-32-
-แม็กม่า-
ช่วงนี้คุณอิฐกลับบ้านไวทุกวันไม่ได้เถลไถลไปไหนเลย จนผมสามารถกะเวลาออกมารอเขาได้ แต่วันนี้ไม่รู้ทำไมกลับช้า แถมทำหน้าเคร่งเครียดอีกต่างหาก จนผมไม่กล้าคุยด้วย ได้แต่เดินอยู่ข้างๆ เท่านั้นรอจนอีกฝ่ายชวนคุยเสียเอง
“ช่วงนี้เธอยังติดต่อกับพี่ยุทธอะไรนั่นอยู่ไหม” คำถามทำให้ผมหันไปทำสีหน้าแปลกใจ
“ไม่เลยครับเจอกันครั้งสุดท้ายก็ตอนงานเลี้ยงนู่นแหละ” เขาพยักหน้ารับรู้หน้าติดเครียดนิดหน่อย “ทำไมเหรอครับ?”
“นี่ใกล้จะหมดวาระประธานกรรมการแล้ว เธอแน่ใจหรือเปล่าว่าตัวแทนของเธอจะไม่ทำให้ฉันลำบาก”
“ที่จริงผมบอกเขาไว้แล้วว่าต่อไปถ้าพยายามเข้าข้างคุณ คุณก็คงไม่ลดตำแหน่งเขา แต่ถ้าคุณไม่เชื่อใจ จะปลดพี่ยุทธออกจากกรรมการฝ่ายบริหารผมก็ไม่ว่าหรอกนะครับ”
“ถ้าฉันทำจริงเธอจะไม่โกรธใช่ไหม?”
“ไม่หรอกครับ ถึงจะรู้สึกผิดไปบ้าง แต่ผมก็เข้าใจว่าเรื่องธุรกิจมันก็ไว้ใจใครไม่ได้หรอก คุณก็ไม่รู้จักคุ้นเคยกับพี่ยุทธเหมือนผม ถ้าจะระแวงผมก็คิดว่าไม่แปลก”
“หึ! รู้จักคุ้นเคย? สนิทกันขนาดนั้นเลย”
“ก็พี่เขาเป็นพี่ชายที่หวังดี คอยบอกคอยสอนวิธีการใช้ชีวิตอยู่บ่อยๆ อย่างเช่นเป็นต้นไม้ต้องลู่ลม ไม่อ่อนเกินไป ไม่แข็งเกินไปถึงจะอยู่รอด น้ำขึ้นให้รีบตัก บางอย่างถึงจะฟังดูแย่ไปบ้างแต่ถ้าเลือกเก็บ เลือกจำก็ช่วยในการดำเนินชีวิตได้อยู่หรอกนะครับ” ผมพูดไปเรื่อยตามที่ใจคิด
“ไม่ว่าเขาจะหวังดีจริงๆ หรือหวังผลประโยชน์จากเธอก็ตาม บอกตามตรงนะว่าฉันไม่ชอบขี้หน้าเขาเลย ฉันขอร้องไม่ให้เธอติดต่อกับเขาอีกได้ไหม?”
“ได้สิครับ” ผมตอบพร้อมรอยยิ้ม อะไรก็ตามที่เขาต้องการ ถ้าผมทำได้ ผมก็ยอมทำทั้งนั้นนั่นแหละ
“ตอบรับง่ายขนาดนั้นเลย?”
“ถ้าคุณไม่ชอบ ผมก็ไม่ทำ... มันจะยากที่ตรงไหนล่ะครับ”
“ฉันดีใจนะที่เธอเห็นฉันสำคัญกว่า”
“เรื่องนั้นมันต้องแน่อยู่แล้วละ ก็ผมรักคุณนี่ ผมจะเห็นคนอื่นสำคัญกว่าได้ยังไง” ผมบอกอย่างเอาใจ
“หึ! พูดจาน่าจูบจริงๆ” เขายิ้มยื่นหน้าเข้ามาหาเหมือนจะจูบจริง ทำเอาผมหน้าร้อนผะผ่าว
“จะบ้าเหรอคุณ เดี๋ยวใครมาเห็น” ผมยกมือดันคางเขาไว้พลางมองซ้ายมองขวาเขินๆ
“นั่นสิ... งั้นเราไปในที่ที่ไม่มีคนเห็นกันดีกว่า” เขาพูดแล้วหัวเราะ ก้มลงช้อนตัวผมลอยขึ้นทันที ผมตกใจจนกำเสื้อเขาแน่น ใจหนึ่งก็กลัวตกแต่อีกใจก็ไม่อยากหนีไปไหน จึงได้แต่ซุกหน้าลงกับอกนั้น
รู้ไหมครับคุณอิฐ คุณทำให้ผมมีความสุขมากเกินไปแล้ว...
หลังจากตอนนั้น เพียงวันเดียวพี่ยุทธก็โทรมาหาผม
“สบายดีเหรอแม็ก...” น้ำเสียงของเขาแม้จะไม่ได้ประชดอย่างชัดแจ้งแต่ก็มีบางอย่างที่ผิดเพี้ยนไป
“ครับพี่”
“นั่นสิน้า สบายดีมีความสุขก็เลยเลิกคิดถึงกัน” คำสัพยอกทำให้ผมไม่รู้จะตอบยังไงดี จะว่าไปมันก็เป็นอย่างนั้นนั่นแหละ ในเมื่อตอนนี้ผมมีความสุขดีโดยไม่ต้องพึ่งพาเขาก็เลยลืมไปเสียสนิท
“พี่มีอะไรหรือเปล่าครับ?” เพราะไม่รู้จะตอบอย่างไรจึงเปลี่ยนเป็นคำถามไปแทน
“ดูสิ แค่อยากคุยด้วยก็ต้องถามหาธุระ” คำตัดพ้อทำให้ผมเผลอถอนหายใจออกมาทีหนึ่งด้วยความลำบากใจที่อีกฝ่ายไม่เข้าเรื่องเสียที ผมแน่ใจว่าพี่เขาต้องมีธุระถึงติดต่อมา
“ถ้าไม่มีก็แล้วไปครับ พี่สบายดีไหมล่ะ?” ผมตัดบทชวนคุยเสียจะได้ไม่ต้องฟังคำตัดพ้อเหมือนอีกฝ่ายงอนอีก
“จะว่าดีก็ดี แต่ช่วงนี้ก็ร้อนๆ หนาวๆ อยู่ ยังไม่รู้ว่าจะโดนท่านประธานเล่นงานเมื่อไร ทำไงได้ แอบกิ๊กกับเด็กเขาอยู่นี่...” ผมเริ่มสงสัยว่าผมกับพี่ยุทธนี่ไปแอบกิ๊กกันตอนไหนหรือ? ที่ผ่านมาก็อาจจะมีคุยกันเล่นบ้างก็ตามประสาพี่ๆ น้องๆ แต่ผมไม่คิดอะไรกับเขามากกว่านั้นเลย
“ถ้ากลัวขนาดนั้นแล้วโทรมาทำไมล่ะครับ” ผมสวนกลับด้วยน้ำเสียงเข้มเล็กน้อย
“โธ่แม็กก็... คนคุ้นเคยกัน ก็อยากทักทายพูดคุยกันบ้างสิ แต่โทรคุยกันมันไม่เหมือนเห็นหน้านะ พี่ว่าเราไปกินข้าวกันสักมื้อดีกว่านะ”
“ขอโทษนะครับ ผมไม่สะดวก” ผมรีบตอบทันทีโดยไม่ต้องคิด เพราะผมรับปากคุณอิฐไว้แล้วว่าจะไม่ติดต่อกับเขาอีก แต่ถึงเขาจะไม่ห้าม ช่วงนี้ผมก็อุ้ยอ้ายจนไม่อยากออกจากบ้านอยู่ดี
“โธ่แม็ก... ตอนแม็กต้องการความช่วยเหลือพี่ยังช่วยแม็กเลย พอพี่ลำบาก จะไม่ช่วยเหลือกันบ้างเลยหรือไง” ผมถอนใจเฮือก ขี้เกียจจะเถียงไปว่าผมไม่ได้วานให้เขาช่วยฟรีๆ สักหน่อย ให้เงินขวัญถุงไปตั้งเยอะ! แต่ก็ไม่อยากต่อล้อต่อเถียง
“พี่จะให้ผมช่วยอะไรครับ บอกมาเลยดีกว่า” ผมถามกลับไปตรงๆ เมื่อรู้สึกว่าอีกฝ่ายพูดจาวกวนไปมาจนผมงงไปหมด ทีแรกบอกว่าอยากทักทายพูดคุย ไปๆ มาๆ อยากให้ช่วยซะอีกแล้ว!
“มันเป็นเรื่องสำคัญน่ะ บอกทางโทรศัพท์ไม่ได้ แม็กออกมาเจอพี่หน่อยนะ ใกล้ๆ บ้านก็ได้เดี๋ยวพี่ไปหา”
“ตอนนี้ผมอยู่บ้านคุณอิฐครับ” ผมตอบกลับทันทีอย่างไม่ปิดบัง
“นั่นแหละ ที่ไหนก็ไปได้ทั้งนั้น หรือจะให้พี่ไปหาที่บ้านเลยก็ได้นะ” เขาทำเสียงจริงจังจนผมต้องรีบร้องห้าม
“อย่าครับ ไม่ต้องมา” ถ้าคุณอิฐรู้ว่าพี่ยุทธมาหาผมที่บ้าน เขาต้องไม่พอใจมากแน่ๆ เลย
“งั้นก็ออกมาเจอพี่สิ ไม่งั้นพี่บุกไปหาถึงบ้านจริงๆ นะ” เฮ้อ... ทำไมวุ่นวายแบบนี้นะ!
ตอนบ่ายของวัน... ผมนั่งรอพี่ยุทธที่ร้านไอศกรีมแห่งหนึ่ง นั่งละเลียดชิมของหวานโดยไม่รอ แต่คนที่เอ่ยปากนัดก็ไม่ยอมมาเสียทีจนผมต้องหยิบมือถือขึ้นดูเวลาหลายครั้งอย่างกังวล กระทั่งเก้าอี้ตรงกันข้ามถูกเลื่อนออก ผมเงยหน้าขึ้นกำลังจะบ่นที่เขามาช้าแต่คนเบื้องหน้ากลับไม่ใช่พี่ยุทธ
“สวัสดีครับคุณธมล” เสียงหวานและรอยยิ้มนั่นดูไม่น่าไว้ใจยังไงก็ไม่รู้จนผมมีสีหน้าอึดอัด “หรือถ้าเรียกแบบสนิทสนมหน่อยก็ต้องเรียกว่าพี่สะใภ้ใช่ไหม?”
“สวัสดีครับคุณแผ่นฟ้า” ผมทักทายตามมารยาทด้วยน้ำเสียงไม่สู้ดีนัก
เขายิ้มตอบถือวิสาสะนั่งลงแล้วหันไปเรียกพนักงานมาสั่งไอศกรีม
“เอ่อ ขอโทษนะครับ ผมมีนัดน่ะ ไม่ได้มาคนเดียว” ผมเอ่ยเพื่อไล่เขาไปอ้อมๆ
“คนที่นัดคุณน่ะเขาไม่มาแล้วละ เขาให้ผมมาแทน” ผมเงยหน้ามองเขาอย่างไม่เข้าใจอ้าปากจะถาม แต่ก็รู้สึกว่าคงงี่เง่าถ้าถามไปว่า ‘หมายความว่ายังไง?’
“ขอโทษด้วยนะที่ต้องทำแบบนี้ ผมอยากหาโอกาสคุยด้วยมานานแล้วแต่คุณก็ใจแข็งเหลือเกิน”
“ผมเคยบอกคุณไปแล้วนี่ครับว่าผมไม่คิดจะขายหุ้นหรืออะไรทั้งนั้น และคุณก็เป็นญาติคุณอิฐ ถึงจะไม่สนิทกันมาก แต่ก็น่าจะรู้ว่าผมกับคุณอิฐมีความสัมพันธ์กันยังไง ถ้าผมทรยศคุณอิฐได้ก็เท่ากับทรยศลูกตัวเองด้วย”
“ผมรู้ ว่าคุณทำทุกอย่างเพื่อลูก แต่พี่อิฐจะเป็นคนแบบนั้นเหรอ? เพื่อลูก... เขาจะยอมเลิกกับคนที่รักมากๆ อย่างบีทได้จริงๆ เหรอ แน่ใจได้ยังไงว่าพวกเขาเลิกกันจริงๆ ไม่ได้หลอกคุณน่ะ”
“แล้วทำไมเขาต้องหลอกผมด้วยล่ะ”
“ก็เพราะว่าคุณไม่ได้มีแค่ลูกอย่างเดียวไง ถ้าเขาเสี่ยงตัดรอนคุณ เขาก็เสี่ยงที่จะสูญเสียอิทธิฤทธิ์ไปด้วย เขาก็เลยต้องแกล้งทำเป็นว่ารักคุณมาก มากถึงขั้นเลิกกับแฟนได้ เพื่อจะได้ไม่ต้องเสียทั้งสองอย่างไป แต่สักวันนึงที่เขาได้สิ่งที่ต้องการคืนมา คุณก็จะไม่เหลืออะไรเลย” ผมกำมือแน่น รู้สึกโกรธเขามากที่จงใจใส่ร้ายคุณอิฐมากมายขนาดนี้
“ผมไม่เชื่อคุณหรอก ผมรู้ว่าคุณโกหก เพราะคุณอยากให้ผมโกรธเกลียดคุณอิฐ จะได้ขายหุ้นให้คุณใช่ไหมล่ะ?” ผมตะคอกถาม อีกฝ่ายมีเพียงรอยยิ้มไม่สะทกสะท้าน
“ดูเหมือนว่าคุณจะเชื่อใจพี่อิฐมากนะ เรามาคอยดูกันดีกว่าว่าเขาจะเชื่อใจคุณหรือเปล่า เผื่อว่าคุณจะเปลี่ยนใจทีหลัง...” รอยยิ้มของเขาทำให้ผมรู้สึกไม่ดีเลยมันเหมือนคนมีแผนการบางอย่าง...
แล้วก็จริง...
“แม็ก!! เธอมาทำอะไรที่นี่” หัวใจผมเต้นแรงเมื่อได้ยินเสียงทักทายจากคนที่รู้จักคุ้นเคยกันดี หัวใจตกไปอยู่ที่ตาตุ่ม
ผมหันไปมองอย่างตกใจ ทำไมคุณอิฐถึงมาอยู่ที่นี่ได้...
หรือว่าจะเป็นแผนการ คุณแผ่นฟ้ากับพี่ยุทธรวมหัวกันเรียกให้ผมมา แล้วก็ตามคุณอิฐมาที่นี่ด้วยแน่เลย
“มาพอดีเลยพี่อิฐ... เรากำลังตกลงราคาขายหุ้นกันอยู่น่ะ แต่ตกลงกันไม่ได้ซะที สงสัยผมจะให้น้อยไปหน่อย” คุณแผ่นฟ้าโกหกหน้าตาย รอยยิ้มที่ส่งให้คุณอิฐยียวน ผมเห็นเขากำมือแน่น ใบหน้าเคร่งเครียดขบสันกรามแน่นอย่างน่ากลัว
“คุณอิฐ มันไม่ใช่อย่างนั้นนะ” ผมพยายามอธิบายอย่างร้อนรน...
“แม็กม่า! กลับบ้านเดี๋ยวนี้!!” เขาหันมาคำรามใส่ผมทันที
“กลับบ้านดีๆ นะ เอาเป็นว่าเดี๋ยวผมขอไปคุยกับพ่อดูอีกทีว่าจะเพิ่มให้สักเท่าไรได้ แล้วเราค่อยมาคุยกันอีกทีนะครับคุณพี่สะใภ้”
“พอเลยไอ้ฟ้า!! กูไม่อนุญาตให้มึงมายุ่งกับแม็กอีก เข้าใจไหม!” เขาหันไปตะคอกใส่คุณแผ่นฟ้าแล้วปรายตามองผมอย่างโกรธเคืองโดยไม่พูดอะไรต่อ อุ้งมือใหญ่จับข้อมือผมลากถูลู่ถูกังออกมาที่รถ
“ฉันเปลี่ยนใจขอหุ้นคืนตอนนี้ทันไหม? รู้สึกว่ามันจะทำให้เธอเนื้อหอมมากเกินไปแล้วนะ” ในคำถามมีความไม่พอใจในน้ำเสียงอย่างชัดเจน...
“ก็เอาไปสิครับ ผมก็ไม่เห็นจะอยากได้ ถ้ามันจะทำให้วุ่นวายขนาดนี้!” ผมตอบกลับอย่างหงุดหงิด ก็ความจริงผมก็บอกให้เขาเอาคืนไปตั้งนานแล้ว เขาเองนั่นแหละที่บอกว่าไว้ใจผม แล้วมาตอนนี้ก็กลับคำง่ายๆ
“ไม่อยากได้ก็เลยจะขายใช่ไหม? เป็นไง? ตกลงกันไปถึงไหนแล้วล่ะ?”
“คุณอิฐ!” ผมกดเสียงต่ำ ทั้งไม่พอใจทั้งผิดหวังจนปวดเบ้าตาหนึบๆ
“โอเค... อย่าร้องสิ ฉันไม่ประชดก็ได้ ถ้าไม่อยากให้ฉันโกรธก็ตอบมาตามความจริง ทำไมเธอถึงมาเจอเขาที่นี่?” เขาแตะไหล่ผมเบาๆ คล้ายปลอบโยนแล้วเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่พยายามให้เย็นลงกว่าเก่ามาก
“พี่ยุทธนัดให้ผมมา” ผมไม่รู้จะทำยังไงนอกจากบอกความจริง “เขาบอกว่ามีบางอย่างขอให้ช่วย ไม่งั้นจะไปหาที่บ้าน ผมก็เลยมาตามประสาคนที่เคยรู้จักกัน ผมไม่ได้อยากมา แล้วก็ไม่รู้มาก่อนด้วยว่าจะเจอคุณแผ่นฟ้าที่นี่”
“อ้อ... นี่ฉันควรดีใจหรือเสียใจดีเนี่ยที่คนที่เธออยากเจอไม่ใช่ไอ้ฟ้าแต่เป็นกิ๊กเก่า!” ผมอ้าปากค้าง อยากพูด อยากเถียงอะไรมากกว่านี้แต่คิดอีกทีผมก็ผิดจริงๆ ที่หลงเชื่อคำพูดของพี่ยุทธจนทำให้เขาเข้าใจผิด สมควรแล้วที่เขาจะโกรธ
“ผมขอโทษ ผมเสียใจ ผมไม่คิดว่าพี่เขาจะทำแบบนี้” ในเมื่อผมเป็นคนผิดก็ควรยอมรับผิดตามตรงน่าจะดีกว่า
“ดูท่าฉันคงเอาเขาไว้ไม่ได้แล้วจริงๆ นั่นแหละ เพราะถ้าเขาอยู่ต่อให้เธอจะไม่ขายหุ้นไป ฉันก็คงเด้งจากตำแหน่งประธานสักวันแน่ๆ”
“คุณอิฐ... อื้อ...” ผมส่งเสียงครางอือเมื่อรอยจูบดูดดุนไล่ไปตามไหล่เปลือย อุ้งมือใหญ่ล้วงลงไปในขอบกางเกงในเพื่อสัมผัสแกนกายจนขนลุกซู่ไปทั้งตัว
ตั้งแต่กลับมา คุณอิฐก็ระบายความไม่พอใจของเขาด้วยการลากผมมาที่ห้อง จับผมผลักกดจนติดกำแพงแล้วลวนลามผมหนักมาก จนผมตัวงอเป็นกุ้งโดยอัตโนมัติเพื่อหลีกหนีการรุกรานอันสร้างความเสียวซ่านไม่รู้จบนั่น
“เธอผิดสัญญา ต้องถูกลงโทษ” น้ำเสียงเข่นเขี้ยวช่างสวนทางกับอ้อมกอดอุ่นที่รั้งร่างผมไว้ไม่ให้ทรุดกายลงไปกอง รอยจูบและอุ้งมือใหญ่กำลังให้ความสุขผมมากกว่าจะเป็นการลงโทษที่ว่า
“ทำไมผมไม่รู้สึกว่าคุณกำลังโกรธอยู่เลย” ผมเอ่ย ไม่ได้รู้สึกว่ามันจะต่างกับการมีอะไรกันครั้งอื่นๆ เท่าไรนัก
“ตอนแรกก็โกรธ แต่มันอาจจะหายไปแล้วตอนที่ได้สัมผัสเธอ ฉันมีความสุขจนลืมเรื่องอื่นไปเลย” เขาตอบไม่วายไล่เล็มริมฝีปากขบเม้มที่ใบหูจนผมต้องย่นคอหนี หากแต่ไม่เป็นผล ได้แต่แต่หอบลึกเมื่อตัวเองอยู่ในห้วงอารมณ์หวามไหว
ไม่นานกางเกงที่สวมอยู่ก็หลุดลงไปกอง เขาสอดท่อนขาแทรกลงมาเพื่อบังคับให้ผมแยกขาออกแล้ว แล้วจึงสอดนิ้วแกร่งเข้ามาในกายอย่างแผ่วเบา จนผมเผลอเปล่งเสียงในลำคอออกมา การรุกเร้าและบทรักก็ยังดำเนินต่อไปอีก จนเขาพยายามจะย่อตัวเพื่อสอดร่างเข้ามา แต่ดูเหมือนจะไม่สำเร็จเพราะผมเตี้ยเกินว่าจะทำอะไรกันในท่านี้ได้ จุดหมายปลายทางจึงถูกเปลี่ยนเป็นเตียงดังเดิม
และเขาก็ประสานร่างเราเข้าด้วยกันด้วยกิริยาที่อ่อนโยนทะนุถนอมดังเดิมจนผมก็ลืมไปแล้วจริงๆ ว่าตอนแรกเขาโกรธ และผมยังได้รับการดูแลจนถึงฝั่งไปตั้งสองรอบ ก่อนที่ร่างของเราจะก่ายเกยนอนกอดกันในที่สุดเมื่อสิ้นสุดกิจกรรมเสียเหงื่อเหล่านั้น
จนบางทีผมก็คิดใจใจขำๆ ไม่ได้ว่า ถ้าเขาโกรธแล้วจะลงโทษกันด้วยวิธีแบบนี้ล่ะก็ ผมคงไม่กลัวเขาหรอก คงอยากทำผิดบ่อยๆ ซะมากกว่า ผมยิ้มคนเดียวเอียงตัวเข้าไปซบอกคนที่นอนนิ่งนั่นแล้วเอ่ยถามเล่นๆ
ต่ไม่รู้ว่าหลับหรือยัง
“น้อยไปสิ อย่าลืมสิว่าตอนนี้เธอเป็นของฉันแล้วนะ” เสียงนุ่มกระซิบตอบอยู่ริมหูระหว่างกอดผมอย่างแนบชิด
ผมก้มหน้าซ่อนยิ้ม อดคิดไม่ได้นะว่าคำพูดแบบนี้โคตรโบราณเลย แต่ความรักมักทำให้คนตาบอด จึงมองข้ามสิ่งเหล่านี้ไป ผมถึงชอบมันมากขนาดนี้...
“ยิ้มอะไร?” เขาลืมตามาเห็นพอดีจึงเอ่ยถาม..
“ผมดีใจ... ผมไม่เคยเห็นคุณหึงมาก่อน”
“จะบอกความลับให้อย่างนึงเอาไหม?”
“อะไรเหรอครับ”
“ตอนที่ฉันเจอเธอที่ร้านอาหารแล้วเธอมากับเขาครั้งแรก ฉันหึงมากเลยละ”
“จริงเหรอครับ ผมคิดว่าคุณแค่โมโหเท่านั้นซะอีก”
“ตอนที่เธอทำน้ำหกแล้วถูกเขาเช็ดขาอ่อนให้น่ะ ฉันแทบอยากจะลุกขึ้นไปกระชากคอมันเลยละ แต่ก็ทำไม่ได้” ผมเลิกคิ้ว ไม่แน่ใจว่าผมโง่จนมองเขาไม่ออกหรือเขาเก็บอารมณ์เก่งเกินไปกันแน่
“ทำไมถึงหึงล่ะครับ ตอนนั้นคุณไม่ได้คิดอะไรกับผมไม่ใช่เหรอ?” เอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ ส่วนเขาก็มีท่าทีอึกอัก...
“เอ่อ... นั่นสิ ฉันคงใช้คำผิดไป ตอนนั้นน่าจะเรียกว่าหวงมากกว่าตามประสาผู้ชายเห็นแก่ตัวทั่วๆ ไป” เขาแก้ตัวเฉย
“แล้วตอนนี้ล่ะครับ?”
“ทั้งสองอย่างเลย” เพราะรักหรือเปล่านะ มันใช่รักแล้วหรือเปล่า
“ตอนนี้ฉันหลงเธอมากนะรู้ไหม” คำตอบนั้นทำให้รอยยิ้มผมจืดจางลงในพริบตา แม้อ้อมกอดนั้นจะยังไม่จางหายไปไหนเลย ความอบอุ่นยังโอบล้อมร่างผมอยู่อย่างแนบแน่น
“เพราะฮอร์โมนเพศหญิงที่ไหลเวียนอยู่มากหรือเปล่าทำให้รู้สึกว่าตัวเธอนุ่มนิ่มไปหมด หรือเพราะเธออายุน้อยกว่ามากเลยทำให้ติดใจง่ายๆ ฉันเพิ่งจะเข้าใจความรู้สึกของหมอที่หลงซูกัสขนาดนั้น ติดอกติดใจจนไปไหนไม่รอด ไม่อยากปล่อยเลยสักวินาที” คุณอิฐยังบ่นพึมพำอยู่คนเดียวเหมือนคนเพ้อ ผมไม่อาจให้คำตอบเขาได้...
ผมเฝ้าแต่ครวญถามตัวเองซ้ำไปมา... ความหลงใหล ติดอกติดใจ มันใกล้เคียงคำว่ารักแล้วหรือยัง? ทั้งๆ ที่เราอยู่ใกล้กันมากขนาดนี้ ลึกซึ้งขนาดนี้ ทำไมเขายังไม่ยอมบอกรักผมสักทีนะ
ต้องรออีกนานแค่ไหนถึงจะได้ยินมัน... คำว่ารัก
++++++++++
อย่าไว้ใจนิเลยค่ะเพราะ ถึงจะใกล้จบก็ยังมีอะไรให้ลุ้นอีกนะคะ