~ ด้วยรักจากสวรรค์ 12 - เมืองเอก ~เพราะมัวแต่หมกมุ่นครุ่นคิดเรื่องไร้สาระอยู่หลายวัน ทำให้เขาลืมดับเรื่องที่เมืองเอกเคยขอให้เขาไปเกริ่นเลียบๆ เคียงๆ เรื่องคุณชัชให้แสงเหนือฟังเสียสนิท ดังนั้นพอได้เจอหน้ากันอีกครั้ง เขาจึงทำหน้างงตอบเมื่อโดนกระซิบกระซาบถามซุ้มเสียงลึกลับ “สรุปเจ้าเหนือว่ายังไงบ้าง”
“ว่ายังไง...เรื่องอะไร” คาดว่าสีหน้าคงว่างเปล่ากลวงโบ๋ เมืองเอกจึงจ้องหน้าเขาซ้ำสองรอบสามรอบก่อนทำท่าเซ็งสุดขีด “ลืมสนิทเลยสิท่า โธ่ถัง ยังเด็กยังเล็กทำไมขี้ลืมแบบนี้ว้า”
“ผมลืมอะไร ทำยึกยักท่ามากอมพะนำอยู่ได้ คิดว่าเท่นักหรือไง” ตั้งท่าจะเดินหนีด้วยความหงุดหงิด แต่โดนคว้าต้นคอไว้หมับแล้วลากกลับไปโดยที่เจ้าคนลากไม่สนใจท่าดิ้นกระแด่วๆ ของเขาเลยสักนิด
“หยุดดิ้นก่อนเซ่ เดี๋ยวใครเห็นเข้าจะคิดว่าฉันลากเธอไปทำมิดีมิร้าย เสียชื่อฉันหมด” โดนลากมาหลบมุมมืดเสียลึกลับแบบนี้มีใครไม่กลัวก็บ้าแล้ว หากก่อนจะทันตั้งท่าสู้ตาย เมืองเอกก็เอ่ยว่า “เรื่องคุณชัชไง ไหนตอนนั้นทำตัวเป็นโต้โผใหญ่ ทำไมตอนนี้ดันลืมเสียเอง”
“อะ เปล่า ไม่ได้ลืมแต่...” จินดนัยคิดหาคำแก้ตัวเร็วจี๋แต่นึกไม่ออก ขอมันดื้อๆ เลยละกัน “แต่ตอนนี้ฤกษ์ไม่เหมาะ พี่...เอ๊ย คุณเหนืออารมณ์ไม่ดี ขืนพูดไป ผมมีสิทธิ์หัวแตกก่อนคุณอั้มได้”
“จะจับคอร์รัปชั่นนี่เขาต้องรอฤกษ์ด้วยเหรอ” สีหน้าแววตาดูถูกคำโกหกหน้าด้านๆ แถแบบสีข้างถลอกจนเห็นกระดูกทำให้จินดนัยรีบโวย “หลังจากผมคิดแล้วผมว่าที่คุณอั้มพูดก็มีเหตุผล เราน่าจะหาหลักฐานให้ได้ก่อน อย่างน้อยก็น่าจะเป็นพยานวัตถุสักอย่าง อะไรที่แสดงให้เห็นว่าคุณชัชเขาอะจึ๊กๆ เงินในบัญชี...”
เสียงหัวเราะพรืดของเมืองเอกขัดคอเขาที่กำลังตีหน้าเคร่งให้กลายเป็นสับสนแทน “ขำไรอ่ะ คุณอั้ม”
“เอ้อ ไม่มีอะไร” ขำน้ำตาเล็ดแล้วยังว่าไม่มีอะไร จินดนัยเริ่มฉุนจึงตั้งท่าหาเรื่องทันควัน “มันไม่ใช่เรื่องเล่นๆ นะคุณอั้ม แทนที่จะช่วยกันคิดหาทาง ดันมาหัวเราะบ้าอะไรก็ไม่รู้ นี่คุณคิดจะเอาจริงบ้างหรือเปล่าเนี่ย ผมล่ะข้องใจจริงๆ ว่าแล้วว่าคุณนี่ล่ะที่เรื่อยเปื่อยเฉื่อยแฉะปล่อยให้เขาโกงอยู่ได้ตั้งนาน แต่ไม่คิดจะทำอะไรสักกะอย่าง ต้องรอให้ผม... เว้ย!!”
คำสุดท้ายนั่นหลุดร้องลั่นออกมาเพราะตกใจที่จู่ๆ เมืองเอกก็ตบฝ่ามือเท่าใบลานทั้งสองข้างดังป้าบเข้าให้ตรงหน้า ยกมือเช็คหัวใจเต้นตุ้บตั้บที่เมื่อครู่เกือบหลุดออกมาทางปากว่ามันยังอยู่ดีแล้วเขาค่อยตะโกนลั่น ตาเหลือก “คุณอั้มทำอะไร!! ตกใจหมดเลย”
“ตบแมงโม้” ฟังคำพูดจากคนหน้ากวนๆ จบ เขาก็หุบปากฉับ หรี่ตาจ้องอีกฝ่ายอย่างแค้นๆ “จะจ้องไปหาอะไร รู้แล้วน่าว่าคนมันหล่อ ขืนจ้องมากๆ ฉันคิดตังค์นะ”
ป้าด เหมือนกันจริงๆ ทั้งญาติผู้พี่และศิษย์ผู้น้องต่างเป็นโรคหลงเงาขั้นรุนแรงด้วยกันทั้งคู่ “สรุปว่าคุณอั้มช่วยไปหาหลักฐานให้ผมสักชิ้นสองชิ้นก่อนก็แล้วกัน จะเป็นบัญชียักยอกหรือเทปลับอะไรก็ได้แล้วเราค่อยกลับมาวางแผนดักจับคนร้ายทีหลัง”
“ดูหนังมากไปหรือเปล่า ฮะ ไอ้หนู ฉันจะไปหาเทปล้งเทปลับจากไหน แล้วไอ้บัญชียักยอก นายชัชเขาคงเก็บไว้ที่นี่รอประจานตัวเองหรอกนะ” เมืองเอกสอดมือล้วงกระเป๋ากางเกง ยืนมองเหม่อข้ามหัวเขาไป “หลักฐาน... หลักฐาน... ถ้าเป็นคนสมรู้ร่วมคิดล่ะ”
“จริงสิ ผมเห็นคุณชัชเขาคุยเรื่องนี้กับคุณน้องๆ ที่ไหนก็ไม่รู้ เขาเรียกกันคุณพี่คุณน้อง แต่ผมว่าไม่น่าใช่พี่น้องจริงหรอก” นึกย้อนถึงหญิงสาวเสียงแหลมอีกคนที่ร่วมในเหตุการณ์วันนั้นแล้วพยายามอธิบายรูปร่างลักษณะตามที่แอบเห็นแว้บๆ “ตัวอวบๆ ผิวสองสี ผมเห็นหน้าไม่ค่อยชัดแต่เห็นทำผมทรงหมวกกันน็อค...”
เมืองเอกหันมามองหน้าเขาแล้วถามย้ำ “ทรงหมวกกันน็อค เสียงแหลมๆ เธอแน่ใจนะ” ครั้นเขาพยักหน้าแรงๆ ตอบ คนที่ทำหน้ากลุ้มถึงเมื่อครู่จึงเริ่มยิ้มเจ้าเล่ห์ วางมือลงบนหัวเขาก่อนจะหลบทัน “ฉันมีแผนแล้ว”
++++++++++
เมืองเอกต้องประสาทกลับตามแสงเหนือไปแล้วเป็นแน่ ข้อนี้เขาไม่สงสัย แต่ที่ยังข้องใจอยู่อีกอย่างคือเขาเริ่มบ้าตามพวกนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่ ถึงเผลอตกปากรับคำ ยอมทำตามแผนงี่เง่าของหมอนั่นจนได้ “มันจะเวิร์คเหรอ ผมว่าแผนมันดูหลวมๆ ไงไม่รู้”
“จะหลวมได้ไง แน่นหนารัดกุมขนาดนี้ เค้นจากรอยหยักในสมองชั้นนี้แล้วรับรองไม่พลาด” เมืองเอกชี้หัวตัวเองให้ดูพลางทำหน้ามั่นใจเหลือเกิน ผิดกับเขาที่เผลอเบ้หน้าออกไป “เอาน่า อย่าทำเรื่องมาก นายเล่นละครให้ดีๆ ก็แล้วกัน รอรับจังหวะตอนฉันให้สัญญาณแล้วรับรองได้ว่าแผนหญิงงามล่มเมืองของฉันต้องสำเร็จแน่ ชัวร์! ล้านเปอร์เซ็นต์”
หญิงงามล่มเมืองเนี่ยนะ เขาว่าน่าจะเป็นชายทรามถล่มเมืองมากกว่า “เฮ้ย มานั่นแล้ว เริ่มๆ เลย แกะกระดุมเร็ว ...”
.................
.................
หญิงร่างอวบอัดจนเกือบอ้วนยกมือขึ้นจัดผมทรงบ๊อบที่เพิ่งไปตัดมาเมื่อเดือนก่อน ระหว่างแอบส่องดูเงาตัวเองซึ่งช่างผมชมว่าหน้าเธอเด็กลงราวกับสาววัยรุ่นในกระจกหน้าต่างก็ต้องสะดุ้งยกมือทาบอกเมื่อได้ยินเสียงโครมครามจากหนึ่งในห้องจัดเลี้ยงขนาดเล็กซึ่งปิดซ่อมแซมอยู่ ขณะที่ยังทำอะไรไม่ถูกนั้นเอง เสียงฝ่ามือดังเพี๊ยะก็ดังตามติดจนอดใจไม่ไหว ต้องวิ่งไปแอบส่องตรงบานประตูที่แง้มไว้
“อย่าปริปากบอกใครล่ะ! อยู่เงียบๆ ทำตัวดีๆ แล้วฉันจะเลี้ยงนายไว้ดูเล่นสักคน จำไว้นะว่าฉันเอาแกตายแน่ถ้าแกกล้าคาบข่าวไปบอกไอ้เจ้านายตาบอดอวดดีนั่น” คนพูดกระตุกผมเด็กหนุ่มเต็มกำมือแล้วก้มลงพูดชิดใบหน้า “แค่ไอ้เด็กตัวกะเปี๊ยกคิดจะมาแบล็คเมล์ฉันงั้นเหรอ หึ วอนหาที่ตายไม่รู้ตัว ไสหัวไป!”
หญิงสาววิ่งถอยหลังหลบเข้าหลังประตูแทบไม่ทันเมื่อเด็กชายที่หล่อนจำได้ว่าเป็นคนรับใช้ส่วนตัวของแสงเหนือวิ่งกระเซาะกระเซิงออกมาในสภาพเผ้าผมยุ่งเหยิง เสื้อผ้าหลุดลุ่ย สภาพน่าสงสัยจนเธอต้องยกมือทาบอก เตรียมย่องหนี หากชายหนุ่มอีกคนในห้องกลับเดินเร็วๆ ตามออกมาปัดเสื้อเสยผมให้เข้าที่ก่อนจะหันมาเห็นเธอยืนตัวแข็งทื่อ “คุณขวัญใจ...!”
“คะ คุณเมืองเอก... อะ อะ สบายดีไหมคะ” ทักไป เธอก็เหลือกตามองอีกฝ่ายไปและยิ่งได้เห็นแววตาคล้ายกำลังคิดเรื่องร้ายๆ อย่างที่แอบฝังศพแล้วต้องรีบร้องละล่ำละลัก “ดิฉันไม่ได้ยินอะไรเลยค่ะ ไม่เห็นอะไรทั้งนั้นเลยด้วย แค่บังเอิญเห็นเด็กผู้ชายนั่นวิ่งออกไปเลยแวะมาดู ถ้าไม่มีเรื่องอะไร ดิฉันขอตัว...”
เธอเกือบจะกรีดร้องยามโดนลากต้นแขนเข้าไปในห้อง ปากคอสั่นพั่บเตรียมกรีดร้องเต็มที่หากจะไม่มีเสียงทุ้มลึกกระซิบที่ข้างหูจนขนลุก “ไม่ต้องกลัวผมหรอกครับ กับผู้หญิงสวยๆ อย่างคุณขวัญใจ ผมเหรอจะกล้า”
ตาที่หลับปี๋ลืมพรึ่บทันควัน ใบหน้าหล่อเหลาในระยะใกล้ชิดทำให้หัวใจเธอเต้นเร็วแรงและยิ่งยามมองดวงตาหรี่ปรือกับริมฝีปากได้รูปคู่นั้นยิ้มเอื่อย แข้งขาก็เริ่มอ่อนเปลี้ยจนแทบยืนไม่อยู่ “จะว่าเป็นโชคของผมได้ไหมครับที่ในที่สุดเราก็ได้คุยกันเป็นการส่วนตัวแบบนี้”
ชายหนุ่มไล้นิ้วลงกับแก้มก่อนลากลงไปที่ลำคอและหยุดตรงเส้นชีพจรที่เต้นตุบๆ “รู้ไหมว่าผมอยากรู้จักคุณให้มากกว่านี้มานานแค่ไหน ติดตรงที่ได้ยินข่าวลือแย่ๆ ของคุณกับคุณชัช... แต่ผมก็ไม่อยากเชื่อหรอกนะ คิดดูสิ ผู้หญิงสวยมีเสน่ห์อย่างคุณกับผู้ชายอ้วนลงพุง วันๆ ดีแต่ก้มหัวปะหลกๆ ให้คนอื่นแบบคุณชัช ถ้าจะให้พูด ก็เหมือนพระจันทร์กับหมาวัดล่ะครับ”
เข่าที่อ่อนยวบทำท่าจะทรุดลงหากท่อนแขนแข็งแรงกลับโอบรัดเธอไว้ได้ทัน แนบชิดจนได้กลิ่นน้ำหอมจางกับกลิ่นกายบุรุษเพศซึ่งต่างกับกลิ่นเหงื่อผสมกลิ่นน้ำหอมฉุนจัดของชายอีกคนที่เธอมีความสัมพันธ์ด้วยอย่างสิ้นเชิง “คุณเมืองเอกคะ มันไม่ดีนะคะ นี่มันที่ทำงาน...”
“นั่นสิ คุณทำเอาผมลืมตัวไปเลย แต่แสดงว่าถ้าไม่ใช่ที่ทำงาน คุณคงไม่ปฏิเสธผมใช่ไหม” และก่อนเธอจะทันหวนคิดซ้ำสอง ริมฝีปากเคลือบลิปสติกสีแดงสดก็เผยอตอบไปเสียแล้วว่า “ค่ะ”
++++++++++
ไม่ถึงอาทิตย์หลังจากนั้น เมื่อมาโรงแรมอีกครั้ง แทบจะทันทีที่คุณรตีกับแสงเหนือเดินลับเข้าห้องประชุมไป เมืองเอกซึ่งโผล่มาจากไหนไม่รู้ก็คว้าแขนเขาลากหลุนๆ ไป กว่าจะตั้งหลักได้ เขาก็มาหยุดยืนงงๆ ตรงทางเดินหลังออฟฟิศ มองสีหน้าแววตายืดๆ แบบไก่แจ้พองขนสะบัดปีกอวดสาวของอีกฝ่ายแล้วหัวเราะขำ “จะพูดอะไรก็พูดมาเลยดีกว่า คุณอั้ม แผนชายทราม...เอ๊ย หญิงงามคงใกล้สำเร็จแล้วสิ คุณขวัญใจโดนคุณตะล่อมเสียอยู่หมัดเลยสิท่า”
“แหงอยู่แล้ว เอามาเทียบกันได้ไงระหว่างผู้ชายหน้าตาดี ฐานะดี มีเสน่ห์แบบฉันกับผู้ชายอ้วนลงพุง ท่าทางไม่สู้คนแบบนั้น ไม่ว่าจะคิดยังไง ฉันก็ชนะเห็นๆ” ยกนิ้วโป้งจิ้มอกตัวเองแล้วพยักหน้าหงึกหงักจนจินดนัยขำพรืด “คร้าบ เชื่อแล้วครับว่าเสน่ห์แรง ว่าแต่เขาจะยอมเชื่อคุณจริงๆ น่ะเหรอ ทางนั้นเขาสมคบคิดกันมาตั้งนานเท่าไหร่ไม่รู้ แต่กับคุณเพิ่งได้คุยกันแค่ไม่กี่วัน...”
“ก็เพราะแบบนี้ล่ะ ฉันถึงต้องแสดงละครให้เขาเห็นว่าฉันน่ะเลวกว่าเจ้าชัชเสียอีก ไหนจะทรยศคุณรตีที่ชุบเลี้ยง ไหนจะหักหลังเจ้าเหนือที่เป็นญาติกันอีก โชคดีที่ใครๆ ก็รู้ว่าฉันกับเจ้าเหนือไม่ถูกกัน คุณขวัญใจเลยเชื่อสนิทใจว่าฉันเกลียดหมอนั่นจริง เกลียดถึงขั้นกล้าปล้ำเธอนี่ล่ะ ฮ่าฮ่า” ฟังถึงตรงนี้ รอยยิ้มคนฟังก็หายวับ หน้าเริ่มบูดและเริ่มบ่นเรื่องเดิมๆ ซ้ำอีกครั้ง
“ผมยังไม่เข้าใจอยู่ดี วิธีอื่นมีตั้งเยอะแยะที่จะพิสูจน์ให้เห็นว่าคุณเกลียดพี่เหนือ แล้วทำไมต้องแกล้งทำเป็นว่าปล้ำผมด้วยล่ะ ปัญญาอ่อนชะมัด ผมก็บ้าพอกันที่หลงเชื่อยอมเล่นตามไปกับคุณอั้ม”
“ใครว่า เพราะเรื่องนี้ล่ะที่ทำให้คุณขวัญใจเชื่อสนิทว่าฉันเลวเข้าไส้ของจริง เขาเห็นด้วยจะตายกับการที่ฉันมีคนสนิทของเจ้าเหนือคอยเป็นสปายให้ ดังนั้นนอกจากฉันจะหน้าตาดีกว่าแล้ว ภาษีก็ยังดีกว่าอีกด้วย อีกอย่าง คุณชัชเป็นถึงรองผู้จัดการแผนกบัญชี คุณขวัญใจอยู่แผนกจัดซื้อ เข้ากันอย่างกับผีเน่าโลงผุแบบนี้ ฉันกับเธอก็ต้องลงทุนสูงหน่อยล่ะน่า เมื่อวานเขาเพิ่งเริ่มแย๊บๆ เรื่องงบบัญชีจัดซื้อประจำปีขึ้นมา แต่ฉันก็ยังสงวนท่าที ไม่ตอบรับ ไม่ปฏิเสธ แค่ปรายตามองทำนองแล้วยังไง โอ๊ย ท่าฉันตอนนั้น รางวัลออสการ์นอนมาเลยล่ะ พูดแล้วจะหาว่าคุย”
“แบบนี้เขาไมได้เรียกคุยหรอก คุณอั้ม เขาเรียกขี้โม้ โม้น้ำลายฝอยแตกฟองไปหมดแล้ว” คนโดนหาว่าน้ำลายแตกฟองคว้าหัวเขาล็อคไว้แล้วลากให้ออกเดิน “โอ๊ย เจ็บนะ ปล่อยเด้ ผมเดินเองได้ไม่ต้องลาก!”
“ไม่ได้ ฉันต้องเล่นบทชายโฉดชอบใช้กำลัง และไอ้หนูอย่างเธอก็ต้องกลายเป็นทาสฉัน” เขายังดิ้นฮึดฮัดอยู่ใต้รักแร้ตอนได้ยินเสียงเมืองเอกถามต่อ “ว่าแต่เธอเป็นไงบ้าง กินข้าวครบมื้อหรือเปล่า แล้วเจ้าเหนือล่ะเป็นไง ฉันได้ข่าวว่าวิกกี้จะกลับมา หมอนั่นโอเคไหม”
โอเคไหม ถ้าจะนับอาการย่องเบาลงจากเตียงนุ่มๆ กว้างๆ เพื่อมานอนซุกเบียดกับเขาบนฟูกแคบๆ แอบกอด แอบหอมแก้มทุกคืนว่าสบายดีล่ะก็ แสงเหนือก็คงสบายดีล่ะมั้ง ว่าแต่วิกกี้ไหนวะ... จินดนัยคุ้นๆ หูแต่นึกไม่ออก ครั้นถามออกไป เมืองเอกจึงก้มลงมองเขาที่ยังบังเอิญติดอยู่ใต้รักแร้ “เจ้าเหนือไม่ได้บอกเธอเรื่องวิกกี้เหรอ อืม...ยุ่งล่ะสิ”
ไม่ว่าวิกกี้คนนี้จะเป็นญาติกับอาหารหมาสลิกกี้หรือไม่ แต่เขาไม่ชอบใจเลยที่ใครต่อใครดูจะรู้ว่าเรื่องเป็นยังไงมายังไง ทุกๆ คนเลย ยกเว้นเขา “วิกกี้... ชื่อเหมือนเด็กไทยหนีไปเรียนเมืองนอกเลย ทำไม เขามีอะไร เป็นว่าที่คู่หมั้นพี่เหนือเหรอ”
พูดส่งๆ ไปงั้นหากเมืองเอกกลับกระพริบตาปริบ “อ้าว ก็รู้แล้วนี่หว่า เห็นทีแรกทำเหมือนไม่รู้จัก ไอ้เราก็คิดว่าเจ้าเหนือไม่อยากให้เธอรู้เสียอีก รู้แล้วก็ดี ฉันอยากจัดการเรื่องคุณชัชให้เสร็จก่อนยัยนี่จะกลับมา ไม่งั้นยุ่งตายชัก”
คิดว่าโดนใครทุบหัว จินดนัยปล่อยให้ร่างสูงลากเขาไปโดยไม่ขัดขืน หากเกือบหกล้มหัวทิ่มเมื่อจู่ๆ ก็โดนปล่อยให้เป็นอิสระกะทันหันแบบที่เกือบเรียกได้ว่าขว้างทิ้ง “โอ๊ย แกล้งอะไรผมอีก คุณอั้ม มันเจ็บ..”
“กลับมาแล้วเหรอ” เสียงเย็นเจี๊ยบเหมือนเพิ่งออกจากช่องฟรีซแช่แข็งเท้ากับปากเขาไว้ พอเงยหน้าขึ้นจึงได้เห็นคุณขั้วโลกเหนือนั่งนิ่งๆ อยู่หน้าห้องประชุม โดยมีตัวประกอบฉากอย่างเมืองเอกยืนกลอกตาอยู่ห่างๆ “ฟังดูมีความสุขกันดีนี่ จริงสินะ ต้องคอยมาดูแลคนตาบอดอย่างฉันมันคงน่าเบื่อ น่ารำคาญ...”
“พี่เหนือ” กลืนน้ำลายเอื้อก ไม่เข้าใจว่าทำไมปากไม่ยอมเถียงลั่นๆ อย่างเคย หรือจะเป็นเพราะไข้หวัดนกสายพันธุ์ใหม่เอชไฟว์วิกกี้วันเสียล่ะมัง “วันนี้ไม่...ไม่ได้เข้าประชุมเหรอครับ หรือว่าเสร็จแล้ว ทำไมเลิกเร็วจัง”
“ฉันออกมาเข้าห้องน้ำ แต่พอถามถึงเธอ ก็มีคนบอกว่าโดนคุณเมืองเอกลากไปตั้งแต่ฉันกับคุณแม่เข้าห้องประชุม” คนตัวสูงลุกขึ้นยืนแล้วพรวดพราดออกเดิน ร้อนถึงเขาที่ตกใจจนเผลอกระโจนเข้าไปดึงแขนหวังให้ฝ่ายนั้นเดินช้าลง ทว่าทันทีที่แตะแขน เขากลับเป็นฝ่ายโดนแสงเหนือคว้าข้อมือไว้และบีบแน่นจนหน้าเหยเก
“พี่เหนือ เจ็บ...” อุทรณ์ไปหากคล้ายกับแรงบีบจะยิ่งหนักขึ้น จินดนัยจึงรีบหุบปากก่อนกระดูกข้อมือจะแตก จากหางตา เขามองเห็นเมืองเอกยืนหมุนเหมือนหาอะไรไม่เจอหรือทำอะไรไม่ถูก ก่อนจบลงด้วยการยักไหล่ โบกมือลาเขาง่ายๆ ครั้นเหลือพวกเขาอยู่ตามลำพัง จินดนัยค่อยกระตุกมือนิดๆ พูดอ่อยๆ “พี่เหนือ กลับเข้าห้องประชุมไปเถอะ เดี๋ยวผมจะนั่งรออยู่ตรงนี้”
หลังจากสูดหายใจลึกอยู่หลายครั้งคล้ายเจ้าตัวกำลังพยายามสงบสติอารมณ์ แสงเหนือจึงคลายแรงที่กำมือเขาและเอ่ยเรียบ “จินเข้าไปส่งพี่ข้างในหน่อยสิ”
เขาไม่รอช้า กุลีกุจอเคาะประตูขออนุญาตก่อนนำแสงเหนือเข้าไปส่งถึงที่ หากยังไม่ทันจะก้มงุดๆ กลับรูเดิม กลับโดนคนหน้านิ่งสั่งหน้าตาย “นั่งรอพี่ในห้องด้วยกันนี่ล่ะ ไม่ต้องออกไปแล้ว”
มีคนเข้าร่วมประชุมบางคนเหลือบมองเขาซึ่งยืนเก้ๆ กังๆ คล้ายกับจะสงสัยว่าทำไมเขายังยืนหัวโด่อยู่อีก กำลังสับสนว่าจะทรุดตัวลงนั่งแทบเท้าเป็นเมียบ่าวหรือลงไปนั่งยองๆ รอด้านข้างแบบทาสในเรือนเบี้ยดี เขาก็ได้แม่พระคนเดิมมาช่วย คุณรตีพยักเพยิดให้เขาไปนั่งลงด้านหลังกับพวกเลขาที่หันมายิ้มให้เขาแว่บหนึ่งแล้วรีบหันกลับไปสนใจการประชุมต่อ
ชะตากรรมหลังจากนั้นสรุปว่าเขาต้องทนนั่งฟังคนใส่สูทพูดนั่นพูดนี่เกี่ยวกับปัญหาและนโยบายใหม่ๆ แรกๆ ก็ฟังดูน่าสนใจดีอยู่หรอก แต่ผ่านไปสักพัก ตาเขาก็เริ่มหรี่ปรือ หนังตาเริ่มถ่วงหนักตามแรงโน้มถ่วงโลกจนในที่สุดเขาก็หมดพลังจะต้านทานความเย้ายวนนั้นและโงกหลับนั่งทำความเคารพประธานในที่ประชุมตลอดทั้งคาบ มารู้สึกตัวอีกทีเมื่อพี่สาวคนสวยข้างๆ สะกิดบอกยิ้มๆ
“ตื่นได้แล้วจ๊ะ หนู” ผงกหัวขึ้นมามองคนลุกพึ่บพั่บงงๆ แล้วรีบหันไปดูบริเวณหัวโต๊ะ พอเห็นว่าแสงเหนือกับคุณรตียังอยู่จึงค่อยโล่งอก หันมายิ้มขอบคุณคนปลุกซึ่งทิ้งท้ายก่อนผละไปว่า “ก่อนออกไปอย่าลืมเช็ดน้ำลายด้วยนะจ๊ะ”
จากงงๆ กลายเป็นอับอายแทบแทรกแผ่นดิน ดันนอนน้ำลายยืดอวดสาว ฮือ ชาตินี้จะกล้ามองหน้าคุณพี่สุดสวยคนนั้นอีกไหม ตวัดตาร้อนผ่าวกลับไปจ้องเจ้าตัวต้นเหตุ สาเหตุแห่งบาปเจ็ดประการแล้วตัดสินในทันใดว่าไอ้หมอนี่ล่ะที่ผิดเต็มประตู! หากยังไม่ทันจะหาทางแก้แค้นคืนได้ยังไง เสียงเย็นๆ ของคุณรตีก็เอ่ยขึ้นว่า
“ทำไมต้องลากจินเข้ามานั่งในห้องด้วยล่ะ ตาเหนือ นี่ที่ทำงานนะ ทำเป็นเล่นไปได้” จินดนัยอยากปรบมือให้สุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งที่เริ่มเรื่องได้โดนใจ เอาเลยครับ ด่ามันให้ลืมชื่อตัวเองไปเลยครับ... สีหน้าสีตาเขาคงยังยืนลุ้นตัวโก่งยามเสียงตำหนิยังดังต่อเนื่อง “คนอื่นเห็นเข้าเขาจะคิดยังไง อยู่ๆ ก็ไปลากคนนอกเข้าฟังการประชุมภายใน ไหนจะตอนแรกที่หายไปตั้งนานสองนานนั่นอีก แม่ยังเป็นห่วงกลัวเหนือจะเป็นอะไรไปแล้วด้วยซ้ำ”
“ผมไม่กล้าเดินไปห้องน้ำคนเดียวเลยนั่งรอจินอยู่ครับ ไม่คิดว่าเขาจะโดนพาหายไปตั้งแต่ตอนลับหลังพวกเราเสียอย่างนั้น” เบิ่งตาโตเท่าไข่ห่านไปยังเจ้าคนนั่งหน้าไม่รู้ร้อนรู้หนาวพร้อมตีหน้าอึกอักยามเขาต้องเปลี่ยนเป็นฝ่ายโดนจ้องแทน
“อะไร ใครกันที่มาพาเราไป แล้วไปเที่ยวหรือไง มีเพื่อนอยู่ที่นี่ด้วยเหรอ เจ้าจิน” ยังอ้ำอึ้งเลือกตอบไม่ถูก แสงเหนือจึงชักเสียงและสีหน้าดูถูกตอบกลั้วหัวเราะ ฟังดูเย้ยๆ ให้แทนแบบไม่มีใครขอร้อง “จะมีใครถ้าไม่ใช่คุณเมืองเอกแสนดี ได้ยินเสียงหัวเราะเล่นหัวกันเสียสนุก ผมยังพูดหยอกไปเลยว่าจินคงไม่เบื่อเหมือนตอนต้องมานั่งดูแลคนตาบอด...”
ขอถีบมันสักพลั่กได้ไหม แล้วจะยอมให้หักเงินเดือนทั้งเดือนเลยก็ได้เอ้า “ผมไม่ได้พูดหรือหัวเราะแบบนั้นนะ พี่เหนือ อย่ามาหาเรื่องกันได้ไหม”
เขาเกลียด...เกลียดเวลาทะเลาะกันแล้วแสงเหนือทำคอแข็งสะบัดหน้าหนี ถ้าไม่เกรงใจคุณรตีแล้วล่ะก็ รับประกันเลยว่าเขาจะกระชากหน้าขาวๆ นั่นมาแล้วเทคตัวขึ้นโหม่งให้ตื่น ตะคอกใส่หน้าว่าพี่เป็นบ้าไปแล้วหรือโว้ย
“แม่ล่ะหน่ายเวลาเราสองคนตีกันอย่างกับเด็ก” คนเป็นผู้ใหญ่ที่แท้จริงเพียงคนเดียวในห้องคว้าเอกสารและลุกขึ้นยืนทีท่าไม่เดือดร้อน ก่อนยื่นคำขาด “เลิกงอนกันได้แล้ว แม่หิวข้าว”
สรุปว่าสงครามกวนประสาทของพวกเขาจึงต้องยุติลงง่ายๆ แบบนั้นเอง
+++++++++++++++++++
TBC