บทส่งท้ายเป็นไทนึกถึงคำพูดคำหนึ่งของเกษราขึ้นมาได้อย่างแจ่มชัด คำพูดที่ว่าใจเย็นคงไม่เลี้ยงหมาอีก เขานึกถึงรายละเอียดในถ้อยนั้น เกษราบอกกับเขาว่าใจเย็นฝังใจเรื่องของทันใจมาก ทั้งเสียใจและรับไม่ได้จนวาจาบกพร่องไปหลายวัน แต่ชัดถ้อยชัดคำว่าไม่เอาหมาตัวใหม่ ไม่เลี้ยงอีกแล้ว เป็นไทจำคำพูดนั้นได้ดี และนึกขึ้นมาได้อย่างแจ่มชัดก็เพราะเขาได้เห็น ‘มัน’ นั่งอยู่ในบ้านของใจเย็น
‘มัน’ เป็นลูกหมาหน้าตาประหลาดๆ เห็นว่าพ่อเป็นไทยหลังอาน ส่วนแม่เป็นไซบีเรียนฮัสกี้ มันเกิดขึ้นท่ามกลางความชอกช้ำระกำใจจากเจ้าของไซบีเรียนฮัสกี้ ที่ครอกแรกของลูกสาวดันมีพ่อเป็นไอ้หนุ่มห่ามข้างบ้าน ผิดผี ผิดประเวณีโดยแท้ ใจเย็นได้ฟังเจ้าของผู้เป็นเพื่อนร่วมคณะบ่นให้ฟังแบบนั้นก็งงๆ สิ่งที่เขาสนใจมากกว่าคือเจ้าลูกหมาหน้าตาแบบไซบีเรียนฮัสกี้แต่ขนสั้นกว่า สีเทา ตาสีฟ้า มีคิ้ว และมีอานลายอานม้าพาดตามยาวกลางหลัง
รู้ตัวอีกที เขาก็พามันขึ้นรถกลับบ้านแล้ว
เป็นไทฟังเหตุผลคร่าวๆ ที่ ‘มัน’ มานั่งอยู่ตรงหน้าเขาแล้วก็รู้สึกว่าเออ สมเป็นใจเย็นดีนั่นแหละ นึกอยากทำอะไรก็ทำ กระนั้นอีกใจก็ยังนึกขัดแย้งกับสิ่งที่เกษราเคยพูดไว้ เขาไม่รู้ว่าใจเย็นคิดอะไรอยู่ จนระหว่างที่กำลังสับสนมึนงง เป็นไทก็โดน ‘มัน’ เข้าโจมตี ไม่ใช่การกัด แต่เป็นการเลียปากจนเขาต้องผละห่าง ชวนให้คิดว่าเมื่อครู่ตนเองไปกินอะไรมา แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าคือไอศกรีมสตรอเบอร์รี่...
บางที อาจไม่มีอะไรซับซ้อนเลยก็ได้ ใจเย็นอาจแค่ถูกชะตากับลูกหมาตัวนี้เท่านั้นแหละ
สรุปแล้ว มันจึงเป็นลูกหมาที่มาพร้อมกับฤดูร้อน เดือนพฤษภาคม ดอกสวีทพี และไอศกรีมสตรอเบอร์รี่ และถ้าไม่ติดว่ากลัวมันท้องเสียหรือเป็นอะไรไปเพราะยังเด็ก ใจเย็นคงให้มันกินไอศกรีมวันละถ้วยสองถ้วยและสถาปนามันเป็น ‘ไอศกรีมสตรอเบอร์รี่เลิฟเวอร์’ อีกคน... ไม่สิ อีกตัวแน่นอน
“ให้มันชื่อสตรอเบอร์รี่ดีไหมครับ”
แต่ก็ไม่วายป้วนเปี้ยนกับเรื่องนี้อยู่ดี
“มึงคิดภาพตอนเรียกชื่อนะ สุดท้ายก็จะเหลือแค่อีรี่”
“ตัวผู้นะครับ”
“แล้วใครใช้ให้มึงตั้งชื่อว่าสตรอเบอร์รี่วะ”
“น่ารักออก”
เป็นไทได้ฟังก็นึกเห็นใจลูกหมาที่กำลังกลิ้งตีลังกาวิ่งไล่จับผีเสื้อในสวนขึ้นมาตงิดๆ
“ไม่ผ่านโว้ย เอาชื่อธรรมดาที่คนเขาตั้งกันดิวะ”
“เป็นไท”
“ฮะ?”
“ชื่อเป็นไทแล้วกันครับ”
“กวนตีน”
ก่อนที่เขาจะได้ประทุษร้ายคนกวนตีนให้หายคันไม้คันมือ ใจเย็นก็ลุกหนีไปเล่นกับลูกหมาเรียบร้อยแล้ว
สรุป เจ้าลูกหมาพันธุ์ผสมไซบีเรียนฮัสกี้และไทยหลังอานจึงยังไม่มีชื่ออย่างเป็นเอกฉันท์ และแน่นอนว่าเขาไม่ยอมให้ใช้ชื่อเป็นไท จะเป็นไทจูเนียร์ก็ไม่ได้ ช่วงเวลาหลายวันที่ยังตั้งชื่อให้มันไม่ได้นั้น บทสนทนาจึงวุ่นวายกับการทุ่มเถียงเรื่องชื่อ สลับกันไปกับการเล่นกับตัวต้นเหตุของบทสนทนา ซึ่งดูๆ แล้วใจเย็นจะเสียเวลาเล่นกับมันเยอะกว่าที่เขาเล่นเป็นเท่าตัว
เป็นไทไม่เคยเลี้ยงหมา ไม่เคยเลี้ยงสัตว์เลยสักตัว เขานึกไม่ค่อยออกหรอกว่าความผูกพันระหว่างคนกับสัตว์เลี้ยงนั้นเป็นอย่างไร และต่อให้พยายามเข้าใจ เขาก็ไม่มีทางถ่องแท้ว่าใจเย็นเสียใจเรื่องทันใจแค่ไหน ที่ใกล้เคียงที่สุดก็คงเหมือนสูญเสียสมาชิกในครอบครัว แต่เวลามองหน้าเจ้าลูกหมาพันทางที่จะว่าหล่อก็หล่อ จะว่าบ้องแบ๊วก็บ้องแบ๊ว เขาก็ยังไม่ค่อยเข้าใจอยู่ดี แถมความซนจนเรียกได้ว่าบ้าคลั่ง ทั้งกัดเฟอร์นิเจอร์เละเทะ ทั้งขุดสวนดอกไม้ของเกษราจนดอกไม้ตายเรียบ ก็ยิ่งทำให้เขาไม่เข้าใจเข้าไปใหญ่
และอีกอย่าง เป็นไทก็ยังไม่รู้ว่าทำไมใจเย็นถึงกล้ากลับมาเลี้ยงหมาที่เคยทำให้เสียใจนักหนาเมื่อมันจากไป
“นึกยังไงเอามันมาเลี้ยงวะ” ในที่สุดก็เลือกเอ่ยถามเรื่องคาใจออกไปในบ่ายแก่วันหนึ่งของพฤษภาคม
“ไม่รู้สิครับ เห็นหน้ามันแล้วถูกชะตา” คำตอบกลับฟังดูเป็นอะไรที่เรียบง่าย ไม่ซับซ้อน คล้ายรสหวานเย็นของไอศกรีมสตรอเบอร์รี่สองถ้วยที่ถูกนำมาวางบนโต๊ะ ให้เจ้าลูกหมามองตามตาละห้อย
สุดท้ายแล้วเป็นไทก็เลิกเก็บมาคิดให้วุ่นวาย ปล่อยให้อะไรๆ เป็นไปเหมือนไอศกรีมที่จะละลายหากไม่รีบกิน เหมือนความร่มเย็นของซุ้มสร้อยอินทนิลในสวน แม้ไม่เหมือนม่านบาหลีแต่ก็ดูดีไม่แพ้ มันเป็นไม้เลื้อยที่ไม่ชูช่อดอกขึ้นด้านบนแต่ห้อยระย้าลงล่าง กลีบดอกสีม่วงอ่อนออกดอกตลอดปี ใจเย็นและเขามักใช้เวลาด้วยกันในซุ้มนี้มากกว่าที่อื่นของตัวบ้าน อาจเพราะติดนิสัยมาตั้งแต่บ้านอัครเสนีย์ และตอนนี้เองก็มีสมาชิกเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งตัว
“เออ แล้วตอนทันใจ ใครตั้งชื่อวะ”
“แม่ครับ”
“มึงก็ให้แม่ตั้งอีกดิ ชื่อที่แม่มึงตั้งน่ารักออก”
“สตรอเบอร์รี่ไม่ดีตรงไหนครับ”
“พูดชื่อนี้อีกที กูจะให้มันขุดหลุมเตรียมฝังมึง”
ถึงเป็นคำขู่ แต่ใจเย็นก็ยังยิ้มอยู่ดี
“งั้น...ชื่ออเล็กซานเดอร์”
“พอเถอะ...”
“ชื่อออกจะแมนแล้ว”
“ไม่ตั้งว่าสมชายไปเลยล่ะวะถ้างั้น”
“ถ้าเป็นไทตั้งก็โอ—”
“หยุด กูพูดเล่น” เป็นไทยั้งก่อนที่ความเห็นจะถูกลงมติ ซึ่งใจเย็นก็ยิ้มขำ เหมือนชอบใจที่กวนประสาทเขาได้
สรุปแล้วก็เป็นอีกวันที่ ‘มัน’ ยังไม่มีชื่อ และก็ยังคงต่อเนื่องไปอีกหลายวันจนเกษราเรียกมันว่า ‘น้อง’ ไปก่อนอย่างเอ็นดู แต่ถึงอย่างไร ใจเย็นก็เอ็นดูมันมากกว่า เป็นไทไม่เคยคิดว่าจะได้เห็นเวลาใจเย็นดูแลสัตว์เลี้ยงสักตัว ใจเย็นเล่นกับมัน คุยกับมันอย่างที่ไม่คิดว่าจะทำ ทั้งยังละเอียดลออในการดูแล เช่นเรื่องอาหารการกิน แม้แต่ขนมก็ยังละเอียดถึงเรื่องสีและวัตถุดิบ ครั้งหนึ่งเป็นไทเคยเลือกซื้อแบบที่ใจเย็นบอกไปให้ เป็นกระดูกผูกชิ้นใหญ่ ซึ่งมันก็คาบหายไปไม่เห็นอีกเลย
จนกระทั่งวันที่ ‘มัน’ มีชื่อเป็นของตัวเอง เป็นไทถึงได้รู้ว่ากระดูกผูกชิ้นนั้นหายไปไหน
มันเป็นวันที่ฝนตกหนักหลังจากอากาศร้อนจัดมาหลายวัน และเช่นกัน เขาไม่ได้แวะบ้านของใจเย็นมาหลายวันแล้วเพราะงานยุ่ง เมื่อลงจากรถ เจ้าลูกหมาพันทางวิ่งออกมาต้อนรับใจเย็นก่อนจะปรี่มาป้วนเปี้ยนรอบตัวเขา ดูดีใจเป็นพิเศษแบบที่เขาก็ไม่ค่อยเข้าใจนักว่าทำไม และยิ่งไม่เข้าใจไปใหญ่เมื่ออยู่ๆ มันก็วิ่งหายเข้าไปในสวนทั้งที่ฝนตก
เป็นแบบนั้นทั้งเขาและใจเย็นจึงไปตามมัน ก่อนพบว่ามันกำลังขุดดินอย่างบ้าคลั่ง ขนสีเทาสวยเลอะเปรอะมอมแมมไปหมดจนนึกอยากดุ แต่เมื่อมันคาบสิ่งที่กำลังขุดหามาวางตรงแทบเท้าเขาพร้อมหมุนหางเป็นวงสามร้อยหกสิบองศา เป็นไทก็พูดไม่ออก
มันคือกระดูกผูกชิ้นนั้นเองที่เขาให้ อยากจะบ่นว่าเอาของที่เขาให้มาให้เขาเองมาตลกดี แต่เมื่อคิดกลับกันว่ามันเก็บไว้ให้เขา ก็นึกอยากจะอุ้มมันขึ้นมากอดทั้งเลอะๆ นั่นแหละ
และก็เริ่มเข้าใจแล้วด้วยว่าทำไมใจเย็นถึงได้ผูกพันกับทันใจขนาดนั้น
หลังจากสองคนกับหนึ่งตัวเข้าบ้านมาล้างเนื้อล้างตัวกันได้ ใจเย็นก็จับลูกหมาพันทางที่เลอะไปทั้งตัว ทั้งหน้า ทั้งตายันคิ้วที่ไม่เคยขมวดเพราะไม่มีเรื่องให้เครียดมาอาบน้ำ ร่วมมือกับเป็นไทอย่างทุลักทุเลกันแทบตายกว่าจะอาบเสร็จแล้วพามาเป่าขนให้มันหลับตาพริ้มสบายตัวจนน่าหมั่นไส้
“เห็นแบบนี้ คิดชื่อให้มันได้หรือยังครับ” ในช่วงที่เจ้าหมามีคิ้วมีอานผล็อยหลับไปแล้ว ใจเย็นก็เอ่ยถามเขาขึ้นมาพร้อมรอยยิ้มบางเบา
“กูจะรู้ไหมล่ะ ไม่ใช่หมากู”
“งั้นเหรอ” พลันรอยยิ้มก็ยิ่งกว้างเหมือนจะแซวอะไรสักอย่าง จนเป็นไทนึกอยากดึงยืดแก้มที่กำลังเปื้อนรอยยิ้มนั่น
“ถ้าไม่ได้ชื่อสักที ผมจะตั้งว่าเป็นไทแล้วนะ”
“งั้นตั้งว่าใจเย็น”
“เคยมีหมาชื่อใจเย็นแล้วครับ”
“ใจเย็นจูเนียร์”
“ยาวไปอะ”
“เป็นไทจูเนียร์นี่ไม่ยาวเหรอวะ”
“ไม่นะ”
“งั้นตั้งชื่อหมาว่าเป็นไทก็ได้ แล้วกูจะทำให้มันเกลียดมึง”
“แต่ผมก็รักเป็นไทอยู่ดี”
“โอ๊ย รำคาญ”
แน่นอนว่าถึงเป็นไทจะด่าคำนี้สักกี่รอบ คนฟังก็ยังยิ้มอยู่ดี และเพราะไม่รู้จะต่อกรทางวาจาอย่างไรต่อ เสียงฝนจึงประสานตกร่องของสนทนาอยู่สักพัก ก่อนที่ใจเย็นจะพูดต่อ
“ผมคิดชื่อมันออกแล้วนะ”
“จริงจังไหมเนี่ย”
“จริงจังครับ เป็นชื่อที่ถ้ามีลูกกับเป็นไทก็จะตั้งชื่อนี้—”
“ใครจะไปมีลูกกับมึง”
“ก็เลยเป็นหมาไปก่อนไงครับ”
“เออๆ ชื่ออะไร”
“เป็น—”
“ถ้าพูดว่าชื่อเป็นไท มึงไปนอนในหลุมที่มันขุดเมื่อกี้เลยนะ”
คำขัดทำให้ใจเย็นชะงัก แต่ก็ยิ้มเหมือนยอมจำนน
“ไม่ใช่เป็นไทหรอกครับ”
“แล้วชื่ออะไร”
“เป็นใจ”
“ฮะ?”
“เป็นใจไงครับ ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว เอาชื่อเรามารวมกันไปเลย”
คำเฉลยทำเอาคนที่ถูกนำชื่อไปรวมกับชื่อของอีกคนเพื่อไปตั้งชื่อหมาถึงกับนิ่งไป ก่อนมองเจ้าหมาตัวที่ว่า มันยังคงหลับสบายใจเพราะอากาศเย็น แสงสลัวจากฟ้าฝนส่องขนสีเทาของมันดูสะอาดตาทั้งที่เคยมอมแมม
“เป็นชื่อที่โง่มาก แถมเสียงใกล้เคียงชื่อกูอีก เวลาเรียกหมามันก็สับสนดิวะ”
“ไม่ชอบเหรอครับ”
“น่ารักดี”
พลันสนทนาตกร่องอีกครั้ง เงียบ เงียบไปทั้งคู่ ก่อนที่ใจเย็นจะค่อยๆ หัวเราะขึ้นมาเหมือนมีอะไรขำนักหนา ให้เป็นไทเริ่มรู้สึกร้อนผ่าวที่ใบหน้า
“ขำอะไร”
“จะอะไรอีกล่ะครับ” แม้ไม่เฉลยแต่ก็ได้คำตอบ เป็นไทหมายจะถีบไปสักทีแต่ก็ถูกห้ามไว้ “เดี๋ยว ‘เป็นใจ’ ตื่นนะครับ”
คำนั้นเองที่ทำให้เขากลืนไม่เข้าคายไม่ออก มองเจ้าหมา ‘เป็นใจ’ ที่นอนคั่นกลางระหว่างเขากับใจเย็นแล้วก็ไม่อยากทำให้มันตื่นจริงๆ นั่นแหละ ซึ่งนั่นก็ทำให้ใจเย็นที่ดูเป็นคนเส้นลึกขำอีกรอบจนนึกแค้นนิดๆ ที่ทำอะไรไม่ได้
“เออ กูถามอะไรหน่อย” จนเมื่อปรับอารมณ์กันได้ เป็นไทก็ตัดสินใจพูดขึ้น “คือแม่มึงเคยบอกกับกูว่ามึงเคยเสียใจมากเรื่องทันใจ”
“ครับ”
“แล้วนี่...ไม่กลัวถ้าต้องสูญเสียไปอีกเหรอ”
จบคำถาม ใจเย็นเงียบไปชั่วครู่ มองสัตว์เลี้ยงที่อาจสูญเสียไปในสักวัน ก่อนจะกลับมาสบตาเขาโดยไม่มีแววของความลังเลใจหรือหวั่นกลัวว่าต้องเสียใจเลย
“ก็ดีกว่าไม่ได้อยู่ด้วยกันนะครับ”
อีกครั้ง เป็นคำตอบเรียบง่าย แต่ครั้งนี้เป็นไทรู้สึกได้ว่าเข้าใจใจเย็นมากขึ้น ทั้งยังสัมผัสได้ถึงการเติบโตขึ้นอีกก้าวในประโยคสั้นๆ
“แต่กับเป็นไทน่ะเป็นอีกแบบนะ”
“...ยังไง”
“ผมจะไม่ยอมให้เสียไป”
เป็นไทเห็นแววตาแบบเดิมจับจ้องมาที่เขา และทั้งที่ก็อยากจับภาพลงทรงจำให้นานเท่านาน แต่เขาก็เบือนหลบ เอื้อมมือไปลูบหัวเป็นใจอย่างแผ่วเบา แสร้งทำเป็นไม่ค่อยสนใจนัก
เพราะไม่อยากรู้สึกร้อนผ่าวไปทั้งตัว ทั้งใบหน้า ทั้งที่อากาศเย็นจนเริ่มหนาว
“เอ็นดูผมแบบเป็นใจบ้างก็ได้นะครับ”
แล้วใจเย็นก็เริ่มเรียกร้องจนได้
“อะไร อิจฉาหมาเหรอ”
“ถ้าอิจฉาแล้วเป็นไทกอดผม อิจฉาก็ได้”
“รำคาญ”
“จะถือเป็นคำบอกรักนะ”
พลันก็พ่ายแพ้กับคำดักทางที่ใจเย็นเอ่ยมาพร้อมยิ้มกว้างเหมือนเด็กๆ ให้เขาไม่รู้จะพูดอะไรต่อ เพราะก็มีแต่คำว่ารำคาญนั่นแหละ และในชั่วขณะที่เงียบงัน เจ้าหมาเป็นใจก็พลันหาวหวอดขึ้นมาก่อนพลิกเปลี่ยนท่านอนหงายแอ้งแม้งสบายใจจนน่าหมั่นไส้ ให้เป็นไทอดพูดออกมาไม่ได้
“เออ รำคาญ ทั้งคน ทั้งหมาเลย”
ทั้งคนที่ตั้งชื่อหมาว่าเป็นใจ ทั้งหมาชื่อเป็นใจ นั่นแหละ ทั้งหมดนั่นเลย.*****
บทส่งท้าย – เป็นใจจบบริบูรณ์.************************************************************
จบแล้วจริงๆ ค่ะ
รู้สึกว่าเรื่องที่จะพูดก็พูดไปเกือบหมดแล้วในตอนจบก่อนหน้านี้ 55
ยังไงก็ขอบคุณทุกคนอีกครั้งนะคะ
ส่วนเรื่องรวมเล่มที่มีคนถามกันเข้ามา ถ้าคืบหน้ายังไง จะมาอัพเดตอีกที อย่าเพิ่งลืมหรือหายกันไปไหนแล้วกันค่ะ แค่อาจจะนานหน่อย รอกันนะคะ
สุดท้ายนี้ เรื่องใหม่ของแยมก็เปิดทิ้งไว้แล้ว แต่พล็อตยังฟุ้งอยู่ คงอีกสักพัก แค่เปิดไว้จองชื่อเรื่องค่ะ 5555 เรื่องนี้เป็นแนวกินเด็ก ตั้งใจว่าจะใช้ภาษาง่ายๆ บ้างแล้วล่ะ
รักทุกคนนะคะ รัก
#ใจเย็นกับเป็นไท ด้วย ขอบคุณจริงๆ ค่ะ