ตอนแรกฉันนึกว่าฉันยังมีเธออยู่
คิดอย่างนั้นมาตลอด
ตกหลุมรักระยะที่ 6
แม้ว่าจะวางแผนเสียดิบดีถึงปาร์ตี้ในช่วงเย็น แต่สุดท้ายก็ไม่พ้นพังเพราะเบื้องบนสั่งงดแอลกอฮอล์ชุกใหญ่ มีผลนับตั้งแต่ช่วงเก็บตัวก่อนทัวร์ ทำเอาเวย์โวยวายอยู่เป็นช่วงโมงจนแคทระอา เกือบจะทุ่มคีย์บอร์ดใส่หัวเวย์ให้มันหุบปากเสียรู้แล้วรู้รอด (แต่ก็ไม่ได้ทำ เพราะราคาแพงเกินกว่าจะทำใจพังไหว)
แต่ถึงอย่างนั้นมีหรือที่คำสั่งจากคนที่ไม่ได้อยู่ร่วมวงปาร์ตี้จะมีผลมากพอให้ทำตาม สุดท้ายเวย์ก็เปิดเหล้าจนเมาเละเทะอยู่ดี ทิ้งไว้เพียงคนมีสติสองคนคือเขาและจินที่แพ้แอลกอฮอล์เท่านั้น
ทิวาถอนหายใจพลางมองคนเมาที่จนป่านนี้ก็ยังพูดไม่หยุด สลับกับเก็บจานชามที่ใช้แล้วจากกลางโต๊ะกินข้าว ไปส่งให้จินที่ล้างจานหน้าซิงค์ ใช้เวลาอยู่พักใหญ่กว่าจะจัดการเสร็จทั้งทำความสะอาดและโยนคนเมาไปยังห้องนอน โชคดีที่ไป๋ยังพอมีสติมากพอ จึงช่วยออกแรงพยุงแคทที่หนักกว่าใครเพื่อนขึ้นไปด้านบนอีกแรง
จินไปนอนแล้ว แต่ทิวายังไม่ได้ไปไหน เพราะในบรรดาคนเมาที่ถูกแบกไปนอนนั้น ไม่ได้รวมไปถึงมาวิน
คนคนนั้นหลังจากที่เขากลับมาจากทำความสะอาดก็หายตัวไปแล้ว ได้ยินไป๋พูดแค่ว่าน่าจะไปขลุกอยู่ในห้องซ้อม เล่าว่าเวลากรึ่มๆ อีกคนจะมีอารมณ์ศิลป์นึกอยากแต่งเพลงประจำ
เพราะงั้นตอนนี้เขาจึงได้มายืนอยู่ในห้องซ้อมที่เปิดประตูค้างเอาไว้ ในห้องกว้างที่มีเครื่องดนตรีวางอยู่อัดแน่น มีใครบางคนนั่งอยู่ท่ามกลางพวกมัน กดเล่นคีย์บอร์ดในห้องเพียงลำพัง ตอนแรกเสียงจากคีย์บอร์ดไม่เป็นเสียงไม่เป็นเพลงเอาเสียเลย แต่พักหนึ่งมันก็ค่อยๆ ประกอบขึ้นเป็นเพลงท่อนหนึ่ง ซึ่งแม้ทิวาจะไม่ได้มีความรู้อะไรเกี่ยวกับการแต่งเพลงเลย ทว่าจากการเป็นแฟนคลับวงแบนด์อยู่หลายปี ก็พอจะแยกเดาได้ว่าถ้ากลายเป็นเพลงขึ้นมา มันจะเพราะแค่ไหน
“ชอบแอบมองหรือไง”
“แล้วมีปัญหาอะไรนักหนาอะ”
วินยิ้มทั้งที่ใบหน้าโดยเฉพาะดวงตาแดงเรื่อเนื่องจากแอลกอฮอล์ ไม่อยากยอมรับแต่รอยยิ้มตอนเมาของวิน น่ารักไม่หยอก
เยิ้มๆ มึนๆ เหมือนลูกหมาตัวโตๆ แบบนั้นเลย
“หยอกเล่นเฉยๆ ทำไมไม่ไปนอน”
“แล้วคนเมาทำไมไม่นอน มานั่งเล่นอะไรคนเดียว” ทิวาว่า แล้วเดินไปอยู่ข้างๆ “แต่งเพลงเหรอ เพลงใหม่?”
“อือ จู่ๆ ก็นึกได้เลยอยากมาเก็บโน้ตในหัวไว้ก่อน กลัวตื่นมาแล้วจะลืม”
“เพลงเศร้าหรือเพลงรัก”
“เศร้า ก็แต่งออกเป็นแต่แนวๆ นี้” วินว่าแล้วขยับให้เก้าอี้แบบม้านั่งยาวมีที่พอให้ทิวานั่งลงด้วย ตอนแรกทิวาจะปฏิเสธเพราะไม่อยากไปนั่งเบียดด้วย แต่สุดท้ายก็สู้แรงดึงของอีกคนไม่ได้ จึงยอมนั่งลงแต่โดยดี “กูแต่งแนวสดใสไม่ค่อยเป็น ส่วนมากจะเป็นเวย์ไม่ก็แคทรับผิดชอบ”
“แต่งเพลงกันเป็นทั้งวงเหรอ”
“มีแต่จินที่ไม่เป็น แต่จินเก่งเรื่องปรับแต่ง จะเป็นคนคอยเช็คให้ตลอด ไป๋ก็เก่ง แต่ไอ้นั่นนานๆ ทีจะลงมือแต่ง ส่วนมากเลยเป็นแคทกับเวย์แล้วก็กู”
“ถึงไหนแล้วล่ะ” วินไม่ได้ตอบแต่เล่นให้ฟังแทน น่าจะเป็นช่วงอินโทรจนก่อนจะถึงฮุคแล้วก็หยุดไปดื้อๆ คนแต่งเพลงได้ตอนเมายักไหล่ “ที่เหลือยังคิดไม่ออก น่าจะได้แต่งต่อตอนเมาครั้งหน้า”
“ขี้เมา”
“นานๆ ทีหรอก ไม่เมาก็แต่งได้ว้อย แค่ตอนเมาจะแต่งลื่นเป็นพิเศษ”
ทิวามองปากของวินบ่นขมุบขมิบด้วยความหมั่นไส้ เสียงของอีกคนที่ปกติทุ้มๆ ตอนนี้กลับติดขึ้นจมูกนิดๆ น่ารักจนสุดท้ายทิวาก็ยื่นมือไปบีบปากอีกคนโดยไม่รู้ตัว พอรู้ตัวก็ไม่ได้ปล่อยแต่อย่างใด กลับเลื่อนไปบีบแก้มต่อแทน โดยที่เจ้าตัวที่โดนประทุษร้ายไม่ได้ตอบโต้กลับมาแม้แต่ครั้งเดียว ทั้งที่ถ้าเป็นปกติ ทิวาน่าจะโดนแกล้งเละไปแล้ว
น่ารักดี
แก้มนุ่ม
“สนุกพอยัง”
“ยัง” ว่าแล้วก็เพิ่มเป็นสองมือเสียเลย ทิวาหัวเราะทำเป็นมองไม่เห็นว่าวินส่งสายตาเอือมระอามาให้ เล่นต่ออย่างสนุกสนาน จนถูกมือของวินจับไว้นั่นแหละ ถึงได้ยอมปล่อย
“เลิกเล่นก่อน จะแต่งต่อ อีกแปบจะได้ไปนอน”
“จะจบไหมเพลงนี้ ภายในคืนนี้”
“คิดว่าอาจจะ”
“งั้นอยู่ฟังได้ไหม”
“ไม่มีอะไรน่าสนใจสักหน่อย น่าเบื่อจะตาย”
“ไม่เป็นไร อยากฟัง”
“...”
“อยากฟังเป็นคนแรก” ทิวาไม่ได้คิดอะไร เพียงแค่รู้สึกว่ามันคงจะดีถ้าได้ลองฟังเพลงใหม่นี้เป็นคนแรก ทว่าเมื่อเงยหน้ามองคนแต่งเพลง กลับพบว่าแววตาที่มองมาแปลกไป แม้เพียงชั่วพริบตาที่ดวงตาสองคู่สบกัน แต่ทิวาก็ยังเห็น
เหมือนกับตอนนั้นอีกคนไม่ได้มองมาที่เขา
แต่มองที่ใครอีกคน คนที่ไม่ได้อยู่ตรงหน้า
“วิน?”
“...อยากอยู่ก็อยู่ไป ถือว่าเตือนแล้วนะว่าน่าเบื่อ” ว่าแล้วก็หันกลับไปง่วนอยู่กับการลองกดโน้ตที่โผล่ขึ้นมาในหัว ทำเป็นไม่สนใจว่ามีใครอีกคนนั่งอยู่ข้างตัว ส่วนทิวาก็ทำเป็นลืมแววตาเมื่อครู่ของวิน แล้วให้ความสนใจกับเสียงดนตรีที่ค่อยๆ ทยอยออกจากการปลายนิ้วของอีกคนที่สัมผัสลงบนคีย์บอร์ด
โน้ตแต่ละตัว ถูกร้อยเรียงทีละน้อย ก่อนกลายเป็นบทเพลงที่แสนเศร้า แม้จะยังไม่มีเนื้อร้องแม้แต่ประโยคเดียว
วินใช้เวลาอยู่กับดนตรีตรงหน้าตัวเอง ปรับเปลี่ยนซ้ำไปมา ทดลองกับตัวเองจนลืมทุกสิ่งอย่าง กว่าจะรู้สึกตัวว่าไม่ได้อยู่ลำพัง ก็เป็นตอนที่รู้สึกหนักที่ไหล่ขวาและหันไปเห็นว่าคนที่บอกจะรอฟังเป็นคนแรกได้หลับไปแล้ว
ใบหน้าตอนหลับก็ไม่แตกต่างจากตอนปกติ เว้นเสียแต่ดูเงียบสงบ ไม่ช่างต่อปากต่อคำเหมือนปกติ
“เดย์”
“...”
“เดย์ ไปนอนที่ห้องดีๆ”
“อือ”
“อือแล้วก็ลุก” คนหลับขมวดคิ้วดิ้นเล็กน้อยแทนการประท้วงว่าเขากำลังทำให้อีกคนหงุดหงิดจากการปลุก พอวินหยุดเรียกและหยุดเขย่า คิ้วที่ขมวดก็คลายปมและกลับสู่ความสงบดังเดิม จนคนที่เป็นหมอนชั่วคราวอ่อนใจ
ตอนนี้ตีสองแล้ว ทุกคนน่าจะหลับกันหมดแล้ว เหลือแค่เขาที่ยังตาสว่างรวมไปถึงสร่างเมาเรียบร้อยกับคนที่หลับผิดที่ผิดทางอย่างทิวาเท่านั้นที่ไม่ได้อยู่ที่ห้องนอน
วินพยายามขยับให้น้อยที่สุดขณะเก็บกระดาษเขียนโน้ตและพวกไอเดียต่างๆ ที่คิดในค่ำคืนนี้ไปไว้กล่องที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากคีย์บอร์ดมากนัก ก่อนจะค่อยๆ พยุงคนที่หลับให้ลุกขึ้น ซึ่งแม้จะปฏิเสธยังไง แต่สุดท้ายทิวาก็ได้แต่สะลึมสะลือตื่น ก้าวเท้าเดินตามเขากลับไปยังห้องนอน
หลังส่งอีกคนนอนและห่มผ้าเรียบร้อย เขาก็ไม่ได้กลับห้องทันที แต่กลับยังยืนมองคนที่นอนอยู่แบบนั้น ในสมองหวนนึกย้อนอย่างไม่ตั้งใจถึงประโยคที่อีกคนพูดในห้องซ้อม
มันไม่ใช่ประโยคที่แปลกประหลาดอะไร ทิวาไม่ใช่คนแรกที่อยากฟังเพลงของเขา ไม่ใช่คนแรกที่นั่งดูเขาแต่งเพลง พวกแคทก็เคยทำเช่นนั้น แต่แววตานั่นที่มองมาและรอยยิ้ม...ไม่เหมือนเลย
มันทำให้คิดถึง...
“วิน”
‘ถึงตอนนั้น...’
“ครับ”
“...”
‘...ต้องให้ฟังเป็นคนแรกนะ’
คนที่เผลอเรียกชื่อเขาไม่ได้ตอบอะไรกลับมาแล้วและคงไม่ตื่นอีกจนกว่าจะเช้า ทว่าอีกคนกลับไม่รู้เลยว่าได้ทำให้ใครบางคนนอนไม่หลับ แม้จะพยายามข่มตาหลับแทบทั้งคืนที่เหลือก็ตาม
------------------------------------------------------------------------------------------------
แสงแดดที่ลอดผ่านเข้ามาในตัวบ้านที่เงียบสงบในช่วงสายร้อนเสียจนคนที่พยายามข่มตานอนต่อ จำต้องลุกขึ้นมาจนได้ ในบ้านเงียบเสียจนทิวานึกว่ามีเพียงแค่เขากับวินเท่านั้น แอบลืมไปเสียด้วยซ้ำว่ามีสมาชิกเพิ่มขึ้นมาอีกสี่หน่อที่เพิ่งรู้จักกันแท้ๆ แต่กลับสนิทกันได้ง่ายๆ โดยใช้เวลาแค่คืนเดียว
ทิวาลุกจากที่นอนแอบโผล่หน้าเข้าไปดูในห้องใหญ่แล้วหัวเราะคิกคักอยู่คนเดียวกับสภาพไม่น่าดูของเหล่าคนที่นอนหลับสนิทเหมือนตายในห้องนั้น
จินเป็นคนเดียวที่นอนเรียบร้อยที่สุด โดยนอนอยู่มุมด้านในของเตียงขนาดคิงไซส์ ส่วนไป๋แม้จะนอนเรียบร้อยเช่นเดียวกัน แต่สลับหัวสลับเท้ามั่วไปหมดและสองคนสุดท้ายแคทกับเวย์ อันนี้ตลกที่สุด เพราะคนหนึ่งนอนโดยที่มีเท้าอีกคนจ่อหน้า อีกคนนอนโดยมีขาอีกคนพาดคอ ส่งเสียงงึมงำเหมือนหายใจไม่ออก แต่ไม่ยักจะตื่นสักคน
เขาย้อนกลับไปในห้อง คว้าเอาโทรศัพท์มาถ่ายเก็บไว้ไม่ยอมพลาดเหมือนครั้งตอนวินตื่นนอนอย่างเด็ดขาด พอคิดมาถึงตรงนี้ก็อดแวะเข้าไปยังห้องที่อยู่ข้างๆ เขาไม่ได้
ทิวาค่อยๆ เปิดประตูห้องนอนของวิน แต่สุดท้ายกลับไม่พบเจ้าของห้องอย่างที่คิดเอาไว้ มีเพียงห้องว่างเปล่าไร้เงาของคนที่เขาคิดอยากถ่ายรูปสภาพตื่นนอนคนนั้น ในห้องมีเพียงเตียงนอน ตู้เสื้อผ้าและโต๊ะทำงานเรียบง่าย ดูเหมือนไม่มีข้าวของอะไร แต่ก็ดูเข้ากับนิสัยของหมอนั่นดี
สุดท้ายก็ปิดประตูลงด้วยความเสียดาย ก่อนจะเดินลงไปข้างล่าง เพราะถ้าวินไม่อยู่ในห้อง ก็แสดงว่าตื่นแล้วและต้องอยู่ข้างล่างอย่างแน่นอน
“ตื่นตั้งแต่เมื่อไหร่”
วินหันกลับมามองเขา ทั้งที่มือยังวุ่นอยู่กับข้าวเช้าก่อนจะหันกลับไปสนใจพวกมันก่อนจะไหม้ไปเสียก่อน “สักพักแล้ว หิวหรือไง ถึงได้รีบลงมา”
“เปล่า ไม่เห็นอยู่ที่ห้องเลยลงมาหา”
“...”
“มองทำไม” ทิวาว่าพลางนั่งลงบนเก้าอี้ หยิบขนมปังปิ้งหอมเนยเข้าปากแล้วชงกาแฟให้ตัวเอง โดยไม่ลืมที่จะถามคนที่ยังมองเขาไม่เลิก เหมือนสลับบทบาทกันยังไงก็ไม่รู้แฮะ “เอาเปล่า เดี๋ยวชงให้”
“ไม่ต้อง”
“แล้วแต่”
“กินดีๆ เปื้อนหมดแล้ว” ทิวาปาดแยมสตรอเบอรี่ลงขนมปัง ก่อนจะใช้ลิ้นเลียส่วนที่กระเด็นเปื้อนนิ้วตัวเองไปเงียบๆ ไม่ได้รู้เลยว่าการกระทำทั้งหมดของตัวเองตกอยู่ในสายตาของใครบางคนอยู่ตลอด
“...กินเป็นเด็กๆ ไปได้”
“ยุ่ง”
“ทิชชู่ก็มีทำไมไม่ใช้”
ทิวายังคงไม่สนใจ แต่คราวนี้เหล่มองคนเจ้ากี้เจ้าการหนึ่งที “สะดวกแบบนี้”
“...”
วินไม่ได้ตอบอะไรกลับมา แต่ในตอนที่ทิวาจะทำเช่นเดิมที่มือข้างขวา เขากลับโดนหยุดด้วยมือของอีกคนพร้อมกับที่ทิชชู่จากมืออีกข้างของวินเช็ดให้จนสะอาด แล้วหลังจากนั้นเขาก็ไม่ได้แตะแยมและขนมปังอีกเลย เพราะมีคนทำให้หมด จนเกือบจะป้อนเขาเสียด้วยซ้ำ
“ยังอยากจะกินอีกไหม”
“อิ่มแล้ว จะกินอะไรเยอะแยะ”
“ก็สมควรอิ่ม” แล้วก็เช็ดปากให้ แต่แรงนั่นมากจนทิวาเจ็บปากไปหมด ไม่รู้ว่าเช็ดปากหรือจะลอกปากเขาออกกันแน่ จนเขาต้องปัดมืออีกคนทิ้งบ่นเสียงดัง
“วันนี้เป็นอะไรเนี่ย ยุ่งวุ่นวายกับกูจัง”
“...”
“แล้วก็ชอบเงียบใส่อีก เป็นอะไรก็บอกกันดีๆ ดิ”
“ไม่ได้เป็นอะไร อย่าลืมไปเรียกคนอื่นให้ลงมากินด้วยล่ะ บอกพวกมันว่าเจอที่ห้องซ้อมบ่ายโมง” หลังพูดรัวเป็นชุดคนพูดก็เดินหายไป ทิ้งทิวาไว้กับข้าวเช้าที่ไม่มีใครตื่นขึ้นมากินแม้แต่คนเดียว
“เป็นอะไรของเขา”
ทิวานั่งละเลียดกาแฟจนหมดแก้วแล้วจึงค่อยขึ้นไปยังชั้นสองเพื่อปลุกเหล่าคนขี้เมาทั้งหลายให้รีบตื่นก่อนจะโดนลงโทษจากมือกีต้าร์อารมณ์แปรปรวนคนนั้น หลังปลุกเสร็จเขาก็แยกตัวไปจัดการอาบน้ำบ้าง
ทิวาหอบสมุดเปล่าพร้อมกับปากกาที่เพิ่งซื้อเมื่อวานตอนแวะไปที่ห้าง เดินตรงไปยังห้องซ้อมที่ยังไม่มีใครเช่นเคย แผ่นหลังที่เขาเห็นเมื่อคืนเด่นชัดเพียงลำพังที่หน้าคีย์บอร์ด กดเพลงที่เขาฟังไม่จบเมื่อคืนเพราะเผลอหลับต่อ เขายืนฟังอยู่แบบนั้นจนเพลงหยุดและเจ้าของเพลงหันมามองนั่นแหละถึงได้รู้ตัว
“มาคุยเรื่องงาน”
“เรื่องทัวร์เหรอ ไม่ต้องหรอก”
“อ้าว ก็ไหนว่า...”
“คิดว่าตัวเองจะได้อยู่จนถึงตอนนั้นหรือไง”
“...”
“ไม่ไปตามหาคนนั้นที่มึงอยากเจอล่ะ”
“...”
“วันนั้นที่ร้องไห้ เพราะหาเขาไม่เจอไม่ใช่หรือไง”
เจอแล้วต่างหาก ถึงได้ร้องไห้
แม้จะคิดเช่นนั้น แต่ในความจริงทิวากลับทำได้แค่ยืนเงียบๆ เหมือนคนโง่แบบนั้นจนคนอื่นเข้ามาในห้องซ้อมครบกันหมด เวย์และแคททักทายเขาแต่ทิวากลับไม่มีอารมณ์อยากจะทักทายหรือมองหน้าใครทั้งนั้น จึงเดินหนีไปดื้อๆ ไม่สนใจว่าคนในห้องจะมองมาหรือสงสัยว่าเขาจะไปไหนหรือต่อให้มีคนสงสัย ก็ไม่มีใครจะตามออกมาอยู่แล้ว
เขาลืมไปได้ยังไง ลืมไปได้ยังไงว่าในโลกนี้เขาไม่มีใครเลย
ถึงจะได้รับความช่วยเหลือ ถึงจะมีคนใจดีด้วยแค่ไหน แต่มันก็ไม่มีทางยั่งยืน
นี่ไม่ใช่ที่ที่เขาจะอยู่ ไม่ใช่และไม่มีมาตั้งแต่แรก
ทั้งที่รู้แบบนั้น แต่นอกจากที่นี่แล้วเขาก็ไม่รู้จริงๆ ว่าเขาจะต้องไปที่ไหนหรือตามหาใครเพื่อที่จะกลับไปยังที่เดิมของเขา
และในโลกนี้ ในตอนนี้ที่เขาไม่มีใครเลย เขามีแค่มาวิน มีอีกคนแค่คนเดียวจริงๆ
“ไหนบอกจะไม่ร้องไห้วะ ปากดีชิบหาย”
เขาบอกตัวเองแบบนั้น พยายามปาดเจ้าน้ำไร้สาระที่ไม่ช่วยอะไรให้ดีขึ้นเลยให้หายไปจากแก้ม แต่มันก็แสนจะดื้อดึงที่เอาแต่ใหลไม่หยุดราวกับประชดกัน
เขาไม่อยากร้องไห้เลย แต่ความรู้สึกที่เหมือนที่พึ่งสุดท้ายก็ยังพยายามผลักให้เขาออกไป มันแย่มากจริงๆ
เขามองอีกคนเป็นที่พักพิงไปแล้ว ไม่มีทางถอยอีกแล้ว เพราะเขาไม่มีใครแล้ว
“ไม่เป็นไร ทิวาจะไม่เป็นไร”
เขาบอกตัวเองเช่นนั้นตั้งแต่คราแรกที่หลุดมาในโลกบ้าๆ แห่งนี้ที่ไม่มีใครรู้จักเขา
ก่อนจะมาพบว่า เขาไม่เคยไม่เป็นไรเลยแม้แต่ครั้งเดียว
มันเป็นและน่ากลัวเหลือเกิน ในโลกที่เราไม่มีตัวตน กลายเป็นเพียงข้อมูลที่หล่นหายจากความทรงจำของใครสักคนมันน่ากลัวมากจริงๆ น่ากลัวเสียจนทิวาอยากให้มันเป็นแค่ฝันที่พอเขาตื่นขึ้นมาก็จะพบว่าตัวเองยังมีตัวตนอยู่ ยังมีบ้านให้กลับไป มีเพื่อนๆ ที่จะคอยอยู่ข้างๆ
คิดถึงแม่ คิดถึงเดือนอ้ายกับคนอื่นๆ
อยากกลับไป แต่ก็กลับไม่ได้ จะอยู่ที่นี่ก็ไม่มีที่ไหนให้ไปอีกแล้ว
กับโลกเฮงซวยใบนี้ เขาไม่รู้จริงๆ ต้องทำยังไงดีกับการรับมือมัน
-------------------------------------------------------------------------------------
“มึงทะเลาะอะไรกับผู้ช่วยกู เดย์หน้าเสียเลย”
“ไม่ได้ทะเลาะ”
“ไม่ได้ทะเลาะแล้วเขาจะเดินหนีไปทำไม นิสัยไม่ดีกำเริบอีกแล้วนะไอ้เวร รอบที่แล้วที่เขาอยู่ไม่ยืนก็เพราะปากมึงไม่ใช่หรือไง ผู้ช่วยคนก่อนที่แป๋มน่ะ” เวย์ว่าพลางปรับจูนเครื่องดนตรี โดยไม่คิดจะมองหน้าคนที่ตัวเองบ่นแม้แต่น้อย ไม่ต้องดูก็รู้ว่าไอ้วินจะต้องขมวดคิ้วทำหน้าเคร่งเครียดเหมือนพ่อตายแหงๆ กิตติศัพท์ความปากร้ายของมันไม่ใช่ว่าไม่รู้ แต่เห็นเมื่อวานก็ดูเข้ากันดี มีปะทะกันพอหอมปากหอมคอ ไม่คิดว่าวันต่อมาจะตีกันจนคู่กรณีเดินหายไปแบบนี้
“ทะเลาะกันจริงๆ หรือมึงแค่หงุดหงิด วิน”
“...” วินเงียบไปพักใหญ่ ก่อนจะละมืออกจากคีย์บอร์ด ถอนหายใจเฮือกใหญ่กับอารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ ของตัวเอง “กู...หงุดหงิดอะไรนิดหน่อย”
“นั่นไง นิสัยเสียจริงๆ เลยมึงเนี่ย”
“เวย์” แคทว่าเตือน เพราะตอนนี้ไม่ใช่ตอนที่สมควรซ้ำเติม แต่อย่างเวย์หรือจะสน อีกคนแค่ยักไหล่แล้วหันไปสนใจเครื่องมือทำมาหากินของตัวเองต่อ เรื่องให้คำปรึกษาหรือมีสาระเขาไม่ถนัดเสียเท่าไหร่ แต่เรื่องซ้ำเติมคนจี้จุดเจ็บนี่ถนัดมาก เรื่องใช้สมองน่ะให้จินกับไป๋จัดการเถอะ
“ไม่ต้องไปว่ามันหรอก กูผิดจริง”
“แล้วทำไมต้องไปลงที่เดย์”
“...”
“เอาจริงๆ พวกกูก็สงสัยตั้งแต่มึงถือวิสาสะเลือกเดย์มาเป็นผู้ช่วยแล้ว ถึงจะแค่ชั่วคราวก่อนพี่เต้จะหาคนใหม่ได้ก็เถอะ”
“...”
“มึงรู้จักเขามาก่อนหรือไง ถึงได้เลือกเขา”
“...เปล่า”
“มึงแปลกๆ นะวิน รู้ตัวไหม”
วินยกมือลูบหน้าตัวเองและหลบสายตาค้นหาของเพื่อนไปในตัว สาเหตุที่เขาให้อีกคนมาเป็นผู้ช่วย นอกจากเรื่องที่บังเอิญเจอกัน แน่นอนว่ามันมีเรื่องอื่นอีก เพียงแต่มันไม่ใช่เรื่องที่พูดออกมาแล้วจะเข้าใจกันได้ เลยเลือกที่จะเงียบไป
“เออ รู้”
“กูรู้ว่ามึงไม่อยากคุยเรื่องนี้ เอาไว้คุยวันอื่นก็ได้ แต่ตอนนี้มึงต้องไปขอโทษเดย์ ไม่รู้เตลิดไปไหนแล้วเนี่ย” แคทว่าพลางยื่นหน้าออกไปดูนอกบ้าน “ฝนจะตกแล้วด้วย”
“ไปได้ไม่ไกลหรอก มันไม่ออกหมู่บ้านแน่ๆ”
“มั่นใจได้ยังไง”
“ก็...” มันไม่รู้ทาง อยากจะพูดแบบนั้น แต่สายตาดุๆ ของจินที่มองมาทำให้วินได้แต่หุบปาก จินไม่ค่อยดุและค่อนข้างเป็นสายประนีประนอมก็จริง แต่ดูจากความสนิทสนมกับทิวาเมื่อวาน ก็พอทำให้เขาเข้าใจได้ว่า เหตุการณ์เมื่อครู่ทำเอาคุณชายใจเย็นประจำวงหัวร้อนแล้ว “เดี๋ยวไปตามก็ได้ พวกมึงก็เซตติ้งรอละกัน”
“ต้องขอโทษด้วยนะวิน” จินว่า
“...”
“วิน”
“เออๆ รู้น่า หาให้เจอก่อนแล้วกัน” แล้วเขาก็เดินออกจากห้องซ้อม หยิบร่มไปหนึ่งคันเตรียมรับฝนหลงฤดูที่กำลังตั้งเค้ามาแต่ไกล พลางคิดว่าคนที่เพิ่งโดนตัวเองใส่อารมณ์จะเดินหายไปไหนในหมู่บ้าน
ถ้าหาเจอก่อนฝนตกก็คงดี
ไม่อยากให้เปียกฝนจนไม่สบายจะแย่เอา
เมื่อนึกย้อนถึงคำที่ตัวเองพูดออกไปก่อนหน้าหนี วินก็อยากจะตบหัวตัวเองสักทีเหมือนกัน จะบอกว่าไม่ตั้งใจก็ไม่เต็มปาก เพียงแต่ตอนนั้นความรู้สึกหลายๆ อย่างมันรุมสุมเต็มหัวไปหมดจนหงุดหงิดที่มันไม่มีคำตอบดีๆ เลยสักอัน พอเห็นหน้าต้นเหตุก็เผลอพาล ทำนิสัยไม่ดีใส่ไปอย่างที่เวย์ว่าจริงๆ นั่นแหละ
มันเกี่ยวกับทิวาไหม มันก็เกี่ยว เพียงแต่จะโทษว่าเป็นความผิดของอีกคนไหม เขาก็พูดได้ไม่เต็มปาก
ไม่ต้องถามเขาก็พอเดาได้ว่าทิวาไม่มีที่ไป สภาพตอนแรกที่เจอกันของพวกเขา ทิวาไม่ต่างจากเด็กหลงทางเลยสักนิด เอาแต่ร้องไห้ ซึ่งมันทำให้เขาปวดใจไม่น้อยที่เห็นอีกคนร้องไห้แบบนั้น
ใช่ ปวดใจ
ทั้งที่ไม่รู้เหตุผลนั่นแหละ
มันเหมือนกับการได้พบกับอีกคนมันทำให้เขานึกถึงอะไรสักอย่าง...อะไรที่เหมือนลืมไปเกือบหมดแล้ว แต่จริงๆ มันยังอยู่ที่เดิม ไม่ได้หายไปไหนเลย เขาแค่ทำเหมือนว่าเขาลืมมันไปแล้ว
แต่แท้ที่จริง มันยังอยู่ในนั้น
ในหัวใจของเขาเช่นเดิม
“ทิวา”
“...”
“กลับบ้าน”
“...ไม่กลับ”
ฝนเริ่มโปรยลงมาแล้ว แต่คนที่เขาตามหาจนเจอก็ยังนั่งกอดเข่าตัวเองอยู่บนเครื่องเล่นใจกลางหมู่บ้านไม่ยอมขยับเสียที วินกางร่มขนาดใหญ่ที่พกมาเพื่อบังสายฝนที่เริ่มแรงขึ้นทุกที มองคนดื้อดึงเอาแต่ซุกใบหน้ากับเข่าตัวเองด้วยความอ่อนใจ ไม่อยากจะบังคับอะไรหรอกถ้าอีกคนไม่อยากกลับ เพราะเขาเป็นคนผิด แต่ตอนนี้มันฝนตกและเหมือนจะตกหนักด้วย จะโกรธกันก็กลับไปโกรธที่บ้านไม่ได้หรือไงนะ
“ทิวา ฝนมันตกแล้วเห็นไหม”
“ไม่เห็น”
กวนตีนจริง วินคิดในใจ “เดี๋ยวก็ไม่สบาย”
“เรื่องกู”
“ไม่น่ารัก”
“ก็อย่ามายุ่ง”
“เดย์”
“ไม่ต้องมาเรียก”
“อย่าร้องไห้”
“ไม่ได้ร้องสักหน่อย”
“...”
ฟ้าร้องลั่นพร้อมกับเม็ดฝนที่ร่วงหล่นสู่พื้นโลก แข่งกับน้ำตาของคนที่ยั่งนั่งอยู่ที่เดิมตรงหน้าเขา ไหล่ที่ไม่ได้กว้างสักเท่าไหร่นั่นสั่นน้อยๆ แม้จะมีเสียงฝนกลบ แต่คล้ายว่าเขายังคงได้ยินเสียงสะอื้นของทิวาอย่างชัดเจน
เอาอีกแล้ว
“ขอโทษ”
ไม่ชอบความรู้สึกปวดหน่วงในใจแบบนี้เลย
“กลับบ้านกันนะ ไม่ร้องแล้ว”
“ไม่...กลับ”
“...”
“ไล่แล้วไม่ใช่เหรอ”
“ไม่ได้ไล่ แค่ถามไงว่ามึงเจอคนนั้นหรือยังที่หา”
“...”
“เออ ก็ไล่จริงแหละ แต่ตอนนั้นกูหงุดหงิดแล้วพาลไปเอง ขอโทษจริงๆ”
เขาขยับเข้าไปหา ยื่นร่มไปบังฝนที่สาดเข้าไปในเครื่องเล่นให้อีกคน แม้ว่ามันจะแทบไม่ได้ช่วยอะไรเลยและตัวเขาก็เริ่มเปียกฝนไปอีกคน แต่ก็ยังยืนถือให้อยู่แบบนั้น
“ขอโทษ”
“มึงไม่รู้หรอก ว่าความรู้สึกที่ไม่มีใครเลยมันน่ากลัวแค่ไหน”
“...”
“มึงแม่งไม่รู้อะไรสักอย่าง”
“เออ กูไม่รู้อะไรเลย นิสัยไม่ดีด้วย”
“ชั่ว สารเลว”
“ครับ ผมมันคนเลว ด่าพอหรือยัง ถ้าพอแล้วก็ลุกจะได้กลับบ้าน”
แม้จะยังไม่ยอมลุกขึ้น แต่การขยับเงยใบหน้าขึ้นมามองสบตาเขา ก็มากพอให้เขาใจชื้นปนไปกับเสียใจที่ทำให้ดวงตาคู่นั้นแดงช้ำเพราะร้องไห้
เขาเคยบอกทิวาหรือเปล่านะ ว่าดวงตาของอีกคนสวยมาก
เพราะแบบนั้น จึงไม่อยากให้ถูกทำร้ายจากความเสียใจเลยแม้แต่นิดเดียว
“ลุกเร็ว กระต่ายตาแดง กลับบ้านเรากัน”
แต่ความจริงฉันแค่กำลังหลอกตัวเอง
ฉันไม่เคยมีเธอเลย ไม่เลยแม้แต่วันเดียว
(โปรดติดตามตอนต่อไป)
-----------------------------------------------------------------
fact about ทิวา
ทิวาจำทางไม่เก่ง หลงทางบ่อย เลยชอบอยู่ในที่ที่คุ้นเคยเท่านั้น
NAVY