[จบแล้ว]เมื่อผมถูกส่งไปขัดดอก YAOI ประกาศ (26/05/61)#หน้า14
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [จบแล้ว]เมื่อผมถูกส่งไปขัดดอก YAOI ประกาศ (26/05/61)#หน้า14  (อ่าน 70269 ครั้ง)

ออฟไลน์ WwW

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 330
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +134/-0


ตอนที่ 32

ความจริงเมื่อสิบแปดปีก่อน!

 

“ถ้านายถามฉันแบบนี้  แสดงว่าไปตามสืบมาหมดแล้วสินะ”

“แล้วการที่พี่ให้ปากกานั้นกับผม  ไม่ใช่เพราะพี่ต้องการจะบอก ‘ความจริง’ ที่พี่ปิดบังเอาไว้หรือไง”

คำว่าปากกาที่คุณอวกาศพูดออกมาทำให้ผมสะดุ้งโหยงตามลักษณะนิสัยของผู้มีความผิด  ลืมไปเลยว่าตอนนี้ไอ้ปากกานั่นมันก็ยังนอนแอ้งแม้งอยู่ในกระเป๋าของผม…

ตะ…ต้องหาโอกาสเอามันกลับไปเก็บแล้ว!

“ถ้างั้น…นายก็รู้แล้วสิ  ว่า…”

คุณจักรวาลพูดค้างไว้  นัยน์ตาสีดำมองเลยมาทางผมที่กำลังหันซ้ายหันขวาเพื่อคิดหาทางออกว่าจะเอาปากกากลับไปไว้ในห้องตามเดิมยังไงดี

“อื้ม  ผมรู้แล้ว”

“มะ…มองผมกันทำไมเหรอครับ”

พอเริ่มรู้สึกตัวว่ากำลังกลายเป็นที่สนใจของสายตาทั้งสามคู่ผมก็เริ่มเหงื่อตก  กำลังจะเล่าเรื่องเมื่อสิบแปดปีก่อนกันไม่ใช่เหรอ  การที่พร้อมใจกันมองหน้าผมในเวลาแบบนี้คงไม่ได้คิดว่าผมคือคนร้ายเมื่อสิบแปดปีก่อนหรอกนะ!!!

โป๊ก!

“โอ๊ย!  ทำอะไรวะไอ้เฟี้ยว!”

“เขกให้ความคิดเพี้ยนๆของมึงหลุดออกมาจากหัวไง  ทำหน้าแบบนี้แสดงว่ากำลังคิดว่าพวกกูคิดว่ามึงคือคนร้ายเมื่อสิบแปดปีก่อนใช่มะ”

“ระ…รู้ได้ไงวะ”

“มันแปะอยู่บนหน้ามึงไงไอ้ฟาย!”

นับวันมันยิ่งสถุนกับผมมากขึ้นเรื่อยๆแฮะ

“สิบแปดปีก่อนกูกับมึงยังไม่เกิดเลยมั้ง!   เผลอๆยังเป็นวุ้นอยู่ในท้องแม่ด้วยซ้ำ  ไม่มีใครเขาคิดแบบนั้นหรอกเฟ้ย”

“เออเนอะ  กูยังไม่สิบแปดปีเต็มเลยนี่หว่า  เหลืออีกตั้งสี่เดือน”

ผมชู้นิ้วขึ้นมาสี่นิ้ว  งั้นก็รอดพ้นจากการถูกเป็นผู้จ้องสงสัยแล้วสินะ  โล่งอกไปที  นึกว่าถูกพวกเขาสงสัยคิดว่าเป็นคนร้ายไปเสียแล้ว  ฟู่!!!

“แล้วตกลงยังไง  แกพร้อมจะเล่าหรือยัง”

ไอ้เฟี้ยวหันกลับไปโฟกัสที่คุณจักรวาลต่อ  เขายังนอนแผ่หลาอยู่ที่เดิมโดยมีคุณอวกาศนั่งรอฟังคำตอบอยู่ข้างๆ

“สิบแปดปีก่อน  ในวันนั้น…ฉันอยู่ที่โรงแรม”

 

สิบแปดปีก่อน

ก๊อกก๊อกก๊อก

“เข้ามา”

ประตูห้องทำงานของไกรเทพถูกเปิดออก   จักรวาลในวัยสิบเจ็ดย่างสิบแปดปีเดินเข้าเพราะถูกแม่บ้านไปตามที่ห้อง

“คุณท่านเรียกผมเหรอครับ”

“บอกกี่ครั้งแล้วว่าให้เรียกคุณพ่อ  ฉันเป็นพ่อของนายนะ”

“แต่คุณหญิงไม่ได้อยู่ที่นี่…”

“คุณแม่”

“…”

“จักรวาล  ต้องให้ฉันบอกกี่รอบกันว่านายคือลูกของฉันกับเสียงพิณ  ลืมสายเลือดที่ไหลเวียนอยู่ในตัวนายไปซะ  เสียงพิณรักนายมาก  นายก็รู้ไม่ใช่เหรอ”

“ครับ”

ชายหนุ่มรับคำ  เขารู้ดีว่าเสียงพิณรักเขามากแค่ไหน  แต่นั่นก็เพราะ…เธอคิดว่าเขาคือลูกชายแท้ๆของเธอจริงๆ  เธอไม่เคยรู้เลยว่า…เด็กที่เธอเลี้ยงมาตั้งแต่แรกเกิด  ให้นม  ให้ความรัก  จะไม่ได้มีสายเลือดเดียวกันกับเธอเลย

แค่คิดเรื่องนี้…จักรวาลก็เจ็บปวดใจจนอยากจะร้องไห้

“และที่ฉันเรียกนายมาวันนี้ก็เพราะ…เรื่องที่เคยบอกไว้เมื่อสามเดือนก่อนนั่นแหละ”

“รู้ตัวคนทำแล้วเหรอครับ?”

“ยังไม่แน่ใจเท่าไหร่  แต่ก็…เจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์แล้ว”

ไกรเทพตอบด้วยสีหน้าลำบากใจสุดๆ  จักรวาลเองก็เช่นกัน

 

ย้อนกลับไปสามเดือนก่อน  ไกรเทพตรวจพบว่ามีการทุจริตเกิดขึ้นในบริษัท  ทั้งการยักยอกทรัพย์  และพยายามดิสเครดิตชื่อเสียงของเขาในฐานะประธานบริหารด้วยการเอาชื่อเขาไปอ้างทำเรื่องเสียหายจนต้องมานั่งแถลงข่าวกันยกใหญ่  เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้ไกรเทพรู้ว่ามีผู้ไม่หวังดีต่อบริษัท  เขาปิดเรื่องทุกอย่างไว้เป็นความลับโดยบอกให้รู้แค่จักรวาลและคนสนิทที่เขาสั่งให้ไปตรวจสอบเรื่องนี้ว่าเป็นฝีมือของใคร  แม้แต่ไกรศรน้องชายเขาก็ไม่ได้บอก  เพราะหากมีอันตรายอะไรเกิดขึ้น  น้องชายของเขาจะได้ไม่ต้องโดนหางเลขไปด้วย

ทว่าขณะเดียวกัน  ในช่วงวันอาทิตย์ซึ่งเป็นวันหยุดพักผ่อนของครอบครัว  จักรวาลเล่นวิ่งไล่จับกับ ‘อวกาศ’ น้องชายวัยแปดขวบซึ่งกำลังซนได้ที่เหมือนทุกครั้ง  ตอนนั้นเอง  เขาบังเอิญหันไปเห็นคนแปลกหน้าที่ไม่ใช่คนในบ้านรอบเข้ามาและตรงไปยังห้องอ่านหนังสือของเสียงพิณ  แน่นอนว่าในห้องนั้นไม่มีใครนอกจากเธอเพียงคนเดียว!

“อวกาศ  ไปตามคุณพ่อมานะ   บอกให้คุณพ่อตามพี่ไปที่ห้องอ่านหนังสือของคุณแม่เดี๋ยวนี้”

จักรวาลที่เห็นท่าไม่ดีรีบบอกน้องชาย  อวกาศแปลกใจกับท่าทางร้อนรนของเขาแต่ก็ไม่ได้ถามอะไร  รีบวิ่งไปหาไกรเทพที่ในวันหยุดแบบนี้เขาจะชอบไปนั่งแต่งสวนอยู่กับพวกคนสวนเป็นประจำ

พอเด็กน้อยหายเข้าไปในสวนแล้ว  จักรวาลก็รีบออกตัววิ่งไปที่ห้องอ่านหนังสือ  ในใจภาวนาขอให้หญิงสาวที่กำลังตั้งท้องอ่อนๆอยู่ตอนนี้ปลอดภัย!

ผ่างงง!

“คุณแม่!”

เขาตะโกนเรียกเธอทันทีที่เปิดประตูห้องเข้าไปได้  เสียงพิณที่เผลออ่านหนังสือจนหลับไปสะลึกสะลือขึ้นมาอย่างงงๆ  เธอฉีกยิ้มหวานเมื่อเห็นว่าเป็นลูกชายคนโตสุดที่รัก

“จักรวาล  มีอะไรเหรอลูก  ทำหน้าตาน่ากลัวเชียว”

ชายหนุ่มไม่ตอบ  เขาเดินตรงไปยังหน้าต่างของห้องที่ถูกเปิดทิ้งไว้ก่อนจะชะโงกคอมองออกไปข้างนอก  สายตาปะทะเข้ากับชายแปลกหน้าคนดังกล่าวที่กำลังจะปีนกำแพงบ้านนี้  มันหันมามองเขาพร้อมแสยะยิ้มน่าขนลุก  ในมือถือมีดปลายแหลมเอาไว้   จักรวาลตกใจจนตัวแข็งทื่อ  แต่ยังไม่ทันได้ทำอะไรมากไปกว่านี้  ไกรเทพที่อุ้มอวกาศด้วยมาด้วยก็มาถึงเสียก่อน

“เสียงพิณ!  จักรวาล!  เกิดอะไรขึ้น”

“คุณคะ  มีเรื่องอะไรกันเหรอคะ  ฉันงงไปหมดแล้ว”

“ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน  จู่ๆอวกาศก็วิ่งหน้าตั้งไปตามผมบอกว่าจักรวาลให้ตามมาที่นี่  ผมก็นึกว่าเกิดอะไรขึ้นกับคุณ  แต่คุณไม่เป็นไรใช่ไหม”

“ไม่ค่ะ  ฉันอ่านหนังสือแล้วเผลอหลับไป  ตื่นอีกทีก็ตอนที่จักรวาลเปิดประตูมาตะโกนเรียกฉันเสียงดังนี่แหละค่ะ”

เสียงพิณเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้ฟัง  จักรวาลที่ยืนมองจนชายแปลกหน้าคนนั้นปีนกำแพงหายออกไปแล้วหันกลับมาให้ความสนใจกับทุกคนก่อนจะตั้งคำถามกับหญิงสาวเพียงคนเดียวในนี้

“คุณแม่ครับ  ก่อนจะหลับไป  คุณแม่ได้เปิดหน้าต่างเอาไว้หรือเปล่า”

“แม่จำได้ว่าไม่ได้เปิดนะ  กำลังสงสัยอยู่เลยว่าใครเข้ามาเปิด”

“มันแน่ๆ!”

ความกลัวเข้าเกาะกินจิตใจของชายหนุ่มทันที  ถ้าเมื่อครู่เขามาช้าไปกว่านี้อีกนิด  เสียงพิณอาจถูกทำร้ายไปแล้วก็ได้!

“จักรวาล  เกิดอะไรขึ้นกันแน่   เล่าให้พ่อฟังเดี๋ยวนี้”

 

หลังจากนั้นไกรเทพจึงส่งเสียงพิณที่ตอนนั้นกำลังตั้งท้องได้สองเดือนไปอยู่ที่อื่นเพื่อความปลอดภัย  เพราะเริ่มแน่ใจแล้วว่ามีคนจ้องที่จะทำร้ายเธอ  แม้จะยังไม่รู้สาเหตุว่าเป็นเพราะอะไรก็ตาม   จนตอนนี้ผ่านมาสามเดือนแล้ว  เสียงพิณก็ยังไม่ได้กลับมาอยู่ที่บ้าน  จักรวาลและอวกาศจึงมีโอกาสได้เจอเธอแค่นานๆครั้งเท่านั้น  ไกรเทพจำเป็นต้องทำเพื่อรักษาความปลอดภัยของเธอกับลูกในท้องจนกว่าเขาจะจัดการกับคนที่คิดร้ายกับครอบครัวเขาได้!

“ใครเหรอครับ”

“ไกรศร…”

“ครับ?”

“หลายเดือนมานี้มีเงินหมุนเวียนเข้าออกในบัญชีของไกรศรเกือบพันล้าน  ทั้งที่ตำแหน่งของเขาไม่มีทางจะมีเงินหมุนเวียนในบัญชีได้ขนาดนั้น   แม้แต่ฉันเองก็ยังไม่มีทางเลย  เพราะมันเป็นเงินของบริษัท  นำมาใช้เรื่องส่วนตัวได้ก็จริง  แต่ไม่ใช่ทั้งหมด”

“ตรวจสอบดีแล้วเหรอครับ  มันอาจจะมีอะไรผิดพลาดก็ได้  คุณอาไกรศรเป็นน้องชายของคุณพ่อนะครับ  แล้วยัง…”

“…”

“วินนี่อีก…”

ไกรเทพพยักหน้ารับรู้  เขาเองก็ลำบากใจไม่แพ้กันเมื่อผู้ต้องสงสัยกลายเป็นน้องชายสุดที่รักแบบนี้

“ฉันภาวนาขอให้มันเป็นแค่เรื่องเข้าใจผิด  แต่พอคิดว่าบางทีไกรศรอาจจะรู้ว่านายไม่ใช่ลูกแท้ๆของฉันกับเสียงพิณ  มันก็อดคิดไม่ได้ว่าเขาอาจจะโกรธและคิดว่าฉันทำไปเพื่อแย่งมรดกมาจากเขาก็ได้”

“แต่ผมไม่คิดแบบนั้น  คุณอารักคุณพ่อมาก  รักผม  รักอวกาศ  สองครอบครัวรักใคร่กันดีมาตลอด  ถึงจะรู้ความจริงเรื่องนี้ผมว่าถ้าเป็นคุณอาจะต้องเข้ามาคุยเรื่องนี้ตรงๆและปรับความเข้าใจกันได้ด้วยดีแน่นอน  ไม่มีทางเป็นเหตุผลนี้หรอกครับ”

“ก็จริงนะ  ไกรศรไม่ใช่คนไม่มีเหตุผลแบบนั้น  อีกอย่าง  เขาไม่เคยหวังสมบัติหรืออยากจะได้มรดกอะไรอยู่แล้ว  น้องชายฉันเป็นคนดีขนาดไหน  ฉันเป็นพี่ย่อมรู้ดีที่สุด”

“ครับ”

พวกเขาต่างเรียกความเชื่อมั่นในตัวของไกรศรกลับมาด้วยตัวเอง  จักรวาลระบายยิ้มออกมาอย่างโล่งใจเมื่อดูท่าว่าไกรศรจะหลุดจากการเป็นผู้ต้องสงสัยในใจของไกรเทพแล้ว  เขาเป็นพวกกวินทร์  ไม่อยากให้เพื่อนรักรู้ว่าพ่อของตัวเองกำลังถูกสงสัยอยู่

 

“ฮัลโหลวินนี่  ฉันมาถึงแล้ว  นายอยู่ที่ไหนน่ะ”

[ผมรออยู่ที่ห้อง2501ครับ  คุณขึ้นมาเลยนะ]

“โอเค  เดี๋ยวเจอกัน”

จักรวาลกดวางสาย  เก็บมือถือใส่กระเป๋าแล้วเดินตรงไปที่ลิฟต์ของโรงแรมห้าดาวกลางกรุง  วันนี้เขามีนัดกับกวินทร์ที่ส่งข้อความมานัดตั้งแต่เมื่อคืน  เพราะวันนี้อีกฝ่ายไม่ได้มาโรงเรียนด้วย  เมื่ออดเป็นห่วงไม่ได้  พอเลิกเรียนเลยรีบมาตามนัด

“ว่าแต่  ทำไมหมอนั่นต้องนัดมาโรงแรมหรูๆแบบนี้นะ  หรือว่าจะค้างคืน?”

คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยขณะกำลังเดินไปยังห้องที่กวินทร์รออยู่  พวกเขามักไปเที่ยวเล่นจนเปิดโรงแรมนอนค้างคืนด้วยกันเป็นประจำอยู่แล้ว  ครั้งนี้จักรวาลจึงไม่ได้สงสัยอะไรมากนัก

ก๊อกก๊อกก๊อก

ยืนรออยู่ไม่นานกวินทร์ก็เดินออกมาเปิดประตู  จักรวาลยิ้มกว้างทันทีที่เห็นว่าเพื่อนรักยังปกติดีไม่ได้มีไข้ตรงไหน

“เข้ามาสิครับ  ผมสั่งอาหารไว้เพียบเลย”

“มีปาร์ตี้เหรอ?  วันสำคัญอะไรหรือเปล่า”

“กินก่อนสิครับ  เดี๋ยวผมจะบอกว่าวันอะไร”

จักรวาลพยักหน้ารับ  เขาวางกระเป๋าลงบนโซฟาก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งตาม  หลังจากวันที่คุยกับไกรเทพล่าสุดเรื่องที่ไกรศรคอผู้ต้องสงสัยก็ผ่านมาสองเดือนแล้ว  ทุกอย่างยังไม่คืบหน้าเพราะดูเหมือนคราวนี้คนที่ยักยอกเงินในบริษัทจะเปลี่ยนวิธีและใช้การฟอกเงินเข้าช่วยแทน  ขณะเดียวเรื่องการดิสเครดิตของไกรเทพยังคงมีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ  จนคู่ค้าหลายรายพากันถอนตัวเพื่อให้เวลาไกรเทพได้จัดการกับปัญหานี้ก่อน

“หน้าตาคุณดูเครียดๆนะครับ”

“อืม  ที่บริษัทคุณพ่อมีปัญหาเยอะน่ะ  ฉันอยากจะช่วย  แต่ก็ยังเด็กเกินไปเลยช่วยอะไรไม่ได้เลย”

“นั่นสินะครับ  พวกเรายังเด็ก  ก็เลยช่วยอะไรพวกคุณพ่อไม่ได้สักอย่าง”

“ว่าแต่นายเถอะ  แผลหายดีแล้วแน่นะ”

สายตามองไปยังช่วงท้องซึ่งเป็นจุดที่กวินทร์โดนแทงเพื่อช่วยชีวิตเขา  อีกฝ่ายระบายยิ้มอ่อนโยนก่อนจะเอื้อมมือมาแตะที่แก้มของจักรวาล

“ผมไม่เป็นไรหรอกครับ  แผลนี้คือสิ่งยืนยันว่าการที่คุณยังมีชีวิตอยู่ตรงหน้าผมเป็นเพราะผมรับเอาความตายมาจากคุณ”

“วินนี่…”

“ผมล้อเล่นครับ  ผมเต็มใจเข้าไปช่วยเอง  เพราะถ้าปล่อยให้คุณเป็นอะไรไป  ผมคงมีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้”

“ฉันก็เหมือนกัน  วันนั้นฉันนึกว่านายจะตายซะแล้ว”

“แล้วถ้าผมตายล่ะครับ”

“…”

“ถ้าวันหนึ่ง…ผมตายขึ้นมา  คุณจะทำยังไง”

“ทำไมพูดอะไรน่ากลัวแบบนั้น  ไม่เอาแล้ว  ไม่คุยเรื่องแบบนี้ดีกว่า”

จักรวาลปัดมือกวินทร์ออกแล้วยกแก้วเครื่องดื่มขึ้นมาดื่มทีเดียวหมดแก้ว   กวินทร์ยังคงยิ้มกว้างมองคนตรงหน้าที่หยิบนู่นนี่นั่นเข้าปากอย่างเอร็ดอร่อย  จนกระทั่ง…

ตุ้บ…

ร่างสูงของจักรวาลฟุบหลายหลังลงไปกับโซฟา  เขาหลับสนิทด้วยฤทธิ์ยาที่ผสมอยู่ในเครื่องดื่มและอาหารจำนวนมากนี้  กวินทร์ที่รอเวลาให้ยาออกฤทธิ์ลุกขึ้นไปช้อนร่างของเพื่อนสนิทขึ้นมาไว้ในอ้อมแขนแล้วพาเดินไปที่เตียง  จัดท่าทางการนอนก่อนจะห่มผ้าให้เพื่อความอบอุ่น

“ขอโทษนะครับที่ต้องทำแบบนี้  แต่ผมยอมให้คุณตายไม่ได้”

“…”

“เพราะคุณคือเพื่อนคนแรกและคนเดียวที่ผมมี  ผมจะปกป้องคุณเหมือนที่คุณคอยปกป้องผมมาตลอด”

“…”

“ขออย่างเดียว   ถ้าตื่นขึ้นมาแล้ว  อย่าเกลียดผมเลยนะครับ”

กวินทร์เอ่ยเสียงสั่นเครือพร้อมน้ำตาที่ไหลพรากออกมา  มือถือในกระเป๋าของจักรวาลสั่นขึ้น  เขาลุกขึ้นไปหยิบมันออกมาเปิดดูที่หน้าจอ

 

‘คุณพ่อ’

 

“คุณลุงกับลูกของคุณลุงน่ะ   หายไปซะ  ผมไม่ต้องการใครอีกแล้วนอกจากจักรวาล”

แววตาที่เคยอ่อนโยนมาตลอดแปรเปลี่ยนเป็นเยือกเย็น  นิ้วมือเรียวเลื่อนขึ้นไปที่ปุ่มสีแดงตรงหน้าจอโทรศัพท์

ติ๊ด!

กดตัดสายทิ้งและปิดเครื่องไปทันที…

 

วิ้ง…วิ้ง…

แสงแดดยามเช้าทแยงเข้าตาชายหนุ่มที่นอนหลับอุตุมาตั้งแต่เมื่อคืน  เขายกมือขึ้นบังแสงนั้นไว้ก่อนจะค่อยๆยันตัวลุกขึ้น  ในหัวมึนงงเพราะฤทธิ์ยา  พอมองไปรอบๆก็พบว่าในห้องนี้เหลือเพียงแค่เขาคนเดียว

“วินนี่?”

เอ่ยเรียกชื่อเพื่อนทว่าไม่มีเสียงตอบกลับ  ร่างสูงลุกขึ้นเดินเซไปทั่วห้อง  แต่ไม่ว่าจะตรงระเบียงหรือในห้องน้ำก็ไม่ปรากฏร่างของคนที่ตามหาเลย

“ไปไหนนะ  อ้า…ทำไมปวดหัวแบบนี้  หลับไปตอนไหนนะเรา”

ตุ้บ!  ติ๊ด!

[ข่าวด่วนค่ะ]

จักรวาลที่เดินไปนั่งปุลงบนโซฟาสะดุ้งอย่างตกใจเพราะดันนั่งทับรีโมทพอดี  ทีวีที่อยู่ตรงหน้าจึงคิดขึ้นพร้อมกับข่าวด่วนที่นักข่าวกำลังรายงานล่าสุด  ชายหนุ่มไม่ได้สนใจ  เขาหยิบกระเป๋าขึ้นมาหามือถือของตัวเองก่อนจะพบว่ามันปิดเครื่องอยู่

“เราปิดเครื่องด้วยเหรอ?”

จำอะไรไม่ได้สักอย่าง  จักรวาลกดเปิดเครื่องเพื่อจะโทรบอกไกรเทพว่าเขามาค้างกับกวินทร์จะได้ไม่ต้องเป็นห่วง  จังหวะที่กำลังสะพายกระเป๋าเพื่อจะออกจากห้องนั้นเอง  เสียงที่ดังออกมาจากในทีวีทำให้เขาต้องหยุดชะงัก!

[เกิดอุบัติเหตุรถยนต์พุ่งตกหน้าผานะคะ  ทราบชื่อว่าเป็นนักธุรกิจใหญ่กับลูกชายวัยแปดขวบ  คุณไกรเทพ  อสังหา  และลูกชายคนเล็ก  คุณอวกาศ  อสังหาค่ะ!]

ตุ้บ!!!

กกระเป๋าสะพายร่วงหล่นไปบนพื้น  ดวงตาทั้งสองเบิกกว้างขึ้น  เขาหันกลับมาทางทีวีอีกครั้งเพื่อดูเนื้อความในข่าว  ในข่าวบอกว่าขณะนี้ทั้งไกรเทพและอวกาศถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลแล้ว  ทั้งสองบาดเจ็บหนักและอาการเป็นตายเท่ากัน!

ครืด…ครืด…

มือถือในมือสั่นขึ้น  จักรวาลหยิบขึ้นมาดูก็พบว่าเป็นเบอร์ของกวินทร์  บางอย่างทำให้เขาฉุกใจคิดมองยังเครื่องดื่มและอาหารบนโต๊ะ  มีเพียงส่วนที่เขากินไปเท่านั้น  ไม่มีอะไรที่กวินทร์แตะเลยแม้แต่อย่างเดียว  แม้กระทั่งน้ำในแก้วของเขาเอง!

ติ๊ด!

จักรวาลกดรับสายด้วยหัวใจที่บอบช้ำเกินจะทนไหว

“ฮัลโหล”

[ตื่นแล้วเหรอครับ  เป็นยังไงบ้าง  มึนหัวหรือเปล่า]

“ฝีมือนายกับคุณอาใช่ไหม”

[คุณพูดเรื่องอะไรเหรอครับ  ผมไม่เข้าใจ]

“ฉันถามว่าฝีมือนายกับพ่อของนายใช่ไหม!!!”

เป็นครั้งแรกที่จักรวาลตวาดใสกวินทร์ครั้งนี้  ปลายสายที่ถูกตวาดชะงักไปอย่างตกใจก่อนจะปรับสีหน้าให้เป็นปกติ  ทว่ามันก็ไม่ได้ร่าเริงและสดใสเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว

[ผมกับคุณพ่อแค่ทวงทกสิ่งที่ควรจะเป็นของเราคืน]

“อะไรนะ”

[คนพวกนั้นแย่งชิงมันไปอย่างเลือดเย็น  พวกเขาจะต้องสูญเสียเหมือนที่ผมกับคุณพ่อสูญเสียไป] 

“นายพูดอะไร สูญเสียอะไร!”

[จักรวาล…มาอยู่กับผมดีกว่านะครับ  มาร่วมมือกัน  ผมสัญญาว่าคุณจะปลอดภัย  เราจะเป็นเพื่อนจนวันตาย]

จักรวาลกัดฟันแน่น  ความโกรธ  ความผิดหวัง  ความเจ็บช้ำที่ไม่สามารถทำอะไรได้เลยในตอนนี้ก่อเกิดเป็นไฟแค้นในใจ  ภาพรอยยิ้มและเสียงหัวเราะที่เขากับกวินทร์เคยมีร่วมกันมาฉายย้อนกลับเข้ามาในหัว  นั่นยิ่งทำให้เขาคุ้มคลั่งจนแทบจะบ้า

[ให้ผมไปรับนะครับ]

“ไม่”

[อย่าทำแบบนี้สิครับ  พวกเรายังมีความฝันร่วมกันอีกหลายอย่าง  คุณจำได้ไหม  เราอยากจะแต่งงานมีครอบครัวอยู่บ้านใกล้ๆกัน  ให้ลูกๆของพวกเราสนิทกันรักกันเหมือนพวกเรา  คุณจำไม่ได้เหรอ  ไม่อยากทำให้ฝันนั้นเป็นจริงแล้วเหรอครับ]

“รู้อะไรไหม”

[…]

“วินนี่ของฉัน…ตายไปตั้งแต่วันที่หมอนั่นเข้ามารับมีดแทนฉันแล้วล่ะ”

[…]

“หมอนั่นตายเพื่อฉันไปแล้ว  เพราะฉะนั้น…สักวัน…”

[…]

“ฉันจะฆ่านาย  เพื่อแกแค้นให้วินนี่”

 

 

บับเบิ้ลบิวชวนคุย :

มาอัพแล้วจ้า!  ในที่สุดความจริงเมื่อสิบแปดปีก่อนก็เปิดเผยสักที!!!  เหตุผลที่จักรวาลไม่ได้อยู่บนรถด้วยก็เพราะกวินทร์นั่นเอง  แต่เอ๊ะ???  สองพ่อลูกที่เคยแสนดีคู่นั้นทำไมถึงกลายมาเป็นศัตรูที่ร้ายที่สุดไปได้  อะไรคือสิ่งที่พวกเขาสูญเสียไปกันแน่?  จะว่าไปก็แอบสงสารกวินทร์เหมือนกันนะ  ทำทุกอย่างเพียงเพราะไม่อยากให้จักรวาลต้องตายไปด้วย  แต่สุดท้ายก็ถูกเกลียดและไม่ได้รับการให้อภัยจากเพื่อนรักอีกเลย  สุดท้ายแล้วเรื่องราวของพวกเขาจะจบลงเช่นไร  ติดตามกันต่อไปน้า >___<


ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
เหตุผลของผู้ใหญ่ที่มักทำให้ลูกๆ ต้องมีส่วนร่วมและเจ็บปวดไปตามๆ กัน
แต่เราว่ามันต้องมีอะไรมากกว่านั้นแน่ๆ ทำไมจากที่รักกันพี่น้องต้องมาฆ่าเพื่อสมบัติจริงหรือ
หรือมีอะไรมากกว่านั้นกันแน่

ออฟไลน์ fc_fic

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2590
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-7

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
เพราะรู้ว่าพี่ชายเอาจักรวาล มาหลอกว่าเป็นหลานคนแรก
เพื่อเอาตำแหน่งประธาน บริหารบริษัท ตามที่พ่อบอก
ไกรศรเลย เข้าใจว่าพี่ชายจะฮุบบริษัท เลยลงมือกับไกรเทพ ใช่มั้ย

แต่ก็ไม่เข้าใจทำไมไกรเทพต้องทำแบบนั้น
มันก็หลอกลวงจริงๆ เพราะจักรวาลไม่ใช่ลูกจริงๆของตัวเอง
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ little_munoi

  • ++ singular ++
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-3
เจ็บกันเข้าไปอีก โอยยยย

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
มันต้องมีอะไรมากกว่านั้น เช่นเสียงพิณเคยตั้งท้องแต่ตลอดออกมาแล้วเด็กไม่รอด ไกรสรเลยหาเด็กคนอื่นมาแทน ทำนองนี้มั้ย

ออฟไลน์ yowyow

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +139/-7

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
คนแก่ปวดหัว ปวดตับ  o12

ออฟไลน์ WwW

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 330
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +134/-0


ตอนที่ 33

ทายาทอีกคน

 

“เอ่อ…นี่แกกับมัน  เป็นแค่เพื่อนกันแน่นะ  ทำไมฟังเรื่องของพวกแกแล้วฉันขนลุกชอบกล”

ไอ้เฟี้ยวลูบไล้ท่อนแขนของตัวเองพลางมองไปทางคุณจักรวาลด้วยสีหน้าพะอืดพะอม  จนคนถูกมองต้องเบือนหน้าหนี

“แค่เพื่อนสิ  จะมากกว่านั้นได้ยังไง”

“งั้นแสดงว่าที่พี่รอดมาได้ก็เพราะพี่กวินทร์สินะ”

คุณอวกาศที่นั่งฟังเงียบมาตลอดพูดขึ้นบ้าง

“อืม  หลังจากนั้นฉันก็รีบไปหานายกับคุณพ่อที่โรงพยาบาล  โชคดีที่รอดชีวิตกันทั้งคู่ถึงแม้ว่าจะบาดเจ็บหนัก”

“ผมเลยสูญเสียความทรงจำในช่วงตั้งแต่เกิดจนถึงแปดขวบไปก็เพราะเรื่องนี้เลยใช่ไหม”

“สูญเสียความทรงจำ?”

ผมมองพวกเขาด้วยความตกใจ  หมายความว่ายังไง  คุณอวกาศเคยสูญเสียความทรงจำด้วยเหรอ?

“ตอนประสบอุบัติคราวนั้นทำให้สมองของอวกาศได้รับการกระทบกระเทือนมาก  ความทรงจำก็เลยหายไปหลังจากผ่าตัดและนอนเป็นเจ้าชายนิทราอยู่สามเดือนน่ะ”

“มีเรื่องแบบนี้ด้วยเหรอเนี่ย”

พยักหน้ารับคำอธิบายของคุณจักรวาล  ไม่อยากเชื่อเลยว่าช่วงชีวิตของพวกเขาจะพบกับเรื่องน่าปวดหัวและวุ่นวายขนาดนี้  ผมเคยคิดว่าตัวเองเกิดมาลำบากที่สุดในโลกแล้วนะเพราะจนโคตรจน  แต่เอาเข้าจริง  ชีวิตของผมกลายเป็นชีวิตของคนปกติธรรมดาไปเลย  ดูมีความสุขกว่าพวกเขาเป็นไหนๆ

“แล้ว…คุณป้าล่ะ  แม่ของสองคน… เอ่อ  ฉันหมายถึงแกสองคน”

หมายถึงสองคนนั้นแล้วมองหน้ากูทำไมฟะ!

“พอคุณพ่อฟื้นขึ้นมาก็บอกฉันว่า  คืนที่เกิดเหตุมีคนแอบบุกเข้าไปในบ้าน  ลอบวางยาคนในบ้านทั้งหมดโยใส่ยานอนหลับไว้ในอาหาร  โชคดีที่คุณพ่อรู้สึกตัวขึ้นมากลางดึก  เลยรีบพาอวกาศขับรถหนีออกมา  แต่พวกมันก็ยังขับรถตามมาไล่ล่าอยู่  ระหว่างนั้นคุณพ่อก็เลยติดต่อหาคุณแม่  ให้คุณแม่หนีไปและที่ซ่อนตัวที่ปลอดภัยสำหรับตัวเองและลูกในท้องซะ  ถ้าคุณพ่อปลอดภัยรอดไปได้  จะเป็นฝ่ายตามหาคุณแม่เอง  และพอรอดชีวิตมาได้  คุณพ่อก็ตามหาคุณแม่แบบพลิกแผ่นดินแต่ก็ไม่เคยเจอ  จนท่านเสียไป  ฉันก็รับหน้าที่ตามหาต่อ  ทั้งคุณแม่  และ…ลูกในท้อง”

คำว่าลูกในท้องคุณจักรวาลมองมาทางผม  ท่าทางเหมือนจะมีงานเข้ากูแฮะ

“คุณลุงออกจะกว้างขวาง  แถมยังมีลูกน้องมีอิทธิพลตั้งเยอะ  เป็นไปได้ยังไงที่จะหาคุณป้ากับไอ้ทะ…  กับลูกในท้องไม่เจอ”

“เป็นไปได้สิ”

คำตอบของคุณจักรวาลเรียกความสนใจจากพวกเราทุกคนได้เป็นอย่างดี

“เพราะมันคือความต้องการของคุณแม่”

“พี่หมายความว่ายังไง”

“คุณแม่ไม่ได้หนีไปแค่สองคนกับลูกในท้อง  แต่ยังมีสองสามีภรรยาคนสนิทที่คุณแม่คอยช่วยเหลือมาตลอดตามไปดูแลด้วย  ดูเหมือนว่าหลังจากที่คลอดเด็กในท้องออกมา  ไม่กี่วันคุณแม่ก็เสียชีวิตด้วยร่างกายอ่อนแอ  ก่อนเสีย  คุณแม่ฝากฝังเด็กคนนั้นไว้กับคนสนิทว่า…จนกว่าจะอายุสิบแปด  ห้ามพาเด็กคนนั้นมาพบคุณพ่อหรือว่าฉันเด็ดขาด”

“ทำไมวะ!  ถ้าพามาเจอตั้งแต่แรกเรื่องก็น่าจะจบหรือเปล่า  ป่านนี้คงรับมรดกกันสบายใจเฉิบไปแล้ว”

ไอ้เฟี้ยวทักท้วงขึ้น  ผมก้มหน้าเงียบ  หัวใจสั่นสะท้านพอๆกับร่างกายที่กำลังสั่นไหวอยู่ในตอนนี้  ความจริงที่แม้ว่ายากจะยอมรับเพียงใด  แต่มันก็คือความจริง  กำลังคืบคลานเข้ามาใกล้ผมแล้ว…

“เพราะสิ่งที่คุณแม่อยากมอบให้เด็กคนนั้นไม่ใช่เงินมรดกที่คุณพ่อทิ้งไว้ให้  แต่เป็น…ชีวิตของคนธรรมดา  ชีวิตที่ไม่ต้องแก่งแย่งชิงดีกับใคร  ชีวิตที่ไม่ต้องตกอยู่ในความหวาดกลัวทุกๆวัน  ชีวิตที่เหมือนเด็กคนอื่นทั่วไป  นั่นคือสิ่งที่คุณแม่อยากให้เด็กคนนั้นได้สัมผัส  สิบแปดปีที่ท่านซ่อนเด็กคนนั้นเอาไว้   คือช่วงเวลาของชีวิตอิสระที่อยากให้ลูกของท่านได้พบกับความสุขจริงๆ  คนที่รับดูแลเขาไว้บอกกับฉันแบบนี้ในวันที่พวกเขาติดต่อมาเพื่อคืนเด็กคนนั้นให้”

ผมรู้สึกได้ว่าตอนนี้สายตาของทุกคนกำลังจ้องมาที่ผม  ทำไมล่ะ  มองผมกันทำไม  ที่ตัวผมไม่มีอะไรน่าสนใจสักหน่อย  หยุดมองกันได้แล้ว…

พอสักที…

“ไทม์…”

“อ่า…ผม…ง่วงนอนจังเลย  ขะ…ขอตัวไปนอน…”

“นายรู้แล้วใช่ไหม”

คำถามแบบตรงประเด็นของคุณจักรวาลเจาะเข้ากลางใจจนแทบทรุด  ผมกำมือแน่น  พยายามแค่นยิ้มออกมาด้วยใบหน้าใสซื่อ

“รู้?   รู้อะไรเหรอครับ  ผมไม่เข้าใจ”

เกร๊ง!

สองตาเบิกกว้างเมื่อเห็นสิ่งที่คุณจักรวาลโยนมาตรงหน้า  ผมรีบเปิดกระเป๋าสะพายของตัวเองออกดูก็พบว่ามันไม่ได้อยู่ในกระเป๋า!

ปะ…ปากกาไปอยู่ที่คุณจักรวาลตั้งแต่เมื่อไหร่!

“มันตกอยู่ในรถหลังจากที่นายลงไปแล้ว  คิดว่าคงจะหล่นลงมาตอนที่พวกเรา...”

เขาพูดค้างเอาไว้  ผมพอจะรู้ว่าเขากำลังหมายถึงตอนที่พวกเรากำลังทำอะไรแบบนั้นกันสินะ!

“ตอนที่พวกเราอะไรวะ  พูดออกมาให้หมดดิ  กูอยากรู้!”

อยากเสือกล่ะสิไม่ว่าไอ้เฟี้ยว!

“นายฟังเสียงที่อัดไว้ข้างในหมดแล้วเหรอ”

คราวนี้เป็นคุณอวกาศบ้างที่ถามผม  เขาลุกขึ้นเดินเข้ามาใกล้อย่างช้าๆ  สองมือเอื้อมมาแตะตัวผมเบาๆ

“ก็ไม่เห็นอะไรนี่ครับ  ถึงจะฟังแล้วแต่ผมก็ไม่ได้สนใจมันสักหน่อย  ที่ไปหาคุณกวินทร์วันนี้เพราะผมสนใจเรื่องสาเหตุที่ว่าทำไมเขาถึงกับคุณจักรวาลถึงฆ่ากันไม่ได้ต่างหาก  ไอ้เรื่องที่เกี่ยวกับผมน่ะผมไม่…!”

หมับ!

ร่างกายถูกคนหัวขาวดึงเข้าไปกอดไว้แนบแน่น  สิ่งที่อยากจะพูดหายไปจากสมองในชั่วพริบตา  ความรู้สึกคุ้นเคย  ความรู้สึกอบอุ่นยามอยู่ใกล้คุณอวกาศที่ผมเคยหาเหตุผลไม่ได้  วันนี้…ผมรู้เหตุผลนั้นแล้ว

“ยินดีต้อนรับกลับบ้านนะ”

“คุณอวกาศพูดอะไรน่ะครับ  ผมไม่เห็นจะเข้าใจ…”

“ไทม์”

“…”

“ไว้จบเรื่องแล้ว  ไปหาคุณพ่อกับคุณแม่ด้วยกัน  ดีไหม”

ร่างกายของผมสั่นหนักขึ้นกว่าเดิมเป็นเท่าตัว  แต่ยิ่งมากขึ้นเท่าไหร่  คุณอวกาศก็ยิ่งกอดผมแน่นมากขึ้นเท่านั้น

ไม่ไหว…

เรื่องแบบนี้…ผมตั้งรับไม่ทันจริงๆ  ถึงจะพอปะติดปะต่อเรื่องราวได้ตั้งแต่แรกแล้ว  แต่ว่า…ทั้งที่พยายามไม่คิด  หลอกตัวเองมาตลอดว่าต้องไม่ใช่  แล้วทำไม…ทำไม…

ผมหนีมันไม่ได้เลยสินะ

ชะตาชีวิตของตัวเอง

หมับ!

“อ๊ะ!”

“ให้เวลาไอ้ไทม์หน่อยดีกว่า  แกน่ะมากับฉัน”

“เฮ้ย!  เดี๋ยวสิเฟี้ยว  ฉันยังคุยกับน้องไม่…อุ๊บ!”

“หุบปากแล้วตามกูมาเถอะไอ้สันขวาน!”

ไอ้เฟี้ยวอุดปากและรั้งตัวคุณอวกาศที่ทำท่าจะพุ่งกลับเข้ามาหาผมอีกรอบเอาไว้ก่อนจะลากไปทางห้องนอนของพวกเขาเอง

ในห้องเหลือแค่ผมกับคุณจักรวาล…อีกแล้ว

“มีอะไรอยากจะถามหรือเปล่า”

“แล้วคุณมีอะไรจะบอกผมไหมล่ะครับ”

นาทีนี้จะอะไรผมก็คงต้องฟังทั้งนั้น  ไม่ใช่ว่ารังเกียจหรือโกรธกับความจริงที่ได้รับรู้หรอกนะ  แต่เรื่องบางเรื่อง  มันต้องใช้เวลาในการยอมรับ  ผมที่เคยคิดว่าตัวเองเป็นเด็กกำพร้ามาตลอดเพราะพ่อกับแม่บอกว่าเก็บผมมาเลี้ยง  ไม่เคยรู้แม้กระทั่งว่าแม่ที่แท้จริงตายหลังจากคลอดผมเพียงแค่ไม่กี่วัน  แบบนี้มันไม่ต่างอะไรกับ…

…ผมเป็นคนฆ่าแม่ของตัวเอง

เพราะผมเกิดมา  แม่เลยต้องจากไป

“เรื่องหนี้สิบล้านบาท  ฉันโกหก”

“ครับ”

“ที่เอาตัวนายมาขัดดอกก็ด้วย  ฉันโกหก”

“ครับ”

“น้องๆของนายไม่ได้ถูกมาเฟียตามล่า ฉันโกหก”

“ครับ”

“พ่อแม่บุญธรรมของนายตอนนี้ไม่ได้ไปทำงานหาเงินใช้หนี้ที่ไหน  ฉันโกหก”

“ครับ”

“ทุกคนอยู่ด้วยกันในเซฟเฮ้าส์  ฉันจำเป็นต้องซ่อนตัวพวกเขาไว้เพื่อความปลอดภัย”

“ครับ”

พูดอะไรไม่ออกแล้วจริงๆ  ผมทำได้แค่ยืนก้มหน้าตัวสั่นแล้วตอบรับในทุกๆอย่างที่เขาพูดออกมา  ไม่มีอะไรจริงเลยตั้งแต่ต้น…

ผมไม่ใช่ลูกขัดดอกสิบล้าน

ไม่มีหนี้สิบล้านอะไรทั้งนั้น…

“แต่ที่ยังไม่บอกความจริง  เพราะฉันอยากให้นายได้ใช้ชีวิตเด็กมัธยมปลายธรรมดาๆอย่างที่คุณแม่ต้องการจนกว่าจะอายุครบสิบแปดปีเต็ม  ฉันตั้งใจจะบอกความจริงกับนายตอนนั้น  แต่เพราะพวกมันรู้เรื่องการมีอยู่ของทายาทอีกคนเสียก่อน  ทุกอย่างเลยวุ่นวายกว่าที่ฉันคิด”

“ครับ”

พูดอะไรมากกว่านี้ไม่ได้เลยหรือไง  ผมไม่ได้อยากจะพูดแค่นี้สักหน่อย  มีเรื่องอีกมากมายที่ผมอยากจะถามเขา  ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของพ่อที่แท้จริง  หรือว่าแม่ที่แท้จริง  ในหัวของผมสับสนไปหมด  เหมือนตัวเองถูกดึงเข้าสู่โลกที่ไม่คุ้นเคย

อย่างกับคนละมิติ…

“ไทม์…”

ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ร่างสูงเข้ามาประชิดตัวผมขนาดนี้  รู้ตัวอีกทีเขาก็มายืนอยู่ตรงหน้าแล้ว  ฝ่ามือที่เต็มไปด้วยรอยถลอกตอนสู้กับคุณอวกาศเมื่อกี้เลื่อนขึ้นประคองใบหน้าของผมเอาไว้

“ฉันอาจจะปิดบังความจริงทุกอย่างเอาไว้เพราะมันยังไม่ถึงเวลา  แต่ว่า…”

“…”

“ความรู้สึกที่ฉันแสดงออกไป…กับนาย  มันคือความจริง”

“…”

“ฉันปิดบังมันเอาไว้ไม่ได้  ไม่ว่าจะเป็นความห่วงเวลาที่นายหายไปจากสายตา   ความหวงเวลาที่มีคนอื่นเข้าใกล้นาย   หรือแม้แต่ความหึง  เวลาที่นายให้ความสนใจคนอื่นมากกว่าฉัน”

นัยน์ตาที่ไม่เคยสะท้อนภาพใดออกมาตอนนี้มีภาพของผมสะท้อนอยู่

“ไว้ใจฉันได้ไหม”

“…”

“ให้โอกาสทุกคนที่นี่  ในฐานะครอบครัวที่แท้จริง  ได้หรือเปล่า”

วงแขนแกร่งตวัดตัวผมเข้าไปกอด  ฝ่ามือใหญ่กดศีรษะให้ซบลงตรงแผ่นอกกว้าง  ผมไม่ได้ตอบอะไรกลับไปทั้งนั้น  หลับตาลงซึมซับความอบอุ่นที่ไหลผ่านมาทางผิวหนังของเขา  ความปลอดภัยที่ได้รับมาตลอดจากคนๆนี้  ยิ่งทำให้ผมแน่ใจแล้วว่า…

การตกหลุมรักใครสักคน  มันเป็นยังไง

 

Special  Talk :

“นายจะลากฉันมาทำไมเนี่ย  ไม่เห็นเหรอว่าฉันกำลังคุยกับน้องชายฉันอยู่!  น้องชายเลยนะ!   น้องชายที่พลัดพรากจากกันมาถึงสิบแปดปี!”

“ยังไม่สิบแปดเฟ้ย  อีกสี่เดือนต่างหาก”

“นั่นแหละ!”

คนถูกลากมาสะบัดตัวออกจากการเกาะกุมเมื่อมาถึงห้อง  มันตั้งท่าจะเปิดประตูกลับออกไปอีก  ผมรีบพุ่งเข้าไปกระโดดเกาะหลังมันเอาไว้แล้วลากมันกลับเข้ามาในห้องอีกครั้ง

“ก็บอกว่าให้เวลาไอ้ไทม์มันหน่อยไงเล่า!  เรื่องแบบนี้ไม่มีใครตั้งรับทันภายในสามนาทีหรอกเว้ย!  ไม่ใช่บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปนะไอ้ฟาย!”

“แต่…!”

“ไอ้ไทม์มันต้องเข้าใจแน่นอน  แค่ให้เวลามันคิดอะไรบ้าง  มึงอย่าไปเร่งมันสิวะ”

ผมพูดเสียงอ่อนลง  เข้าใจอยู่หรอกว่ามันอยากจะคุยกับไอ้ไทม์เพราะดีใจที่น้องชายร่วมสายเลือดเพียงคนเดียวยังมีชีวิตอยู่  แต่ผมเองก็เข้าใจไอ้ไทม์ด้วยเหมือนกัน  มันคงตกใจไม่น้อยที่จู่ๆดันกลายมาเป็นทายาทอีกคนของตระกูลอสังหาซะงั้น

“แค่จะห้ามฉันนี่…ต้องเกาะหลังกันเป็นชัตเตอร์แบบนี้เลยเหรอ”

“เฮ้ย!”

รีบกระโดดลงจากหลังมันทันที  ไอ้อวกาศบิดข้อไปมาจนมีเสียงกระดูกดังกร๊อบ

“โอ๊ะ! ลดน้ำหนักบ้างนะเฟี้ยว   นายเกือบทำฉันหลังหัก”

“งั้นหักจริงๆไปเลยเป็นไง!”

พลั่ก!

ผมกระโดดถีบมันจนกระเด็นด้วยความหมั่นไส้  อีกฝ่ายร้องโอดครวญพยุงตัวมานั่งที่เตียงใบหน้าเหยเกแสดงถึงความเจ็บปวด

“เจ็บนะ!  เพิ่งสู้กับพี่มาหมาดๆ  ยังไม่ทันหายดีเลย”

“อยากปากแมวก่อนทำไม”

“ถ้าฉันปากแมวนายก็ปากหมาแล้วล่ะ”

“ดี!  ปากในปากกูจะได้กัดแมวในปากมึงให้ตายไปเลย!”

“แต่ก่อนที่หมาในปากนายกับแมวในปากฉันจะมากัดกันได้  นายกับฉันต้องจูบกันก่อนนะ  ไม่งั้นอะไรต่อมิอะไรที่อยู่ในปากจะมาเจอกันได้ยังไง”

เจ็บแล้วยังม่ออีกนะมึง!

ผมหรี่ตามองมันแบบจนปัญญาที่จะเถียงด้วย  เดินไปที่ตู้ยาซึ่งจะมีอยู่ในห้องทุกห้องของคฤหาสน์นี้  หยิบเอาอุปกรณ์ทำแผลออกมาแล้วลากเก้าอี้ตรงโต๊ะเครื่องแป้งไปนั่งตรงปลายเตียง

“ทำอะไรอ่ะ”

“ซักผ้ามั้ง”

“ห้องซักผ้าอยู่เรือนเล็กนะ”

“ไอ้อวกาศ…”

เรียกชื่อมันลอดไรฟัน  เส้นเลือดตรงขมับเต้นปุดๆพร้อมจะระเบิดลงได้ทุกเมื่อ

“คร้าบๆ  ไม่กวนแล้วก็ได้”

มันพูดเสียงอ่อนแล้วเขยิบมาอยู่ตรงหน้าผมแต่โดยดี  ดีนะที่ผมกับมารีอาคนละเพศกัน  ถ้าเป็นผู้ชายแบบมันสองคนแล้วต้องต่อยกันแทบจะตายห่าไปข้างกว่าจะเคลียร์กันได้แบบนี้คงไม่ไหว

“แน่ใจนะว่าพวกมึงต้องกันเพื่อปรับความเข้าใจ  ไม่ได้จะฆ่ากันจริงๆ”

บ่นไปพลางกดสำลีที่ชุบแอลกอฮอล์มาแล้วลงบนคิ้วที่แตกเลือดของอีกฝ่าย  ไอ้อวกาศร้องจ๊ากทันทีที่แผลถูกสัมผัส

“เบาๆหน่อยสิ!  ใช้มือหรือใช้เท้าเนี่ย  พี่ต่อยยังเจ็บน้อยกว่าเลย!”

“เกิดมากูเคยทำแผลให้ใครที่ไหน  อย่าบ่นมากได้ไหมวะ!”

“นายก็เบามือหน่อยสิ  มีใครเขากดสำลีลงบนแผลเต็มแรงแบบนายบ้าง  เขาต้องค่อยๆเช็ดรอบปากแผลก่อน  จากนั้นก็แตะๆลงไปบนแผลเบาๆ  ไม่ใช่ทิ่มเอาๆแบบนี้  เป็นผู้ชายแล้วยังจะแรงช้างอีก  รู้งี้ไปอ้อนให้น้องชายสุดที่รักของฉันทำแผลให้ก็ดี  ไม่สิ  ป่านนี้คงทำแผลให้พี่อยู่แน่ๆ  เฮ้อออ!”

แล้วแม่งก็ไม่เลิกบ่น

ผมหยุดทำแผลชั่วคราวเพื่อรอให้มันบ่นให้เสร็จก่อน  ไม่แน่คิดจะทำตั้งแต่แรกเล้ยยย  ปล่อยให้น้องเน่าไปพร้อมแผลก็ดีหรอก  ฮึ่ย!

“เสร็จยัง”

“อะไรเหรอ?”

“มึงอ่ะ  บ่นเสร็จยัง  ถ้าเสร็จแล้วกูจะได้ทำแผลต่อ”

ผมมองไปที่สำลีในมือ  ไอ้อวกาศรีบเม้มปากแน่นก่อนจะพยักหน้า  มันคงเริ่มรับรู้ได้ถึงความไม่สบอารมณ์โคตรๆของผมแล้วสินะ

“อ๊ะ!”

คนตรงหน้าหลับตาปี๋ทั้งที่ยังไม่ทันได้กดสำลีลงไปด้วยซ้ำ  ท่าทางที่เหมือนกลัวเจ็บของมันทำให้ผมชะงัก

 

‘เขาต้องค่อยๆเช็ดรอบปากแผลก่อน  จากนั้นก็แตะๆลงไปบนแผลเบาๆ  ไม่ใช่ทิ่มเอาๆแบบนี้’

 

คำพูดของมันแทรกเข้ามาในหัว  โธ่โว้ยยยย!  น่ารำคาญฉิบหาย!

ผมไล่ซับเลือดรอบปากแผลทั้งหมดออกก่อนจนใบหน้าเริ่มสะอาดสะอ้าน  จากนั้นก็หยิบสำลีอีกก้อนชุบกับเบตาดีนแล้วแตะลงบนแผลอย่างเบามือที่สุด  ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆจนใกล้จะเสร็จ  ไม่รู้ว่าไอ้อวกาศมันลืมตาขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่  แต่ตอนนี้คนกวนตีนที่สุดในศตวรรษอย่างมันกำลังมองผมพลางยิ้มเหมือนพอใจอะไรสักอย่าง

“ยิ้มเหี้ยอะไร”

“มือเบาเหมือนกันนะเรา”

“เพราะมีคนน่าเบื่อคนหนึ่งมันโวยวายก่อนหน้านี้น่ะสิ”

ถ้าไม่ติดว่าเป็นเพื่อนเล่นกันมาตั้งแต่เด็ก  กูคงไม่เสียเวลามานั่งทำแผลให้หรอก  เรื่องของกูรึก็ไม่ใช่  ต่อยแม่งก็ต่อยกันเอง  เฮ้อ!

ตุ้บ…!

“เฮ้อ…เหนื่อยจัง”

“ถ้าจะนอนก็หงายหลังนอนลงไปบนเตียงสิเฟ้ย  ไหล่กูไม่ใช่หมอน!”

“ไม่เอา  ขออยู่แบบนี้ก่อน  ฉันเหนื่อยจริงๆนะ”

“ให้ตายสิ  ลำบากกูตลอดนะมึง”

ผมบ่น  แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้ผลักไอ้อวกาศที่โน้มตัวมาด้านหน้าเพื่อเอาหัวซบกับไหล่ผมออก  มือข้างหนึ่งที่สำลีค้างไว้  อีกข้างก็ถือขวดเบตาดีน

คืนนี้กูจะทำแผลเสร็จไหมเนี่ย

 

 

บับเบิ้ลบิวชวนคุย :

มาอัพแล้วจ้า  ดูเหมือนว่าคู่ท่านจักรวาลและน้องไทม์ของเราจะก้าวหน้าขึ้นมาอีกขั้นแล้ววววว  ขณะที่คู่ SM นั้น…  แม้จะมีโมเม้นต์บ้าง  แต่ยังดูเป็นเพื่อนสมัยเด็กกันมากกว่าอยู่นะคะ  ดูได้จากดีกรีความปากหมาของเฟี้ยวไม่ได้ลดลงเลย 55555+  น้องไทม์ไม่ใช่คนโง่  มีมันสมองอัจฉริยะขนาดนั้นมีเหรอที่จะปะติดปะต่อเรื่องราวเองไม่ได้  แต่แค่ไม่พูดหรือให้ความสนใจก็เท่านั้น  บางทีคงต้องให้เวลาหรือไม่ก็ให้ท่านจักรวาลคอยให้ความคุ้นเคยกับน้อง  หึๆๆๆ =..= ( อย่าลืมเอาข้าวผัดกับโอเลี้ยงไปเยี่ยมคุณจักรวาลในคุกนะคะ 5555 )

เรื่องนี้อาจจะเน้นหนักเรื่องปมปริศนาไปสักหน่อย  เพราะส่วนตัวเป็นคนแต่งนิยายที่ในเรื่องไม่มีอะไรนอกจากรักๆใคร่ๆฮาๆไม่ค่อยเป็น  อย่างน้อยต้องเล่นปมนู่นนี่นั่นให้ในเรื่องมีจุดพีคจุดลุ้นบ้าง  แต่ยอมรับว่าเรื่องนี้ใส่ปมเยอะไปหน่อยและค่อนข้างหนัก อาจทำให้นักอ่านที่ต้องการเข้ามาเสพความฟินจิ้นกระจายต้องผิดหวังไปบ้าง  บิวต้องขอโทษด้วยนะคะ  จะพยายามปรับปรุงให้ดีขึ้นทั้งในเรื่องนี้และเรื่องต่อๆไป  แต่ยังไงก็ขอบคุณที่เข้ามาอ่านและติดตามกันน้า  แม้ว่าสุดท้ายแล้วจะไม่ตรงใจอย่างที่หวังกันไว้แต่ก็ยังตามอ่านกันอยู่  ต้องขอบคุณมากจริงๆค่ะ!  พบกันในตอนต่อไปเน้ออออ

ตอนนี้มีเรื่องใหม่ด้วยนะคะ  ปมไม่หนักเท่าเรื่องนี้แน่นอน  สบายกว่าเยอะมาก 5555  ตามไปอ่านกันได้น้า  เรื่อง  “SEX(Y)รักโคตรแซ่บ!”  http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61699.0 จ้า


ออฟไลน์ Laliat

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 253
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ fc_fic

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2590
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-7

ออฟไลน์ patee

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3732
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +276/-3

ออฟไลน์ JustWait

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3348
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-4

ออฟไลน์ WwW

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 330
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +134/-0


ตอนที่ 34

การมีอยู่ของจักรวาล…ตัวตนของเขาคือใคร?

 

“เดี๋ยวสิครับ  จะทำอะไรเหรอ”

“ไม่ทำอะไรหรอกน่า  แค่อยากกอดเฉยๆ”

ร่างสูงที่จับแขนผมไว้เพื่อจะดึงเข้าหาแต่ถูกผมรั้งตัวเอาไว้เสียก่อนมองด้วยสายตาออดอ้อนนิดๆ  อยากจะขยี้ตาตัวเองชะมัด  ผมไม่ได้เห็นภาพมโนเอาเองใช่ไหม  คนอย่างคุณจักรวาลเนี่ยนะจำมาทำสายตาลูกหมาน้อยแบบนี้!

ตื่นๆๆ ต้องตื่นเดี๋ยวนี้

“นะ…”

มะ…ไม่ใช่ฝันด้วยล่ะ

เจอไม้นี้เข้าไปมีเหรอที่ผมจะรอด  อ่อนยวบยาบตั้งแต่สายตาหมาน้อยนั่นมองแล้ว!  สุดท้ายก็ปล่อยตัว  (และปล่อยใจ) ให้เขาดึงเข้าไปกอดง่ายๆ

คุณจักรวาลอ้าข้าออกเพื่อให้ผมเข้าไปนั่งอยู่ระหว่างกลาง  วงแขนแกร่งโอบกอดผมไว้  ส่วนผมก็เอนตัวพิงราบไปกับอกกว้างอันอบอุ่น  เราพากันเข้ามาในห้องแล้ว  ความจริงเมื่อกี้ได้ยินเสียงโครมครามดังมาจากในห้องคุณอวกาศด้วย  ผมกะจะเคาะประตูถามว่าเกิดอะไรขึ้นแต่คุณจักรวาลก็ห้ามเอาไว้และบอกให้ไปสองคนนั้นไป

เกิดกัดกันตายคาห้องจะทำยังไงล่ะเนี่ย!

“กอดแน่นไปแล้วนะครับ”

“เป็นเพราะฉันกำลังดีใจน่ะ”

“ดีใจ?”

“ไม่ต้องปิดบังอีกแล้ว  ไม่ต้องอดทนอีกแล้ว”

ไม่พูดเปล่า  ปลายจมูกซุกซนยังไล้ไปทั่วแก้มและลำคอของผมจนหัวใจที่เคยสงบไปแล้วก่อนหน้านี้เต้นรัวขึ้นมาอีกครั้ง

ยิ่งเขากอดผมแน่นมากขึ้นเท่าไหร่  ผมก็ยิ่งอยากเข้าใกล้เขามากขึ้นเท่านั้น

อยากรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับคนๆนี้  อยากจะรู้ทั้งหมดที่เป็นเขา

“คุณจักรวาล  ผมถามอะไรหน่อยได้ไหมครับ”

เงยหน้าพลางช้อนตามองคนด้านหลัง  คนถูกมองก้มลงมาใกล้  เอาสันจมูกโด่งๆมาถูไถกับแก้มผมจนจักจี้ไปหมด 

จะคุยกันรู้เรื่องไหมฟะเนี่ย  เล้าโลมไม่หยุดเลยวุ้ย!

“ว่ามาสิ”

ว่ามาสิอะไรล่ะ!  ยังไม่เลิกวุ่นวายกับร่างกายผมเลยเนี่ย!  แต่ดูท่าห้ามไปก็คงไม่ฟัง  ผมเลยต้องปล่อยเลยตามเลยให้เขาก่อกวนต่อไป  ขออย่างเดียว  อย่าเพิ่งล้วงหรือสะกิดอะไรตอนนี้ละกัน  ถ้าแค่หอมนู่นหอมนี่ผมยังพอจะทนไหว

“จริงๆแล้วคุณเป็นใครกันแน่เหรอครับ”

“…”

“ถ้าคุณไม่ใช่ลูกชายคนโตของตระกูลอสังหา  แล้วคุณ…เป็นใครเหรอครับ”

“อยากรู้เหรอ”

“อยากสิครับ!  คุณรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับผม  เกี่ยวกับคุณอวกาศแล้วก็ครอบครัวนี้  แต่ว่าพวกเรา…ไม่มีใครรู้เรื่องของคุณเลย  มันไม่แปลกไปหน่อยเหรอครับ  ครอบครัวเดียวกันแท้ๆ…”

ประโยคหลังผมพึมพำเบาๆจนแทบจะไม่ได้เปล่งเสียงออกมา  มือหนาเลื่อนมาเชยคางผมขึ้นจนเราสบตากัน

“จูบก่อนแล้วจะบอก”

“คะ…ครับ?!”

ไหงมาลงเอยแบบนี้ได้ล่ะ!

ผมมุ่ยหน้าใส่เขาที่เหยียดยิ้มมุมปากอย่างเจ้าเล่ห์  คนหน้าตายอย่างคุณจักรวาลมีโหมดเจ้าเล่ห์แบบชาวบ้านเขาด้วยเรอะ!

“ว่าไงล่ะ  ไม่อยากรู้แล้วเหรอ”

“ขะ…ขี้โกง!”

“ถ้าไม่รีบจูบเดี๋ยวฉันเปลี่ยนใจนะ”

เขาเลื่อนหน้าเข้ามาใกล้กว่าเดิม  ทั้งรอยยิ้ม  ทั้งสายตา  ทุกอย่างล้วนแต่เจ้าเล่ห์ไปหมด  ผะ…ผู้ชายคนนี้อันตรายจริงๆ  เขามีหลากหลายนิสัยอยู่ในคนๆเดียวได้ยังไงกัน!

“ก็ได้!”

ผมรับปาก  สายตาเลื่อนไปที่ริมฝีปากกระจับสีชมพูอ่อนๆของเขา  กะ…ก็เคยจูบไปตั้งหลายรอบแล้วไม่ใช่เหรอ  จะมาตื่นเต้นอะไรอีกล่ะไอ้ไทม์!

บอกตัวอย่างนั้นแท้ๆ  แต่หัวใจมันไม่หยุดสั่นเลยเนี่ยสิ  คิดเสียว่าคุณจักรวาลคือหุ่นจำลองในห้องวิทย์ก็แล้วกัน!  ถ้าเพื่อการศึกษาผมคงผ่านช่วงเวลานี้ไปได้ไม่ยาก!  เอาล่ะ…

หุ่นจำลอง…

หะ…หุ่นจำลอง…

หะ…หะ…หุ่น…หุ่น…

หุ่นบ้าอะไรหล่อเซ็กซี่แล้วก็ยั่วยวนขนาดนี้ล่ะโว้ยยยยยย!

“เร็วสิ”

“อย่าเร่งสิครับ!”

ตั้งสติใหม่อีกครั้ง  ผมพลิกตัวกลับไปนั่งหันหน้าเข้าหาเขาแทน  สองมือค่อยๆประคองใบหน้าหล่อวัวตายควายล้มนี้เอาไว้…

ไม่ใช่แค่วัวกับควายแล้วล่ะที่จะตาย  กูเองก็จะตาย  ฮืออออ!

“อะ…อื้ม!”

สุดท้ายผมก็หลับหูหลับตายื่นหน้าเข้าไปจุ๊บปากเขาได้สำเร็จ  นะ…นึกว่าจะต้องตายซะแล้ว  ถ้าคืนนี้ผมมีความสุขมากแบบนี้  วันพรุ่งนี้ผมจะตายหรือเปล่า?

“แบบนั้นไม่เรียกว่าจูบสักหน่อย”

“จะไม่เรียกว่าจูบได้ยังไง  ปากผมก็แตะปากคุณแล้วนี่”

“อ้าปาก”

“ครับ?”

“อ้าปาก  แลบลิ้นออกมาด้วย”

อะ…เอาแบบนี้อีกแล้วเหรอ  จะจูบแบบผู้ใหญ่สินะ  หัวใจผมต้องเต้นแรงจนหลุดออกมจากอกแล้วก็จากโลกนี้ไปอย่างไม่สงบแน่ๆเลย

“เร็วสิ”

อ๊ากกกก  อย่ามาส่งเสียงแหบพร่าเซ็กซี่ใส่กันแบบนี้นะโว้ยยยย! ได้โปรดเอาคุณจักรวาลคนเดิมที่หน้าตาย  เย็นชา  แล้วก็เงียบขรึมกลับมาที  โหมดรุกแรงแบบนี้ผมรับไม่ไหว  หัวใจจะวายเอา!

“เร็ว”

“อะ…อ้า…”

ปฏิเสธไม่ได้อีกแล้ว  หลังจากอ้าปากไปไม่ถึงสามวินาที  การรุกรานที่ร้อนแรงก็เกิดขึ้น  ผมตวัดวงแขนโอบรอบคอเขาเอาไว้เพื่อใช้เป็นตัวยึดไม่ให้หมดแรงจนหงายหลังไปเสียก่อน  ปลายลิ้นร้อนเกี่ยวพันจนผมเริ่มใช้สติแยกไม่ได้แล้วว่าอันไหนลิ้นของผม  อันไหนลิ้นของเขา

“อ่า…”

“หึ  ทำหน้าเหมือนเสียดายเลยนะ”

“ปะ…เปล่าสักหน่อย!”

เขาแกล้งผมอีกแล้วอ่ะ  โอ๊ยยยย  เมื่อไหร่ผมจะเอาชนะผู้ชายคนนี้ได้บ้างนะ!

“ตามสัญญา  ฉันจะบอกว่าฉันเป็นใคร”

“จริงเหรอครับ”

ดีใจเหมือนถูกหวย  ในที่สุดผมก็จะได้รู้อะไรเกี่ยวกับคุณจักรวาลบ้างแล้ว  ไม่ใช่ว่าไม่ไว้ใจหรือว่าสงสัยอะไร  ผมแค่…อยากรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับคนที่ผมรู้สึกดีๆด้วย  ถึงจะยังพูดได้ไม่เต็มปากว่ามันคือความรักหรือไม่  แต่ที่ผมมั่นใจจนสามารถตะโกนบอกคนทั้งโลกได้เลยก็คือ…

ผมอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีผู้ชายคนนี้

“บอกมาสิครับ  ผมอยากฟัง  ผมอยากรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับคุณ”

แขนที่โอบรอบคอเขาไว้โอบแน่นขึ้นกว่าเดิมพร้อมกับโน้มตัวพิงซบกับอกแกร่ง  แทบไม่มีช่องว่างระหว่างร่างกายของเราเลย

“ตระกูลของฉัน…เป็นตระกูลบอดี้การ์ดที่รับใช้ตระกูลอสังหามาตั้งแต่รุ่นปู่ทวดของคุณปู่นาย  ลูกหลานของตระกูลที่เกิดมา  ถ้าเป็นผู้ชายก็จะต้องรับหน้าที่เป็นบอดี้การ์ดคุ้มครอมและดูแลลูกหลานของตระกูลอสังหาด้วยชีวิตโดยไม่มีข้อแม้  แต่ถ้าเป็นผู้หญิง  ก็จะต้องตามไปคอยรับใช้และไม่มีสิทธิ์ได้มีครอบครัวหากไม่ได้รับการอนุญาตจากเจ้านายหรือก็คือคนในตระกูลของอสังหาที่ผู้หญิงในตระกูลของฉันไปรับใช้อยู่ในตอนนั้น”

ผมผละตัวออกมาจากเขา  มองคุณจักรวาลด้วยตกใจกับสิ่งที่เขาเล่ามาทั้งหมด  ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าจะยังมีเรื่องแบบนี้อยู่บนโลกด้วย!  ไอ้พวกสายเลือดของข้ารับใช้ที่จงรักภักดีถวายได้แม้แต่ชีวิตนั่นน่ะ!

“พวกเรารับใช้ตระกูลของนายมาหลายร้อยปีจนมาถึงรุ่นของฉัน  ถึงจะอยากปฏิเสธแต่ก็ทำไม่เคยได้ ความจงรักภักดีที่บรรพบุรุษของตระกูลฉันมีต่อบรรพบุรุษของตระกูลนายมันสืบทอดกันมาทางสายเลือด  ตระกูลอสังหาเองก็แตกออกเป็นตระกูลย่อยๆอีกเยอะแยะ  แน่นอนว่าคนจากตระกูลของฉันก็ตามไปรับใช้จนตอนนี้แต่ละคนต่างกระจัดกระจายออกไปไม่รู้ว่าใครอยู่ที่ไหนบ้าง  และคนที่ได้มารับใช้คุณพ่อของนายก็คือ…พ่อแท้ๆของฉันเอง”

เป็นคำสัญญาและการรับใช้มาตั้งแต่รุ่นบรรพบุรุษเลยเหรอเนี่ย  ผมไม่ค่อยเข้าใจเรื่องพวกนี้สักเท่าไหร่เลยแฮะ  แต่ดูเหมือนสำหรับตระกูลที่แท้จริงของคุณจักรวาลมันจะสำคัญมาก  เพราะแบบนี้เอง เขาถึงได้ทำทุกอย่างเพื่อคุณอวกาศและทุ่มเทอย่างเต็มที่ในการตามหาและปกป้องผมให้ปลอดภัย  โดยไม่สนใจเลยว่าตัวเองจะอยู่หรือตาย

ภาพเหตุการณ์ที่เขาช่วยผมซ้ำแล้วซ้ำเล่า  ความเป็นห่วงที่เขาแสดงออกทุกครั้งที่ผมหายไปฉายซ้ำไปซ้ำมาในหัว

“พ่อกับแม่แท้ๆของฉันแต่งงานอยู่กินกันโดยอยู่ภายใต้การดูแลและปกครองของคุณพ่อนาย  จนกระทั่ง…คุณแม่ของนายตั้งลูกคนโต  และแม่ของฉันก็ตั้งท้องฉันในเวลาไล่เลี่ยกัน  จนถึงเดือนที่เป็นกำหนดคลอด  เกิดอุบัติเหตุกับคุณแม่ของนาย  ท่านตกบันไดทำให้มีอาการตกเลือดต้องเข้ารับการผ่าตัดอย่างเร่งด่วน  ในตอนนั้นเปอร์เซ็นต์การเสียชีวิตมีสูงทั้งแม่และลูก  ขณะเดียวกันแม่ก็เจ็บท้องจะคลอดฉันพอดี  คืนเดียวกันนั้น  ผู้หญิงสองคนได้ให้กำเนิดลูกชายออกมาพร้อมๆกัน  แต่ว่า…”

“…”

“ลูกชายของคุณแม่นายเสียชีวิตตั้งแต่ในครรภ์แล้ว  การผ่าตัดทำไปเพื่อช่วยรักษาชีวิตของคุณแม่นายเท่านั้น  พอคุณพ่อของนายรู้ว่าลูกเสียไปแล้ว  ท่านเสียใจมากและไม่รู้จะบอกเรื่องนี้กับคุณแม่และคุณปู่ของนายยังไง  ทั้งสองเฝ้ารอคอยหลานชายคนแรกด้วยความหวัง  แต่ว่า…หลังจากคลอดฉันได้แค่เพียงหนึ่งวัน  แม่ก็มีอาการตกเลือดและช็อก  แม่จากไปอย่างกะทันหัน  ตอนนั้นคุณแม่ของนายยังไม่ฟื้นเพราะร่างกายอ่อนเพลียมาก  พ่อของฉันที่มีหน้าที่รับใช้ทำทุกอย่างเพื่อตระกูลอสังหาจึงได้เสนอให้คุณพ่อของนายรับใช้ไปเป็นลูก  สมอ้างฉันกับคุณแม่และคุณปู่ของนายเพื่อไม่ให้พวกเขาต้องเสียใจหากได้รู้ว่าลูกชายคนแรกที่เฝ้ารอจากไปแล้ว  เพื่อไม่ให้คุณแม่ของนายต้องเจ็บปวด  คุณพ่อของนายเลยตกลงรับข้อเสนอนั้น  พอคุณแม่ของนายฟื้นขึ้นมา  ฉันก็ได้กลายเป็นหลานชายคนแรกของตระกูลอสังหาในทันที  โดยท่านเข้าใจว่าแม่ที่แท้จริงของฉันกับลูกในท้องไม่รอด  การสลับตัวลูกของตระกูลข้ารับใช้กับตระกูลอสังหาเกิดขึ้นในวันนั้นนั่นแหละ”

ทำไมกันนะ  ทำไมผมถึงต้องร้องไห้ออกมาด้วย  ผมไม่เข้าใจตัวเอง  รู้แค่ว่าสงสารคนๆนี้เหลือเกิน  ชีวิตของเขาถูกกำหนดโดยพ่อของเขามาตั้งแต่ต้น  ไม่ได้เห็นหน้าแม่ที่แท้จริงและคงโทษว่าเป็นความผิดของตัวเองมาตลอดที่ทำให้แม่ต้องตาย  ความรู้สึกนี้ผมเข้าใจดีว่ามันเจ็บปวดมากแค่ไหน  เจ็บจนแทบไม่อยากจะมีชีวิตต่อไปเลยล่ะ

“หลังจากนั้นพอฉันโตพอที่จะรับรู้อะไรได้  พ่อของฉันกับคุณพ่อของนายก็บอกความจริงว่าฉันเป็นใคร  และขอให้ฉันช่วยเก็บเรื่องทั้งหมดไว้เป็นความลับ  อาจจะเพราะสายเลือดของข้ารับใช้ที่ไหลเวียนอยู่ในตัวฉันล่ะมั้ง  ฉันปฏิเสธอะไรไม่ได้เลยนอกจากทำตามคำสั่ง  พ่อเองก็เฝ้าบอกฉันอยู่ทุกวันว่าฉันเกิดมาเพื่อทดแทนบุญคุณของทุกคนในตระกูลอสังหาโดยเฉพาะครอบครัวของนาย  แม้กระทั่งวาระสุดท้ายในชีวิตพ่อ  คำสั่งเสียสุดท้ายของพ่อก็ยังเป็น…”

“…”

“จงมอบชีวิตของแกให้คุณชายทั้งสองซะ  สานต่อความจงรักภักดีที่มีมาตั้งแต่บรรพบุรุษต่อไป  อย่าทำให้พ่อผิดหวังล่ะ”

“คุณชายทั้งสอง…หรือว่าจะหมายถึง…ผมกับคุณอวกาศ”

“ใช่แล้ว  หมายถึงหมาน้อยตรงหน้าฉันนี่แหละ”

แววตาอ่อนโยนที่เต็มไปด้วยความเศร้าของเขาจ้องมองมาที่ผม  มือหนาเลื่อนขึ้นปาดน้ำออกให้  แต่มันไม่มีประโยชน์  น้ำตาของผมไหลออกมาเรื่อยๆโดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุดไหลเลย

“ผม   ฮึก…ผมจะช่วยคุณยังไงดี  ฮือ…ผมทำอะไรได้บ้างเหรอครับ”

สองมือเปลี่ยนมาจับมือของเขาที่จับแก้มผมเอาไว้อีกที  เอนหน้าซบลงร้องไห้เหมือนคนบ้า

เขาไม่เคยได้รับความรักจากแม่ที่แท้จริง  ไม่ได้อยู่กับครอบครัวของตัวเอง  ไม่เคยได้ใช้คำว่าพ่อลูกกับพ่อของตัวเองเลยสักครั้ง  สิ่งที่พ่อของเขาทำและปลูกฝังมาตลอดคือให้คุณจักรวาลจงรักภักดีกับตระกูลอสังหา  ไม่ได้รับอิสระให้คิด  ไม่ได้รับการอนุญาตให้ตัดสินใจ  ชีวิตของเขาถูกบงการมาตั้งแต่เกิดจนถึงวันนี้โดยที่เขาไม่สามารถหนีมันไปได้เพราะทุกสิ่งคือสายเลือดข้ารับใช้ที่ไหลเวียนอยู่ในตัว

“ร้องไห้ทำไมหมาน้อยของฉัน  ไม่เป็นไรหรอกนะ  ฉันไม่เป็นอะไร”

“จะไม่เป็นไรได้ยังไงล่ะครับ  นี่มันชีวิตของคุณนะ!”

“ชีวิตของฉันมีไว้เพื่อนายกับอวกาศ  แค่พวกนายสองคนปลอดภัยและมีความสุข  ฉันก็ไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว”

“ไม่  ไม่  ผมไม่ได้ต้องการแบบนี้  ผมไม่ได้อยากให้คุณมอบชีวิตให้  คุณอวกาศเองก็คงไม่ต้องการแบบนั้น  ถ้าผมจะมีความสุขโดยที่คุณต้องยอมเสียสละอิสรภาพของตัวเองล่ะก็…ผมขอมีความทุกข์ไปจนตายดีกว่า”

“เด็กโง่”

ร่างสูงดึงผมเข้าไปกอด  มือหนาลูบหัวเบาๆเหมือนต้องการจะปลอบโยนให้หยุดร้องไห้

“นายคิดว่าที่ฉันอยู่มาจนถึงตอนนี้  มันเป็นเพราะสายเลือดของฉันที่ต้องตามรับใช้ตระกูลของนายงั้นเหรอ”

“ก็คุณบอกว่า…”

“ลืมไปแล้วหรือไง  นายเป็นคนพูดมันออกมาเองนะ”

“…”

“จะไม่มีอะไรยิ่งใหญ่ไปกว่าจักรวาล”

“…”

“คนที่ยิ่งใหญ่ขนาดนั้นแบบฉัน  นายคิดว่าจะยอมก้มหน้ารับคำสั่งที่สืบทอดกันมาของตระกูลง่ายๆทั้งที่ไม่เต็มใจเหรอ  ไม่มีวันเสียหรอก”

อ้อมกอดแน่นและอุ่นขึ้น  มันทำให้ผมโหยหาและเขยิบตัวเองเข้าไปใกล้เขากว่าเดิม  ไม่อยากให้มีช่องว่างระหว่างเรา  ไม่อยากอยู่ไกลจากเขา  แค่เซนติเมตรเดียวก็มากเกินไปแล้วสำหรับผม

“ที่ยอมรับมัน  เพราะว่าฉันรักคุณแม่ของนายต่างหาก  ยังไงน้ำนมจากอกแม่หยดแรกที่ฉันได้รับ  ก็มาจากคุณแม่ของพวกนายจริงๆ  คนที่นอนกอดฉัน  เล่านิทานให้ฉันฟัง  และเลี้ยงดูฉันมาเป็นอย่างดีก็คือท่าน  ถึงท่านจะไม่รู้ว่าฉันเป็นใคร  และถ้าได้รู้ขึ้นมาความรักที่เคยให้ฉันมันอาจจะเปลี่ยนไปก็ได้  แต่ความคิดที่ว่า…ท่านเป็นแม่ของฉัน  มันไม่ได้เปลี่ยนไปเลย  อวกาศก็เหมือนกัน  ฉันเลี้ยงเขามาตั้งแต่เกิด  ดูแลเขาในฐานะพี่ชายมาตลอด  สำหรับฉัน…เจ้านั่นเป็นน้องชายจริงๆไปแล้วล่ะนะ”

ผมยิ้มให้กับความคิดของเขา  ไม่แปลกเลยว่าทำไมคุณอวกาศถึงรักและเคารพเขามากขนาดนี้  ถึงจะรู้ว่าไม่ใช่พี่ชายสายเลือดเดียวกัน  แต่มันไม่ได้ทำให้ความรักความนับถือที่คุณอวกาศมีต่อคุณจักรวาลในฐานะน้องชายกับพี่ชายเปลี่ยนแปลงไปเลยสักนิดเดียว

“และตัวนาย  อาจจะต่างกันตรงที่ฉันไม่ได้เลี้ยงนายมาเหมือนตอนเลี้ยงอวกาศ  ไม่ได้เห็นการเติบโตของนายเหมือนอวกาศ  แต่…อะไรบางอย่างในตัวนาย  ทำให้ฉันละสายตาไปไม่ได้  เหมือนกับว่า…คนที่ฉันเฝ้ารอมาตลอด  ในที่สุดก็มาอยู่ตรงหน้าฉันเสียที  จะให้ปล่อยไปก็คงไม่ได้  มีทางเดียวคือต้องทำให้เป็นของฉันซะ  ความคิดบ้าๆพวกนี้วนเวียนในหัวฉันไม่หยุดเลยรู้หรือเปล่า”

ปลายนิ้วร้อนเชยคางผมขึ้น  คำพูดของเขาทำเอาใบหน้าร้อนฉ่าด้วยความอาย  จู่ๆพูดอะไรออกมาเนี่ย!  เมื่อกี้ยังดราม่าอยู่เลยไม่ใช่เรอะ

“เตรียมใจไว้เถอะ  พอนายอายุยี่สิบเมื่อไหร่  ฉันจะทำให้เป็นของฉันทั้งตัวแล้วก็หัวใจ”

“ถ้างั้นก็ต้องรอไปอีกสองปีสี่เดือนนะครับ  ส่วนตอนนี้…”

“…”

“เอาแค่หัวใจไปก่อนแล้วกัน”

 

 

บับเบิ้ลบิวชวนคุย :

มาอัพอีกตอนแล้วจ้า  วันนี้เอาไปสองตอนเลยยยยย  และแล้วตัวตนที่แท้จริงของจักรวาลก็ได้รับรู้กันสักทีเนอะ   แหมๆๆ สองตระกูลเขาผูกพันกันมาตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษเชียวนะ! (ยิ่งใหญ่มาก =..=) ความเหงา  ความอ้างว้างที่จักรวาลทนรับมันมาตลอดเพราะพ่อที่แท้จริงสนใจเพียงหน้าที่ที่สืบทอดกันมาในตระกูลเท่านั้น  เริ่มมลายหายไปเพราะได้หมาน้อยที่ปล่อยให้คลาดสายตาไปไหนไม่ได้มาครอบครองสมใจ  แน่นอนว่าเขาจะได้รับการเติมเต็มส่วนที่ขาดไปเหล่านั้นจากอวกาศและกาลเวลา  แม้ตามศักดิ์จริงสองคนนั้นจะเป็นเจ้านายที่เขาไม่อาจขึ้นไปเทียบชั้นได้  หากแต่เมื่อฟ้าลิขิตมาแล้วว่าจักรวาลเหมาะสมที่จะอยู่ในตระกูลอสังหา  ทุกสิ่งย่อมเปลี่ยนแปลงได้  เรื่องสมัยบรรพบุรุษก็ปล่อยให้เป็นของบรรพบุรุษไปสิเนอะ 55555+  แค่จับเจ้านายทำเมียซะก็ดองกันได้แล้วจริงมั้ย =.,=

แม้ว่าไกรเทพจะมีความจำเป็นที่ต้องเอาจักรวาลมาสมอ้างว่าเป็นลูกเพราะไม่ต้องการให้เสียงพิณรู้ความจริงที่ว่าได้สูญเสียลูกชายคนแรกไปแล้ว  รวมถึงไม่อยากให้คุณพ่อของตัวเองต้องผิดหวัง  แต่ความจริงที่ว่า  การตัดสินใจโดยไม่ได้คิดหน้าคิดหลังรวมถึงคิดถึงผลเสียที่จะตามมาก่อนนั้นของเขาก็ทำให้เขาได้มรดกมาอย่างไม่ชอบธรรมก็ไม่อาจหลีกหนีได้  แต่ที่แน่ๆ  สาเหตุที่ทำให้พ่อของกวินทร์เคียดแค้นและชิงชังจนถึงขั้นพี่น้องต้องฆ่ากันเองจะมีสาเหตุมาจากเรื่องนี้จริงๆน่ะเหรอ?  หรือมีอะไรมากกว่านั้นกันแน่นะ?

ต่อไปก็แค่หารหัสผ่านเปิดตู้นิรภัยให้เจอ  จัดการกวินทร์กับพ่อด้วยท่าไม้ตาย(SDการ์ด) ซะ  ทุกอย่างก็จะลงเอยด้วยดี  แต่ว่า…มันจะง่ายอย่างที่คิดหรือเปล่าน้า  จะต้องมีการสูญเสียอะไรอีกมั้ย  ติดตามเอาใจช่วยพวกเขาต่อไปด้วยนะคะ  ขอบคุณนักอ่านทุกคนมากๆที่ยังตามอ่านกันมาจนถึงตอนนี้ค่า  จุ๊บๆๆๆ


ออฟไลน์ WwW

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 330
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +134/-0

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
 :katai2-1: :katai2-1: ดี ๆ ลง 2 ตอนรวดเดียว แถมเฉลยปมให้อีก คนแก่ชอบ  :m4:

ออฟไลน์ fc_fic

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2590
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-7

ออฟไลน์ WwW

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 330
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +134/-0

ออฟไลน์ WwW

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 330
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +134/-0

ตอนที่ 35

ความในใจของเฟี้ยว

 

“อะไรกันๆ  เพิ่งจะได้เปิดอกคุยความจริงกันแท้ๆ  ทำไมวันนี้พวกเราถึงไม่ได้อยู่ด้วยกันล่ะ!”

คุณอวกาศโวยวายและพยายามที่จะพุ่งเข้ามากอดผมอีกครั้ง  หลังจากที่เช้ามาเขารีบมาหาผมที่ห้องเพราะอยากจะคุยถึงเรื่องทั้งหมดด้วยกัน  แต่วันนี้ผมกับไอ้เฟี้ยวดันตัดสินใจว่าจะไปโรงเรียนกันน่ะสิ

หยุดมาเป็นอาทิตย์แล้ว  ถ้าขืนนักเรียนทุนอย่างผมยังหยุดต่อไปล่ะก็มีหวังหมดสิทธิ์สอบถูกตัดออกจากทุนเรียนฟรีแน่ๆ!

“เพราะกูกับมันยังเป็นนักเรียนอยู่น่ะสิถามได้!”

ไอ้เฟี้ยวเข้ามาฉกตัวผมให้ไปหลบอยู่ด้านหลังมันแล้วใช้มือข้างดึงดันหน้าคุณอวกาศไว้ไม่ให้เข้าใกล้ผมได้  อันที่จริงเขาขอให้ผมเรียกเขาว่าพี่อยู่หรอกนะ  แต่ว่า…

ผมไม่ชินก็เลยขอเรียกคุณอวกาศแบบเดิมดีกว่า!

“ไทม์…”

ตึกๆๆๆๆๆๆ

เหมือนหมาเห็นเจ้านายทันที  พอคุณจักรวาลที่เดินตามลงมาทีหลังส่งเสียงเรียกปุ๊บ  ผมก็เดินดุ๊กดิ๊กๆเข้าไปหาเขาปั๊บ

“ตั้งใจเรียนนะ”

“ครับ!”

รับคำพร้อมกับยิ้มแฉ่งให้เขาจนเห็นฟันครบสามสิบสองซี่  ร่างสูงอมยิ้มน้อยๆก่อนจะโน้มหน้าลงมาหอมแก้มผมฟอดใหญ่

โอ๊ยยยยย  ความสุขจนหัวใจแทบระเบิดแบบนี้มันคืออะไรกัน!

“เดี๋ยวนะ!  ทำไมพี่ชิงหอมแก้มน้องชายผมแบบนี้ล่ะ!  หมายความว่าไงเนี่ย!”

“นั่นสิ!  มาทำตัวหวานแหววเหมือนผัวออกมาส่งเมียไปทำงานแบบนี้ได้ไงวะ!”

“ทะ…ทะ…ทั้งสองคน  ใจเย็นๆก่อนนะ…”

“แล้วยังไง  ก็แค่พี่ชายหอมน้องชายก่อนไปโรงเรียน   ไม่เห็นจะแปลก”

คุณจักรวาลตอบกลับได้หน้านิ่งมาก  แต่ดูเหมือนคำตอบของเขาจะไม่เป็นที่ยอมรับสักเท่าไหร่  คุณอวกาศมองหน้าผมสลับกับพี่ชายของตัวเองอยู่พักหนึ่งก่อนดึงแขนเขาเข้ามาใกล้แล้วยื่นหน้าเข้าไปหา

จะ…จะทำอะไรล่ะนั่น

“งั้นพี่ก็หอมผมบ้างสิ  ผมก็น้องชายพี่ไม่ใช่หรือไง  อ่ะๆ  หอมสิ  หอมๆๆๆ”

ไม่พูดเปล่า  คุณอวกาศยังทำแก้มป่องยื่นหน้าเข้าไปใกล้ริมฝีปากของคุณจักรวาลจนอีกฝ่ายต้องยกมือขึ้นมาปิดปากเอาไว้พร้อมเบือนหน้าหนีด้วยสีหน้าพะอืดพะอม

“จะอ้วก…”

“เห็นมะ!  ทีกับผมพี่จะอ้วกซะงั้น  ทำไมกับไทม์ถึงหอมได้ล่ะ!”

“เด็กมันน่ารัก”

กลายเป็นผมเสียเองที่ตกใจ  ไม่คิดว่าคนอย่างเขาจะพูดอะไรแบบนี้ออกมาด้วย!  ตายครับ  ตายสงบศพสีชมพูฟรุ้งฟริ้งเลย  อ๊ากกกก!

“พวกนายไปได้แล้วล่ะ  เดี๋ยวฉันจัดการเจ้าบ้านี่เอง”

“ผมไม่ได้บ้านะ  พี่ก็หอมผมบ้างสิ  แบบนี้มันไม่ยุติธรรมเลย  ไทม์ก็ไม่ยอมให้ผมหอม  ส่วนพี่ก็ไม่ยอมหอมผม  นี่ไม่มีใครรักผมเลยใช่ไหมเนี่ย!”

จะว่าไปก็แอบน่าสงสารอยู่เหมือนกันนะ  ผมยังไม่คุ้นเคยกับคุณอวกาศแม้ว่าเขาจะเป็นพี่ชายแท้ๆพ่อแม่เดียวกันกับผมก็ตาม  พอเขาเข้ามาใกล้พุ่งเข้าใส่จะมากอด  ร่างกายมันก็วิ่งหนีไปโดยอัตโนมัติ  ต่างจากเวลาที่อยู่กับคุณจักรวาล  มันเพราผมคุ้นเคยกับเขาดีอยู่แล้วและความสัมพันธ์ของเรามันก็ไม่ได้อยู่ในรูปแบบของพี่น้องด้วย  ถึงจะรู้สึกผิดกับคุณอวกาศ  แต่ผมคงต้องขอเวลาอีกสักพักจริงๆนั่นแหละ

“ไปเถอะไอ้เฟี้ยว”

ผมหันไปสะกิดไอ้เฟี้ยวที่เอาแต่ยืนนิ่งไม่พูดอะไรเลยตั้งแต่คุณจักรวาลหอมแก้มผม  ไม่สบายหรือเปล่านะ?

“อ๊ะ  เดี๋ยว  อย่าเพิ่งไป  พี่ปล่อยคอเสื้อผมก่อนดิ๊!”

เพราเสียงเรียกของคุณอวกาศ  ทั้งผมและไอ้เฟี้ยวเลยหยุดเดิน  แต่ยังไม่ทันจะได้หันกลับไป  ร่างสูงของเขาก็พุ่งเข้ามาทางไอ้เฟี้ยวด้วยความเร็วแสง  ก่อนจะดึงมันให้หันกลับไปและ…

ฟืดดดด!

หอมแก้ม!!!

ผมยืนตะลึงตึงๆสองตาเบิกกว้างด้วยตกใจสุดขีด  คุณอวกาศที่เพิ่งหอมแก้มไอ้เฟี้ยวไปหมาดยืนยิ้มร่าโดยหารู้ไม่ว่าชะตากำลังจะขาดในอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้านี้  ผมค่อยๆหันไปทางคุณจักรวาลเพื่อขอความช่วยเหลือ  แต่เขากลับทำเพียงแค่ส่งซิกให้ผมถอยหลังหลบฉากไปเท่านั้น  เพราะเขาเองก็ถอยหลังไปเรียบร้อยแล้ว

“เพราะพี่จักรวาลหอมไทม์ไปแล้ว   ฉันในฐานะพี่ชายอีกคนของบ้านก็เลยมาหอมนายแทน  จะได้เท่าเทียมกันทุกคน  ดีไหมล่ะ”

ยัง…ยังไม่หนีอีกเรอะ!

“ไอ้อวกาศ…”

“จ๋าจ้ะ  หรือว่าอยากให้หอมอีกข้าง  มามะ  พี่ชายคนนี้พร้อม…อั้ก!!!”

“ไปตายซะไอ้ตาแก่โรคจิต!!!”

ร่างของคุณอวกาศลอยละลิ่วล่องลมกลับไปหาคุณจักรวาลที่วิ่งออกมารับไว้ได้ทัน  ไม่คิดเลยว่าไอ้เฟี้ยวมันจะแรงเยอะขนาดนี้  เตะทีเดียวไกลเป็นลี้อ่ะ…

 

ตลอดทางมาโรงเรียนไอ้เฟี้ยวยังเอาแต่ตีหน้าบึ้งไม่คุยกับผมสักคำ  บรรยากาศมาคุจนแค่จะหายใจผมยังไม่กล้าเลย  เมื่อเช้ายังอารมณ์ดีอยู่เลยแท้ๆ  ทำไมจู่ๆถึงดูน่ากลัวขึ้นมาได้ล่ะ เป็นแบบนี้เล่นเอาผมไปไม่เป็นเลย

“ตอนเย็นผมมารับเวลาเดิมนะครับ”

“ครับพี่เข้ม”

ผมและไอ้เฟี้ยวพากันลงจากรถเดินเข้าโรงเรียนไปท่ามกลางความเงียบอึมครึม  หรือจะโกรธที่โดนคุณอวกาศหอมแก้มนะ  ไม่สิ  ก่อนจะโดนหอมมันก็เริ่มมีสีหน้าไม่ปกติแล้วนี่นา   เอาไงดีนะ  ลองถามดูดีไหม?

“เอ่อ…”

สุดท้ายผมก็ทนความอึดอัดนี้ไม่ไหวต้องส่งเสียงออกไป  ไอ้เฟี้ยวหยุดเดินเมื่อได้ยินผมส่งเสียงเรียก  มันเดินนำหน้าผมเล็กน้อย  ผมก็เลยหยุดยืนอยู่ข้างหลังมัน  พวกเรายังคงเป็นจุดสนใจของบรรดานักเรียนคนอื่นๆอยู่  แต่ดูเหมือนจะไม่มากเท่าเมื่อก่อน  เพราะพอผมกลายเป็นเพื่อนสนิทกับไอ้เฟี้ยว  ทุกคนเลยไม่กล้าเข้ามายุ่งมากนัก  มากสุดทำได้เพียงแค่มองเท่านั้น

“มึง…เป็นอะไรหรือเปล่า  โมโหเรื่องคุณอวกาศเหรอ”

“ไอ้เวรนั่น  สักวันฉันต้องฆ่ามันแน่”

“อะจึ๋ย!!!”

ผมสะดุ้ง  โกรธถึงขั้นวางแผนจะฆ่ากันเลยเรอะ  คุณอวกาศ…ต้องรีบเช่ายานจากนาซ่าหนีไปดาวอื่นแล้วล่ะครับ!

“ไอ้เฟี้ยว  มึงเป็นอะไรวะ  ทำไมจู่ๆก็อารมณ์ไม่ดี”

“หงุดหงิด”

“ฮะ?”

“โดนแย่งไปจนได้  หงุดหงิดโว้ยยย!”

จู่ๆมันก็ตะโกนออกมาเสียงดัง  พวกนักเรียนที่กำลังเดินผ่านกันอย่างสบายอารมณ์ต่างพากันตกใจวิ่งไปยืนกอดกันเป็นกระจุกเดียว

“อะไรของมึงวะ  ใจเย็นๆก่อน  คนอื่นเขาตกใจกันหมดแล้ว”

“ช่างหัวมันสิ  กูไม่สน”

“ไอ้เฟี้ยว!  เป็นเหี้ยอะไรของมึงเนี่ย  มีอะไรก็พูดคุยกันตรงๆสิวะ  เป็นเพื่อนกันไม่ใช่เหรอ!”

เริ่มจะหมดความอดทนแล้วนะเฟ้ย!  โตจนจะจบม.ปลายอยู่แล้วยังเอาแต่ใจทำตัวเป็นเด็กอยู่อีก  ใครจะมานั่งตามใจมันได้ตลอดวะ!

“เออ!  กูมันเป็นได้แค่เพื่อน  ทำอะไรลงไปมันก็ได้แค่เพื่อนเท่านั้นแหละ!”

“อ้าวเฮ้ย!  เดี๋ยวสิวะ!  อะไรของมึงเนี่ย  ไอ้เฟี้ยว!”

ผมตะโกนเรียกพร้อมกับวิ่งตามมันที่พอพูดเสร็จก็วิ่งพรวดเข้ามาในตึกเลย  แต่ไม่ว่าจะเรียกเท่าไหร่มันก็ไม่ยอมหยุด  ตั้งหน้าตั้งตาวิ่งขึ้นบันไดไปทางดาดฟ้าจนผมที่วิ่งตามเริ่มจะเหนื่อยหอบ

ทำไมกูต้องมาเล่นวิ่งไล่จับตั้งแต่วันแรกที่กลับมาเรียนแบบนี้ด้วย  โฮ!!!

ตกลงมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่นะ  สีหน้าของไอ้เฟี้ยวที่ตะโกนใส่ผมเมื่อกี้เหมือนคนกำลังจะร้องไห้เลย  มันดูเจ็บปวดจนผมไม่สามารถปล่อยเอาไว้ได้  ยังไงก็เพื่อนกันนี่นา  มันเป็นเพื่อนคนแรกของผม  เป็นเพื่อนคนสำคัญ…

“แฮ่ก  แฮ่ก…”

แต่ถึงจะบอกว่าสำคัญก็เถอะนะ  วันหลังช่วยวิ่งหนีไปที่ที่มันไม่ต้องขึ้นบันไดจะได้ไหมฟะ  กูเหนื่อยนะเนี่ย!!!

“ไอ้เฟี้ยว!  มึงทำอะไรน่ะ!”

พลั่ก!

ผมตรงเข้าไปปัดบุหรี่ในมือมันทิ้งทันที  ไฟแช็กที่มันกำลังจะจุดไฟผมก็แย่งเอามาถือไว้  ร่างสูงหันมามองด้วยแววตาหงุดหงิด

“เอาคืนมา  ของกู”

“ไม่!  มึงจะสูบบุหรี่ไม่ได้นะ  มันไม่ดี  ไม่รู้หรือไง”

“รู้  แต่มันเรื่องของกู”

“ไม่!”

“ไอ้ไทม์!!!”

“ทำไมต้องสูบด้วยวะ  มีเรื่องอะไรมึงก็บอกกูมาสิ  เอามาลงกับบุหรี่แบบนี้มันช่วยอะไรมึงได้หรือไง”

“กูไม่ได้สูบประจำหรอกน่า  แค่เฉพาะเวลาเครียดๆ”

มันตอบเสียงอ่อนลงเมื่อเห็นว่าผมแทบจะร้องไห้อยู่รอมร่อเพราะมันกำลังจะทำร้ายตัวเองด้วยการสูบบุหรี่

“เออๆ  ครั้งนี้กูไม่สูบก็ได้  พอใจยัง”

“แน่นะ”

“อือ  เลิกทำหน้าแบบนั้นได้แล้วน่า  ผู้ชายเขาไม่ร้องไห้เรื่องแบบนี้กันหรอกเฟ้ย”

มือหนากดลงบนหัวผมเบาๆ  พอเห็นว่าไอ้เฟี้ยวคนเดิมเริ่มจะกลับมาผมก็ยิ้มออก  แต่ก็ยังอดห่วงไม่ได้ว่ามันมีเรื่องอะไรไม่สบายใจกันแน่

“มึงเป็นอะไรวะ  ถูกใครแย่งอะไรไปเหรอ”

“หา?”

“ก็เมื่อกี้ที่มึงพูด…”

“ถามออกมาหน้าซื่อแบบนี้ได้ไงวะ  ไปต่อไม่ถูกเลยกู”

ไอ้เฟี้ยวทรุดตัวนั่งยองๆกับพื้น  สองมือขยุ้มหัวตัวเองจนผมต้องตามลงไปนั่งฝั่งตรงข้ามมันแล้วรั้งแขนมันเอาไว้

ขืนปล่อยให้ขยุ้มต่อไปหัวคงหลุดติดมือมาแหงๆ

“ว่าไงล่ะ  โดนแย่งอะไรไป  ให้กูไปเอาคืนมาให้ไหม”

มันไม่ตอบ  แต่ค่อยๆเงยหน้าขึ้นมองผมแทน  ตั้งแต่ได้เป็นเพื่อนกันและลองเปิดใจรับนิสัยของมันดู  ผมได้รู้ว่าความจริงไอ้เฟี้ยวไม่ใช่คนก้าวร้าวรุนแรงอะไรเลย  ออกจะน่ารักแบบเด็กผู้ชายทั่วไปเสียด้วยซ้ำ  ส่วนที่ทำนักเลงไปแบบนั้น  คิดว่าคงอยากจะให้คนอื่นมองว่าตัวเองเข้มแข็งนั่นแหละ ด้วยอะไรหลายๆอย่างที่เคยเจอมา  บางทีโชคชะตาก็บีบให้เราต้องกลายเป็นอีกคนที่ไม่อยากเป็นได้เหมือนกัน

“มึงเอามาคืนกูไม่ได้หรอก”

“รู้ได้ไง  มึงบอกกูมาก่อนสิ  กูสัญญาว่าจะพยายามช่วยมึงเต็มที่เลย”

“เฮ้อๆ ปวดหัววุ้ย!  บอกว่าไม่ได้ก็ไม่ได้สิวะ”

“แล้วมันเพราะอะไรกันล่ะ!  ยังไม่ได้ลองเลยแล้วจะรู้ได้ยังไง  มึงบอกว่าโดนแย่งไปใช่ไหม  งั้นก็ไปแย่งกลับมาสิ!  ถ้าเป็นของของมึง  มึงก็แค่ไปแย่งกลับมาให้ได้  ลูกผู้ชายเขาไม่ถอดใจกันง่ายๆหรอกนะไอ้เฟี้ยว!”

เป็นครั้งแรกเลยที่ได้มาคุยอะไรกับมันเป็นจริงเป็นจังอย่างนี้  ให้ความรู้สึกเหมือนเพื่อนที่กำลังให้คำปรึกษาเรื่องชีวิตวัยรุ่นกันเลย

ความฝันอันสูงสุดในชีวิต!

“อยากจะทำอย่างนั้นอยู่หรอก  แต่ยังไงก็คงแย่งมาไม่สำเร็จ”

“เพราะ?”

“หนึ่ง…คนที่แย่งของกูไป  เจอก่อน  สอง…คนที่แย่งของกูไป  ดีกว่ากูหลายขุม  สาม…คนที่แย่งของกูไป  มีความเป็นลูกผู้ชายกว่ากูเยอะ  และสี่…”

ข้อสุดท้ายไอ้เฟี้ยวพูดค้างไว้  มันใช้สองมือยันไว้กับพื้นแล้วยื่นหน้าเข้ามาใกล้จนผมหงายลงไปนั่งก้นจ้ำเบ้ากับพื้น

“สี่คือ…เพราะมึงชอบมันไง  ไอ้ไทม์”

แววตาเศร้าจับจ้องมาที่ผมไม่ละไปไหน  หนึ่งนาทีที่ตกอยู่ในความเงียบ  ผมมองหน้าไอ้เฟี้ยวโดยที่ในหัวกำลังประมวลทุกสิ่งทุกอย่างที่มันพูดออกมา

เดี๋ยวก่อนนะ…

มะ…มันหมายความว่ายังไงฟะเนี่ย!

“มึงเคยถามกูก่อนหน้านี้ใช่ไหม  ว่ากูจูบมึงเพราะอะไร  นั่นน่ะ…ไม่ใช่จูบมิตรภาพอะไรหรอกนะ  แต่เป็นเพราะ…กูอยากจูบมึง”

“อะ…ไอ้เฟี้ยว…”

“ตอนแรกกูก็ไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมกูต้องอยากจูบมึงด้วย  ไม่ใช่แค่จูบ  แต่กูยังกอดมึง  อยากดูแลมึง  อยากอยู่ใกล้ๆมึง  อยากทำทุกอย่างร่วมกับมึง  แม้แต่เรื่องอย่างว่ากูก็จินตนาการว่ากูอยากทำกับมึง!”

“เฮ้ยยยย!”

อะ…อะ….ไอ้ข้อหลังกูว่ามันชักจะน่ากลัวเกินไปแล้วนะ

“กูไม่เข้าใจและไม่รู้เหตุผล  ได้แต่ถามตัวเองว่าทำไมๆ  พอมีคำตอบที่เป็นไปได้ออกมากูก็ปฏิเสธตัวเองตลอดว่าต้องไม่ใช่ๆ  กูเหรอจะชอบมึง  กูเป็นเกย์หรือไง  คำถามพวกนี้วนเวียนในหัวจนกูแทบจะเป็นบ้าตาย  แต่สุดท้าย…พอเห็นท่าทีของมึงกับไอ้จักรวาลเมื่อเช้า  ตรงนี้…แม่งเจ็บว่ะ”

ไอ้เฟี้ยวทุบลงไปตรงหน้าอกของซ้ายของตัวเองพร้อมกับยิ้มออกมาทั้งน้ำตา  น้ำตาที่ไหลออกมาของมันเหมือนมีไม้หน้าสามมาตีแสกหน้าผมจนเจ็บไปหมด

“ทุกเรื่องที่กูปฏิเสธมาตลอด  พุ่งเข้าตอกย้ำจนกูตั้งรับไม่ทัน  แต่ในที่สุด…กูก็รู้ตัวสักที  ที่กระวนกระวายเรื่องของมึง  ที่อยากสัมผัสมึงตลอดเวลามันก็เพราะ…กูชอบมึง”

“…”

“ชอบจริงๆนะ”

น้ำเสียงสั่นเครือบีบหัวใจของผมจนแทบจะร้องไห้ตาม  ไอ้เฟี้ยวถอยหลังกลับไปนั่งที่เดิม  สองมือปิดหน้าตัวเองเอาไว้เพราะคงไม่อยากให้ผมเห็นสภาพของมันในตอนนี้

“ไอ้เฟี้ยว   กู…”

“อย่าเพิ่งพูดอะไรตอนนี้ได้ไหมวะ  กูขอล่ะ”

“…”

“จะตอบรับหรือจะปฏิเสธความรู้สึกของกูก็ตาม  เอาไว้ค่อยบอกได้ไหม  อย่างน้อยก็…แค่กลับไปคิดทบทวนก็ยังดี” 

คำขอของมันทำให้ผมไม่กล้าปฏิเสธ  ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจแล้วว่าคำตอบจะออกมาเป็นยังไง  แต่เจอคำขอร้องนี้เข้าไป  สิ่งที่ผมทำได้มีเพียงตอบรับกลับไปเบาๆเท่านั้น

“อืม…”

ทำไมกลายเป็นแบบนี้ไปได้  คนอย่างไอ้เฟี้ยวเนี่ยนะชอบผม?  เมื่อไหร่?  และเพราะอะไร  ตลอดมามันดีแต่กลั่นแกล้งผมแท้ๆ  แล้วเอาเวลาตอนไหนมาแอบชอบฟะ!

“ขอกูอยู่คนเดียวหน่อยนะ  มึงไปเข้าห้องเรียนเหอะ”

“อืม…”

ผมลุกขึ้นเดินตรงไปทีประตูดาดฟ้า  พอหันกลับไปมองไอ้เฟี้ยวอีกทีก็เห็นว่ามันฟุบหน้าลงกับเข่า  แผ่นหลังกว้างสั่นสะท้านทว่ากลับไม่มีเสียงสะอื้นใดๆเล็ดลอดมา  การที่มันพยายามอดกลั้นแบบนี้ยิ่งทำให้ผมเจ็บปวดไปด้วย

ขอโทษนะ  กูขอโทษ…

 

“ก็นะ  กะแล้วว่าต้องเป็นแบบนี้เลยรีบซิ่งรถตามมาดู”

ทันทีที่ไทม์ออกจากดาดฟ้าไปแล้ว  เจ้าของเรือนผมสีทองในชุดสีขาวที่แอบอยู่ตรงชั้นสองของดาดฟ้าอีกทีก็ปรากฏขึ้น  เขาทิ้งตัวนั่งห้อยขาลงมา  เฟี้ยวที่พอจะรู้อยู่แล้วว่าอวกาศแอบอยู่ตรงนั้นเงยหน้าขึ้นมองแขกไม่รับเชิญด้วยใบหน้าหงุดหงิด

“เสือก”

“ทำได้ดีมากเลยนะ  ในที่สุดก็สารภาพออกไปสักที”

“แต่ดูท่าจะอกหักแน่ๆ  พี่ชายมึงทำคะแนนนำไปถึงขอบโลกแล้ว”

“เห…นายคิดแบบนั้นเหรอ  แต่ฉันไม่คิดแบบนั้นหรอกนะ”

“…”

“อย่างน้อยๆหลังจากที่ถูกสารภาพไปอย่างกระทะหันแบบนั้น  วันนี้ทั้งวันไทม์คงเอาแต่คิดเรื่องของนายแน่นอน~”

อวกาศยิ้มหวาน  เพียงแค่คิดว่าวันนี้ทั้งวันในหัวของไทม์จะต้องมีแต่เรื่องของเขา  ใบหน้าของเฟี้ยวก็ร้อนผ่าวก่อนจะขึ้นริ้วสีแดงด้วยความเขิน

“แต่ยังไงฉันก็เชียร์พี่ชายฉันอยู่ดีนะ”

“ตกลงมึงอยู่ข้างใครกันแน่ฮะ!!!”

“ทำไงได้ล่ะ  ถ้าฉันเชียร์นายแล้วนายเกิดสมหวังขึ้นมาจริงๆ  คราวนี้จะกลายเป็นฉันน่ะสิที่ถูกแย่ง”

“นี่มึง…มาเพื่อจะพูดเรื่องอะไรกันแน่”

เส้นเลือดตรงขมับของเฟี้ยวสั่นพั่บๆ  รู้สึกเหมือนกำลังโดนยั่วโมโหจนลืมความเสียใจก่อนหน้านี้ไปซะสนิท

“ฉันแค่มาเพื่อจะบอกว่า…”

ตุ้บ!

ร่างสูงกระโดดลงจากชั้นสองมาอยู่ตรงหน้าของเฟี้ยวพอดี แม้จะไม่ใช่ความสูงที่มากมายอะไร  แต่ถ้ากระโดดผิดท่าขึ้นมาก็มีสิทธิ์บาดเจ็บได้เหมือนกัน

“ฉันก็ไม่ยอมให้ไทม์แย่งนายไปหรอกนะ  แค่นี้แหละ”

อวกาศยื่นหน้าไปกระซิบที่ข้างหูก่อนจะเดินผิวปากกลับออกจากดาดฟ้าไปอย่างอารมณ์ดี  ทิ้งให้เฟี้ยวนั่งยกมือขึ้นลูบหูที่ร้อนผ่าวขึ้นเพราะลมหายใจของอีกฝ่ายกระทบกับใบหู

“ถ้าจะละเมอก็กลับไปนอนเหอะไอ้เวร”

พึมพำเบาๆตามหลังก่อนจะทิ้งตัวนอนหงายลงไปบนพื้น  สายตาจับจ้องไปยังท้องฟ้าที่มีเมฆอยู่เล็กน้อย  ใบหน้ายิ้มแย้มของไทม์ที่นานทีปีหนจะได้เห็นลอยเด่นอยู่บนนั้น...

 

 

บับเบิ้ลบิวชวนคุย :

มาอัพแล้วจ้า  พักเรื่องปริศนาแล้วมาสานต่อเรื่องรักๆใคร่ๆของพวกเขาบ้างเนอะ!  ในที่สุดเฟี้ยวเงาะของเราก็สารภาพรักเสียที!  ขณะเดียวกันคุณอวกาศก็ดูเหมือนจะเริ่มรู้สึกตัวเกี่ยวกับเรื่องของเฟี้ยวขึ้นมาบ้างแล้ว  ( แม้ว่าดูทรงแล้วคุณพี่อวกาศอาจจะต้องเหนื่อยหน่อยก็ตามถ้าคิดจะปราบพยศพ่อเฟี้ยวเงาะนะ 5555+ )  หลังจากนี้เรื่องราวความรักของพวกเขาทั้งสี่คนจะลงเอยในรูปแบบไหนกันนะ  ติดตามตอนต่อไปได้เล้ยยยยย!


CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
เอาแล้วๆๆๆๆๆ

ออฟไลน์ fc_fic

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2590
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-7

ออฟไลน์ WwW

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 330
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +134/-0

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
 :z6: ใช่ท่านี้ปะ ที่หลานเฟี้ยวใช้กับหลานอวกาศ  :m26:

ออฟไลน์ yowyow

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +139/-7

ออฟไลน์ WwW

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 330
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +134/-0

ออฟไลน์ WwW

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 330
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +134/-0
ตอนที่ 36

สิ่งที่ต้องการจะสอน…รหัสผ่านที่ซ่อนอยู่ในจดหมาย!

 

“เฮ้อ…”

ถึงไอ้เฟี้ยวจะบอกว่าให้เข้าห้องเรียนก่อนก็เถอะ  แต่เพิ่งถูกสารภาพอะไรแบบนั้นมาใครมันจะไปมีอารมณ์เรียนกันล่ะ!

ผมหลบมานั่งคนเดียวอยู่ที่ข้างสนามฟุตบอล  ในสนามมีพวกชมรมฟุตบอลฝึกซ้อมกันอยู่  จะเอายังไงต่อดี  เรื่องของไอ้เฟี้ยวอัดแน่นอยู่เต็มรอบหยักในสมองเลย  ผมไม่ต้องการทำให้มันเสียใจหรือว่าเจ็บปวด  แต่จะให้โกหกก็คงไม่ได้อีกนั่นแหละ

สุดท้ายไม่ว่าจะเลือกทางไหนยังไงมันก็ต้องเจ็บอยู่ดีไม่ใช่หรือไงฟะ  อ๊ากกกกก!

“ครูตาฝาดไปหือเปล่าเนี่ย  นักเรียนทุนกำลังโดดเรียนงั้นเหรอ”

“เอ๊ะ?  อะ…อาจารย์”

‘อาจารย์เปรม’  อาจารย์สอนพละและเป็นโค้ชของชมรมฟุตบอลเดินเข้ามาทัก  เขาทิ้งตัวนั่งลงข้างๆผมเพื่อมองนักเรียนในชมรมฝึกซ้อม

“ไม่ต้องห่วง  ครูไม่บอกใครหรอก”

เป็นครั้งแรกที่ผมได้คุยกับอาจารย์  ปกติเวลาถึงวิชาพละ  ผมมักจะปลีกตัวไปนั่งอ่านหนังสือเสมอๆเพราะไม่ได้เข้าร่วมกลุ่มหรือจับคู่กับใคร  ถึงจะไม่ได้คะแนนในชั่วโมงเรียนแต่ผมก็กวาดเอาคะแนนสอบได้หมด  ก็เลยไม่ค่อยมีปัญหาสักเท่าไหร่

“พักหลังเห็นนายสนิทกับเฟี้ยวดีนะ  หมอนั่นเป็นยังไงบ้างล่ะ  เรื่องครูมารีอา”

“แรกๆก็เสียใจเป็นปกตินั่นแหละครับ  ตอนนี้ดีขึ้นแล้ว”

ทั้งโรงเรียนยังร่วมไว้อาลัยให้อาจารย์มารีอากันอยู่เพราะยังคงผูกริบบิ้นสีดำติดเอาไว้ที่ข้อมือ  พวกคุณกวินทร์ก็เงียบหายไปเลย  บางทีอาจกำลังวางแผนอะไรอยู่ก็เป็นได้

“ครูคิดไปเองหรือเปล่า  นายเปลี่ยนไปเยอะเลยนะ”

“ผมเหรอครับ?”

“ก่อนหน้านี้เอาแต่ทำหน้านิ่งอยู่แต่กับหนังสือเรียน  ถึงจะโดนใครแกล้งหรือว่านินทายังไงก็ไม่เคยโกรธ  สีหน้าของนายไม่เคยเปลี่ยนแปลงเลยไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น   แต่ตอนนี้ครูว่ามันไม่เหมือนเดิมเลย  นายแสดงออกทางสีหน้ามากขึ้นกว่าเมื่อก่อนจนเหมือนเป็นคนละคน   ถ้าครูมารีอายังอยู่จะต้องดีใจแน่ๆ”

“อะ…อาจารย์มารีอาเกี่ยวอะไรด้วยเหรอครับ”

ถามออกไปเพราะไม่เข้าใจจริงๆ

คำพูดของอาจารย์เปรมทำให้ผมนึกถึงตัวเองเมื่อก่อนหน้าที่จะได้เจอกับคุณจักรวาลและคนอื่นๆ  ผมเป็นแค่เด็กนักเรียนธรรมดาทั่วไป ออกไปทางอัจฉริยะมากก็เก็บตัวมากทำนองนั้น  เพราะความที่เข้ากับคนยากและไม่คิดที่จะเข้าหาใครก่อนด้วย  ทำให้ผมตกเป็นเป้านิ่งและถูกแกล้งเป็นประจำ  ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่เคยแสดงสีหน้าหรือต่อว่าใครเลย  ไม่เคยให้ใครรู้ว่าโกรธ  ไม่เคยให้ใครรู้ว่ากลัว  ไม่เคยเปิดใจให้กับใครเลย…

เวลาโดนแกล้ง  ผมคิดเอาง่ายๆว่าพอพวกมันเบื่อ  พวกมันจะเลิกแกล้งผมเอง  ไม่เคยรู้ว่าการกระทำแบบนั้นจะยิ่งทำให้คนอื่นๆไม่ชอบหน้า  ผมไม่เคยพึ่งพาใคร  เพราะความจนทำให้ผมพึ่งพาเป็นแค่ตัวเองเท่านั้น  ไม่คิดจะขอความช่วยเหลืออย่างจริงจังและจริงใจกับใครเลยสักคน  แม้แต่อาจารย์ประจำชั้นอย่างอาจารย์มารีอา  ผมก็ไม่เคยคิดจะขอความช่วยเหลือ

พอมาคิดๆดูแล้ว…ผมเป็นพวกไร้มนุษยสัมพันธ์สุดๆไปเลยแฮะ

“เธอกังวลมากน่ะสิ  เรื่องของนายน่ะ”

“เอ๊ะ…”

“ทุกครั้งที่มีการประชุมคุณครู  เธอมักจะพูดเรื่องของนายด้วยความกังวลเสมอ  เพราะไม่ว่าเธอจะพยายามเข้าหาแค่ไหน  แต่นายก็ไม่เคยเปิดใจให้เลย  อาจารย์มารีอาน่ะ…อยากจะให้นายเรียนที่นี่อย่างมีความสุขและจบออกไปพร้อมกับรอยยิ้ม  เป็นครูที่ดีและคิดถึงนักเรียนมากจริงๆเลยนะ”

“นั่นสินะครับ”

จะว่าไป  เหมือนจะเคยมีเรื่องธรรมนองนี้เกิดขึ้นอยู่เหมือนกัน  อาจารย์มารีอาได้เป็นอาจารย์ประจำชั้นของผมสามปีรวดตั้งแต่ ม.4 จนถึงปัจจุบัน  เธอคอยเข้าหาและพยายามถามถึงปัญหาต่างๆว่าเพราะอะไรทำไมผมถึงอยากอยู่คนเดียวมากกว่ามีเพื่อน  แต่ผมไม่เคยสนใจที่จะตอบคำถามของเธอก็เลยเมินเธอมาตลอด  จนในความทรงจำแทบจะไม่มีเรื่องของเธอเลย  เพราะสำหรับผมในตอนนั้น…มนุษย์น่ะเชื่อใจไม่ได้  ถ้าไม่มีผลประโยชน์ต่อกันก็จะไม่มีทางที่ใครจะมาจริงใจกับเรา  ผมคิดแบบนั้นมาตลอดถึงได้หลีกหนีการเข้าใกล้มนุษย์ทุกวิถีทาง   และปล่อยให้พวกนั้นรังแกจนกว่าจะพอใจ

“ทั้งที่ครูคนอื่นต่างก็บอกให้เธอเลิกยุ่งกับนาย  นายเป็นเด็กอัจฉริยะ  เรียนดี  และมีสมองเป็นอาวุธ  ยังไงก็เอาตัวรอดได้แน่ๆ  แต่เธอก็ไม่เคยฟังใครเลย  เอาแต่นั่งคิดหาทางว่าทำยังไงนายถึงจะเข้ากับเพื่อนๆในห้องได้ดีนะ  ถึงขนาดเคยมาขอร้องให้ฉันชวนนายเข้าชมรมฟุตบอลเลยล่ะ  แต่ดูเหมือนนายจะไม่สนใจ  ฮ่าๆๆ”

“อ๋อ  ตอนนั้นน่ะเอง”

ไอ้ใบเชิญให้เข้าชมรมที่สอดอยู่ในล็อกเกอร์เมื่อตอน ม.5   ผมไม่ได้สนใจก็เลยขยำมันทิ้งขยะไปอย่างไม่ใยดี  เหอะๆ

“แต่ก็นะ  ดูเหมือนตอนนี้ในที่สุดนายก็เข้าใจความหมายของการอยู่ร่วมกันกับคนอื่นแล้วนี่  ถึงจะไม่ได้มีเพื่อนเยอะแยะและสนิทกับเพื่อนในห้องอย่างที่ครูมารีอาหวัง  แต่แค่ตอนนี้  นายมีใครสักคนที่เรียกว่าเพื่อนได้อย่างเต็มปาก  เป็นมิตรภาพที่แท้จริงของนาย  ครูมารีอาก็คงสบายใจแล้วล่ะ”

เพื่อน…มิตรภาพ…งั้นเหรอ

หน้าของไอ้เฟี้ยวลอยเข้ามาเป็นคนแรก  ผมอาจจะให้มันเป็นมากกว่านั้นไม่ได้  แต่ถ้ามีใครถามว่าเพื่อนที่ดีที่สุดของผมคือใคร  มิตรภาพที่แท้จริงของผมมีไหม  ผมคงกล้าพูดได้อย่างเต็มปากว่าคือไอ้เฟี้ยว

“ขอบคุณนะครับอาจารย์  ได้คุยกับอาจารย์แบบนี้ผมสบายใจขึ้นเยอะเลย”

“ยังไงฉันก็เป็นครูนะ  ถ้าสามารถเป็นครูที่ใส่ใจลูกศิษย์ได้ตลอดเวลาอย่างครูมารีอาคงจะดีไม่น้อย  ไม่แน่ว่าการที่นายมานั่งเหม่ออยู่ตรงนี้  อาจเป็นครูมารีอาลิขิตไว้เพื่อให้ฉันได้พูดคุยกับนายก็ได้”

“ที่ผ่านมาผมคงทำให้พวกอาจารย์เป็นกังวลมาก  รวมถึงทำเรื่องเสียมารยาทไปหลายเรื่องด้วย  ต้องขอโทษด้วยนะครับ”

“เจ้าเด็กโง่!  การอบรมสั่งสอนลูกศิษย์ให้เข้าใจถึงการใช้ชีวิตน่ะ  มันก็เป็นงานอย่างหนึ่งของอาจารย์เหมือนกันนะ”

อาจารย์เปรมยีหัวผมเล่นเหมือนที่ชอบทำกับเด็กคนอื่นๆก่อนจะวิ่งเข้าไปหาพวกนักเรียนที่ตะโกนเรียกอยู่ในสนาม 

“จริงสิ  แล้วเด็กที่ชื่อโชเล่  ที่สนิทกับเฟี้ยวน่ะ  นายเจอเขาบ้างหรือเปล่า  หมอนั่นขาดเรียนเป็นเดือนแล้วนะ  ไม่มีใครติดต่อเขาได้เลย  ถ้านายเจอเขาหรือเฟี้ยวสามารถติดต่อได้ก็ฝากบอกให้มาโรงเรียนด้วยนะ  ไม่งั้นจะหมดสิทธิ์สอบ  ตอนนี้ครูเป็นครูประจำชั้นชั่วคราวของห้องนายอยู่  ถ้าหมอนั่นมีปัญหาอะไรให้มาปรึกษาครูได้เลย”

“ไอ้โชเล่เหรอครับ?”

จะว่าไป…ก็ไม่ได้เจอมันเลยแฮะ  เพราะผมช่วงีน้ก็มีแต่เรื่องวุ่นวายด้วยเหมือนกัน  กว่าจะหาเวลามาโรงเรียนได้นี่แทบกระอักเลือด

“ใช่  เห็นครูฉวีวรรณบอกว่าเจอหมอนั่นอยู่ครั้งหนึ่งตอนหนึ่งวันก่อนที่ครูมารีอาจะเสียใจนะ  รู้สึกหมอนั่นจะเดินออกมาจากห้องพักครูพอดี  ครูฉวีวรรณคิดว่าคงจะเข้าไปส่งรายงาน  แต่พอตรวจรายงานจริงๆกลับไม่มีของหมอนั่นเลย  เลยคิดว่าตัวเองอาจจะตาฝาดไปเองก็ได้  เพราะสุดท้ายวันนั้นหมอนั่นก็ไม่ได้มาเรียน”

หมายถึงวันที่รายงานของผมหายจนไอ้เฟี้ยวต้องมาช่วยทำด้วยน่ะเหรอ?  แต่วันนั้นไอ้โชเล่มันไม่ได้มาเรียนไม่ใช่เหรอ  ในห้องก็ไม่มีใครเจอมันเลยนี่หว่า

“โอเคครับ  ถ้าผมเจอมันแล้วจะบอกให้”

“ขอบใจมาก  นายเองก็เหมือนกัน  มีอะไรไม่สบายใจมาปรึกษาครูได้นะ”

“ครับผม!”

ผมรับคำมองอาจารย์เปรมที่ถูกพวกนักเรียนดึงเข้าไปเล่นฟุตบอลด้วยกัน

ความจริงแล้วพวกอาจารย์ก็ไม่ได้เลวร้ายหรือเห็นแก่ตัวกันไปทุกคนสินะ  ผิดที่ผมเองไม่เคยคิดเปิดใจให้อาจารย์หรือว่าใครคนไหน  คิดเพียงแค่ว่า…นี่มันโลกของผม  ในโลกของผมก็ควรจะมีแค่ผมก็พอแล้ว  แต่ความจริงมันไม่ใช่อย่างนั้น  ผมไม่สามารถใช้ชีวิตอยู่บนโลกนี้ได้เพียงลำพัง

จริงไหมครับ  อาจารย์มารีอา…

 

 ‘ซึ่งรหัสผ่านนั้น  กาลเวลา…ครูได้บอกเธอไปแล้วนะ’

 

จู่ๆเนื้อความในจดหมายที่อาจารย์มารีอาเขียนไว้ให้ก็แวบเข้ามาในหัว  ผมยกมือขึ้นกุมขมับเพราะรู้สึกเจ็บจี๊ดขึ้นมา

 

‘ที่พอจะจำได้ก็มีแค่…เหมือนยัยนั่นตั้งใจจะสอนให้ฉันเข้าใจอะไรบางอย่าง  เลยใช้วิธีนั้นเพื่อสอนฉัน’

 

ต่อด้วยคำพูดของคุณอวกาศที่เป็นตัวช่วยในการหารหัสที่ซ่อนอยู่ในจดหมายและไขมันออกมาให้เป็นตัวเลข!

 

‘อาจารย์มารีอาน่ะ…อยากจะให้นายเรียนที่นี่อย่างมีความสุขและจบออกไปพร้อมกับรอยยิ้ม’

‘แต่เธอก็ไม่เคยฟังใครเลย  เอาแต่นั่งคิดหาทางว่าทำยังไงนายถึงจะเข้ากับเพื่อนๆในห้องได้ดีนะ  ถึงขนาดเคยมาขอร้องให้ฉันชวนนายเข้าชมรมฟุตบอลเลยล่ะ’

 

ระ…หรือ…หรือว่า…สิ่งที่อาจารย์มารีอาต้องการจะสอนผมก็คือ…

 

‘ดูเหมือนตอนนี้ในที่สุดนายก็เข้าใจความหมายของการอยู่ร่วมกันกับคนอื่นแล้วนี่’

‘แต่แค่ตอนนี้  นายมีใครสักคนที่เรียกว่าเพื่อนได้อย่างเต็มปาก  เป็นมิตรภาพที่แท้จริงของนาย  ครูมารีอาก็คงสบายใจแล้วล่ะ’

 

นี่สินะ…รหัสผ่าน  ในที่สุดผมก็รู้แล้วว่ารหัสผ่านที่ซ่อนอยู่ในจดหมายฉบับนั้นคืออะไร!!!

“ไอ้ไทม์ระวัง!!!”

พลั่ก!

ปัง!!!

“กรี๊ดดดดด!!!”

“เฮ้ย!  นั่นใครน่ะ!  หยุดเดี๋ยวนี้นะ!”

ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนตั้งตัวไม่ทัน  ผมที่ถูกผลักจนกระเด็นออกไปอีกทางยันตัวลุกขึ้นมามองคนที่ผลักผมเมื่อกี้ด้วยความตกใจ  เพราะเขากำลังนอนจมกองเลือดอยู่ตรงหน้า!

ดูเหมือนว่าจะมีคนบุกเข้ามาในโรงเรียนเพื่อลอบทำร้ายผมด้วยการซุ่มยิง  แต่คนๆนี้มาเห็นเข้าก็เลยร้องเตือนพร้อมผลักผมให้หลบจนตัวเองโดนยิงแทน  อาจารย์เปรมที่เห็นเหตุการณ์กำลังวิ่งตามคนร้ายไป  ขณะที่พวกนักเรียนพากันกรีดร้องอย่างตกใจ

“ไม่นะๆ  ไม่ๆๆๆ”

ผมคลานเข่าเข้าไปหาผู้ช่วยชีวิตที่ยังนอนคว่ำหน้านิ่งไม่ไหวติง  เขาต้องไม่ตาย  ต้องไม่มีใครตายเพราะผมสิ!

ตุ้บ…

จัดการพลิกร่างผู้ช่วยชีวิตให้นอนหงายเพื่อจะดูว่าเขาเป็นใคร  ทันทีที่เห็นใบหน้านั้นชัดๆเต็มสองตาผมก็ตะโกนลั่นออกมาทันที

“ไอ้โชเล่!!!”

ลูกกระจ๊อกของไอ้เฟี้ยวนี่นา!  ทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้ล่ะ  หมอนี่หายหน้าหายตาไปไม่มาโรงเรียนอีกเลยนับตั้งแต่วันที่โดนคุณจักรวาลจัดการไปคราวก่อน  แล้ว…แล้วทำไม…

“ไอ้ไทม์!  เกิดอะไรขึ้นวะ  ฉันได้ยินเสียงคนร้องโวยวายว่ามีคนถูก…เฮ้ย!  ไอ้โชเล่!”

ไอ้เฟี้ยวที่เพิ่งมาพุ่งเข้าใส่ผมอย่างตกใจเมื่อเห็นสภาพของไอ้โชเล่ในตอนนี้  มันยังไม่ได้สติเลย  มันจะได้หรือเปล่า  ไม่นะ   ผมไม่อยากให้ใครตาย  ผมไม่อยากให้มีใครต้องมาตายหรือบาดเจ็บเพราะผมอีกแล้ว!!!

“ไอ้โชเล่มันช่วยกู  มัน..ผลักกู  แล้ว…แล้วมันก็ยิงโดน…เลือด…ไม่…”

“ไอ้ไทม์!  ใจเย็นก่อน!  อย่าเพิ่งสติหลุด!”

“แต่…แต่…”

ไม่ไหว   ผมควบคุมตัวเองไม่ได้เลย  เลือดของไอ้โชเล่ที่เปรอะเปื้อนอยู่เต็มมือเป็นการตอกย้ำว่าผมทำให้คนอื่นเดือดร้อนอีกแล้ว

“ครูโทรตามรถพยาบาลแล้ว  เดี๋ยวรถพยาบาล…”

“ใครจะไปรอรถพยาบาลกันเล่า!  เฮ้ย!  ใครเอารถมาบ้าง  กูถามว่าใครเอารถมาบ้าง!”

“ผะ…ผะ…ผมครับ”

“ดี  งั้นมึงขับ  เอารถมึงไปโรงพยาบาลเดี๋ยวนี้”

“เอ๊ะ  แต่…”

“ไม่มีแต่!  เร็วสิวะ!”

“ครับๆ  ทางนี้ครับ”

นักเรียนชายผู้เป็นเจ้าของรถรับคำแล้วรีบวิ่งนำไปที่รถของตัวเอง  ไอ้เฟี้ยวจัดการเอาร่างของไอ้โชเล่ขึ้นหลัง  ส่วนผมก็หยิบเอากระเป๋าของตัวและไอ้เฟี้ยวติดมือไปด้วยโดยคอยระวังกันไม่ให้ไอ้โชเล่ตกลงมา

“ไอ้ไทม์!  ติดต่อสองคนนั้นให้ไปเจอกันที่โรงพยาบาลเลยนะ  กูว่าเรื่องนี้ไอ้กวินทร์ต้องมีเอี่ยวแน่ๆ!”

“อะ…อืม!”

ถึงจะตอบรับไปแบบนั้น  แต่สายตาของผมที่วิ่งตามมันอยู่ด้านหลังก็พุ่งความสนใจไปที่เสื้อนักเรียนของไอ้โชเล่ที่ตอนนี้กลายเป็นสีแดงและชุ่มโชกไปด้วยเลือดอย่างเดียว

เอี๊ยด!!!

“ชะ…เชิญครับคุณเฟี้ยว”

“ขึ้นไปเลยมึง”

ผมเปิดประตูรถด้านหลังให้มัน  รอจนมันและไอ้โชเล่ขึ้นไปเรียบร้อยก็ปิดประตูรถให้ก่อนจะตามขึ้นไปนั่งที่เบาะคู่กับคนขับ

“ไปโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด  เหยียบให้มิดไปเลย”

“แต่ถ้าแบบนั้นก็จะโดนเรื่องตรวจจับความเร็ว…”

“กูบอกให้เหยียบมิดไปเลย!!!”

“คะ…ครับๆๆๆๆ  ผมจะเหยียบให้มิดเลยครับ!”

เจ้าของรถลนลานด้วยท่าทางหวาดกลัว  ผมหันกลับไปมองไอ้เฟี้ยวที่ประคองไอ้โชเล่เอาไว้แล้วอดรู้สึกผิดไม่ได้  เหมือนกับว่าผมเป็นต้นเหตุทำให้เพื่อนของมันต้องบาดเจ็บ…

“ไอ้เวรนี่  หายไปตั้งนานติดต่อก็ไม่ได้  โผล่มาอีกทีทำไมเกิดเรื่องวะ”

“กูขอโทษนะ  เพราะกูแท้ๆ…”

“ไม่ใช่เพราะมึงหรอก  ทั้งหมดเพราะไอ้ชั่วพวกนั้นต่างหาก  กูต้องรู้ให้ได้ว่ามันลอบเข้ามาในโรงเรียนได้ยังไง  คราวก่อนที่เผาโรงยิมก็ทีหนึ่งแล้ว  ความปลอดภัยของโรงเรียนจะหละหลวมขนาดนั้นเลยเหรอ”

ไอ้เฟี้ยวตั้งข้อสันนิษฐานขึ้นมามากมาย  ไม่รู้ว่าอาจารย์เปรมที่วิงตามคนร้ายไปจะจับมันได้หรือเปล่า  ขณะที่กำลังคิดอยู่นั้น  สายตาของผมก็เหลือบไปเห็นบางอย่างแถวๆฝ่ามือของไอ้โชเล่เข้าโดยบังเอิญ

นั่นมัน…

ภาพรอยแผลจากการถูกไฟไหม้เพราะเข้าไปช่วยผมตามผิวหนังของคุณจักรวาลแวบเข้ามาในหัว  เหมือน…เหมือนรอยแผลเป็นจากการถูกไฟไหม้จริงๆนั่นแหละ!

แต่ว่า…ถ้าจำไม่ผิด  เมื่อก่อนที่ข้อมือไอ้โชเล่ไม่เคยมีแผลเป็นแบบนี้นี่นา  แสดงว่าเป็นแผลที่เพิ่งเกิดได้ไม่นานงั้นเหรอ?  ไปโดนอะไรมากันแน่นะ

“ไอ้ไทม์  เป็นอะไรไป”

“ฮะ?  อ๋อ  เปล่าๆ  ไม่มีอะไร”

ผมบอกปัดแล้วหันหน้ากลับมาทางเดิม  สมองกำลังใช้ความคิดอย่างหนักถึงเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด

 

‘เห็นครูฉวีวรรณบอกว่าเจอหมอนั่นอยู่ครั้งหนึ่งตอนหนึ่งวันก่อนที่ครูมารีอาจะเสียใจนะ  รู้สึกหมอนั่นจะเดินออกมาจากห้องพักครูพอดี’

 

ทะ…ทำไมอยู่ๆถึงคิดถึงคำพูดนี้ของอาจารย์เปรมขึ้นมาฟะ!

 

‘ไม่ไหวแล้วล่ะครับคุณจักรวาล  ขอโทษที่อยู่เป็นหมาน้อยของคุณต่อไปไม่ได้แล้ว’

 

ภาพเหตุการณ์ตอนที่กำลังจะถูกย่างสดเองก็ฉายซ้ำกลับเข้ามาในหัวสลับกับรอยแผลเป็นที่เกิดจากไฟไหม้ตรงฝ่ามือของไอ้โชเล่…

ผมกำลังคิดบ้าอะไรอยู่เนี่ย!  คิดไม่ดีต่อผู้มีพระคุณที่เสี่ยงชีวิตช่วยผมงั้นเหรอ  อีกอย่างไม่มีเหตุผลอะไรที่มันจะต้องทำร้ายผมแบบนั้นสักหน่อย  คนที่ทำเรื่องทั้งหมดคือคุณกวินทร์ต่างหาก!  แต่ว่า…แต่ว่า…

อ๊ากกกกก!  ผมจะทำยังไงดี  สลัดความสงสัยที่มีอยู่ในหัวไปไม่ได้เลย!

ท่าทางผมคงจะต้อง…สืบเรื่องนี้สักหน่อยแล้ว  ไม่งั้นคงไม่สามารถพูดคุยกันได้อย่างสนิทใจกับไอ้โชเล่แน่ๆ ยังไงมันก็คือเพ่อนของไอ้เฟี้ยว  ผมไม่อยากทำอะไรที่เป็นการทำให้มันลำบากใจทั้งนั้น  พอคิดได้แบบนี้ก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วกดพิมพ์บางอย่างลงไป…

ติ๊งติ๊ง…

เสียงไลน์แจ้งเตือนดังมาจากเบาะหลัง  เจ้าของไลน์ล้วงหยิบมือถือออกมาจากในกระเป๋ากางเกงก่อนจะเงยหน้ามองผมที่กำลังมองมันผ่านทางกระจกมองหลังอยู่ก่อนแล้ว

เราต่างสบตากันอยู่พักใหญ่  ใบหน้าของอีกฝ่ายเต็มไปด้วยคำถามมากมาย  แต่พอเจอสายตาเอาจริงเอาจังของผมเข้าไป  มันก็ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างหงุดหงิดก่อนจะพิมพ์ข้อความตอบกลับมา

 

‘ชุมชนใต้สะพาน  สุดซอยตรงข้ามที่ทิ้งขยะ’

 

เอาล่ะ…

“จอดรถด้วยครับ”

“ฮะ??”

“จอดรถครับ!”

เอี๊ยดดดด!

ทันทีที่รถจอดสนิท  ผมก็เปิดประตูลงจากรถเพื่อไปยังที่ที่หนึ่งทันที  ไอ้เฟี้ยวนั่งหน้าเครียดมองผมผ่านทางกระจก  แต่ผมก็ส่งยิ้มกว้างให้มันเพราไม่อยากให้ไม่สบายไปมากกว่านี้  ส่งยิ้มให้จนกระทั่งรถเคลื่อนตัวออกไปจนลับสายตา…

“พี่ครับๆ  จอดด้วย”

โบกเรียนกวินมอเตอร์ไซค์ที่ขับผ่านมาพอดี  ถ้าสิ่งที่ผมคิดมันถูกต้อง…   ไม่ใช่ความปลอดภัยของโรงเรียนหละหลวมหรือพวกคุณกวินทร์เก่งกาจจนสามารถลอบเข้ามาในโรงเรียนได้หรอก  พวกเขาไม่ได้เก่งขนาดนั้น!!!

“ไปชุมชนใต้สะพานครับ”

ผมจะไม่ยอมอยู่เฉยๆรอเป็นเป้านิ่งให้ใครมาจัดการอีกแล้ว   เพื่อพ่อแม่ที่แท้จริง  เพื่ออาจารย์มารีอา  และเพื่อหยุดเรื่องทั้งหมดเอาไว้ให้ได้…

เวลาผมเอาจริงมันเป็นยังไง  คุณจะได้รู้เดี๋ยวนี้แหละ  คุณกวินทร์!!!

 

 

บับเบิ้ลบิวชวนคุย :

มาอัพแล้วจ้า  หลังจากปล่อยให้ตัวเองถูกทำร้ายและเป็นฝ่ายถูกตามล่ามานาน  ในที่สุดน้องไทม์ก็เริ่มจะโต้ตอบกลับและเป็นฝ่ายบุกบ้างแล้ว!  แถมยังรู้รหัสผ่านที่ซ่อนไว้ในจดหมายแล้วอีกด้วย  มันคืออะไรกันแน่นะ?  แม้ว่าไทม์จะไม่เก่งเรื่องเข้าสังคม  ไม่เก่งเรื่องบู๊บุ๋น  แต่เรื่องใช้สมองล่ะขอให้บอก นักเรียนทุนอัจฉริยะคนนี้ไม่มีพลาด!  เรื่องราวใกล้มาถึงบทสรุปเต็มทีแล้ว  โชเล่จะมีเอี่ยวอะไรด้วยจริงๆหรือเปล่านะ???

ออฟไลน์ JokerGirl

  • ∀Σ❤∀ΔΣ Forever^^
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2921
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-3
พอเคลียร์เรื่องจักรวาล มางงกับเรื่องโชเล่ต่อ :serius2:

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
มาอีกแล้ว ปมเนี่ย ขยันมาจังเลย คนแก่มึน  :really2:

ออฟไลน์ yowyow

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +139/-7

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด