บทที่ 16 รักเอย [ครึ่งแรก]
“อ้าว เราก็นึกว่าใครมายืนพูดชื่อของเราอยู่แถวนี้ ที่แท้ก็คุณหมอปีเตอร์นี่เอง”
“คุณเปรม...”
เขาปรายตามามองผมเพียงเสี้ยววิแล้วเบือนหน้าไปสบตากับอีกคนแทน
...โดนโกรธเสียแล้ว...
“บังเอิญเสียจริงที่เรามาได้ยิน มิทราบว่าคุณหมอมีอะไรจะพูดกับเราหรือไม่”
ใบหน้าคมสันนั้นฉีกยิ้มและพูดเจรจาอย่างเป็นธรรมชาติ แต่ผมรู้ดีว่าข้างในของเขากำลังเอ่อล้นไปด้วยความรู้สึกบางอย่าง
ความรู้สึกที่แม้แต่ผมเองก็ไม่กล้ายืนยันว่ามันคืออะไร อาจจะเป็นความโกรธก็ได้ อาจจะเป็นความหงุดหงิดก็ได้
...หรือจะเป็นความหึงหวง?...
ผมเองก็สุดจะรู้
“ไม่ครับ ผมไม่มีอะไรจะพูดกับคุณ แค่คุยกับน้องไปเรื่อยแล้วก็เลยถามไถ่ถึงคุณเพราะเห็นว่าน้องทำงานอยู่กับคุณ”
น้อง?
น้องพ่อน้องแม่เอ็งสิไอ้หมอ ใครน้องมึง
ผมเงยหน้าขมวดคิ้วมองคนข้างตัวแทบจะทันที แต่อีกฝ่ายกลับดูไม่ทุกข์ร้อนใดๆ ไม่แม้แต่จะหันมามองท่าทางงงเป็นไก่ตาแตกของผมด้วยซ้ำ
เพราะความอยากรู้อยากเห็นส่วนตัวทำให้ผมค่อยๆ เหลือบไปมองอีกคนที่อยู่ตรงหน้า
ใบหน้าคมเข้มนั้นขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะผ่อนคลายกลับคืนราวกับไม่รู้สึกอะไร
...ซะเมื่อไหร่ล่ะ...
นัยน์ตาสีดำสนิทคู่นั้นเหมือนมีเปลวไฟกองใหญ่กำลังคุกรุ่นอยู่ก็ไม่ปาน ถ้าตาคู่นั้นปล่อยแสงออกมาได้ เรือนของครูบุญคงไม่เหลือซากแล้ว
ไอ้หมอ พี่เขาโกรธจริงแล้วนะเว้ย
เพราะไม่รู้ว่าควรจะทำตัวยังไง ผมจึงเลือกที่จะหลบตาแล้วยืนเงียบๆ ปล่อยให้สองคนนั้นแผ่รังสีอำมหิตใส่กันและกันไปแบบนั้นล่ะดีแล้ว อย่าให้เขาเปลี่ยนเป้าหมายมาเป็นผมเลย
แหม ก็แม่สอนไว้ว่ารู้เอาตัวรอดเป็นยอดดี
คนข้างตัวผมขยับเปลี่ยนอิริยาบถเป็นล้วงมือเข้าไปในกระเป๋า
ไอ้คนไม่มีมารยาท ที่บ้านไม่เคยบอกเหรอว่าเวลาคุยกับคนไม่สนิทอย่าล้วงกระเป๋ากางเกงไปคุยไปน่ะ
“วันนี้ผมก็เพียงแค่แวะมาเยี่ยม ‘น้อง’ เห็นเมื่อวานไม่ได้ไปทำงาน ก็เกรงว่าจะไม่สบายหรือเป็นกระไรไป”
เขาจงจำย้ำคำว่าน้องจนผมต้องเงยหน้ามองอีกครั้ง
มึงจะย้ำอะไรนักหนาเนี่ย
“เอาเป็นว่าผมไม่รบกวนคุณเปรมแล้วดีกว่า เช่นนั้นผมขอลาเลยแล้วกันนะครับ”
เขาว่าอย่างนั้นก่อนจะยกมือไหว้อย่างคนมีมารยาท
อยากจะร้องแหมให้ถึงดาวอังคาร
ผมเห็นจากหางตาว่าคุณเปรมก็ยกมือรับไหว้อย่างเสียไม่ได้ ยังไม่ทันที่ผมจะได้หันไปมองหน้าเขาเต็มๆ ไอ้คนข้างๆ ก็พลันกระตุกให้ผมหันไปหาแล้วเอามือลูบหัวเบาๆ
เป็นบ้า มันเป็นบ้าไปแล้วครับ
“พี่กลับก่อนนะน้อง เย็นนี้อย่าลืมมาทำงานล่ะ”
พอพูดจบก็หันไปฉีกยิ้มให้คุณเปรมอีกทีก่อนจะเดินจากไปด้วยท่าทีเบิกบานใจเหมือนอย่างเคย แถมทิ้งระเบิดเอาไว้ให้ผมลูกเบ้อเริ่ม
ไอ้-หมอ-เวร
สถานการณ์ตอนนี้เรียกว่าเขาขั้นวิกฤต ความเงียบที่คั่นระหว่างพวกเราดูเหมือนจะแผ่ขยายกว้างขึ้นๆ ทุกที จนในที่สุดก็เป็นผมเองที่ทนไม่ไหว
“คุณเปรมมาถึงนานหรือยังครับ ผมคิดว่าวันนี้คุณเปรมจะต้องไปทำงานเลยไม่ได้เข้ามาเสียอี...”
“ชอบเขาไหม”
ฮะ?
ผมจ้องเขม็งเข้าไปในตาคู่นั้นเพื่อหาคำตอบ
...มันกรุ่นโกรธ มันดูอึดอัด...
เขาโกรธอยู่มอส เย็นไว้ เย็นไว้
“ผมไม่ได้ชอบเขา”
“จริงรึ”
น้ำเสียงที่ถามออกมามีแววประชดประชันอย่างเห็นได้ชัด
เย็นไว้มอส เย็นไว้
“จริงครับ”
เขากระตุกยิ้มเล็กน้อย
“ถ้าไม่ชอบก็คงไม่ปล่อยให้เรียกว่าน้องแล้วก็ลูบหัวเช่นนั้นหรอกกระมัง”
ยังครับ ไอ้คุณทวดยังไม่หยุด
“พะเน้าพะนอกันเสียขนาดนั้น คงรักกันมากล่ะสิ”
เหมือนผมได้ยินเสียงบางอย่างขาดผึงในหัว ผมเดินตรงดิ่งเข้าไปประชิดตัวคนตรงหน้าแล้วกระซิบเสียงต่ำ
ใจจริงก็อยากตะโกนด่าครับ แต่กลัวคนอื่นได้ยินแล้วจะโดนลากไปปาหิน
“คุณเปรม ผมชอบคุณ ชอบคุณมากกว่าผู้ชายคนไหนในโลก แต่ถ้าคุณยังประชดประชันต่อไปแบบนี้ผมอาจจะไปชอบเขาจริงๆ ก็ได้ ‘พี่’ เขาก็ใช่ว่าจะเป็นคนไม่ดี”
ผมว่าพลางยักคิ้วช่วงประโยคสุดท้าย
...ประชดมาประชดกลับไม่โกง...
ทันทีที่ผมพูดจบฝ่ามือใหญ่ก็เอื้อมมาจับแขนผมอย่างแรง
“คุณเปรมผมเจ็บ”
ถึงจะเจ็บก็ยังกระซิบครับ กลัวชาวบ้านชาวช่องได้ยิน
ผมยอมรับว่าตัวเองในตอนนี้ก็เริ่มจะมีน้ำโหขึ้นมาบ้างแล้วเหมือนกัน ผมเงยหน้าสบตาอีกฝ่ายอย่างดื้อรั้น
ฝ่ามือใหญ่นั้นยังไม่ยอมปล่อย ตรงกันข้ามกลับบีบแขนผมแรงขึ้นอีก
“คุณเปรม ปล่อยนะ ผมเจ็บ”
“เธอเจ็บ เราก็เจ็บ”
ฮะ?
“เจ็บไปหมดทั้งใจ หึงจนจะเป็นบ้าอยู่แล้ว”
เขาสบตากับผมนิ่ง ภาพของผมที่สะท้อนอยู่ในแววตาของเขาทำให้ผมรู้ว่าทุกอย่างที่เขาพูดมันออกมาจากใจจริง
บ้าจริง เขาบีบแขนมึงอยู่นะมอส จะใจเต้นทำไมเล่า
“ตอนที่มันบอกว่าอยากจูบ เราก็กลัวว่าเธอจะยอมให้มันจูบจริงๆ”
ผมก้มหน้างุดด้วยความเขินอาย
เขิน เขินมาก ช่วยด้วย ไม่ไหวแล้วเว้ย
“กร มองตาเรา”
ไม่มอง ไม่มองอะไรทั้งนั้นล่ะ
“กร”
ไม่มองโว้ย
“น้องมองตาพี่หน่อยได้ไหม”
ไอ้เหี้ย เอาไปเลย เอาหัวใจไปเลย ปาให้ไปเลย
น้ำเสียงเว้าวอนถ่ายทอดมาถึงผมโดนตรง มันอ่อนหวาน ฟังแล้วอดเลี่ยนชวนจั๊กจี้ไม่ได้
แต่ยอมรับว่าผมชอบ และเพราะชอบเลยต้านทานไม่ได้
ผมค่อยๆ เงยหน้าสบตากับเขา นั่นจึงทำให้ผมรู้ว่าพวกเราอยู่ใกล้กันมากแค่ไหน
ลมหายใจอุ่นๆ เป่ารดลงบนจมูกของผม
“พี่คงจูบน้องที่นี่ไม่ได้”
ผมรู้
“แต่พี่อยากตระกองกอดเจ้าไว้เหลือเกิน”
ผมก็อยาก
“น่ากลัวว่าพี่จะรักน้องเข้าแล้ว”
นั่นสิ
...น่ากลัวว่าผมเอง...ก็รักเขาเข้าแล้วเหมือนกัน...
รึเปล่านะ?
ให้ตายสิ ความรักนี่ เข้าใจยากจริงๆ
“นี่ หลังจากผมกลับ เธอก็ไม่ได้โดนเปรมทำอะไรแปลกๆ ใช่ไหม”
คำถามที่ถูกส่งตรงมาจากด้านหลังทำให้ผมต้องใช้หางตาปรายใส่คนถามเล็กน้อยแล้วหันกลับมาเหมือนไม่สนใจ
ทุกอย่างเกิดขึ้นก็เพราะมันนั่นล่ะครับ น่าตบให้หัวทิ่ม
ถึงแม้อีกฝ่ายจะขอให้ผมเปิดใจรับความรักจากเขาบ้าง แต่ตัวผมเองกลับทำไม่ได้
ผมสบายใจที่จะอยู่กับเขาพอๆ กับการอยู่ใกล้คุณเปรม
ผมสนุกที่ได้พูดคุยกับเขาพอๆ กับการต่อปากต่อคำกับคุณเปรม
...แต่มันไม่เหมือนกัน...
ความสบายใจเวลาอยู่กับเพื่อนกับคนที่ชอบยังไงก็ไม่เหมือนกัน
จะอธิบายให้เจ้าฝรั่งหัวรั้นนี่ฟังยังไงดีนะ
“เมินคำถามแบบนี้อยากโดนไล่ออกเหรอ”
ผมถอนหายใจเงียบๆ
“จะไล่ออกก็เชิญเถอะครับ แต่ตอนนี้ผมมีปัญหาด้านการเงินมาก ต่อให้คุณไล่ผมก็ไม่ไปหรอก”
หน้าด้านไว้ก่อน พ่อไม่ได้สอนด้วยครับ
ผมรับรู้ได้ถึงเสียงขยับเก้าอี้
“เกิดอะไรขึ้นรึ”
แหม ชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านเหมือนกันนะเราเนี่ย
“พี่ชายผมไปก่อเรื่องไว้นิดหน่อยครับ”
“เรื่องอะไรล่ะ กู้หนี้ยืมสินรึ”
ผมยักไหล่อย่างเคยชิน
“ขโมยของเขาน่ะครับ”
“Oh my god...”
เขาไม่ได้แสดงน้ำเสียงตกใจ มันเป็นเพียงการลากเสียงอย่างเวทนา
...ก็สมควรเวทนา...
ผมไม่ได้ตอบอะไรออกไป ไม่แม้แต่จะแสดงท่าทีฉงนสนเท่ หรือเข้าใจกับคำพูดของเขา
ขืนทำตัวว่าเข้าใจเขาก็สงสัยสิ
“ไม่เป็นไรหรอก ทุกอย่างต้องผ่านไปได้ด้วยดี”
แหม พูดดีขนาดนี้ ขอยืมสักห้าสิบจะได้ไหม
คิดครับแต่ไม่พูด กลัวโดนด่า
ผมทำเพียงฉีกยิ้มแห้งให้เขาแล้วหันกลับมาทำงานต่อ
ก็แหม ผมไม่ถนัดฟังคำปลอบสักเท่าไหร่ พอมาโดนปลอบแบบนี้เลยรู้สึกแปลกๆ จนทำตัวไม่ถูก การยิ้มแห้งตอบไปน่ะเหมาะสมที่สุดแล้ว
จู่ๆ ผมก็สัมผัสได้ถึงความอบอุ่นบางอย่างที่แนบลงบนหัว ครั้นพอเงยหน้าขึ้นไปมองจึงพบว่าคนที่นั่งสบายอารมณ์อยู่บนเก้าอี้เมื่อครู่มายืนลูบหัวอยู่ข้างๆ ผมแล้ว
ณ จุดๆ นี้ ผมอนาถความเชื่องช้าของตัวเองมากครับ ถ้าเป็นงูคงฉกตายไปนอนคุยกับอาเหล่ากงแล้วแน่นอน
“จะไปทำอาหารให้นะ”
มือคู่นั้นอ่อนโยนและอบอุ่นจนผมเผลอพยักหน้าตอบ กว่าจะนึกได้ว่าลูกจ้างที่ดีไม่ควรให้เจ้านายทำอาหารให้ก็สายไปเสียแล้ว ร่างสูงใหญ่นั้นเดินกระฉับกระเฉงหายไปด้านในเรียบร้อยแล้ว
ให้ตายเถอะ เป็นเจ้านายประสาอะไรกันนะ
ผมหัวเราะเบาๆ ให้กับความแปลกของเขาแล้วเริ่มลงมือทำงานต่อ
เอกสารตรงหน้าเป็นทั้งประวัติคนไข้ เอกสารทางการแพทย์รวมไปถึงประวัติบุคลากร ผมเพิ่งจะรู้เมื่อตอนบ่ายวันนี้เองว่าที่นี่มีพยาบาลอยู่อีกสองสามคน แต่พวกเขาเป็นมิชชั่นนารีด้วยทำให้ไม่ได้พักอยู่ที่นี่และไม่ได้มาทำงานทุกวัน เพราะเหตุนั้นเองทำให้ไม่มีใครว่างพอจะมาจัดการงานเอกสารที่กองเป็นภูเขาเพราะแค่รักษาคนไข้ให้ทันเวลากลับโบสถ์ก็แทบแย่กันแล้ว การมีผมมาช่วยจัดการจึงถือเป็นเรื่องประเสริฐสุดสำหรับโรงหมอไร้ระบบแห่งนี้
น่าเห็นใจ น่าเห็นใจ
หมอบอกผมว่าจะให้ค่าจ้างเดือนละห้าบาท พอมาคิดคำนวณแล้วรวมสามเดือนก็สิบห้าบาท อีกสองวันถัดจากนี้ผมจะมีงานต้องไปแสดงกับวงดนตรีประจำบ้านของคุณเปรม งานนี้ยังไม่ได้ตกลงค่าจ้าง แต่คิดว่าก็คงได้ไม่มากไม่น้อย
จะทำยังไงถึงจะหาเงินห้าสิบบาทได้ในเวลาสามเดือนนะ
หรือจะไปรับจ้างร้องเพลงดี?
หลังจากฝึกร้อง ฝึกเล่นกับวงดนตรีไทยมาพักใหญ่ๆ ทำให้ผมค้นพบว่าตัวเองมีพรสวรรค์ด้านการร้องเพลงมากแค่ไหน มันเป็นเสียงของเด็กหนุ่มที่แตกเนื้อหนุ่มแล้วแต่ยังไม่เป็นผู้ใหญ่ ทำให้เสียงไม่ทุ้ม ไม่แหลมจนเกินไป ฟังแล้วรื่นสบายหู ถ้าเปรียบเทียบก็คงจะเป็นเสียงเทเนอร์ในการร้องประสานเสียง
แต่ใครมันจะไปจ้างล่ะ
ผมหัวเราะให้กับความคิดของตัวเองแล้วเบนสายตามองตามแสงสีส้มที่ลอดผ่านหน้าต่างไม้เข้ามาในห้อง
เย็นป่านนี้แล้วเหรอเนี่ย...
แสงสีส้มของพระอาทิตย์ยามเย็นทำให้ผมนึกถึงวันเวลาในวัยเด็ก
...ชมรมลีลาศ เพื่อนและครอบครัว...
มันทำให้ผมนึกถึงชีวิตที่ผมจากมา
อยู่คนเดียวก็ฟุ้งซ่านแบบนี้ล่ะครับ
ถึงจะคิดตลกๆ กับตัวเองไปแบบนั้น แต่ภาพเก่าๆ กลับหลั่งไหลเข้ามาในสมองไม่มีหยุดหย่อน
พ่อกับแม่มักจะกลับบ้านช้าเพราะชอบทำงานเกินเวลา ทำให้ผมที่นั่งรอพ่อแม่มารับที่โรงเรียนต้องหาอะไรทำแก้เบื่อ จำได้ว่าตอนนั้นผมเลือกจะเข้าชมรมลีลาศ เอาเข้าจริงก็ไม่เชิงว่าเลือกเอง แต่เกิดจากการเสนอแรงจูงใจที่สมน้ำสมเนื้อ ถ้าจำไม่ผิดคงเป็นห้าคะแนนพิเศษในวิชาพละ
ผมนี่ก็เป็นพวกบ้าเกรด บ้าคะแนนอยู่เหมือนกันนะ
ตอนนั้น จำได้ว่าในชมรมมีแต่เด็กผู้หญิง ผมที่เป็นเด็กผู้ชายเลยกลายเป็นของหายาก เพราะแบบนั้นก็เลยได้เต้นทุกเพลง ได้เต้นทุกรอบ เต้นจนร้องไห้บอกครูว่าไม่เอาแล้ว แต่จนแล้วจนรอดก็อยู่ชมรมนี้มาจนจบชั้นมัธยม พอกลับไปคิดแล้วก็ตลกดี
จู่ๆ ผมก็ดันมีเพลงผุดขึ้นมาในหัว มันเป็นเพลงเต้นลีลาศที่ผมชอบและทำมันได้ดี ไม่รู้เพราะอะไรผมถึงอยากร้องมันออกมา
“แดดรอนรอน เมื่อทินกรจะลับเหลี่ยมเมฆา”
ผมเริ่มร้อง
หลังจากเรียนร้อง เรียนเล่นกับครูบุญมาพักใหญ่ ทำให้ผมติดนิสัยร้องเพลงไป ซึบซับเนื้อเพลงไป ครูบอกว่าถ้าทำแบบนั้นจะทำให้เราร้องเพลงได้ดีขึ้น
ภาพเหตุการณ์บางอย่างกำลังไหลกลับเข้ามาในหัวเหมือนภาพฉายจากฟิล์มเก่าๆ
“แดดรอนรอน เมื่อทินกรจะลาโลกไปไกล ยามนี้จำต้องพรากจากดวงใจ ไกลแสนไกลสุดห่วงยอดดวงตา”
ผมนึกถึงแม่ ทุกครั้งที่มองอาม้า ผมเห็นภาพของแม่ลอยขึ้นมาทับซ้อนอยู่เสมอ
ตอนนี้แม่จะสบายดีไหมนะ
“โอ้ยามเย็น จวบยามนี้เป็นเวลาสุดอาวรณ์ ยามไร้ความสว่างห่างทินกร ยามรักจำจะจรจากกันไปไป”
ถ้าผมไม่ได้กลับไป ถ้าเราต้องจากกันไปตลอดกาล
...แม่จะยังยิ้มได้อยู่ไหมนะ...
หยดน้ำอุ่นๆ ที่กระทบกับฝ่ามือทำให้ผมตัดสินใจเปลี่ยนไปร้องท่อนภาษาอังกฤษแทน
อย่างน้อยก็จะได้ไม่เห็นภาพความทรงจำพวกนี้
...แต่ผมคิดผิด...
“'Tis sundown. The golden sunlight tints the blue sea.”
ผมกำลังนึกถึงภาพชายหาดในยามเย็น
“Paints the hill and gilds the palm tree, happy be, my love, at sundown.”
จำได้ว่าตอนเด็กๆ แม่ชอบพาผมหนีพ่อไปเที่ยวที่ชายหาดไม่ไกลจากบ้านเท่าไหร่ มันไม่ใช่ชายหาดที่สวย น้ำไม่ใส ทรายก็ไม่ร่วนขาวละเอียด
แต่ผมชอบ
มันเป็นความทรงจำที่ดี แม่นั่งอยู่ตรงนั้น แม่ยิ้มอยู่ตรงนั้น
...อยากกลับไปจัง...
ก้อนความรู้สึกบางอย่างจุกอยู่ที่อกจนผมไม่สามารถร้องต่อได้ การร้องเพลงจึงหยุดอยู่แค่นั้น
...ภาพความทรงจำก็ควรหยุดอยู่แค่นั้น...
“เสียงเธอเพราะจัง”
ฉิบหาย ผมลืมไปเสียสนิทว่าไม่ได้อยู่คนเดียว
เสียงตะโกนบอกที่ดังมาจากด้านในทำให้ผมตัวแข็งทื่อ ในใจมีแต่คำว่าซวยแล้ววิ่งวนอยู่เต็มไปหมด
เอาไงดี เอาไงดี
ผมหันหลังกลับไปมอง ใจคิดว่าต้องเห็นเขายืนทำหน้ายียวนอยู่ด้านหลังแน่ แต่กลับผิดจากที่คาดไปถนัด เขาไม่ได้ยืนอยู่ตรงนี้ คำพูดนั้นก็เป็นเพียงเสียงตะโกนมาจากห้องครัวเท่านั้น
งั้นแถไปก่อนแล้วกัน
ผมหันกลับไปมองคนที่เพิ่งเดินถือจานอาหารออกมาจากในครัวอย่างเป็นธรรมชาติ
“อะไรเหรอหมอ”
เขาเดินเร็วๆ มาวางจานอาหารร้อนระอุลงบนโต๊ะก่อนจะหันมายิ้มให้
“ก็เพลงที่เธอร้องไง ใช้ภาษาอังกฤษได้ดีทีเดียว”
ผมแสร้งขมวดคิ้วยุ่ง
“ไม่ใช่เสียงผมหรอกครับ ผมพูดอังกฤษได้ที่ไหน”
เขาหันมาสบตากับผมแล้วกระตุกยิ้ม
ทำไมดูอันตรายจังนะ
“ใช่ ผมก็สงสัยอยู่ว่าทำไมถึงได้ยินเพลงอังกฤษ แต่รับรองได้ว่าในโรงหมอนี้ไม่มีใครรองเพลงนั้นได้หรอก ผมเองยังไม่เคยได้ยินเพลงนั้นมาก่อนเลย”
เขาเอามือล้วงกระเป๋าแล้วเอนตัวไปพิงโต๊ะด้านหลัง
“ที่สำคัญตอนนี้เราอยู่กันแค่สองคนเองนะ”
ไอ้คนฉลาด ไอ้คนสมองดี
แต่อย่าได้ดูถูกความสามารถด้านการแสดงของผมไป
“ผมว่าหมอหูแว่วแล้วล่ะครับ ผีหลอกรึเปล่าหมอ”
ไม่ว่าเปล่ายังทำเป็นหันซ้ายหันขวาแล้วลูบแขนแกล้งขนลุกซู่
ใครก็ได้ส่งออสการ์มาให้มอสที
เขาหัวเราะในคอแล้วส่งแววตาแปลกๆ กลับมา
มันเป็นแววตากึ่งเจ้าเล่ห์กึ่งจับผิด ดูไม่น่าไว้ใจชอบกล
“ก็คงคิดว่าหูแว่ว ถ้าไม่บังเอิญได้ยินภาษาไทยในเพลงด้วย”
โว้ย ผมล่ะเบื่อความฉลาดของมันจริงๆ
“ผมว่าหมอหูฝาด”
ฉลาดมาก็หน้าด้านกลับ ในเมื่อไม่มีทางให้ไปก็ยืนกระต่ายขาเดียวไปเลย
เขาหัวเราะเบาๆ
“อ้าวเหรอ ก็คงจะเป็นเช่นนั้นกระมัง ว่าแต่...”
เขาทอดจังหวะอย่างจงใจ
“เพลงนี้ชื่อเพลงอะไรรึ”
อีผี ถามอย่างนี้ก็บอกมาเลยก็ได้ว่าผมดูโง่เง่าแค่ไหน
ในเมื่อหลบไม่ได้แล้วเราก็ต้องยอมรับความจริงครับ
“หมอรออีกสักยี่สิบเก้าปีเดี๋ยวก็ได้ฟังเองล่ะครับ”
ทำตัวให้เป็นปริศนาแม่งไปเลย อยากจับผิดนักก็ไปให้สุดเลยครับพี่
ผมเห็นเขาขมวดคิ้วยุ่งแต่ก็คร้านจะใส่ใจแล้ว
“อีกยี่สิบเก้าปี?”
ผมพยักหน้าแบบขอไปที
“ทำไม ทำไมต้องรออีกยี่สิบเก้าปี”
เอ้า ถ้าบอกก่อนจะให้รอทำแปะก๊วยอะไรล่ะ
“รอไปสิหมอ เดี๋ยวก็รู้เองแหละ”
เขากวักมือเรียกผมเข้าไปใกล้ๆ และเพราะผมเป็นคนใสซื่อไม่ทันเล่ห์เหลี่ยมคนเลยยอมเดินตามไปจนโดนดีดหน้าผากดังปั้ก
นิ้วทำจากเหล็กเหรอ
“เจ็บนะหมอ”
“ก็ดีดให้เจ็บไง ยียวนนักนะ เดี๋ยวนี้เอาใหญ่แล้ว”
ผมเบ้ปาก
“พูดอย่างกับรู้จักผมมานานอย่างนั้นล่ะ”
เขาหัวเราะฮึๆ ในคอ
“ก็นานพอจะรู้ว่าเป็นเด็กดื้อแถมนิสัยไม่ดีล่ะนะ”
ผมยักไหล่แสดงให้เห็นความไม่แยแส ถ้าเป็นเพื่อนผู้หญิงในคณะก็คงพูดว่า ‘โนแคร์ โนสน’ อะไรทำนองนั้น
“ผมหน้าตาดีก็แล้วกัน”
ครับ หลงตัวเอง ยอมรับ
คราวนี้อีกฝ่ายกลับหัวเราะร่ากับคำตอบของผม ไร้ร่องรอยของชายขี้จับผิดเมื่อครู่โดยสิ้นเชิง
“ตลกจริงนะ”
เขาลดเสียงหัวเราะลงแล้วสบตาผมนิ่ง แววตานั้นลุ่มลึกน่าหลงใหล
“แต่ก็ไม่เถียงว่าเป็นความจริง”
...ไอ้เวร ไอ้หมอเวร....
**************************************************************************
[เกร็ดความรู้] "เพลงพระราชนิพนธ์
ยามเย็น หรือ
Love at Sundown เพลงพระราชนิพนธ์
ลำดับที่ ๒ ทรงพระราชนิพนธ์ ใน
พ.ศ. ๒๔๘๙ ขณะยังทรงเป็นสมเด็จพระอนุชาธิราช ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจักรพันธ์เพ็ญศิริ นิพนธ์คำร้องภาษาไทย และท่านผู้หญิงนพคุณ ทองใหญ่ ณ อยุธยา แต่งคำร้องภาษาอังกฤษ แล้วพระราชทานเพลงพระราชนิพนธ์ที่มีคำร้องสมบูรณ์ทั้งสองภาษาให้นายเอื้อ สุนทรสนาน นำไปให้นายบิลลี่หรือนาย คีติ คีตากร นักดนตรีชาวฟิลิปปินส์ซึ่งเป็นนักดนตรีในวงดนตรีสุนทราภรณ์เรียบเรียงเสียงประสานจนสมบูรณ์จึงได้
นำออกบรรเลงในงานของสมาคมปราบวัณโรค ณ เวทีลีลาศสวนอัมพร เมื่อวันเสาร์ที่ ๔ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๘๙ นับเป็นเพลงพระราชนิพนธ์เพลงแรกที่นำออกบรรเลงสู่ประชาชน เป็นเพลงที่ร่าเริงแจ่มใสเหมาะสำหรับการเต้นรำในสมัยนั้น จึงเป็นเพลงยอดนิยมของพสกนิกรไทยทันที"
ถ้านับเวลาตามเนื้อเรื่องซึ่งเกิดขึ้นในปี พ.ศ.2460 เพลงพระราชนิพนธ์ยามเย็นจะถูกเผยแพร่ออกสู่ประชาชนหลังจากนี้ 29 ปีพอดี
อ้างอิงประวัติเพลงยามเย็น :
ยามเย็น