15th Sunday #คนที่นอนข้างกันในวันอาทิตย์
แผนกการขายไม่เคยเงียบขนาดนี้มาก่อน ทั้งที่ยอดขายถึงเป้าตามที่วางไว้ แต่หัวหน้าแผนกเซลส์กลับเงียบขรึมจนเหมือนกับ งานที่ทำมีความผิดพลาดใหญ่หลวง ไม่ว่าใครจะถามไถ่ด้วยความเป็นห่วงแค่ไหน กฤติเพียงแค่รับคำขอบคุณเอาไว้ แต่ไม่ได้ให้เหตุผลอะไรไปมากกว่า ‘งานเยอะ’
นั่นเป็นเพียงความจริงส่วนเดียว
กฤติรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเพียงกล่องเปล่าๆ เขาทำงานไปตามที่สมองสั่ง ไม่ได้สนใจอะไรมากมายนัก ทำงาน ไม่ต้องรู้สึกอะไร ไม่ต้องยิ้มไม่ต้องรำคาญใจเรื่องใด
ใช้ชีวิตเหมือนกับที่เคยใช้
แต่
ทำไมมันถึงได้ยากขนาดนี้
ทุกครั้งที่เห็นชื่อในอีเมลของผู้ชายคนนั้น หัวใจที่ควรจะเต้นเพื่อให้มีชีวิตอยู่กลับกลายเป็นสิ่งที่ขวางทางการทำงาน มันเต้นรัวแรงเกินไป เขารู้สึกเจ็บทุกครั้งที่แค่เห็นชื่อนรินทร์
มันยาก มันควบคุมไม่ได้
กฤติต้องใช้ความพยายามอย่างหนักที่จะไม่ให้ตัวเองนึกถึงจูบร้องแรงทุกครั้งที่คุยงานกัน อาจจะถือเป็นเรื่องดีที่เดือนนี้เขายุ่งมากกับการพบปะลูกค้าจนแทบจะไม่ได้อยู่ติดออฟฟิศและเจอหน้าใครเท่าไหร่ และถึงแม้จะเข้าออฟฟิศกี่ครั้ง เขามักจะหลบหน้าเลขาคนสนิทที่จำเป็นต้องคุยงานด้วยเสมอ
กฤติกลัว
เปล่าเลย เขาไม่ได้กลัวว่านรินทร์จะทำตัวน่ารำคาญจนเขาระอา ชายหนุ่มกลัวใจตัวเอง หากนรินทร์ยืนยันตามความต้องการของตัวเองอีกครั้งเขาอาจจะไม่สามารถใจแข็งปฏิเสธอีกคนอย่างที่เคยทำได้
แต่ละวันผ่านไปอย่างทรมาน
แม้กระทั่งตอนที่อยู่คนเดียวก็ไม่ได้ดีไปกว่ากัน
ผ้าปูที่นอนลายคิตตี้ที่นรินทร์นึกคึกเอามาปูไว้ยังคงอยู่บนเตียง เขานึกว่าตัวเองจะเกลียดผ้าปูทุกผืนที่อีกคนซื้อมา แต่ว่าตอนนี้เขากลับไม่ยอมใช้ผ้าปูอื่นนอกจากพวกลายการ์ตูนเหล่านั้น
เสี้ยวเล็กๆ ในจิตใจ ที่พื้นที่ของตัวเอง กฤติอยากเก็บนรินทร์เอาไว้
ถึงแม้ว่าเขาจะทำได้เพียงแค่หลับตาลงบนผ้าปูที่นอนที่อีกคนซื้อให้ก็ตาม
.
.
.
“เราไม่ชอบแบบนี้เลยอ่ะ”
“กูด้วย”
“ซุกซนไปบอกคุณกฤติสิว่าโลกนี้มีแซลม่อนนะ ถึงเราจะมีวันที่เลวร้ายแค่ไหน แต่เรายังมีแซลม่อนให้กินนะ”
“มึงเงียบปากไปเลยไอ้อ๊อง”
“อุ๊กอนอ่าแอ้ง!” (*ซุกซนอย่าแกล้ง*)
เมฆมองแฟนหนุ่มของตัวเองที่ตอนนี้โดนกับเพื่อนร่วมแผนกดึงแก้มเหมือนกับทุกวัน ตอนนี้เขาว่างพอที่จะมานั่งอู้งานเฝ้าแฟนเฉยๆ ในออฟฟิศ ชายหนุ่มปล่อยให้เด็กประถมสองคนตีบ้งเบ้งกันไป ในขณะที่ตัวเองกำลังคิดเกี่ยวกับเรื่องที่เพิ่งได้ยินมา
ไวกว่าความคิด เมฆลุกขึ้นเดินไปที่ห้องของคนที่เขาสนิทแต่เกลียดขี้หน้า
‘ก๊อกๆ’
“ครับ”
“หน้ายับยู่ยี่เชียว โดนใครหักอกมาเหรอครับ?”
คำทักทายกวนประสาทของผู้มาใหม่ทำให้กฤติเงยหน้าขึ้นจากแฟ้มเซ็นอนุมัติซื้ออุปกรณ์ให้กับคนในทีมเงยห้าขึ้นมา เมื่อเห็นว่าเป็นใครก็ถอนหายใจ
“ไม่มีงานมีการทำหรือไงครับ?”
“ปากดีเหมือนเดิม”
เมฆไม่ได้ถือสาเอาความเมื่อคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามขมวดคิ้วใส่พร้อมส่งสายตาที่เต็มไปด้วยคำด่ามาให้ ผู้มาใหม่ถือวิสาสะเอาตัวเองนั่งบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามของกฤติที่ถอนหายใจอย่างรำคาญ
คนในบริษัทนี้มันเป็นอะไรกัน ทำไมไล่ไม่เคยไปเลยสักคน
“คุยได้ใช่มั้ย?”
“ไม่ได้แล้วยังไง?”
“จะนั่งจนกว่าจะคุยได้”
“มีอะไร”
กฤติปิดแฟ้มแล้วนั่งมองหน้าอีกคน ดีที่ประตูปิดไปตั้งแต่อีกคนเดินเข้ามา ดูก็รู้แล้วว่าไม่ได้พูดเรื่องงานแน่นอน
“ทะเลาะอะไรกัน?”
ถึงแม้เมฆไม่ได้ขยาย เขาก็รู้ดีกว่าอีกฝ่ายกำลังจะพูดอะไร
“เปล่า”
“เชื่อ”
เมฆยักไหล่อย่างกวนประสาท พวกเขานั่งเงียบกันอยู่แบบนั้น กฤติมองไปที่แฟ้มหน้าตัวเองอีกครั้ง ในขณะที่เมฆก็มองหน้ากฤติไปด้วย
“ถามจริง ทะเลาะอะไรกัน”
“ไม่ได้ทะเลาะ” กฤติพูดเสียงเรียบ “ไม่ได้มีอะไรทั้งนั้นแหละ”
“ไปหลอกแทนใจ น้องมันยังไม่เชื่อเลย”
“...”
“คนนึงก็ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ตลอดเวลา อีกคนทำตัวเหมือนนอกจากทำงานทั้งวันชีวิตไม่คิดจะกินข้าวแล้ว แบบนี้มันสภาพปกติตรงไหน?”
“...”
“ถึงขนาดที่แทนใจมาบ่นให้ผมฟัง คุณคิดเอาละกัน”
เมฆพูดเรียบๆ เขาไม่ได้โกหกเลยแม้แต่น้อย น้องแทนใจมาง๊องแง๊งใส่เขาว่าคุณกฤติดูอึมครึมแถมทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ตลอดเวลา จนเมื่อเมฆได้มาดูด้วยตาตัวเอง มันก็ไม่เกินจริงเท่าไหร่นัก
“อยู่มาตั้งกี่คนกว่าจะเจอคนที่รักมากขนาดนี จะปล่อยให้เขาหลุดมือไปหรือไง?”
ทั้งที่กฤติยังคงไม่ได้พูดอะไร ผู้ที่นั่งจ้องหน้าเขาก็พูดขึ้นมาก่อน หัวหน้าแผนกขมวดคิ้วลงคล้ายไม่พอใจ แต่เมฆก็ไม่ได้สนใจ เจ้าตัวยังคงพูดต่อไป
“คุณอาจจะคิดด่าผม หรือต่อต้านอะไรในใจ แต่คุณโกหกตัวเองไม่ได้หรอกว่าเมื่อช่วงเดือนก่อนกับตอนนี้ คุณต่างกันราวกับคนละคน”
“... บางครั้ง ชีวิตมันก็ไม่ได้ง่ายแบบนั้น”
กฤติตอบกลับเสียงแห้งคล้ายพูดกับตัวเอง แต่ห้องทำงานที่แม้แต่เครื่องปรับอากาศที่กำลังทำงานยังได้ยิน นับประสาอะไรกับเสียงกระซิบนั่น
“แล้วทำไมต้องทำให้มันยาก?”
เมฆถามกลับ กฤติถอนหายใจอย่างไม่สบอารมณ์ คนสมองกลวงนี่มันทำอะไรหยาบกระด้างได้ทุกเรื่องเสียจริง
“มันไม่ใช่เรื่องของตัวเองคุณเลยพูดอะไรก็ได้”
“เพราะมันใช่เรื่องของตัวเองไงเลยพูดได้ เวลาเป็นเรื่องของตัวเองทุกคนกลัวหมดแหละ แต่พอเป็นเรื่องของคนอื่นเรามองจากมุมนอก พูดอะไรได้มากกว่า เพราะว่ามองได้กว้างกว่าไม่ใช่หรือไง?”
เมฆพูดต่อทันที ไม่รอให้กฤติตอบอะไร ชายหนุ่มก็พูดเพิ่ม
“เพราะคุณมัวแต่คิดว่า ถ้าหากคุณทำอย่างนั้น ถ้าคุณตัดสินใจแบบนี้ คุณมัวแต่คิดแทนคนอื่นไง เลยมองไม่เห็นทางออกง่ายๆ ที่อยู่ตรงหน้า”
“...”
“ผมไม่รู้หรอกนะว่าคุณเจออะไรมา แต่...”
‘ก๊อกๆ’
ทั้งสองคนหยุดกลางคันเมื่อมีเสียงเคาะประตูแทก กฤติมองหน้าเมฆนิดหน่อย ซึ่งอีกคนก็รู้ดี การที่เขาเข้ามานั่งพูดนั่นพูดนี่ในเวลางานนั้นหากอีกฝ่ายว่างก็คงไม่เป็นไร แต่เมื่ออีกคนมีแขก ยังไงก็ไม่เหมาะสม
“เชิญครับ”
เมื่อประตูเปิดออก ชายที่อยู่ในบทสนทนาก็เดินเข้ามาในห้อง ใบหน้าของนรินทร์มองเจ้านายของตัวเองสลับกับเมฆที่ยังนั่งอยู่ในห้อง
เมื่อเห็นว่าอีกคนเข้ามาเรื่องงาน แฟนแทนใจก็ลุกขึ้นยืน
“พวกคุณคุยกันไปละกัน ผมขอตัวก่อน”
เมฆพูดทิ้งเอาไว้ แล้วเดินออกไปทั้งอย่างนั้น ทิ้งไว้เพียงแค่กฤติและนรินทร์เท่านั้น
บรรยากาศห้องตอนนี้เงียบลงทันที นรินทร์ส่งยิ้มบางเบาให้หัวหน้าแผนก หลายต่อหลายวันที่แทบจะไม่ได้เจอหน้ากันทำให้เขาคิดถึงอีกฝ่ายแทบบ้า แต่เมื่อเห็นหน้าแล้วเรื่องราวของวันนั้นก็ไหลกลับมาทันทีราวกับมีใครเอาเทปมาเปิดให้ดู
“คุณมีอะไร?”
กฤติถามอีกฝ่ายด้วยเสียงติดจะแห้งเล็กน้อย เขาพยายามทำตัวให้เป็นปกติทั้งที่ระหว่างพวกเขาสองคนไม่มีอะไรที่เป็นเหมือนเดิม นรินทร์โทรมลงอย่างเห็นได้ชัด นัยน์ตาคมกริบที่เคยทำให้เขาใจเต้นตอนที่มองมานั้นเลื่อนลอย หนวดที่โกนไม่เกลี้ยงทำให้นึกหงุดหงิดอีกคนทั้งที่ไม่มีสิทธิ์
ทำไมถึงไม่ดูแลตัวเอง ทำไมปล่อยให้โทรมลงได้ขนาดนี้
“ผม”
คิดถึง
“จะมาถามคุณเรื่องการไปอบรมระบบใหม่เดือนหน้าครับ”
หัวหน้าหนุ่มพยักหน้าแล้วผายมือไปทางเก้าอี้ตรงหน้าเป็นเชิงให้อีกฝ่ายนั่งลง ซึ่งนรินทร์ก็ทำตามแต่โดยดี ยิ่งพอมานั่งมองหน้ากฤติชัดๆ แบบนี้ความรู้สึกที่กักเก็บเอาไว้ร่วมเดือนก็เหมือนจะปะทุออกมาได้ทุกเมื่อ
คุณพ่อลูกหนึ่งพูดถึงกำหนดการอย่างคล่องแคล่ว ถึงแม้ว่าจะเพิ่งเคยทำตำแหน่งผู้ช่วย แต่ดูเหมือนว่าเขาจะทำมันออกมาได้ดีในระดับที่กฤติยอมรับได้ หัวหน้าหนุ่มพยักหน้าตามข้อมูลทีได้รับการถ่ายทอด อันที่จริงเขาได้รับอีเมลกำหนดการเทรนนิ่งประจำปีมาตั้งแต่เมื่อช่วงต้นเดือน แต่เขายุ่งเกินกว่าที่จะได้ดูอย่างละเอียด
เท่าที่ฟังจากเลขาคนเก่ง หลักๆ มันคือการประชุมที่เขาไปทุกปี ซึ่งในทุกครั้งจะกินเวลาประมาณ 3 - 5 วันรวมเวลาบินแล้วแต่ตาราง แต่ครั้งนี้ทางสำนักงานใหญ่ที่เยอรมันมีการขยายพื้นที่ ตารางเลยกินเวลาไปเป็นสัปดาห์
“คุณจะพักร้อนต่อมั้ย?”
“คงไม่ครับ” กฤติตอบปฎิเสธทันทีที่นรินทร์พูดถึงกำหนดการจบ “ผมไปถึงแค่วันที่ 8 พอลงเครื่องแล้วจะมาทำงานตอนบ่ายเลย แค่นี้ผมก็ทำงานไม่ทันแล้วครับ”
“ผมว่าคุณควรพักบ้าง”
หัวใจของกฤติกระตุกไปชั่วขณะ
“ผมคิดว่าการที่คุณลงเครื่องจากเยอรมันไฟล์ทเช้าแล้วจะเข้ามาทำงานตอนบ่ายมันออกจะเกินไปหน่อย”
นรินทร์พูดจบแล้วชะงักไปเล็กน้อยเมื่อเพิ่งรู้สึกตัวว่าพูดอะไรออกไป เลขาหนุ่มนิ่งไปชั่วครู่ เขามองสบตาของหัวหน้า ความสั่นไหวข้างในนั้นเป็นเรื่องแปลกตาแต่ให้ความรู้สึกเจ็บปวดในขณะเดียวกัน
“ผม… ขอโทษที่ก้าวก่ายครับ”
กฤติเงียบลงทันที ระหว่างพวกเขามีความเงียบที่น่าอึดอัดวนล้อมอยู่รอบกาย ทั้งที่นั่งอยู่ตรงข้ามกันแต่เหมือนไกลห่าง ตั้งแต่ทำงานมาจนถึงตอนนี้ กฤติสามารถบอกได้เลยว่าวินาทีนี้ทรมานที่สุด
“ไม่เป็นไรครับ”
เป็นกฤติที่ตอบออกไป พวกเขานิ่งงันอยู่แบบนั้น นรินทร์ไม่รู้ว่าตอนนี้เป็นเวลานานเท่าไหร่ ที่เขาปล่อยให้ความเงียบอันน่าอึดอัดแทรกกลางระหว่างพวกเขาทั้งสองคน
กฤติไม่เข้าใจตัวเองมากนัก แต่ถึงแม้จะทรมาน เขาก็ยังอยากจะมีอีกคนอยู่ใกล้
“งั้นผมจองขากลับเป็นวันที่ 8 คุณจะได้มาทำงานตอนบ่ายต่อได้”
“ครับ”
“งั้นผมไปทำงานต่อนะครับ”
“ครับ”
กฤติเลือกที่จะก้มหน้ามองเอกสารบนโต๊ะ ด้วยเหตุผลที่ไม่อยากจะเข้าใจ แต่เขาไม่อยากมองแผ่นหลังของอีกฝ่ายตอนที่กำลังจะเดินออกไป มันทำให้เขานึกถึงวันนั้น
‘ปัง’
เสียงประตูปิดลง
โดยที่พวกเขาไม่ได้ขยับเข้าใกล้กันเลยแม้แต่น้อย
.
.
.
ทริปเยอรมันมาถึงเร็วกว่าที่คิดไว้มาก
กฤติเม้มปากจนเกือบจะเป็นเส้นตรงเมื่อคิดถึงเวลาอีกไม่กี่ชั่วโมงที่เขาจะต้องติดอยู่บนเครื่องกับเลขาเป็นสิบชั่วโมงในที่นั่งข้างกัน หากเป็นปกติเขาคงนั่งบิสซิเนสคลาสอย่างที่เคย แต่เมื่อยอดขายของบริษัทปีนี้ไม่ถึงเป้า ตั๋วเครื่องบินของเขาก็ถูกลดระดับลงมาเหลือเป็นที่นั่งชั้นอีโคโนมี่ธรรมดา
หัวหน้าหนุ่มไม่ได้มีปัญหาอะไรกับตั๋วชั้นประหยัด เขามีปัญหากับคนที่ต้องนั่งข้างๆ ต่างหาก
ตามปกติเขามักจะทำอะไรคนเดียว โดยที่คอยให้เลขาช่วยซัพพอร์ตเรื่องที่ยุ่งยากกับการทำงาน อย่างเช่นการเคลมคืนค่าทางด่วน เอาเอกสารมาให้ หรือการจองห้องประชุม เลื่อนนัดหมายต่างๆ
แต่ครั้งนี้เป็นการเทรนนิ่ง ซึ่งเขาจำเป็นต้องให้เลขามาด้วย
หากนับแค่เรื่องงาน การพกผู้ช่วยมาด้วยนั้นไม่ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่อะไรนัก อย่างน้อยก็มีคนมาคอยช่วยจัดการเรื่องราวต่างๆ ให้เข้าที่เข้าทางได้
แต่เมื่อมีเรื่องส่วนตัวเข้ามาเกี่ยวข้อง กฤติกลับไม่สามารถยืนยันคำเดิมได้อย่างเต็มปาก
ความคิดถึงมันก็มี แต่ความอึดอัดใจยังคงไม่จางหายไป
กฤติรู้สึกเหมือนตัวเองใกล้บ้าเข้าไปทุกทีที่นาฬิกานับถอยหลัง เขาจำเป็นต้องรอนรินทร์ที่สนามบินเพื่อเช็กอินพร้อมกัน ตอนนี้เป็นเวลาสามทุ่มกว่า พวกเขานัดกันอย่างเร่งรีบเมื่อสองวันก่อนว่าเจอช่วงประมาณสี่ทุ่มที่หน้าเกต และตอนนี้กฤติกำลังนั่งหลังตรง บังคับตัวเองไม่ให้มองหาคุณพ่อลูกหนึ่งคนนั้น
เขาควรจะต้องทำหน้าอย่างไร?
ควรจะชวนคุยเรื่องงานดีหรือไม่?
น้องนิ้งเป็นไงมั่ง? ยังโกรธเขาอยู่หรือเปล่า?
ชายหนุ่มคิดวนอยู่กับตัวเองจนท้ายที่สุดแล้วเขาก็ถอนหายใจ นี่มันไม่มีประโยชน์เลยแม้แต่น้อย หนึ่งในสิ่งที่เขาทั้งรักและไม่ชอบในตัวของนรินทร์ คือการที่อีกฝ่ายทำให้ในหัวสมองของเขาอัดแน่นไปด้วยเรื่องของนรินทร์ ขนาดไม่ได้คุยกันเท่าเมื่อก่อนแล้ว กฤติก็ยังคงกังวลแต่เรื่องของนรินทร์
มันน่าหงุดหงิด และน่ารำคาญใจในเวลาเดียวกัน
“คุณกฤติครับ”
คุณพ่อลูกหนึ่งในเสื้อเชิ้ตที่มีสเวตเตอร์ทับอยู่เดินมาอยู่ตรงหน้าในขณะที่กฤติกำลังเหม่อ นรินทร์ยังคงดูหล่อเหมือนกับทุกวันที่เห็น วันนี้เองก็เช่นเดียวกัน ผมของอีกฝ่ายยาวขึ้นเล็กน้อย และไม่เป็นทรงคล้ายกับเพิ่งออกมาจากที่นอน
“ครับ ไปต่อแถวเลยละกัน”
หัวหน้าหนุ่มพูดกับคนที่มายืนอยู่ตรงหน้าสั้นๆ ก่อนจะเดินนำไปต่อแถวหน้าเกตสายการบินที่เขากำลังจะต้องขึ้นเครื่องในอีกไม่นาน สายการบินสีม่วงที่คนเยอะตลอดเวลาไม่ได้ทำให้กฤติประหลาดใจนัก ใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมงกว่าพวกเขาทั้งสองคนจะเช็กอินและรับตั๋วเครื่องบินเสร็จเรียบร้อยพร้อมขึ้นเครื่อง
เมื่อได้รับตั๋วคืนจากพนักงานเขาจึงบอกอีกคนให้ใช้เวลาตามสบาย ในขณะที่ตัวเองรีบเข้าเกตเพื่อหาร้านกาแฟนั่ง รอเวลาขึ้นเครื่อง และเพื่อสลัดเรื่องกวนใจออกไปจากหัวให้ได้มากที่สุด
เขาทำไม่ได้
กฤติถอนหายใจแล้วปิดคอมพิวเตอร์ลง เขาไม่สามารถสลัดความรู้สึกประหลาดทุกครั้งที่ได้เห็นหน้าของเลขาตัวเองออกจากใจได้ ทั้งที่ผ่านมาร่วมเดือนแล้ว แต่ทุกครั้งที่เห็นหน้าอีกฝ่าย เหตุการณ์วันนั้นก็ไหลเข้ามาในหัวราวกับเปิดก๊อก ทุกความทรงจำ ความรู้สึก ทุกอย่างมันยังคงเหมือนเดิม
เขายังคงรักนรินทร์เหมือนเดิม
ชายหนุ่มนั่งถอนหายใจทิ้งจนชามะนาวหมดแก้วกว่าจะถึงเวลาที่สามารถขึ้นเครื่องได้ เพราะไม่ใช่คนที่สนใจที่นั่งมากนัก เมื่อมาดูตั๋วเครื่องบินชายหนุ่มเพิ่งรู้ว่าที่นั่งของตัวเองเป็นตรงกลางระหว่างที่นั่งริมหน้าต่าง และที่นั่งติดริมทางเดิน กฤติสบถในใจเล็กน้อยแต่ก็นั่งลงไปก่อน ทำไมเขาไม่ได้บินคนเดียวในที่นั่งคนเดียวทั้งแถวกันนะ
“เอ่อ…”
เสียงทุ้มจากด้านขวาเรียกให้กฤติหันไปมอง เลขาของกฤติยืนทำหน้าประหลาดอยู่ตรงริมทางเดิน บนแขนชายหนุ่มมีเสื้อกันหนาวกับผ้าพันคอพาดอยู่ ซึ่งอีกคนน่าจะพกไว้เพื่อใส่หลังจากลงเครื่อง แต่นั่นไม่ใช่เรื่องของเขา
“ผมนั่งริมหน้าต่าง”
“ครับ”
กฤติพูดออกมาแค่นั้นก่อนที่จะลุกออกจากที่นั่งเพื่อให้อีกคนสามารถเข้าไปในที่ของตัวเองได้ ตอนนี้ชายหนุ่มได้แต่ภวนาให้ที่นั่งอีกข้างไม่มา เขาจะได้เขยิบไปนั่งริมทางเดินแล้วเนียนหลับตลอดสิบเอ็ดชั่วโมงจนกว่าจะแลนดิ้ง
“ไฟล์ทนี้คนน้อยดีนะครับ”
นรินทร์ชวนคนข้างๆ คุย ซึ่งสิ่งที่ได้ตอบกลับมามีเพียงแค่การรับคำสั้นๆ
“ครับ”
เครื่องบินขึ้นมาสักพัก ตอนนี้กฤติเขยิบออกมานั่งริมทางเดินเพราะไม่มีใครมานั่งตรงนั้น ปล่อยให้เก้าอี้ตรงกลางเอาไว้วางพวกหมอนและผ้าห่ม ซึ่งนรินทร์เองก็เอาเสื้อโค้ทมาวางไว้เก้าอี้กลางเช่นเดียวกัน
“คุณเป็นอะไรหรือเปล่า?”
กฤติมองไปทางด้านข้าง นรินทร์ที่ควรจะเอนหัวพิงกับกระจกแล้วหลับๆ ไปจนกระทั่งถึงเยอรมันดันถามขึ้นมา สีหน้าของอีกฝ่ายแสดงความเป็นห่วงอย่างปิดไม่มิด ซึ่งกฤติไม่ชอบอะไรแบบนี้เลยสักนิด ทำไมถึงไม่ต่างคนต่างแยกย้ายกันทำธุระของตัวเองไป?
“ไม่ครับ”
“เอาที่รองคอมั้ย?”
นรินทร์ยื่นหมอนรองคอสีชมพูมาให้ทั้งที่ตัวเองมีแค่อันเดียวเท่านั้น ซึ่งกฤติส่ายหัวปฏิเสธทันที
“ไม่ล่ะ ขอบคุณครับ”
“คุณเอาหมอนผมไปได้จริงๆ นะ”
“ไม่เป็นไรครับ”
“แต่ว่าผมให้คุณได้จริงๆ นะ” นรินทร์พูดด้วยใบหน้าจริงจัง นัยน์ตาคมเข้มนั้นเต็มไปด้วยอารมณ์มากมายไหลวนอยู่
“ผมให้คุณได้ทุกอย่าง ผมให้คุณได้ทั้งหมด”
บรรยากาศรอบตัวพวกเขาเงียบไปครู่หนึ่ง
“ขอบคุณ แต่ผมยังไม่ต้องการครับ”
นรินทร์อึ้งไปเล็กน้อยกับคำตอบนั้น สุดท้ายแล้วชายหนุ่มก็เลือกที่จะกอดหมอนของตัวเอง แล้วหันหน้ามองหน้าต่างเงียบๆ
พวกเขานั่งเงียบกันสักพักจนกระทั่งเครื่องบินเลยประเทศไทยไป กฤติมองหน้าจอตรงหน้าอย่างเบื่อๆ เขาไม่ชอบการที่ไม่สามารถใช้อินเตอร์เน็ตได้ เพราะนั่นหมายถึงเขาทำงานไม่ได้ และเขารีบเกินกว่าที่จะถือหนังสือดีๆ สักเล่มเพื่อมาอ่านในเวลาทีไร้ประโยชน์นี้
“คุณหนาวมั้ย?”
เป็นอีกครั้งที่กฤติหันไปมองไปด้านข้าง คุณพ่อลูกหนึ่งยังคงหันมามองเขาด้วยใบหน้าที่เจือความเป็นห่วงชัดเจนอยู่ในนั้น
“ไม่ครับ”
“อ่อ”
บรรยากาศระหว่างพวกเขากลับมากระอั่กกระอ่วนอีกครั้ง กฤตินั่งมองจอด้วยใบหน้านิ่งเรียบ ในขณะนรินทร์กำลังเอามือเกาหัวด้วยท่าทางเก้ๆ กังๆ ชายหนุ่มทำท่าเหมือนกับอยากจะพูดอะไรบางอย่าง
“คุณ…”
“ครับ?”
กฤติขานรับอีกฝ่ายทันทีโดยที่ไม่ได้หันไปมองหน้า เขายังคงจ้องมองจอที่แสดงภาพกราฟฟิกเครื่องบินเหลือเวลาอีกสิบกว่าชั่วโมงจนกว่าจะถึงที่หมาย
“ผมมีเรื่องอยากคุยด้วย”
“ครับ คุยเลย”
“เรื่องของน้องนิ้ง”
ชายหนุ่มเกร็งตัวขึ้นเมื่อรู้ว่าอีกคนพยายามจะทำอะไร ทั้งที่หัวใจเต้นแรงขึ้น แต่สมองคล้ายกับจะทำงานช้าลง ถึงแม้ว่าในเสี้ยวเล็กๆ กฤติจะอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเด็กน้อย แต่เขากลับตอบอีกฝ่ายไปว่า
“ถ้าไม่ใช่เรื่องงาน ผมขอยังไม่คุยนะครับ”
เป็นการปฏิเสธที่ชัดเจนและหนักแน่น
นรินทร์นิ่งเงียบแล้วหันออกไปมองหน้าต่างหลังจากที่เขาพูดจบ กฤติเองก็จ้องจอตรงหน้าด้วยสายตาว่างเปล่า
เพราะกฤติยังไม่พร้อมที่จะให้เรื่องไร้สาระเข้ามาควบคุมความรู้สึกของเขา เหมือนกับที่ความรักของนรินทร์มักจะทำแบบนั้นได้เป็นอย่างดีเสมอมา
และอาจจะเป็นคนเดียวที่สามารถทำให้เขาเป็นแบบนี้ได้… เสมอไป
------- TBC --------
เราเคยพูดในทวิตเตอร์ว่าจะให้ไปเยอรมัน ไปจริงค่ะ 55555555
สุขสันต์วันสงกรานต์นะคะ XD
#คนที่นอนข้างกันในวันอาทิตย์