-36-
-แม็กม่า-
จะปีนึงแล้วสินะที่ผมไปจากคุณอิฐ พรุ่งนี้จะครบรอบวันที่เราสูญเสียน้องอุ้มไป
ผมลืมไปบอกสินะว่าผมตั้งชื่อน้องว่าอุ้ม มาจาก ตัวอ. กับม. ของเรา และมีความหมายถึงการอุ้มท้องของผมด้วย แม้ว่าเขาจะไม่มีโอกาสอยู่รอดจนถึงกำหนดคลอดก็ตามที แต่ทำไมเขาจะไม่มีสิทธิ์ได้รับความรัก ความคิดถึงหรือแม้แต่การตั้งชื่อล่ะจริงไหม?
ผมเก็บของออกจากวัดที่ตัวเองไปนุ่งขาวห่มขาวถือศีล เพื่อทำจิตใจให้สงบรวมทั้งแผ่เมตตาอุทิศส่วนกุศลให้น้องตั้งแต่เมื่อวาน แล้วกลับมาอยู่บ้านพ่อที่อยุธยาก่อนจะเดินทางไปที่วัดต่อพรุ่งนี้...
คำว่าถือศีลของผมไม่ใช่การบวชหรอกครับ ทั้งที่ตอนแรกก็ลังเลว่าจะบวชดีไหม แต่อีกใจก็รู้สึกว่าเพศอย่างผมต่อให้คิดว่าเมื่อบวชแล้วจะสามารถสำรวมจิตใจได้ก็ตามแต่ก็รู้สึกไม่สบายใจที่ทำแบบนั้น ผมเลยเลือกจะถือศีล 8 อย่างฆราวาสแทน นอกจากนุ่งขาวห่มขาวก็ไม่ได้โกนผม ถือศีลน้อยกว่าเณรเสียอีกแต่เรื่องการปฏิบัติก็เคร่งในระดับหนึ่งเพราะเลือกไปอยู่วัดบนเขาที่เป็นสายปฏิบัติโดยแท้ รู้สึกว่าสบายใจกว่าบวชเป็นพระแล้วมากังวลใจทีหลัง
วันต่อมาผมก็มาถึงวัดที่ซูกัสกับหมอช่วยนำร่างน้องมาฝังไว้เพื่อจะมาทำสังฆทานที่นี่ แม้จะคิดเสมอว่าบุญนั้นไม่ว่าทำที่ไหนก็คงส่งไปถึงเหมือนกัน แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังรู้สึกอยากมา...
หลังจากทำสังฆทานและกรวดน้ำเรียบร้อยแล้วผมก็เอาน้ำที่กรวดเสร็จไปเทลงที่ใต้ต้นไม้ เตรียมตัวจะกลับ ในใจก็ลังเลว่าจะไปหาซูกัสที่บ้านดีไหม เพราะเราก็ไม่ได้เจอกันมานานมากแล้ว หรือว่าจะกลับเลยดี
“แม็ก...” ระหว่างที่ยืนเหม่ออยู่นั้นเอง เสียงเรียกด้วยน้ำเสียงอาลัยอาวรณ์ก็ดังเข้าโสตประสาท หัวใจผมกระตุกวูบ อดคิดไปไม่ได้ว่าตัวเองอาจจะเพียงหูฝาดไป ลอบกลืนน้ำลายดังกรึ๊บก่อนจะค่อยๆ หมุนร่างไปยังทิศทางนั้นแล้วก็พบว่าเป็นเขาจริงๆ ความอบอุ่นของอ้อมกอดนั้นที่รวบร่างผมไว้แน่น พูดพร่ำคำเดิมซ้ำๆ อยู่ข้างหู “คิดถึง... ฉันคิดถึงเธอมากรู้ไหม?”
“จะบ้าหรือไงคุณอิฐ! นี่มันในวัดในวานะ จะทำอะไรก็หัดคิดถึงกาลเทศะบ้าง” ผมเอ่ยขัดด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย ทำราวกับว่าความรู้สึกคิดถึงพวกนั้นมันมิได้เอ่อล้นมากมายอย่างที่เป็นอยู่สักนิด ทั้งๆ ที่ในลำคอตีบตันจนเริ่มหายใจติดขัด
เขายอมปล่อยร่างผมจากอ้อมกอดที่รัดแน่นนั่นแต่ยังไม่ยอมละมือออกจากข้อมือผม เหมือนกับว่าถ้าหากเขาไม่จับไว้ ตัวผมจะหายตัวไปซะเดี๋ยวนั้น!
“ก็ฉันดีใจนี่ที่ได้เจอเธอ” ถ้อยคำสารภาพทำเอาใจผมแกว่งไปบ้างเล็กน้อย ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ผมคิดว่าตัวเองทำใจได้แล้วก็ตาม บางทีก็นึกโมโหเขาเสียจริง ทำไมนะถึงเป็นคนที่ชอบให้ความหวังชาวบ้านเสียเรื่อย
“คุณมาทำอะไรที่นี่ครับ” ผมถามเพื่อเปลี่ยนเรื่อง
“มารอเธอ...” คำตอบนั้นทำให้ผมเผลอมองอย่างเคืองใจ
“คุณจำได้ไหมว่าวันนี้วันอะไร?”
“จำได้... ถึงได้มาไง”
“คุณควรจะคิดถึงลูก... มากกว่าคิดถึงผม” ผมรู้สึกว่าทำเสียงดุออกไป
“แล้วทำไมคิดว่าฉันไม่คิดถึงเค้าล่ะ? ไปทำสังฆทานด้วยกันเถอะ”
“คุณไปเถอะ ผมถวายเรียบร้อยแล้ว”
“ทำแล้วก็ทำอีกสิ ไม่เห็นจะเป็นไร ไปเถอะ” คำชักชวนที่เหมือนไม่อนุญาตให้ปฏิเสธมาพร้อมกับอุ้งมือใหญ่ที่กุมมือผมไว้แล้วจับจูงให้เดินไปที่รถ เขาเปิดประตูหยิบเครื่องสังฆทานออกมาโดยที่ไม่ยอมปล่อยมือผมเลยจนผมรู้สึกอึดอัดใจ แต่ก็เป็นอีกครั้งที่ยอมตามเขาไปถวายสังฆทานซ้ำอีกรอบ กรวดน้ำจนเรียบร้อย และสุดท้ายเขาจูงมือพาผมกลับมาที่รถ
“แยกกันตรงนี้เถอะครับ” ผมเอ่ยแต่อีกฝ่ายไม่สนใจ เขาเปิดประตูรถด้านข้างคนขับแล้วผลักร่างผมเข้าไปแล้วอ้อมไปนั่งยังที่นั่งคนขับก่อนจะออกรถอย่างสบายอกสบายใจ
“คุณจะพาผมไปไหนครับ” ผมรู้สึกว่าคำถามของตัวเองงี่เง่าแต่ก็ยังถามออกไป
“ลักพาตัวเธอ” คำตอบเรียบๆ ทำให้ผมย่นคิ้วแล้วกลอกตา
จนป่านนี้แล้วนะ... ยังไม่เลิกใช้มุกเดิมอีกเหรอลุง!
รอบนี้คุณอิฐลักพาตัวผมมาที่บ้าน บังคับพาผมไปกราบแม่ของเขา คุณแม่มีทีท่าดีใจมากเหลือเกินที่ผมกลับมา ทักทายพูดคุยราวกับว่าผมจะกลับมาอยู่บ้านท่านวันนี้พรุ่งนี้ ผมอยากบอกท่านไปตามตรงว่าผมไม่คิดว่าตัวเองจะกลับมา ผมไม่อยากทนทุกข์ทรมานใจกับการรักใครข้างเดียวอย่างปีก่อนอีกแล้ว แต่เมื่อเห็นความคิดถึงและความดีใจของท่านก็พูดอะไรไม่ออกสักคำ ได้แต่นั่งฟังเงียบๆ รู้สึกดีใจที่เห็นท่านสุขภาพแข็งแรงดี หน้าตาก็แจ่มใส
“แม่อยู่คนบ้านคนเดียวสักสามสี่วันได้ไหมครับ” จู่ๆ คุณอิฐก็เอ่ยถามขึ้นมาแบบไม่เข้ากับบทสนทนาก่อนหน้าสักนิด
“ทำไม จะไปไหน?” ในคำถามมีสำเนียงดุเล็กน้อยตามแบบฉบับท่าน
“ว่าจะพาแม็กไปฮันนีมูนซะหน่อยครับ” คุณอิฐตอบด้วยรอยยิ้มเอาใจ ส่วนผมย่นคิ้วนิดหนึ่งหมุนคอไปกระพริบตาปริบๆ
ไม่เข้าใจคุณอิฐเลย ไม่ทราบว่าชวนผมตอนไหน แล้วผมไปตอบรับตอนไหนว่าจะไปเที่ยวด้วย
แล้วอีกอย่าง... อะไรคือฮันนีมูน!!
“อ๋อ... งั้นก็ไปเถอะย่ะ อยากจะไปสักเดือนก็ไปเถอะ!” คุณแม่ตอบรับอย่างอารมณ์ดีแต่ทำให้ผมแทบนั่งไม่ติด กำลังคิดว่าตัวเองจะหาทางปลีกตัวออกมาจากสถานการณ์นี้อย่างไรดี!
“ดีครับ! งั้นเดี๋ยวแม่คุยกับแม็กไปก่อนนะครับ เดี๋ยวผมไปเก็บเสื้อผ้าแป๊บนึง” เขาบอกอย่างอารมณ์ดีไม่แพ้กัน รีบลุกขึ้นเดินออกไปอย่างกระตือรือร้น ผมทำหน้าไม่ถูกได้กลืนน้ำลายอย่างกังวล
“แม็ก...” จู่ๆ ท่านก็เรียกด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“ครับ” ผมตอบรับเสียงอ่อย
“แม่ดีใจนะที่แม็กกลับมา ทั้งแม่กับอิฐน่ะ รอแม็กมาตลอดเลยนะ” น้ำเสียงนั้นอ่อนโยนปรานีนักจนผมพูดอะไรไม่ออก “ที่ทุกข์ก็ทุกข์มามากแล้ว ต่อไปก็อย่าเก็บทุกข์เอาไว้กับตัวเลย มีความสุขเสียทีเถอะ” รอยยิ้มอย่างใจดีนั้นทำให้หัวใจที่แห้งผากกลับชุ่มชื่นขึ้นในฉับพลัน
ผมกลับมาได้เหรอครับคุณแม่ ถ้าผมกลับมา ผมจะมีความสุขได้จริงหรือ
ก่อนจะไป คุณอิฐเดินพาผมเข้าไปในสวน กลับมาคราวนี้ผมรู้สึกทึ่งที่ต้นฝรั่งที่เคยปลูกไว้ยังอยู่ และตอนนี้มันออกผลเรียบร้อยแล้วแม้ว่าต้นจะไม่ได้ใหญ่อะไรมาก คุณอิฐคงสั่งให้คนดูแลมันไว้เป็นอย่างดีตอนนี้จึงเห็นลูกฝรั่งๆ ถูกห่อไว้ด้วยถุงพลาสติกและกระดาษหนังสือพิมพ์ เขาบรรจงเด็ดลูกฝรั่งออกจากต้นแกะถุงออกแล้วยื่นให้ผม
“นี่ไม่ใช่ลูกแรกหรอกนะ เพราะฉะนั้นพอฉันชิมแล้วก็เลยรู้ว่าเธอโกหก จำได้ไหมว่าเคยสัญญาอะไรกันไว้ บอกจะขออะไรจากคนโกหกก็ได้หนึ่งอย่างใช่ไหม?” แย่จัง อุตส่าห์หนีไปตั้งไกลแล้ว ยังจะตามให้กลับมาเพื่อทวงสัญญาอะไรนั่นอีก
“คุณจะขออะไรผมครับ”
“ขอให้ลืมเรื่องราวที่เจ็บปวดในอดีตไปซะให้หมด จากวันนี้ไปขอให้เธอมีความสุขซะทีได้ไหม?” พูดเหมือนคุณแม่เลย
“ใครๆ ก็อยากมีความสุขกันทั้งนั้น แต่คุณจะรู้ได้ยังไงว่าผมจะมีความสุขได้จริงๆ” ผมถามด้วยหน้าเรียบเฉย
“รู้สิ เพราะฉันจะทำให้เธอมีความสุขเอง” บางทีก็อยากถาม คุณไปเอาความมั่นใจแบบนั้นมาจากไหน?
“ด้วยอะไรครับ?” ผมถามพร้อมรอยยิ้มที่มุมปากคล้ายขบขันกับเรื่องนั้น
“ด้วยความรักของฉัน” คำตอบนั้นทำให้ผมตกตะลึงตาค้างไปชั่วขณะก่อนจะกระพริบตาเร็วๆ เรียกสติสตางค์ให้กลับมาโดยเร็วที่สุด อยู่ดีๆ หัวใจก็เต้นแรงขึ้นมาเฉยๆ และมีความเจ็บปวดซ่อนอยู่...
“อย่าทำอย่างนี้เลยครับ เรื่องที่ผมรักคุณน่ะมันนานมากจนตอนนี้ผมไม่รู้สึกเจ็บแล้ว ไม่จำเป็นเลยที่คุณจะต้องมาโกหกหรือรับผิดชอบความรู้สึกของผมต่อไปอีก” ผมพยายามหลบสายตาที่ส่ายไหวนั้นไม่ให้เขาเห็น หรุบตาต่ำขณะตอบกลับไป
“แล้วความรู้สึกของฉันล่ะ? เธอไม่คิดจะรับผิดชอบมันบ้างเลยเหรอ?” ผมมองกลับไปอย่างค้นคว้าหาความหมายเหล่านั้น “เธอรู้ไหมว่าฉันคิดถึงและรอคอยเธอมาตลอด ไหนเธอลองบอกเหตุผลสิว่าถ้าหากฉันไม่ได้รักเธอ ทำไมฉันต้องรอนานขนาดนี้ด้วย”
“ผมไม่รู้ คุณอาจจะคิดว่าผมเป็นผู้ชายคนเดียวที่ท้องให้คุณได้ แต่รู้ไหมครับผมทำแบบนั้นไม่ได้อีกแล้ว” ผมยอมพูดความจริงออกมา
“เรื่องนั้นฉันรู้ และถ้าเธอไม่ต้องการ ฉันก็ไม่คิดจะบังคับ เธอไม่จำเป็นต้องทำในสิ่งที่เธอไม่ชอบเพื่อฉัน มีแต่ฉันเท่านั้นแหละที่จะทำทุกอย่างเพื่อเธอ เพื่อคนที่ยินดีเสียสละความสุขของตัวเองได้เพื่อคนที่ตัวเองรัก คนที่ดูแลครอบครัวคนอื่นเหมือนเป็นครอบครัวตัวเองอย่างเธอ...”
“นั่นเรียกว่าการขอบคุณครับ ผมไม่คิดว่ามันคือความรัก...” ผมเอ่ยเถียง แท้จริงแล้วผมไม่มีข้อกังขากับคำพูดของเขาหรอก แต่ผมกำลังบอกตัวเองต่างหาก ไม่ให้หลงไปกับความสงสารที่เขามีให้ ไม่อย่างนั้นผมคงต้องกลับไปเจ็บแบบเดิมอีก...
“ก็ได้! คนที่ฉันรักไม่ใช่คนที่รักฉันจนทำทุกอย่างให้ได้หรอก แต่เป็นแม็กม่าคนนั้น คนที่ยอมนั่งแท็กซี่เป็นชั่วโมงเพื่อเอามะม่วงไปให้เพื่อนที่กำลังท้องอยู่กิน คนที่ถามถึงความปลอดภัยของซูกัสก่อนที่จะห่วงตัวเอง คนที่พยายามแก้ต่างให้ฉันทุกๆ ครั้งที่ถูกซูกัสเล่นงาน คนที่ชวนฉันกินข้าวเย็นตอนสี่ทุ่มครึ่ง คนที่เลือกเนกไทให้ตอนเช้า ชอบนอนกลิ้งมาหาแล้วทำให้ใจฉันเต้นไม่เป็นจังหวะ คนที่ยอมอดกาแฟทั้งๆ ที่ติดมาก ยอมเป็นหวัดงอมแงมโดยไม่กินยา คนที่เฝ้าแม่ฉันทั้งคืนตอนที่ท่านป่วย มันยังไม่มากพอเหรอที่จะทำฉันรักเธอน่ะแม็ก!” เสียงตะเบ็งที่พล่ามยาวๆ โดยไม่หยุดพักจนทำให้คนพูดหอบหายใจแรงทำให้ผมทำหน้าไม่ถูก ความหนักแน่นที่คิดว่ามีเริ่มหดหายไปกว่าครึ่ง พยายามหาเหตุผลเพื่อจะหลีกหนีมันให้ได้อีกครั้ง
“แต่กว่าคุณจะรู้ว่ารัก ผมก็จากไปแล้ว คุณไม่คิดว่ามันสายไปหน่อยเหรอครับ” ผมถามอย่างไม่เต็มเสียงนัก รู้สึกได้ว่าหัวใจตัวเองเริ่มคลอนแคลนเต็มทนแล้ว กำแพงหัวใจที่ใช้เวลานานนับปีเริ่มก่อร่างสร้างตัวขึ้นมาปิดกั้นก็พังลงในพริบตากับแค่ความอบอุ่นจากอ้อมกอดที่แสนโหยหานั้นหวนคืนกลับมาอีกครั้ง
“ไม่สายหรอก ก็เราได้พบกันอีกแล้วนี่ อย่าไปอีกเลยนะแม็ก ฉันจะพิสูจน์ให้เธอเห็นว่าความรู้สึกที่ฉันมีต่อเธอน่ะมันมากกว่ารัก”
ผมอยู่นิ่งในอ้อมแขนนั้น ในใจมีคำถาม มีความลังเลมากมาย แต่ที่มากกว่านั้นคือความหวัง
แต่สิ่งที่มากที่สุดคือความรักของผมที่มีให้เขา ไม่เคยจางหายหรือลบเลือนไปเลย
ผมจะเชื่อสักครั้งได้ไหมว่าสิ่งที่เขาบอกนั้นเป็นเรื่องจริงไม่ใช่คำโกหก
หลังจากผมตกลงใจว่าจะลองเชื่อใจเขาดูอีกสักครั้ง จะรอดูว่าเขาจะพิสูจน์รักของเขาอย่างไร คุณอิฐก็จับผมขึ้นรถบอกว่าจะพานั่งรถไปแอ่วเหนือกันสักเดือนตามที่คุณแม่บอก ผมส่ายหน้าในความเยอะแยะของเขาเพลียๆ แต่ตอนนี้ก็ขี้เกียจจะคัดค้านอะไรให้เสียฤกษ์ก็ยอมขึ้นรถไปแต่โดยดี แต่ก่อนที่เขาจะพาผมขึ้นเหนืออะไรนั่น เขากลับแวะพาผมไปที่หนึ่งก่อน และผมค่อนข้างแปลกใจที่คุณอิฐพาผมมาที่คลินิก พอมาถึงเขาก็ดึงผมเดินเร็วๆ ไปที่เคาน์เตอร์เพื่อขอพบหมอว่าน
“ตอนนี้หมอว่านอยู่ในห้องค่ะ ไม่มีคนไข้” เจ้าหน้าที่บอกอย่างสุภาพ ผมก็เดินตามเขาไปที่ห้องหมออย่างไม่เข้าใจว่าจะรีบร้อนอะไรนักหนา!
“หมอ!!” ทันทีที่เปิดประตูห้องตรวจเข้าไปเขาก็ร้องทักหมอว่านอย่างตื่นเต้น หมอว่านเงยหน้าจากเอกสารตรงหน้าขึ้นแล้วชายตามาที่ผมแล้วยิ้มอ่อน
“อ้าว เจอแล้วเหรอ?”
“อือ...” คุณอิฐตอบรับพร้อมรอยยิ้มดีใจจนผมรู้สึกเขิน
หมอไม่ได้พูดอะไรมากกว่านั้น เปิดลิ้นชักโต๊ะทำงานแล้วโยนพวงกุญแจพวงหนึ่งมาให้ คุณอิฐเอื้อมมือคว้าทันที
“ห้องที่แม็กใช้พักฟื้นตอนฝังมดลูกนั่นแหละใช้ได้” หมอเอ่ยขึ้น คนข้างกายพยักหน้ารับ ส่วนผมขมวดคิ้วไม่เข้าใจ แต่ยังไม่ทันตามอะไรทัน คุณอิฐก็หมุนตัวผลักประตูห้องตรวจออกไปแล้วดึงแขนผมให้เดินตามขึ้นชั้นบนแล้ว
“จะไปไหนครับเนี่ย ไหนว่าเราจะไปเที่ยวกัน...”
“ไม่ได้บอกว่าไปเที่ยว บอกว่าไปฮันนีมูน”
“ที่เหนือไม่ใช่เหรอ?”
“อือ... แต่ที่เหนือมันไกล เลยแวะมามัดจำที่นี่ก่อน”
“ฮะ!” ผมร้องเสียงสูงพร้อมใบหน้าเหวอ แล้วก็พูดอะไรไม่ออกจนเรามาโผล่ยังห้องนอนเฉพาะกิจที่เคยสิงสถิตนอนหยอดน้ำข้าวต้มอยู่หลายวันสมัยฝังมดลูกเทียม
“นะ...แค่มัดจำเอง...” คำออดอ้อนพร้อมกระพริบตาพราวใส่ของคุณอิฐทำให้ผมเหงื่อตกแล้วได้แต่ถอนใจปลงๆ
เหอะ! ทำเสียงอ้อนแบบนั้นแล้วทำยังกับผมจะปฏิเสธได้!
ในความรัก... บางทีผมก็โคตรเกลียดคุณอิฐ!!
จะมีอะไรกันแค่นี้ ที่อื่นก็มีเยอะแยะ ทำไมต้องพามาอายถึงนี่ด้วยเนี่ย!!
++++++++++
สรุปว่าหลังจากอับอายขายขี้หน้าหมอที่คลินิกคุณอิฐก็เกิดความขี้เกียจขับรถ เปลี่ยนแผนพาผมนั่งเครื่องไปเที่ยวแทนซะงั้น เราหายไปฮันนีมูนร่วมกันเกือบอาทิตย์แล้วก็กลับมาอยู่ที่บ้านดังเดิม แรกๆ ผมก็รู้สึกหน่วงๆ อยู่บ้าง แต่ก็พยายามทำใจให้ได้ แม้จะมีเรื่องร้ายๆ ผ่านเข้ามาแต่ชีวิตเราก็ยังดำเนินต่อไป
ไม่รู้สิ... อีกไม่นานผมอาจจะทำใจกับการท้องครั้งใหม่ก็ได้ แต่แค่ยังไม่ใช่ตอนนี้ก็เท่านั้น...
กิจวัตรของผมที่นี่ก็ไม่ต่างจากเดิม เพิ่มเติมคือตักบาตรตอนเช้า ถือศีลแปดวันพระ เพียงแต่อยู่บ้านไม่ได้ไปฝึกสมาธิในวัดแล้วก็เท่านั้นแหละ ส่วนคุณอิฐกลับเปลี่ยนไปมาก เขาดูว่างกว่าเดิมหลายเท่าจนเกือบกลายเป็นคนขี้เกียจ! ส่วนใหญ่จะอยู่บ้านปลูกต้นไม้ ใช้เวลาอยู่กับผมและคุณแม่ อาทิตย์นึงจะออกไปทำงานสักสามวันต่อสัปดาห์ จนผมรู้สึกว่าเราได้อยู่ด้วยกันบ่อยเกินไปจนช่วงนี้รู้สึกเบื่อหน้าลุงแกอยู่เหมือนกัน!
ที่เป็นแบบนั้นก็เพราะว่าพอผมจากไป คุณอิฐไม่ยอมเซ็นรับหุ้นที่ผมโอนคืนให้ จึงเป็นการปฏิเสธตำแหน่งประธานบริษัทไปด้วย หลังจากลาออกจากตำแหน่งประธานบริษัทก่อนหมดวาระเพราะปัญหาชกต่อยเขาก็ลาออกจากตำแหน่งกรรมการฝ่ายบริหารแล้วแต่งตั้งคนที่ไว้ใจได้มาแทน พร้อมทั้งท้าทายคุณแผ่นฟ้าว่า ถ้าหากในระยะเวลาครึ่งปีสามารถทำรายได้ให้บริษัทมากกว่าเดิม 5 เปอร์เซ็นต์เขาก็จะไม่ทวงตำแหน่งประธานคืน และคุณแผ่นฟ้าก็ทำได้ คุณอิฐเลยปล่อยวางเรื่องอิทธิฤทธิ์กรุ๊ป รอรับแต่เงินปันผลอย่างเดียวแล้วหันมาสนใจธุรกิจโรงแรมแทน...
เช้าวันหนึ่งหลังจากที่ผมกลับมาอยู่บ้านคุณอิฐได้ราวสองเดือน ระหว่างที่กำลังทานอาหารเช้านั้นคุณอิฐก็เกิดอาการแพ้ท้องโอ้กอ้ากวิ่งเข้าห้องน้ำจนตกอกตกใจกันไปทั้งบ้าน ผมรีบตามไปลูบหลังเขา สอบถามว่าไหวไหม ยืนนึกอยู่ว่าเมื่อวานกินอะไรผิดสำแดงจนอาหารเป็นพิษหรือเปล่า อยากจะพาคนป่วยไปโรงพยาบาลไวๆ จะได้ไม่ต้องแอดมิดหลายๆ คืนอย่างตอนคุณแม่ป่วย คุณอิฐโบกมือเพลียๆ หลังจากโก่งคอไล่น้ำลายเหนียวลงที่อ่างล้างหน้า
“ไม่เป็นไรหรอกแม็ก” เขาบอกแค่นั้นแต่ไม่ยอมเข้าไปในห้องอาหารอีก รีบเดินขึ้นบันไดไปชั้นบน
ผมเดินตามขึ้นไปเพราะความเป็นห่วง คนบ้านนี้เป็นอะไร ไม่สบายไม่ชอบไปหาหมอ ชอบบอกว่าไม่เป็นไรรอจนอาการหนักตลอด! พอตามขึ้นไปบนห้องเห็นเขาเข้าไปในห้องน้ำ เอ... หรือว่าจะท้องเสีย ผมนั่งรอที่เตียงเพราะความเป็นห่วงอยากแน่ใจว่าเขาไม่เป็นไรมาก และไม่นานนักเขาก็เดินออกมาแล้วยื่นบางอย่างให้ผมดู
ผมก้มลงมองสิ่งนั้นงงๆ ด้วยความไม่เข้าใจ เพราะสิ่งนั้นคืออุปกรณ์ที่ใช้ทดสอบตั้งครรภ์ซึ่งมันปรากฏขีดแดงสองขีด ผมยืนนิ่งจ้องมองมันเหมือนไม่เชื่อสายตาตัวเอง เครื่องผิดปกติ หรือว่าคุณอิฐเป็นโรคบางอย่างที่วัดค่าได้จากปริมาณ HCG (ได้แก่โรคมะเร็งอัณฑะ) แต่ที่น่าแปลกกว่านั้นคือ จู่ๆ เขาไปเอาของแบบนี้มาจากไหน แล้วเอามาตรวจเพื่ออะไร?
“ฉันให้หมอฝังมดลูกเทียมไปหลังจากเธอหายไปได้สักพักนึงแล้ว ฉันเชื่อว่าสักวันฉันจะได้เจอเธออีกครั้งแล้วฉันก็ยังอยากมีลูกกับเธอ แล้วฉันก็ได้เจอจริงๆ วันนั้นฉันก็เลยพาเธอไปทำลูกที่คลินิกไง จำได้ไหม?” คำเฉลยนั้นทำให้ผมถึงบางอ้อ จำได้ว่าเขาหลอกว่ากลัวทำห้องหมอเลอะเลยให้ผมหลั่งใส่กล่องบางอย่าง ตอนนั้นผมไม่ได้คิดอะไรเชื่อว่าเป็นอย่างนั้นจริง... ถ้าอย่างนั้นเด็กที่อยู่ในท้องของเขาก็คือลูกของผมน่ะสิ
“คุณไม่จำเป็นต้องทำถึงขนาดนี้ก็ได้นะครับคุณอิฐ...” ผมบอกด้วยเสียงแปร่งๆ เพราะกลั้นน้ำตา ทั้งดีใจทั้งซึ้งใจ
“ฉันอยากให้เธอเชื่อว่าถึงเธอจะท้องไม่ได้ ก็ไม่ใช่เหตุผลที่เราต้องแยกจากกัน ถ้าเธอไม่กล้าท้อง ฉันก็จะท้องให้ เธอจะได้เชื่อสักทีว่าฉันรู้สึกยังไงกับเธอ”
“คุณอิฐ...” ผมยิ้มทั้งน้ำตาโผเข้าไปกอดเขาไว้แน่น เขากอดตอบลูบหลังผมเบาๆ บอกด้วยน้ำเสียงขี้เล่นปนอ้อน
“ทำคนอื่นเค้าท้องแล้วต้องรับผิดชอบด้วยล่ะ ห้ามทิ้งไปไหนอีกนะ”
“ไม่แล้วครับ ผมจะไม่ไปไหนทั้งนั้น ผมจะอยู่กับคุณ อยู่กับลูกของเรา ผมรักคุณที่สุดเลย” รักมาก... ไม่เคยรักใครมากเท่านี้เลย
“แต่ของฉันน่ะ... มากกว่ารักนะ” เขาย้ำประโยคเดิมๆ ซ้ำไปอีก
“ครับ... ผมเชื่อแล้ว” ผมตอบเขา ยิ้มทั้งน้ำตา
ผมว่าตอนนี้คุณอิฐก็คงเข้าใจแล้วละว่า สิ่งที่คนรักกันควรมีมากกว่ารักคือความเสียสละ ยอมรับทั้งข้อดีและข้อเสียของคนที่รัก และไม่ควรใช้สิ่งนั้นมาเป็นข้ออ้างที่จะไม่รักกัน แต่ใช้หัวใจเติมเต็มสิ่งที่ขาดหาย เรื่องบางอย่างอาจมีแต่คนรักกันเท่านั้นที่ช่วยกันได้ เพราะทำให้ด้วยใจไม่ใช่ด้วยเงินจ้าง อย่างที่เขายอมทำให้ผมในวันนี้
แต่ในเมื่อวันเวลาเก่าๆ ที่ผิดพลั้งของเราทุกคนนั้นย้อนคืนกลับไปไม่ได้ ผมก็จะไม่หยิบมันมาทำร้ายใจตัวเองอีก เก็บไว้เป็นบทเรียนบทหนึ่งเท่านั้น ไม่ว่ากี่แสนล้านความเจ็บปวดที่ผ่านมา ผมจะลืมมันไปให้หมด เพื่อที่เราจะเริ่มต้นสร้างครอบครัวใหม่ให้สมบูรณ์และมีความสุขอย่างแท้จริงสักที...
THE END
++++++++++++++++++
ช่วงนี้ไม่ค่อยว่างเลยรีบลง
จบซะที อาจจะมีพลิกล็อกหักมุมไปบ้างแต่หวังว่าจะชอบที่จบแบบนี้นะคะ
จบแบบทุกคนได้รับบทเรียน ที่สมควรได้รับทุกฝ่ายมากน้อยแบ่งๆ กันไป
แต่เพราะคนเราย่อมผิดพลั้งกันได้ เราก็ไม่ควรเอาอดีตมาทำร้ายตัวเองไปตลอด
เราต้องก้าวต่อไป กล้าที่จะมีความสุข อยู่กับปัจจุบันและอนาคต
ขอให้แม็กกับลุงมีความสุข
โอยยย ชอบลุงที่สุดก็ตอนนี้แหละ 555+