CATER TO YOU
ตอนที่14
คุณตรีขอเล่า
[ THREE ]
“ยังไงก็ขอบใจที่โทรมาถามไถ่ ไว้นายมาเมืองไทยเมื่อไหร่ ก็มาพักที่บ้านฉันได้ จะยอมสละเวลาพาไปเที่ยวก็แล้วกัน” ผมพูดกับคนปลายสาย เพื่อนของผม ‘วิล’ รู้จักและสนิทกันตอนที่ผมต้องไปเรียนต่อมหาวิทยาลัยที่อังกฤษ เป็นคนที่รู้เรื่องของผมดีอีกคน หากไม่นับรวมเพื่อนสนิทคนไทยที่ผมมี
“นายกล้าพูดคำว่าสละเวลางั้นเหรอ อย่าพูดเหมือนเวลาของนายมีค่ามากกว่าเพื่อนอย่างฉันเซ่”
“หึหึ”
“ไว้ว่างๆฉันจะไปเที่ยวที่บ้านของนายก็แล้วกัน ถึงเวลานั้นก็อย่าลืมแนะนำให้ฉันรู้จักคนรักของนาย”
“ไม่ใช่คนรัก”
“ฮ่าๆๆ อ่อ ลืมไปนายยังไม่จีบเขา”
“ไม่ใช่จะทำได้ง่ายๆ”
“ไม่ลองแล้วจะรู้หรือไง”
“ช่างเถอะ”
“กล้าๆหน่อยเพื่อน เดี๋ยวก็โดนคาบไปกินก่อนหรอก”
“ไม่มีทาง” ผมละสายตาจากท้องฟ้าในยามค่ำคืน หมุนตัวมองไปทางบันไดบ้าน ตีหนึ่งกว่าแล้ว ป่านนี้ฟ้าคงจะนอนหลับสบาย
“แค่นี้ก่อนละกัน ฉันต้องทำงานต่อแล้ว”
“อืม ไว้เจอกันตอนฉันไปเมืองไทย โชคดี”
“โชคดี”
ผมวางสายของวิล ยกแก้วไวน์แดงในมือขึ้นดื่มจนหมด ผมนั่งทำงานจนเลยเข้าวันใหม่ เพื่อนผมก็โทรมาถามไถ่สารทุกข์สุกดิบ ผมก็เลยคิดว่าควรถึงเวลาที่ต้องพักสำหรับวันนี้ เพราะมีแต่เรื่องเครียดๆ พอได้ระบายกับเพื่อน บวกกับได้ดื่มไวน์ดีๆก่อนนอน คืนนี้ผมน่าจะนอนหลับสนิทได้ไม่ยาก
ผมกลับขึ้นมาบนห้องเพื่อที่จะพัก ก่อนจะเข้าห้องตัวเอง ผมถือวิสาสะเปิดประตูห้องของฟ้า เด็กผู้ชายที่อายุน้อยกว่าผมแค่ปีเดียว แต่ดูเด็กกว่าผมราวสักสี่ห้าปี ไม่รู้ว่าผมหน้าแก่เกินวัย หรือการเจริญเติบโตของฟ้ามันช้ากว่าที่ควรจะเป็นกันแน่
คนเจ็บนอนขดตัวอยู่ในผ้าห่ม เหมือนจะหนาวถึงได้ห่มเกือบจะมิดหัว ผมไม่ได้เดินเข้าไปดูใกล้ๆ ทำเพียงแค่มองดูจากหน้าประตู จะได้ไม่เป็นการรบกวนคนป่วย
ผมยิ้มให้กับภาพตรงหน้า ยืนดูจนพอใจแล้วจึงปิดประตูให้เบาเสียงที่สุด ก่อนจะเดินกลับห้องของตัวเอง
‘ฟ้า’ คือคนที่ทำให้ผมรู้สึกดีและสบายใจที่สุดที่จะอยู่ด้วย ผมรู้จักฟ้าเพราะเขามาสมัครเป็นพ่อบ้านให้ผมเมื่อสี่ปีที่แล้ว
เขาคือคนที่ทำให้ผมรู้ว่าชีวิตมีความหมาย ทำให้ผมรู้ว่าผมต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปอย่างมีความหวัง
เด็กผู้ชายตัวคนเดียว ที่ดิ้นรนทุกอย่างที่จะมีชีวิตรอดในทุกๆวัน ทั้งๆที่ฟ้าไม่มีอะไรแต่ก็ยังต่อสู้ ส่วนผมคือคนที่เหมือนจะมีมากกว่าเขาทุกอย่าง แต่ความจริงแล้วมีก็เหมือนไม่มี ผมไม่มีอะไรที่ต่างจากฟ้าหากไม่นับเรื่องเงิน ดังนั้น เขาจึงทำให้ผมคิดได้ว่าทำไมผมถึงไม่ต่อสู้เพื่อชีวิตของตัวเองบ้าง เพราะอย่างนั้นผมจึงเลือกที่จะไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ ซึ่งเป็นคำขาดจากที่บ้าน ไม่อย่างนั้นผมคงโดนตัดออกจากตระกูลตั้งแต่ยังเรียนไม่จบมัธยมศึกษาปีที่หกด้วยซ้ำ
หลังจากที่ไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ ผมก็ใช้ฟ้าเป็นเหมือนแรงบันดาลใจจนกระทั่งเรียนจบ เอาจริงผมก็ไม่คิดว่าผมจะได้เจอฟ้าอีกครั้ง สี่ปีที่ผมไม่อยู่ที่ไทย ไม่เคยกลับมาและไม่ได้มีการติดต่อกับฟ้า ผมคิดว่าเขาอาจจะไปอยู่ที่อื่น เมืองไทยไม่ได้ใหญ่แต่ก็ไม่ได้เล็กถึงขนาดที่จะเดินสวนกับคนที่เราไม่ได้เจอกันถึงสี่ปี
แต่ใครจะรู้...แค่ผมกลับมาอยู่บ้านได้หนึ่งวัน เช้าวันต่อมาเบื้องบนก็ประทานเขากลับมาหาผมแบบไม่ทันได้ตั้งตัว
นับแต่วินาทีแรกที่เจอเขาอีกครั้ง ผมก็สัญญากับตัวเองไว้แล้วว่า ผมจะไม่ปล่อยเขาไปอีก ไม่ว่าจะอยู่ในฐานะอะไร ฟ้าจะต้องอยู่ในที่ที่ผมมองเห็นและเป็นที่พึ่งให้เขาได้
แก๊ก!
ผมสะดุ้งตื่นหลังจากที่ได้ยินเสียงเปิดประตู ไฟจากหน้าประตูห้องสาดเข้ามาเล็กน้อย ผมลืมตามองความเคลื่อนไหวในห้องด้วยความมึนงง เพราะเพิ่งจะหลับไปได้ไม่กี่ชั่วโมง มีคนเดียวเท่านั้นที่จะเข้าห้องผมในเวลานี้
...ฟ้า...
แต่เด็กคนนี้บาดเจ็บเพราะถูกแทง พอตั้งสติได้เท่านั้น ผมก็ดีดตัวลุกขึ้นทันที ก้าวลงจากเตียงเดินไปที่ห้องน้ำ ที่ๆฟ้าจะเริ่มทำงานเป็นจุดแรก
“ทำอะไร”
“อ๊ะ คุณตรี ตื่นแล้วเหรอครับ”
ผมมองหน้าฟ้า ก่อนจะชะโงกหน้าออกไปดูนาฬิกาดิจิตอลภายในห้องที่บอกเวลาตีห้าครึ่ง ถ้าเป็นช่วงเวลาปกติ ฟ้าจะมาปลุกผมตอนตีห้า วันนี้ช้ากว่าเดิมครึ่งชั่วโมง ผมไม่ได้คิดจะว่าอะไร เพราะใจจริงผมไม่ได้อยากให้ฟ้าลุกขึ้นมาทำหน้าที่อะไรทั้งๆที่บาดแผลยังไม่ทันหายดี
“ทำไมไม่นอนพัก” ผมยืนเท้าเอวถาม ฟ้าไม่ยอมมองผมเต็มสายตา ผมสังเกตดูหลายครั้ง ฟ้ามักจะหลบสายตาทุกครั้งเวลาที่ผมไม่ได้ใส่เสื้อ ผู้หญิงก็ไม่ใช่ ทำไมต้องทำเหมือนอายไม่กล้ามอง ผมว่าร่างกายผมก็ดูดีไม่น้อยนะ ผมเต็มใจโชว์ ทำไมเขาไม่เต็มใจมอง
“ผมนอนมาทั้งคืนแล้ว อีกอย่างผมก็ไม่ได้ทำงานมาสี่วันแล้วนะครับ ยังไงวันนี้ก็ต้องทำ”
“ฉันอยากให้นายพักจนกว่าจะถึงวันไปตัดไหม” ผมบอกอย่างที่ใจคิด แต่ฟ้ากลับส่ายหน้า แล้วคว้าเอาตะกร้าผ้าขนหนูที่ผมใช้แล้วไปถือไว้
“ผมทำแบบนั้นไม่ได้หรอกครับ ผมไม่สบายใจแต่คุณตรีไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ ผมจะทำเท่าที่ตัวเองไหว”
ผมยืนชั่งใจ ถึงอยากจะค้าน แต่ฟ้าก็คงไม่ยอม เด็กคนนี้ดื้อ ดื้อจนบางทีอยากจะจับมาตีสักทีสองที แต่ก็ทำได้แค่คิด ผมไม่กล้าพอที่จะตีเขาหรอก
“อืม”
“คุณตรีใช้ห้องน้ำได้เลยนะครับ ผมจะลงไปเตรียมห้องฟิตเนสให้ อ่อ วันนี้คุณตรีจะไปทำงานที่บริษัทไหมครับ”
ฟ้าทำหน้าเหมือนลำบากใจ ก็แน่ล่ะ ช่วงที่ฟ้านอนโรงพยาบาลจนกระทั่งเมื่อวานที่ผมพาเขาไปขนของที่หอพักเพื่อย้ายมาอยู่ที่บ้านของผมเต็มตัว ผมก็ยังไม่ได้เข้าบริษัทเลย พวกงานเอกสารที่ต้องเซ็นผมก็ให้คนขับรถขับเอาจากที่บริษัทมา เอกสารอะไรที่แค่ต้องอ่านก็ให้เลขาสแกนส่งมาให้ทางอีเมล
“อย่าหยุดงานเลยนะครับ”
“ฉันก็ไม่ได้จะหยุด”
“แต่คุณตรีไม่ยอมไปประชุมเพราะผม คือ ผมไม่ได้อยากจะแอบฟังตอนที่คุณตรีคุยกับน้าภาพเมื่อวานนะครับ แต่ผมอยู่ได้ หมอให้กลับบ้านแล้วก็หมายความว่าผมไม่เป็นอะไรแล้ว”
“...” ผมกำลังคิดว่า จะเอายังไงดี มันก็จริงอย่างที่ฟ้าว่า ผมอาจจะเป็นห่วงฟ้าเกินไป แต่จะมีใครรู้ความรู้สึกของผมในวินาทีที่เห็นฟ้านอนจมกองเลือดอยู่กลางถนนต่อหน้าต่อตาบ้าง เหมือนกับว่าผมถูกกระชากลมหายใจออกไป มันหายใจไม่ออก มันตื้อไปหมด
ถ้าฟ้าจากไป...สิ่งที่ผมทำมาและกำลังจะทำต่อจากนี้มันจะมีความหมายอะไร
ว่ากันว่าคนเราจะรู้ใจตัวเองเมื่อสิ่งนั้นกำลังจะหายไปจากชีวิตเรา ตอนนั้นผมถึงได้รู้ว่าฟ้าเป็นคนที่พิเศษในชีวิตผม และผมไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์แบบวันนั้นอีก
“โอเค ฉันจะไปทำงาน แต่นายก็ต้องสัญญาว่าจะไม่ทำงานหนักจนเกินไป ถ้าหากว่าแผลนายอักเสบขึ้นมาก่อนที่จะถึงวันนัดตัดไหม นายโดนฉันทำโทษแน่”
“สัญญาเลยครับ” ฟ้ายิ้มกว้างอย่างสดใส ผมชอบรอยยิ้มของฟ้า เหมือนยารักษาให้ผมไม่ต้องเจ็บปวด
“เย็นนี้ฉันจะกลับมาล้างแผลให้ ฉันดูออกแน่ๆว่านายทำตามสัญญาหรือเปล่า” ผมมองอย่างคาดโทษ
“รับทราบครับผม” ฟ้าทำหน้าและเสียงขึงขัง
ผมยกยิ้มมุมปาก แล้วเริ่มจัดการตัวเองหลังจากที่ฟ้าออกไปจากห้องนอน ไหนๆวันนี้ก็ต้องกลับไปใช้ชีวิตแบบปกติจริงๆ ผมเลยเร่งรัดเวลาแล้วออกจากบ้านเร็วกว่าเดิมเกือบครึ่งชั่วโมง
ตอนที่ผมมาถึงที่ทำงานซึ่งเป็นทั้งออฟฟิศและเป็นทั้งร้านขายเฟอร์นิเจอร์อยู่ในตึกเดียวกัน เลขาของผมยังมาไม่ถึง ผมเริ่มเคลียร์งานในช่วงที่ผมไม่ได้เข้ามาที่ออฟฟิศแล้วก็เตรียมอ่านเอกสารสำหรับการประชุมในช่วงเช้า
“อ้าวคุณตรี วันนี้มาไวจังเลยนะคะ” คุณเอิงทักราวกับตกใจ
“ครับ ถ้าวันนี้ผมไม่มา คุณก็คงตามไปบ่นผมถึงที่บ้าน”
“ก็เอิงเป็นห่วง เดธไลน์ใกล้เข้ามาทุกทีแล้วนะคะ คุณท่านก็ถามความคืบหน้ากับเอิงตลอด” คุณเอิงทำหน้าหนักใจ ซึ่งผมก็เข้าใจถึงเหตุผลนั้นดี
“เฮ้อ” ผมได้แต่ถอนหายใจ
“วันนี้น่าจะมีโปรเจคดีๆให้คุณตรีลองพิจารณานะคะ”
“เท่าที่ผมดู ยังไม่เห็นจะมีอันไหนเข้าท่า” ผมเปิดดูแฟ้มรายงานของแต่ละทีมที่นำเสนอโปรเจคกลางปี แต่มันก็เหมือนๆเดิม ที่ผมต้องการคืออะไรที่มันสะดุดตา
“แต่ยังไงภายในอาทิตย์หน้าคุณตรีก็ต้องเลือกแล้วนะคะ ว่าจะเอาโปรเจคไหน”
“ผมรู้ แต่คุณคิดว่าโปรเจคแต่ละอันที่จะนำเสนอในวันนี้ จะสามารถทำกำไรให้ผมได้จนหักลบกลบหนี้ที่ขาดทุนอย่างนั้นเหรอ คุณรู้ไหมว่ามันเป็นจำนวนเงินเท่าไหร่”
“เอิงรู้ค่ะ คุณตรีคะ อันนี้ท่านประธานฝากมาให้ค่ะ” คุณเอิงส่งซองจดหมายให้ผม ไม่ต้องเปิดดูก็รู้ว่ามันคืออะไร
“ยังไงผมก็ต้องไปใช่ไหม”
“ค่ะ”
ผมเปิดซองงานเลี้ยงดู งานจะจัดขึ้นในอีกสองอาทิตย์ข้างหน้า งานเลี้ยงวันเกิดของเพื่อนรักของคุณแม่ มากกว่างานเลี้ยงวันเกิด เรื่องที่น้ำเน่าที่สุดก็คือพ่อแม่ผมอยากให้ผมคบหากับลูกสาวของเพื่อนตัวเอง เพราะครอบครัวนี้ทำธุรกิจเกี่ยวกับหินอ่อนและหินชนิดต่างๆ ขยายตลาดใหญ่โตครอบคลุมทั่วทั้งเอเชีย ถ้าได้ดองกับครอบครัวนี้ เอาธุรกิจสองธุรกิจมารวมกัน ก็จะมีแต่ได้กับได้ เพราะยังไงก็เป็นธุรกิจสองธุรกิจที่เอื้อประโยชน์ต่อกันโดยตรง
พ่อผมกดดันผมทุกทาง
“อืม เรื่องนั้นผมจัดการเอง คุณไปเตรียมตัวเถอะ อีกยี่สิบนาทีเจอกันที่ห้องประชุม” ผมบอก
“ได้ค่ะ”
แล้วก็เป็นอย่างที่ผมคิด หกโปรเจคที่นำเสนอในวันนี้ ไม่ได้มีอะไรโดดเด่นเลยสักนิดเดียว แนวคิดซ้ำๆซากๆจำเจซะจนผมมองไม่ออกเลยว่า มันจะเป็นที่สนใจได้ยังไงหากนำออกมาวางขาย
และสุดท้ายก็เกิดการเถียงในที่ประชุมระหว่างผมกับกรรมการคนอื่น ผมได้แต่เดินหน้าตึงออกจากห้องประชุม เพราะผมเป็นแค่เด็กจบใหม่ เป็นลูกเจ้าของบริษัทแล้วยังไงไม่มีใครเห็นหัวคุณอยู่แล้ว
“คุณตรีคะ ใจเย็นๆก่อนนะคะ”
ผมไม่ได้ตอบอะไร เพียงแค่กลับไปที่ห้องทำงานของตัวเอง คุณเอิงไม่ได้ตามเข้ามาพูดอะไร เพราะในเวลานี้เขาคงรู้ว่าผมอยากอยู่คนเดียว
ผมนั่งทำงานไปเงียบๆสักพักเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น ผมหยิบขึ้นมาดูชื่อคนที่โทรมาก่อนจะกดรับ
“ว่าไง”
“ไม่ว่าไงเพื่อน”
“จะโทรมากวนฉันเหรอไงเจมส์ ถ้าไม่มีงานมีการทำก็อย่ามากวนคนอื่น” ผมว่าวันนี้ผมหงุดหงิดสุดๆเลยล่ะ
“ไม่ได้จะกวนสักหน่อย เย็นนี้ว่างไหม ไปหาอะไรกินกัน”
“ไม่ว่าง” ผมตอบโดยไม่ต้องคิด
“เห้ย ได้ยังไง เลิกงานแล้วทำไมจะไม่ว่าง เมียก็ไม่มี บ้านก็อยู่คนเดียว”
“ไม่ได้อยู่คนเดียว” พูดไปแล้วก็นึกถึงใครอีกคน ไม่รู้ว่าป่านนี้ทำอะไรอยู่ ไม่ใช่ว่าแอบทำงานบ้านโดยไม่พักล่ะ
“ห๊ะ อะไรคือไม่ได้อยู่คนเดียว”
“เห้อ ฟ้าไม่สบายอยู่ที่บ้าน” ผมตอบ เพราะถ้าไม่อย่างนั้นเจมส์มันก็ถามไม่หยุด ที่ไทยผมมีเพื่อนสนิทอยู่สองคน คือทิศกับเจมส์ และคนที่พูดมากที่สุดก็คือเจมส์
“ใครคือฟ้า”
“จะรู้ให้ได้?”
“มันเป็นความลับมากหรือไง โรคชอบกั๊กนี่เลิกสักทีเถอะน่า นี่เพื่อนนะเว้ย”
“เด็กที่เคยเจอที่ร้านอาหาร” ผมตอบไปสั้นๆ แต่คำตอบของผมไม่เคยเพียงพอสำหรับเพื่อนที่ชอบสอดรู้สอดเห็น
“ไม่เคลียร์เลย แต่ไม่เป็นไร เด็กนายอยู่ที่บ้านใช่ไหม เจอกันตอนเย็นแล้วกัน”
“เจมส์ เฮ้ กูยังไม่ได้...”
สายถูกตัดไปแล้ว
ทำไมผมรู้สึกว่าชีวิตของผมมันวุ่นวายเหลือเกิน อยากกลับบ้านมันให้รู้แล้วรู้รอด อย่างน้อยที่นั่นก็มีรอยยิ้มที่ทำให้ผมหายเหนื่อย
หลังเลิกงานผมรีบตรงกลับบ้าน รู้สึกปวดหัวทุกวันจนต้องนอนหลับตาตลอดทาง ผมเป็นคนชอบความเป็นส่วนตัว แต่เพราะความเครียดทำให้ผมเลือกที่จะให้น้าภาพมาขับรถให้ เพื่อให้ชีวิตเหนื่อยน้อยลง
ทันทีที่ผมก้าวเท้าลงจากรถก็ได้ยินเสียงหัวเราะโวยวายกันอย่างสนุกสนาน ผมหลับตาแล้วสูดลมหายใจลึกเข้าปอด
ผมคิดไว้ว่าเจมส์กับทิศคงจะไม่ทำอย่างที่พูด และมันก็เป็นแค่สิ่งที่ผมคิดไปเองคนเดียว
“พวกมึงมาทำอะไรที่บ้านของกู บอกแล้วไงว่าไม่อนุญาต”
ผมรีบเดินเข้าไปหาฟ้า ที่กำลังยืนย่างอาหารทะเลแล้วของอย่างอื่น ผมมองสำรวจทั่วไปหน้า บนแก้มใสมีรอยดำเปื้อน ผมควักผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดออกให้ด้วยความไม่ชอบใจ
“ไอ้ทิศ ดูให้หน่อยสิว่ามีอะไรติดแก้มกูหรือเปล่า”
“เอ่อ คุณตรีครับ เดี๋ยวผมทำเอง”
“มายืนทำอะไรตรงนี้ พวกมันอยากกินก็ให้มันทำกินกันเอง” ผมบอกแล้วคว้าที่คีบอาหารมาถือ แต่ฟ้าก็แย่งกลับไป
“แต่มันเป็นหน้าที่ผม อีกอย่างแค่ยืนย่างเฉยๆเองครับ ไม่ได้ออกแรงอะไรเลย” ทำตาใสเข้าไปอีก ผมกราดมองเพื่อนตัวดีทั้งสองคนที่ยืนทำหน้าล้อเลียน
“แล้วเตาย่างใครเป็นคนยกมา”
“กูเองๆ รู้แล้วว่าน้องฟ้าโดนแทงมา ไม่ได้ใช้ให้ทำอะไรหนักๆหรอกน่า เลิกทำหน้ายักษ์ได้แล้วครับคุณตรี”
“ก็ดี คิดว่ามาวุ่นวายบ้านคนอื่นแล้วยังจะให้คนของเขาทำนู่นทำนี่ให้อีก”
“มึงนี่มันจริงๆเลยนะ” เจมส์ส่ายหน้าขำๆ
“ขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้าไปคุณชาย จะได้ลงมากินข้าว” ทิศบอกกับผม
“นั่นสิครับคุณตรี ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าล้างหน้าล้างตาหน่อยนะครับ จะได้สดชื่น”
“มาช่วยฉันสิ” ผมดึงแขนฟ้าเข้าบ้าน ไม่สนใจเสียงผิวปากแซวของเพื่อนทั้งสองคน
ผมจับข้อมือของฟ้าแล้วพาเดินเข้าบ้าน ด้านนอกก็ปล่อยให้คนอื่นจัดการไป ผมพาฟ้าขึ้นมาที่ห้องนอนของผม วันนี้ผมเหนื่อยจริงๆจนอยากจะนอนพักมันซะเดี๋ยวนี้
“ให้ผมช่วยอะไรเหรอครับ”
ผมนั่งลงที่โซฟาภายในห้องนอน รู้สึกปวดหัวและกระบอกตามาก
“สีหน้าไม่ดีเลย ไม่สบายหรือเปล่าครับ”
“ปวดหัว” ผมบอก ปรือตาขึ้นมองเด็กตรงหน้า ฟ้าผละไปที่ห้องน้ำก่อนจะออกมาพร้อมกับผ้าเช็ดหน้าชุดน้ำ
“เช็ดหน้าหน่อยนะครับ เดี๋ยวลงไปทานข้าวและจะได้ทานยา”
“เช็ดให้หน่อย” ผมบอก พลางปลดเนคไทกับกระดุมคอเสื้อ ผมปลดยาวลงมาจบเกือบถึงช่วงหน้าท้อง เอนตัวพิงโซฟา ฟ้าเหมือนจะลังเล แต่เขาก็ไม่ปฏิเสธที่จะทำ ผมยกยิ้มมุมปาก ผมรู้ว่าฟ้ากำลังเขิน
ถ้าจะถามผมว่าความรู้สึกของผมที่มีต่อฟ้าเป็นแบบไหน ผมก็บอกเลยว่าผมชอบผมชอบคนๆนี้ ชอบรอยยิ้ม ชอบความสดใส ชอบการมองโลกในแง่ดีของฟ้า เขาดีที่เป็นแบบนี้ แต่มันก็น่าเป็นห่วงอยู่ไม่น้อยว่าจะถูกคนอื่นเอารัดเอาเปรียบ
“วันนี้ผมทำชามะนาวเอาไว้ให้ ดื่มแล้วน่าจะช่วยให้รู้สึกสดชื่นนะครับ” ฟ้าใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดซับที่ตามใบหน้าให้ผมอย่างเบามือ
“ขอบใจนะ” ผมลืมตาแล้วก็จับมือฟ้าเอามาวางไว้ที่หน้าผากของผม
“ปวดหัวมากเหรอครับ”
“อืม ปวดมาก”
“ผมไม่รู้ว่าคุณตรีเครียดเรื่องอะไร แต่ขอให้แก้ปัญหาได้โดยเร็วนะครับ”
“ขอบใจนะ”
“ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าไหมครับ จะได้ลงไปทานข้าวแล้วก็ทานยา”
“อืม ไปเลือกเสื้อผ้ามาให้หน่อยสิ ฉันว่าจะไปอาบน้ำเลย” ผมบอก รู้สึกตึงเครียดไปทั้งร่างกาย ผมอยากจะไปนวดผ่อนคลาย แต่ก็ยังไม่มีเวลา
ผมเข้าไปอาบน้ำไม่นาน ใช้เวลาเร็วกว่าทุกวันเพราะมีฟ้าและเพื่อนรออยู่ที่ด้านล่าง ออกมาก็พบกับชุดที่ฟ้าเลือกไว้ให้ เป็นกางเกงขาสั้นเหนือเข่าสีน้ำตาลอ่อน กับเสื้อผ้าฝ้ายสีขาวเนื้อบางเบาใส่สบายตัว ผมยิ้มแล้วลงมือแต่งตัวก่อนจะลงไปข้างล่าง
เพลงจังหวะสนุกสนานถูกเปิดคลอไปกับช่วงบรรยากาศแดดร่มลมตก ฟ้าที่กำลังยืนหัวเราะกับเพื่อนของผมหันมาเห็นผมเข้าพอดี เขารีบวางที่คีบลงแล้ววิ่งเข้ามาในบ้าน ตรงไปทางห้องครัวก่อนจะเดินออกมาพร้อมกับแก้วน้ำที่ใส่ชามะนาว
“ดื่มน้ำเย็นๆนะครับ จะได้สดชื่น”
“ขอบใจ”
ผมรับชามะนาวมาดื่ม รสชาติหอมหวานเย็นชื่นใจทำให้สดชื่นได้จริงๆ ผมชอบดื่มน้ำมีรสชาติ เพราะว่าเสพติดมาเป็นเวลานาน ความจริงจะเลิกก็ได้ แต่ผมก็ไม่ได้คิดจะทำมันเท่าไหร่ เพียงแต่ก็จะเลือกกินที่เป็นน้ำผลไม้คั้นสด หรือไม่ก็พวกที่ใช้ความหวานจากน้ำผึ้งหรือหญ้าหวานแทน แต่ถ้าเลือกไม่ได้ ก็ไม่เป็นไร ผมเสพติดไปแล้วยังไงก็ทำใจเลิกยาก
“คุณตรีออกไปนั่งทานข้าวกับเพื่อนๆเถอะครับ เดี๋ยวผมเตรียมยาให้”
“แล้วนายจะไม่กินข้าวหรือไง”
“ผมกินในครัวก็ได้ครับ”
“ไม่ได้” ผมพูดเน้นเสียงดุ แล้วใช้มือข้างที่ยังว่างคว้าแขนฟ้าให้เดินตามออกมา
“มาเร็วๆเลยเจ้าของบ้าน พวกกูหิวจะตายอยู่แล้ว”
“ก็กินกันไปสิ จะรอทำไม นั่งลงข้างฉัน บอกกี่รอบแล้วว่านายต้องนั่งร่วมโต๊ะกับฉัน”
“ครับๆๆ” ยังจะยิ้มหน้าทะเล้นอีก
ผมมองอาหารตรงหน้า ส่วนใหญ่จะเป็นพวกอาหารทะเลย่าง ไก่บาร์บีคิว จำพวกของกินเล่น แต่ก็ยังมีจานข้าวผัดจานใหญ่วางอยู่ แค่มองดูก็รู้แล้วว่าฟ้าเป็นคนทำ
ฟ้าหยิบทัพพีตักข้าวผัดใส่จานให้ผมสองทัพพี เขาเลื่อนถ้วยน้ำจิ้มมาให้ผมตรงหน้า เป็นน้ำจิ้มที่แตกต่างจากถ้วยอื่น
“ผมทำแยกให้ อันนี้ไม่เผ็ดมากครับ”
“ขอบใจ”
“ฟ้า อย่าไปเอาใจมันมากนัก เดี๋ยวก็เคยตัว” เจมส์พูด
“ไม่ได้หรอกครับ มันเป็นหน้าที่ผม” ฟ้าวางกุ้งเผาที่แกะเปลือกออกแล้วลงบนจานของผม
“ไม่ต้องดูแลฉันหรอก นายกินเถอะ”
แต่ถึงผมจะบอกอย่างนั้น แต่ฟ้าก็ยังคอยแกะกุ้งแกะปูวางให้ผมอย่างเนียนๆ เขาจะเว้นแกะให้ผมแล้วก็แกะกินเอง ผมถึงไม่ว่าอะไร เขาอยากทำผมก็ให้ทำ ในใจเต็มไปด้วยความอิ่มเอมที่มีดูแลเอาใจใส่แบบที่ผมไม่เคยได้รับจากใคร แม้แต่คนในครอบครัว
“สรุปว่ายังไง กินอิ่มอารมณ์ดีแล้ว ก็ตอบคำถามเพื่อนได้แล้วนะครับคุณตรี”
พอทุกคนเริ่มอิ่ม การรับประทานอาหารก็เริ่มเชื่องช้าลง เหลือเพียงแค่นั่งจิบไวน์ขาวแก้มกับอาหารทะเลที่ยังเหลืออยู่ ฟ้าที่กินอิ่มก็ทยอยเอาจานเข้าไปล้าง โดยมีลูกมือเป็นทิศที่ผมสั่งให้ยกจานเข้าไปให้ เพราะไม่อยากให้ฟ้าออกแรงยกของ
“คำถามอะไร” ผมทำเป็นไม่รู้ว่าเพื่อนอยากรู้เรื่องอะไร
“ทำไมเด็กคนนั้นถึงมาอยู่กับมึงที่บ้านหลังนี้ได้ จำได้ว่าเจอกันที่ร้านอาหาร ทำไมวะ ติดใจถึงขนาดไปเอามาทำงานที่บ้านด้วยเลยเหรอ”
“...” ผมนั่งฟังเจมส์ตั้งคำถามใส่ผมเงียบๆ เบนสายตามองเข้าไปในบ้าน ผมสร้างบ้านให้เป็นกระจกโปร่งรอบตัวบ้าน แต่สามารถกดปิดเพื่อให้มันเป็นกระจกทึบได้หากต้องการความเป็นส่วนตัว
“หรือว่ามึงกับเด็กคนนั้นมีอะไรกัน”
“บ้าหรือไง คิดได้ยังไง” ผมถลึงตาใส่เพื่อนที่พูดเรื่องไม่เป็นเรื่อง เกิดฟ้ามาได้ยินจะทำยังไง ไม่ใช่ว่าผมไม่อยากจะทำหรอกนะ แต่ตอนนี้มันยังทำไม่ได้ต่างหาก
บ้าจริง เห้อ
“กูรู้รสนิยมทางเพศของมึงดีวะตรี อย่ามาเล่นลิ้น”
ดูมันพูด ถ้าผมจะเล่นลิ้นผมไม่เล่นกับมันหรอก จะอ้วก กับคนในบ้านก็ว่าไปอย่าง
“ยังไม่ได้มีอะไรกัน” ผมตอบอ้อมแอ้ม
“อ่อ ยังไม่ถึงขั้นนั้นสินะ” เจมส์ยิ้มมุมปากล้อเลียน
“อืม”
“แล้วยังไง คือเด็กเขาก็มีใจให้หรือเปล่า” เจมส์โน้มตัวเข้ามากระซิบกระซาบ สายตาก็เหล่มองเข้าไปในบ้านเป็นระยะๆ ผมเองก็เผลอมองตาม
“ไม่รู้ ไม่ได้คาดหวังอะไร แค่อยากช่วยเหลือ กูรู้จักฟ้าตั้งแต่เรียนมัธยมปีที่หก ฟ้ามาสมัครงานเป็นพ่อบ้านที่บ้าน อยู่ตัวคนเดียวไม่มีครอบครัว หางานทำส่งตัวเองเรียน พอกลับมาอีกครั้งกูก็เลยให้ฟ้ากลับมาช่วยงาน” ผมเล่าคร่าวๆ เลือกที่จะไม่บอกความจริงบางอย่าง
ความจริงที่ว่าผมรู้ว่าฟ้าก็อาจจะรู้สึกดีกับผม แต่ไม่บอกพวกมันหรอกครับ เดี๋ยวมันเอาไปแกล้งเด็ก แล้วคนที่จะซวยก็คือผม
“พรหมลิขิตเหรอวะ ห่างกันไปตั้งสี่ปีเนี่ยนะ”
“บ้านกูอยู่ในซอยนี้ ฟ้าก็อาศัยอยู่ในซอยนี้ มันมีอะไรที่เรียกว่าพรหมลิขิต”
“ก็พูดไปอย่างนั้น แล้วสรุปคือชอบไหม”
“จะถามไปทำไม”
“ก็อยากรู้”
“มึงคิดว่าไงล่ะ” ผมไม่ตอบ โยนกลับไปหันคนตั้งคำถามตอบเอง ซึ่งเพื่อนกันก็ดูกันออกครับ มันถึงได้ยิ้มกริ่มว่ารู้ทันผม
“คุยเรื่องอะไรกันอยู่วะ” เสียงของทิศดังขัดบทสนทนาของผมกับเจมส์ ทำให้ต้องรีบหันไปดูว่าฟ้าตามมาด้วยหรือเปล่า แต่ไม่มี จึงทำให้ผมโล่งใจได้ว่าความลับยังไม่ได้ถูกเปิดเผย
“ไม่มีอะไร” ผมบอกปัด คนยิ่งรู้เยอะก็ยิ่งมากเรื่องมากความ
“ขนมหวานมาแล้วครับ” เสียงใสดังมาตามสายลม ผมรีบลุกขึ้นแล้วเดินไปแย่งถาดขนมหวานมาถือเอง พร้อมทั้งส่งสายตาดุดันไปให้เพื่อนที่เดินออกมาตัวเปล่า แทนที่จะช่วยคนบาดเจ็บถือถาดออกมา
“ไม่ต้องมองหน้ากูด้วยสายตาแบบนั้น น้องฟ้าเขาไม่ยอม บอกไม่หนักจะยกเอง”
“ไม่หนักจริงๆนะครับคุณตรี”
มันไม่หนักจริงๆนั่นแหละ แต่ผมไม่วางใจเท่าไหร่
ขนมที่ฟ้ายกมาเป็นสละลอยแก้ว ผมมองขนมสลับกับฟ้า ไม่คิดว่าเขาจะทำอะไรแบบนี้เป็น แต่เหมือนฟ้าจะเข้าใจความคิดของผม เขาหัวเราะเบาๆพลางส่ายหน้า
“ผมไม่ได้เป็นคนทำหรอกครับ เพื่อนคุณตรีเขาซื้อมา ผมแค่แกะใส่ถ้วยเท่านั้น”
“อืม”
“คุณตรีครับ ทานของหวานเสร็จแล้วก็ทานยาด้วยนะครับ” ฟ้าส่งถ้วยยาถ้วยเล็กให้ผม เป็นยาแก้ปวดหัวที่ผมทานเป็นประจำ
“ขอบใจ”
“ปวดหัวอีกแล้วเหรอไง”
“ก็น่าจะชินได้แล้ว ชีวิตคุณชายเขามีวันไหนที่ไม่ปวดหัวด้วยเหรอ”
“แล้วเรื่องงานเป็นไงบ้าง ได้ตามเป้าของท่านคุณพ่อหรือยัง”
พอเพื่อนๆของผมถามเรื่องงาน ผมก็ได้แต่ถอนหายใจเฮือกใหญ่
“ยังไม่มีโปรเจคไหนได้เรื่องสักอัน”
“ปกติสินค้าใหม่กลางปีจะออกช่วงมิถุนายนไม่ใช่เหรอ นี่มีนาคมแล้วนะกูคิดว่ามึงเลือกโปรเจคสำหรับกลางปีนี้ได้แล้วซะอีก”
“คิดว่าที่กูเข้าไปทำมันราบรื่นหรือยังไง คนเก่าของพ่ออยู่เต็มบริษัทไปหมด คอยแต่จะแย้งและตรวจสอบว่ากูทำงานได้ไหม”
“เอาน่า นี่เป็นหนทางพิสูจน์ตัวเอง ยังไงรางวัลที่ได้มันก็คุ้มไม่ใช่หรือยังไง”
มันก็จริงอย่างที่ทิศว่า เดิมพันระหว่างผมกับพ่อ ถ้าผมชนะ ชีวิตของผมหลังจากนี้จะได้เป็นอิสระเสียที เพราะว่าผมไม่ชอบผู้หญิง และผมไม่เคยคิดจะปิดบัง เพราะความดื้อรั้นที่ผมมีทำให้ผมกล้าที่จะบอกกับที่บ้าน สุดท้ายผมก็โดนต่อต้าน และถูกลงโทษในหลายๆอย่าง การไปเรียนต่อต่างประเทศก็ส่วนหนึ่ง และการที่ผมได้รับคำสั่งให้กลับมาบริหารบริษัทขายเฟอร์นิเจอร์ที่กำลังขาดทุนอย่างหนักก็อีกส่วนหนึ่ง
‘แกจะไม่ใช้ชีวิตตามแบบที่ฉันขีดไว้ให้ แกก็ต้องพิสูจน์ให้ฉันเห็นว่าแกมีความสามารถที่จะปีกกล้าขาแข็ง เข้าไปบริหารงานที่ King’s Luxury’
‘แต่ที่นั่นกำลังจะเจ๊ง’
‘ใช่ ในเมื่อแกบอกว่าแกโตพอที่จะคิดตัดสินใจดูแลชีวิตของตัวเองโดยไม่ฟังคำพูดของพ่อแม่ ก็แสดงให้เห็นสิว่าเป็นอย่างที่พูด เพราะถ้าทำไม่ได้ นั่นหมายความว่าแกยังไม่เก่งพอที่จะเรียกร้อง’
‘แล้วถ้าผมทำได้’
‘พวกฉันจะไม่ยุ่งวุ่นวายกับการตัดสินใจในการใช้ชีวิตของแกอีก’
‘ตกลง ผมจะทำให้พ่อเห็นว่าผมดูแลตัวเองได้’
“ทำหน้าสนใจขนาดนั้นเลยหรือไงน้องฟ้า”
ผมหลุดออกจากภวังค์เพราะเสียงของเจมส์
“แหะๆ ผมแค่งงน่ะครับ ฟังไม่ค่อยเข้าใจ” ฟ้ายิ้มแหะๆเหมือนเด็กทำความผิดแล้วโดนจับได้ ผมไม่เคยพูดถึงปัญหาของผมให้ฟ้าฟัง ผมเป็นคนก่อ ผมไม่อยากให้เข้าต้องมารับรู้ไปด้วย อีกอย่างเรายังไม่ได้เป็นอะไรกัน ผมไม่อยากเอาความมืดมนเข้าไปในชีวิตของฟ้า
“ฟ้าต้องดูแลเพื่อนพี่ดีๆล่ะ ช่วงนี้มันจะเครียดมากหน่อย ต้องออกไลน์สินค้าให้ได้กำไรเยอะ ไม่งั้นบริษัทมันเจ๊งแน่” ยังคงเป็นเจมส์ที่พูดเหมือนปากไม่มีหูรูด
“ฮึ่ม อย่าพูดมาก”
“ทำไมเจ๊งละครับ ผมว่าเฟอร์นิเจอร์ก็สวยดีน่าใช้ น่าจะขายได้อยู่แล้ว”
“หลายๆปัจจัยน่ะ” ผมตอบอ้อมแอ้ม หลบดวงตากลมใสที่มองผมด้วยความเป็นห่วง
“คุณตรีเก่งอยู่แล้วครับ ผมเชื่อว่ายังไงคุณตรีก็ต้องทำได้” แต่ครู่เดียวฟ้าก็กลับมายิ้มแย้มแล้วพูดให้กำลังใจผม
เป็นเด็กคนนี้อีกแล้ว ที่ไม่ว่ายังไงก็ชมว่าผมเก่งเสมอ ทั้งๆที่ความจริงแล้วผมไม่ได้เก่งอย่างที่เขาคิด แต่ผมจะทำให้ตัวเองเก่งอย่างที่คิดให้ได้