บทที่ 10 บ่าวในบ้าน [ครึ่งหลัง]
กว่าจะเรียนดนตรีเสร็จก็ปาไปบ่ายคล้อย บนเรือนเริ่มมีคนเข้ามาวุ่นวาย ผมเลยเลือกที่จะพาตัวเองลงมานั่งเล่นที่ท่าน้ำรอพาคุณทวดตัวดีไปพบป๊ากับม้าของผม...ของกรวิกน่ะ
ผมนั่งแอบอยู่ในเงาร่มไม้ สายลมเอื่อยๆ ที่เข้าปะทะใบหน้าชวนให้รู้สิดี แดดในตอนนี้ค่อนข้างแรง เดาจากสภาพแดดแล้วคงเป็นช่วงบ่ายสองถึงบ่ายสามโมง แต่เพราะไม่มีนาฬิกาเลยไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วมันกี่โมงกันแน่
ไปเข้าฝันแม่ให้เผามาให้ดีไหมน้า
ผมหัวเราะให้กับความคิดพิเรนทร์ของตัวเองก่อนจะค่อยๆ เบาลง
นั่นสิ ตัวตนของผมทางฝั่งนั้นจะเป็นยังไงกันนะ จะยังมีชีวิตอยู่รึเปล่าก็ไม่รู้ แล้วถ้าเกิดว่าผมตายไปแล้วล่ะ
...จะยังมีใครนึกถึงผมอยู่อีกไหมนะ...
การถูกลืมไปจากความทรงจำมันเจ็บปวดและน่ากลัว อย่างน้อยถ้าตายแล้วก็ขอแค่สักคน...ใครสักคนที่จะไม่ลืมผม
“ไอ้กร”
ผมรีบดึงตัวเองกลับมาแล้วหันไปมองตามเสียงเรียก
ไอ้มั่นกำลังเดินลงมาจากเรือนด้วยใบหน้าแช่มชื่น ไม่นานนักมันก็เดินมาถึงตัวผมแล้วคว้าคอผมเข้าไปกอดอย่างแรง
ดึงแรงขนาดนี้มันคงคิดว่าคอผมเป็นเชือกผูกควายล่ะมั้ง
“เอาไงดีมึง จะไปเลยไหม ยาดองดีๆ กำลังเรียกร้องหาพวกเราเว้ย”
นั่น เรียนเสร็จต้องไปก๊งเหล้า สันดานไอ้ไม้ชัดๆ
“ยังไปไม่ได้”
มันขมวดคิ้วยุ่งแล้วเริ่มเบะปาก
มันเอาแล้วครับ
“มึงหยุดโวยวายแล้วฟังกู คุณเปมทัตของมึงเขาจะไปคุยกับที่บ้านกูเรื่องจ้างคนครัวหลังจากซ้อมดนตรีเสร็จ กูก็ต้องพาเขาไปอย่างไรเล่า”
ถึงจะอธิบายไปแต่มันก็ยังไม่เลิกเบะปาก
“เออๆ มึงจะทิ้งกูใช่ไหม เอาเลยเกลอ”
มันพูดแล้วสะบัดหน้าหนี
นี่เพื่อนหรือแฟนครับ งอนจริงงอนจัง
“กูพูดตอนไหนว่ากูไม่ไป กูแค่บอกว่ากูยังไปตอนนี้ไม่ได้ ถ้ามึงยังไม่เลิกทำท่าฮะ....เฮ้ย”
ยังไม่ทันที่ผมจะพูดจบมันก็กระโดดเข้ามาคว้าคอผมไว้จนผมร้องลั่น
ไอ้นี่ผีเข้าผีออกเป็นบ้า
“มึงนี่ใจถึงจริงๆ ว่ะ”
“เออๆ ไว้เย็นๆ มึงค่อยมารับกูที่บ้านแล้วกัน”
“ได้เลยไอ้เกลอ”
มันว่าด้วยรอยยิ้มอารมณ์ดีแล้วบอกลาผมกลับบ้านไป ทิ้งผมให้นั่งอยู่ที่ท่าน้ำอย่างเปล่าเปลี่ยว
ผีเข้าผีออกขนานแท้
ผมหัวเราะแกนๆ ให้กับท่าทีของอีกฝ่ายแล้วทอดสายตามองน้ำในคลองไหลเอื่อยๆ
ถ้าหากประสบอุบัติเหตุอีกครั้ง บางทีผมอาจจะกลับร่างเดิมก็ได้...
“จะนั่งเหม่ออีกนานไหม”
เสียงทุ้มไม่คุ้นเคยที่ดังขึ้นด้านหลังทำให้ผมสะดุ้งโหยง
ไอ้บ้านี่ เป็นผีรึไงถึงชอบโผล่มาแบบนี้ตลอด
เอ๊ะ ผีเหรอ
เสียงนั่น...
“เราแค่ถาม ไยต้องตกอกตกใจปานนั้น”
ผมเบะปากก่อนจะรีบปรับสีหน้าเป็นปกติเมื่อหันไปหาเขา
“ก็คุณมาไม่ให้สุ้มให้เสียง จะไม่ได้ตกใจได้อย่างไรล่ะครับ”
เขาฉีกยิ้มบางๆ
ยิ้มอีกแล้ว คนๆ นี้ยิ้มบ่อยชะมัด เหมือนทีนไม่มีผิด สมแล้วที่เป็นทวดเหลนกัน
“เช่นนั้นเองรึ”
ผมไม่ได้ตอบอะไรออกไป เขาเองก็ไม่มีท่าทีว่าจะพูดอะไรออกมา พวกเราแค่ยืนมองหน้ากันนิ่งๆ อยู่อย่างนั้นจนกระทั่งเขาเป็นฝ่ายหมดความอดทนไปเอง
“พร้อมหรือยัง จะไปกันเลยไหม”
ผมพยักหน้าช้าๆ
“ก็ดีครับ ผมมีนัดกับมั่นต่อตอนเย็น”
“มีนัดไปที่ใดกัน”
ใบหน้าของเขามีความใคร่รู้ เหนือสิ่งอื่นใดคือแววตาวิบวับเหมือนกำลังจะพูดคำประเภท ‘ขอไปด้วยคนสิ’ อะไรทำนองนั้นออกมา
คิดไปเองไหมนะ
“ไปดื่มยาดองน่ะครับ ไอ้...เอ๊ย...มั่นเขาชวนน่ะครับ”
ผมได้ยินเขาหัวเราะ
“ชอบร่ำสุรารึ”
อะไรของเขา
สงสัยผมคงขมวดคิ้วหนักไปหน่อย อีกฝ่ายเลยพูดเสริมขึ้นมาเนิบๆ
“ก็แค่ถามดู”
แหม สอดรู้เหมือนกันนะเราเนี่ย
ไม่เอาครับ ไม่พูดออกไป เดี๋ยวโดนด่ากลับมา
“ก็ไม่เท่าไหร่ครับ ดื่มได้ถ้ามีเพื่อน ถ้าไม่มีก็คงไม่ชอบนัก”
เขาเอียงคอแล้วเลิกคิ้ว
ไอ้เหี้ย น่ารัก
นึกสภาพผู้ชายตัวโตๆ ทำท่าแบ๊วๆ สิ ถึงนี่จะแค่เอียงคอก็เถอะ
โคตรดี ดีจริงๆ
เฮ้ย ไม่ได้สิ ต้องดึงสติกลับมาก่อน
“สรุปก็คือชอบ?”
ผมยักไหล่
ฉิบหาย กูเผลอ
ผมรีบทำทีเป็นหมุนไหล่แก้เก้อ
“เอ่อ...ก็คงชอบล่ะมั้งครับ”
เขาเงียบก่อนจะหมุนตัวเดินนำไป
“สุราใช่ว่าจะเป็นของดี ไยจึงชอบดื่มเข้าไปนัก”
แหมะ แขวะกันเข้าไป ทำยังกับตัวเอง....
เอ๊ะ เดี๋ยวนะ ประโยคเมื่อกี้เหมือนเคยได้ยินที่ไหนมาก่อน
‘สุราใช่ว่าจะเป็นของดี ไยจึงชอบดื่มเข้าไปนัก’เดี๋ยวสิ นั่นมันเป็นประโยคจากเสียงปริศนาที่ผมเคยได้ยินในร้านเหล้าตอนไปกับไอ้ไม้และน้องหยกนี่นา
สรุปแล้ว เสียงที่ว่านั่น เป็นเสียงของคุณทวดจริงๆ ด้วย ผมลืมสังเกตไปเสียสนิทเลยว่าเนื้อเสียงของเขาเหมือนกับเสียงปริศนาที่ผมได้ยินเป๊ะ ถ้าเป็นอย่างนั้นก็หมายความว่าเสียงที่ผมได้ยินเป็นเสียงที่เขาพูดกับกรวิก
แล้วทำไม...ผมถึงได้ยินล่ะ
ทำไมกัน
“แล้วจะยืนอยู่ตรงนั้นอีกนานไหม รีบตามมาสิ”
“คะ ครับ”
ทำไมกันล่ะ หรือว่าผมจะเป็นกรวิกจริงๆ
ชักจะไม่ตลกแล้วสิ...
ในตอนบ่ายของวันที่ท้องฟ้าโปร่งสวย ไร้เมฆบัง มีแดดร้อนเปรี้ยงๆ พากันสาดส่องไปทั่วบริเวณ ดูสดใสราวกับช่วงซัมเมอร์ในสวิตเซอร์แลนด์ ผู้คนสวมหมวกบ้างไม่สวมบ้างเดินกันขวักไขว่ แต่ละคนก็แต่งตัวแตกต่างกันไป
นี่คงเป็นครั้งแรกที่ผมได้สังเกตอย่างจริงจัง
สำหรับผู้ชายแล้วคนที่ดูมีฐานะก็จะแต่งตัวอย่างเราๆ ในปัจจุบัน แต่อาจเป็นแฟชั่นที่ดูวินเทจอยู่หน่อย กางเกงขายาวทรงคุณลุง กับเสื้อเชิ้ตติดกระดุมยันเม็ดสุดท้าย ถ้าเป็นชาวบ้านก็จะเป็นเสื้อคอกลมสีขาวกับกางเกงแพร บ้างก็ยังนุ่งโจงกระเบนให้เห็นประปราย ส่วนผู้หญิงก็เป็นชุดร.6 เหมือนอย่างที่ชอบขายกันตามพาหุรัดบ้าง เสื้อเรียบๆ กับผ้าซิ่นบ้างปะปนกันไป คนรวยหน่อยก็นั่งรถม้า คนจนก็เดินเท้ากันไป ในคลองมีเรือพายสัญจรกันไปมาราวกับเป็นเรื่องปกติ
ยอมรับว่าเป็นอะไรที่โคตรตื่นตาตื่นใจ
“ตื่นตาตื่นใจอะไรปานนั้น”
คนตรงหน้าผมพูดด้วยสีหน้ายิ้มๆ ใบหน้าใต้หมวกสีอ่อนนั้นดูสดใสไม่ยี่หระไปกับแดดยามบ่าย สงสัยเพราะผมตื่นเต้นออกนอกหน้าไปหน่อยทำให้อีกคนจับสังเกตได้
คงต้องพยายามเก็บอาการกว่านี้หน่อย
“เปล่าครับ ผมแค่ไม่ชินกับการมีเจ้านายมาเดินใกล้ๆ”
จริงๆ ต้องบอกว่าเขาเดินนำแล้วผมเดินตามหลังถึงจะถูก แต่มันก็ใกล้ล่ะนะ
เขาเลิกคิ้วเล็กน้อย
“เธอไม่เคยได้ยินคำว่าข้าราชการต้องเข้าได้กับทุกคนรึ”
คราวนี้เป็นผมเองที่ขมวดคิ้ว
ก็แหม ถ้าให้นึกถึงข้าราชการในสมัยที่ผมจากมาล่ะก็คนดีก็มีมาก คนไม่ดีก็ใช่ว่าจะน้อยเสียเมื่อไหร่
พอเห็นผมเงียบเขาจึงเริ่มพูดต่อ
“ข้าราชการจักจำเริญในหน้าที่การงานได้นั้น จำเป็นต้องเข้าได้กับทุกคน ไม่เกี่ยงว่าจะเป็นไพร่หรือผู้ดี”
อุดมการณ์ล้ำเลิศประเสริฐสุด
“ทำหน้าเช่นนั้นหมายความว่าอย่างไร”
แย่ละ สงสัยเผลอเบ้ปากใส่แน่ๆ
“ทำหน้าเช่นไรหรือครับ”
ผมแกล้งถามพาซื่อ ตีเนียนไปครับ ความเนียนเท่านั้นที่จะครองโลก
เขาหรี่ตามองผมพร้อมกับยกยิ้มแล้วเอามือมาบีบจมูกผมเบาๆ
“ทะเล้นจริงนะ”
ไอ้เหี้ย กูช็อค ไอ้ทวดเป็นบ้าเหรอ เดี๋ยวก็โดนจับไปปาหินใส่หรอก
ผมเขยิบตัวหนีเขาหลังเรียกสติคืนมาได้
ยอมรับว่าเผลอเคลิ้ม แต่เราต้องไม่ไหลไปตามน้ำ
“ทำอะไรน่ะครับ”
“รังเกียจรึ”
นัยน์ตาสีดำสนิทฉายประกายบางอย่าง
อะไรบางอย่างที่ทำให้ผมรู้สึกว่าเขากำลังโยนหินถามทาง ถ้าเป็นยุคเราคงเป็นคำถามประเภทที่ว่า ‘เป็นเกย์รึเปล่าครับ’ แน่ๆ
อย่าบอกนะว่าทวด....
“คุณ...ชอบผู้ชายหรือครับ”
ไอ้เหี้ยมอส ทำอะไรลงไป ตายแน่ กูตายแน่ โรคยั้งปากไม่ทันมันมาจากไหนกันวะ
เขาเงียบไปก่อนจะค่อยๆ ถอยตัวห่างออกไป
“รีบเดินเข้าเถิด เดี๋ยวจะเย็นเสียก่อน”
ทันทีที่พูดจบเขาก็ออกเดินนำไปโดยไม่รอผมสักนิด
เป็นอะไรอีกล่ะนั่น
งง มอสงงไปหมด
แต่ต่อให้ยืนงงอยู่ตรงนี้จนถึงพรุ่งนี้เช้าก็ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้น ผมจึงรีบเร่งฝีเท้าตามเข้าไปแต่ไอ้ขายาวๆ นั่นมันก็ขยันก้าวเสียเหลือเกิน ภาพที่ออกมาเลยกลายเป็นเด็กหนุ่มหน้าตาดี นิสัยน่ารัก กำลังวิ่งตามชายหนุ่มขายาวไปเสียอย่างนั้น
เออ เอาความจริงก็เหมือนบ่าวที่โดนเจ้านายทิ้งนั่นแหละ
หลังจากวิ่งตามมาได้สักพัก
ย้ำว่า วิ่ง
พวกเราก็มาถึงหน้าบ้านที่ผมคลับคล้ายคลับคลาที่สุดในละแวกนี้
แหม จะบอกว่าคุ้นเคยในหนึ่งคืนนี่ก็น่ากลัวจะแปลกไป
บริเวณหน้าบ้านกึ่งหนึ่งถูกยึดไปด้วยแคร่ไม้ไผ่ที่มีถาดขนมตั้งอยู่ ในฐานเหลือขนมอยู่เล็กน้อย นับๆ ดูก็ราวสามสี่กระทง ยังไม่ทันที่ผมจะทำหน้าที่เจ้าของบ้านที่ดีด้วยการตะโกนเรียกอาม้า อาเจ้ก็เดินออกมาเสียก่อน
“อ้าว ทำไมลื้อวันนี้กลับมาเร็วนักล่ะ ปกติเห็นชอบไปหางานทำต่อนิ”
ผมส่งยิ้มแห้งให้เธอ
“พอดีอั๊วพาคนมาหาอาม้าน่ะ”
เธอเบนสายตาไปมองบุคคลที่สามพลางทำสีหน้าครุ่นคิด
“ใครล่ะ”
เปิดมาแบบนี้ ผมก็คงเลี่ยงหน้าที่ส่วนนี้ไม่ได้แล้วล่ะ
“คุณเปมทัตครับนี่พี่สาวของผม ชื่อ...”
ความฉิบหายที่แท้จริงมาเยือนแล้วครับ
...เจ้กูชื่ออะไรวะ...
“นี่ลื้อลืมชื่ออั๊วเหรอ”
ต้องแถครับ ต้องเอาตัวรอด
“กะ..ก็อั๊วไม่รู้ว่าอาเจ้อยากให้คนนอกเรียกว่าอย่างไรนี่นา”
เธอถอนหายใจใส่ผมอย่างรำคาญ
เค้าผิดไปแล้ว เค้าขอโทษ
“ดิฉันชื่อพลอยค่ะ”
โอ้โห ชื่ออย่างไทย พูดอั๊วลื้ออย่างคล่อง
“อาเจ้ครับ นี่คุณเปมทัตเป็นลูกของท่านเจ้าคุณอธิปครับ ผมเจอคุณเขาตอนไปเรียนดนตรี”
อาเจ้ของผมยกมือไหว้ ส่วนเขาก็ทำเพียงพยักหน้ารับเบาๆ
มือใหญ่เอื้อมมือไปถอดหมวกจากบนหัวมาถือไว้
“ที่เรามาในวันนี้ก็ตั้งใจจะมาชวนให้แม่ของพลอยไปเป็นแม่ครัวในบ้านเรา เพราะคุณแม่ท่านโปรดรสมือขนมของบ้านเธอมาก จึงอยากได้คนทำให้รับประทานทุกวัน จะเทียวไปเทียวมาแบบนี้ก็เห็นจะลำบาก”
ท่าทางสุภาพนุ่มนวลกับคำพูดสุภาพระดับสิบนั้นทำให้ผมกับอาเจ้ได้แต่ลอบมองตากันเงียบๆ
ใครมันจะกล้าไปปฏิเสธล่ะ
“ดิฉันเองก็ไม่สามารถจะตอบอะไรได้มาก คงต้องขอปรึกษาแม่ก่อนค่ะ ตอนนี้แม่ก็ไม่อยู่บ้านเพราะเอาข้าวไปส่งให้พ่อที่งานก่อสร้าง กว่าจะกลับก็คงเย็นย่ำ หากได้คำตอบอย่างไรดิฉันจะให้เจ้ากรไปบอกนะคะ ต้องขออภัยด้วยจริงๆ ค่ะ”
พอพูดจบก็ยกมือไหว้เสริมไปอีกหนึ่งที
อาเจ้เอาไปเลยเต็มสิบ ความสุภาพงดงามอ่อนช้อยจนไม่น่าเชื่อว่าเป็นแค่ลูกชาวบ้านธรรมดา
จะว่าไปบ้านนี้ก็เลี้ยงลูกแปลกไม่น้อย ปกติแล้วครอบครัวคนไทยเชื้อสายจีนมักจะพูดภาษาจีนในบ้านและตั้งชื่อลูกๆ เป็นภาษาจีน แต่ครอบครัวนี้นอกจากจะไม่ค่อยพูดภาษาจีนในบ้านแล้ว ยังไม่ตั้งชื่อลูกเป็นภาษาจีน ไม่ให้ลูกพูดคำจีนนอกบ้าน พยายามปรับตัวเป็นไทยอย่างยิ่งยวด
เข้าเมืองตาหลิ่วแล้วหลิ่วตาตามสุดๆ
ผมลอบมองคนตัวสูงนิดหน่อย
เขามีท่าทีสงบนิ่ง แต่นัยน์ตานั้นแปลกไป
ประกายวาบวับนั้นหายไปไหนแล้วนะ
“ก็คงต้องเป็นเช่นนั้นแล้วล่ะ อย่างไรเสียเราจะรอคำตอบนะ”
เขาว่าแค่นั้น ไม่มีกล่าวถึงผมแม้แต่น้อย ทั้งๆ ที่ปกติต้องทำแท้ๆ
...ทำไมกันล่ะ...
อ้าว แล้วกูจะเดือดร้อนทำไม
“เช่นนั้นเราขอเหมาขนมเลยแล้วกัน ห่อให้เราด้วยนะ”
ผมได้ยินอาเจ้เอ่ยรับคำ
ทำไมล่ะ ทำไมถึงไม่ชายตามามองผมสักนิด
ไอ้บ้าเอ๊ย มอส มึงเป็นอะไร น้อยใจเป็นสาวน้อยที่เพิ่งโดนแฟนหมางเมินอย่างนั้นล่ะ
ด้วยความชำนาญ ไม่นานนักห่อขนมก็เรียบร้อย เขาเพียงจ่ายเงินให้อาเจ้แล้วหยิบขนมก่อนจะทำท่าเหมือนจะเดินจากไปอย่างไรอย่างนั้น
“เดี๋ยวผมไปส่งครับ”
ปากมันไวกว่าสมองอีกแล้วครับ ทันทีที่เห็นว่าเขากำลังจะสาวเท้าจากไป ปากมันก็ลั่นไปเอง
พวกเรายืนสบตากันอึดใจก่อนที่เขาจะยกยิ้มบางเหมือนอย่างทุกที...
...ไม่เหมือน แวววิบวับในดวงตานั้นมันหายไปไหนแล้วล่ะ...
“ไม่เป็นไรหรอก เรากลับเองได้”
เขาพูดแค่นั้นก่อนจะเดินจากไปโดยไม่หันหลังกลับมามองอีกเลย
ทำไมล่ะ ทำไมกัน
“โชคดีจริงๆ เลยนะ มีเพื่อนเป็นถึงลูกข้าราชการใหญ่โต อั๊วว่าอาม้าต้องดีใจแน่ๆ เลย”
ผมพยักหน้ารับคำพูดของอาเจ้ไปส่งๆ อย่างนั้น ในหัวมันวนเวียนคิดแค่เพียงว่า...
ทำไมเขาถึงเปลี่ยนไป
หรือเพราะประโยคที่ผมถามออกไป แล้วผมต้องทำยังไงล่ะ
ต้องทำยังไงให้เขากลับมาเป็นเหมือนเดิม
เดี๋ยวๆ แล้วทำไมเราต้องอยากให้เขาทำตาวิบวับใส่เราด้วยล่ะ...
....
ไอ้เหี้ยเอ๊ย คนมีเป็นล้านทำไมกูไม่ชอบวะ ทำไมต้องเป็นคุณทวดด้วยนะ
ชอบใครไม่ชอบ ชอบทวดเพื่อน มอสจะบ้า
หลังจากเขากลับไป อาเจ้ก็ง่วนอยู่กับการเก็บร้านโดยมีผมเป็นลูกมือ อุปกรณ์ทั้งหลายถูกเก็บล้างอย่างรวดเร็ว ครั้นพอเก็บล้างเสร็จก็ต้องเข้าครัวทำอาหารเย็นต่อ
ล้างแล้วก็เอามาใช้ ใช้เสร็จก็ล้างอีก
“อาโซ้ยตี๋ ลื้อว่าอาม้าจะไปทำตามคำชวนของคุณเขารึเปล่า”
ประเด็นที่ถูกเปิดมาแบบงงๆ ทำให้ผมหันไปมองหน้าคนพูดเล็กน้อย
“อั๊วจะไปรู้ได้ไงเล่า”
เธอเงียบไปชั่วครู่ ปล่อยให้เสียงก๊องแก๊งของภาชนะที่กระทบกันดังก้องไปทั่ว
เงียบจนผมรู้สึกว่าตัวเองควรจะทำอะไรสักอย่าง
“แต่อั๊วอยากให้อาเจ้ไปมากกว่านะ”
สิ้นคำพูดของผมเสียงก๊องแก๊งของภาชนะก็หยุดลงแทบจะทันที
ผมเงยหน้ามองคนที่ยืนจ้องผมคิ้วขมวดอยู่แล้ว
“ก็...อั๊วเห็นอาเจ้ทะเลาะกับอ้าป๊าเรื่องในบ้าน ถ้าอาเจ้ได้ออกไปทำงานนอกบ้าน อาจจะมีความสุขมากกว่าก็ได้นะ”
พวกเราสบตากันชั่วอึดใจ สุดท้ายก็มีคนหลบตาแล้วเสียงก๊องแก๊งนั้นก็ดังขึ้นอีกครั้ง
ไม่มีคำเห็นด้วย ไม่มีคำเห็นต่าง
...ไม่มีอะไรเลย...
เธอทำเพียงแค่หลบตาผมแล้วบรรเลงเสียงก๊องแก๊งนั้นต่อไป
เมื่อเห็นดังนั้น ผมจึงก้มหน้าแล้วเริ่มทำงานขัดถูจานชามของตัวเองต่อ ไม่มีใครพูดอะไรออกมาสักคำ จนกระทั่ง...
“ไปเถอะอาหมวย”
เสียงที่ดังโพล่งขึ้นมาทำให้ผมหันขวับไปมองแทบจะทันที
สิ่งที่เห็นคืออาม้าที่ยืนยิ้มอยู่ตรงประตูครัว ใบหน้าเหี่ยวย่นนั้นเจือความอ่อนโยน
ผมหันไปมองอาเจ้ที่ตอนนี้เหมือนจะจิตหลุดไปแล้ว ผมจึงพ่นลมหายใจออกทางปากเรียกสติของตัวเองแล้วฉีกยิ้ม
“อาม้า มาตั้งแต่เมื่อไหร่หรือครับ”
หญิงสูงวัยส่งยิ้มใจดีให้ผมแล้วหันไปมองอีกคนที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตาทำอาหารจนแทบจะมุดลงไปในหม้ออยู่ร่มร่อ
“ไปเถอะ ฝีมือการครัวของลื้อก็ไม่ได้ห่างจากอาม้าเลย จริงอย่างที่อาโซ้ยตี๋พูด”
เสียงของเธอสั่น
“อั๊วอยากให้ลื้อมีความสุขบ้าง ลื้อเป็นคนที่ยิ้มสวยนะอาหมวย”
ผมได้ยินเสียงสะอื้นเบาๆ จากคนที่กำลังทำอาหาร
“อั๊วอยากให้ลูกๆ ของอั๊วทุกคนมีความสุข ไปอยู่ในที่ๆ ลื้อจะมีความสุขเถอะอาหมวย”
ไม่มีคำตอบรับ ไม่มีคำแย้ง
มีเพียงเสียงสะอื้นเบาๆ ที่ดังสะท้อนอยู่ในห้องครัว
อาม้าคงได้ยินทั้งหมดแต่ต้น ปกติการแอบฟังแบบนี้เป็นใครก็คงบอกว่ามันไม่ดี แต่สำหรับคราวนี้...มันดีแล้ว
“อาเจ้”
เสียงของผมเรียกให้สายตาของอาม้าต้องผินมามอง แต่คนที่ผมพยายามจะพูดด้วยกลับไม่ได้หันมา
“อั๊วกับไอ้มั่นก็ถูกคุณเขาชวนไปเป็นนักดนตรีประจำบ้านเหมือนกัน”
“จริงรึอาโซ้ยตี๋!”
น้ำเสียงตื่นเต้นที่เอ่ยถามขึ้นมาคือเสียงของอาม้า ใบหน้านั้นเต็มตื้นไปด้วยความปลื้มปิติ
แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ผมต้องการ
ผมพยักหน้าตอบรับอาม้าไปเบาๆ ก่อนจะหันไปสนใจกับอีกคน
“ถ้าเจ้ไป เจ้ก็ไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวนะ อั๊วกับมั่นจะหมั่นไปหาอาเจ้บ่อยๆ อั๊วสัญญา”
เสียงสะอื้นนั้นเงียบไป เหลือเพียงแผ่นหลังเล็กที่ยังคู้อยู่กับการทำอาหาร
พวกเราสามคนจมจ่ออยู่กับความเงียบอยู่หลายนาที จนเป็นผมเองที่ยอมแพ้
ถ้าเขาไม่อยากไป เราก็คงทำอะไรมากไม่ได้
“ลื้อสัญญาแล้วนะอาโซ้ยตี๋”
ฮะ?
“อย่าทิ้งให้อั๊วต้องอยู่คนเดียวนะ”
ผมใช้เวลาประมวลผลในสมองอยู่สองวิก่อนจะฉีกยิ้มกว้างแล้วหันไปมองหน้าอาม้า พวกเรายิ้มกว้างให้กันและกัน
“ใครจะทิ้งอาเจ้ของอั๊วได้ลงกัน”
ผมว่าพลางหัวเราะ
เอาเข้าจริง อาเจ้ของผมก็น่าแกล้งอยู่ไม่น้อย
“ไอ้กร! ข้ามารับเอ็งแล้วไอ้เกลอ”
ยังไม่ทันที่ผมจะได้คิดอะไรเพลินๆ เสียงตะโกนโหวกเหวกที่คุ้นหูก็พลันดังขึ้นที่หน้าบ้าน
เสียงแบบนี้ ท่าทางโหวกเหวกแบบนี้ ไม่ต้องสืบเลยครับ
“อาม้า อาเจ้ คืนนี้อั๊วขอไปก๊งเหล้ากับไอ้มั่นฉลองที่ได้งานหน่อยนะ”
อาม้าโบกมือไล่ผมด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม ในขณะที่อีกคนก็ยังไม่ยอมหันมา
ผมอมยิ้มคิดอยากจะแกล้งเธอขึ้นมาตงิดๆ
“เจ้ ไปก่อนนะ เดี๋ยวถ้าเจอผู้ชายหล่อๆ จะเอามาฝ...เหี้ย!”
ยังไม่ทันที่ผมจะแซ็วจบประโยค จวักที่ใช้คนแกงในหม้อเมื่อครู่ก็ลอยเฉียดหัวผมไปหน่อยเดียวจนเผลอสบถออกมา
อาเจ้กูเป็นสายแทงค์
“ไปเลยนะ ไม่เมาไม่ต้องกลับมา”
แม้ว่าถ้อยคำที่พูดออกมาจะดูออกแนวขับไล่ไสสู่ แต่สีหน้าเปื้อนยิ้มทั้งๆ ทีตาแดงก่ำนั้นทำให้ผมรู้ว่าเธอไม่ได้โกรธผมจริงจังอย่างปากว่า
ผมมองใบหน้าเปื้อนยิ้มนั้นนิดหน่อยก่อนจะรีบบอกลาอาม้าอีกครั้งแล้ววิ่งไปหาคนที่ตะโกนเหวกเหวกอยู่หน้าบ้าน
จะว่าไปอาม้าก็พูดถูกอยู่นะ
เวลาอาเจ้ยิ้มแล้วสวยจริงๆ ด้วย
**************************************************************************************************
ครึ่งหลังนี่แน่นๆ ไปหน่อยเพราะปิงปองแบ่งวรรคตอนไม่ดีเองค่ะ ตอนหน้าจะพยายามทำให้ดีขึ้นน้า