(ต่อครึ่งหลังนะครับ)
“ยังไงพรุ่งนี้ จะเอามาส่งเวลาสี่โมงเหมือนเดิมนะครับ เอ่อ... ขอโทษครับ” คะน้าพลิกตัวหันหลังกลับ
“...อยากกินอะไรเย็นๆ”
“ห๊ะ?” คะน้าหันกลับมาหน้าเหวอ และยิ่งเหวอเข้าไป ...ถ้าตาเขาไปฝาด นั่นคือรอยยิ้มใช่ไหม?
ทิมเดินหันหลังกลับแล้วเดินไปพักที่ใต้เงาไม้ หย่อนตัวลงกับพื้นแล้วถอดหมวกพลาสติกสีเหลืองที่ปิดศีรษะออก
คะน้ายืนงงอยู่สักพัก เมื่อไม่รู้ว่าจะทำอะไรดี ชายหนุ่มก็สาวเท้าเข้าไปหาคนที่นั่งอยู่
“ง...งั้น... ให้ผมไปซื้อให้ไหมครับ” ทิมเลิกคิ้วสูงเหมือนตั้งคำถาม
“คืออันที่จริงคุณก็ควรจะนั่งทานไอติมเย็นๆ ที่นี่ด้วยซ้ำ เป็นเพราะความเผอเรอของผมเอง
เล็กๆ น้อยๆ แค่นี้ มันก็ไม่ได้เหลือบ่ากว่าแรงนะ ว่าแต่เอาน้ำอะไรดีล่ะครับ”
“ไม่เข้าท่า” ทิมแสยะยิ้ม แล้วมองไปทางอื่น ไม่สนใจคำถามของคนที่ยืนอยู่
พลางเอามือกระพือเสื้อไล่ความร้อน แล้วยกมือขึ้นเช็ดเม็ดเหงื่อที่ซึมเต็มไปทั่วไรผมจนเปียกชื้น
ดูเหมือนเขาจะไม่ได้สนใจอะไรในสิ่งที่คะน้าพูดเลย คนที่ยืนอยู่ถอนหายใจ
ถ้าเป็นไปได้ก็ไม่อยากให้ทิมรู้สึกไม่ดีกับการไม่รักษาสัญญาจริงๆ
“งั้นเดียวผมมานะ รอแป๊บ” โดยไม่สนใจคนที่นั่งอยู่ คะน้าวิ่งฉิวออกไปด้านนอกเสียแล้ว
ทิมจ้องมองคนที่วิ่งออกไป ส่ายหน้าด้วยความหน่าย สายลมโชยเอื่อยพอขับไล่ความร้อนจากไอแดด
ร่างสูงค่อยๆ เอามือปลดกระดุมเสื้อออก พับแขนเสื้อเชิ้ตให้ขึ้นสูงอีก แล้วเอนมือลงบนพื้นดิน
ถ่ายน้ำหนักลงไปที่แขนแบกรับความอ่อนล้าจากการคุมงานและอุณหภูมิของฤดูร้อน
...หลับตาลง ให้สายลมเย็นค่อยๆ พัดสัมผัสกาย
เพียงครู่เดียวขวดน้ำผลไม้ก็ถูกยื่นมาตรงหน้าพร้อมกับเสียงหายใจหอบ
ทิมลืมตาขึ้น มองขวดน้ำในมือแล้วเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของมือนั้นที่นั่งยองๆ อยู่ตรงหน้าเหมือนตั้งคำถาม
“น้ำผลไม้ครับ” คะน้าบิดฝาออก ปักหลอดลงไปแล้วยื่นส่งให้
“จะได้ชื่นใจนะครับ” คนที่สวมแว่นกันแดดหอบเหนื่อย ทิมเบือนหน้าหนี ไม่ใส่ใจใยดี
“กินไปเองเถอะ”
คะน้านั่งนิ่ง จ้องมองคนที่อยู่ตรงหน้าด้วยความเหนื่อยใจ เขารีบวิ่งออกไปจนล้าไปทั้งขา
หาน้ำผลไม้ที่เย็นที่สุด ในเวลาที่ร่างกายอ่อนล้าจากแดดร้อนๆ
น้ำตาลโมเลกุลเล็กในน้ำผลไม้จะดูดซึมได้ง่ายและทำให้กระปรี้กระเปร่า
คะน้าจ้องมองขวดน้ำส้มคั้นในมือแล้วถอนหายใจ ดูทิมจะไม่สนใจเลย
“บอกว่าให้กินไปเองไง”
คะน้านั่งเพละลงกับพื้นด้วยความเซ็ง รู้อย่างนี้ ไม่ดิ้นรนหาเรื่องเหนื่อยให้กับตัวเองก็ดี
ไหนว่าโชคดีๆๆๆๆ ไง ยังไงก็ไม่พ้นซวยแบบเดิมทุกทีนั่นแหละ จะไปเชื่ออะไรกับคำทำนายบนกระดาษไม่กี่ใบ
ว่าแล้วก็ดูดน้ำส้มเข้าปากจนฉ่ำอุรา เอ... จะว่าไปมันก็ชื่นใจดีแฮะ
“จริงๆ แล้วซื้อมาให้คุณกิน แต่ผมกินแทนก็ได้ หวานเจี๊ยบ! ชื่นจายยยย... อ๊า!!!”
คะน้าส่งเสียงดังแล้วนั่งยิ้มหายเหนื่อย ยกมือขึ้นปาดเหงื่อบนหน้าผาก
...สมน้ำหน้า ซื้อมาให้กินก็ไม่กิน เสร็จโก๋ล่ะเว้ยยย...
“หายเหนื่อยเลยเหรอ”
“อาฮะ เป็นปลิดทิ้งเลย!” ว่าแล้วก็ก้มลงดูดน้ำผลไม้คั้นสดต่อ
“ก็ดี”
ทิมเอ่ยพลางขยับตัวเข้ามา หนุ่มรุ่นน้องค่อยๆ โน้มตัวลงต่ำ
ริมฝีปากงับเข้าที่หลอดในขวดที่อยู่บนมือของคะน้า แล้วดูดน้ำสีส้มเย็นฉ่ำขึ้นจากหลอดใสช้าๆ
อีกครั้งแล้วที่ชายหนุ่มรุ่นน้องคนนี้เข้าระยะประชิดตัว คะน้ารู้สึกประหลาดกับระยะใกล้นั้น
...ใกล้จนได้กลิ่นอ่อนๆ จากผมของเขา ใกล้จนเห็นขนตาโค้งดำรับกับจมูกที่เรียวสูง
ไรผมที่เม็ดเหงื่อเปียกชื้นค่อยๆ ซึมไหลหยดลงมา ทิมเงยหน้าขึ้นจากหลอด ...ค่อยๆ ยิ้ม
“...หวานดีนะ”
วินาทีนั้นเหมือนมีใครอัดลมเข้าไปในตัว ความรู้สึกมันเบาจนอยากล่องลอยไปบนฟ้าสูงเหมือนขนนกที่ถูกแรงลมเป่า
บอกไม่ถูกว่ารู้สึกยังไง แต่คะน้าไม่คุ้นเคยกับระยะประชิดขนาดนี้จริงๆ
...ไม่นับรวมกับอ้อมกอดครั้งที่แล้วของคนนี้ที่นั่งอยู่ตรงหน้าแล้วปั้นหน้าไม่รู้ไม่ชี้
“เป็นอะไร น้ำลายจะหยดแล้ว” คะน้ารีบยกปากขึ้นหุบทันที!
เผลอทีไรได้ทำหน้าเอ๋อออกมาทุกทีสิน่า ...ก็แล้วจะให้ทำยังไงล่ะ คนมันงงนี่หว่า
“ไหนว่าไม่กิน” เพราะแกเลย ไอ้ทิม ไอ้วิศวะบ้าเอ้ย หมดกันความหล่อที่เราภาคภูมิใจ
“ไม่เคยบอกว่าจะไม่กิน”
“ก็บอกว่าให้กินไปเอง” เอ็งอย่ามาเถียงๆๆๆ กูจำได้นะเว้ยเฮ้ย คะน้าฟึดฟัด ทิมมองหน้าแล้วขบขัน
“ฮ่ะๆๆ ดูสารรูปตัวเองสิ ไม่ได้เจียมเลย เดี๋ยวเหอะได้ตายเอา
มันก็ขวดใหญ่นี่ แบ่งกันกินก็ได้” ส่ายหัวแล้วหันมายักคิ้วให้ “...ไม่ว่าเหรอ?”
“อ้าวววว...” เหวอ... เหวอสิครับ! มันเป็นจั่งซี่!!!
โว้ย... ก็ปล่อยให้กูบ้านะไอ้เท่ เปลี่ยนชื่อมันเป็นไอ้เห้ดีไหมเนี่ย
“ถอดแว่นสิ ไม่รำคาญเหรอไง ก็ไม่ได้ออกแดดนี่”
ทิมพูดพร้อมขับไล่ความเมื่อยด้วยการสะบัดคอไปมา คะน้ายกมือขึ้นถอดแว่นออก “แล้วนั่งให้มันดีๆ หน่อย”
คะน้ายิ้มกว้าง เอนตัวจัดร่างกายให้เป็นระเบียบมากขึ้น อันที่จริงจะว่าไปเขาก็เริ่มเหนื่อยน้อยลงแล้วด้วย
เท้ามือลงไปวางพาดกับพื้น ถ่ายน้ำหนักให้นั่งสบายขึ้น คนที่แก่กว่าเงยหน้าขึ้นแล้วมองทิมที่นั่งอยู่
“ร้อนเนอะ ว่าไหม” คะน้าบ่นหน้ามุ่ย ทิมขมวดคิ้วเครียด จ้องมองเขม็ง
“อยากจะแก้ผ้าให้มันรู้แล้วรู้รอดไปนะ เฮ้ออออ...” ทิมสะดุ้ง เผลออุทานออกมาเบาๆ
“ก...แก้ผะ...”
“ก็มันร้อนออก จะไหม้แล้วนะเนี่ย” คะน้าหัวเราะ
แต่เมื่อหันไปมองคนวัยอ่อนกว่าก็เห็นสีหน้าเคร่งเครียด ทิมจ้องเขม็ง อย่างกับเขาเป็นตัวประหลาด
“อะแฮ่ม” คะน้ากระแอมแก้เก้อ ...นี่เขาพูดอะไรเปิ่นๆ ไปอีกแล้วเหรอ
ทิมเบือนหน้าหนี เขาเงยหน้ามองร่มไม้เหนือตัว
“เพ้อเจ้อ”
คะน้าไม่ค่อยเข้าใจอะไรเท่าไหร่ ...หรือว่ามีอะไรติดหน้า? ว่าแล้วก็ยกมือขึ้นปัดไปทั่ว
เศษดินที่ติดกับมือเปรอะเปื้อนไปทั่วใบหน้าระเรื่อด้วยไอแดดโดยที่เจ้าตัวก็ไม่รู้ตัว
และยังคงเช็ดปัดจนคิดว่าสะอาดเอี่ยมเลี่ยมเล้ที่สุด
“หมดยัง?” คะน้าถามอย่างเซ็งๆ จะมีไหมสักครั้งที่เขาไม่ทำอะไรขายหน้าคนอื่น
แต่ทิมก็ยังเงยหน้ามองกิ่งไม้ข้างบนอยู่อย่างนั้น
...มึงไม่ตอบกูเนี่ย จ้องเข้าไป มันจะมีสาวยาคูลท์ถีบจักรยานออกมาล่ะมั๊ง
ชักจะเริ่มหงุดหงิดคะน้าเอื้อมมือไปเขย่าแขน ทิมรีบชักมือกลับ
“อะไร!”
“หมดยัง ดูให้หน่อยสิ”
“อะไรหมด?”
“ก็ฝุ่นไง ไอ้ที่มันติดๆ หน้าน่ะ” คะน้าโวย ทิมค่อยๆ หันมามอง
เขาเริ่มยิ้ม ก่อนจะค่อยๆ ขำจนกลั้นไม่อยู่แล้วระเบิดเป็นเสียงหัวเราะออกมา
“ยิ่งทุเรศกว่าเดิมไม่ว่า มานี่ดิ๊” คนอายุน้อยกว่าคว้ามืออีกคนดึงเข้าใกล้
ยกมืออีกข้างขึ้นปัดเบาๆ ก่อนจะพบว่ามือเขาก็เลอะอยู่เหมือนกัน
ลงท้ายกลายเป็นว่าหน้าตาของคะน้ากลับดูทุเรศลงกว่าเดิม
“หล่อแล้ว” ...เลยตามเลยก็แล้วกัน ทิมคิดแบบนั้น หันกลับไม่รู้ไม่ชี้ คะน้ายิ้มกริ่ม
“อันนี้ก็พอรู้ตัวนะ” ยืดอกเลยเว้ยยยยย.... คนอะไรทั้งหล่อทั้งเท่
“นี่ขนาดรู้ตัวแล้วนะ” ทิมถามยิ้มๆ คะน้าพยักหน้ามั่นใจ
...เรียกว่ามั่นใจอย่างไม่เคยรู้สึกมาก่อนทีเดียว
แดดร่มลมเย็นสบายหรือเปล่าก็ไม่แน่ใจ คะน้ารู้สึกว่าวันนี้ ทิมดูใจดีกว่าทุกๆ ครั้ง
ไม่โกรธเรื่องที่ไม่มาส่งไอติมสักนิด ที่สำคัญดูเหมือนว่าจะพูดเก่งขึ้นด้วย
“เจ็บไหม ไปผ่ามา” ทิมเอามือชี้ไปที่ตาตัวเองแทนคำถาม
“อ้อ... ไม่นะ โอเค ผ่าไว ไม่มีแผลนะ หวาดเสียวนิดหน่อย แต่โอเค”
“แล้วใส่แว่นขอทานนี่อีกนานป่ะ” ผีเจาะปากเอ็งมาล่ะสินะ คะน้าทำหน้ายุ่ง ทิมหัวเราะชอบใจ
“แล้วไอติมที่สั่งไว้ เดี๋ยวมาเดี๋ยวไม่มา แบบนี้จะรู้ได้ไง จะโกงเงินไปหรือเปล่าก็ไม่รู้”
โหย... มึง ก็มึงยัดใส่มือกูแท้ๆ ไอ้เวรนี่
“เหลืออีก 420 ไม่ลืม”
“เขี้ยวเนอะ ไม่มีส่วนลด” ถ้าพ่อเอาตีนงัดขึ้นมาสักทีจะเป็นไรไหม
“ก็ให้เยอะกว่าคนอื่นแล้ว กระติกเบ่อเร่อ คิด 40 เอง”
“แต่วันนี้ไม่มีส่ง แจ้งล่วงหน้าก็ไม่มี” มึงเอาไงกับกูเนี่ย ห๊า?
“เอาเบอร์ไปเลยไหม อยากรู้อะไร โทรถามเอา”
คะน้ชักจะหงุดหงิดเล็กๆ ทิมหัวเราะในลำคอ เขาเอามือล้วงลงกระเป๋ากางเกง
แล้วล้วงเอามือถือตัวเองขึ้นมา ก่อนจะส่งให้กับคะน้าแล้วยักคิ้วให้หนึ่งที คะน้าถอนหายใจฟืด
หยิบมือถือขึ้นมากดเมมชื่อตัวเองลงในโทรศัพท์ทิม กดไปก็คิดทบทวนเรื่องต่างๆ ไป
จะว่าไปวันนี้ก็แปลกๆ นะ ยียวนน่ะก็ใช่ แต่ถามอะไรก็ตอบตรงคำถามทุกอย่าง ไม่ค่อยงี่เง่าด้วย
ไหนๆ ก็ไหนๆ ขอกูอีกเรื่องเถอะนะไอ้ทิม ไอ้เด็กเวร
“คุณอายุเท่าไหร่เหรอ” สุภ๊าพสุภาพเนอะ ฮ่าๆๆๆ
“น้อยกว่า 3 ปี ถามทำไม” เย็นไว้ๆ อย่าหวั่นไหว
“เปล่า ก็อยากรู้ไง 25 เปล่า”
“ตกเลขเหรอ ต้องถามคนอื่น แค่นี้เอง” ดู!-มัน!-ตอบ!!!
“แปลกใจที่ไม่เคยเห็นเรียกผมว่าพี่เลย” ก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ
ตั้งแต่รู้จักมา ทิมไม่น่าจะนับเขาว่าเป็นพี่หรือน้องสักครั้ง
“ก็เรารุ่นๆ เดียวกัน” มันรุ่นเดียวกันตรงไหนของมัน ใครกันแน่วะที่ตกเลข
“น้องผู้หญิงคนนั้นอายุเท่าไหร่ ที่วันก่อนเจอน่ะ ชื่อว่าแนนมั๊ง”
“ถามทำไม ชอบเหรอ?” ทิมหันกลับมามองหน้า
“เปล่าๆ แค่อยากรู้” จำเป็นที่ถามแล้วต้องชอบ?
“23 มั๊ง ไม่ได้สนใจ” ทิมตอบแบบขอไปที คะน้าพยักหน้าหงึกๆ
“ก็เห็นเรียกเค้าว่าน้องแนน แล้วพี่ผู้หญิงคนนั้นล่ะ ที่ชื่อพี่รัตนา”
“คนนั้น 28 ชอบคนแก่เหรอ?” ไอ้เวรนี่ ดูแต่ละอย่างที่มันถาม
“ก็แล้วทำไมเรียกพี่รัตนาว่าพี่ ทีผมไม่เห็นเรียกว่าพี่” คะน้าถามด้วยความสงสัย
แต่ทิมกลับส่งเสียงไม่พอใจ ก่อนจะชักสีหน้าทันที
“กลับไปได้แล้ว จะทำงาน” ไม่มีคำตอบสำหรับคำถามนั้น คะน้าคิดว่าคงเป็นเขาที่ถามผิดคำถามเอง
ทิมลุกขึ้น คะน้าจึงค่อยๆ ขยับตัวลุกขึ้นยืนตาม “พรุ่งนี้สี่โมง เข้าใจไหม”
“ครับ” จะตอบว่า ‘เออ’ ก็กระไรอยู่ คะน้ารับคำแบบเซ็งๆ
ก่อนจะรู้สึกตกใจกับสัมผัสอะไรบางอย่างที่ถูกวางลงบนหัว
ยกมือขึ้นจับก็พบว่าเป็นหมวกสีเหลืองที่ทิมใส่ไว้เมื่อครู่
“หัดดูแลตัวเองซะบ้าง” ทิมเอ่ยด้วยเสียงปกติ ไม่ยียวนแบบทุกๆ ครั้ง “...รู้ไหม?”
คะน้าชะงักไปกับแววตาคู่นั้นและน้ำเสียงที่ทิ้งท้าย ...จะเรียกได้ไหมว่า ‘อ่อนโยน’
ความรู้สึกมันดูไม่ค่อยเหมือนทิมแบบทุกๆ วัน บางที คงเป็นอีกแง่มุมหนึ่งที่เขาไม่เคยรู้จักกระมั๊ง
“ขอบคุณครับ” คะน้ายิ้ม ทิมจ้องเขม็ง ก่อนจะเดินลิ่วกลับไปรวมกับกลุ่มคนงานที่นั่งพักอยู่อีกด้าน
คะน้าจึงปลีกตัวออกมาจากไซด์งานก่อสร้าง ก่อนจะพ้นรั้วที่ล้อมไว้ก็ไม่ลืมจะคืนหมวกกับลุงยามด้านหน้า
พระอาทิตย์เริ่มคล้อยลงต่ำ คะน้ากลับไปที่แผงในตลาด จันทูเก็บข้าวของเสร็จและกลับบ้านเรียบร้อยแล้ว
น่าจะเป็นวันแรกนับตั้งแต่ทำงานมาที่ชายหนุ่มเดินตัวปลิวไม่ต้องหอบข้าวของพะรุงพะรังกลับ
ค่ำนั้น เมื่อถึงบ้านก็โทรศัพท์ไปพูดคุยกับผักกาดเล็กน้อย ถามไถ่ถึงการผ่าตัดที่ทำพร้อมๆ กัน
ดูเหมือนว่าทุกอย่างจะราบรื่นดีเช่นกัน ชายหนุ่มเดินผ่านกระจก ถึงเพิ่งพบว่าโดยวิศวกรบ้าเอาฝุ่นป้ายหน้าเสียจนเละ
...เล่นกูละไอ้ทิม! คะน้ารีบไปอาบน้ำสระผมฟอกคราบเหงื่อไคลจนหมดให้ออกไป
พร้อมกับความแค้นฝังหุ่น อย่าให้มีโอกาสเอาคืนนะเอ็ง!
เช็ดตัวจนเสร็จเรียบร้อย ชายหนุ่มก็จ้องมองร่างที่เปลือยเปล่าของตัวเองในกระจก
...นี่หรือคือตัวเขา ไม่คุ้น ไม่เคยชินเอาเสียเลย แล้วอีกนานแค่ไหนนะที่เขาจะเคยชินกับความเปลี่ยนแปลงนี้เสียที
คะน้ายิ้มแบบเก้ๆ กังๆ ให้กับตัวเองในกระจก คิดว่าทุกอย่างน่าจะผ่านพ้นไปได้ด้วยดี
ชายหนุ่มล้มตัวลงนอน ฟูกที่หนานุ่มดูเหมือนจะนุ่มกว่าทุกๆ วัน
เสียงโทรศัพท์มือถือกังวานก้องบอกว่ามีข้อความเข้ามาใหม่ คะน้าหยิบขึ้นกดดู
ก็พบว่าเป็นข้อความมาจากเบอร์มือถือที่ไม่ได้ถูกบันทึกไว้ในเครื่อง นึกแปลกใจว่าเป็นใครที่ส่งมา
...กดอ่าน
ริมฝีปากอิ่มกระตุกตัวขึ้นเล็กน้อย รอยยิ้มเล็กๆ แย้มขึ้นบนใบหน้าของชายหนุ่มโดยที่เจ้าตัวก็ไม่เอะใจ
คะน้าหลับตาลงพร้อมกับความรู้สึกแปลกๆ ที่ไม่ค่อยคุ้นเคย
...แล้วโลกทั้งใบของผม ก็กลายเป็นสีดำอีกครั้ง
...สีดำที่อุ่นๆ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ชอบตอนนี้กันไหมครับ คนแต่งรู้สึกแอบชอบอยู่นะเนี่ย
คิดว่าอ่านจบแล้ว กองเชียร์ทิมคงตีกลองสะบัดชัยกันเลยทีเดียว
ส่วนคะแนนคุณหมอคงฮวบลงอย่างต่อเนื่องหรือเปล่านะ
คำถามก็คือ ...ใครหนอเป็นเจ้าของข้อความนั้น?
ขอบคุณทุกๆ คนมากนะครับ สำหรับกำลังใจ และการติดตามกัน
พบกันใหม่ เอ... เมื่อไหร่ดีนะ ขอคิดดูก่อนละกัน (นี่เองสินะ ความสุขเล็กๆ น้อยๆ ของคนแต่ง)
ก่อนจากกันขอแอบกอดทุกๆ คนหนึ่งที
แล้วพบกันตอนที่ 5 นะครับ