ตอนที่ 22
ความรู้สึกนี้ ช่างเป็นอะไรที่ น่าอึดอัด มันคล้ายกับว่ามีลมก้อนใหญ่ถูกดันขึ้นมาแล้วค้างนิ่งอยู่อย่างงั้น ผมหายใจไม่ออกไปชั่วขณะ และไร้ทางออกขึ้นมาอย่างฉับพลัน กับภาพตรงหน้าที่เห็น และแม้แต่รอยยิ้มก็ยังละลายให้ไป
“ อะไรวะนั่น ” แม้แต่ไอ้โฮมยังพูดออกมา
ผู้ชายร่างสูงคนนั้นวิ่งตรงเข้ามากอดเมี่ยง ผมสีทองของเจ้าตัวบ่งบอกถึงความแนบชิดในวินาทีที่กอดแบบที่แทบจะรวมร่างเป็นคนคนเดียวกัน ท่าทางที่ฉุดดึงให้ผมลุกจากเก้าอี้ตัวที่นั่ง มันเป็นทั้งความอยากรู้ในบทสนทนาและความสัมพันธ์แบบที่ห้ามใจไว้ไม่อยู่ แต่ก็เป็นคนข้างๆที่ดึงแขนรั้งกันไว้
“ มานู้นแล้ว..” เชิดหน้าไปที่ทางเข้า ผมก็มองตาม คนคุ้นตาเดินเข้ามาในโรงอาหาร ปะปนมากับคนอื่นที่ไม่รู้จักแล้วนั่นก็คือ ดีน ที่ก็หยุดทักพวกมันทันทีในตอนที่เห็นตามประสาอริที่ก็เห็นอะไรขัดตาไม่ได้
“ อะไรกันวะ เดี๋ยวนี้คนเราสามารถพลอดรักกันได้แบบไม่อายฟ้าอายดินขนาดนี้แล้วเหรอ ” แต่ในตอนนั้น เมี่ยงมันก็ยกยิ้มกลับไป พร้อมกับตอบกลับตามประสาอย่างคนที่ไม่ยอมใคร
“ ทำไมคนเราแม่งขี้เสือกจังวะ ” ใบหน้าน่ารักนั่นหันไปถามเจ้ยในตอนที่พูด แต่เหมือนคนที่เริ่มก่อนก็แค่มองกลับยิ้มๆ แบบที่ไมได้พูดอะไร ดีนเดินมานั่งลงตรงหน้าผมที่ตอนนั้น ก็เผลอสบเข้าสายตาเรียวที่มองตามมาพอดี
วินาทีแห่งความเงียบเชียบนั้นเกิดขึ้น หัวใจของผมรู้สึกเช่นนั้นอย่างไม่ปิดบัง ความสั่นไหวในแววตา ร่างขาวค่อนๆดึงตัวเองออกห่างไปจากใครคนนั้นที่กำลังกอดรัดตัวเองอยู่ แม้ว่าอีกฝ่ายจะดูงงๆ และเหมือนจะเอ่ยถามถึงความแปลกไปนั้น แต่เมี่ยงก็เหมือนจะแค่บอกปัดปฎิเสธ
“ เป็นอะไรไปวะ นั่งนิ่งไม่ทักทายกันเลย ” คนที่อยู่ตรงหน้าเอ่ยทักผม ดีนโบกมือไปมาตรงหน้ายิ้มๆ “ ฮัลโหล กู๊ดมอนิ่งจ้า เพื่อนอาร์ม มายฮันนี่ ดาร์ลิ่ง จุ๊บๆ ”
“ เออ ” ผมบอกปัดอีกฝ่ายก็ยกยิ้ม
“ หงุดหงิดอะไรตั้งแต่เช้าขนาดนั้น ” อีกฝ่ายว่าก่อนจะลุกขึ้น “ กูไปหาอะไรกินหน่อยนะ ”
“ อื้ม ” กลายเป็นไอ้โฮมที่ตอบแทนผม แต่เหมือนจะไม่ใช่คำตอบอีกคนต้องการสักเท่าไหร่ ดีนเลยยังจ้องมองกันอยู่สักพัก จนมันหันมองไปทางเมี่ยงที่ผมมองอยู่ จนผมต้องดึงสายตาขึ้นมองมัน
“ มีอะไร ”
“ มึงอะมีอะไร สนใจอะไรไอ้สัดนั่นขนาดนั้นวะ ” หันไปมองกลุ่มอริของตัวเองในตอนที่พูดอย่างงั้น ดีนแค่นยิ้ม ก่อนจะค่อยๆหุบมันลงในตอนที่ผมตอบกลับ
“ ก็แค่สนใจ ” สายตาเล็กคู่นั้นหันหลับมามองผมอย่างไม่เข้าใจ
“ แต่กูก็สนใจนะ ” โฮมมันพูดเสริมแบบยิ้มๆ “ อยากรู้ว่าไอ้สัดนั่นเป็นใคร มึงต้องเห็นตอนที่มันวิ่งเข้ามาพุ่งใส่ไอ้สัดเมี่ยง เหมือนแม่งจะรักกันมาก ”
“ ก็ผัวไง คิดมากเหี้ยอะไรวะ ” ดีนว่า “ ดูจากดาวอังคารยังรู้เลย แล้วเดี๋ยวคอยดู กูจะคอยมองน้ำหน้าไอ้สัดเบส ชอบล้อกูนักเรื่องเป็นแฟนไอ้สัดอาร์ม ”
“ แล้วมึงแคร์เหรอ ” คนข้างผมถาม พร้อมกับยกแก้วน้ำตรงหน้าขึ้นมาดื่ม “ เรื่องไม่จริงจะแคร์ทำไมนักวะ พวกมึงไม่ได้เป็นอย่างงั้นสักหน่อย ” ดีนหันมองโฮมที่ก็เท้าคางมองกันแบบยิ้มๆ
“ มึงไปหาอะไรกินเถอะไป ” บอกปัดเชิงไล่อีกคน ที่ก็เดินออกไปด้วยอารมณ์หงุดหงิดอยู่ไม่น้อย ผมหันไปมองเหลือบไอ้โฮมที่ก็ยักไหล่ให้กัน
“ กูไม่ได้พูดอะไรผิดนะ จริงมั้ย ”
“ กวนตีน ” พูดแบบนั้นยิ้มๆ ก่อนเสียงนึงที่ดังลั่นจะชวนให้หันไปมอง คนที่มาใหม่ตรงโต๊ะของเมี่ยงนั้นยืนขึ้น มันที่ก้มหน้าลงทักไอ้เจ้ยด้วยเสียงดัง ไม่ต่างกับเด็กประถมมาใหม่ที่ต้องยืนแนะนำตัวกับเพื่อนร่วมชั้น
“ ผมชื่อ เต เตชิน ยินดีที่ได้รู้จักครับ แล้วก็ขอขอบคุณที่ดูแลน้องเมี่ยงคำของผมเป็นอย่างดี โอ๊ย!!
“ เสียงร้องเจ็บผสานมากับเสียงหัวเราะลั่นอย่างถูกใจ เมี่ยงยกเท้าถีบคนนั้นก่อนจะยกมือขึ้นปิดหน้าด้วยความอายแต่ถึงอย่างงั้น ผมก็เห็นว่าอีกฝ่ายกำลังยิ้มอยู่
“ ส่งข้อความไปถามไอ้เจ้ยดีมั้ยวะ ” ผมพูดขึ้นเสียงเบา มือถือที่อยู่ตรงหน้าก็ไวยิ่งกว่าอะไร มันถูกดึงขึ้นมาจากโต๊ะ นิ้วที่กำลังจะกดเข้าโปรแกรมแต่วินาทีนั้นไอ้โฮมก็แค่ยิ้ม
“ อยากรู้มันก็ได้ แต่ไม่ใช่ว่าทุกคำตอบมันจะทำให้มึงรู้สึกดีนะ ” ผ่อนลมหายใจออกมา นิ้วมือเองก็เหมือนจะหยุดชะงักไปด้วยเช่นกัน “ แต่ว่ามันก็ไม่แปลกนะ ถ้าไอ้เตคนนั้นจะเป็นแฟน หรือว่าแฟนเก่าของเมี่ยง เค้าก็มีสิทธิเต็มที่ที่จะแสดงความรักกัน แล้วมันก็ไม่เกี่ยวอะไรกับมึงด้วย เพราะมึงก็ไม่ได้เป็นอะไรกับเค้าไม่ใช่เหรอ ”
“ คือมึงคิดว่า พอพูดจบแล้ว กูก็คือตายไปได้เลยใข่มั้ยไอ้สัด ” เสียงหัวเราะลั่นถูกใจของคนนั่งข้างกัน ผมไม่เคยเห็นไอ้โฮมหัวเราะถูกใจขนาดนี้มาก่อน มันจับไหล่ผมไว้แน่นแล้วหัวเราะออกมาแบบเอาเป็นเอาตาย ก่อนจะถอนหายใจแล้วเช็ดน้ำตาที่ไหลออกจากหางตา
“ แล้วไม่ดีเหรอ มึงจะได้ตัดใจจากคนที่มันไม่รักมึงสักทีไง ”
ก็ไม่ได้ตอบคำถามอะไรเพื่อนที่นั่งอยู่ข้างกัน ผมแค่มองตรงไปข้างหน้าอย่างไม่อยากจะผละสายตาไปไหนอีก เป็นความรู้สึกหวงแหน ที่อยากจะลุกขึ้นไป แล้วจัดการดึงอีกคนออกจากการกอดรัดที่แสนสนิทสนมนั้น ผมอยากจะตะโกนถามออกไปให้เสียงดังที่สุดเท่าที่จะทำได้
‘ เป็นะไรกัน ’ ‘ทำไมมานั่งกอดกันอยู่แบบนี้’ ‘ ถอยห่างออกไปได้มั้ย’ ‘ อย่ามากอดเมี่ยงอย่างงั้นนะไอ้สัด ’ แต่คำพวกนั้นก็ถูกกลืนเข้าไปในความรู้สึกอย่างไม่สามารถพูดออกไปได้ ก็อย่างที่ไอ้โฮมพูด
ไม่ได้เป็นอะไรกัน อีกคนจะมีความสัมพันธ์กับใคร ก็ไม่ใช่สิทธิ์ที่ผมต้องรู้
“ จะจ้องเกินไปแล้วไอ้สัด ” โฮมกระซิบแต่ผมกลับไม่ได้ผละสายตาไปไหน ยังคงจดจ้องคนตรงหน้าอยู่แบบนั้นอย่างรู้สึกหัวใจมันอัดแน่นไปทั้งหมดกับความรู้สึกเดิมๆที่ไม่ว่ายังไงมันก็ไม่สามารถคิดได้แบบที่ควรคิด
แล้วแน่นอนว่าถ้านั่งอยู่ตรงนี้ต่อไป มันต้องมีสักวินาทีที่ผมทนไม่ไหว แล้วเดินออกไปถามอีกฝ่ายให้รู้เรื่องแน่นอน
“ จะไปไหนวะ ” ดีนที่เดินเข้ามานั่งอยู่ตรงหน้าตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้เอ่ยถามกัน มันเคี้ยวข้าวในจานพลางมองผมสลับกับไอ้โฮมที่ก็เงยหน้ามองกันอยู่ ด้วยสายตาที่อยากจะห้ามปรามแต่ถึงอย่างงั้น มันเองก็คงเดาไม่ออกว่าผมจะทำอะไร
“ สัดอาร์ม ” เสียงเรียกที่เบาหวิวนั้นไร้ความน่าสนใจ ผมเดินออกไปจากโต๊ะ จากภาพพวกนั้นที่มันกำลังทิ่มแทง
ผมเกลียดความไม่รู้ แต่ไม่มีสิทธิ์ถาม ผมเกลียดความต้องการที่อยากจะแสดงออก แต่กลับทำมันไม่ได้ทำ เพราะผมรักใครสักคนอยู่ จนอยากจะกระชากมันออกไปให้มันพ้นๆ ผมเกลียดทุกอย่างที่มันกำลังทำให้ผมอึดอัดใจอยู่ตรงนี้
เกลียด ทั้งๆที่มันเป็นเรื่องที่อยากทำมากที่สุด แต่สุดท้าย กลับทำอะไรมันไม่ได้เลย และต้องจำยอมมันไปทั้งอย่างงั้น
............................................................
ควันสีขาวลอยฟุ้งอยู่เหนือตัว ภายในซอกตึกที่ทางมหาลัยจัดไว้ให้สำหรับสูบหรี่ ผมนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวที่ว่าง แบบที่ไม่มีใครเข้ามาวุ่นวาย เช้าๆแบบนี้ส่วนใหญ่จะยังไม่ค่อยมีคนเข้ามาสูบเท่าไหร่ ขี้บุหรี่จากส่วนปลายผมเคาะออกพลางมองไปยังปากทางเข้า แล้วตอนนั้นก็เหมือนจะเผลอคิดถึงช่วงเวลานึงนั้นขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
เท่าที่จำได้มันช่วงเวลาที่ก็เช้าแบบนี้เหมือนกัน เมี่ยงที่เดินเข้ามาคุยกับผมในวันนั้น จำได้ว่าแค่เสี้ยววินาทีที่เห็นหน้ามัน ก็มองออกแล้วว่าคนที่เดินเข้ามาด้วยท่าทางที่เหมือนจะเก่งนั้น ไม่ได้เก่งอย่างที่คิด ปากที่พูดเหมือนไม่กลัว แต่ก็ตัวสั่นไปหมด ไม่ต่างอะไรกับลูกแมวที่ขู่ฟ่อแต่กลับเดินถอยหลัง
อย่างที่ไม่รู้เลยว่า วันนึงลูกแมวตัวนั้นที่ผมเคยคิดว่า มันจะจัดการได้ง่ายๆ นั้น
จะข่วนกันเจ็บได้ขนาดนี้ในวันนี้
“ มานั่งทำมิวสิคอะไรอยู่ตรงนี้ไอ้สัด ขึ้นเรียน ” ดีนที่เดินเข้ามาหากัน มันเชิดหน้าไปที่ตึก ผมก็พยักหน้ารับ
“ ไปก่อน ” บอกปัดมันสั้นๆ พร้อมกับยกบุหรี่ในมือที่ถืออยู่เพื่อบอกให้รู้ว่า ขอหมดมวนนี้ก่อนแล้วถึงจะไป แต่ดีนก็เหมือนจะไม่ยอมให้มันเป็นอย่างงั้น อีกคนเดินเข้ามาใกล้กัน ก่อนจะดึงบุหรี่มวนนั้นออกจากมือผม มันยกขึ้นมาสูบ
“ กูช่วย ”
“ ไม่ใช่เรื่องเลยไอ้สัด ” ว่าแบบนั้นก่อนจะดึงบุหรี่มวนนั้นจากมือของอีกคนมาดับไฟบนดินใต้โคนต้นไม้ที่อยู่ใกล้ๆ แล้วทิ้งมันลงไปในขยะแถวนั้น ดีนดูอึ้งไปเล็กน้อย เพราะปกติผมจะสูบต่อ แต่ตอนนั้นอีกคนก็แค่ยิ้ม แบบที่ไม่ถามอะไร
“ คราวนี้หมดแล้ว ก็ไปได้แล้วเนอะ ”
“ ยุ่งจังไอ้สัด ” อดว่ามันไม่ได้แต่เหมือนอีกฝ่ายจะแค่เบิกตาแล้วทำทีเป็นเล่นอย่างทุกทีก็เท่านั้น
“ แล้วมึงอะเป็นเหี้ยอะไร ทำไมกูจะสนใจไม่ได้ไอ้สัด ขนาดมึงยังสนใจไอ้เมี่ยงได้เลย ทั้งๆที่ไม่ควรสนใจด้วยซ้ำ ” เหลือบมองคนที่อยู่ๆก็พูดขึ้นมาแบบนั้น ผมทำทีเป็นเอียงหน้าถาม
“ ทำไม หึงกูเหรอ ” คราวนี้กลายเป็นดีนที่นิ่งไป ในแววตาที่ดูเหมือนจะตกใจนั้นผมยิ้ม ก่อนจะเดินออกมาจากโซนสูบหรี่ “ แต่จะว่าไป ” ผมหันไปมองดีนอีกครั้งในตอนที่เหมือนจะคิดอะไรขึ้นมาได้ “ บางทีเรื่องเหี้ยๆ ที่เกิดขึ้น มันอาจจะดีก็ได้นะ ”
“ อะไร เรื่องเหี้ยอะไรอีก ”
“ เปล่า ” ผมส่ายหน้า เพราะไม่ว่ายังไงก็พูดความจริงออกไปไม่ได้อยู่แล้ว ทั้งเรื่องที่ว่า มันก็ดีที่มีใครสักคนเข้ามาอยู่ข้างๆเมี่ยง ถึงผมจะรู้สึกเหี้ยขนาดนี้ แต่มันก็ทำให้ได้รู้ว่า ดีนในตอนนี้แทบไม่ได้อยู่ในสายตาของผมแล้ว มันที่ไร้ตัวตนลงเรื่อยๆ อย่างไม่เคยรู้ตัวเลยว่า หายไปตั้งแต่เมื่อไหร่ “ ไปเรียนเถอะ เดี๋ยวสาย ”
“ พูดเหี้ยอะไรไม่เคยเข้าใจ แล้วอยู่ๆก็ตัดจบ แบบที่กูก็ยังไม่ทันเข้าใจเหี้ยอะไรเลยนี่แหละ ”
“ ไว้สักวันมึงก็คงเข้าใจเองนั่นแหละ ” บอกแบบนั้นก่อนจะยักคิ้ว แล้วเดินนำอีกคนขึ้นตึกไป
บรรยากาศในห้องเรียนค่อนข้างเงียบ วิชาปฎิบัติการของภาควิชาออกแบบกราฟฟิค หนึ่งในวิชาที่ผมชอบมากที่สุด แม้จะเหนื่อยกับการแบกอุปกรณ์ทางการเรียนเล็กน้อย เพราะชอบที่จะยกโน็ตบุ๊คของตัวเองมาเรียนมากกว่าจะพึ่งคอมพิมเตอร์ของมหาลัยเพราะรู้สึกว่าชินมือมากกว่า แถมยังหาอะไรได้คล่องแบบที่มีทั้งหมดที่ต้องการ
“ น่ารัก ” คนที่นั่งข้างกันอย่างไอ้โฮมเอ่ยทัก มันทักทุกครั้งที่เห็นภาพหน้าจอของผม ภาพแก้มหอมที่อยู่บนนั้น นอนเหยียดยาวมองกล้องแบบที่ชวนให้ยิ้มทุกครั้งที่เห็น แววตากลมแสนขี้อ้อนนั้น ผมอดไมได้เลยที่จะเอื้อมมือไปเขี่ยจมูกสีชมพูนั่นเบาๆ ก่อนจะหันไปถามเพื่อนที่นั่งข้างกัน
“ มึงว่า ไอ้เมี่ยงเหมือนแก้มหอมปะ ” เอยถามอีกคนเสียงเบา โฮมมันก็ส่ายหน้า
“ เหมือนแก้มก้อนมากกว่า ”
“ ไอ้สัด ” สบถใส่อีกฝ่ายก่อนจะถอนหายใจออกมาในตอนที่หน้าจอเด้งบ็อปอัพหน้าจอขอโปรแกรมแชทขึ้นมา ความรู้สึกหงุดหงิดเหมือนถูกปลุกอีกครั้ง ไม่ว่ายังไงผมก็ยังอยากถาม ต่อให้รู้ว่าไม่ควรถามยังไง นั่นก็ยังอยากจะถามอยู่ดี
“ ปิดไลน์มึงลงเถอะ ” โฮมมันดึงตัวเข้ามาใกล้ก่อนจะพูดเสียงเบาๆ “ ไอ้ดีนนั่งอยู่ข้างหลัง เดี๋ยวก็โป๊ะแตกเรื่องไอ้แก้มก้อนหรอก ”
“ แต่กูอยากจะส่งข้อความไปถามมันวะ ” ว่าแบบนั้นมือก็กดปิดหน้าจอของโปรแกรมนั้นลง
“ เรื่องไอ้เตน่ะเหรอ ”
“ อื้ม ” ยักคิ้วให้อีกคน ก่อนจะหันไปยกยิ้มให้ ผมพิงตัวเองลงกับเก้าอี้ที่นั่ง “ กูแค่อยากจะฟังจากปากมัน อยากมองตา ตอนที่มันตอบ เรื่องของไอ้เหี้ยนั่น ”
“ ถ้าเป็นแฟนเก่า หรือว่า คนที่มันแอบชอบอยู่แล้วก็กำลังจะกลับมาคบกัน ก็คือจะรับได้ใช่มั้ย ”
“ ไอ้สัด ” สถบออกไปแบบนั้น ไอ้โฮมก็ยิ้ม
“ ถ้ามึงอยากจะถามก็แค่ถาม แต่ก็แค่ต้องรับให้ได้ ไม่ว่ามันจะตอบอะไร เหมือนมึงอะ ตอนที่โง่ตอบมันไปว่ามีคนที่ชอบอยู่แล้วแบบที่ คนดีๆมันไม่ตอบอะไอ้สัด ”
“ ย้ำกูเข้าไปไอ้ห่า ” ก้มหน้าลงอย่างไม่รู้จะพูดอะไรต่อกับตราบาปในชีวิต แต่อีกคนกลับไม่เป็นแบบนั้น
“ ถ้ามันตอบมึงตรงคำถามก็ไม่มีอะไรหรอก กูว่าก็ถามได้ แต่ที่กูไม่อยากจะให้ถาม เพราะกลัวมันสวนมึงว่า แล้วมึงจะอยากรู้ไปทำไม เราอยู่ในสถานะอะไรกัน แล้วพอมึงเงียบ มันก็บอกอีกว่า ไม่ได้เป็นอะไรกันเนอะ มึงเองก็มีคนที่ชอบอยู่ ยังไม่เลิกชอบ เพราะงั้นก็ไม่จำเป็นต้องรู้หรอก แล้วกลายเป็นว่า สุดท้ายก็พูดไม่ออกกันอีก ”
“ อื้มมมมมมมม ” ลากเสียงยาวพร้อมกับถอนหายใจออกมาอย่างไม่รู้จะพูดอะไรออกมาต่อ ก็จริงอย่างที่อีกคนพูด ถ้าถามแล้วจบก็คือจบไป แต่ถ้าไม่จบก็กลายเป็นว่า ผมจะทำเมี่ยงเสียใจอีก เรื่องที่ยังไม่เลิกชอบดีน
“ เหนื่อยเนอะ ” โฮมมันว่า “ แต่ก็คิดดีๆ ด้วยความหัวใจ ” นิ้วมินิฮาร์ทถูกยกขึ้นมา ทำเอาผมจำใจต้องเบือนหน้าหนี
“ ไว้ก่อนก็ได้ไอ้สัด ”
............................................................
หน้าห้องพักอาจารย์ประจำภาควิชาที่ผมต้องการจะพบ แต่ทว่ายังมาไม่ถึงมหาลัย ทำให้ผมต้องมายืนรอท่านอยู่ที่ด้านหน้าห้องพักอย่างไม่มีตัวเลือกอื่น เพราะเป็นคนเดียวที่ยังไม่ได้รับหัวข้อรายงานที่หยุดเรียนไปเมื่อวันก่อน มือผมค้ำลงกับระเบียงของตึก ก่อนจะมองไปที่อาคารโรงอาหารชั้นล่างแบบที่ไม่รู้จะทำอะไร
แล้วสุดท้าย สมองก็เหมือนสั่งการให้คิดเรื่องนั้นอีกครั้ง
ภาพทั้งหมดนั้น เหมือนวิดีโอที่ฉายซ้ำอยู่สมอง แล้วตอนนี้ก็ดูเหมือนจะผสมปนเปไปกับคำพูดของไอ้โฮมที่พูดไว้ก่อนเริ่มเรียน เอาเข้าจริงก็ไม่ได้กลัวที่จะถามหรอก แต่กลัวว่าคำถามนั้น สุดท้ายมันจะกลายเป็นความเจ็บปวดของอีกคนมากกว่า
ตอนนี้อะไรๆมันดีขึ้นบ้างแล้ว ก็ไม่อยากจะกลับไปแย่แบบนั้นตอนนั้นอีก
ตอนที่อะไรๆก็ไม่ได้ มีแค่คำสั่งให้ถอยห่างอย่างเดียว แล้วก็ห้ามมายุ่งกันอีก
‘ เอี๊ยด ’ เสียงของรองเท้าเสียดสีกับพื้นอาคารคล้ายกับว่าหยุดเดินลงกระทันหัน ผมหันไปมองเจ้าของเสียงนั้นก่อนจะเบิกตาขึ้นด้วยความตกใจกับคนอยากเจอที่อยู่ๆก็มาให้เจอแบบไม่ทันตั้งตัวตรงหน้า
“ เอ่อ..” เมี่ยงที่มาคนเดียวพูดแบบนั้นด้วยท่าทางประหม่า มือที่ดูเงอะงะนั้น ยกขึ้นทักกันแบบนั้นงุนงง “ ว่าไง มายืนทำอะไรตรงนี้คนเดียว ” พูดแบบนั้นด้วยท่าทางที่เหมือนว่าก็ไม่รู้ว่าจะทักอะไร แต่ก็ต้องทักออกมาอย่างเสียไม่ได้
“ แค่เบื่อๆ ” ตอบออกไปก่อนจะดึงตัวเองเผชิญหน้ากับอีกคน ผมจ้องเมี่ยงด้วยความรู้สึกที่อึดอัดอย่างไม่เคยเป็น คำถามมากมายเกี่ยวกับคนคนนั้นผุดขึ้นมากมายในสมอง จนผมต้องผ่อนลมหายใจควบคุมสติ “ คือ เลิกเรียนแล้วเหรอ ”
“ ก็ อื้ม มึงอะ ”
“ เลิกแล้วเหมือนกัน แต่อีก 20 นาทีมีนัดคุยกับอาจารย์ ” ผมบอกก่อนจะเชิดหน้าไปที่ห้องพักอาจารย์ ด้านหน้า “ แล้วมึงจะไปไหน กลับบ้าน ? ”
“ เปล่า กูจะไปหาเพื่อนก่อน ”
“ คนนั้นสินะ ” พยักหน้ารับออกไปแบบไม่รู้จะพูดอะไรต่อ คนตรงหน้าที่ยิ้มให้กันนั้น ต่อให้เหตุผลอะไรเอ่ยอะไรออกมาก็เหมือนว่าสมองจะไม่ทำการรับรู้อีก สายตาที่เอาแต่จดจ้องไปข้างหน้า ราวกับมีทั้งคนที่เห็นด้วย และไม่เห็นด้วยปรากฏกายขึ้น ฝั่งหนึ่งเอ่ยบอกกันว่า ถามเลย ว่าเค้าคนคนนั้นเป็นใคร ส่วนอีกฝั่งก็เหมือนจะคอยห้ามปรามกันว่าอย่าทำเลย เดี๋ยวก็เหมือนกับที่โฮมบอก แล้วทุกอย่างมันจะแย่ไปอีก
แต่วินาทีต่อมานั่นแหละ ที่อีกฝั่งก็บอก
ไม่ว่ายังไง ก็แค่ถามออกไป ทุกอย่างที่ค้างคาใจมันจะได้จบ
“ เมี่ยง ” ในที่สุดปากของผมก็เอ่ยเรียกอีกฝ่ายออกไป เพิ่งรู้ว่าอีกคนจะเดินลงบันไดไปแล้วด้วยซ้ำในตอนนั้น และถ้าช้ากว่านั้นเพียงเสี้ยววินาทีเดียวก็คงรั้งกันไม่ได้แล้ว
“ ว่า ” อีกฝ่ายที่หันมาถามกัน
“ ไอ้คนคนนั้นแค่เพื่อนมึงจริงๆใช่มั้ย ” โพล่งถามออกไปด้วยใจที่อยากรู้ ก่อนจะนิ่งไปกับประโยคตรงตัวนั้นถึงขั้นต้องเปลี่ยนมันแบบแก้เก้อ “ คือ กู แค่อยากรู้ มันอาจจะไม่ควรถาม ” ผมผ่อนลมหายใจที่หัวใจตอนนี้เร่งอัตราเร็วขึ้นอย่างไม่เคยเป็น ‘ ก็แค่ถามเอง ใจเย็นๆ ’ ผมพยายามปลอบตัวเองอย่างงั้น “ แต่กู อยากมั่นใจ ไม่สิ มันดูเห็นแก่ตัวไป กู ยังไงดีละ ”
“ ห๊ะ ? ” เหมือนความไม่มั่นใจนั้นถูกดับลงด้วยท่าทางงุนงงนั้น ผมรวบรวมความกล้าทั้งหมดที่มี แบบที่ไม่เคยเป็น
เอาจริงๆก็ไม่คิดหรอก ว่าตัวเองต้องมาถามอะไร งุ่นง่านอย่างงนี้ ครั้งแรกเหมือนกันที่รู้สึกไปไม่เป็นตัวเองได้ถึงขนาดนี้
“ คนคนนั้นเพื่อนมึงจริงๆใช่มั้ย ” แต่เหมือนว่า คำถามนั้นจะไม่ควรถาม เมี่ยงเงียบไป มันเอาแต่จ้องมองผม “ ไม่ควรถามเปล่าวะ ”
“ แค่เพื่อน ” อีกฝ่ายย้ำพร้อมกับรอยยิ้ม รอยยิ้มที่เหมือนดวงตะวันตอนเช้าที่ทั้งอบอุ่นและสบายใจ “ กูกับมันแค่ไม่ได้เจอกันนาน ก็เลยกอดกันกลมไปหน่อย ”
“ เหรอ” สุดท้ายก็ตอบออกไปได้แค่นั้น ด้วยรอยยิ้มที่ถูกปลดล็อคความไม่สบายใจที่อัดแน่นมาหลายชั่วโมง
“ งั้นกูไปนะ ” มือที่ยกขึ้นโบกให้กัน ผมยักคิ้วตอบไปตามนิสัย ยิ้มที่กลั้นไว้อยากจะฉีกให้กว้างกว่านั้นด้วยซ้ำ แต่ก็เขินเสียจนต้องก้มหน้าลงมองพื้นแบบที่ต้องหลบความดีใจนั้นเอาไว้
ผมผ่อนลมหายใจโล่งๆออกมา พิงร่างลงกับระเบียงนั้น แล้ววินาทีทีเงยหน้าขึ้นมองบรรยากาศโดยรอบนั้น เปลี่ยนไปอย่างทันตาเห็น ต้นไม้ใบหญ้าดุสดใสกว่าที่เคย อาจเพราะความโล่งใจแบบชนิดที่ไม่เคยเป็นมาก่อนนี้ ทุกอย่างดูสดใสขึ้นอย่างฉับพลัน มันเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิงเมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้
“ มึง ” ไอ้โฮมเดินเข้ามาใกล้ในตอนที่หันไปมองต้นเสียงนั้น “ วันนี้อาจารย์ยกเลิกคาบบ่าย ”
“ เหรอ ” พยักหน้ารับแบบนั้นก่อนจะก้มลงไปมองบนพื้นด้านล่างอาคาร แล้วก็พบกับเมี่ยงที่เดินมากับเพื่อนของมันที่ก็เงยหน้ามองกันอยู่ไม่นาน ก่อนจะถูกดันให้เดินออกไปโดยคนที่ยืนอยู่ข้างกายนั้น
“ แล้วมึงคุยกับอาจารย์ยัง ” ฝีเท้าที่เดินมาหยุดยืนอยู่ข้างกันนั้นเอ่ยถาม ผมก็ถอนหายใจอย่างจำใจผละสายตาออกจากภาพนั้น แล้วส่ายหน้าไปมาเป็นคำตอบให้อีกคน
“ ก็เค้ายกเลิกคลาส ก็คงไม่มาแล้วละมั้ง ”
“ ลองส่งเข้าเมล์มั้ย ” โฮมมันบอกก่อนจะพิงตัวลงกับระเบียง
“ ก็คิดว่าจะอย่างงั้น ” ผมตอบ “ นี่ เมื่อกี้กูได้คุยกับเมี่ยงแล้วนะ ”
“ เหรอ ” อีกฝ่ายตอบรับยิ้มๆ “ จนได้สินะไอ้สัด แล้วยังไง ตกลงไอ้สัดนั้นมันเป็นอะไรกับเมี่ยง ”
“ แค่เพื่อน เห็นบอกว่าไม่เจอกันนานก็เลยตื่นเต้นดีใจที่เจอกันไปหน่อย ” ยิ้มกว้างออกมาในตอนที่ตอบจนอีกฝ่ายยิ้มตาม รอยยิ้มกว้างที่ห้ามไม่อยู่นั้น ผมหลุดหัวเราะจนต้องก้มหน้าลงจนเกือบจะถึงมือที่ค้ำอยู่กับระเบียง ทำเอาคนข้างๆถึงกับหลุดหัวเราะเสียงดังในท่าทาง
“ เป็นเอามากนะไอ้สัด ”
“ บอกเลยว่า โคตรโล่ง โคตรมีความสุข ” ผมบอก
“ ดูออกไอ้สัด ต่างกับเมื่อกี้ที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตานั่งหน้าเครียดยังกับคนละคน ”
“ อื้ม ” ยักคิ้วตอบรับ ก่อนจะมองไปยังระเบียงที่ว่างเปล่าตอนนี้ มันแทบไม่มีใครเดินผ่าน “ แล้วนี่ไอ้ดีนไอ้จุ้นไปไหน ”
“ คิดว่าจะไม่ถามแล้ว ” โฮมมันนิ่งไปสักพักก่อนจะพูดออกมาอย่างงั้น “ ไปซื้อน้ำปั่นที่หน้ามหาลัยด้วยกันน่ะ ”
“ อื้ม ”
“ มึงจะกินอะไร ก็โทรไปสั่งมันแล้วกัน มันฝากบอกมา ”
“ ไม่ล่ะ ” ผมส่ายหน้าไปมาก่อนจะถอนหายใจแล้วมองออกตรงวิวเบื้องหน้า ความรู้สึกตอนนี้ผ่อนคลายยิ่งกว่าออะไรทั้งหมด แม้แต่ใบไม้ที่เสียดสีกันยังทำให้รู้สึกดี
“ ถามจริง มึงไม่คิดว่าไอ้ดีนจะรู้บ้างเหรอวะ รู้ตัวใช่มั้ย มึงแสดงออกเรื่องเมี่ยงมากเลยนะวันนี้น่ะ ”
“ แล้วทำไมกูต้องกลัวไอ้ดีนขนาดนั้นด้วยละ “ ผมถามกลับอีกคนก็นิ่ง “ ถ้ามึงจะบอกว่า จะดีนเสียใจที่โดนไอ้บินหักหน้า เรื่องที่ว่ากูชอบเมี่ยง แล้วสุดท้ายก็กลายเป็นว่ากูกับมันมีปัญหากัน กูบอกเลยตรงนี้ว่า กูไม่แคร์เรื่องนั้นหรอก กูไม่ได้อยากจะคบกับเมี่ยงเพื่อแอบไว้ข้างหลังอยู่แล้ว ”
“ ถ้าได้คบก็คือจะประกาศเลยว่างั้น ” โฮมมันแซว ผมก็ยิ้ม
“ กูไม่ได้กลัวดีน แล้วกูก็ไม่จำเป็นที่จะต้องปกป้องความรู้สึกของมัน แบบที่ตัวกูเองจะต้องเจ็บด้วย ถ้าเป็นเมี่ยงก็ว่าไปอย่าง ”
“ เช่นนั้น ”
“ ที่กูพยายามไม่ให้ดีนรู้ กูไม่ได้รักษาน้ำใจมัน เพราะกูไม่จำเป็นที่ต้องรักษาหัวใจ คนที่ไม่เคยรักษาหัวใจกู จริงมั้ย ” ผมหันไปถามเพื่อน ที่ก็แค่ยิ้ม อีกฝ่ายไม่ตอบอะไร “ แต่ที่กูไม่ยอมบอกมันตอนนี้ เพราะกูไม่อยากจะทำให้เมี่ยงลำบากใจมากกว่า เรื่องบางเรื่อง บางทีเค้าอาจจะไม่ได้คิดเหมือนกู ”
“ อยากคบกันก่อน แล้วค่อยคุยกันว่าจะเอายังไง ว่างั้น ”
“ อื้ม ” ไอ้โฮมเอาแต่ยิ้มในตอนที่ตอบแบบนั้น จนผมต้องหันไปมอง “ ยิ้มเหี้ยอะไรไอ้สัด คิดว่ากูโกหกเหรอ ”
“ เปล่าเลย ” อีกคนส่ายหน้า “ เท่าที่กูเห็นวันนี้กูก็เชื่อแล้วว่ามึงพูดจริง แต่แค่ไม่คิดมากกว่า ว่าวันนี้มันจะมาถึง กูยังจำวันที่มึงคบกับผู้หญิงคนนั้นได้เลย ถึงจะจำชื่อเธอไม่ได้แล้วก็เถอะ แต่ยังจำได้ว่า เค้านิสัยน่ารักมากเลย ทุกอย่างระหว่างมึงกับเค้าตอนนั้น มันดูดีไปหมด จนกูคิดว่ามึงคงจะหลุดออกมาจากไอ้ดีนได้ ”
“ แต่ก็หลุดออกไม่ได้อยู่ดี ” ผมยกยิ้มตอบ พลางคิดถึงเธอคนนั้น
โฮมคงหมายถึง เฟิร์ส สาวคณะศิลปกรรมคนนั้นที่ผมคบด้วยช่วงนึง สาวน่ารักที่ทำให้ช่วงชีวิตนึงของผมสดใส เจ้าของความคิดบวก และมีเหตุผล ที่สุดท้ายเราก็เลิกกัน เพราะวันที่ผมตัดสินใจยกเลิกนัดเธอไปหาดีนแทนเพราะอีกคนแค่บอกว่า อยากเจอ ทั้งๆที่เราก็นัดกันไว้ และรอคอยกับการไปเที่ยวหนนี้มานานมาแล้ว
ความรู้สึกตอนนั้น มันบอกกันว่า ท้ายที่สุดเมื่อผมยังเห็นใครสำคัญกว่าเธอ และรู้สึกมีความสุขในการอยู่กับคนอื่นมากกว่าเธอ ก็ไม่สมควรอยู่กับเธอ
บทบอกเลิกในวันนั้นระหว่างเรา ไม่ได้น่าเศร้าเหมือนที่คิด เฟิร์สพูดแค่ว่า ‘ เรารู้ว่าแกรักเค้า แต่ไม่เป็นไร เราไมได้คิดว่าแกเอาเรามาเป็นตัวแทนใครหรอก เรารู้ว่าตลอดมาแกรู้สึกกับเรายังไง แกชอบเรา แกไม่ได้โกหก เรารู้ว่าแกพยายามแล้ว แต่นั่นแหละ เราแค่ยังไม่ใช่สำหรับแก มันเลยไม่มากพอจะดึงแกออกมาจากเค้า ’
“ ถามจริง ไม่เสียใจเหรอวะ ชีวิตเสียคนดีๆไปเยอะชิบหายเลยนะ เพราะรักมันเนี้ย ”
“ เมื่อวานมั้ง ที่กูคิดเสียดายเหมือนกัน แต่มีคนคนนึงบอกกูว่า ทุกอย่างก็เป็นแค่ช่วงชีวิตนึง ถึงมันจะเหี้ยแค่ไหน แต่ครั้งนึงมันก็ยังประกอบไปด้วยความสุขของเราเหมือนกัน ”
“ ใครวะ ”
“ ก็คนที่กูกำลังชอบอยู่ตอนนี้ไง ” หันไปพูดพร้อมกับยักคิ้ว ไอ้โฮมมันก็ยิ้มมันที่ส่ายหน้าไปมา ในตอนนั้นผมก็เดินออกมา “ ถ้าไม่มีเรียน งั้นกูก็ขอตัวกลับก่อนแล้วกันนะ ”
“ ไม่กินข้าวด้วยกันหน่อยเหรอวะ ไอ้ดีนฝากชวน ว่ามึงจะไปดูหนังที่ห้างด้วยกันมั้ย ”
“ ไม่อะ ” ผมบอกปัด “ อยากกลับบ้านมากกว่า พอดีคนที่กูอยากอยู่ด้วย มันไม่ใช่พวกมึงน่ะนะ ”
“ คลั่งรักชิบหายไอ้สัด ”
ก็จริงอย่างงั้น ผมไม่เถียงหรอก
................................................