Lonely Planet Side Story“ไอ้ติ๋ม”
...ถ้าเป็นในเวลาปกติ ผมคงไม่หันกลับไปตอนได้ยินเสียงเรียกตั้งแต่ครั้งแรก
เหตุผลเพราะนั่นไม่ใช่ชื่อผม ถึงแม้ฟังแล้วจะออกเสียงคล้ายๆ กันก็ตาม ความจริงผมควรจะก้มหน้าก้มตาจดจ่ออยู่กับเฟซบุ๊คบนสมาร์ทโฟน เพื่อฆ่าเวลาขณะรอรถไฟฟ้า BTS เทียบชานชาลาสถานีหมอชิต แต่บังเอิญนิ้วมือดันสไลด์ผ่านภาพพรีเวดดิ้งของคู่บ่าวสาวที่เป็นเพื่อนมหา’ลัย
และผมก็ดันปล่อยให้ตัวเองหยุดมองมัน
...เผลอแป๊บเดียวก็ถึงวัยที่พวกเราต้องตัดสินใจแต่งงานกันแล้วเหรอเนี่ย เรียนจบมาได้สามปี ยังรู้สึกเหมือนเมื่อวานนี้ที่นั่งกลุ้มกับการสอบไฟนอล ต้องท่องติวหนังสือยันโต้รุ้งกันอยู่เลย
ความทรงจำสมัยเรียนย้อนกลับมาชวนให้นึกถึง ในช่วงขณะหนึ่งบรรยากาศของสถานีรถไฟฟ้าตอนหกโมงเย็น จึงคล้ายเปลี่ยนแปลงไปเป็นถนนหน้าตึกคณะอักษร
กลิ่นชื้นของไอดินจากต้นชมพูพันทิพย์ นักศึกษาเดินจอแจสวนผ่านไปมา กลุ่มเพื่อนที่นั่งยึดโต๊ะประจำข้างใต้ตึก และเสียงเรียกของคนที่คุ้นเคย...
“ไอ้ติ๋ม”
ร่างสูงของใครคนหนึ่งโบกมือพร้อมกับส่งยิ้มกวนๆ มาให้ ภาพนั้นแทบจะซ่อนทับกับความทรงจำเก่าๆ
ยกเว้นแค่ว่า...ผมไม่ได้เจอมันข้างนอกมหา’ลัยอีกเลย หลังจากที่พวกเราเรียนจบ
ผู้ชายคนนี้ไม่ได้ใส่ชุดนักศึกษา สวมแค่เสื้อยืดทับด้วยเสื้อยีนส์สีซีดกว่ากางเกง รองเท้าหนังบูทหุ้มข้อเยินๆ หนวดเคราตามคางโผล่ขึ้นมานิดหน่อยตามประสาคนไม่ใส่ใจจะโกนมันออกบ่อยๆ
ดูรวมๆ แล้ว สไตล์ยังคงห่างไกลความเนี้ยบ ไม่ต่างไปจากนิสัยง่ายๆ ที่เริ่มต้นทักทาย
“ตอนแรกกูก็สงสัยอยู่ว่าใช่มึงรึเปล่า เห็นมึงตัดผมสั้นกว่าเดิม แต่ยังดีที่มึงยังใส่แว่นอยู่ ติ๋มๆ แบบนี้กูก็เลยจำได้”
ผมย่นหัวคิ้วรีบเถียงกลับ
“กูบอกแล้วไงว่า กูไม่ได้ชื่อติ๋ม”
คนถูกโวยวายยกมือยอมแพ้ แก้ไขคำพูดให้ใหม่
“เออๆ ไอ้ติณ มึงนี่ยังเหมือนเดิมเป๊ะ”
ผมก็อยากบอกมันคืนด้วยประโยคเดียวกัน
...มึงก็ยังเหมือนเดิม...ไอ้เก้า...นับตั้งแต่ที่มึงแยกจากกูบนรถไฟในวันนั้น
มีคำถามมากมายที่ผมอยากจะได้คำตอบ ทว่าในตอนนี้ เรื่องราวผ่านพ้นไปนานพอให้ผมลืมเลือน
เวลาทำให้ทุกอย่างค่อยๆ กลายเป็นแค่ความทรงจำ เราต่างเติบโตขึ้น เหมือนที่ไอ้เก้าเริ่มสังเกตเห็นรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ
“หือ? แต่มึงมีอย่างหนึ่งที่เปลี่ยนไปนะ” ใบหน้าคมพยักเพยิดไปที่วัตถุในมือผม
“อ้อ ก็มันสะดวกกว่านี่หว่า”
ผมไหวไหล่ เมื่อพูดถึงไอโฟนที่ถอยมาได้ครบสองปี แทนโทรศัพท์มือถือรุ่นเก่ากึกที่ใช้คงทนมาตั้งแต่มัธยมจนถึงมหา’ ลัย และอาจเพราะผมเป็นคนใช้ของอย่างทะนุถนอมนี่เองล่ะมั้ง ไอโฟนเลยยังดูเหมือนใหม่พอที่ไอ้เก้าจะทัก
ผมยัดอุปกรณ์สื่อสารไฮเทคลงในกระเป๋ากางเกง ขณะเจ้าหน้าที่เป่านกหวีดเป็นสัญญาณให้รถไฟฟ้าเคลื่อนเข้ามาเทียบ ก่อนย้อนถามคนข้างตัวบ้าง
“แล้วมึง...สบายดีไหม?”
ไอ้เก้ายิ้ม...ผมสังเกตเห็นเช่นกันว่ารอยยิ้มของมันต่างออกไปจากเดิม
...ผ่อนคลาย...และไม่ฝืนปิดบัง
“กูโอเคดี”
คำตอบมาในจังหวะที่ประตูรถไฟฟ้าเปิดออก ไอ้เก้าตบบ่าผม แล้วเดินนำหน้าเข้าไป ราวกับเรียกให้ผมตามไปพิสูจน์ให้เห็นกับตาว่า มันความหมายตามที่พูดจริงๆ
รถไฟฟ้าต้นสถานีไร้ผู้คน มีที่นั่งเหลือเฝือพอให้จับจอง แต่พวกเราดันเลือกไปยืนพิงผนังในช่วงรอยต่อของขบวนแทน ด้วยเหตุนี้ ถึงจะยืนใกล้กัน แต่ผมกับมันก็ยังคงอยู่คนละโบกี้
แล้วบทสนทนาก็ดำเนินไปต่อโดยไอ้เก้าเป็นคนนำ
“มึงจะไปลงสถานีไหน”
“อ่อนนุช แล้วมึงอ่ะ ลงไหน?”
“อ่อนนุชเหมือนกัน มึงทำงานอยู่แถวนั้นเหรอ?”
“เปล่า หอกูอยู่นู้น กูแค่แวะมาหาลูกค้า”
“มึงทำงานอะไรนะ?”
“ขายประกัน”
ไอ้เก้าทำสีหน้าทึ่งๆ คงเซอร์ไพรซ์ที่เห็นผมเลือกทำอาชีพผิดไปจากที่มันคิด
แต่เอาจริงๆ ผมก็ไม่คิดเหมือนกันว่า เด็กเอกภูมิศาสตร์บุคลิกเงียบๆ จะต้องมาใส่เชิ้ต กางเกงแสล็ก หิ้วแฟ้มเอกสารไปเจรจาโน้มน้าวขายของให้ลูกค้า
...ความฝันในตอนเด็ก กับ ความจริงในตอนเริ่มต้นทำงานย่อมแตกต่างกัน ไม่แปลกที่นักศึกษาส่วนใหญ่จะประกอบอาชีพที่ไม่ตรงกับสายที่เรียน เพื่อนๆ ของผมเลยมีตั้งแต่ นายธนาคาร ยันตำรวจหญิง
ส่วนคนตรงหน้า ผมเดาไม่ออกเช่นกันว่า ตอนนี้มันทำงานอะไร แต่ไม่ต้องเก็บความสงสัยไว้นาน เพราะไอ้เก้าดันเฉลยออกมาเอง
“ตอนนี้กูเปิดร้านอาหารอยู่ มึงคิดไม่ถึงอ่ะดิว่ากูจะเป็นเชฟ”
หนุ่มเรียนจบเอกสังคมยักคิ้วโชว์ภูมิ
แต่ขอโทษที...
“กูไม่แปลกใจเลยสักนิด เพราะกูรู้ว่ามึงตะกละ”
ไอ้เก้าทำตาโตกับคำสรรเสริญ
“กูเนี่ยนะตะกละ?”
“โห มึงอ่ะโคตรตะกละ ก็อย่างตอนเราไปนำ้ตกด้วยกัน...”
ผมชะงักไปกลางคัน
ปิ๊บ..ปิ๊บ..ปิ๊บ..สัญญาณปิดประตูของรถไฟฟ้ากรีดร้อง เสมือนเป็นสัญญาณเตือนภัยว่าผมกำลังเข้าไปใกล้เขตแดนต้องห้ามโดยไม่ทันระวัง
รถไฟฟ้าเคลื่อนออกจากสถานีหมอชิต ระหว่างที่พวกเราทั้งคู่เงียบลง หน้าต่างด้านนอกเป็นวิวเมืองของตึกสูงใหญ่ แตกต่างจากวิวทุ่งหญ้าและบ้านหลังเล็กๆ ในจังหวัดกาญจนบุรี
“ขอโทษที่กูทิ้งมึงไว้บนรถไฟ”
ในที่สุดผมก็ได้ยินถ้อยคำทำลายความเงียบ
ต่อให้คิดว่าจะลืม แต่รถไฟที่บรรทุกความทรงจำของผมกับไอ้เก้าก็เคลื่อนตัวออกไปข้างหน้า ซ้ำยังบรรทุกคำถามที่ผมเคยคาใจในคราวนั้นย้อนให้กลับมา
...หลังจากแยกกันมึงไปทำอะไร?
...แล้วมึงไปอยู่ที่ไหน?
...ทำไมมึงถึงไม่พากูไปด้วย?
ผมพยายามติดต่อกับไอ้เก้า แต่ก็ไม่เคยโทรหามันติดอีกเลย ไอ้เก้าคงไม่ได้แค่ปิดเครื่อง มันอาจเปลี่ยนเบอร์ไปด้วย เพื่อตั้งใจจะตัดขาดจากทุกความสัมพันธ์ กระทั่งวันงานรับปริญญามันก็ไม่โผล่มาให้เห็นหน้า
เราคงไม่มีทางกลับมาคุยกันได้เหมือนเดิมอีกต่อไป...ผมสรุปกับตัวเองแบบนั้น
ทุกคำถามจึงถูกเก็บเอาไว้ในหีบต้องห้ามส่วนลึกที่ไม่เคยไขเปิดออก
รวมถึงคำถามสำคัญที่สุด
...มึงทำใจจากไอ้ภีมได้รึยัง?
คู่สนทนาเห็นผมเงียบไปนาน เลยเอ่ยเสียงอ่อนแบบคนมีความผิดตัวตัว
“มึงยังไม่หายโกรธกูอีกเหรอ?”
ผมถอนหายใจ หันไปสบตามันตรงๆ ครั้งแรกในรอบสามปี
“กูไม่ได้โกรธ กูแค่เป็นห่วง”
ไอ้เก้าถึงได้ยิ้มออก สีหน้าที่แสดงความโล่งใจของมัน ทำให้ผมคิดว่า เรื่องนี้คงเป็นหนึ่งในปมที่ไอ้เก้าอยากแก้มาตลอด
“มึงจำเคนได้ป่ะ ฝรั่งนิวยอร์กที่กูเก็บกระเป๋าตังค์ได้”
“จำได้สิ”
จะลืมลงได้ยังไง วีรกรรมบ้าๆ ของมันที่เมาแล้วไปจูบผู้ชาย เพื่อพิสูจน์ว่าตัวเองเบี่ยงเบนรึเปล่า
“เออ พอกูแยกจากมึง กูดันมาเจอเขาอีกรอบเลยรู้ว่าเขาเป็นเชฟ คุยไปคุยมา เขาชวนกูไปเรียนทำอาหารกับเขาที่นิวยอร์ก กูเลยกลับบ้านมาเตรียมเอกสาร แล้วเก็บกระเป๋าบินตามเขาไป นี่กูเพิ่งกลับมาไทยได้สองเดือนเอง”
ไม่ใช่แค่น้ำตก ภูเขา หรือทะเล แต่ไอ้เก้าเล่นหนีอาการอกหักไปเมืองนอก มิน่าล่ะ ผมถึงไม่ได้ข่าวจากมันอีกเลย
“อาทิตย์หน้าไอ้ภีมขอให้กูเป็นคนทำอาหารในงานทั้งหมด กูถึงได้มาเลือกจานชามแถวจตุจักรไง”
“อาทิตย์หน้า?” ผมเลิกคิ้วงง
“มึงก็เห็นในเฟซแล้วไม่ใช่เหรอ?”
คำถามนั้นทำให้ผมเพิ่งตระหนักได้ว่า ไอ้เก้าไม่ได้สังเกตเห็นแค่สมาร์ทโฟนอันใหม่ แต่ยังสังเกตเห็นภาพพรีเวดดิ้งบนเฟซบุ๊คที่ผมเปิดค้างเอาไว้ด้วย
...เนตรกับภีมกำลังจะแต่งกัน นั่นหมายความว่า มีคนคนหนึ่งอกหักถาวร
แต่ดูเหมือนไอ้เก้าจะปล่อยวางเรื่องเหล่านี้ไปนานมากแล้ว มันเลยบ่นด้วยท่าทีไร้อาการเจ็บช้ำ ซ้ำยังดูสนุกสนานไปกับงาน
“กูต้องวิ่งวุ่นเป็นทั้งเชฟ ทั้งเพื่อนเจ้าบ่าว โคตรวุ่นวายเลย เออ...มึงจะมาด้วยใช่ป่ะ มีคู่ควงไปงานยัง? แต่ให้กูเดาน่ะว่าต้องไม่มีแหงๆ ขนาดหล่อๆ อย่างกูยังหายากเลย”
“ปากอย่างมึงใครจะมาเป็นคู่ให้วะ!?”
ผมส่งประโยคเหน็บแนมคืนมันกลับไปบ้าง แต่ไอ้เก้าดันรู้ทันว่านั่นก็เป็นแค่วิธีกลบเกลื่อนของผม
“แสดงว่ากูเดาถูก”
มันยักคิ้วยียวน ผมไม่ทันอ้าปากเถียง เพราะรถไฟฟ้าจอดลงที่สถานีสยาม ผู้โดยสารทยอยเข้ามาเพิ่มมากขึ้นกว่าเก่า จังหวะสนทนาของพวกเราเลยหยุดลงไปพักหนึ่ง
ใช่...มันเดาถูก ผมโสด แต่นั่นเพราะมัวยุ่งอยู่กับงาน ไม่ใช่เพราะอกหักเลยทำใจยังไม่ได้ซะหน่อย
ผมยอมรับ...ผมเคยรักไอ้เก้า...
รู้ตัวชัดๆ ก็หลังจากที่มันลงจากรถไฟไปแล้ว ผมนอนคิดถึงมันทุกคืน คิดถึงเสียงหัวเราะ รอยยิ้ม สถานที่ที่เราไปเที่ยวด้วยกัน
ตอนไอ้เก้าอกหักมันพาผมตระเวนกินไปทั่ว แต่พอถึงคราวตัวเองบ้าง น้ำหนักผมกลับลดลงฮวบฮาบ ซูบผอมจนแม่คิดว่าผมป่วย
ผมหลบเลียแผลใจอยู่ที่บ้านนานหลายเดือน กว่าจะกลับมาเป็นผู้เป็นคนได้ ก็ตอนเริ่มต้นหางานทำจริงๆ จังๆ
เมืองใหญ่ การจราจร ผู้คน ทำให้ผมใช้ชีวิตโคจรในวิถีเร่งรีบ ไม่เหลือพื้นที่ให้กับความคิดฟุ้งซ่าน หรือใส่ใจพิจารณาทุกอย่างรอบข้าง
ผมก้มหน้ามองดาวบนดิน มากกว่าดาวบนฟ้าที่ตัวเองชื่นชอบ
แต่บุคคลซึ่งผมไม่เคยคิดว่ามันจะสนใจดาราศาสตร์ ดันเปิดประเด็นขึ้นมา ตอนที่พวกเราอยู่ตรงสถานีอโศก
“มึงรู้เรื่องระบบสุริยะใหม่ป่ะ?”
“TRAPPIST-1อ่ะเหรอ?”
“แปลกดีเนอะ ไม่คิดว่าจะเจอระบบสุริยะที่คล้ายๆ กับโลกเราด้วย มึงคิดว่าจะมีมนุษย์ต่างดาวอยู่ที่นู้นไหม?”
“ก็อาจเป็นไปได้ ระบบสุริยะ TRAPPIST-1 มีดวงอาทิตย์ขนาดเล็กกว่าของระบบสุริยะของเรามาก พวกดาวเคราะห์ที่โคจรอยู่ใกล้ๆ เลยได้รับทั้งแสงสว่างและความร้อนที่เหมาะสมพอจะทำปฏิกิริยาเคมีให้เกิดน้ำ...และที่ไหนมีน้ำ โอกาสที่จะเกิดสิ่งมีชีวิตก็ยิ่งสูง”
ไอ้เก้าตาโตเหมือนเด็กน้อยฟังนิทานไซไฟท่องอวกาศ
“มึงนี่วิชาการสมกับเป็นติ๋มจริงๆ”
แถมด้วยคำชมที่ผมไม่ค่อยจะปลื้ม
“เมื่อไรมึงจะเลิกเรียกกูว่าติ๋มสักทีวะ ถ้ากูถอดแว่นแล้วมึงจะเรียกกูว่าติ๋มอยู่อีกไหม”
“กูเคยบอกแล้วไง มึงใส่แว่นไว้อ่ะเหมาะดีแล้ว”
จุดเล็กๆ ใต้ตาขวาของผมร้อนขึ้นมานิดๆ
เมื่อก่อนตอนไปเที่ยวด้วยกัน ผมคิดเสมอว่า ไอ้เก้าใช้ผมเป็นตัวแทนของไอ้ภีม แต่มานั่งนึกย้อนดู ข้อสันนิษฐานพวกนั้น อาจเป็นแค่ความสับสนและน้อยใจของผมเองเพียงคนเดียว
…ไม่มีใครแทนใครได้
สำหรับเก้า...ไม่มีใครแทนที่ภีม
สำหรับผม...ไม่มีใครแทนที่เก้า
ผมพิสูจน์มาแล้ว
ที่สำคัญ ผมรู้สถานะของตัวเองตั้งแต่แรก
“แต่ถ้าได้เจอสิ่งมีชีวิตนอกโลกก็ดีอย่าง”
คนสนใจระบบสุริยะยังคงให้ความเห็นต่อ
“ยังไง?”
ไอ้เก้ายิ้มมุมปาก
“อย่างน้อยก็ทำให้รู้ว่า...เราไม่ได้อยู่เดียวดายในจักรวาลนี้ไง”
…น้ำเน่า ผมทำสีหน้าเอือมๆ ล้อมัน
“นี่มึงเหงาถึงขนาดอยากหาเอเลี่ยนจากนอกโลกเลยเหรอวะ?”
ไอ้เก้ายิ้มกว้างกว่าเก่า
“ไปทำไมนอกโลก...ใกล้ๆ นี่ก็มี...”
ไม่แน่ใจว่าท้ายประโยคมีความนัยอะไรสื่อถึงผมรึเปล่า
ผมรู้ตัว...สถานะของผมยังคงเป็นได้เพียงแค่คนข้างๆ ของไอ้เก้ามาตลอด เหมือนกับที่มันเคยพิมพ์ SMS ส่งให้ภีม
แต่ตราบใดที่เราต่างโคจรอยู่ใกล้กัน...ผมก็คิดว่ามันก็ไม่ได้แย่อะไร
สถานีอ่อนนุชมาถึงเร็วกว่าทุกวัน คราวนี้ผมเดินนำ ส่วนไอ้เก้าเดินตามออกมาจากรถไฟฟ้า พลางถามไล่หลัง
“มึงจะไปไหนต่อ?”
“ก็กลับหอเลยมั้ง”
“งั้นมึงไปกินข้าวร้านกูไหม เดี๋ยวกูเลี้ยงเอง”
…ก็ดีเหมือนกัน เพราะท้องผมก็ชักจะร้องโครกคราก แถมประหยัดไปได้อีกมื้อ
“เอาดิ ร้านมึงอยู่ไหน ต้องเข้าซอยไปป่ะ”
ผมเตรียมเดินลงบันไดจากชานชาลา จะได้เลือกช่องทางออกถูก แต่คำตอบของไอ้เก้าทำให้ผมชะงัก
“ร้านอยู่แถว BTS สะพานตากสิน”
BTS สะพานตากสิน เดี๋ยวนะ...ถ้าจำไม่ผิดมันต้องเปลี่ยนขบวนที่สถานีสยามไม่ใช่เหรอ
“แล้วมึงจะมาอ่อนนุชทำไม?” ผมขมวดคิ้วงง
ไอ้เก้าไม่ได้พูดอะไรในเดี๋ยวนั้น มันสูดลมหายใจคล้ายเรียกความกล้า ก่อนสารภาพด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“กูอยากแก้ตัวกับมึงใหม่”
ผมสบมองดวงตาของคนที่ยอมลงทุนนั่งรถไฟเลยจุดหมายของตัวเองมา
หรือจริงๆ...ไม่ได้เลย...ไอ้เก้าอาจตั้งใจไว้ตั้งแต่แรกที่จะลงพร้อมผมไม่ว่าจะใกล้ไกลแค่ไหน
“มึงจะนั่งรถไฟไปกับกูไหม ครั้งนี้กูสัญญาว่าจะไม่ทิ้งมึงกลางทางอีกแล้ว”
ถ้อยคำวอนขอหนักแน่น จังหวะหัวใจของผมเต้นแรงกว่าปกติ หากถูกกลบด้วยเสียงรถไฟฟ้าขบวนที่เพิ่งแล่นมาเทียบชานชาลาฝั่งตรงข้าม จนแทบไม่ได้ยินเสียงตัวเองขณะพยักหน้าตอบรับ
“เออ”
แล้วไอ้เก้าก็ส่งรอยยิ้มที่ทำให้ผมตกหลุมรักมาให้อีกครั้ง
พวกเราสองคนเดินลงบันไดไป เพื่อไปขึ้นชานชาลาฝั่งตรงข้าม รอรถไฟขบวนใหม่
ผมเงยหน้ามองท้องฟ้า ดวงอาทิตย์ใกล้ตกดินย้อมโลกทั้งใบให้กลายเป็นสีส้ม ค่ำคืนนี้ในเมืองใหญ่อาจมองไม่เห็นดวงดาวมากนัก แต่ไม่เป็นไร ผมยังมีเวลาอีกเหลือเฟือพอจะค้นหา
...เพราะการเดินทางโคจรรอบกันและกันของผมกับไอ้เก้า
...มันเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น
——————————————————————————————————
END
สวัสดีค่ะ ไม่ได้พบกันนานเลย สบายดีกันนะคะ
เมื่อวันก่อน บังเอิญเปิดอ่านเรื่องสั้นของตัวเองเลยคิดถึงติณกับเก้าขึ้นมา นึกๆ ดูตอนนั้นทั้งสองคนต้องแยกย้ายกันไป ต่างฝ่ายต่างเจ็บ เก้ายังตัดใจจากภีมปุ๊บปั๊บไม่ได้ ถึงแม้จะเริ่มรู้สึกดีกับติณแล้วก็ตาม
เขาถึงว่ากันว่า...กับคนบางคน...ก็ต้องรอจังหวะเวลาที่ใช่และเหมาะสม
Side Story พิเศษนี้เลยเขียนขึ้นมาแบบเรียลไทม์ ให้เวลาผ่านไปสามปี เพื่อความสมจริง (ฮา) ในที่สุดคู่นี้ก็จบลงแบบแฮปปี้เอนดิ้งสักทีค่ะ
ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่าน เป็นดาวดวงน้อยที่โคจรอยู่ข้างๆ กันมาตลอดนะคะ
BitterSweet