---- เมามาย ----
“อือ แสบตา”
แสงอาทิตย์ที่สาดส่องเข้ามากระทบตาจากรอยแยกของม่านที่กว้างประมาณสองคืบทำให้ฆาเบียร์ซึ่งยังนอนหลับตาอยู่บ่นออกมาด้วยความรำคาญ เมื่อคืนเจได้แง้มม่านไว้เพราะอยากมองเห็นร่างเปลือยของเขาภายใต้แสงจันทร์ยามที่พวกเขาร่วมรักกัน แต่เมื่อเสร็จกิจเจ้าตัวก็คงลืมรูดมันปิดจนกระทั่งแสงตะวันสาดส่องในยามสายแบบนี้
“เฮ้อ ลุกก็ได้วะ”
คนตัวโตถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วชะเง้อดูเวลาจากนาฬิกาปลุกดิจิตอลที่โต๊ะหัวเตียง
‘เพิ่งจะแปดโมงครึ่ง จะรีบตื่นมาทำบ้าอะไรกัน ฮึ?’
หนุ่มละตินนึกก่นด่าตัวเองอย่างสุดเซ็ง เขานอนมองเพดานไม้ของเตียงแต่งงานหลังงามของพ่อแม่อาปาพักหนึ่งแล้วจีงพลิกตัวนอนตะแคง เขายิ้มบาง ๆ เมื่อเห็นร่างขาวผ่องตรงหน้าซึ่งนอนขดอยู่เพราะความหนาวเย็นจากแอร์ที่เจ้าตัวเองปรับไว้ที่ 18 องศา เจ้าตัวดีของเขาซึ่งบ่นว่าร้อนเมื่อตอนก่อนนอนได้ถีบผ้าห่มออกไปหมดเหลือแต่ร่างเกือบเปลือยที่ใส่เพียงกางเกงในตัวเดียว
“เจ เจจ๊ะ ห่มผ้าเถอะ เดี๋ยวก็เป็นหวัดหรอก”
คนตัวโตเขย่าร่างเพรียวตรงหน้าเบา ๆ เจปัดมือเขาแล้วบ่นงึมงำเป็นภาษาไทย ฆาเบียร์โคลงหัว อีหรอบนี้เจคงไม่ตื่นง่าย ๆ เขาจัดการห่มผ้าให้คนรักเสร็จสรรพ จากนั้นก็กลับลงไปนอนอีกครั้ง เขาตะแคงกายหันหน้าเข้าหาเจนยุทธแล้วตะกองกอดร่างเพรียวไว้
“ให้ตายสิ!”
เขาสบถออกมาเบา ๆ เมื่อสังเกตเห็นหลังคอขาวที่บัดนี้เต็มไปด้วยจ้ำและปื้นสีแดงช้ำอันเกิดจากตัวเขาตอนที่ยังนัวเนียกันกลางแจ้ง อารมณ์ที่เตลิดไปทำให้เขาทั้งจูบทั้งดูดต้นคอที่อยู่ตรงหน้าอย่างบ้าคลั่ง รอยนั้นกระจายมาจนถึงลาดไหล่และแผ่นหลังตอนบน เขาถอนหายใจออกมาอีกเฮือกใหญ่เมื่อก้มดูแผงอกตัวเองแล้วก็พบว่ามันก็ไม่ต่างกัน
“เฮ้อ สงสัยคงต้องได้เพลา ๆ มือกันบ้างแล้ว”
คนตัวโตเปรยออกมาเบา ๆ
“เพลา ๆ มืออะไรเหรอครับ?”
เจนยุทธซึ่งตื่นขึ้นมาเพราะถูกคนรักรั้งกายไปกอดถามขึ้นเบา ๆ เขายกมือไม้ขึ้นบิดขี้เกียจแล้วพยายามจะพลิกกายกลับมานอนเผชิญหน้ากับคนรัก แต่คนตัวโตก็ไม่ยอมปล่อยเขาออกจากอ้อมอก
“เฮ้ ๆ อย่ามาคึกแต่เช้านะครับ”
เจร้องออกมาเบา ๆ เมื่อริมฝีปากของคนรักประทับลงบนต้นคอของเขา ฆาเบียร์ไม่ตอบคำหากก้มหน้าก้มตาประทับจูบอย่างแผ่วเบาซ้ำลงไปบนเหล่ารอยรักที่เขาทำไว้เมื่อคืน เจหลับตาลงแล้วปล่อยใจไปกับสัมผัสอันนุ่มนวลนั้น
“เอ่อ วันนี้เจใส่เสื้อโปโลซะนะ ตั้งปกขึ้นด้วยล่ะ”
คนตัวโตพูดอ้อมแอ้มออกมาเบา ๆ หลังจากกอด ๆ หอม ๆ คนรักจนชื่นใจแล้ว เจใจหายวาบแล้วยกมือขึ้นปิดต้นคอทันที
“เฮ้ย รอยมันชัดขนาดนั้นเลยเหรอคุณ?”
เจนยุทธโวย เขารู้ตัวตั้งแต่ตอนที่คนรักทั้งจูบทั้งดูดหลังคอเขาเมื่อคืนแล้วว่าคอของเขาไม่พ้นต้องมีสักรอยสองรอยแน่ ๆ หากไม่ได้นึกว่ามันจะเยอะขนาดที่ทำให้คนซึ่งปกติไม่ได้หน้าบางเรื่องนี้นักอย่างฆาเบียร์ถึงขั้นต้องออกปากว่าให้เขาปิดมันไว้
“คุณนี่มันร้ายจริง ๆ นะครับ ฆาบี้”
เจหันหน้ากลับมาเผชิญหน้ากับคนที่นอนยิ้มเผล่พร้อมกับส่งสายตาปิ๊งปั๊งให้เขา คนตัวโตยักไหล่เบา ๆ
“นายก็ทำรุนแรงกับฉันเมื่อคืนเหมือนกันน่า”
ฆาเบียร์หัวเราะเบา ๆ แล้วชี้ให้เจดูยอดอกที่ยังบวมแดงน้อย ๆ แถมยังมีรอยช้ำจากการขบและรอยสีกุหลาบจากจูบของเจเปรอะไปทั้งอก
“อ๋อ แหะ ๆ ก็ทำไงได้ล่ะครับ เมียของผมทั้งยั่วทั้งเซ็กซี่ขนาดนั้น ใครจะอดใจไหว”
เจนยุทธหัวเราะแหะ ๆ แล้วยกมือขึ้นลูบแก้มที่เริ่มมีตอหนวดเคราขึ้นสากเบา ๆ คนตัวโตโคลงหัวน้อย ๆ แล้วยื่นหน้าไปจุ๊บริมฝีปากรูปกระจับของเจ เขาผงะออกด้วยความตกใจเมื่อคนรักซี้ดปากออกมาเบา ๆ อย่างลืมตัว
“เจ เป็นอะไร?”
คนตัวโตรีบเปิดไฟที่หัวเตียงแล้วหันกลับมาดูคนรักทันที เขาใช้ฝ่ามือประคองใบหน้าคนที่พยายามหันหน้าหลบให้หันกลับมาเผชิญหน้ากับเขา ฆาเบียร์ใจแป้วลงทันทีเมื่อเห็นรอยเลือดจาง ๆ บนริมฝีปากล่างของคนรัก
“โธ่ เจ...”
ฆาเบียร์ครางออกมาเบา ๆ เขายกมือขึ้นเกลี่ยริมฝีปากที่เขารู้สึกเอาเองว่ามันแดงช้ำและบวมเจ่อกว่าทุกครั้งด้วยความรู้สึกผิด อารมณ์ที่พลุ่งพล่านเพราะการเล่นแบบตื่นเต้นและรุนแรงนิด ๆ เมื่อคืนทำให้เขากัดปากของคนรักเข้าเต็มรักจนได้เลือด
“ฉันทำนายเจ็บอีกแล้ว”
คนที่มักคุมอารมณ์ตัวเองไม่อยู่ก้มหน้าลงต่ำ เจรีบเชยคางคนรักขึ้นทันที
“ไม่เจ็บครับ ไม่เจ็บ แค่นี้เอง จิ๊บ ๆ น่า เอ๊ะ...”
เจลูบริมฝีปากคนรักของตนบ้าง และตามคาด คนตัวโตสะดุ้งน้อย ๆ เมื่อรู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมาเช่นกัน
“เห็นมะ คุณไม่ได้ทำผมเจ็บฝ่ายเดียวหรอกน่า แบบนี้วิน วิน เจ็บทั้งคู่ เสียวทั้งคู่”
เจนยุทธยิ้มกริ่ม เขาสัมผัสริมฝีปากของคนรักอย่างแผ่วเบาอีกครั้ง หากครั้งนี้ เขาใช้ลิ้นเรียวค่อย ๆ เลียไล้รอยปริแตกซึ่งเกิดจากคมเขี้ยวของตัวเอง ฆาเบียร์พริ้มตาลง และส่งปลายลิ้นมารอรับการเกลี่ยไล้จากปลายลิ้นของคนรัก เขาไม่มองหากใช้ประสาทสัมผัสอันฉับไวบนลิ้นไล่เลาะหารอยปริแตกบนริมฝีปากของคนรักบ้าง เมื่อพบ เขาใช้ริมฝีปากแตะมันเบา ๆ และค่อย ๆ ขบเม้มช้า ๆ เจหายใจกระชั้นขึ้น ปากซึ่งยังช้ำอยู่บ้างของเขาเจ็บแปลบน้อย ๆ ยามถูกคนรักจูบ หากเขาก็ปล่อยให้ฆาเบียร์ทำตามใจ
“ชื่นใจ”
ฆาเบียร์ยิ้มกว้างเมื่อรับความหวานจากริมฝีปากคนรักจนพอใจแล้ว เขาขยับไปจุมพิตเบา ๆ ที่หน้าผากของเจนยุทธด้วยความเอ็นดู ก่อนจะปล่อยร่างอุ่น ๆ ในอ้อมอกให้เป็นอิสระ
“ไป อาบน้ำกันเถอะ เก้าโมงแล้ว นายจองบรันช์ไว้กี่โมง?”
คนตัวโตลุกขึ้นนั่งที่ข้างเตียง เจลุกพรวดขึ้นตาม
“ตาย ๆๆ จองไว้เที่ยงครับ แต่ผมกะว่าจะกินมื้อเช้าเบา ๆ ก่อนเวลาไปถึงจะได้ดื่มแล้วเมาไม่ง่ายนัก”
“แชมเปญบรันช์ของห้อง Ozone ใช่ไหม?”
คนตัวโตถามคนรักที่เผ่นพรวดลงไปเตรียมอาบน้ำอย่างกระฉับกระเฉง
“ครับ มีทุกวันอาทิตย์ เที่ยงถึงบ่ายสาม ตอนแรกผมก็ลังเลว่าจะเลือกบรันช์ของห้องไหนดีระหว่างบรันช์เน้นดื่มของห้อง Ozone หรือที่เน้นกินของห้อง Tosca ดี”
เจพูดอย่างลังเล ห้องโอโซนคือบาร์บนชั้น 118 ที่เขาและบูมเคยขึ้นไปนั่งดื่มกันในวันแรกที่มาถึงฮ่องกง ส่วนทอสกาคือห้องอาหารอิตาเลียนดีกรี 1 ดาวมิเชแลงซึ่งมีซันเดย์บรันช์พร้อมฟรีโฟลว์แชมเปญเช่นกัน
“ของโอโซนเป็นแชมเปญดอม เปริญง ส่วนที่ทอสกาเป็นคริสตาล แต่นึกไปนึกมา ถ้ากินที่ทอสกาผมก็ต้องพะวงอยากกินอาหารด้วย ก็จะดื่มได้น้อย สู้เน้นดื่มอย่างเดียว อาหารมีแค่รองท้องแบบของโอโซนดีกว่า”
ฆาเบียร์อมยิ้มเมื่อเห็นท่าทีเป็นจริงเป็นจังกับเรื่องกินของคนรัก เจย่นจมูกให้คนรักเมื่อเห็นท่าทางยิ้มกริ่มนั้น
“นั่งยิ้มอยู่ได้ มา ๆ ๆ อย่ารีรอครับ มาอาบน้ำได้แล้ว เดี๋ยวจะยิ่งช้าไปเรื่อย ๆ”
เจยื่นมือไปฉุดเมียตัวโตของเขาให้ลุกจากเตียง ฆาเบียร์ทำท่าอิดออดเหมือนยังอยากจะนอนกลิ้งและนัวเนียกับเจต่อ แต่ก็จำใจต้องลุกขึ้นเมื่อคนตัวเล็กทำท่าดุใส่
“เล็บคุณเริ่มยาวอีกแล้วนะ ฆาบี้”
เจบ่นเบา ๆ พร้อมกับหันไปดูเงาสะท้อนของตนในกระจกบานใหญ่ เขามารู้ตัวว่าโดนข่วนเอาเมื่อตอนอาบน้ำแล้วรู้สึกแสบที่หลัง เขาขมวดคิ้วเมื่อเห็นรอยข่วนยาวอีกทั้งรอยเล็บจิกหลายรอยบนแผ่นหลังของตน ฆาเบียร์หัวเราะหึ ๆ แล้วยกมือขึ้นให้คนรักดูเล็บของตน เจถอนหายใจเฮือกใหญ่
“งั้นเดี๋ยวคืนนี้ผมตัดให้นะ ที่นี่ไม่มีกรรไกรตัดเล็บใช่ไหมล่ะ?”
เจถาม ฆาเบียร์พยักหน้าตอบรับ เขาขึ้นมานอนบนบ้านหลังนี้ไม่บ่อยนักและไม่ค่อยจะเก็บของที่นาน ๆ ได้ใช้ทีอย่างกรรไกรตัดเล็บไว้
“คุณนี่ชักจะเสียนิสัยแล้วนะครับ แต่ไม่เป็นไร เดี๋ยวผมจัดการให้เอง”
เจกุมมือคนที่อยู่เบื้องหน้าแล้วยกขึ้นจูบแผ่ว ๆ ฆาเบียร์อดไม่ได้ต้องรวบร่างเพรียวมากอดไว้อีกครั้งและหอมเบา ๆ บนเรือนผมที่เริ่มยาวขึ้นแล้ว
“นอนต่ออีกหน่อยไม่ได้เหรอ?”
คนที่ยังอยากใช้เวลาพลอดรักกับคนรักต่อบนเตียงอีกสักนิดอ้อนวอนเบา ๆ หากคนใจแข็งก็ไม่ยอมเปลี่ยนใจ คำว่าอีกหน่อยของฆาเบียร์นั้นมักจะลุกลามกลายเป็นการโรมรันพันตูกันอย่างเผ็ดร้อนบนเตียงซี่งกินเวลายาวนาน
“ไม่นอนต่อแล้วครับ เดี๋ยวยาว ไป ๆ แต่งตัวเถอะครับ จะได้ลงไปหาอะไรรองท้องกัน”
เจนยุทธรีบเลือกเสื้อจากในตู้แล้วโยนส่งให้คนรักทันที ฆาเบียร์รับเสื้อโปโลสีฟ้าอ่อนตัวนั้นมาแล้วก็ต้องยิ้มบาง ๆ วันนี้คนรักของเขาจับเขาใส่เสื้อคู่กับตัวเอง อาจจะโดยรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ได้
“เอ้า ยืนยิ้มอีก แต่งตัวสิครับ”
เจหันไปดุคนรักแล้วหันกลับมามองกระจกอีกครั้ง เขายัดชายเสื้อโปโลสีฟ้าอ่อนขนาดพอดีตัวของตนใส่ลงในกางเกงยีนส์ จากนั้นก็เปลี่ยนใจแล้วดึงชายเสื้อออกมานอกกางเกงอีกครั้ง เขาทำแบบนี้อยู่สองสามรอบจึงได้ตัดสินใจใส่แบบปล่อยชาย
“ชิ หมั่นไส้คนหุ่นดี”
เจบ่นพึมพำกับตัวเองหลังจากหันไปเจอคนรักที่แต่งตัวเสร็จแล้ว เขามองแผงอกผึ่งผายสมชายที่นูนเด่นภายใต้เสื้อโปโลสีฟ้าอ่อนขนาดพอดีตัวด้วยความหมั่นไส้เล็ก ๆ แม้ฆาเบียร์ใส่เสื้อที่มีแบบและสีใกล้เคียงกับคนรักหากแทนที่จะใส่กางเกงยีนส์เขากลับใส่กางเกงชิโน่สีทรายแทน
“ไม่ชอบใส่เสื้อคู่กับฉันเหรอ เจนยุทธ? กลัวใครจะรู้ว่าเราเป็นแฟนกันรึไง?”
คนตัวโตแกล้งทำหน้าสลดเมื่อได้ยินเจบ่นกะปอดกะแปดเรื่องที่ตัวเองดันเลือกเสื้อคล้ายกันให้คนรักใส่
“คิดอะไรของคุณครับ คุณมาร์ติเนซ!”
คนตัวเล็กขึ้นเสียงทันที
“ผมไม่เคยอายที่จะบอกใครว่าคุณเป็นคนรักของผมนะ...!”
เจนยุทธลดเสียงลง
“ผมแค่เซ็งที่แต่งตัวเหมือนกันแล้วคุณดูดีกว่าผมแค่นั้นเอง”
เจบ่นอุบอิบอีกครั้ง เขาลากคนรักมายืนเคียงข้างกันที่หน้ากระจกทรงโบราณบานใหญ่ ฆาเบียร์กลั้นยิ้มเมื่อเห็นเจหมุนซ้ายหมุนขวาพลางถอนหายใจเฮือก ๆ
“ดูดิ ยืนข้างคุณแล้วผมดูเป็นไอ้ขี้ก้างไปเลย แถมยังดูเตี้ยเป็นลูกหมาอีก”
คนที่ตัวเตี้ยกว่าอีกฝ่ายถึงเกือบ 10 เซนติเมตรแถมยังตัวเพรียวบางกว่ามากบ่นกะปอดกะแปด ถึงเขาจะไม่ได้รูปร่างบางจนเรียกว่าอรชรอ้อนแอ้น แต่สมส่วนและมีกล้ามเนื้อแต่พองามอันเกิดจากการออกกำลังกายเป็นประจำ หากเมื่อยืนเทียบกับฆาเบียร์แล้วก็ยังดูด้อยกว่าอย่างเห็นได้ชัด ตัวเขาที่ออกปากเรียกอีกฝ่ายว่า “เมีย” อยู่ตลอดเวลานั้นก็อยากที่จะมีรูปร่างดีและผี่งผายพอที่จะยืนเคียงข้างอีกฝ่ายได้อย่างเหมาะสมกัน
“ไม่เห็นเป็นไรเลย นายก็ดูดีในแบบของนายแล้วนี่ เจนยุทธ ไม่ต้องคิดมากหรอกน่า”
ฆาเบียร์ดึงคนรักมายืนซ้อนตรงหน้า เขาโอบเอวเจไว้หลวม ๆ ด้วยความสูง 170 นิด ๆ ของเจนยุทธทำให้ริมฝีปากของเขาอยู่ตรงกับพวงแก้มกลมของคนรักพอดี
“ชื่นใจ”
ฆาเบียร์พึมพำหลังจากหอมแก้มคนรักฟอดใหญ่ เจหันไปแลบลิ้นให้ เขาอุทานเบา ๆ แล้วรีบเบือนหน้าหลบริมฝีปากอุ่น ๆ ที่เตรียมประทับลงมา คนตัวโตหัวเราะแล้วกระชับวงแขนแน่นเข้า เจดิ้นขลุกขลักและพยายามหนีออกจากคนที่ตั้งหน้าตั้งตาจะขโมยจูบจากเขาให้ได้ สุดท้ายเขาก็ต้องยอมให้เมียตัวโตจุ๊บแผ่ว ๆ เข้าที่ริมฝีปากอีกครั้ง
“พอใจยังครับ?”
เจถามยิ้ม ๆ หลังจากจูบคืนกลับไปเป็นรอบที่ 3 ฆาเบียร์ส่ายหน้าแล้วกอดร่างเพรียวไว้แนบอกแน่น เจซบหน้าลงกับบ่ากว้างในขณะที่ฆาเบียร์ประทับจูบอีกรอบบนเรือนผมนิ่ม
“เดี๋ยวแป๊บ ๆ ก็ได้เจอกันแล้วครับคุณ...”
เจนยุทธพูดลอย ๆ ขึ้น เขาสัมผัสได้ถึงความรู้สึกที่เอ่อท้นขึ้นมาของคนรัก ฆาเบียร์ยังคงนิ่งเงียบ เจยกมือขึ้นลูบแผ่นหลังที่เกร็งขึ้นเบา ๆ เมียตัวโตของเขามักอ่อนไหวเสมอเมื่อใกล้ถึงเวลาที่ต้องจากกัน
“คุณครับ...”
เจฝืนใจดันร่างคนรักออก
“...เราต้องคุยกันหน่อยไหม?”
คนตัวเล็กถามด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ฆาเบียร์กัดริมฝีปากน้อย ๆ แล้วส่ายหน้า
“ไม่ต้องหรอกจ้ะ ฉันโอเคแล้ว”
คนตัวโตเผยอยิ้มให้คนตรงหน้า เจถอนหายใจเบา ๆ แล้วยกมือขึ้นปาดหยาดน้ำตาหยดน้อยที่เกาะอยู่ที่หางตาคู่คม
“อย่าลืมนะครับ ว่าคุณสัญญากับผมแล้วว่าเราจะไม่ปล่อยผ่านความรู้สึกอะไรไป ถ้ามีอะไรก็ต้องคุยกัน อย่าเก็บไว้นะครับ”
เจบ่นเบา ๆ ไม่นานก่อนหน้านี้ พวกเขาทั้งสองเคยทำข้อตกลงกันไว้ว่าถ้าพวกเขาเกิดรู้สึกอ่อนไหวหรือมีสิ่งติดค้างในใจอะไร พวกเขาจะต้องเปิดอกคุยกันและไม่ปล่อยให้เกิดตะกอนใด ๆ ที่ทับถมในใจหรือในความรู้สึกของแต่ละฝ่าย
“จ้ะ ฉันรู้ แต่คราวนี้ฉันโอเคแล้วจริง ๆ นะ”
ฆาเบียร์ส่งยิ้มกว้างให้คนรักแล้วบอกว่าเขาแค่รู้สึกอ่อนไหวขึ้นมาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ไม่ถึงขั้นที่ต้องมานั่งปรับทุกข์หรือออดอ้อนอ้อนวอนคนรักไม่ให้จากไปอย่างที่เจเป็นห่วง
“หึ ขอให้จริงเถอะครับ เอ้า งั้น เราไปกันเถอะ นี่มันก็สิบโมงแล้ว ผมขอหาอะไรรองท้องหน่อยจะได้ไม่เมาง่าย”
คนตัวโตพยักหน้ารับคำและปล่อยให้เจเดินนำเขาลงไปยังห้องรับประทานอาหาร
“เดี๋ยวผมแวะขึ้นไปเอาของบนห้องหน่อยนะ ฆาบี้”
เจนยุทธหันไปบอกฆาเบียร์ หลังจากกินมื้อเช้าเบา ๆ ที่บ้านของอาปาแล้ว ฆาเบียร์ก็พาเจนยุทธกลับลงมายังโรงแรมริทซ์ คาร์ลตัน ฮ่องกง แทนที่จะขึ้นไปยังห้องอาหารเลย เจกลับขอขึ้นไปที่ห้องพักก่อน เมื่อกลับขึ้นไปถึงห้อง เจก็เปิดหีบเก็บซิการ์ใบใหญ่ของฆาเบียร์แล้วหยิบเอาซิการ์ขนาด panetela ยี่ห้อ Davidoff ที่มีขนาดประมาณรอบนิ้วก้อยของเขาแต่เรียวยาวประมาณคืบหนึ่งออกมา 2 ตัว
“ได้ดื่มแชมเปญดี ๆ ที ก็ต้องขอจุดซักตัวครับ”
เจหันมายิ้มหวานให้คนรัก ฆาเบียร์พยักหน้าแล้วส่งยิ้มกลับคืน เขาขยับกายเข้ามาใกล้แล้วยื่นมือหยิบซิการ์ตัวที่ใหญ่กว่าส่งให้
“ไหน ๆ จะจุดแล้ว ไม่เอาตัวใหญ่เลยล่ะจ๊ะ? ไซส์นี้สูบแป๊บ ๆ ก็หมดแล้ว”
คนตัวโตถาม หากเจส่ายหน้าปฏิเสธ
“ไม่ดีกว่าครับ ตอนสูบผมเดาว่าตัวเองคงเมาพอสมควรแล้วแน่ ๆ สูบตัวใหญ่ไป อาจจะไม่ไหว แถมอาจจะยังไม่รู้รสมากมายด้วย เอาแค่ตัวนี้พอละ คุณหยิบของคุณไปเองแล้วกัน”
เจทำท่าจะหยิบซิการ์อีกตัวที่เอาใส่ซองไว้แล้ววางกลับคืนลงไปในกล่อง หากฆาเบียร์จับข้อมือคนรักไว้ก่อน
“ไม่เป็นไรจ้ะ ไซส์นี้ก็ได้ แต่เอาพวกนี้ขึ้นไปเผื่อด้วยแล้วกัน”
คนตัวโตหยิบกล่อง cigarillos ไซส์ Club หรือซิการ์น้อยที่มีขนาดใหญ่กว่าบุหรี่เล็กน้อยยี่ห้อ Davidoff เช่นกันออกมายัดใส่กระเป๋าเสื้อตัวเอง จากนั้นพยักเพยิดกับเจนยุทธ
“เรียบร้อยแล้วใช่ไหม?”
เจพยักหน้าให้แทนคำตอบแล้วจึงพากันเดินออกห้องไป พวกเขาลงลิฟท์กลับมายังล็อบบี้จากนั้นเดินไปยังลิฟท์อีกฝั่งหนึ่งซึ่งนำพวกเขาขึ้นไปสู่ Ozone Bar บนชั้น 118 ซึ่งเป็นบาร์ที่ตั้งอยู่สูงที่สุดในโลก ด้วยความสูง 484 เมตรเหนือพื้นดินทำให้มันชนะคู่แข่งอย่างบาร์ At.mosphere ในอาคาร Burj Khalifa นครดูไบไปได้อย่างงดงาม ที่หลังนั้นถึงจะตั้งอยู่บนชั้น 122 แต่ด้วยความที่แต่ละชั้นของตึก Burj Khalifa เตี้ยกว่าอาคาร ICC จึงทำให้มันมีความสูงจริงเพียง 442 เมตรเท่านั้น
“สวัสดีค่ะ คุณเจ คุณมาร์ติเนซ”
พนักงานสาวซึ่งยืนอยู่ที่เคาเตอร์ต้อนรับหน้าลิฟท์กล่าวทักทายพร้อมเรียกชื่อชายหนุ่มทั้งสองได้อย่างถูกต้องเพราะพนักงานซึ่งคอยตรวจสอบรายชื่อแขกที่หน้าลิฟท์ได้จัดการว. ขึ้นมาบอกเธอเรียบร้อยแล้ว อีกทั้งฆาเบียร์เองก็เป็นแขกประจำของบาร์แห่งนี้จึงไม่แปลกที่พนักงานจะจำเขาได้ หลังจากทักทายเสร็จสรรพแล้ว พนักงานอีกคนหนึ่งก็เข้ามาเชิญทั้งสองคนไปยังโต๊ะที่จัดเตรียมไว้ให้แล้ว
“Buenos Dias! Senor Martinez!”
ทันทีที่ฆาเบียร์และเจนั่งลง พนักงานหนุ่มที่มีหน้าตาบ่งบอกเชื้อชาติว่าเป็นชาวละติโน่ก็รีบปรี่เข้ามาทักทายฆาเบียร์เป็นภาษาสแปนิช คนตัวโตยิ้มละไมให้แล้วบอกว่าวันนี้เขาขอคุยด้วยเป็นภาษาอังกฤษเพื่อให้คนรักของเขาได้เข้าใจด้วย พนักงานหนุ่มคนนั้นก็ค้อมหัวรับและเปลี่ยนไปใช้ภาษาอังกฤษอย่างแคล่วคล่อง
“วันนี้ไม่ทราบว่าสนใจจะรับเป็นแพคเกจไหนดีครับ?”
พนักงานหนุ่มซึ่งฆาเบียร์กระซิบบอกเจภายหลังว่าเขาเป็นชาวเม็กซิกันได้แจกแจงว่า Champagne Brunch ของห้อง Ozone นี้มีทั้งหมด 3 แบบด้วยกัน โดยเริ่มต้นที่ราคา 1,388 1,988 และ 2,368 ดอลลาร์ฮ่องกงบวกค่าบริการอีก 10%
“ทั้งสามแบบนี้ต่างกันที่แชมเปญที่เสิร์ฟครับ สำหรับแบบแรกเราจะเสิร์ฟแชมเปญ Ruinart มีทั้งแบบ Blanc-de-Blanc และแบบโรเซ่ ส่วนแพคเกจที่สอง ราคา 1,988 นั้นจะเสิร์ฟ Dom Perignon ปี 2008 ส่วนราคา 2,368 นั้น เราจะเสิร์ฟแชมเปญ Dom Perignon Rose ครับ”
พนักงานหนุ่มยังแจกแจงอีกว่าอาหารที่มีให้เลือกตักมากหลายแบบกินไม่อั้นนั้นจะเน้นเป็นอาหารเบา ๆ และอาหารทะเลสด ๆ
“ทางฝั่งนู้นจะมีล็อบสเตอร์ย่างกับเนื้อแองกัสอบให้นะครับ เผื่อต้องการอะไรที่หนักขึ้นมาหน่อย ส่วนทางนั้นเป็นแฮมอิเบริโกแบบหมัก 36 เดือน ส่วนทางนู้นเป็นซูชิกับซาชิมิบาร์...”
พนักงานหนุ่มจาระไนอาหารที่มีมากหลายให้ทั้งสองคนฟัง ฆาเบียร์อดโคลงหัวให้กับคนรักที่ทำตาแป๋วฟังพร้อมกับกลืนน้ำลายลงคอเอื้อก ๆ ไป
“เอ้า ไม่ต้องลังเล ฉันตัดสินใจเลือกให้เลยแล้วกัน เอาแพคเกจดอม โรเซ่ 2 ทั้งสองคนเลยครับ”
ฆาเบียร์ตัดบทและรีบบอกพนักงานถึงสิ่งที่ต้องการเมื่อเห็นว่าคนรักมัวแต่ลังเลอยู่
“เฮ้ย คุณ จริง ๆ ไม่ต้องเอาแพ็คแพงหรอกอ่ะ กินแบบไหนก็เมาเหมือนกัน เอาแค่ดอมธรรมดาก็ได้ ที่จริง เอาแค่ Ruinart ก็พอครับ”
เจนยุทธร้องออกมา ถึงเขาจะเคยพูดกับฆาเบียร์ไว้ดิบดีว่าตัวเขานั้นคิดว่าแพคเกจที่มีแชมเปญราคาแพงระยับอย่าง ดอมเปริญง โรเซ่ที่เมืองไทยขายขวดละเกือบสองหมื่นบาทนั้นคุ้มกว่าแพคแชมเปญดอม เปริญงธรรมดา ที่มีราคาขายอยู่ที่ประมาณ 12,000 บาทต่อขวดเป็นไหน ๆ แต่เมื่อถึงเวลาต้องเลือกจริง ๆ เขาก็ไม่สามารถตัดใจเลือกแพคเกจบุฟเฟต์ที่ราคาเกือบ 11,000 บาทได้
“ไม่ต้องคิดมากหรอกน่า ก็คุยกันแล้วไม่ใช่เหรอว่าจะให้ฉันจ่าย สำหรับฉัน ฉันคิดว่าราคามันสมเหตุสมผลแล้ว เจก็พูดเองไม่ใช่เหรอ? ว่าที่ไทย ดอม โรเซ่มันขวดตั้งสองหมื่นบาท เจก็ดื่มให้ได้ซักครึ่งขวดก็คุ้มแล้วน่า”
คนตัวโตพูดพลางยิ้มอย่างอารมณ์ดี เจทำหน้ามุ่ยแล้วบ่นอุบอิบ
“คุ้มอะไรล่ะครับ คุณเองก็ดื่มเยอะไม่ใช่ได้แล้วนะ แถมอาหารก็ยังกินน้อยอีก...โอ๊ย!”
เจอุทานออกมาเมื่อถูกมะเหงกของคนรักเคาะเบา ๆ เข้าที่หน้าผากด้วยความหมั่นไส้
“พอแล้ว เลิกบ่น นาน ๆ จะปล่อยให้ฉันเลี้ยงทีก็ขอให้ได้เลี้ยงดี ๆ ทีเถอะน่า เอ้า ไปตักอาหารได้แล้ว ชักช้าเดี๋ยวหมดเวลานะ”
คนตัวโตขู่ เจแลบลิ้นให้แล้วรีบเผ่นแผลวไปสำรวจไลน์อาหารโดยทิ้งให้คนรักหัวเราะและโคลงหัวตามหลังในความทะเล้นของเขา
“นี่กินข้าวตั้งแต่แรกนี่ไม่กลัวอิ่มเร็วเหรอจ๊ะ?”
คนตัวโตที่เดินถือจานแฮมสเปนกับชีสมาที่โต๊ะทักเจนยุทธซึ่งถือจานใส่ซูชิและมากิสองสามอย่างมา ในจานของเจยังมีปลาดิบและข้าวหน้าปลาดิบถ้วยน้อยอีกด้วย
“แค่นี้ ไม่อิ่มหรอกครับ ผมแค่จะถมท้องอีกซักหน่อยก่อนที่จะเริ่มดื่ม”
เจนยุทธลงนั่งแล้วเริ่มจัดการอินาริซูชิหรือซูชิหน้าเต้าหู้หวาน เขาขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนที่จะกินซูชิต่ออีกสองสามอย่าง
“เฮ้อ ยังไม่ค่อยโดนแฮะ”
เจบ่นเบา ๆ ซูชิของที่นี่รสชาติธรรมดาเกินคาด ถึงปลาจะสดใช้ได้แต่รสชาติของข้าวและความเข้ากันกับวัตถุดิบก็ยังไม่ค่อยโดนใจ เขาจัดการกินทุกอย่างในจานจนหมดแล้วไม่กลับไปแตะไลน์ซูชิอีกเลย เขากลับมุ่งเป้าไปที่อาหารทะเลสดแทน
“โอ๊ย อยากได้น้ำจิ้มซีฟู้ด!”
เจนยุทธบ่นลั่น ฆาเบียร์ซึ่งเคยได้ยินประโยคนี้จากเจมาหลายหนแล้วยิ้มบาง ๆ หลังจากปลุกปล้ำกับการแงะเนื้อขาปูสึไวหรือปูหิมะที่มีหน้าตาเหมือนกับปูอัดออกมาจากเปลือกได้ เจก็จิ้มมันลงในซอส mignonette หรือน้ำจิ้มซีฟู้ดแบบฝรั่งเศส หากสำหรับเจแล้วรสชาติที่ออกเปรี้ยวแหลมอย่างเดียวของซอสที่ได้มาจากการนำเอาหอมแดงสับและพริกไทยผสมลงไปในน้ำส้มสายชูไวน์แดงนั้นไม่ได้จัดจ้านทัดเทียมกับน้ำจิ้มซีฟู้ดของไทยได้เลย
“อยากให้มันเผ็ดกว่านี้อีกหน่อยน้อ”
เจบ่นเบา ๆ หลังจากกินหอยนางรมสดใส่ซอสเปรี้ยวเข้าไปอีกตัวหนึ่ง
“หึ ๆ ซอสพวกนี้สำหรับชาวตะวันตกมีไว้แค่ดับคาวเท่านั้นจ้ะ ไม่ได้เน้นให้รสชาติแบบซอสซีฟู้ดของไทย”
เจครุ่นคิดนิดหนึ่งแล้วจึงพยักหน้ารับคำ
“คุณพูดก็ถูกครับ พวกปูหรือหอยนางรมแบบนี้ ถ้าใส่น้ำจิ้มซีฟู้ดลงไป มันก็เรียกว่าแทบจะกลบรสชาติสดหวานตามธรรมชาติของซีฟู้ดไปเรียบเหมือนกัน แต่ถ้าแค่บีบมะนาวหรือใส่ไอ้เจ้าน้ำส้มนี่ มันก็ไม่ค่อยไปกลบรสเท่าไหร่เนาะ”
เจนยุทธพูดแล้วก็ยกหอยนางรมอีกตัวที่คราวนี้เขาใส่เพียงแค่บีบน้ำเลมอนกับเติมเกลือเล็กน้อยขึ้นมาดูดเอาเนื้อหอยอันแสนสดเข้าปาก จากนั้นก็กระดกแชมเปญที่เหลืออีกไม่ถึงครึ่งแก้วเข้าปาก
“เฮ้อ มีความสุข”
ฆาเบียร์ยิ้มละไมมองดูเจ้าตัวดีของเขาครางหงุงหงิง เขายกแก้วที่มีเครื่องดื่มพรายฟองสีชมพูเข้มอมส้มขึ้นจิบน้อย ๆ
“เติมอีกไหมครับ?”
พนักงานหนุ่มผู้ดูแลโต๊ะปรี่เข้ามาถามเมื่อเห็นแก้วของทั้งสองว่างเปล่าแล้ว ฆาเบียร์ยกมือบอกว่าเขาพอแล้ว ส่วนเจนยุทธนั้นส่งแก้วของเขาให้อย่างยินดี
“ขอผมดูขวดหน่อยนะครับ”
เจขอยืมขวดแชมเปญในมือพนักงานหนุ่มมาดู เครื่องดื่มของพวกเขาในวันนี้คือ Dom Perignon Rose วินเทจปี 2005 ขวดของมันไม่ได้แตกต่างจากแชมเปญดอม เปริญงทั่วไป หากฉลากของมันนั้นเป็นสีดำและใช้สีชมพูพิมพ์ตัวหนังสือและลวดลายลงแทน เจนยุทธใช้มือถือของเขาถ่ายรูปแชมเปญขวดนั้นไว้และส่งขวดคืนให้พนักงาน
“เฮ้อ อร่อย”
เจจิบแชมเปญแก้วที่สี่ของวันแล้วร้องออกมาอย่างมีความสุข เขายกแก้วที่มีเครื่องดื่มสีชมพูใสขึ้นดูแล้วหันหน้าไปถามคนรัก
“เอ ฆาบี้ครับ ทำไมดอม โรเซ่มันถึงสีเข้มนักล่ะครับ? ปกติพวกโรเซ่ที่เป็นสปาร์คลิ่งมันมักจะเป็นสีทองอมชมพูไม่ก็ชมพูอมทองจาง ๆ แต่นี่สีเข้มยังกะทำไวน์แดงหกใส่ยังงั้น”
“ฮ่า ๆ ไวน์แดงหกใส่เลยเหรอ? นายนี่ก็ช่างเปรียบเปรยนะ”
ฆาเบียร์อดหัวเราะออกมาไม่ได้เมื่อได้ยินคำเปรียบเปรยของคนรัก
(ต่อคอมเมนท์ถัดไปค่ะ)