ลอร์ดแมกซ์ เมอร์เรย์ยิ้มเล็กน้อยอย่างที่ไม่ค่อยทำให้เห็นนัก “นายชมฉันเกินไปแล้วจอห์นนี่ ฉันแค่เล่นไปตามที่เราซ้อมกันไว้ ที่จริงต้องขอบคุณทุกคนที่มาช่วยซ้อมร่วมกัน”
“ใช่ๆ” เจฟฟรีเอ่ยขึ้น “และที่จะลืมไม่ได้เลยนะ จอร์จจี้ของเราวันนี้ก็ทำได้ยอดเยี่ยมเหลือเชื่อ ใครจะไปรู้นอกจากพระเจ้า ว่าเขาจะวิ่งได้เร็วขนาดนั้น”
“ตอนนี้เขายังไม่ยอมบอกพวกเราเลยว่าไปซุ่มซ้อมที่ไหนมา” เจมส์พูดขึ้นต่อ ลอร์ดโทรว์บริดจ์จึงตอบแทนให้
“จอร์จซ้อมวิ่งกับเซบาสเตียนน่ะ”
“ใครคือเซบาสเตียน” อีธานถามขึ้น ลอร์ดโทรว์บริดจ์หันไปมองลอร์ดจอร์จ เฟลตันยิ้มๆ
“จอร์จ จะให้ฉันตอบหรือนายตอบเองดี”
ลอร์ดจอร์จ เฟลตันเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย “ในเมื่อนายพูดถึงขนาดนี้แล้วนะจอห์นนี่ ฉันจะขอพูดต่อเลยแล้วกัน เซบาสเตียนเป็นสุนัขของแมกซ์ มันช่วยฉันเรื่องวิ่งได้ดีมาก”
เพื่อนๆ พากันหัวเราะ “ว้าว อย่าบอกนะว่าแมกซ์ให้เซบาสเตียนวิ่งไล่นาย นายคิดได้ยังไง จอร์จจี้ เหลือเชื่อเลยจริงๆ”
“คนคิดไม่ใช่ฉัน” ลอร์ดจอร์จ เฟลตันพูดเสียงเครียด พลางหันไปหาลอร์ดแมกซ์ เมอร์เรย์ “แมกซ์ต่างหากที่เป็นคนต้นคิด ที่สำคัญคือจอห์นนี่ดันเห็นดีเห็นงามกับเขาด้วย”
“ก็นายอยากจะดูดีในการแข่งขันนี่” ลอร์ดแมกซ์ เมอร์เรย์พูดด้วยสีหน้าจริงจัง ลอร์ดโทรว์บริดจ์พยักหน้าพลางเสริม
“มันก็ได้ผลไม่ใช่หรือจอร์จ นายเกือบเขี่ยแพตทริกตกรอบเลยนะ”
“โอ้ แต่เขาก็ผ่านเข้ารอบไปได้” ลอร์ดจอร์จ เฟลตันว่า ก่อนจะพูดขึ้นต่อ “จริงสิ ฉันกำลังจะเล่าให้นายฟังเรื่องแพตทริก ฉันรู้แล้วทำไมเขาถึงมาคัดตัว ทั้งที่เหม็นขี้หน้านายเสียขนาดนั้น”
“นายนี่กัดไม่ปล่อยจริงๆ นะจอร์จจี้” เจมส์แซว แต่ลอร์ดหนุ่มทำเป็นไม่ได้ยิน เขาพูดต่อ
“ต้องเป็นเพราะเลดี้อเล็กซานดร้า เลนนิกส์แน่ๆ เพราะเธอมาดูที่สนามด้วย วันนี้”
“หืม?” เพื่อนๆ ต่างพากันทำหน้าสงสัย “นายรู้ได้ยังไงน่ะจอร์จจี้ นายรู้จักกับเธอหรือ?”
“มาร์กาเร็ตบอกฉัน” ลอร์ดจอร์จ เฟลตันตอบ ลอร์ดครอฟตันพูดขึ้นทันที
“โอ้ วันนี้มาร์กาเร็ตก็มาดูด้วยหรือ?”
“แน่นอน” ลอร์ดจอร์จ เฟลตันตอบ “ก็ฉันเป็นคู่หมั้นของเธอนี่”
เจมส์หัวเราะ “มิน่าล่ะ จอร์จจี้ของเราถึงได้ไปซุ่มซ้อมมา เขาอยากดูดีต่อหน้าคู่หมั้นนี่เอง ว่าแต่พวกนายมีแผนจะแต่งงานกันเมื่อไหร่”
ลอร์ดจอร์จ เฟลตันทำหน้ารำคาญ “ยังไม่ใช่ตอนนี้ รับรองว่าถ้าฉันจะแต่งเมื่อไหร่ พวกนายจะได้รู้เป็นกลุ่มแรก”
เจฟฟรีพูดขึ้นต่อ “นายควรหยุดถามเขาเรื่องนี้ได้แล้วเจมส์ เห็นอยู่ว่าเขายังรักที่จะใช้ชีวิตหนุ่มโสดไปนานตราบเท่าที่เขาจะทำได้”
ลอร์ดครอฟตันถามขึ้นด้วยความสงสัย “ว่าแต่... มาร์กาเร็ตบอกนายหรือว่าเธอเห็นเลดี้อเล็กซานดร้า เลนนิกส์”
“เธอชี้ให้ฉันดูเลยล่ะ”
“ว้าว” ทั้งหมดอุทานขึ้นพร้อมกัน “เป็นไปได้ไง เธอไม่หึงหรือจอร์จจี้ เห็นก็เห็นอยู่ว่านายน่ะเห็นผู้หญิงสวยเป็นไม่ได้ หรือว่าเลดี้อเล็กซานดร้าไม่ใช่สาวสวย”
“เธอสวยมาก” ลอร์ดจอร์จ เฟลตันพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “แต่ใจฉันมีมาร์กาเร็ตอยู่แล้ว อีกอย่าง เธอไม่ใช่ผู้หญิงแบบที่ฉันชอบ”
“ชักอยากเห็นแล้วสิว่าเธอเป็นผู้หญิงแบบไหน” ลอร์ดครอฟตันพูดขึ้นมา “ว่าแต่ เธอมาเชียร์แพตทริกหรือ เห็นว่าเจเรมีกับเธอเป็นญาติกันนี่ แล้วแพตทริกก็สนิทกับเจเรมี สองคนนี้จะมีใจให้กันก็ไม่แปลก”
“นี่นายบื้อหรือไง เอ็ดดี้” ลอร์ดจอร์จ เฟลตันเอ็ดขึ้น “นายไม่รู้หรือว่าเลดี้อเล็กซานดร้า เลนนิกส์ถึงกับให้ท่านดยุกเคมบริดจ์ส่งจดหมายเชิญจอห์นนี่ไปงานวันเกิดของเขาที่มิลตัน เพราะเธออยากพบหน้าเขา"
ลอร์ดครอฟตันอึ้งไปอึดใจ ก่อนจะโพล่งออกมา “เลดี้อเล็กซานดร้าสนใจจอห์นนี่ของเรางั้นหรือ?”
“ฉันแน่ใจว่าเธอพอใจเขามากเลยล่ะ” ลอร์ดจอร์จ เฟลตันพูดต่อ “เธอรั้งเขาเอาไว้ได้ตั้งหลายวัน”
“จอร์จ” ลอร์ดโทรว์บริดจ์ส่งเสียงแทรกขึ้นมา ลอร์ดจอร์จ เฟลตันหันไปมองเขา ก่อนจะสะดุ้งเมื่อนึกได้
“ฉันขอโทษ จอห์นนี่ ฉันไม่ได้ตั้งใจจะพูดถึงเรื่องนี้” เขาเหลือบไปมองกอร์ดอนแว้บหนึ่ง แล้วเหลือบไปมองลอร์ดโทรว์บริดจ์อีกครั้ง เห็นได้ชัดว่าฝ่ายนั้นมีสีหน้าไม่พอใจนัก
“ฉันกับอเล็กซานดร้าไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรมากไปกว่าเพื่อน” ลอร์ดโทรว์บริดจ์พูดขึ้นต่อ “เธอพักอยู่ที่บ้านของเจเรมี ฉันคิดว่าแพตทริกน่าจะมีโอกาสที่ดีในการสานความสัมพันธ์กับเธอ”
“เดี๋ยวนะ” ลอร์ดครอฟตันพูดขัดขึ้น “นายรู้ได้ไงว่าเธอพักอยู่ที่บ้านของเจเรมี นายพบเธอแล้วหรือ?”
ลอร์ดโทรว์บริดจ์พยักหน้า พลางเหลือบมองกอร์ดอน ฝ่ายนั้นมองเขาด้วยความสงสัย ลอร์ดหนุ่มนึกเสียใจที่พูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา
“ฉันรู้ว่าแพตทริกมาคัดตัวเพราะอยากอวดให้เธอเห็น และเขาก็ทำได้ดี” ลอร์ดโทรว์บริดจ์ตัดบท “เหมือนนาย จอร์จ นายเองก็ทำได้ดีต่อหน้ามาร์กาเร็ต ฉันแน่ใจว่าเธอจะต้องพอใจกับผลงานของนายมาก”
ลอร์ดจอร์จ เฟลตันมีท่าทางไม่ยินดีเท่าไหร่นัก เขารีบตอบ “ฉันก็ว่างั้นล่ะจอห์นนี่ ที่จริงแล้วฉันควรพูดถึงการแข่งที่กำลังจะเกิดขึ้นมากกว่า ได้ยินว่ากอร์ดอนอยากได้ที่นั่งพิเศษ”
ลอร์ดโทรว์บริดจ์รีบหันไปหาช่างตัดเสื้อทันที ฝ่ายนั้นจึงพูดขึ้น “เปล่าครับ ผมแค่ต้องการทราบว่าต้องไปซื้อตั๋วที่ไหนเท่านั้นเอง ผมทราบว่างานนี้เป็นงานการกุศล”
“ผมจะเอาตั๋วไปให้คุณ” ลอร์ดโทรว์บริดจ์พูดแทบจะสวนกันกับกอร์ดอน ก่อนจะรีบพูดต่ออย่างนึกได้ “ผมหมายถึง ผมจะเป็นคนไปขายตั๋วให้คุณเอง”
“ว้าว” เจมส์กับเจฟฟรีร้องออกมา “นายได้คนขายตัวระดับพิเศษเลยนะเนี่ย กอร์ดอน”
ลอร์ดโทรว์บริดจ์หันไปมองทั้งสองคน “พวกนายจะซื้อด้วยไหมล่ะ?”
“แหม จอห์นนี่ เราน่ะตั้งใจจะไปดูนายอยู่แล้ว แต่ขอเป็นสาวสวยมาขายได้ไหม ยังไงเราก็เจอหน้านายแทบทุกสัปดาห์อยู่แล้ว”
ลอร์ดครอฟตันหัวเราะชอบใจ “จริงของพวกนาย ฉันก็ขอเป็นสาวสวยนะจอห์นนี่ ถ้าสวยพอฉันจะบริจาคเพิ่มให้เป็นกรณีพิเศษ”
ลอร์ดจอร์จ เฟลตันหรี่ตามองเพื่อนรัก “นายเป็นคนแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย เอ็ดดี้”
“ก็เป็นตั้งแต่นายกลายเป็นคนรักเดียวใจเดียวนั่นแหละ”
เพื่อนต่างพากันหัวเราะชอบใจ หลังจากนั้นบริกรก็ยกอาหารที่สั่งไว้เข้ามา
---------------------------------------
ลอร์ดโทรว์บริดจ์ร้อนใจเหลือประมาณ พอประตูรถม้าปิดลงเขาก็รีบพูดกับกอร์ดอนทันที
“ยอดรัก ผมไม่ได้ตั้งใจจะปิดบังคุณเรื่องอเล็กซานดร้า”
กอร์ดอนมองหน้าเขา จากนั้นก็หัวเราะออกมา “ผมแทบไม่ได้คิดถึงเรื่องนั้นเลย”
ลอร์ดโทรว์บริดจ์มองเขาอย่างไม่แน่ใจนัก “คุณพูดจริงๆ หรือกอร์ดอน ผมกลัวว่าคุณจะหงุดหงิดเรื่องเธอ”
กอร์ดอนยิ้ม “ก็คุณบอกผมแล้วนี่ครับ ว่าระหว่างคุณกับเธอไม่มีอะไร ผมเชื่อใจคุณนะจอห์น”
ลอร์ดโทรว์บริดจ์ขบริมฝีปาก “แต่ผมก็รู้สึกไม่ดีอยู่ดี ผมควรบอกคุณก่อนเรื่องอเล็กซานดร้า”
“บอกว่าคุณพบเธอก่อนจะมาที่เดอะแกรนด์หรือครับ?” กอร์ดอนถามก่อนจะพูดต่อ “ที่จริงผมเห็นเธอแล้ว ลอร์ดจอร์จชี้ให้ผมดู เธอเป็นผู้หญิงน่ารักทีเดียว ผมว่าถ้าคุณมีน้องสาว ต้องท่าทางแบบเธอแน่นอน”
ลอร์ดโทรว์บริดจ์หัวเราะออกมา เขาดึงตัวช่างตัดเสื้อเข้ามากอด “โอ้ ยอดรักของผม ผมจะอธิบายความรู้สึกที่ผมมีต่อคุณยังไงดี คุณเป็นคนวิเศษมาก ผมอยากให้ทุกคนรู้เหลือเกินว่าคุณเป็นคนรักของผม พวกเขาจะได้เลิกยุ่งกับผมสักที”
“ผมว่าเรื่องมันจะยิ่งยุ่งกันไปใหญ่น่ะสิครับ” กอร์ดอนว่า “ลอร์ดจอร์จบอกผมว่าเลดี้อเล็กซานดร้าต้องรอดักพบคุณแน่ ตอนคุณบอกว่าพบเธอ ผมเลยแปลกใจมาก ผมไม่คิดว่าเธอจะรอจริงๆ เธอดูมุ่งมั่นมากเลยนะครับ”
ลอร์ดโทรว์บริดจ์ถอนหายใจเฮือก “ผมก็นึกไม่ถึงเหมือนกันว่าเธอจะมาที่ลอนดอน”
“เธอคงอยากพบคุณมากครับ ก็คุณเป็นขวัญใจสาวๆ นี่นา”
ลอร์ดโทรว์บริดจ์จับมือกอร์ดอนเอาไว้ “ผมไม่สนใจเรื่องนั้นหรอก ผมอยากให้ตัวเองเป็นขวัญใจของคุณคนเดียวก็พอแล้ว”
กอร์ดอนหัวเราะเขินๆ ขณะที่ลอร์ดหนุ่มพูดต่อ “วันนี้ผมดูเป็นไงบ้าง ผมค่อนข้างเกร็งนะกับงานนี้ มันเป็นงานใหญ่ทีเดียว ผมรู้สึกว่ามีหลายคนเก่งกว่าผมเสียอีก พวกเขาควรจะได้ตำแหน่งเบอร์แปดมากกว่า”
“อย่าพูดอย่างนั้นสิครับ มันไม่สมกับเป็นคุณเลย” กอร์ดอนว่า “พวกเขาแน่ใจในความสามารถของคุณไม่ใช่หรือครับ ถึงเลือกคุณมาทำงานนี้ อีกอย่างคนที่มาคัดตัวทุกคนก็มีความเชื่อมั่นในตัวคุณมาก ผมรู้สึกว่าพวกเขาดีใจที่ได้ร่วมทีมกับคุณนะครับ”
“งั้นหรือ...” ลอร์ดโทรว์บริดจ์เกาศีรษะด้วยท่าทางเขินๆ “ขอบใจนะกอร์ดอน นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตเลยที่ผมต้องรับผิดชอบงานใหญ่ขนาดนี้ ผมอยากทำให้มันออกมาดีที่สุด”
“คุณทำได้อยู่แล้วครับ” กอร์ดอนยิ้ม แล้วยกมือขึ้นลูบใบหน้าของลอร์ดโทรว์บริดจ์เบาๆ “แค่คุณเชื่อมั่นในตัวเอง อย่างที่คุณเป็น ผมเชื่อว่าคุณจะผ่านทุกอย่างไปได้” เขาหยุดเล็กน้อย “ที่จริงแล้วคุณเป็นคนทำให้ผมเชื่อแบบนั้นเลยนะ”
ลอร์ดโทรว์บริดจ์พยักหน้า “นั่นสิ เพราะงั้นคุณต้องเชื่อมั่นในตัวผมต่อไปนะ เพราะผมจะไม่ทำให้คุณผิดหวังเด็ดขาด”
“แน่นอนครับ ผมเชื่อคุณอยู่แล้ว”
------------------------------------
วันต่อมา ฝนตกตั้งแต่หกโมงเช้า กอร์ดอนจับรถม้าฝ่าสายฝนไปที่โบสถ์ แน่นอนว่าหลังพิธีมิสซา แทบทุกคนต่างพูดถึงการแข่งขันรักบี้การกุศลที่กำลังจะเกิดขึ้น บางคนโอ้อวดว่าจะทุ่มพนันแทงม้าสุดตัว เพื่อนำเงินไปบริจาคให้ได้ตั๋วไปดูการแข่งขันในครั้งนี้ กอร์ดอนฟังแล้วก็ได้แต่สั่นศีรษะด้วยความระอาใจ เขาค่อยๆ ปลีกตัวออกมาจากวงสนทนา และเรียกรถม้าไปที่ร้านขายดอกไม้ เพื่อรับดอกทิวลิปสีขาวที่เขาให้เดวิดมาสั่งเอาไว้ตั้งแต่เมื่อวาน จากนั้นจึงสั่งให้รถม้าขับไปยังสุสานไวท์มิลที่นีสเด้น
ฝนยังคงตกอยู่ตอนที่รถม้าจอด กอร์ดอนกระโดดลงจากรถพร้อมด้วยช่อดอกไม้ในมือ เขาจ่ายเงินให้สารถี จากนั้นก็หยิบร่มมากางอย่างทุลักทุเล ฝนที่ตกลงมาทำให้ถนนหน้าสุสานกลายเป็นบ่อโคลนย่อมๆ กอร์ดอนเดินกระย่องกระแย่งผ่านซุ้มประตูเหล็กดัดที่มีเสาอิฐสีเทาขมุกขมัวเป็นฐานรองรับอยู่ด้านข้าง เขาแน่ใจว่าขากางเกงของตัวเองคงเต็มไปด้วยโคลนหลังจากที่เท้าข้างหนึ่งของเขาติดหนึบอยู่ในหล่มโคลนหน้าหลุมศพของคนรู้จักเมื่อสมัยเด็กๆ กระนั้นชายหนุ่มก็ยังคงเดินย่ำลึกเข้าไปเรื่อยๆ กระทั่งถึงต้นเชอรี่ต้นใหญ่ซึ่งขึ้นโดดเด่นอยู่ ใต้ต้นเชอรี่มีหลุมฝังศพอยู่สองหลุม หลุมที่ดูใหม่กว่าจารึกชื่อ กอร์ดอน ปีเตอร์สัน โอเดนเบิร์ก ส่วนอีกหลุมที่เก่ากว่า จารึกชื่อ เจน มารี โอเดนเบิร์ก ป้ายบนหลุมฝังศพของทั้งคู่เป็นรูปเทวทูตหันหน้าเข้าหากัน กางปีกเงยหน้าขึ้นสู่ท้องฟ้าเบื้องบน ที่ฐานจารึกข้อความสั้นๆ ว่า
‘เจนผู้เป็นที่รักยิ่ง และกอร์ดอนผู้เป็นที่รักยิ่ง’
กอร์ดอนเคยมาที่นี่พร้อมกับปู่ของเขาเมื่อนานมาแล้ว ตอนนั้นมีป้ายหลุมรูปเทวทูตเพียงป้ายเดียว และต้นเชอร์รี่ก็ยังไม่ใหญ่โตเท่านี้ ที่นอนหลับใหลอยู่ใต้ปีกของเทวทูตคือร่างของ เจน มารี โอเดนเบิร์ก ซึ่งเป็นย่าของเขา
ปู่ของเขาเล่าว่าที่ดินผืนนี้เดิมมีแค่ครึ่งเดียว ซึ่งตั้งใจจะทำเป็นหลุมฝังศพเล็กๆ สำหรับคนในครอบครัว แต่เมื่อย่าเสียชีวิตลง ด้วยความอาลัยรักของชายผู้ซึ่งครั้งหนึ่งเคยตั้งใจจะแต่งงานกับย่า เขาจึงซื้อที่ดินสำหรับฝังศพเพิ่มเติม และตกแต่งป้ายสุสานอย่างสวยงาม พร้อมทั้งปลูกต้นเชอรี่เอาไว้เป็นที่ระลึก
หลังจากนั้นอีกหลายปี กอร์ดอนก็มายืนที่นี่อีกครั้ง พร้อมด้วยป้ายหลุมฝังศพรูปเทวทูตอีกป้ายที่ถูกทำขึ้นใหม่ ด้านล่างฝังร่างของปู่เขา กอร์ดอน ปีเตอร์สัน โอเดนเบิร์ก ตอนนั้นกอร์ดอนจึงได้รู้จักกับชายที่ปู่เคยพูดถึง
วันนั้นเป็นวันที่ฝนตกพรำเหมือนวันนี้ เขาที่อายุได้ยี่สิบสอง ยืนอยู่หน้าหลุมฝังศพ เบื้องล่างปีกที่สยายกว้างของเทวทูต ท่ามกลางความโศกเศร้า และสับสน ท่านสาธุคุณและแขกเหรื่อคนอื่นๆ ทยอยกลับไปจนหมดแล้ว แต่กอร์ดอนยังคงยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น ปล่อยให้สายฝนไหลอาบร่าง เขาที่สูญเสียพ่อแม่ไปตั้งแต่ยังเล็ก เรียกได้ว่าปู่คือทั้งหมดของชีวิตเขา ในวันนั้นชีวิตในแบบที่คุ้นเคยของกอร์ดอนพังทลายลง เป็นวันเดียวกับที่ปู่สูญเสียย่าของเขาไป
อย่างเงียบงัน ชายคนหนึ่งเดินช้าๆ เข้ามายืนข้างๆ เขา ในมือมีร่มสีดำคันใหญ่ ตอนแรกกอร์ดอนคิดว่าเป็นเซอร์จอร์จ คาเมรอน แต่เมื่อหันไปมองเขาก็พบว่าตัวเองคิดผิดถนัด
ผู้ชายคนนั้นผอมสูง ใบหน้าเคร่งขรึมเหมือนกับรูปปั้น อายุรุ่นราวคราวเดียวกับปู่ของเขา เมื่อเขาหันหน้าไป ชายคนนั้นจึงพูดขึ้น
“พ่อหนุ่ม... ยืนตากฝนแบบนี้เดี๋ยวก็เป็นหวัดเอาหรอก ฉันรับรองว่าทั้งกอร์ดอนและเจนต้องไม่ยินดีแน่ที่เห็นเธอเศร้าเสียใจแบบนี้”
“คุณเป็นใครครับ?” กอร์ดอนถามออกไป ชายคนนั้นยิ้มเล็กน้อย ดวงตาสีฟ้าหม่นของเขาดูเศร้าสร้อยจับใจ
“ฉันเป็นเพื่อนเก่าของพวกเขาน่ะ”
เม็ดฝนสาดลงบนร่มเสียงดังปุๆ ปลุกกอร์ดอนขึ้นจากห้วงอดีต ชายหนุ่มเงยมองเทวทูตทั้งสอง ก่อนจะก้มลงวางช่อดอกทิวลิปลงไป
“ปู่ครับ ย่าครับ ปีนี้เป็นปีที่ประหลาดมากสำหรับผม เป็นปีที่มีทั้งเรื่องน่าตื่นเต้น น่าดีใจ และน่าเศร้าใจไปพร้อมๆ กัน ผมมีเพื่อนใหม่ เขาเป็นคนดีอย่างเหลือเชื่อ แม้ตอนแรกจะน่ารำคาญไปหน่อย ผมว่าผมได้เจอกับคนที่ไม่รังเกียจผมแล้ว ผมมีความสุขมาก ผมคิดว่าถ้าปู่ยังอยู่ต้องไม่มีความสุขกับเรื่องนี้แน่ โอ... บ้าจริง ผมพูดอะไรอยู่นะ ผมแค่อยากบอกให้ปู่กับย่ารู้ว่าตอนนี้ผมมีความสุขมาก แม้ผมจะรู้ว่ามันเป็นความสุขที่ต้องสิ้นสุดลงในวันใดวันหนึ่งก็ตาม”
จู่ๆ เสียงของกอร์ดอนก็หายเข้าไปในลำคอ น้ำตาใสๆ รื้นขึ้นมาเต็มดวงตาของเขาอย่างรวดเร็ว เอ่อล้นและไหลอาบแก้มอย่างไม่อาจหักห้ามได้ ชายหนุ่มรีบใช้มืออีกข้างหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับน้ำตา เขาสะบัดศีรษะหลายครั้ง ราวกับต้องการจะไล่ความรู้สึกไม่ดีพวกนั้นออกไป และแล้วเขาก็ได้ยินเสียงใครคนหนึ่งพูดขึ้นข้างๆ
“เป็นอะไรรึเปล่า พ่อหนุ่มกอร์ดอน”
กอร์ดอนหันหน้าไปมอง แล้วโพล่งขึ้นมาด้วยความประหลาดใจ
“ท่านดยุกอ็อกฟอร์ด! ”
------------------------------------------------
(จบตอน)
โอ๊ย ไม่กล้าโผล่มา กลัวโดนทวง (โดนตบแรง
) ตอนนี้เป็นตอนที่เหมือนจะขัดๆ หน่อย แต่ตอนหน้านี่ลื่นปรื๊ดมาก ถึงกับคิดว่าเรื่องนี้อาจจะจบที่50-60ตอน (โอ๊ย มันก็ยาวอยู่ดีนั่นแหละ)
ยังไงก็ขอขอบคุณทุกท่านที่ยังตามอ่านเสมอมา แม้ว่าอิฉันจะหายบ่อยมาก (แต่จะพยายามมาอัพบ่อยขึ้นค่ะ พักนี้ดีขึ้นเยอะเลยค่ะ)