7....ผมรู้ว่าเช้าวันนี้จะไม่เหมือนเดิม
เมื่อวานหลังจากที่ไอ้เก้าร้องไห้ปลดปล่อยความรู้สึกทั้งหมด ผมก็ทำหน้าที่ที่สมควรจะทำตั้งแต่แรกคืออยู่ปลอบใจมัน
พอคลายอาการสะอื้น และผ่อนลมหายใจให้เป็นปกติ ก็คล้ายความเมาจะสร่างลงด้วย
“I’m sorry”
เก้าเอ่ยขอโทษเคน ซึ่งโชคดีที่เคนดูเหมือนจะเข้าใจ แม้เขาจะไม่รู้ว่าระหว่างผมกับไอ้เก้าคุยอะไรกัน แต่การที่ไอ้เก้าระเบิดร้องไห้ออกมาก็คงถือเป็นการอธิบายได้ดีโดยไม่ต้องใช้คำพูด
“Never Mind”
เคนบอกด้วยท่าทางไม่คิดมาก ไอ้เก้าจึงหันมาหาผม
“กูไปล้างหน้าก่อนนะ”
แล้วมันก็หมุนตัวเดินกลับไปที่ห้อง ผมกำลังจะตามไอ้เก้าไปด้วยความเป็นห่วง แต่เคนกลับรั้งตัวผมไว้
“Hey, Is he okay?”
“He’s broken-hearted. Don’t worry, I will take care him”
ผมอธิบายไปตามความจริง หากเคนดูเหมือนจะตกใจ
“Oh! I thought you are his boyfriend”
“No! We are just friend”
ผมรีบแก้ไขความเข้าใจผิด คงเป็นเพราะไอ้เก้าชอบเล่นมุกเลยทำให้เคนคิดว่าเราเป็นแฟนกัน เคนเงียบไปพักหนึ่งเหมือนลังเล ก่อนเจ้าตัวจะตัดสินใจได้ แล้วช่วยเฉลยเรื่องราวของเหตุการณ์ที่ผมไม่ได้อยู่ด้วย
“He asked me have I ever been in love someone. I told him I’m gay ‘cause I thought you are a couple. He paused for a moment and before I said anything, he was kissing me”
...ผมเข้าใจแล้วว่าทำไมเก้าถึงจูบเคนไปแบบนั้น
มันคงสับสนว่าแท้จริงตัวมันเป็นเกย์รึเปล่า เลยทดลองจูบกับผู้ชายคนอื่น
แต่ผลก็อย่างที่เห็น ....เก้าจูบผมไม่ได้
“I’m sorry about that”
ผมเอ่ยขอโทษแทนเก้าอีกครั้ง เคนส่ายหน้า ถามผมเพียงสั้น ๆ ด้วยสายตาที่เป็นห่วง
“And you?”
“What?”
“Are you a broken hearted man too?”
คำถามนั้นสะท้อนลึกลงไปในใจ ทว่าผมได้ยินเสียงตัวเองฝืนตอบแผ่วเบา
“No I’m not.”
...ผมไม่ได้อกหัก
...ผมไม่มีหวังตั้งแต่แรกแล้วต่างหาก
ผมบอกลาเคน แล้วเร่งเดินกลับไปยังห้องของตัวเอง ไอ้เก้านอนนิ่งอยู่บนเตียงคล้ายจะหลับไปแล้ว ก็ไม่แปลกทั้งเมา ทั้งร้องไห้หนักขนาดนั้น มันคงจะเพลีย
ผมหย่อนตัวนั่งบนเตียงฝั่งตัวเอง เหม่อมองร่างของคนตัวโตที่นอนหันหลังให้ และไม่ได้หลับอีกเลยตลอดทั้งคืน
...
...
ไอ้เก้าตื่นขึ้นมาในตอนสาย พร้อมอาการตาบวมด้วยสภาพดูไม่จืด ผมไล่ให้มันลุกขึ้นไปล้างหน้าล้างตาพลางเปรยถาม
“วันนี้จะไปเที่ยวไหนต่อเปล่า”
“กูว่าจะกลับแล้ว”
อีกฝ่ายตอบเสียงนิ่ง ๆ ดูเงียบลงไปกว่าเคย หลังจากผ่านเรื่องเมื่อคืนที่สารภาพความจริง มันคงฝืนทำตัวร่าเริงต่อไปไม่ไหว
ผมกับไอ้เก้าเลยพากันมาเช็คเอาท์ แล้วก็ได้เจอเคนอยู่หน้าฟรอนท์กำลังเช็คเอาท์เหมือนกัน เคนชวนไปเที่ยวต่อในเมืองกาญ แต่พวกผมบอกว่าจะกลับกันแล้ว เจ้าตัวค่อนข้างเสียดาย เราจึงแลกอีเมล์กัน เคนยังคุยต่อว่าถ้ามีโอกาสมานิวยอร์ก ก็แบ็คแพ็คมาหาได้ เขาจะพาเที่ยวให้
ผมขอบคุณน้ำใจของเขา รู้สึกดีที่ได้เพื่อนใหม่จากการมาเที่ยวครั้งนี้ พอบอกลาเคน พวกเราก็นั่งรถกลับมายังสถานีน้ำตกอีกครั้ง แล้วซื้อตั๋วไปธนบุรีสองที่
...อีกครึ่งชั่วโมงรถไฟจะออก
ผมกับไอ้เก้าหาที่นั่งว่าง ๆ รอบนชานชาลา ระหว่างเราไม่ได้มีบทสนทนาใด ๆ ท่ามกลางความเงียบ ในที่สุดผมก็ลุกขึ้น ทิ้งไอ้เก้าไว้เกือบห้านาที แล้วก็กลับมาพร้อมของบางอย่างยื่นให้
“อ่ะ กินมั้ยมึง”
ไอ้เก้าเงยหน้าขึ้นมามองถุงลูกชิ้นกับไส้กรอกทอดถุงใหญส่งกลิ่นหอมพร้อมควันฉุย
“ทริปตระเวนชิมของมึงไม่ใช่เหรอ”
ผมแกล้งเอ่ยแซว ก็เพราะตั้งแต่เริ่มต้นเดินทางไอ้เก้าก็ไม่เคยหยุดหาอะไรใส่ปาก มันเองก็รู้ตัวเลยรับเอาถุงลูกชิ้นไป พร้อมรอยยิ้มจาง ๆ เป็นครั้งแรกของวัน
“ขอบคุณว่ะติ๋ม”
“ถ้าจะขอบคุณกูจริง ๆ เรียกชื่อกูให้ถูกก่อน”
“ครับ คุณติณ”
ไอ้เก้าเติมคำสุภาพนำหน้าประชด ก่อนผมกับมันจะหัวเราะพร้อมกัน บรรยากาศความอึดอัดค่อย ๆ จางหาย ผมนั่งลงข้าง ๆ คนที่กำลังเคี้ยวลูกชิ้นกลืนเข้าปากพลางได้ยินเสียงถาม
“มึงว่าพระจันทร์อยู่ห่างจากโลกเท่าไร”
“จะลองภูมิกูอีกแล้วเหรอ”
ผมกลืนลูกชิ้นทอด แล้วตอบตามประสาเด็กภูมิศาสตร์
“385000 กิโลเมตร”
“ไม่ค่อยไกลเท่าไรเนอะ”
ไอ้เก้าให้ความเห็น ผมไม่รู้ว่าทำไมอยู่ ๆ มันถึงถาม แต่ไอ้เก้ามันก็เป็นแบบนี้ จนถึงตอนนี้ผมยังเดานิสัยมันไม่ถูก
เพียงไม่นานเสียงหวูดรถไฟก็ดังจากที่ไกล ๆ ผมกับไอ้เก้าลุกขึ้นไปยืนรอเตรียมตัว
“ติณ”
“หือ”
ไอ้เก้าพึมพำอะไรบางอย่าง แต่เสียงล้อรถไฟเคลื่อนเข้าจอดที่สถานีทำให้ผมไม่ได้ยินจนต้องตะโกนถามมันใหม่
“ห่ะ? เมื่อกี๊มึงว่าอะไรนะ กูไม่ได้ยิน”
“เปล่า ไม่มีอะไร มึงรีบขึ้นไปเหอะ”
ไอ้เก้าปฏิเสธ แล้วดันตัวผมให้ขึ้นไปบนรถไฟ มีคนจับจองที่นั่งอยู่ประปราย ผมกำลังจะเดินผ่านไปอีกโบกี้ แต่อยู่ ๆ ไอ้เก้าก็พูดเหมือนที่เคยทำตอนรถไฟเที่ยวขามา
“มึงไปหาที่นั่งก่อนไป เดี๋ยวกูไปซื้อหมูปิ้งแป๊บ”
จบคำ มันก็เร่งเดินหายไปที่โบกี้ก่อนหน้า สงสัยไอ้อาการกระเพาะหลุมดำของมันจะกลับมาแล้ว ผมจึงเดินต่อไปได้ที่นั่งว่าง ๆ แล้วก็นั่งรอคนไปซื้อหมูปิ้ง ทว่ารอจนได้ยินเสียงหวูดรถไฟเตือนออกมันก็ยังไม่มา
ผมพยายามลุกขึ้นชะโงกมองไปยังด้านหน้า แต่ก็ไม่เห็นวี่แววจนชักร้อนรน ลางสังหรณ์ของผมรอเตือนอะไรบางอย่าง ผมรีบสาวเท้าไปตามขบวนรถไฟ เร่งมองหาไอ้เก้า แล้วก็ต้องสะดุ้งเมื่อนายสถานีเป่านกหวีดเป็นสัญญาณให้ประตูปิด
อย่าบอกนะว่า...
รถไฟเริ่มเคลื่อนตัวออก ผมรีบวิ่งไปที่ประตูรถมองออกไปนอกหน้าต่าง และก็ได้เห็นคนที่ตามหายืนนิ่งอยู่บนชานชาลา
“ไอ้เก้า!”
ผมตะโกนตกใจ ไม่คิดว่ามันจะหลอกผมด้วยวิธีนี้ ผมพยายามอย่างโง่ ๆ ที่จะดึงประตูให้เปิดออก ตะโกนด่ามันเสียงดัง
“ไหนมึงบอกว่าจะไม่ทิ้งให้อยู่คนเดียวไง!”
มีเพียงดวงตาคมมองผมด้วยแววตาเสียใจ
“ติณ กูขอโทษ!”
เสียงนั้นกลืนหายไปกับเสียงรถไฟที่ค่อย ๆ เคลื่อนตัวออกห่างจนร่างสูงกลายเป็นจุดเล็ก ๆ ก่อนจะถูกแทนที่ด้วยแมกไม้
ในที่สุด...ผมก็รู้แล้วว่าคำสุดท้ายที่ผมไม่ได้ยินจากปากมันคืออะไร
ผมเดินกลับมานั่ง เคว้งคว้างอย่างคนจับต้นชนปลายไม่ได้ ไม่รู้จะหาทางติดต่อมันยังไง แล้วอยู่ ๆ ผมก็นึกถึงโทรศัพท์มือถือของตัวเอง ไอ้เก้าเคยบอกไว้ว่าอย่าเปิดเครื่องจนกว่าจะกลับห้อง แต่ตอนนี้มันไม่อยู่แล้ว คงไม่เป็นไรถ้าผมจะเปิดเช็ค
ผมกดปุ่มโทรศัพท์โนเกียรุ่นเก่า รอสัญญาณให้เต็ม หากยังไม่ทันจะกดปุ่มอะไร SMS เตือนบริการฝากข้อความก็ร้องดังขึ้น
มีข้อความจากแม่โทรเข้า 3 สาย แล้วอีก 25 สายจาก...ภีม
แล้วกว่าจะรู้ตัว นิ้วของผมก็เผลอไปกดปุ่มโทรออก รอสัญญาณอยู่ครู่เดียว ปลายสายก็กดรับแล้วยิงคำถามด้วยน้ำเสียงรัวเร็ว
“ฮัลโหล ติณ ตอนนี้อยู่ที่ไหน”
“กูอยู่บนรถไฟ”
“รถไฟเนี่ยนะ แล้วไอ้เก้าเป็นไงบ้าง”
“มันแยกไปคนเดียวแล้ว”
พอผมพูดไปอย่างนั้น ไอ้ภีมก็ทำเสียงตกใจร้องโวยวาย
“ห่ะ! แล้วทำไมมึงปล่อยมันไปคนเดียว เกิดมันเป็นอะไรขึ้นมาจะทำยังไง!”
“แล้วจะให้กูทำยังไง!”
ผมขึ้นใส่อีกฝ่ายอย่างหมดความอดทน ก่อนจะพรั่งพรูทุกสิ่งที่เก็บไว้
“กูพยายามช่วยมันแล้ว แต่กูช่วยมันไม่ได้! มึงเป็นคนที่ไอ้เก้าสนิทมากที่สุด มึงก็น่าจะรู้ว่าไอ้เก้าคิดอะไร!”
...ผมโมโหไอ้เก้า ผมโมโหภีม และที่สำคัญ...ผมโมโหตัวเอง
ตลอดสองวันที่ผ่านมา ไอ้เก้าพยายามทำตัวเข้มแข็งมาตลอด แต่พอถึงวันที่ผมคิดว่าผมจะช่วยมันได้ มันก็กลับทิ้งผมไป ผมคิดว่าถ้าเป็นคนที่สนิทกันมากกว่านี้ คงรู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าควรทำยังไง ไม่ใช่ปล่อยให้ไอ้เก้าเก็บทุกอย่างเอาไว้คนเดียว
“มึงไม่ได้เป็นคนส่งข้อความนั้นมาให้กูเหรอ”
เสียงภีมย้อนถาม ผมขมวดคิ้วงง
“ข้อความอะไร”
แล้วความทรงจำก็ย้อนกลับมา ไอ้เก้าเคยเอาโทรศัพท์ไปกดข้อความแล้วเป็นคนปิดเครื่องยื่นมาให้ผม ผมรีบวางสายจากภีม แล้วกดไปที่โปรแกรมถาดข้อความส่งออก ซึ่งปรากฏตัวอักษรสั้น ๆ
“ไม่ต้องห่วง กูจะอยู่ข้าง ๆ มันเอง”หยดน้ำค่อย ๆ หล่นใส่แว่นจนตัวอักษรพร่ามัว
ผมถอดแว่นออก ปาดน้ำตา ลูบจุดดำเล็ก ๆ ที่อยู่ใต้ตาขวา ผมรู้ว่าภีมก็มี และไอ้เก้าใช้ผมเป็นตัวแทนของภีมมาตลอด
...โลกอยู่ห่างจากพระอาทิตย์ไกลแสนไกล โลกจึงใช้พระจันทร์ที่อยู่ใกล้ ๆ เพื่อหวังว่ามันจะส่องสว่างเท่าดวงอาทิตย์บ้าง
แต่แล้ว...พระจันทร์ก็ยังเป็นพระจันทร์ เป็นดาวดับแสงที่ลอยเคว้งคว้างเพียงลำพัง
เสียงหวูดรถไฟดัง เสียงล้อเหล็กเบียดไปตามราง ผมนึกถึงรอยยิ้มของไอ้เก้าที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามตอนขามา
...แต่ตอนนี้เหลือแค่ผมที่ต้องจบการเดินทางนี้เพียงคนเดียว
----------------------------------------------------------------------------------------------------------
END
จบแล้วค่ะ
เป็นการจบที่ดราม่า เราอาจเขียนได้ไม่ถึงอารมณ์เท่าที่ควร แต่ก็พยายามจะสื่อถึงความคิดของน้องติณ ซึ่งเราตั้งใจไว้ตั้งแต่แรกแล้ว
Lonely Planet มีสองความหมาย คือ “ดาวเคราะห์ดวงเดียว” และ “การเดินทางเพียงลำพัง”
น้องติณโคจรอยู่รอบ ๆ ตัวเก้า แต่สุดท้ายก็ไม่มีทางได้เข้าไปใกล้ ทำได้แค่เฝ้ามองอยู่ห่างๆ ด้วยฐานะของเพื่อนคนหนึ่งเท่านั้น
ขอบคุณสำหรับคอมเมนต์มาก ๆ นะคะ (แม้จะแอบดองไปหลายเดือนก็ตาม)
และที่สำคัญขอบคุณที่ทุกคนที่คอยให้กำลังใจมาตลอดค่ะ
BitterSweet