<<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >>
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >>  (อ่าน 129582 ครั้ง)

ออฟไลน์ Belove

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1230
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +703/-2
    • ฺBelove
ต่อกันตรงนี้...



                บัว!


               “เจ้าช่างใจเย็นเหมือนกับชื่อของเจ้า โกมุทแปลว่าเกิดจากน้ำซึ่งมันก็คือดอกบัวใช่ไหม”


               ประโยคที่เคยเอื้อนเอ่ยยามเต็มอิ่มไปด้วยไอรักผุดขึ้นมาจนเจ็บแปลบ ทรงหันพักตร์หนีเพื่อมิให้อัคคีเห็นความสะเทือน

พระทัยที่เกิดขึ้น


               “พ่อให้เจ้าไปด้วยได้ เจ้าจะได้รู้ว่าการศึกที่แท้จริงนั้นคืออะไร แต่เจ้าก็ต้องระวังตัวเพราะเจ้าเป็นลูกเพียงคนเดียวของพ่อ

เข้าใจไหมอินทัช”


               เจ้าชายอินทัชโค้งคำนับรับราชโองการก่อนจะโผเข้ากอดเจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ไว้แน่น


               “ลูกรู้พะย่ะค่ะ ลูกจะระวังตัวให้มากที่สุด”


               “รู้ก็ดีแล้ว จงเตรียมตัวให้ดี ฤกษ์ยาตราทัพคือพ้นยามสาม เจ้าจงไปเตรียมตัวให้พร้อมกันทั้งคู่เถิด พ่อจะไปดูเขาเตรียมทัพ”


               กราบทูลลาจากห้องทรงงานแล้วเจ้าชายอินทัชและอัคคีจึงกลับมาที่ห้องพระบรรทม เจ้าชายอินทัชยืนนิ่งที่หน้าต่าง ทอด

สายพระเนตรมองความวุ่นวายของผู้คนที่อยู่เบื้องนอก รู้สึกถึงอ้อมกอดจากด้านหลังจึงได้เอนองค์ลงไปพิงแอบไว้


               “การศึกนี่มันร้ายแรงแค่ไหนอัคคี”


               “ข้าก็หารู้ไม่ รู้เพียงแต่ว่าข้าจะไม่ยอมให้เจ้าเป็นอะไรเด็ดขาด”


               เอ่ยอย่างมั่นใจในตนเองจนเจ้าชายอินทัชหันองค์กลับมาหาพลางคล้องพระกรไปรอบคอของอัคคี


               “เรามั่นใจในตัวเจ้าอยู่แล้ว”


               “ถ้าไม่มั่นใจในตัวผัวแล้วจะมั่นใจใครได้อีกเล่า”


               “เดี๋ยวเถอะ เวลาหน้าสิ่วหน้าขวานยังจะมาพูดเล่นอีก”


               “ถ้าไม่หยอกเจ้าตอนนี้แล้วจะไปหยอกตอนไหน อีกไม่นานก็จะล่วงเข้ายามราตรี ทัพหลวงก็พร้อมจะเดินทาง หลังจากนั้นข้า

คงไม่ได้หยอกเย้าเจ้าเช่นนี้อีก มานี่เถอะ”


               ดึงหัตถ์ให้เจ้าชายอินทัชก้าวบาทตามมาที่พระแท่นและผลักเบาๆให้ทรงเอนกายลงไป


               “อัคคี จะทำอะไร อื้อ...”


               “ก่อนกรำศึกหนัก ขอให้ข้าได้เชยชมเจ้าเป็นแรงใจอีกสักครั้ง”


               “แต่ว่า...”


               ไม่อาจห้ามปรามเพราะในพระทัยก็รู้สึกไม่ต่างไปจากอัคคีนัก จึงทรงเงยพักตร์รับจูบหนักพร้อมกับช่วยกันปลดเปลื้องอาภรณ์

จนไม่มีเหลือ ทรงทอดองค์ลงไปบนที่นอนนุ่มและปล่อยให้อัคคีเป็นผู้นำไปสู่ความหฤหรรษ์


               “ลึกอีกนิด อือ อัคคี ดีเหลือเกิน”


               “เมียข้า เช่นนั้น แน่นมาก โอ”


               พร่ำรำพันกับความสุขสมที่มอบให้แด่กัน อัคคีปรนจูบหวานและกอดรัดวรกายนุ่มไว้แนบอก


               “หลับตาเสียเถิดอินทัช เมื่อใกล้ถึงเวลาข้าจะปลุกเจ้าจากนิทรามาสู่ความเป็นจริง”








               เสียงกลองศึกปี่แตรดังไปทั่วทั้งพระราชวัง ธงศึกปลิวไสวด้วยแรงลมในยามใกล้รุ่ง และหลังจากพ้นยามสามได้ไม่นานทัพ

หลวงของรัตนปุระนครก็เริ่มเคลื่อนทัพตามฤกษ์ชัย ทั่วทุกคนในรัตนปุระนครต่างก็เป็นกังวัลกับศึกกับอุดรรังษียกเว้นเจ้านางปะวะหล่ำที่

ยังสบายพระทัยอยู่ในห้องพระบรรทม


               “เจ้านางไม่ไปส่งทัพหรือเพคะ” แก้วกุดั่นทูลถามเมื่อเห็นเจ้านายเหนือหัวยังนั่งประทินผิวอยู่บนพระที่นั่ง


               “ไม่ล่ะ ขี้เกียจจะไป ถึงอย่างไรเราก็รู้จุดจบของสงครามอยู่แล้วนี่ว่าเป็นเช่นไร เออนี่ นังแก้ว ไปดูทีรึว่าอินทัชกลับมาจากส่ง

ทัพหรือยัง ถ้ามาแล้วข้าจะได้ไปหาลูกหน่อย ไม่พบหน้าหลายวันแล้ว”


               แก้วกุดั่นรับคำก่อนจะกระวีกระวาดออกไปตามกระแสรับสั่ง ไม่นานนักนางก็วิ่งถลากลับมาด้วยสีหน้าตื่นตกใจ


               “เจ้านาง เจ้านางเพคะ เกิดเรื่องใหญ่แล้ว พระโอรสทรงออกศึกด้วยเพคะ”


               พระพักตร์ของเจ้านางปะวะหล่ำซีดเผือดด้วยความตกพระทัยที่ได้ยิน เพราะเส้นใยเดียวที่ยังรั้งพระองค์ไว้กับรัตนปุระนครได้ก็

คือเจ้าชายอินทัชนั่นเอง



TBC



ออฟไลน์ ❣☾月亮☽❣

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6773
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-6
ไอ้หยาแม่มาตอนกำลังทำศึกดุเดือดพอดี
เห้อ ชักศึกเข้าบ้านแล้วยังจะมีใจห่วงออนทัชเพื่อไรอะ

ออฟไลน์ iNcamisang

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 77
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ช่างเป็นสตรีที่ห่วยแตกยิ่งนัก

ออฟไลน์ kun

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3592
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +122/-10
ลูกได้ออกศึกเลย เป็นไงล่ะ

ออฟไลน์ Silvan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 266
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-3
รู้สึกดีที่นางยังรักลูก

ออฟไลน์ nunda

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3004
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-2
จะมีใครตายไหม ไม่นะ พลีสสส

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ mystery Y

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +585/-12

ออฟไลน์ kms

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1061
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-14
ขอให้เจ้าอาทิตย์ได้เจอพ่อบัวววววว

ออฟไลน์ YADA

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 201
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
โอ้ยยย... อย่าให้ใครเป็นอะไรเลยนะ ฮือออออ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Freja

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2394
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +145/-4
เอิ่มอัคคีเอ๊ยอึ๊บก่อนลงศึกนี่เมียนายจะเดินเหิรได้คล่องหรือเปล่านี่?
ไหนจะทรงม้าอีกล่ะ?  กิ๊วๆ

อินางแม่ก็อยากให้ปีนเข้าตบล้างน้ำ  เป็นถึงเจ้าฟ้าลูกแผ่นดินแต่ถ่างให้คนอื่นเอาได้ง่ายๆ   ยางอายบ้านเมืองอินางสงสัยบ่มีกัน

พ่อบัวให้อยู่กับสามีเน่อ  ไฟเก่าอย่าลุกอีกเลย

ออฟไลน์ kms

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1061
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-14

ออฟไลน์ lady_panko

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 68
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0

ออฟไลน์ kms

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1061
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-14
รอตอนเต็มค๊าาาาา

ออฟไลน์ Belove

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1230
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +703/-2
    • ฺBelove


                                                                 บัลลังก์รักใต้เงาแค้น

                                                                        บทที่  26             


               เสียงโห่ร้องเอาฤกษ์ชัยดังลั่นอยู่กลางลานกว้างที่ทัพใหญ่ของรัตนปุระนครและอุดรรังษีเผชิญหน้ากันอยู่ ธงทิวต่างสะบัด

พริ้วไปตามแรงลมโบกตั้งแต่ฟ้าสาง ด้านหน้าคือผู้นำทัพอันเป็นมหาบุรุษหมายเลขหนึ่งของทั้งสองทัพสวมใส่เสื้อเกราะประทับอยู่บน

หลังอาชาประจำพระองค์ รายล้อมเบื้องหลังออกไปด้วยเสนาธิการฝ่ายการศึกและเหล่าทหารนับร้อยนับพัน เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ศตรัศมิ์

ทรงขยับบังเทียนอาชาคู่พระทัยพร้อมกับทอดพระเนตรข้าศึกด้วยความมุ่งมั่น


               “พระบิดาระวังองค์ด้วยพะย่ะค่ะ”


               เจ้าชายอินทัชธราธิปประทับบนหลังม้าเยื้องอยู่ทางด้านข้างตรัสกับพระราชบิดาด้วยความห่วงใย เพิ่งเคยเสด็จออกศึกครานี้

เป็นคราแรกและเมื่อได้เห็นความยิ่งใหญ่ของทั้งสองทัพก็ปลุกความรักแผ่นดินขึ้นมาจนพระทัยเต้นไปพร้อมกับเสียงกลองศึก เจ้าฟ้า

อาทิตยวงศ์ทรงหันพักตร์มาวางพระหัตถ์บนพระอังสาของพระราชโอรส


               “เจ้าเองก็ต้องระวังอินทัช การศึกครั้งนี้ใหญ่หลวงนักเราจะต้องปกปักรัตนปุระนครไว้ให้ได้”


               ตรัสจบจึงหันกลับไปยังเบื้องหน้า ทรงบังคับม้าให้ควบไปยังพื้นที่ระหว่างทัพ  พระเนตรมองตรงไปยังบุรุษผู้ควบอาชามาก

จากอีกฝั่ง แขนตะขอวาววามสะท้อนแสงอาทิตย์ราวกับสะท้อนความแค้นมาจากคนผู้นั้นยามเผชิญหน้า


               “วัชรศร เหตุใดจึงมีแต่ความแค้นสุมใจของเจ้า ทั้งที่ศึกคราวนั้นก็เป็นเพราะเจ้าที่คิดราวีเรา”


               ตรัสเสียงหนักกับเจ้าฟ้าวัชรศรที่พระพักตร์โกรธขึ้งเมื่อมองมายังพระองค์


               “เกิดเป็นชายชาตินักรบจะให้คุ้มค่าที่เกิดมาก็ต้องต่อสู้ ชื่อเสียงจะได้เลื่องลือถึงความกล้าหาญ”


               เจ้าฟ้าวัชรศรตรัสเสียงหนักไม่แพ้กัน พระเนตรนั้นคมกล้าด้วยความผยอง


               “แต่การต่อสู้ของเจ้าสร้างความเดือดร้อนให้แก่ผู้คนใต้การปกครอง เจ้าเป็นถึงเจ้าฟ้าผู้ครองแคว้น ไฉนจึงไม่คิดให้ผู้คนของ

เจ้าอยู่กันอย่างมีความสุข”


               เจ้าฟ้าวัชรศรทรงเงยพักตร์หัวเราะลั่นราวกับได้ยินเรื่องขำขันเต็มประดา


               “เพราะคิดอย่างเจ้ารัตนปุระนครจึงย่ำอยู่กับที่ หาได้เติบโตไปให้แผ่นดินไพศาลกว่านี้ เสียแรงที่เจ้าเองก็เป็นถึงเจ้าฟ้าผู้

ครองแคว้นแต่กลับทำประโยชน์อันใดให้ผู้คนมิได้ นอกจากนั่งเสวยสุขอยู่ในวัง”


               “เป็นเพราะเราไม่ต้องการการสู้รบต่างหาก ผู้คนบาดเจ็บล้มตาย คนที่รออยู่เบื้องหลังก็เจ็บปวด เจ้าเป็นกษัตริย์ที่ไร้หัวใจสิ้น

ดี”


               ตรัสบริภาษอย่างเหลืออดจนเจ้าฟ้าวัชรศรเบิกเนตรลุกวาบพลันชี้พระหัตถ์ตะขอเงินใส่พักตร์ของเจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์


               “เจ้าพูดถูกแล้วอาทิตย์ แล้วข้าจะทำให้เจ้ารู้ว่าคนไร้หัวใจเขาทำกันเช่นไร”


               เจ้าฟ้าวัชรศรบังคับม้าให้ควบกลับไปยังทัพของตนพร้อมกับชูพระหัตถ์ขึ้นเป็นสัญลักษณ์ พลันเสียงโห่ร้องกึกก้องจึงดังขึ้น

ก่อนที่ทัพของอุดรรังษีจะกรีฑาทัพเข้าหา เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์เห็นดังนั้นจึงทอดถอนพระทัยออกมาและแสดงสัญลักษณ์ขึ้นบ้าง


               การศึกแห่งทัพหลวงได้เกิดขึ้นแล้ว!


               เสียงปี่แตรและกลองศึกดังก้องเพื่อสร้างขวัญกำลังใจให้เหล่าทหารหาญดังแข่งกันทั้งสองฝั่ง แผ่นดินใต้พระบาทดัง

สะเทือนเลื่อนลั่นเมื่อทัพทั้งสองต่างกรูเข้าหาและห้ำหั่นกันเพื่อบ้านเมือง ฝั่งหนึ่งมุ่งเอาชัยเพื่อประกาศความเก่งกล้าและอีกฝั่งก็เพื่อปก

ปักรักษาแผ่นดินบ้านเกิด

               เจ้าชายอินทัชธราธิปประทับบนหลังม้า ทรงกวัดแกว่งพระแสงดาบอย่างคล่องแคล่วแม้จะเป็นศึกแรกของพระองค์

ไม่ได้นึกหวั่นเกรงเพราะทรงรายล้อมไปด้วยเหล่าทหารกล้าที่พร้อมจะปกป้องบ้านเมือง รวมถึงทรงมีอัคคีที่ควบม้าอยู่ใกล้ไม่ห่างกาย

อัคคีเองก็สู้อย่างถวายหัว เขาไม่คิดว่าจะทำเพื่อรัตนปุระนครได้ถึงขนาดนี้ หากแต่ความรู้สึกผูกพันกับแผ่นดินเกิดทำให้เขาฟาดฟันดาบ

ลงไปอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย


               “เป็นอย่างไรบ้างอัคคี”


               เจ้าชายอินทัชตรัสถามด้วยความห่วงใยเมื่อการศึกหยุดพักในยามราตรี อันเป็นกฏเกณฑ์ของสมรภูมิรบ ผู้นำทั้งสองฝั่งต่าง

เข้าประทับในพลับพลาชั้นในสุด ส่วนเจ้าชายอินทัชก็มีพลับพลาส่วนพระองค์เช่นกัน


               “ข้าไม่เป็นไรหรอกอินทัช ไกลหัวใจอีกมาก”


               อัคคีกล่าวตอบขณะล้างแผลที่คมดาบสะกิดผิวหนังจนเลือดซิบ เขาต้องต่อสู้กับข้าศึกศัตรูและต้องระวังภัยให้เจ้าชายอินทัช

ไปด้วยแม้จะเก่งกล้าแค่ไหนก็ต้องมีพลาดได้รับบาดเจ็บกันบ้าง


               “มานี่ เราจะทำแผลให้”


               เจ้าชายอินทัชชะล้างบาดแผลและใส่ยาสมุนไพรพอกลงไปก่อนจะพันปากแผลด้วยผ้าสะอาดอย่างตั้งพระทัย อัคคีได้แต่

มองพระพักตร์งดงามด้วยความตื้นตันในความห่วงใยนั้น


               “ขอบใจนะอินทัช ขอบใจที่เจ้ารักข้า”


               “ใครกันที่รักเจ้า” ช้อนพระเนตรสบตาพลันปรางเนียนกลับเปลี่ยนเป็นสีเลือดฝาด


               “หลงตัวเอง”


               อัคคียิ้มขำกับความขัดเขินนั้น เขาเชยคางมนขึ้นมองกลับด้วยสายตาที่เปี่ยมด้วยใจรักไม่แพ้กัน


               “จะปฏิเสธให้มันได้อะไรเล่าเมียข้า ในเมื่อดวงตาอันเป็นหน้าต่างของหัวใจเจ้ามันก็บอกข้าว่าเจ้ารักข้าแค่ไหน”


               “พูดมากจริงๆ พักผ่อนได้แล้ว พรุ่งนี้ก็ต้องไปกรำศึกอีก”


               “ขอจูบสักทีได้ไหม”


               “อัคคี!”


               “สัญญาแค่จูบ”


               อัคคีกดริมฝีปากลงไปช้าๆ เขาครอบครองและตักตวงความสุขจากจุมพิตหวานก่อนจะค่อยๆช้อนแขนอุ้มเจ้าชายอินทัชวาง

ลงบนแท่นเล็กกลางพลับพลา


               “นอนเถิดเจ้าชายอันเป็นที่รักของข้า อัคคีคนนี้จะไม่ยอมให้ใครมารังแกเจ้าได้เป็นอันขาด”


               เสียงนุ่มนั้นหวานอยู่แถวพระกรรณคล้ายเห่กล่อมให้เจ้าชายอินทัชคล้อยหลับไปในอ้อมกอดนั้น อัคคีรอจนกระทั่งคนในอ้อม

กอดหลับสนิทเขาจึงจูบเบาๆที่ขมับอีกคราก่อนจะหลับตาตามไปในที่สุด






               “เหนื่อยไหมฟ้าฟื้น”


               เพชรกล้ายกปลายนิ้วขึ้นปัดปอยผมที่ปรกหน้าผากของฟ้าฟื้นขณะที่ทั้งคู่พักผ่อนอยู่ท่ามกลางเหล่าทหารหาญของรัตนปุระ

นคร แม้ว่าเพชรกล้าจะดำรงตำแหน่งครูฝึกและเสนาบดีแต่เขากลับไม่ยอมไปพักในกระโจม เขายินดีที่จะอยู่ร่วมกับทหารที่รบเคียงบ่า

เคียงไหล่ เพชรกล้าทำเพียงแยกมานั่งผิงไฟในมุมสงบที่ไกลจากคนอื่นกับฟ้าฟื้นเท่านั้น


               “พี่เพชรต้องเหนื่อยมากกว่าข้าอยู่แล้ว”


               ฟ้าฟื้นมองคนรักอย่างเทิดทูน ความกล้าหาญและเก่งกาจของเพชรกล้ายิ่งสร้างความประทับใจให้แก่เขาเป็นอย่างมาก ฟ้า

ฟื้นนึกอยากจะดำเนินรอยตามเส้นทางของเพชรกล้า เขาอยากจะเป็นทหารฝีมือดีเพื่อพิทักษ์บ้านเมือง


               “ข้าอยากเป็นนายทหารอย่างพี่เพชรบ้าง”


               “ถ้าเช่นนั้นเมื่อเสร็จการศึก กลับไปเจ้าจงตั้งใจร่ำเรียนหนังสือจะได้ศึกษาวิชาการทหาร”


               “ข้าสัญญาว่าจะตั้งใจเรียน”


               เพชรกล้าจ้องมองใบหน้าของฟ้าฟื้นอย่างเอ็นดู สายตาของฟ้าฟื้นนั้นบอกให้รู้ว่าหนุ่มน้อยมองเขาเป็นวีรบุรุษ เพชรกล้า

อยากจะจูบไปที่ปากกระจับใจแทบขาดถ้าไม่ติดว่ามิได้อยู่เพียงลำพังกันสองคน เขาจึงทำได้เพียงวางมือแนบไปกับบ่าของฟ้าฟื้นและ

ดึงให้พิงไปกับไหล่ของเขา


               “พี่ดีใจนะ อย่างน้อยการศึกครานี้พี่ก็มิได้อยู่อย่างโดดเดี่ยว ขอบใจที่อยู่เคียงข้างพี่นะฟ้าฟื้น”


               ฟ้าฟื้นยิ้มรับ เขาพิงศีรษะไปกับไหล่ของเพชรกล้าอย่างไว้วางใจ ความอบอุ่นของเพชรกล้าส่งผ่านวงแขนที่โอบกระชับ แค่นี้

ก็เพียงพอแล้วกับสถานการณ์แห่งความตึงเครียด แค่นี้ก็ทำให้เขาหลับตาลงได้อย่างมีความสุข






               ศึกระหว่างรัตนปุระนครและอุดรรังษีล่วงเข้าไปแล้วเป็นสัปดาห์ เหล่าทหารหาญพลีชีพเพื่อแผ่นดินและศักดิ์ศรีเป็นจำนวน

มาก ที่เหลือก็เริ่มอ่อนระโหยโรยแรงไปตามๆกัน เจ้าฟ้าวัชรศรแห่งอุดรรังษีกระทำเพียงวางแผนการรบอยู่ในพลับพลาเพราะพระองค์มั่น

พระทัยในฝีมือทหารของพระองค์


               “จะกระทำการอันใดต่อดีพะย่ะค่ะ”


              นายทหารคนสนิทกราบทูลถามขณะที่เจ้าเหนือหัวทรงใช้กล้องยาวสำหรับส่องทางไกลที่ได้มาจากการค้ากับฝรั่งมังค่าส่อง

เหตุการณ์ในสนามรบ เจ้าฟ้าวัชรศรทรงคลี่โอษฐ์แย้มสรวลหากแต่พระเนตรกลับโชนด้วยไฟแค้น


               “คงใกล้ถึงเวลาที่จะต้องเผด็จศึกรัตนปุระนครเสียที ข้าเองก็เบื่อที่ต้องเล่นเอาเถิดกับไอ้อาทิตย์เต็มทน”


                ปลายหัตถ์หมุนวงล้อบังคับกล้องส่องทางไกลไปในทิศทางที่ต้องการ หากแต่ปลายหัตถ์นั้นกลับชะงักเมื่อภาพที่ปรากฏใน

กล้องทำให้พระองค์ทรงเห็นใครบางคนที่กำลังสู้รบอยู่บนหลังม้า เจ้าฟ้าวัชรศรทอดพระเนตรบุคคลในจอภาพอย่างสนพระทัย แม้จะ

มองเห็นในระยะไกลหากเค้าหน้าและอาภรณ์ในชุดเกราะนั้นทำให้พระองค์รู้ว่าบุรุษบนหลังม้าหาใช่ทหารธรรมดา

                 ใบหน้านั้นคล้ายคลึงกับเจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์และเจ้านางปะวะหล่ำ เจ้าฟ้าวัชรศรมั่นพระทัยว่านั่นคือหน่อเนื้อเชื้อกษัตริย์โดย

ไม่ต้องสงสัย หากแต่ที่ทำให้สนพระทัยจนไม่อาจละสายพระเนตรกลับเป็นบุคลิกที่คลับคล้ายกับใครคนหนึ่งที่แอบอยู่ในซอกมุมลึกๆใน

ความทรงจำของพระองค์มาเนิ่นนานและไม่เคยลบเลือนไปได้ ใครบางคนที่พระองค์หวังจะครอบครองแต่ก็ต้องทรงผิดหวัง


                  “โกมุท!”


                  ภาพของชายหนุ่มที่มีใบหน้างดงามหากแต่กลับทรนงในศักดิ์ศรีจนไม่ยอมพลีกายให้ได้เชยชมทับซ้อนอยู่บนภาพของพระ

โอรสของเจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์


                  “ลูกชายของไอ้อาทิตย์มันชื่ออะไรนะ”


                ตรัสถามนายทหารคนสนิทโดยที่พระเนตรยังไม่ยอมละจากภาพในกล้องส่องทางไกล


                “กราบทูลฝ่าพระบาท พระนามว่าเจ้าชายอินทัชธราธิปพะย่ะค่ะ”


                 อินทัชธราธิป!


                 ทบทวนชื่อนั้นอยู่ในพระทัย ทรงกัดโอษฐ์ใคร่ครวญวิเคราะห์ความเป็นไปได้ก่อนจะแย้มสรวลออกมา


                  “สั่งการลงไป ในวันพรุ่งนี้จงดำเนินการตามแผนที่ข้าได้สั่งไว้ เราจะจัดการรัตนปุระนครให้สำเร็จลุล่วง และบางทีข้าอาจจะ

ได้ของดีติดไม้ติดมือกลับไปอุดรรังษีตอบแทนความเหน็ดเหนื่อยให้คุ้มค่า”





มีต่ออีกนิด...


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-08-2016 00:26:02 โดย Belove »

ออฟไลน์ Belove

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1230
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +703/-2
    • ฺBelove
ต่อกันตรงนี้...


                   เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ทรงตื่นจากบรรทมตั้งแต่ฟ้ายังไม่สางด้วยความกังวลในสถานการณ์ของศึกอันยิ่งใหญ่ ทัพของอุดรรังษี

ที่มีเจ้าฟ้าวัชรศรเป็นประมุขนั้นเก่งกล้ายิ่งกว่าสมัยที่ยังเป็นเพียงเจ้าชายมากนัก แม้ว่ารัตนปุระนครจะชำนาญภูมิประเทศมากกว่าแต่ก็ดู

เหมือนจะไม่ได้เปรียบอะไรเลย

                  ทรงก้าวพระบาทออกมานอกพลับพลาเพื่อครุ่นคิดหาวิธีแก้ไขปัญหา แต่ความคิดกลับหยุดชะงักเมื่อเห็นร่างสูงที่ก้าวออก

มาจากพลับพลาของพระโอรสที่อยู่ไม่ห่างกัน


                “อัคคี”


                ขานนามนั้นออกไปโดยไม่ติดขัดในความทรงจำสักนิด ร่างสูงนั้นหยุดเท้าและโค้งคำนับเมื่อเจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ทรงก้าวมา

หยุดเบื้องหน้า


                 “ตื่นเช้าเหมือนกันนะเจ้า”


                “ขอเดชะ หม่อมฉันตื่นเช้าเสียจนเคยแล้วพะย่ะค่ะ”


                ทอดพระเนตรใบหน้าที่ปิดดวงตาเสียข้างหนึ่งและบดบังด้วยหนวดเครา หากแต่ที่ถูกพระทัยคือความองอาจผึ่งผายในกริยา

แม้ว่าจะค้อมศีรษะลงก็ยังมิอาจลดความสง่างามลงได้ ยิ่งทอดพระเนตรความรู้สึกบางอย่างก็ยิ่งเอ่อล้นอยู่ในพระทัยอย่างบอกไม่ถูก


              “ฝีมือการต่อสู้ของเจ้าดีมาก ใครสอนเจ้ามา”


               “พ่อของหม่อมฉันนามว่าสมิงพะย่ะค่ะ”


              คำตอบนั้นทำให้เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ทรงขมวดพระขนงด้วยความสงสัย


             “จำได้ว่าพ่อของเจ้าชื่อบัว แล้วเหตุใดยังมีพ่อชื่อสมิงอีกเล่า ทำไมถึงมีพ่อสองคน”


              อันที่จริงมีพ่อสามคน

             อัคคีต่อประโยคนั้นในใจ แต่เขาทำเพียงยืนเงียบและจ้องมองกษัตริย์แห่งรัตนปุระนครด้วยสายตาที่ยากจะอ่านออก


            “ช่างเถอะ ข้าไม่อยากละลาบละล้วงเรื่องส่วนตัวของเจ้า”


             ทรงทอดถอนพระทัยก่อนจะละสายตาจากใบหน้านั้นไปยังสมรภูมิเบื้องหน้า


             “ข้าคิดว่าวัชรศรคงจะโจมตีอย่างหนักในเร็วๆนี้ ข้าเป็นห่วงรัตนปุระนครเหลือเกิน เกรงว่ามันจะจบสิ้นลงในสมัยของข้า”

แปลกพระทัยที่กล้าตรัสความในใจออกไปกับชายหนุ่มที่เป็นเพียงองครักษ์ของพระโอรส ราวกับไว้วางพระทัยมากมายนักทั้งที่ก็เพิ่งพบ

กันไม่กี่ครั้ง อัคคีหน้ายิ่งขรึมหนักเมื่อได้ยินประโยคนั้น


                “รัตนปุระนครไม่มีทางจบสิ้น เราจะไม่แพ้ศึกนี้พะย่ะค่ะ”


                คำพูดที่เต็มไปด้วยความมั่นใจของชายหนุ่มรุ่นลูกกลับสร้างความมั่นพระทัยให้กับเจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ได้อย่างประหลาด ทรง

หันกลับมาทอดพระเนตรใบหน้านั้นอีกครา


                 “จะห่วงก็แต่อินทัช ลูกของข้าถูกเลี้ยงดูมาอย่างทนุถนอมเกินไป”


                 “หม่อมฉันรับรองด้วยชีวิตของหม่อมฉัน เจ้าชายอินทัชจะไม่ได้รับอันตรายใดๆแม้แต่รอยเล็บข่วนพะย่ะค่ะ”


                  คำสัญญานั้นช่างมั่นคงจนเจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์มั่นในพระทัยนักว่าอัคคีจะกระทำดังที่พูด ทรงมั่นพระทัยจนกระทั่งล้วงหัตถ์

เข้าไปในฉลองพระองค์และหยิบบางอย่างออกมา


                  “นี่คือเข็มกลัดตราลัญจกรของข้า เจ้าจงเก็บมันไว้กับตัวอย่าให้ใครได้มันไป หากเกิดอะไรขึ้นกับข้าจงมอบมันให้แก่อินทัช

แต่เพียงผู้เดียว เข้าใจไหมอัคคี”


                อัคคีก้าวเข้าไปหาประมุขแห่งรัตนปุระนคร แม้จะหนักใจกับหน้าที่สำคัญที่แสนใหญ่หลวงแต่อัคคีก็ไม่ปฏิเสธ เขายื่นมือออก

ไปให้เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ทรงวางเข็มกลัดอันเป็นสัญลักษณ์ของผู้นำแคว้นลงบนฝ่ามือของเขา

                 เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ทรงวางเข็มกลัดนั้นลงไป หากแต่ขณะปล่อยพระหัตถ์ออกสายพระเนตรกลับมองเห็นแสงวาววับลอดมา

จากเศษผ้าสีดำมอที่ห่อหุ้มอยู่บนนิ้วของอัคคี พระทัยของพระองค์กระหน่ำด้วยความตื่นเต้นและรีบคว้าข้อมือของอัคคีไว้ทันที

                 ความงดงามของเพชรบนยอดแหวนกระจ่างจ้าสะท้อนกับแสงของดวงอาทิตย์ที่กำลังฉายฉานริมขอบฟ้า อัคคีตกใจที่เผลอ

เรอให้เศษผ้าเก่าคร่ำหลุดลุ่ยจนสิ่งที่ซ่อนอยู่เปิดเผยขึ้นมา เขาได้แต่ยืนนิ่งเมื่อเห็นท่าทีตกตะลึงของเจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์และไม่กล้าที่จะ

ชักมือกลับ

                เพชรงามนั้นมีเพียงชิ้นเดียว และเป็นเพชรบนยอดแหวนที่ทรงประทานให้แก่คนที่ไม่เคยหายไปจากหัวใจได้ หากแต่บัดนี้

มันกลับมาอยู่บนนิ้วของอัคคี เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ทรงนิ่งงันและคิดถึงเหตุผลร้อยแปดที่จะเป็นไปได้แต่ก็นึกไม่ออกในเมื่อผู้ที่เคยสวม

แหวนวงนี้ตายจากไปเมื่อสิบแปดปีที่แล้ว


              “อัคคี เจ้าได้แหวนวงนี้มาได้อย่างไร”


               “เอ่อ...”


              อัคคีหาข้อแก้ตัวอย่างรวดเร็ว เรื่องของพ่อบัวจะยังเปิดเผยไม่ได้ตอนนี้


              “พ่อของหม่อมฉันได้แหวนมาจากร้านขายของเก่าพะย่ะค่ะ”


              “ไม่จริง!”


                 เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์เตรียมที่จะซักฟอกความจริงให้กระจ่าง หากแต่เสียงสะเทือนเลื่อนลั่นกลับขัดจังหวะไว้ จำเป็นที่จะต้อง

ปล่อยอัคคีและหันไปมองกลางสมรภูมิเมื่ออุดรรังษีเริ่มเปิดศึกรบในวันใหม่แล้ว


          TBC

 :ling3: :ling3:



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-08-2016 00:33:31 โดย Belove »

ออฟไลน์ kms

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1061
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-14
อยากให้เจ้าอาทิตย์กับพ่อบัวเจอกันจังเลยๆ

ออฟไลน์ iNcamisang

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 77
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
เข้มข้นมากกก ตื่นเต้นๆๆๆ

ออฟไลน์ ❣☾月亮☽❣

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6773
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-6
 o13   ลุ้นนน

ออฟไลน์ Silvan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 266
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-3
ม่ายยยยยยย อย่ามาแย่งพ่อบัวไปจากพ่อสมิงนะ

เค้าไม่ยอมมมมมมมม :ling1:

ถ้าสามพีจะยอมให้คุณอาทิตย์เข้าตี้ก็ได้นะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ lady_panko

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 68
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
อร๊ายยยย รุ่นขุ่นพ่อเค้าจะลงเอยกันอย่างไร

อยู่เป็นคู่ชู้ชื่นสามคนไปเลยได้มั้ย เลือกไม่ได้เลย สำคัญทุกคน

ออฟไลน์ Nus@nT@R@

  • Life is Investment
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5589
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +456/-11
อยากให้เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์เจอกับพ่อัวสักครั้ง

ออฟไลน์ sosi

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 246
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
ลุ้นๆๆอาทิตย์จะรู้ความจริงเมื่อไหร่?

ออฟไลน์ nunda

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3004
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-2
ลุ้นมากกกกกก
ขออย่าให้เหตุการณ์ร้ายแรงมากนะคะ (T_T)

ออฟไลน์ Freja

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2394
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +145/-4
พ่อบัวของพ่อหมิงนะ   เจอกันอีกทีได้แต่ขอแค่เคลียร์กันก็พอนะ  สงสารพี่หมิง

อัคคีน่าจะเป็นตัวพลิกแผนร้ายของนังแม่กับเจ้ามือเหล็ก

งวดนี้ขอหัวเลยแล้วกันนะ  แค่มือไม่หายแค้นหรอก

เอามาเซ่นตาพ่อบัว

ออฟไลน์ mystery Y

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +585/-12
รอตอนต่อไป~

ออฟไลน์ KnightDevil

  • Love is neither smile or cry.
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 32
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
โอย ลุ้นมาก ขอให้แฮปปี้ทุกคู่น้า คือสงสารพ่ออาทิตย์ไม่ได้รู้แผนร้ายเลยต้องทนทุกข์คิดถึงมากี่ปี พ่อบัวพ่อสมิงสามพีเถอะ :mew2:

ออฟไลน์ Belove

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1230
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +703/-2
    • ฺBelove


                                                           บัลลังก์รักใต้เงาแค้น

                                                                  บทที่  27



               อุดรรังษียิงปืนใหญ่เปิดศึกเช้ากว่าทุกวัน ดวงอาทิตย์ยังไม่ทันอวดแสงเต็มที่รัตนปุระนครก็ต้องตั้งทัพรับการบุกเสียแล้ว  และ

ในวันนี้อุดรรังษีก็รุกจนทัพของรัตนปุระนครระส่ำระสายไปหมด


               “สกัดไว้ อย่าให้พวกมันโจมตีเข้ามาได้”


               กระแสรับสั่งของเจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ศตรัศมิ์ซึ่งบัญชาการรบด้วยองค์เอง พระพักตร์ตึงเครียดเมื่อเห็นแนวทัพด้านหน้าถอยร่น

ลงมาทุกขณะ เสนาธิการฝ่ายทหารลงมาร่วมทำศึกครานี้จนหมดสิ้น แต่อุดรรังษีก็แข็งแกร่งเหลือเกิน


               “พระบิดา เหตุใดวันนี้เราจึงตอบโต้มันไม่ได้เลยพะย่ะค่ะ”


               เจ้าชายอินทัชธราธิปตรัสถามด้วยความหงุดหงิดขณะควบอาชาตรงเข้ามาหา เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์เองก็มีสีพระพักตร์บึ้งตึงไม่

แพ้กัน


               “วันนี้พวกมันจู่โจมรวดเร็วมาก เหมือนกับว่าที่ผ่านมาอุดรรังษียังไม่ได้เอาจริง แต่พอมาวันนี้มันบุกเราจนแทบจะรั้งไม่ไหว แต่

ถึงอย่างไรเราก็ต้องสู้ ระวังตัวให้มากอินทัช”


               ตรัสจบก็ทรงควบม้าไปทางด้านที่ยังเสียเปรียบทันที อัคคีจึงบังคับม้ามากระหนาบข้างเจ้าชายอินทัช     


               “ข้าคิดว่าอุดรรังษีต้องมีกลอุบายอันใดแน่ๆ”


               “ไม่ว่าเป็นอุบายใดเราก็จะไม่มีวันยอมให้มันชนะได้”


               เจ้าชายอินทัชตรัสด้วยขัตติยะมานะก่อนจะหันไปให้ความสนใจกับข้าศึกที่เริ่มดาหน้าเข้ามาโดยมีอัคคีที่สู้เคียงข้างอยู่บน

หลังม้าไม่ห่างกันนัก แต่อยู่ๆลางสังหรณ์บางอย่างก็พุ่งวาบเข้ามาจนพระโลมา(ขน)ลุกชันต้องหันขวับไปมองจนได้สบตากับดวงตาคู่หนึ่ง

ที่อยู่ไม่ไกลนัก ดวงตาคู่นั้นบอกถึงความมั่นใจและกำแหงหาญ เจ้าชายอินทัชถึงกับกัดโอษฐ์จนห้อเลือดเมื่อเลื่อนพระเนตรลงมาเห็นมือ

ข้างหนึ่งที่เป็นตะขอเงิน


               เจ้าฟ้าวัชรศร!

               ไม่ผิดแน่ เจ้าชายอินทัชทรงมั่นพระทัยยิ่งกว่าสิ่งใดทั้งหมด ความเกลียดชังวูบขึ้นมาเมื่อเห็นนัยน์ตาท้าทายราวกับจะเรียก

ร้องให้พระองค์ต่อกรด้วย


               “เลวทรามที่สุด”


               บริภาษอย่างลืมองค์พลันตบพระบาทเข้าใส่สีข้างของม้าประจำพระองค์ให้กระโจนเข้าใส่ต้นเหตุแห่งศึกครานี้ อัคคีที่ยังต่อสู้

พัวพันถึงกับตกใจเมื่อเห็นเจ้าชายอินทัชกระทำเช่นนั้น


               “อินทัชอย่าไป กลับมา”


               อัคคีดึงบังเหียนม้าให้หันหน้าไปยังทิศเดียวกับเจ้าชายอินทัช และเตรียมจะควบทะยานตามไป หากแต่เขากลับถูกขัดขวาง

ด้วยนายทหารใบหน้าดุดันที่อัคคีจำได้ว่าเป็นคนสนิทของเจ้าฟ้าวัชรศร


               “หลีกทางให้ข้า”


               คำรามลั่นด้วยความโมโห ใจยิ่งเป็นห่วงเมื่อเห็นเจ้าชายอินทัชยกดาบกวัดแกว่งเข้าใส่เจ้าฟ้าวัชรศรที่ตั้งรับอย่างใจเย็นและมี

ชั้นเชิง นายทหารที่ขวางอยู่จึงแค่นยิ้มก่อนจะบุกเข้าหาอัคคีเขาจึงรีบตอบโต้อย่างดุเดือด แต่นายทหารคนนี้มีฝีมือร้ายกาจกว่าที่คิดจน

แม้แต่อัคคีก็ยังไม่สามารถคว่ำลงได้


               “อินทัช!”


               หัวใจยิ่งเดือดเป็นไฟเมื่อเห็นเจ้าชายอินทัชพลาดท่าเสียทีจนร่วงลงมาจากหลังม้า แต่สิ่งที่อัคคีไม่นึกฝันก็พลันบังเกิดเมื่อเจ้า

ฟ้าวัชรศรทะยานเข้ารวบบั้นพระองค์ของเจ้าชายอินทัชไว้ได้


               “ปล่อยอินทัชเดี๋ยวนี้”


               คิดจะติดตามด้วยหัวใจร้อนรุ่ม แต่คนสนิทของเจ้าฟ้าวัชรศรกลับไม่ยอมให้เขากระทำได้ดังใจ อัคคีตอบโต้อย่างขาดสติจน

กระทั่งเขามองไม่เห็นลูกธนูที่ลอยมากลางอากาศจากฝั่งของอุดรรังษีและพุ่งเข้าปักที่หัวไหล่ของเขา


               “โอ๊ย!


               ยังไม่ทันตั้งตัวทหารคนสนิทของเจ้าฟ้าวัชรศรก็ควบม้าเข้าใกล้และยกเท้าถีบซ้ำเข้ามาใกล้กับบาดแผลจนอัคคีเสียหลักร่วง

หล่นจากหลังม้าไปอยู่บนพื้น แถมยังเงื้อดาบฟันลงมาที่คอของม้าจนมันแน่นิ่งเพื่อให้มั่นใจว่าอัคคีไม่สามารถติดตามไปได้ อัคคีลุกขึ้น

ยืนมองตามหลังเจ้าฟ้าวัชรศรที่ชิงตัวของเจ้าชายอินทัชไปได้ด้วยความเจ็บใจ เขากัดฟันดึงลูกธนูออกจากหัวไหล่ ดีที่บาดแผลนั้นไม่ลึก

จนอาการสาหัส

               เสียงโห่ร้องของอุดรรังษียิ่งตะโกนกึกก้องปนเปกับเสียงฮือฮาอย่างขวัญเสียของทัพรัตนปุระนคร การรบพากันปั่นป่วนหนัก

และอุดรรังษีก็ยิ่งดาหน้ากันเข้ามาจนยากจะต้านทาน


               “ฟ้าฟื้น”


               อัคคีมองเห็นฟ้าฟื้นอยู่ในขบวนทัพที่ถอยร่นเข้าไปในเขตของรัตนปุระนครมากขึ้นเรื่อยๆเขาจึงรีบคว้าแขนของเพื่อนสนิทไว้

แล้วเอ่ยถามทันที


               “เกิดอะไรขึ้นทัพจึงเสียขบวนเช่นนี้”


               “มีข่าวด่วนจากในวังว่าไอ้พวกอุดรรังษีมันเล่นไม่ซื่อ มันส่งกำลังพลตลบหลังและบุกเข้าไปในพระราชวัง”


               อัคคีใจหายวาบ ห่วงทั้งเจ้าชายอินทัชและพระราชวังหลวงอันเป็นหัวใจของแคว้น เขารีบคิดแก้ปัญหาเฉพาะหน้าอย่าง

รวดเร็ว


               “ฟ้าฟื้น เจ้ารีบรุดไปยังหุบผากาฬบัดเดี๋ยวนี้”


               เขาสั่งเพื่อนสนิท ฟ้าฟื้นขมวดคิ้วอย่างงงงัน


               “จะบ้าหรืออัคคี นี่ใช่เวลาที่จะให้ข้ากลับหุบผากาฬหรือ”


               “เวลานี้แหละเหมาะสมที่สุด” อัคคียืนยัน


               “เร่งไปหาพ่อสมิง บอกพ่อว่าข้าขอแรงช่วยเพื่อบ้านเมือง อย่างน้อยหุบผากาฬที่เราอาศัยก็อยู่ในเขตรัตนปุระนคร ข้าไม่อยาก

ให้เราแพ้ต่ออุดรรังษี”


               “เจ้าจะให้โจรป่าอย่างเราทำอะไรอัคคี”


               “โจรป่าอย่างเราจะทำอะไรได้ดีไปกว่าลอบเข้าไปในวังหลวงและเข่นฆ่าไอ้พวกข้าศึกเสียให้สิ้นเล่า อ้อ ฟ้าฟื้น และถ้าพ่อบัว

ของข้าไม่ยอมกระทำดังที่ข้าบอก ก็จงบอกพ่อบัวว่า ขอให้วางความแค้นส่วนตัวลงและทำทุกอย่างเพื่อบ้านเมืองก่อน สิ้นสุดจากเหตุร้าย

นี้แล้วแค้นของพ่อบัวจะต้องได้รับการชำระ ไปได้แล้วฟ้าฟื้น”


               อัคคีเหลียวมองหาม้าศึกที่ไร้คนขี่ เขาและฟ้าฟื้นวิ่งไปยังม้าเหล่านั้นก่อนจะกระโจนขึ้นขี่ ฟ้าฟื้นรีบควบม้าจากไปทันทีในขณะ

ที่อัคคีรีบบังคับม้าของเขาให้พุ่งตรงไปยังเจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ที่ทรงเหลียวมองหาพระราชโอรส


               “อัคคี อินทัชล่ะ”


               “พระอาญามิพ้นเกล้า เจ้าชายอินทัชถูกกลลวงของเจ้าฟ้าวัชรศรและถูกจับตัวไปพะย่ะค่ะ”


               “วัชรศร เลวมาก!”


               หทัยของคนเป็นพ่อยิ่งปริวิตกด้วยความเป็นห่วงลูก แต่ศึกหนักตรงหน้าและยังโดนตลบหลังด้วยการบุกเข้าไปในเขต

พระราชวังก็ยังละทิ้งไปมิได้


               “หม่อมฉันจะไปช่วยเจ้าชายอินทัช”


               “มันอันตรายมากและเจ้ายังบาดเจ็บ”


               “อันตรายแต่หม่อมฉันก็จะไปพะย่ะค่ะ เพราะเจ้าชายอินทัชคือชีวิตของหม่อมฉัน”


               อัคคียืดกายองอาจ เขาดึงผ้าคาดปิดดวงตาออกโยนทิ้ง สร้างความตกตะลึงให้แก่เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์เป็นอันมาก เพราะเมื่อได้

เห็นใบหน้าของอัคคีเต็มตาแม้ว่าจะยังเหลือหนวดเคราบดบัง แต่ก็เห็นได้ชัดว่าใบหน้านั้นมีพิมพ์เดียวกับพระราชโอรสของพระองค์ไม่มี

ผิด


               “อัคคี เจ้า!”


               “อย่าเพิ่งตรัสสิ่งใดเลยพะย่ะค่ะ ตอนนี้เวลาไม่คอยเราแล้ว หม่อมฉันขอกำลังส่วนหนึ่งเพื่อไปช่วยอินทัช”


               “ได้ ข้าอนุญาตตามที่เจ้าต้องการ”


               อัคคีโค้งคำนับรับราชโองการ ก่อนที่เขาจะจากไปจึงเงยหน้าขึ้นสบสายพระเนตรที่ระคนด้วยความรู้สึกตื้นตันดีใจและเป็น

กังวลในสิ่งที่เกิดขึ้น


               “รักษาพระองค์ด้วยพะย่ะค่ะ หม่อมฉันจะรีบกลับมาพร้อมอินทัช”


                ทอดพระเนตรตามแผ่นหลังนั้น ความอิ่มเอมพระทัยบังเกิดจนล้นปรี่พร้อมสังหรณ์ใจถึงเจ้าของแหวนที่พระองค์เคยประทาน

ให้ว่าอาจจะยังมีลมหายใจอยู่ ทำให้เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ทรงมีพลังขึ้นมาอีกครั้ง


               “ตีกระหนาบพวกมัน ให้อุดรรังษีได้รู้จักศักดิ์ศรีของพวกเรารัตนปุระนคร”


               เหล่าไพร่พลทหารหาญเมื่อเห็นผู้นำของพวกเขาเข้มแข็งกำลังใจก็กลับคืนมาสู่กองทัพ เสียงโห่ร้องจึงดังกึกก้องเสียยิ่งกว่า

เก่าและพร้อมใจกันต่อสู้กับข้าศึกที่มารุกรานบ้านเมือง








               “ปล่อย ปล่อยเรานะ!”


               แม้จะโวยวายและดิ้นรนเพียงใดเจ้าชายอินทัชก็ยังไม่หลุดรอดจากการจับกุมโดยเจ้าฟ้าวัชรศร องค์บางถูกจับคว่ำหน้าพาด

อยู่บนหลังม้าเบื้องหน้าผู้ควบคุม และเมื่อเข้ามาในเขตพลับพลาชั้นในของที่ตั้งทัพฝั่งอุดรรังษีจนวางพระทัยว่าปลอดภัยแล้วเจ้าฟ้าวัชร

ศรจึงบังคับให้อาชาหยุดวิ่ง ทรงเหวี่ยงเชลยลงไปกับพื้นก่อนจะกระโดดตามลงมา และทรงตวัดพระแสงดาบจ่อไปที่พระศอของเจ้าชาย

อินทัชทันที


               “โวยวายให้เกิดประโยชน์อันใดเล่าหลานชาย เหนื่อยเสียเปล่าๆ”


               เจ้าชายอินทัชรีบลุกขึ้นยืน ทรงหักห้ามความหวาดหวั่นและเชิดพักตร์อย่างทรนงแม้จะรู้องค์ว่าตกเป็นตัวประกันของเจ้าฟ้า

วัชรศรเสียแล้ว


               “พระองค์หลอกล่อหม่อมฉันมาด้วยเล่ห์”


               ตรัสด้วยความกริ้ว หากแต่กิริยานั้นกกลับไม่ได้ทำให้เจ้าฟ้าวัชรศรเดือดร้อนพระทัยแม้แต่น้อย


               “ไม่ดีรึ ถือเสียว่าข้าสอนเจ้าให้รู้จักกลวิธีของการศึกก็แล้วกันนะ”


               ความสนใจในตัวเจ้าชายตัวประกันหยุดลงชั่วครู่เมื่อนายทหารคนหนึ่งรีบก้าวเข้ามารายงานสถานการณ์


               “กองกำลังที่ส่งไปโจมตีประตูทางด้านหลังพระราชวังของรัตนปุระนครกำลังจะทำสำเร็จพะย่ะค่ะ มานพกำลังจะลอบเปิด

ประตูวังให้เรา”


               เจ้าชายอินทัชตกพระทัยจนแทบสิ้นสติ เล่ห์กลและอุบายของเจ้าชายวัชรศรนั้นมีมากมายเหลือเกิน หากแต่ที่สะกิดพระทัย

ของพระองค์มากกว่านั้นก็คือนามว่ามานพ มานพไหนที่จะลอบเปิดประตูวัง เพราะมีเพียงคนเดียวที่พระองค์รู้จักนั่นก็คือนายทหารคน

สนิทของเจ้านางปะวะหล่ำนั่นเอง เจ้าชายอินทัชได้แต่ภาวนาว่าลางสังหรณ์ของพระองค์จะผิดพลาด


               “ดีมาก ตอนนี้เรากำลังได้เปรียบ ทัพของรัตนปุระนครกำลังระส่ำระสาย ยิ่งถ้ารู้ว่าเจ้าชายรัชทายาทอยู่ในมือของข้าแล้วก็

คงจะยิ่งเสียขบวนมากกว่านี้ สั่งการไปให้โจมตีขั้นสุดท้าย และเมื่อใดที่ยึดเข้าวังได้ ชัยชนะจะเป็นของอุดรรังษีอย่างเด็ดขาด”


               รับคำสั่งแล้วจึงรีบนำไปปฏิบัติอย่างรวดเร็วจนเหลือนายทหารคนสนิทไม่กี่คนกระจายตัวกันอยู่ เจ้าชายอินทัชไม่แปลก

พระทัยเลยที่อุดรรังษีได้ชื่อว่ามีกองกำลังทหารที่แข็งแกร่งกว่าใคร ทรงเกร็งองค์ทันทีเมื่อเจ้าชายวัชรศรกดดาบลงที่ซอกพระศอของ

พระองค์


               “เดิน”


               จำต้องยอมทำตามคำสั่งนั้น เจ้าชายวัชรศรทรงยืนอยู่เบื้องหลังและบังคับด้วยดาบให้เจ้าชายอินทัชก้าวเข้าไปในพลับพลา

ส่วนพระองค์ และเมื่อต้องอยู่ในที่ลับตาคนเพียงลำพังกับกษัตริย์อันเหี้ยมโหดความหวาดหวั่นก็มาเยือนจนพระทัยแทบหยุดเต้น

               ได้ยินเสียงเก็บดาบคืนเข้าฝักจากบุรุษที่ยืนอยู่เบื้องหลัง แต่เจ้าชายอินทัชก็ยิ่งตกพระทัยยิ่งกว่าเดิมเมื่อมือตะขอเงินกำลัง

แตะตรงซอกพระศอแทนดาบ ความเย็นของมือนั้นทำให้เจ้าชายอินทัชหนาวจับใจ


                “รู้ไหมว่าทำไมข้าถึงเกลียดรัตนปุระนครนัก”


               ปลายคมของตะขอลากไล่จากซอกคอเลื่อนมาหยุดอยู่ที่คาง หัตถ์อีกข้างที่เหลือตบหนักลงไปที่บ่าของเชลยจนสะดุ้งโหยง

และบังคับให้ไหล่บางหันกลับมาเผชิญหน้ากับพระองค์ เจ้าฟ้าวัชรศรทอดพระเนตรพักตร์งามอย่างติดพระทัย นัยน์ตาดำขลับนั้นมี

ประกายกล้าแกร่งและหยิ่งในศักดิ์ศรีเหมือนใครบางคนที่พระองค์เคยใช้เป็นดั่งเชลยเช่นนี้ไม่มีผิด


               “เพราะว่าคนจากรัตนปุระนครมักจะทำให้ข้าพึงใจได้เสมอ”


               นัยน์ตาวาววามผิดปกติ ราวกับมันฉายโชนถึงความกระหายออกมาให้ได้รู้ ความประหวั่นพรั่นพรึงดำเนินเข้ามาสู่พระทัยของ

เจ้าชายอินทัชอย่างรวดเร็วเมื่อพอจะเข้าใจในความหมายของสายตาคู่นั้น


               “หม่อมฉันไม่เข้าใจ หากพระองค์พึงใจแล้วเหตุใดต้องทำลายรัตนปุระนครด้วยเล่า”


               ริมโอษฐ์ของเจ้าฟ้าวัชรศรผุดรอยแย้มสรวลออกมา ทรงใช้ปลายตะขอเงินเชยคางของเจ้าชายอินทัชก่อนจะใช้มันไล้ไปตาม

แก้มเนียนจนเจ้าชายอินทัชแทบผวา


               “เพราะคนที่ทำให้ข้าพึงใจนั้นไม่ยอมทำตัวให้สมกับที่ข้าพึงใจ ถ้าหากทำตัวน่ารักว่าง่ายสักนิด อยากได้สิ่งใดรับรองว่าวัชรศร

คนนี้จะหามาให้ทุกอย่างแม้แต่ดาวกับเดือน แต่คนผู้นั้นกลับขัดใจข้าและที่สำคัญคือบังอาจวนเวียนอยู่ในใจข้าจนไม่อาจลืมเลือน”


               ท่อนพระกรอีกข้างคว้าบั้นพระองค์ของเจ้าชายอินทัชเข้าหาอย่างรวดเร็ว เจ้าชายอินทัชขืนองค์ไว้พลางผลักไสหากแต่ไม่

สำเร็จ ได้แต่นึกหวาดกลัวขยะแขยงเหลือเกิน


               “และในวันนี้รัตนปุระนครก็กลับมีเจ้า ที่ทำให้ข้าต้องหวนคิดไปถึงอดีต”


               “หม่อมฉันกับคนๆนั้นเป็นคนละคนกัน พระองค์จะโยงเข้าหากันมิได้”


               เบี่ยงพักตร์หลบเลี่ยงเมื่อเจ้าฟ้าวัชรศรก้มต่ำลงทุกทีจนปลายจมูกเฉียดปรางนุ่มไปแค่เสี้ยววินาที


               “เป็นคนละคนกันก็ดีแล้ว เจ้าคงฉลาดกว่าคนผู้นั้นและรู้ว่าอะไรควรทำ อะไรไม่ควรทำใช่ไหมพ่อหลานชาย ข้าสัญญาว่าถ้า

เจ้ายินยอมให้ข้าได้เชยชมโดยง่าย ข้าจะไว้ชีวิตพ่อของเจ้าและจะทำเพียงยึดรัตนปุระนครให้เป็นประเทศราชเท่านั้น”


               “เลวทรามต่ำช้ายิ่งกว่าสถุล เสียแรงเกิดมาเป็นชั้นขัตติยะ”


               เจ้าชายอินทัชบริภาษไม่ไว้หน้าและดิ้นรนขัดขืนจากแรงกอดรัด หากแต่เจ้าฟ้าวัชรศรแข็งแกร่งเกินกว่าที่จะฝ่าออกไปได้ มิ

หนำซ้ำยังกระชากคางมนของเจ้าชายอินทัชเข้าหาก่อนจะบดขยี้โอษฐ์ลงมาจนเจ้าชายอินทัชเจ็บไปหมด


               “ปล่อย ไอ้คนเลว”


               ถูกลากไปที่แท่นบรรทมและผลักให้องค์บางหงายไปบนนั้น เต็มไปด้วยความอดสูเมื่อไม่สามารถป้องกันองค์ไว้ได้


               “อัคคี เราขอโทษ”


               อัสสุชลเอ่อท้นเมื่อรู้ว่าเหตุการณ์จะเป็นอย่างไร หากแต่เหมือนสวรรค์ทรงโปรดเมื่อเสียงเอะอะเบื้องนอกฉุดความสนใจจาก

เจ้าฟ้าวัชรศรไปได้ ทรงทอดพระเนตรเชลยอย่างเสียดายก่อนจะลุกขึ้นและรุดไปด้านนอกอย่างรวดเร็ว

                เจ้าชายอินทัชรีบดันองค์ลุกนั่ง พระทัยเต้นรัวไม่เป็นจังหวะเมื่อคิดถึงไม่กี่วินาทีที่ผ่านมาว่าเกือบจะถูกทำลายเกียรติยศด้วย

ฝีมือของเจ้าฟ้าวัชรศร พระเนตรงามเหลียวหลังแลหน้าไปรอบๆพลับพลา พลันสายตากลับสะดุดที่โถใบหนึ่งซึ่งตั้งอยู่บนโต๊ะ เจ้าชายอิน

ทัชรีบก้าวบาทเข้าไป ทรงเห็นเศษกระดาษที่ถูกไฟเผาไหม้ไปส่วนหนึ่งแต่ก็ยังมีอีกครึ่งที่รอดจากไฟ ทรงหยิบเศษกระดาษแผ่นนั้นมา

ถือไว้และเพ่งมองเนื้อในทันที


               พระทัยของเจ้าชายอินทัชร่วงลงไปกับพื้นเมื่อเห็นข้อความที่ยังหลงเหลือ เมื่อข้อความดังกล่าวคือการเอ่ยขอให้อุดรรังษียึด

รัตนปุระนครให้ได้ โดยจะอำนวยความสะดวกให้ตามที่ต้องการ


               ขายชาติ!


               เจ็บไปหมดทั้งทรวงเมื่อจำได้กระทั่งว่าลายมือนั้นเป็นลายมือของใคร



    TBC 

 :katai1: :katai1:                                                          
               
น่าจะจบที่ 30 บทล่ะนะ ใกล้แล้วววว

               
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18-08-2016 00:12:25 โดย Belove »

ออฟไลน์ Freja

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2394
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +145/-4
 :hao5:  พ่อหมิงกับพ่อบัวมาแล้ว       อย่าทิ้งหมิงนะบัว   

ต่างคนต่างบุกวังกันก็ท่าจะดีนะ

ออฟไลน์ mystery Y

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +585/-12
อัคคีรีบมาช่วยเร็ว!

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด