EP. 4
[การ์ด]
นี่มันเกิดอะไรขึ้นวะ!
สองคนนั้นแม่งตึงกันไปหมดแม้กระทั่งรบ...ผมไม่รู้ว่าตอนบ่ายของเมื่อวานเกิดอะไรขึ้น แต่ที่แน่ๆ มันจบลงไม่สวยแน่ๆ
ธนูเก็บตัวอยู่แต่ในห้อง ถ้าใครไปกวนมันล่ะก็...ต้องเจอมันด่าลูกเดียว ไม่ว่าคำถามนั้นจะเป็นคำถามอะไร
ส่วนรบ...มันเอาแต่ทำงานแล้วก็ทำหน้านิ่งตลอดทั้งเช้า บางครั้งผมก็รู้สึกว่ามันตั้งใจจะกระแทกข้าวของให้เกิดเสียงดัง แต่พอมันคิดได้ว่าของพวกนั้นไม่ใช่ของของมัน มันก็แสดงออกด้วยการทำสีหน้าบึ้งตึงแทน
หมามาดูก็รู้ว่าพวกแม่งทะเลาะกัน...
โชคดีที่วันนี้เป็นวันทดลองขาย...ผมจึงมีอะไรให้ทำเยอะหน่อย แทนที่จะมาตื่นตระหนกกับบรรยากาศที่สุดแสนจะน่ากระอักกระอ่วน ผมกลับได้ทดลองทำงานแทน ซึ่งนับว่าเป็นการดี...มีเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ในคณะสนใจมาที่ร้านกันเยอะมาก และนั่นก็ทำให้ผมมีงานทำตลอดเวลา
รบถูกถามคำถามซ้ำๆ เดิมๆ ว่าเอกการแสดงคนเดียวมาอยู่กับเอกดนตรีแล้วเป็นยังไงบ้าง มันก็ตอบไปแบบส่งๆ ชนิดที่ว่าดูก็รู้ว่าไม่มีอารมณ์มาคุยเล่น (มันรู้จักมักจี่กับคนเหล่านี้อยู่แล้วน่ะ)...พวกที่จะถามต่อก็เลยหุบปากฉับ แล้วหันมาสนใจพวกไอ้ก้อง ไอ้ยุ และก็ไอ้โฮมแทน
เรียกได้ว่ากว่าผมจะมีโอกาสได้พักหายใจ...เวลาก็ล่วงเลยมาจนถึงบ่ายโมงแล้ว
ผมกับพนักงานคนอื่นพักทานข้าว...เราทานกันทั้งๆ ที่มีลูกค้าอยู่ในร้านกันสองสามโต๊ะนั่นแหละ รบก็มาทานด้วย แต่มันก็เอาแต่เขี่ยข้าวในจานไปมา เหมือนกินอะไรไม่ค่อยลง
“มึงโอเคนะ” ผมถามหยั่งเชิงดู
“ไอ้คนที่อยู่ข้างบนมันได้แดกอะไรหรือยังน่ะ” รบถามผม
ผมส่ายหน้า...มันไม่ยอมออกมาสั่งอะไรเลย เอาแต่เก็บตัวอยู่ในห้อง ซึ่งถ้าให้ผมกับเพื่อนไปถาม มันก็คงจะด่ากลับมาอีก ไม่มีใครอยากเสี่ยงโดนหัวหน้าด่าทั้งๆ ที่งานล้นอยู่เต็มไม้เต็มมือหรอก
“ทะเลาะอะไรกัน” ยุเป็นคนแรกที่กล้าถาม
“กูกับไอ้ธนูเหมือนคนทะเลาะกันเหรอ” รบยิ้มแห้งๆ
ผมกับเพื่อนอีกสามคนพยักหน้าพร้อมกันอย่างแข็งขัน
“ตอบไม่ได้” รบตัดสินใจพูดแบบนี้
ก็เป็นซะอย่างนี้...
ผมเริ่มเดาอะไรบางอย่างออกแล้วล่ะ แม้ว่านี่จะเป็นช่วงเริ่มต้น แต่ที่แน่ๆ ไอ้สองคนนี้มันต้องแอบชอบกันแน่ๆ เชื่อว่าเพื่อนหลายคนก็เริ่มรู้สึกแบบผมเหมือนกัน
แต่ก็นั่นแหละ...พวกเราไม่กล้าพูดออกมาตรงๆ เรากลัวไอ้ธนูกันจนหัวหด ได้แต่มองมันหงุดหงิดเพราะรบต่อไปเรื่อยๆ
ไม่เคยรู้มาก่อนว่าสองคนนี้มันอาจจะลงเอยกันได้...เพราะที่ผ่านมาไม่มีใครเป็นสเปกของอีกฝ่ายเลยสักคน ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมก็คงจะค้าน ไม่อยากให้ธนูชอบพอกับรบ แต่พอผมได้ใช้ชีวิตร่วมกับรบมาตลอดสองสามวันที่ผ่านมา รบมันก็เป็นคนที่นิสัยดีมากคนหนึ่ง
มันลดความขี้เก๊กลงไปเยอะ...ที่สำคัญสายตาเจ้าชู้ที่มันเคยมองมาที่ผมก็หายวับไปราวกับไม่เคยมีมาก่อน
ทั้งนี้ทั้งนั้น...ผมเชื่อว่ามันเป็นเพราะลูกพี่ผมอย่างธนู
ความวุ่นวายของวันนี้...ยังไม่จบลงเท่านี้ครับ
ตอนบ่ายมีแขกรับเชิญมา...คนคนนี้ผมรู้จักหน้าค่าตาดีเพราะเป็นคู่ขาประจำของธนู...มันชื่อไอ้วิทย์ เรียนอยู่ปีเดียวกัน แต่คนละสาขาครับ ถ้าผมจำไม่ผิด...มันเรียนนาฏศิลป์น่ะ
ผมนึกว่ามันจะมาหาธนู...แต่เปล่าครับ...มันมาหาไอ้รบ
กูนี่ยกตีนขึ้นมาก่ายหน้าผากรอเลย
[รบ]
ทำไมจู่ๆ คนน่ารักอย่างวิทย์ถึงได้มาหาผมกันล่ะ
ผมไม่ได้เรียกวิทย์มา...แต่มันแสดงออกอย่างเต็มที่ว่ามันมาร้านนี้ก็เพราะผม มันมากับเพื่อนผู้หญิงของมันสองคน ส่งสายตาให้ผมครั้งแล้วครั้งเล่าราวกับต้องการบอกให้รู้ว่ามันอยากลากผมไปกระทำอะไรบางอย่างอย่างเต็มที่แล้ว ซึ่งถ้าเป็นสองอาทิตย์ก่อนผมก็คงจะตอบสนองไปแล้วล่ะ...
ตอนนี้ผมตายด้าน...ความขุ่นเคืองโมโหของผมทำเอาผมไม่รู้สึกอะไรเลยนอกจากอยากชกหน้าไอ้ธนู ยิ่งได้เห็นคนที่มีลักษณะเหมือนไอ้น้องเคน ผมก็ยิ่งรู้สึกหัวร้อนมากเข้าไปใหญ่ ทั้งๆ ที่เมื่อก่อนผมออกจะชอบผู้ชายไทป์แบบนี้...ตัวเล็กๆ หน้าตาน่ารักๆ
ยิ่งคิดผมก็ยิ่งหงุดหงิด...เผลอกดเมนูโต๊ะของวิทย์ในเครื่องคิดเงินผิด จนต้องส่ายหน้าเรียกสติตัวเองแล้วก็กดใหม่
“รบ” การ์ดเดินเข้ามาสะกิดพร้อมๆ กับชุดอาหารหนึ่งถาดใหญ่ “ช่วยกูที”
รู้เลยว่ามันจะพูดประโยคต่อไปว่าอะไร
“วันนี้ไม่ได้ว่ะเพื่อน กูขอโทษ” ผมทำเป็นสนใจเครื่องคิดเงินตรงหน้านี้ทันที ทั้งๆ ที่ผมไม่มีธุระอะไรกับมันแล้ว
“ถ้าไม่ใช่มึงแล้วจะเป็นใครวะรบ ขอร้องล่ะ วันนี้ไอ้ธนูมันน่ากลัวจริงๆ”
ผมชักจะสงสารการ์ดขึ้นมา...ธนูมันน่ากลัวอาจเป็นเพราะผมมีส่วนเกี่ยวข้อง ผมถอนหายใจ รับถาดอาหารนั้นมา จากนั้นก็เดินไปยังบริเวณส่วนที่เป็นรังของไอ้ธนู
การ์ดเอาโซ่มาปิดกั้นไม่อนุญาตให้ลูกค้าคนไหนขึ้นไป...ผมดึงโซ่ออก จากนั้นก็ใส่มันกลับเข้าไปใหม่ตอนที่ผมอยู่ตรงบันไดเรียบร้อยแล้ว
ไม่อยากเชื่อก็ต้องเชื่อว่าชั้นบนกับชั้นล่างจะสามารถแยกความเป็นส่วนตัวได้ถึงขนาดนี้ พอถึงชั้นบนเสียงลูกค้าที่คุยกันอยู่ด้านล่างก็หายไปจนเกือบจะไม่ได้ยิน
ผมยังจำได้ดีว่ามันไม่ชอบให้ใครมากวนมันข้างบนนี้ ผมจึงวางเข้าลงที่หน้าประตู จากนั้นก็หยิบโทรศัพท์ตัวเองขึ้นมาเพื่อถ่ายรูปส่งไปให้ธนูดูผ่านไอจี
spartanwarrior :
/แนบรูปถาดอาหาร
จะแดกไม่แดกก็เรื่องของมึง ผมตั้งท่าจะลงไปยังด้านล่าง แต่ติดอยู่ตรงที่ว่าโทรศัพท์ผมมีเสียงแจ้งเตือนซะก่อน
sagittarius :
ยกเข้ามา “ไม่มีมือมีตีนหรือไงนะ” ผมบ่นอุบอิบอย่างอารมณ์เสีย แต่ก็ยอมทำตามคำขอของมัน เจ้านายก็คือเจ้านาย...ถ้าอะไรที่มันสั่งมาไม่ได้ยาก ผมก็จะทำทั้งหมด...
ธนูนอนหลับตาอยู่บนเตียงโดยเอามือประสานท้ายทอยอยู่ในห้อง ผมวางถาดอาหารลงที่โต๊ะ จากนั้นก็หันหลังกลับ
“มึงเป็นอะไร” มันถามผม “โกรธอะไรกู”
เวรกรรม...เจอถามตรงๆ แบบนี้ ผมจะตอบยังไง
“...”
“ไอ้วิทย์ข้างล่างนั่นน่าจะเป็นรายที่สี่ต่อจากสามคนนั้นของมึงใช่มั้ย”
มันฝังใจเรื่องนี้ว่ะ ผมหันไปมองมันอย่างไม่ชอบใจ โชคดีที่มันปิดตาอยู่ ผมถึงได้กล้ามองหน้ามันตรงๆ
“ไม่เอา ไม่มีอารมณ์” ผมตอบแค่นั้น “กูไม่เหมือนมึง”
เชี่ย...เผลอหลุดปาก
คำพูดของผมทำเอาธนูลืมตาขึ้นมา มันลุกขึ้นมานั่งริมเตียง จากนั้นก็เลิกคิ้วมองผม
“มึงหวงกูกับน้องเคน?”
ผมเกลียดที่มันทายถูก...พูดถูกทุกอย่าง
“กูมีสิทธิ์ทำ...หลังคืนนั้นของเรามึงฟาดคนอื่นไปสาม แต่กูไม่ได้ฟาดใครเลย” มันหน้าบึ้งตึง ทำหน้าบูดเหมือนเด็กถูกขัดใจ
ผมใจชื้นขึ้นมา...แต่มันก็แค่ประเดี๋ยวประด๋าว “นับเป็นหนึ่งแล้ว...เมื่อคืนมึงฟาดน้องเคนมา”
“กูไม่ได้ทำ” มันสวนทันควัน
“ไม่ได้ทำยังไง...ในรูปมันก็บอก...”
“บอกเหี้ยไรวะ แค่ถ่ายรูปด้วยกันก็ถือว่ามีอะไรกันแล้วเหรอ มึงนี่...” ธนูโวยวายแก้ตัวกับผมใหญ่ “มั่วฉิบ”
อาการใจชื้นของผมเริ่มมีมากขึ้นเรื่อยๆ คนอย่างธนูไม่ใช่คนโกหก...อย่างน้อยมันก็ไม่เหมือนผม
“ไม่...จริง” ผมยังคงไม่ปักใจเชื่อ แม้ว่าน้ำเสียงของผมจะกระท่อนกระแท่นไปมากก็ตามที
“ไม่ได้ทำโว้ย สาบาน กูแค่ไปดื่มกับน้อง”
“แต่เพื่อนมึงบอกว่ามึงกลับเกือบตีสอง”
“ดื่มน่ะ แค่ดื่ม” ธนูทำท่าประกอบแถมยังพูดชัดถ้อยชัดคำจนเกินจริง ผมอดรู้สึกขำในใจไม่ได้
เชี่ย...อารมณ์กูดีขึ้นมาเฉยเลย
“แน่นะ”
“แน่สิวะ”
“...”
“เพื่อนกูบอกกูอีกด้วยว่ามึงกลับเกือบเที่ยงคืน...เหมือนมึงรอกู” ธนูหรี่ตาจับผิดผม
“กู...เปล่ารอ...งานมันยังไม่เสร็จ” ผมรีบเถียง
“ยุเป็นคนทำรูปโปรโมตเพจเกือบทั้งคืน...ไม่ใช่มึง มึงไม่ได้เป็นคนทำงาน” ธนูยืนขึ้น สีหน้าที่ดูดีขึ้นของมันเริ่มขยับเข้ามาใกล้ผมเรื่อยๆ ผมขยับใบหน้าตัวเองออกไป...รู้ตัวดีว่าตัวเองกำลังหวั่นไหวกับหน้าหล่อๆ พร้อมๆ กับกลิ่นเฉพาะตัวนั่นแค่ไหน “มึงรอกูใช่มั้ย”
“เปล่า”
“มึงรอ”
“กูเปล่า!”
“ไม่รอก็ไม่รอ” มันยอมในที่สุด “แล้ว...มึงเชื่อหรือเปล่าว่ากูไม่ได้ทำอะไรกับน้องเคน”
ผมกระพริบตาปริบๆ มองดูแววตาของธนูที่ผมรู้ว่าไม่น่าจะโกหกอะไรผมได้ “เชื่อก็ได้”
มันพ่นลมใส่หน้าผมเบาๆ ก่อนจะเดินไปจัดการกับอาหารของมัน “แล้วไอ้วิทย์ที่อยู่ข้างล่างนั่น...ตกลงมึงจะเอาหรือเปล่า”
“ไม่เอา...กูบอกแล้วไง” ทำไมต้องให้ย้ำอยู่เรื่อยวะ หรือว่าได้ยินผมปฏิเสธแล้วมันจะสบายใจขึ้น
“...”
“หรือมึงชอบ” เอ๊ะ มันอาจจะอยากได้เองก็ได้ ถึงได้มาถามผมแบบนี้
“เปล่าโว้ย”
“...”
“ไม่ก็คือไม่...ไม่เอา ไม่มีอะไรกับใครอีกแล้ว...” ธนูโบกมือปัดๆ ทั้งๆ ที่ผมรอฟังอยู่ “ช่างเหอะ”
ผมรู้สึกว่าตัวเองกำลังหงุดหงิดน้อยลง ความขุ่นมัวตลอดทั้งวันของผมเริ่มมลายหายไปดื้อๆ ผมปล่อยให้ธนูมันทานข้าวของมันไป ขณะที่ผมเริ่มรู้ตัวว่าผมต้องกลับไปทำงานต่อ
อะไรบางอย่างสะกิดใจผมว่าไม่ใช่ผมคนเดียวที่ควรจะได้รู้ความจริง...ธนูมันตอบคำถามผมทุกอย่าง ผมก็ควรจะบอกมันในสิ่งที่มันควรรู้เหมือนกัน
โว้ยยย เหมือนหัวใจจะสั่งให้ทำ...แล้วผมก็ต้องทำตามอย่างไม่มีเงื่อนไข
“จริงๆ แล้ว...” ผมพูดตอนที่ผมกำลังจะออกไปจากห้องของธนู “กูไม่ได้มีอะไรกับใครเลยหลังจากคืนนั้น”
ไม่รู้ว่าธนูมันทำหน้ายังไง...แต่ผมไม่ได้อยู่มอง ผมรีบวิ่งแจ้นหายไปก่อนที่มันจะรู้ว่าผมพูดอะไรออกไป
หน้าแดงหูแดงอีกแล้วสินะกู...
แต่ว่า...การเถียงกันแบบนั้นนั่นมันหมาหวงก้างชัดๆ
เวร เวร เวรแล้ว...ระหว่างผมกับธนูมันเกิดบ้าอะไรขึ้นมาเนี่ยยยยยย
[โฮม]
แผนพวกเราได้ผลชะงัดนัก
ผมคือคนที่บอกให้การ์ดเอากับข้าวที่ผมทำส่งต่อให้รบเอง ยุกับก้องช่วยกันวางแผนนี้กับผมด้วยเพราะเราไม่อยากให้สองคนนั้นมันทะเลาะกันมากกว่านี้อีกแล้ว
ไม่รู้ว่ารบไปพูดอะไรให้ท่านหัวหน้าของเราหายหงุดหงิด...มันลงมาอวดโฉมในเวลาบ่ายแก่ๆ ซึ่งนับว่าเป็นบุญตาแก่ลูกค้าที่รอมันมาก มันไม่ได้ส่งยิ้ม ไม่ได้โบกมือไปทั่วร้าน แต่อย่างน้อยมันก็หยิบกีต้าร์ที่วางอยู่ใกล้ๆ มาจากนั้นก็เริ่มเล่นและก็ร้องเพลงคลอเบาๆ
นี่แหละครับ...เวลาที่ธนูมันอารมณ์ดีมันจะเป็นแบบนี้
ลูกค้าพวกนั้นได้กำไรเต็มๆ ทุกคนมองดูธนูเล่นกีต้าร์ที่ไม่จบเพลงบ้าง เล่นแต่ท่อนฮุคบ้าง แต่ก็ไม่ได้ดุด่าว่ากล่าวอะไรเพราะมันมีเสน่ห์และก็น่ามองจริงๆ ผมเริ่มรู้สึกได้ว่าจุดขายของร้านไม่ได้อยู่ที่กาแฟ อาหาร หรือว่าเด็กเอกดนตรีอย่างพวกเรา แต่มันอยู่ที่การได้สัมผัสชีวิตอีกด้านหนึ่งของธนูมันต่างหาก
มันเป็นเจ้าของร้านที่ทำตัวไม่ต่างอะไรจากอยู่บ้าน...และนั่นก็ไม่ได้น่าเกลียดอะไร ทุกคนมาที่นี่อย่างรู้ดีว่าธนูมันเป็นยังไง ไม่มีใครตัดสินหรือต่อว่ามันในขณะที่มันไม่ได้ทำตัวเป็นเจ้าของร้านที่ดีสักเท่าไหร่
จะว่าไปแล้วก็ไม่ใช่แค่ธนูที่สีหน้าดูดีขึ้น...รบเองก็เหมือนกัน รายนี้คุยกับลูกค้ามากขึ้น อีกทั้งยังแจกยิ้มไปทั่วอีกต่างหาก เหล็กจัดฟันของมันเป็นเสน่ห์อีกอย่างหนึ่งที่ไม่อาจทำให้ลูกค้าละสายตาได้ บางทีนี่ก็อาจจะเรียกได้ว่าเป็นจุดขายของร้านแบล็คแพ็คอีกอย่างหนึ่ง...
สองคนนี้แม่งกลายเป็นคนที่เปลี่ยนบรรยากาศทั้งร้านได้ยังไงก็ไม่รู้
ผมที่ว่างงานแล้วเดินมาสมทบกับเจ้าของร้านซึ่งกำลังนั่งอยู่...มันเล่นกีต้าร์ไปเรื่อย เล่นเฉพาะเพลงที่มันจำคอร์ดได้ ซึ่งมีแต่เพลงที่ผมกับเพื่อนซ้อมกันบ่อยๆ นี่แหละ ธนูกับพวกผมมีรสนิยมดนตรีคล้ายๆ กัน เราถึงอยู่กันได้ยาวแบบนี้นี่ไง
ตึ๊ง!
ผมสะดุ้งเมื่อจู่ๆ ธนูมันก็ดีดกีต้าร์เสียงดังทั้งๆ ที่เมื่อตะกี้เป็นเพลงอยู่ดีๆ เสียงนั้นดังมากพอที่จะทำให้คนทั้งร้านหันมามอง รวมถึงไอ้รบที่กำลังคุยอยู่กับลูกค้าด้วย
ลูกค้าโต๊ะนั้นมีคนที่ชื่อว่าวิทย์...ซึ่งเคยเป็นคู่ขาประจำของธนูมัน
ไอ้ขี้หึงเอ๊ยยยยยย
ผมพอจะเดาออกว่าคนที่มันหึงคือคนไหน...
“ไหนบอกจะไม่เอาไง” มันพูดเหมือนบ่นกับตัวเอง “ไม่ต้องไปคุยกับเขา...ถอยออกไปๆ”
“อะไรของมึงวะ” ผมพึมพำ
“ยุ่ง” มันด่าผม...นี่คือเลเวลปกติครับ ไม่มีอะไรน่าตื่นตกใจ
“เหมือนวิทย์เขาไม่ได้มาหามึงเลยว่ะ”
“เรื่องของมันดิ” ไอ้ธนูเทวิทย์ไปนานมากแล้ว เนื่องจากวิทย์นั้นเรื่องเยอะ ไม่เหมาะกับสายอินดี้อย่างมัน
“งั้นก็แสดงว่าเขามาหา...” ธนูมันคงรู้แหละว่าผมหมายถึงรบ “ใจกล้าดีเหมือนกันเนอะ”
“รบมันชอบแบบนี้...ชอบแบบควีนๆ แรงๆ” ตอนนี้กีต้าร์คือสิ่งที่ธนูไม่ทะนุถนอมอีกต่อไป เพราะมันกำลังบีบคอร์ดทาบของกีต้าร์เสียแน่นซะจนผมกลัวมันเจ็บนิ้วมือเปล่าๆ
“เฮ้ย รบไม่เล่นด้วยหรอกน่า”
“มึงคิดว่าคนบ้ากามอย่างมันจะปล่อยคนอย่างนั้นไปเฉยๆ เหรอ”
“...”
“แม้ปากจะบอกกูว่าไม่ก็เถอะ...แต่นี่มันเหมือนไปอ่อยเขาชัดๆ”
นี่เพื่อนผมมันรู้ตัวหรือเปล่าว่ามันปูดอะไรกับผมบ้าง...ผมรีบรวบรวมประมวลผลความคิดของตัวเองอย่างรวดเร็ว แปลว่ารบบอกไอ้ธนูว่าจะไม่มีอะไรกับวิทย์ แต่การกระทำของรบกำลังสวนทาง...ผมเข้าใจถูกมั้ยเนี่ย
แต่เดี๋ยวก่อน...ถ้าคุยกันถึงขนาดนี้แล้ว แบบนี้แปลว่าธนูกับรบแม่งไปถึงขั้นไหนแล้ววะ!
“ลืมสิ่งที่กูเพิ่งพูดไปเหอะ” ธนูบอกผมอย่างไม่ค่อยจะใส่ใจ แต่เชื่อเถอะว่าไม่ทันแล้ว...
“ธนู...มึงเล่าให้กูฟังได้” ผมค่อยๆ บอกมัน...เก็บไว้คนเดียวแม่งคงมีอกแตกตายไปข้าง ถึงแม้ว่ามันจะชอบสันโดษ ไม่ค่อยเหมือนมนุษย์คนอื่น แต่ยังไงซะผมก็เชื่อว่ามันยังมีความเป็นมนุษย์อยู่
“เหี้ยนั่นมันคงไม่ให้เล่า” เพื่อนผมส่งหน้าบูดไปให้รบที่กำลังทำงานอย่างขยันขันแข็ง
“มึงกับเขาเป็นแฟนกันแล้วเหรอ” ผมถามอย่างลัดขั้นตอนทุกอย่างไปเลย
ตึ๊ง!
มันเผลอดีดกีต้าร์เสียงดัง “ไม่ใช่!” ซ้ำยังร้องอย่างไม่สนใจสายตาของคนในร้านคนไหนอีกด้วย
“ถ้างั้นก็...เป็นคนคุย?” สถานะนี้กำลังมาแรงในปี 201X แม่งเป็นสถานะที่ผมโคตรเกลียด...(ผมยังไม่มีคนคุยอะไรนี่หรอก แต่สงสารคนที่อยู่ในสถานะนี้เป็นบ้า ความแน่นอนก็ไม่มี มีแต่รอคนคนนั้นเขาแชตหรือโทรมาหาไปวันๆ)
“ก็ไม่ใช่อีกอ่ะ” ธนูส่ายหน้า
“แล้วสรุปมึงกับมันเป็นอะไรกัน”
“เจ้านายกับลูกจ้าง”
“แค่นั้นอ่ะนะ”
“ไม่ใช่”
อยากเอาสองตีนของผมมาช่วยมือของผมเกาหัวผมอีกที...แม่งโคตรงง งงยิ่งกว่าสถานะคนคุยอีก
“ถ้ากูรู้กูก็อาจจะบอกมึงไปแล้วโฮม” ธนูยักไหล่
“งั้น...มึงชอบรบ?”
มันไม่ตอบผม...เอาแต่เล่นกีต้าร์ไปเรื่อยๆ...
เชี่ย แบบนี้แสดงว่ามันชอบแล้วชัวร์ๆ
เวรละ...ไม่ใช่มันหรอกที่ทำตัวไม่ถูก ผมนี่แหละที่กำลังทำตัวไม่ถูกน่ะ!
เพราะตั้งแต่รู้จักกับธนูมา ไม่เคยมีครั้งไหนเลยที่มันจะชอบใครจริงๆ จังๆ แม้ว่าจะเกินคาดผมไปนิด แต่รบก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรสักนิด ตรงกันข้าม...ผมกลับชอบที่มันสมน้ำสมเนื้อกับไอ้ธนูดี รบเอาธนูอยู่อย่างที่ไม่เคยมีใครทำได้มาก่อน
ดูจากเหตุการณ์เมื่อตอนบ่ายของเมื่อวานนี้จนมาถึงตอนนี้ผมก็รู้แล้ว
การกระทำของรบอยู่ในสายตาของไอ้ธนูตลอด แม้ว่ามันจะทำเหมือนไม่ได้มองแต่มันก็เห็นทุกอย่าง แค่รบทำในสิ่งที่ขัดหูขัดตานิดเดียว...อาการแม่งก็ออกอย่างที่ไม่คิดจะควบคุมตัวเองอะไรใดๆ
ผมมองหน้าเพื่อนอย่างการ์ด ยุ และก็ก้อง ทุกคนวางงานจากในมือของตัวเอง มองมาที่ผมราวกับรู้ดีว่าผมรู้ความหมายทั้งหมดของการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับไอ้ธนูแล้ว
พรรคพวกเอ๋ย...ประชุมด่วนนนนนนนนนนนนน
[
มีต่อนะคะ ]