล้วอย่างไร ให้กำเนิดไปก็เท่านั้น ในเมื่อใจของเจ้าฝักใฝ่อยู่กับโกมุทที่ชิงตัวเจ้าไปอยู่แล้วนี่”


               อัคคีมองใบหน้าของเจ้านางแห่งรัตนปุระนครที่มีน้ำตาหยดหนึ่งร่วงลงมา เขาปฏิเสธไม่ได้ว่าใจหนึ่งก็รู้สึกผูกพันกับเจ้านางปะ

วะหล่ำอยู่บ้าง


               “หม่อมฉันฝักใฝ่อยู่กับความถูกต้องพะย่ะค่ะ กราบขอบพระทัยที่ให้ลมหายใจของหม่อมฉัน”


               อัคคีก้มลงกราบแนบพื้น เจ้านางปะวะหล่ำมองภาพนั้นอย่างสะท้อนใจ และเมื่ออัคคีเงยหน้าขึ้นมาแล้วเจ้าชายอินทัชจึงก้าว

พระบาทมานั่งเคียงข้าง ทรงยื่นหัตถ์ผ่านลูกกรงเหล็กเข้าไปแตะท่อนพระกรของเจ้านางปะวะหล่ำ


               “พระมารดา”


               อัสสุชลไหลต้องปรางเนียน เช่นไรก็เป็นพระมารดาแม้ว่าจะทำสิ่งผิดพลาดลงไป มิหนำซ้ำยังเติบโตชันษามาใกล้ชิด เจ้าชาย

อินทัชจึงเจ็บปวดยิ่งนักที่เห็นสภาพของเจ้านางปะวะหล่ำขณะนี้


               “อินทัชลูกแม่”


               โผเข้ากอดพระโอรสโดยมีลูกกรงเหล็กขวางกั้น ความรู้สึกต่างๆประดังเข้ามาจนจุกอก


               “เจ้าผิดหวังในตัวแม่มากใช่ไหม แม่ทำไปเพราะความกดดัน ถ้าใครไม่มายืนอยู่ในจุดที่แม่อยู่คงไม่เข้าใจ”


               เจ้าชายอินทัชสะอื้นไห้ราวกับเด็กน้อยพลางทอดพระเนตรพระมารดาด้วยพระเนตรแดงก่ำ


               “ลูกเข้าใจพะย่ะค่ะ ถึงแม้ว่าพระมารดาจะทำในสิ่งที่ผิดพลาดแต่ลูกก็ยังคงรักพระมารดาดังเช่นเดิม”


               “แม่ขอโทษนะลูก”


                ประโยคสุดท้ายของเจ้าชายอินทัชเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่เตือนให้เจ้านางปะวะหล่ำตระหนักถึงผิดชอบชั่วดี หยาดน้ำตาจึงล้น

ทะลักออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ จนกระทั่งได้ยินเสียงฝีพระบาทของเจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ก้าวเข้ามา ทรงทอดพระเนตรพระชายาก่อนจะถอน

ลมหายใจ เจ้าชายอินทัชจึงขยับองค์หลีกทางให้เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์


               “ปะวะหล่ำ”


               ถึงอย่างไรก็ได้ชื่อว่าพระชายาแม้ทุกสิ่งที่ทำจะสร้างความเจ็บช้ำให้มากมายนักก็ตาม


               เสนาบดีฝ่ายยุติธรรมก้าวตามเข้ามาหยุดยืนด้านข้างและเปิดพระราชโองการอ่านความผิดของเจ้านางปะวะหล่ำที่ทรงประทับ

นิ่งฟังด้วยความสงบ


               “...ความผิดทั้งหมดหากเป็นสามัญชนจะต้องได้รับโทษประหารชีวิตตัดคอเสียบประจานเพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างสืบไป แต่

ด้วยเพระดำรงตำแหน่งเจ้านางแห่งแคว้นและเป็นพระมารดาของพระราชโอรสทั้งสอง เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ศตรัศมิ์จึงพระราชทานยาพิษให้

เสวยเสียแต่ในคุกเพื่อไม่ต้องรับความอับอาย”


               นางแก้วกุดั่นร้องไห้โฮ พลางเข้าไปกอดพระบาทไว้แน่น เจ้านางปะวะหล่ำเชิดพักตร์ด้วยขัตติยะนารี


               “หยุดร้องได้แล้วนางแก้ว ทรงประทานยาพิษให้ข้ามิใช่ให้เจ้า”


               ประตูลูกกรงเหล็กเปิดออก นายทหารนำแก้วยาพิษเข้ามาถวายให้เบื้องหน้า เจ้านางปะวะหล่ำถอนลมหายใจออกมา

พระเนตรที่เคยงดงามบัดนี้ดูอับเฉาร่วงโรยขณะสบพระเนตรกับเจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์


               “หม่อมฉันขอประทานอโหสิกรรมเพคะ”


               เป็นครั้งแรกที่เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ทรงมองพระชายาด้วยความสงสารเห็นใจ


               “ข้าอโหสิกรรมให้เจ้า ปะวะหล่ำ


               เจ้านางปะวะหล่ำทรงรับรู้คำนั้นก่อนจะก้มลงกราบที่พระบาทของเจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์


               “ฝากลูกด้วยนะเพคะ”


               “พระมารดา!”


               เจ้าชายอินทัชกันแสงจนแทบหมดแรง อัคคีได้แต่โอบกอดวรกายสั่นเทานั้นไว้เมื่อเจ้านางปะวะหล่ำรับถ้วยยาพิษมาเสวยเข้า

พระโอษฐ์และหลับพระเนตรลงตาม เพียงแค่อึดใจก็ทรงล้มลงแน่นิ่งไปกับพื้น


               “หม่อมฉันขอตามไปรับใช้เจ้านางนะเพคะ”


               นางแก้วกุดั่นข้ารับใช้ตั้งแต่เหมราชคว้าถ้วยยาพิษที่ยังมียาหลงเหลือมาเทพรวดเข้าปาก ไม่นานนักก็ล้มพับเคียงข้างเจ้านาย

ของตน เจ้าชายอินทัชทรงผวาเข้าไปกอดพระศพพระมารดาด้วยความอาลัย


               “จบสิ้นกันเสียทีเรื่องเลวร้ายทั้งหมด”


               เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ทรงรำพันด้วยความสลด




         มีต่ออีกนิด....

หัวข้อ: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >> บทที่ 29-30 ฉบับแก้ไขตอนจบ [23 ก.พ. 60]
เริ่มหัวข้อโดย: Belove ที่ 23-02-2017 18:41:49
ต่อกันตรงนี้...




               จบเรื่องลงแล้ว เจ้าฟ้าอาทิตวงศ์จึงมีกระแสรับสั่งให้เชิญโจรป่าสมิงและโกมุทมาเข้าเฝ้าเป็นการส่วนพระองค์ สมิงนึกกระดาก

อยู่ไม่น้อยเพราะเขาไม่เคยพบกับคนใหญ่คนโต จนโกมุทต้องเอ่ยให้กำลังใจ


               “ทำตัวตามสบายนั่นแหละสมิง ไม่ต้องฝืนหรอก”


               “จะดีรึพ่อบัว นั่นน่ะกษัตริย์เชียวนะ”


               “เชื่อข้าเถิดน่า”


               เสียงพูดคุยเงียบลงเมื่อบานประตูเปิดออก เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ทรงก้าวพระบาทเข้ามาหยุดยืนและทอดพระเนตรทั้งคู่โดย

เฉพาะโกมุท แต่ก็ต้องตัดใจหันมาสบตากับสมิง


               “ในนามของรัตนปุระนคร ข้าต้องขอบใจเจ้ามาก”


               “ไม่เป็นไร เอ่อ พะย่ะค่ะ ข้า เอ๊ย หม่อมฉันแม้จะเป็นโจรแต่ก็รักแผ่นดิน”


               “พูดกับข้าเช่นธรรมดาที่เจ้าพูดเถอะ ถือเสียว่าเป็นสหายกัน”


               “หา เป็นสหายกับเจ้า ขี้กลากจะกินหัวไอ้สมิงเอานะพะย่ะค่ะ”


               สมิงตาเหลือกจนเจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์แย้มสรวลออกมาได้


               “ฝีมือการต่อสู้ของเจ้าดีมาก มิน่าถึงได้สอนอัคคีจนเชี่ยวชาญ ข้าขอเสนอให้เจ้าเลิกเป็นโจรและมาเป็นครูฝึกวิชาการต่อสู้ให้

ทหารเจ้าจะสนใจไหม”


               สมิงนิ่งคิด ความจริงเขาก็ไม่ได้อยากเป็นโจร แต่เพราะชีวิตที่เคยตกระกำลำบากทำให้สมิงไม่มีทางเลือก หากตอนนี้มีทาง

เลือกมาอยู่ตรงหน้าแล้ว อยู่ที่เขาเองจะเลือกหรือไม่


               “ค่อยๆคิดก็ได้สมิง ข้าไม่เร่งรัดคำตอบ และอีกอย่างหนึ่งที่ต้องขอบใจคือที่เจ้าช่วยดูแลท่านน้าและลูกชายของเราเป็นอย่าง

ดี”


               “ท่านน้า! หมายถึงพ่อบัวงั้นหรือ”


               สมิงตกใจเมื่อรู้ว่าโกมุทมีศักดิ์เป็นถึงน้าของกษัตริย์ พอจะเดาเรื่องราวได้อยู่ว่าโกมุทมีส่วนเกี่ยวข้องอยู่ในพระราชวังแต่เขา

ไม่นึกว่าจะเป็นถึงพระมาตุลา


               “ข้าขอโทษที่ไม่ได้บอกเจ้านะสมิง เรื่องทุกอย่างมันเป็นความลับที่ข้าบอกใครไม่ได้”


               “เช่นนั้นอย่าบอกนะว่าเจ้าอัคคีน่ะ คือลูกของ...”


               ตกใจเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัวเมื่อลูกบุญธรรมที่เลี้ยงราวกับลูกในไส้แท้จริงแล้วเป็นถึงพระราชโอรส สมิงมึนงงจนต้องยกมือตบหน้า

ผากดังป้าบ


                “เก็บไปไตร่ตรองเรื่องที่ข้าเสนอด้วยนะสมิง แต่ตอนนี้ข้าขอเวลาอยู่กับท่านน้าสักครู่เถอะ”


               สมิงพยักหน้ารับก่อนจะก้าวเดินไปยังประตู แต่ก่อนที่จะก้าวเท้าออกไป พลันได้ยินเสียงที่โกมุทเรียกเจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์แม้จะ

เพียงแผ่วเบาก็ตาม


               “อาทิตย์”


               อาทิตย์เช่นนั้นหรือ เจ้าของนามที่หลุดออกจากปากโกมุทยามลืมตัวนั้นคือเจ้าฟ้าพระองค์นี้เองหรือ คนที่กุมหัวใจของโกมุท

จนยากที่โจรป่าอย่างสมิงจะเข้าไปแทรกได้


               หรุบตาลงแล้วก้าวออกจากห้องไปอย่างเจียมตัวเจียมใจกับศึกรักที่ไม่มีทางสู้



               “โกมุท ข้าดีใจเหลือเกินที่เจ้ายังมีชีวิตอยู่”


               เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ทรงดึงกายที่โหยหาเข้ามากอดแนบแน่น โกมุทขืนตัวอยู่พักหนึ่งจึงค่อยโอนอ่อนไปกับอ้อมกอดนั้น


               “อยู่อย่างไร้หัวใจและเต็มไปด้วยความแค้นก็เหมือนตายทั้งเป็นพะย่ะค่ะ”


               ตอบกลับเสียงขื่นกับชีวิตตลอดสิบกว่าปีที่ผ่านมา เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ทรงคลายอ้อมกอดพลางเชยคางของโกมุทเพื่อทอด

พระเนตรชัดๆ


               “เจ้าสูญเสียดวงตาไปข้างหนึ่ง”


               “แลกกับชีวิตที่เกือบตายเพราะตกเหว”


               “ดวงตาที่เสียไปไม่ได้ทำให้ข้ารักเจ้าน้อยลงเลยโกมุท ข้าขอโทษที่ดูแลเจ้าไม่ดี”


               โกมุทถอนหายใจ เมื่อเรื่องทุกอย่างคลี่คลายและไฟแค้นหายไปจากหัวใจ โกมุทก็เข้าใจดีว่าเจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์เองก็เป็น

เหยื่อของเรื่องทั้งหมดเช่นกัน


               “อย่าโทษองค์เองอีกเลยพะย่ะค่ะ เราต่างก็บอบช้ำกันมากเกินพอแล้ว”



               เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ทรงพิจารณาโกมุท รูปร่างที่เคยบอบบางดูแข็งแรงขึ้น มือที่เคยนุ่มก็สากเพราะทำงาน ผิวขาวคล้ำลงเพราะ

ไอแดด


               “โจรสมิงดูแลเจ้าดีอยู่ใช่ไหม”


               เดาจากสายตาที่สมิงมองโกมุทแล้ว เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์เข้าพระทัยถึงความลึกซึ้งในความสัมพันธ์ สีหน้าของโกมุทเปลี่ยนไป

แวบหนึ่งเหมือนละอายที่จะยอมรับ


               “สมิงดูแลหม่อมฉันและอัคคีเป็นอย่างดี ดีมากจน....”


               “เจ้าไม่ต้องกระอักกระอ่วนที่จะบอกข้าหรอกโกมุท ข้าเข้าใจดีว่าเจ้ากับสมิงคงจะผ่านเรื่องต่างๆมาด้วยกันมากมาย”


               พระเนตรเจ็บปวดยามมองคนที่อยู่ในพระทัยมาตลอดจนโกมุทรู้สึกเจ็บตามไปด้วย


               “อาทิตย์ หม่อมฉันขอโทษที่มีคนอื่นนอกจากพระองค์ ทั้งที่เคยสัญญาไว้ว่าจะมีพระองค์เพียงผู้เดียว”


               “อย่าพูดเช่นนั้น แค่เจ้ามีชีวิตอยู่ข้าก็ดีใจมากเหลือเกินแล้ว และเมื่อรู้ว่าเขาดูแลเจ้าดีข้าก็สบายใจ”


               เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์แนบโอษฐ์ลงไปแผ่วเบาบนริมฝีปากที่โหยหา


               “ถ้าเจ้าจะเลือกเขาเป็นคู่ชีวิตข้าก็ยินดีแม้ว่าจะเจ็บปวดก็ไม่เป็นไร ขอให้เจ้ามีความสุขก็พอแล้ว”


               โกมุทเดินออกมาจากห้องเข้าเฝ้าฯมาสู่ห้องรอเฝ้าฯด้านนอกจึงเห็นสมิงยืนคอตกรออยู่


               “สมิง”


               เอ่ยเรียกเสียงนุ่มพลางวางมือแตะต้นแขนสมิงที่หน้าเศร้า โกมุทมองอย่างสงสัย


               “เป็นอะไรสมิงถึงได้ทำหน้าเหมือนกลืนยาขมเช่นนี้”


               สมิงมองพ่อบัวของเขาที่เพิ่งรู้ว่าแท้จริงมีนามว่าโกมุทด้วยความน้อยใจ


               “ข้าแค่รู้สึกไม่คู่ควรที่จะยืนอยู่ตรงนี้ในวังใหญ่โต และยิ่งรู้สึกว่าต่ำต้อยยามที่มองเจ้า พ่อบัว เจ้าช่างสูงส่งเหลือเกิน

               “สูงเช่นไรก็ไม่สูงเท่าความดีหรอก เจ้าจะน้อยเนื้อต่ำใจทำไมในเมื่อความดีที่เจ้าทำมามันสูงส่งกว่าข้าเสียอีก”


               คำปลอบนั้นไม่ได้ทำให้ความรู้สึกของสมิงดีขึ้น เขาเงยหน้าสบตากับโกมุทและเอ่ยคำถามที่ยังคาใจออกมา


               “เขาคือคนนั้นใช่ไหม คนที่อยู่ในใจของพ่อบัวมาตลอด คนที่พ่อบัวไม่เคยลืมเลือนแม้ว่าข้าจะทำดีแค่ไหนก็ตาม”


               โกมุทนิ่งงัน เขาทอดสายตาไปยังหลังบานทวารที่เพิ่งจะก้าวออกมา หัวใจของโกมุทโกหกไม่ได้ว่ามันคือเรื่องจริง


               “ใช่สมิง เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์เป็นทั้งหลานและเป็นคนรักของข้า เขาเป็นรักแรกที่ข้ารักและเทิดทูนด้วยใจภักดี แต่ข้าก็รักเจ้าเช่นกัน”


               โกมุทหันใบหน้ากลับมาหาสมิงและเผยความในใจที่ไม่เคยบอกสมิงมาก่อน


               “ความดีและความอดทนของเจ้าเอาชนะใจข้าได้”


               “อย่าพูดเพราะสงสารข้าเลยพ่อบัว อีกอย่างข้าเองก็รู้ตัวดีว่ามาทีหลัง หากพ่อบัวต้องการจะกลับไปหาเจ้าฟ้าข้าก็คงไม่มีสิทธิ์ห้าม”


               สมิงยังอดที่จะน้อยใจไม่ได้ คิดเปรียบเทียบว่าโจรป่าเช่นเขาจะมีสิ่งใดไปสู้กับเจ้าฟ้าผู้ครองแว่นแคว้น ท่าทางของสมิงทำให้

โกมุทเริ่มจะหมั่นไส้ โกมุทจึงตอบโต้ด้วยเสียงอันดังขึ้น


               “ตลอดเวลาเกือบยี่สิบปีที่อยู่ด้วยกัน เจ้าก็คะยั้นคะยอถามข้าเสียเหลือเกินว่ารักเจ้าบ้างไหม วันนี้ข้าตอบแล้วว่ารัก เจ้ากลับไม่

เชื่อ ทำไมหรือสมิง มันเป็นความผิดของข้าใช่ไหมที่หัวใจข้านั้นมีรักถึงสองคนจะตัดใครไปก็ไม่ได้”


               “เกิดอะไรขึ้น”


               เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ที่ยังประทับอยู่ด้านในถึงกับเสด็จออกมาเมื่อได้ยินเสียงดังของโกมุท เห็นใบหน้านั้นงอง้ำเหมือนคนไม่ได้

ดังใจในขณะที่สมิงได้แต่ยิ้มเจื่อน ส่วนโกมุทเมื่อเห็นพระพักตร์ของเจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์เขาก็ยิ่งโมโห


               “ผัวเจ้าก็ไล่ให้ไปอยู่กับผัวโจร ส่วนผัวโจรก็จะส่งคืนให้ไปอยู่กับผัวเจ้า”


               เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ได้ฟังแล้วกลับวางพักตร์ไม่ถูก ทรงหันไปหาสมิงที่ได้แต่กะพริบตาปริบๆที่เห็นโกมุทอารมณ์เสีย


               “ดีล่ะ ถ้าไม่มีใครเอา ข้าจะไปโกนผมบวชเสียให้รู้แล้วรู้รอด”


               “โกมุท!”


               “พ่อบัว!”


               ทั้งเจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์และสมิงไม่มีใครกล้าห้ามเมื่อโกมุทสะบัดหน้าเดินจากไป ทั้งคู่ยืนจ้องหน้ากันและถอนหายใจออกมา






                      TBC
หัวข้อ: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >> บทที่ 29-30 ฉบับแก้ไขตอนจบ [23 ก.พ. 60]
เริ่มหัวข้อโดย: Belove ที่ 23-02-2017 18:47:51

                                                                           บัลลังก์รักใต้เงาแค้น

                                                                           บทที่  30 (ฉบับแก้ไข)



               “ท่านบอกกับพ่อบัวว่ากระไรพะย่ะค่ะ” สมิงทูลถามเสียงแห้ง


               “ข้าบอกโกมุทว่า หากเขาจะเลือกเจ้าข้าก็ยินดีเพราะเจ้าทำดีกับโกมุทมาตลอด แล้วเจ้าล่ะ” เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ทรงถามกลับ

บ้าง


               “ข้าบอกพ่อบัวว่าถ้าจะกลับไปหาท่านก็ได้ เพราะท่านมาก่อน”


               “กรรม” เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ถึงกับส่ายพักตร์       


               “สมิง ข้าคิดว่าเราต้องตกลงกัน” ตรัสอย่างตัดสินพระทัยได้แล้วจึงได้เอ่ยข้อเสนอออกมา


               “ข้ามาก่อนก็จริง แต่เจ้าก็ช่วยชีวิตโกมุทไว้ ที่สำคัญคือเราทั้งคู่ต่างก็รักโกมุทและโกมุทคงจะไม่กล้าเลือกใครแน่นอน สมิง

ถ้าเป็นเช่นนั้นเราจะยอมให้โกมุทมีเราทั้งคู่อยู่พร้อมกันได้หรือไม่”


               “ท่านหมายความว่า อยู่ด้วยกันสามคนผัวเมีย”


               สมิงตาเหลือก เขาไม่นึกว่าเจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์จะเสนอทางเลือกนี้แต่สมิงเองก็นึกทางอื่นไม่ออก ใจจริงแล้วเขารักโกมุทมาก

จนไม่อาจตัดใจเช่นกัน


               “ข้าเองก็นิยมฝีมือและน้ำใจของเจ้าอยู่ไม่น้อย หากเราจะเป็นสหายกันและช่วยกันทำให้โกมุทมีความสุขเจ้าเจ้าคิดเช่นไร”


               มีสิ่งใดที่ต้องคิดอีก แค่ขอให้ได้อยู่ใกล้โกมุทสมิงก็เป็นสุขใจแล้ว


               “ข้านั้นไม่มีปัญหาใดให้ต้องปฏิเสธ ผู้ที่จะมีปัญหาคือพ่อบัวต่างหาก”


               จริงดังที่สมิงกล่าว ดังนั้นทั้งคู่จึงไปหาคนกลางที่นั่งหน้าบึ้งอยู่ในอุทยาน เมื่ออยู่ต่อหน้าโกมุท บุรุษที่แสนอาจหาญอย่างเจ้า

ฟ้าอาทิตยวงศ์และสมิงกลับไม่กล้าเอ่ยความ ได้แต่เกี่ยงกันด้วยสายตา


               “มีอะไรกันอีก มาพร้อมกันแบบนี้หรือคิดจะขับไสข้าไปที่อื่น”


               “ท่านน้า” เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์เป็นผู้กล้าก้าวเข้าไปหาและประทับขนาบข้างโกมุทไว้


               “ข้ากับสมิงมาขอโทษที่พูดจาทำให้ท่านน้าเข้าใจผิด แต่มันเป็นเพราะเราทั้งคู่ต่างก็รักท่านน้ามาก ได้โปรดเข้าใจพวกเรา

ด้วย และตอนนี้เรามีขอเสนอ”


               “ข้อเสนอ?”


               โกมุทมองพักตร์ของเจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์และสมิงสลับกันด้วยความสงสัย เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ทรงพยักเพยิดให้สมิงเป็นคนกล่าว

สมิงจึงก้าวมานั่งอีกด้านของโกมุทและยิ้มจืดนำทาง


               “เอ่อ พ่อบัว คือข้ากับท่านเจ้าเราตกลงกันได้แล้วว่า ในเมื่อเราก็รักพ่อบัวและพ่อบัวก็รักเราเหมือนๆกัน ก็ไม่เห็นต้องมีใครเสีย

สละเลย พวกเราก็อยู่ด้วยกันทั้งสามคนเช่นนี้ก็ได้จะได้ไม่ต้องมีคนเสียใจ ทีนี้ก็แล้วแต่พ่อบัวแล้วว่าจะคิดเห็นประการใดก็สุดแล้วแต่พ่อ

บัวตัดสินใจเถอะ”


               โกมุทนิ่งงัน ไม่อยากจะเชื่อว่าสามีทั้งสองคนจะสมานฉันท์กันได้ ทั้งที่ทั้งคู่ต่างชั้นวรรณะและไม่มีอะไรเหมือนกันสักนิด จะมี

ก็เพียงความรักที่มีให้เขา แค่เพียงสิ่งเดียวที่ยกให้โกมุทเป็นคนสำคัญที่สุด


               “ตกลงกันได้จริงๆงั้นรึ”


               อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามให้แน่ใจพลางหันไปมองพักตร์เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์กับสมิงสลับกัน ทั้งคู่รีบพยักหน้ารับ โกมุทกรอกตาไป

มา


               “ถ้าใครรู้เข้า เขาจะคิดว่าข้านี้เป็นคนมากรักหรือเปล่า”


                “ไม่มีใครรู้ดีไปกว่าพวกเราหรอก”


                เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ประทานกำลังใจ ทรงกุมมือโกมุทไว้แน่นหนาราวกับไม่ต้องการให้โกมุทหนีไปไหนอีกแล้ว


               “ใช่แล้วพ่อบัว ยามเราลำบากก็ไม่เห็นมีผู้ใดสอดมือมาช่วยเหลือ ยามเรามีความสุขก็ไม่เห็นต้องสนใจอ้ายอีหน้าไหนทั้งสิ้น”


                สมิงช่วยเสริมให้โกมุทมั่นใจมากขึ้น คนกลางเช่นโกมุทเม้มปากใคร่ครวญพักใหญ่กว่าจะตัดสินใจได้ ในเมื่อความรักของเขา

มีให้ทั้งคู่โดยไม่อาจตัดใครออกไปจากชีวิต หนทางนี้อาจจจะดีที่สุด


             “ก็ได้ ข้ายอมรับข้อเสนอ”


              คำตอบของโกมุททำให้เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์และสมิงพากันยิ้มกว้าง และแย่งกันกอดรัดคนกลางจนเกือบหายใจไม่ออก โกมุท

ได้แต่ยิ้มขำและปล่อยให้สามีทั้งสองแสดงความรักโดยไม่ขัดขวาง







                   ฟ้าฟื้นโผล่หน้าเข้าไปในห้องพักที่มีเพชรกล้านอนรักษาตัวอยู่ภายใต้การดูแลของนายแพทย์ฝรั่งก่อนจะมีร่างท้วมของ

สตรีสูงวัยก้าวตามเข้ามาและตรงไปยังเตียงที่มีบุตรชายนอนหลับพักอยู่ รอยบาดแผลลึกจากดาบมีผ้าพันแผลปิดทับไว้ ใบหน้าของเพชร

กล้ายังคงซีดกว่าที่เคย หมอฝรั่งบอกกับฟ้าฟื้นว่าเป็นเพราะเพชรกล้าสูญเสียโลหิตจำนวนมาก


                  “แม่ ฟ้าฟื้น”


                 เพชรกล้าเรียกพลันชะงักความเจ็บปวดจากบาดแผลมาเยือนจนหน้านิ่ว ฟ้าฟื้นรีบถลาเข้าไปนั่งที่เตียงเล็กและประคองร่าง

ของเพชรกล้าขึ้นมาทันที


               “เป็นอย่างไรบ้างลูก”


                คุณหญิงเพทายเอ่ยออกมาอย่างเป็นห่วงแม้จะรู้ว่าบุตรชายปลอดภัยแล้ว ผู้เป็นมารดาลูบศีรษะพลางมองด้วยความภาค

ภูมิใจ


                “ยังปวดแผลมากครับแม่ แต่ลูกรอดตายก็บุญแล้ว”


                “แม่ภูมิใจในความกล้าหาญและเสียสละของลูกมากเลยนะพ่อเพชร ถ้าพ่อของลูกได้มาเห็นอย่างแม่พ่อก็คงยิ่งภูมิใจที่ลูก

เสียสละชีวิตตนเองเพื่อเจ้าฟ้า”


               แม้จะอ่อนเพลียแต่เพชรกล้าก็คลี่ยิ้มรับคำชื่นชมของมารดา เขาหันไปหาฟ้าฟื้นที่นั่งอยู่อีกฝั่งพลางมองอย่างยินดีที่มีโอกาส

เห็นฟ้าฟื้นอีกครั้ง


              “ใครนะร้องลั่นเลยตอนพี่เจ็บ”


               ฟ้าฟื้นเบ้ปากอย่างหมั่นไส้ เขายกคิ้วสูงยียวนคนรักปิดบังความขัดเขิน


              “ข้าน่ะกลัวไม่มีทาสรับใช้ต่างหากล่ะหากว่าพี่ตายไป”


                เพชรกล้าหัวเราะจนเจ็บแผล เขามองฟ้าฟื้นอย่างเอ็นดูเพราะรู้ว่าฟ้าฟื้นเป็นห่วงเขาแค่ไหน เพชรกล้าโน้มใบหน้าของฟ้าฟื้น

เข้าใกล้และเอ่ยเสียงนุ่ม


                “พี่จะรีบรักษาตัวนะ แล้วทาสคนนี้จะจัดการเจ้าทดแทนเวลาที่บาดเจ็บอยู่”


               “บ้า หื่นกามชะมัด คุณหญิงแม่ขอรับเรารีบกลับกันดีกว่า กระผมไม่อยากอยู่ใกล้ตาแก่ชีกอ”


                 คุณหญิงเพทายเองก็ยิ้มออกมาได้เมื่อเห็นสีหน้าของบุตรชายสดใสขึ้น ต่อจากนี้เพชรกล้าก็คงจะมีความสุขกับคู่ครองที่เขา

เลือกเสียที







                    เมื่อผ่านพ้นสงครามกับอุดรรังษีบ้านเมืองก็กลับคืนสู่ความสงบ อุดรรังษีกลายเป็นประเทศราชของรัตนปุระนครเพราะแพ้

สงคราม เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ทรงมีรับสั่งให้อุดรรังษีหาผู้เหมาะสมเพื่อดำรงตำแหน่งเจ้าฟ้าโดยไม่ได้เข้าไปเกี่ยวข้องใดๆ หลังจากนั้นรัตน

ปุระนครจึงจัดงานเฉลิมฉลองครั้งยิ่งใหญ่เพื่อแต่งตั้งเจ้าชายรัชทายาทอีกหนึ่งองค์


                เสียงปี่กลองประโคมดังตามหลักราชประเพณี วันนี้อัคคีโกนหนวดเครารกรุงรังทิ้งไปเผยใบหน้าคมหล่อเหลาและสง่าผ่าเผย

ในชุดแต่งองค์ทรงยศครบครัน เขาก้าวเข้าไปหาและคุกเข่าลงเบื้องหน้าพระพักตร์เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ศตรัศมิ์ที่ประทับบนพระราชอาสน์

บัลลังก์แห่งกษัตริย์ของรัตนปุระนครพร้อมกับการขานพระนามใหม่จากผู้ดำเนินพิธีการ


                “พระบรมราชโองการโปรดเกล้าพระนามแด่เจ้าชายรัชทายาท ให้ขานพระนามว่า เจ้าชายอัคคีคุณาธิป ขอให้พระองค์ทรง

พระเจริญ”


                 ชาวประชาโห่ร้องแซ่ซ้องสรรเสริญ สมณะและพราหมณ์อวยชัยในพิธีเมื่อเจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ทรงพระราชทานพระสุพรรณบัฎ

แผ่นทองคำจารึกพระนามของเจ้าชายอัคคีคุณาธิปให้แด่เจ้าตัว อัคคีโค้งคำนับก่อนที่เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์จะดึงเขาเข้ามากอด


                “ทรงพระหล่อมากนะเจ้าชายอัคคี”


                ฟ้าฟื้นเพื่อนสนิทมาร่วมงานเฉลิมฉลองพร้อมกับคุณหญิงเพทาย ฟ้าฟื้นรับพ่อกับแม่ของเขามาอยู่ด้วยเมื่อหุบผากาฬไม่มี

โจรอีกต่อไปแล้ว และตอนนี้ฟ้าฟื้นกำลังตั้งใจศึกษาเล่าเรียนเพื่อที่จะเป็นนายทหารอย่างที่เขาต้องการ


              “พูดมากน่ะ หล่ออะไรกัน”


              อัคคีบ่นเบาๆเพราะเขายังไม่คุ้นกับเสื้อผ้าอาภรณ์หรูหราเช่นนี้ ความอึดอัดทำให้อัคคีรีบถอดชุดออกทันทีเมื่องานพิธีเสร็จสิ้น

ลงและกลับเข้ามาสู่ห้องของเจ้าชายอินทัช


               “หม่อมฉันอยากอยู่กับอินทัช”


                เขาเสนอความต้องการนี้เมื่อเจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ประทานห้องในวังหลวงให้อยู่เป็นส่วนตัว อัคคีปฏิเสธเพราะเขาต้องการใกล้

ชิดฝาแฝดของเขา พระบิดาก็ไม่ได้ขัดข้อง


                “อ้าว ทำไมรีบถอดชุดล่ะอัคคี”


                เจ้าชายอินทัชตรัสถามเมื่อตามเข้ามาในห้องพระบรรทมแล้วเห็นอัคคีถอดเครื่องทรงออกไปแล้ว


                 “ร้อน อึดอัด ข้าอยากกลับไปใส่ชุดทหารมากกว่า”


                 “ตอนนี้เจ้าเป็นเจ้าชายแล้ว ใส่บ่อยๆเดี๋ยวก็ชินไปเองนะเจ้าชายอัคคีคุณาธิป”


                 ทรงล้อเลียนคู่แฝดจนถูกดึงไปกอด อัคคีฝังจมูกลงไปบนแก้มเนียนเพื่อสูดดมความหอมจนชื่นใจ


                “จะเป็นโจรป่าหรือเป็นเจ้าชาย อัคคีคนนี้ก็รักเจ้าคนเดียวนะอินทัช”


                “ทำเป็นปากหวาน เป็นเจ้าชายแล้วเดี๋ยวก็มีแม่พวกสาวๆมาปรนนิบัติ คร้านจะลืมเรา”


                เจ้าชายอินทัชกระเง้ากระงอดพลางผลักหน้าอัคคีแต่ก็ยิ่งถูกกอดจนดิ้นไม่หลุด


                “แหวกหัวใจข้าสิอินทัช แล้วจะรู้ว่าในใจข้านั้นมีแต่เจ้า”


                “ปากหวานไปละ ระวังมดจะขึ้นปากเจ้า”


                เจ้าชายอินทัชสรวลกลบเกลื่อนความขัดเขิน แต่คำหวานนั้นก็ทำให้ชื่นพระทัยไม่น้อย


              “ข้าดีใจที่เราได้อยู่ด้วยกัน เราเกิดมาพร้อมกันก็จะอยู่ด้วยกันตลอดไป”


                 อัคคีทอดสายตามองพักตร์งามของเจ้าชายอินทัชก่อนจะพรมจูบลงไปบนโอษฐ์นุ่มที่ตอบรับอย่างเต็มใจ อัคคีถอดอาภรณ์

ของเจ้าชายอินทัชด้วยความยากลำบากจนชักจะหงุดหงิด


                “นี่แหละข้าถึงไม่ชอบชุดพวกนี้ มันทำให้ข้ากอดเจ้าได้ช้าลง”


               “ใจเย็นสิอัคคี ข้าถอดเองก็ได้”


              ส่ายพักตร์อย่างระอากับแฝดที่แสนจะใจร้อน เจ้าชายอินทัชถอดเครื่องทรงอย่างชำนาญจนในที่สุดวรกายเปลือยเปล่าก็ถูก

อัคคีครอบครอง


               “คิดถึงร่างกายของเจ้าเหลือเกิน ตรงนี้ ตรงนี้ ตรงนี้ก็ด้วย”


                เพราะเหตุการณ์วุ่นวายทำให้ห่างหายจากบทรัก บัดนี้อัคคีจึงตักตวงความหวานจากเจ้าชายอินทัชทดแทน เขาพรมจูบไปทั้ง

ตัวอย่างโหยหา มือไม้ป่ายเปะปะจนเจ้าชายอินทัชร้อนรุ่มไปทั้งตัว


               “อา อัคคี เราก็คิดถึงเจ้า”


                เจ้าชายอินทัชทอดพระเนตรอัคคีด้วยประกายพร่างพราวราวกับจะเชิญชวนให้ยิ่งลุ่มหลง อัคคีเลื่อนกายลงอยู่ตรงกลาง

ระหว่างพระโสณีหนั่นแน่นที่พร้อมรอให้เขาได้แทรกเข้าไปด้วยความเป็นชาย สัมผัสเบียดชิดพาให้วาบหวามจนต้องครางระงมยามที่

จังหวะรักเร่งไฟแห่งเสน่หา


                “อินทัช เจ้ากำลังจะฆ่าข้า”


                เงยหน้าเป่าปากเมื่อช่องทางแห่งสวรรค์บีบคั้นจนแทบทนไม่ไหว อัคคีดันพระอูรุ(ท่อนขา)ขาวเนียนยกสูงขณะที่เขาขับ

เคลื่อนเน้นย้ำจุดอ่อนไหวที่คุ้นเคย เจ้าชายอินทัชปรือเนตรฉ่ำหวาน ปรางแดงชื้นไปด้วยเสโทและหอบหนัก เสียงครางสุขสมระงมไม่

หยุดหย่อน


               “ซ้าย ซ้ายอีกนิด อัคคี อื้อ...”


                   เกร็งวรกายเข้าหา โอษฐ์งามเม้มแน่นพลางกลั้นลมหายใจเมื่อพุ่งกายเข้าหาแดนสวรรค์ อัคคีกลืนน้ำลายเหนียวหนับเมื่อ

ความแข็งขันถูกรัดรึงรอบทิศ เขาตั้งขาขึ้นและขยับรัวจนปวดท้องน้อย และเพียงอึดใจเขาก็ได้ล่องลอยตามเจ้าชายอินทัชไปติดๆ กาย

เปียกชื้นเหนียวหนับกอดก่ายกันแน่นไม่ยอมปล่อย


                “อินทัช ขอบใจนะที่เจ้าเกิดมาเพื่อข้า”


                 เจ้าชายอินทัชยิ้มหวานก่อนจะเป็นฝ่ายดึงใบหน้าคมของอัคคีมาจูบแล้วซุกกายอยู่ในอ้อมกอดแสนอบอุ่นนั้น


                  “เราไม่ได้เกิดมาเพื่อเจ้า อัคคี แต่เราทั้งคู่เกิดมาเพื่อกันและกัน”


                  สายสัมพันธ์ที่ไม่อาจตัดขาดเมื่อมีชีวิตพร้อมกัน เกิดมาพร้อมกัน อัคคีและอินทัชจะอยู่กันไปเช่นนี้จนกว่าวันสุดท้ายของ

ชีวิตจะมาถึงสบตาแทนคำสัญญาก่อนที่บทรักครั้งใหม่จะเริ่มต้นในราตรีที่ยาวนาน

                                       


                                      ----------------------จบแล้วจ้า---------------------



หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >> บทที่ 29-30 ฉบับแก้ไขตอนจบ [23 ก.พ. 60]
เริ่มหัวข้อโดย: Violasheep ที่ 23-02-2017 19:08:59
พี่เพชรกล้าในที่สุด 555555 หัวร่ออย่างบ้าคลั่ง
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >> บทที่ 29-30 ฉบับแก้ไขตอนจบ [23 ก.พ. 60]
เริ่มหัวข้อโดย: Der Adler ที่ 23-02-2017 19:18:49
เพรชกล้า...ความเจ็บไม่อาจลดความหื่นต่อเมียที่รัก55555

คู่เอกเรานี้.....ยังสวีทกันอย่างหนักหน่วงงงง555
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >> บทที่ 29-30 ฉบับแก้ไขตอนจบ [23 ก.พ. 60]
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 23-02-2017 19:20:09
โอ้ยยดีใจค่ะ ดีต่อใจจริงๆขอบคุณมากค่ะ
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >> บทที่ 29-30 ฉบับแก้ไขตอนจบ [23 ก.พ. 60]
เริ่มหัวข้อโดย: kms ที่ 25-02-2017 03:21:54
เย้ ดีใจที่เพชรกล้าไม่ตาย
รออุดหนุนหนังสือน่ะค๊า
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >> บทที่ 29-30 ฉบับแก้ไขตอนจบ [23 ก.พ. 60]
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 25-02-2017 08:19:34
เย้ๆเพชรกล้าไม่ตายแล้ว~
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >> บทที่ 29-30 ฉบับแก้ไขตอนจบ [23 ก.พ. 60]
เริ่มหัวข้อโดย: nutae or ที่ 25-02-2017 20:24:38
พี่เพชรไม่ตายแล้ว.....ดีต่อใจ :mew1:
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >> บทที่ 29-30 ฉบับแก้ไขตอนจบ [23 ก.พ. 60]
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 26-02-2017 12:12:12
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >> บทที่ 29-30 ฉบับแก้ไขตอนจบ [23 ก.พ. 60]
เริ่มหัวข้อโดย: Nattarat ที่ 23-12-2017 03:10:52
เนื้อเรื่องสนุกมากค่ะ ดีใจจังที่จบแบบแฮปปี้
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >> บทที่ 29-30 ฉบับแก้ไขตอนจบ [23 ก.พ. 60]
เริ่มหัวข้อโดย: May.rinz ที่ 28-12-2017 02:47:44
 :impress2:สนุกมาก อ่านเพลินเลย
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >> บทที่ 29-30 ฉบับแก้ไขตอนจบ [23 ก.พ. 60]
เริ่มหัวข้อโดย: Petit.K ที่ 26-02-2018 10:38:44
หลากหลายอารมณ์ หลากหลายรสชาติมากๆ ขอบคุณนะคะ
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >> บทที่ 29-30 ฉบับแก้ไขตอนจบ [23 ก.พ. 60]
เริ่มหัวข้อโดย: mybear_sr ที่ 01-03-2018 04:34:48
สนุกมากเลยค่ะ ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆนะคะ
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >> บทที่ 29-30 ฉบับแก้ไขตอนจบ [23 ก.พ. 60]
เริ่มหัวข้อโดย: ๐๐ตะวัน๐๐ ที่ 04-03-2018 15:56:49
สนุกมากเลยค่า อ่านเพลินเลย

แล้วก็แซ่บทุกคู่เลย อิอิ
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >> บทที่ 29-30 ฉบับแก้ไขตอนจบ [23 ก.พ. 60]
เริ่มหัวข้อโดย: sailom_orn ที่ 29-05-2018 02:42:30
 o13 เรื่องสนุกมากค่ะ ขอบคุณที่พี่เพชรไม่ตายแล้ว :hao3:
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >> บทที่ 29-30 ฉบับแก้ไขตอนจบ [23 ก.พ. 60]
เริ่มหัวข้อโดย: q.tr ที่ 29-05-2018 12:55:47
 o13 o13
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >> บทที่ 29-30 ฉบับแก้ไขตอนจบ [23 ก.พ. 60]
เริ่มหัวข้อโดย: tae1234 ที่ 30-05-2018 01:21:25
สนุกมากครับ
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >> บทที่ 29-30 ฉบับแก้ไขตอนจบ [23 ก.พ. 60]
เริ่มหัวข้อโดย: sk_bunggi ที่ 10-06-2018 22:02:55
เป็นนิยายต่อสู้ที่มีแต่เลือด(กำเดา)สาดมากกก  :m25: :m25:
คู่รุ่นพ่อไปๆมาๆเป็น 3P เลยทีเดียวเชียว รู้สึกอยากอ่านขึ้นมาเลยยย 55555
ดีนะที่มีฉบับแก้ไข ตกใจหมดที่เพรชกล้าตาย ไม่งั้นสงสารฟ้าฟื้น น่ารักมากคู่นี่  :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >> บทที่ 29-30 ฉบับแก้ไขตอนจบ [23 ก.พ. 60]
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 12-09-2018 06:49:06
ขอบคุณครับ กด +1 ให้นะครับ :a9:
หัวข้อ: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >> Pre order 21 ม.ค.-5 มี.ค.62
เริ่มหัวข้อโดย: Belove ที่ 21-01-2019 00:22:41

เรื่อง : บัลลังก์รักใต้เงาแค้น
จำนวนหน้า : 360-370 หน้า มีตอนพิเศษไม่ลงเว็บ 5 บท
ระยะเวลาพรีออเดอร์ : 21 ม.ค.- 5 มี.ค. 62
ราคาปก : 370 บาท
ราคาพรีออเดอร์ 350 บาท
ของแถมในเล่ม : ที่คั่น 1 อัน/ โปสการ์ด 1 อัน

อ่านรายละเอียดที่โพสปักหมุดในแฟนเพจค่ะ
www.facebook.com/belove.no1 (http://www.facebook.com/belove.no1)


 :m1: :m1: :m1:





หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >> Pre order 21 ม.ค.-5 มี.ค.62
เริ่มหัวข้อโดย: O-RA DUNGPRANG ที่ 30-01-2019 17:39:01
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >> Pre order 21 ม.ค.-5 มี.ค.62
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 26-07-2020 13:08:39
ซ่บทุกคู่เลยเว้ย สนุกมากกกกกกก  :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >>
เริ่มหัวข้อโดย: nunda ที่ 27-12-2023 11:32:34
ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >>
เริ่มหัวข้อโดย: sarawutcom ที่ 03-03-2024 18:48:52
เน็ต เปิดเบอร์ใหม่ ย้ายค่าย เบอร์เก่า ดีแทค ระบบเติมเงิน มีนาคม 2567
https://www.youtube.com/watch?v=U8gZx3BTz_I (https://www.youtube.com/watch?v=U8gZx3BTz_I)


เน็ตไม่อั้น ไม่ลดความเร็ว  dtac  ดีแทค ระบบเติมเงิน มีนาคม 2567
https://www.youtube.com/watch?v=xgJOI7_4_vg (https://www.youtube.com/watch?v=xgJOI7_4_vg)


เน็ตไม่อั้น ไม่ลดความเร็ว  dtac  ดีแทค ระบบเติมเงิน มีนาคม 2567
https://www.facebook.com/media/set/?vanity=sarawutcomputer&set=a.1735376596730368 (https://www.facebook.com/media/set/?vanity=sarawutcomputer&set=a.1735376596730368)