บทที่ 15 เสวี่ยซานเป็นเพียงเมืองหน้าด่านเมืองเล็กๆ ในเขตทุรกันดาร ฤดูร้อนช่วงสั้นๆ หากไม่ใช่เขตเชิงเขาหรือแอ่งกระทะแทบเพาะปลูกไม่ได้ หน้าหนาวหนาวยาวนาน แหล่งข่าวคนเดียวของเขาเล่าว่าการเป็นพ่อเมืองที่นี่ความสุขสบายยังเทียบไม่ได้กับนายอำเภอในหัวเมืองใหญ่ อวี้จินเป็นถึงจางอั้นต้องมารับตำแหน่ง ณ ที่ห่างไกลกลับไม่คิดรังเกียจ
อ่ายซวนกล่าวอวดว่าตั้งแต่อวี้จินเข้าทำงานบ้านเมืองเจริญขึ้นมาก ท่านเจ้าเมืองพัฒนาทางส่งน้ำ หนุนให้เพาะปลูกขั้นบันไดเป็นไร่ชา สวนในเขตจวนยังทดลองปลูกพืชเศรษฐกิจไว้หลากชนิด ทั้งต้นส้ม ต้นซิ่ง บางที่เป็นเหมืองแร่ก็มีการเข้าไปควบคุมดูแลระเบียบการทำงาน
เพราะเป็นที่ว่าการจึงมีแต่ทหารและผู้คนเวียนเข้าออก บางครั้งมีชาวบ้านมาให้ช่วยตัดสินคดีความ ทั้งวันหากไม่ว่าราชการก็ทำงานกันอยู่ในจวน ต่างกับเขตเรือนชั้นในที่ซุนซีอยู่นั้นเงียบราวปลอดคน นอกจากลูกน้องของท่านเจ้าเมืองก็มีคนรับใช้เท่าที่จำเป็น ต่างคนต่างปฏิบัติหน้าที่ของตนเอง ส่วนอ่ายซวนเป็นเพียงภรรยานายทหารชั้นผู้น้อยที่ถูกจ้างวานมาดูแลผู้หญิงคนเดียวในจวน
ระยะห่างเพียงเท่านี้ คนอยู่ร่วมชายคากลับไม่ได้พบหน้ากัน
ซุนซีเรียนรู้เรื่องต่างๆ ผ่านคำบอกเล่าของอ่ายซวน ภูเขาสูงทิวทัศน์งดงามไม่เคยได้ยล ในห้องสี่เหลี่ยมที่อบอุ่นได้ด้วยเตาไฟยิ่งนานยิ่งแลคล้ายกรงขนาดใหญ่ ตกเย็นเพื่อนคุยเพียงคนเดียวของเขาต้องกลับบ้าน ถึงอยู่ใต้ผ้านวมขนเป็ดและเตาพกอุ่นแสนอุ่นกลับรู้สึกหนาวถึงกระดูก
ย่ำค่ำกระทั่งเสียงแมลงยังเงียบสงบ แม้ในห้องจะดับไฟจนมืดหรือผ้าห่มจะอุ่นชวนนอนทว่าความคิดในหัวของเขากลับปะทุราวหม้อน้ำเดือดจนข่มตาหลับไม่ได้ นับจากตอนที่ฟื้นเวลาผ่านไปหลายวันแล้วแต่ใจของเด็กหนุ่มยังติดอยู่ที่เก่า ความรู้สึกขมขื่นยากจะชำระ สัมผัสโลหิตเหนอะหนะยังติดอยู่บนผิวและนิ้วมือเขา แม้จะล้างน้ำหรือเช็ดด้วยผ้าสะอาดหลายรอบกลับยังรู้สึกว่าร่องรอยไม่ลดจากเดิม
เด็กหนุ่มชันเข่าสองข้างขึ้นซุกกอดตัวเอง ลมหายใจร้อนๆ รดที่ปลายจมูก หายใจเข้า..หายใจออก.. ในความเงียบยังได้ยินเสียงขลุ่ยแว่วผ่านเอื่อยช้า ซุนซีค่อยๆ หยัดตัวขึ้นออกเดินตามเสียงราวต้องมนตร์
ท่ามกลางห้วงความคิดที่ตีกันจนทำให้ศีรษะหนักอึ้ง ใจเขาพลันสงบลงช้าๆ ยิ่งก้าวเข้าไปใกล้เท่าไหร่ แสงไฟที่ห้องปลายทางยิ่งสุกสว่างขึ้นทุกที
เขาย่องเงียบเชียบมาแอบที่มุมประตู ชะโงกทีละน้อยกวาดสายตามองหาต้นเสียง ในห้องนั้นอวี้จินเหยียดขาเอนหลังอยู่บนตั่งติดกรอบหน้าต่าง สองตาดุดันปรือหลุบลงต่ำ ข้อนิ้วเรียวยาวขยับแตะไต่อยู่บนเลาเซียว แสงตะเกียงทอดเงาวูบไหวยิ่งขับให้คล้ายภาพวาด
ซุนซีลืมหายใจไปชั่วขณะหนึ่ง
ดนตรีบรรเลงขึ้นสูงและเอื้อนลงต่ำ เรียวนิ้วสัมผัสเลาขลุ่ยนุ่มนวล ลมโชยมาพอให้ชายแขนเสื้อไหวๆ ..ยังพอได้ยินเสียงกระดิ่งลมจากที่ห่างไกลก้องสะท้อนคลอไปกับเครื่องดนตรี
เพลงหยุดลงแล้ว ตามมาด้วยเสียงกระแอมครั้งใหญ่ของคนในห้อง “มาถึงที่ใยไม่เข้ามาคุยกันสักหน่อย?”
คนแอบมองก้าวไปปรากฏตัวต่อหน้าเจ้าของห้องอย่างเลี่ยงไม่ได้ ดวงตาลุกลี้ลุกลนทำเฉไฉมองทางอื่นไปเรื่อย ไม่ทันเห็นรอยยิ้มที่หายไปไวเท่ารอบผีเสื้อตัวจ้อยกระพือปีก
“นอนไม่หลับหรือ?” อวี้จินถามอีกครั้ง ผุ้มาเยือนยามค่ำตอบเพียงผงกศีรษะ “อย่างนั้นมาเล่นดนตรีเป็นเพื่อนข้า แม่นางเล่นอะไรได้บ้าง”
“ข้าน้อยพอเล่นจีฉินเป็น แต่ฝีมือยังไม่ดีนัก”
ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายมาไม้ไหนแต่เขาเลือกตอบไปตามตรง อวี้จินเพียงทำเสียงฮึมฮัมในลำคอ ไม่นานก็เดินหายไปจากห้อง
ซุนซีนี่งฟังแมลงร้องระงมในความมืด ระหว่างที่กำลังชั่งใจว่าจะรอหรือจะแอบหนีไปก่อน ท่านชายเจ้าปัญหาก็กลับมาพร้อมซอเอ้อหูคันหนึ่ง สีหน้าเจ้าของเรือนผ่อนคลายและดูรื่นรมย์...หากซุนซีไม่ตาฝาดยังเห็นบุรุษผู้นั้นยกมุมปากขึ้นแย้มสรวลน้อยๆ อย่างคนรักษามาด
เจ้าของเรือนส่งต่อซอคันดังกล่าวมาไว้ในมือเขา คันไม้ยังอุ่นสัมผัสอยู่ ซุนซีเงยมองแล้วถามด้วยการเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง
“แม่นางเมิ่งเล่นคู่กับข้าสักเพลง” น้ำเสียงไม่เชิงออกคำสั่ง แต่คนใต้อาณัติเหมาว่าคงไม่เปิดช่องให้ปฏิเสธ
เพลงที่อวี้จินเลือกมีจังหวะช้าและไม่ซับซ้อนมากนัก ฝ่ายคนชวนรอให้เขาสีซอดำเนินเพลงไปถึงจุดหนึ่งถึงยกเอาเครื่องดนตรีขึ้นประทับริมฝีปาก เสียงทุ้มของขลุ่ยปรับประสานกับเสียงสูงของเครื่องสาย ซุนซีไม่ต้องแก้สิ่งใดเพื่อให้เพลงบรรเลงไม่ขัดหู คล้ายว่าอีกฝ่ายเป่าขลุ่ยเพื่อหนุนให้เขาเล่นได้ตามสะดวก
เมื่อคิดเทียบได้ว่าตนราวกับถูกประคบประหงมอย่างลูกนกน้อยสองแก้มถึงร้อนผ่าวขึ้นมา ซุนซีไม่รู้ว่าเขากำลังแสดงสีหน้าแบบไหน จู่ๆ เสียงขลุ่ยที่เพี้ยนไม่มีต้นสายปลายเหตุก็พาเอาเสียงซอหลุดออกนอกเส้นทางตามไปด้วย
“...” คนเล่นเครื่องสายหยุดมือกลางคัน รู้สึกเหมือนถูกมองเป็นตัวตลก “เสียมารยาทต่อท่านแล้ว วันนี้พอแค่นี้เถอะ”
“วันนี้พอแค่นี้ หมายความว่าวันหน้าจะเล่นต่อใช่ไหม?”
ฝ่ายถูกถามส่ายศีรษะ วางซอลงข้างตัวอย่างถนอม “ข้าน้อยไร้ฝีมือ ให้เป็นผู้ฟังเหมาะสมกว่า”
“ย่อมได้ แต่ต้องจ่ายค่าบรรเลงเพลงล่วงหน้าเสียก่อน”
ซุนซีชะงัก มองหน้าคู่สนทนาค้างอยู่อย่างนั้น ใต้เท้ายกมือสากขึ้นลูบริมฝีปากตน ยังพอเห็นรอยยิ้มลอดร่องระหว่างนิ้วได้อยู่ คิ้วซุนซีมุ่นลง
“มิได้คิดเป็นเงิน” อวี้จินหัวเราะ “เล่าเรื่องของเจ้าให้ข้าฟังสักเรื่อง”
“ข้าไม่มีเรื่องอะไรจะเล่า ถึงมีก็มีแต่เรื่องไม่น่าสนใจ” คนตอบตอบเรียบๆ ชายตัวโตฟังแล้วจ้องเขาด้วยสายตานิ่งขรึม แม้แต่เสียงก็เปลี่ยนเป็นนุ่มนวล
“อย่างนั้นบอกได้ไหมว่ากังวลใจเรื่องใดอยู่”
ซุนซีเม้มริมฝีปากเป็นเส้นตรง เนิ่นนานกว่าจะตอบ “...นั่นก็ไม่มีเช่นกัน”
“อ้อ แล้วเหตุใดจันทร์ขึ้นถึงกลางศีรษะแล้วยังมีสาวน้อยนางหนึ่งข่มตานอนไม่หลับ”
“...” ซุนซีอ้าปากจะเถียง สุดท้ายก้มหน้าตอบเสียงค่อยในลำคอ “...เพราะเขากำลังคิดไม่ตกอยู่หลายเรื่อง”
“แสดงว่านางยังไม่เคยเล่าให้ดวงจันทร์ฟัง กระต่ายบนนั้นล้วนเป็นผู้ฟังที่ดี” อวี้จินพูดจาขึงขัง “ครั้งหนึ่งเคยมีเด็กชายเล่าให้จันทร์ฟังว่าเขาทำของสำคัญหาย เชื่อไหม คืนต่อมาเขาพบมันวางอยู่ข้างหมอน”
ผู้ฟังอมยิ้มน้อยๆ พักหนึ่งก็หลุบตาลง เตะเท้าไกวเบาๆ พลางเอนหลังพิงพนัก อีกฝ่ายไม่ต่อความอะไรและยังรอคำตอบอยู่ในความเงียบอย่างนั้น ซุนซีไพล่สายตามองออกไปนอกหน้าต่าง เขาคิด...ชั่งใจอยู่พักถึงยอมเอ่ยปาก
“ข้า... ท่านคิดว่าข้าเป็นคนฆ่าคนอื่นๆ หรือไม่?” เขาถามพลางหลุบตาลงมองสองมือสั่นเทา “บางที.. หากพวกเขาไม่มากับข้า พวกเขาก็ไม่ต้องตาย ครอบครัวพวกเขาก็ไม่ต้องเสียใจ”
ทุกถ้อยคำติดขัดหลุดจากปากเอื่อยช้า เมฆหมอกเคลื่อนเข้าปกคลุมดวงตาไม่นานก็กลั่นเป็นหยาดฝน เด็กหนุ่มควานมือหาผ้าเช็ดหน้าที่ลืมพกติดตัว รีบใช้แขนเสื้อซับน้ำตาลวกๆ ส่งยิ้มฝืดเผื่อนระหว่างผุดลุก
“ข้า.. ข้าควรกลับห้อง ดึกมาก--”
“พูดต่อ” น้ำเสียงมั่นคง ห้วนสั้นทว่าปราศจากสำเนียงเร่งเร้า
ชายคนนี้ไม่รู้จัก ‘ซุนซี’ และอีกไม่นานเขาจะไปจากที่นี่ตลอดกาล อวี้จินไม่ต่างจากคนแปลกหน้าคนอื่นที่เคยพบ แต่เพราะเป็นคนแปลกหน้าถึงได้รู้สึกวางใจ ...หรืออาจเพราะเขากำลังหลงทาง ซุนซีรู้แต่เพียงอารมณ์เอ่อจนล้น ร่างโงนเงนคล้ายจะล้มคล้ายจะไม่ล้ม
“อยากให้ข้าเล่าหรือ ท่านรู้ไหมคนในขบวนล้วนแต่มีอนาคตและคนข้างหลังรอพวกเขากลับไปหา พี่ชายคนหนึ่งกำลังเก็บเงินแต่งงาน.. น้องชายคนหนึ่งปีนี้เพิ่งอายุสิบหก หลายคนวาดฝันว่าไม่นานจะกลับบ้านเกิด มีภรรยามีพ่อแม่เฝ้ารอ กระทั่งครอบครัวที่พวกเขาแบกไว้ด้วยเงินจากงานที่สุดท้ายแลกด้วยชีวิต ...แล้วดูข้า ท่านดูข้า! เหตุใดถึงเป็นข้าคนเดียวที่รอด เหตุใดไม่เป็นพวกเขา”
ซุนซีสบสองตาที่เลี่ยงมาตลอดคู่นั้น ไม่มีสายตาสมเพชเวทนา ไร้แววตำหนิหรือสงสาร รับฟัง...อวี้จินเพียงรับฟังเงียบๆ เว้นช่วงอยู่อึดใจก็พูดขึ้นคำหนึ่ง “เจ้าไม่ได้เป็นคนผิด”
“ข้าเป็นคนผิด”
“จะเป็นคนผิดให้ได้เลยหรือ จะด่าทอตัวเองไปเพื่อเหตุใด”
ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่ซุนซีก้าวไปประชิด สองมือสั่นเทากระชากคอเสื้อชายตรงหน้าเขย่าทึ้ง ภาพตรงหน้าพร่ามัวไปหมด
“ด่าข้าได้ไหม? ต่อว่าข้าที่ข้าตัดสินใจผิด ลงโทษข้าให้สาสม ...ข้าไม่ควรได้รับชีวิตสุขสบายขณะที่พวกเขาต้องมาตายกลางป่าแบบนั้น”
“เจ้าบอกว่าเป็นความผิดเจ้า แล้วเจ้ารู้อนาคตหรือ?”
“แต่มันไม่ควรเกิดขึ้น! ถ้าเพียงแต่ตอนนั้นข้าไม่เดินทางมาที่นี่ ถ้าเพียงแต่ข้ารออีกสักนิด.. ถ้าเพียงแต่...”
“พวกเขาเลือกปกป้องเจ้าด้วยชีวิต เพื่อให้เจ้ามาโทษตนเองเช่นนี้หรือ” อวี้จินกล่าวด้วยเสียงทุ้มหนักแน่น “หากพวกเขาทำหน้าที่จนวินาทีสุดท้าย ก็เป็นผู้มีเกียรติ มิใช่เหยื่อ”
“ท่านบอกข้าสิว่าต้องทำอย่างไร.. ผู้ที่นำความตายมาสู่พวกเขาไม่ใช่โจรป่าแต่เป็นข้า แล้วเช่นนี้ไม่ใช่ว่าพวกเขาต้องตายเปล่าหรอกหรือ ในเมื่อชีวิตข้าเพียงคนเดียวไม่ได้มีค่าพอให้แลกด้วยอนาคตของพวกเขาทุกคน”
“เหตุใดถึงตีค่าตนเองอย่างนั้น จะดูถูกคนที่เสียสละเพื่อเจ้าหรอกหรือ”
“ไม่เป็นเช่นนั้น!”
อวี้จินมองฝ่ายที่ใบหน้าเปื้อนน้ำตาด้วยแววตานิ่งสงบ ปราศจากรอยยิ้มหรือท่าทีเห็นใจ
“เจ้าลองคิดดู ทักษะทหารและคนสำนักคุ้มภัยจะทิ้งหน้าที่หนีออกมาย่อมได้ แต่พวกเขาอยู่คุ้มกันเจ้าจนวินาทีสุดท้าย เด็กน้อย ถ้าเจ้าไม่อยากทำให้การเสียสละของพวกเขาเสียเปล่าก็จงมีชีวิตอยู่ต่อ ..นั่นถึงเป็นวิธีที่เจ้าจะตอบแทนบุญคุณได้”
คนฟังกลืนลูกสะอื้น ไหล่ห่อลู่สั่นน้อยๆ เสียงร่ำไห้ถูกกลั้นจนเหลือเพียงผะแผ่ว บุรุษร่างสูงส่งผ้าเช็ดหน้าผืนน้อยให้ถึงมือ ซุนซีเพียงแต่กำมันไว้ ปล่อยให้น้ำตาหยดลงพื้นหินเย็นเยียบ
ในความเงียบไม่มีคำปลอบใด มีก็แต่การดำรงอยู่ของชายแข็งกระด้างคนนั้น
สามวันให้หลังท่านหมอหญิงกลับมาตรวจอาการอีกครั้ง คำอนุญาตประโยคเดียวขยายรั้วที่มองไม่เห็นจากห้องนอนไปที่เขตทางเชื่อมระหว่างเรือนชั้นในกับที่ว่าการด้านนอก
วันทั้งวันซุนซีง่วนอยู่กับการอ่านตำราในห้องหนังสือ ตกเย็นก็ปะชุนเสื้อผ้าและปักภาพในห้องพัก จวนโอ่โถงเขายังเดินได้ไม่ทั่ว อ่ายซวนทำตัวยิ่งกว่าแม่ไก่หวงลูก ล้อมหน้าล้อมหลังไม่ให้เดินเตร่ออกไปไหนลับตา ความคิดที่จะก้าวขาออกจากจวนเป็นอันต้องยกเลิกไป
ครั้นจะว่าเบื่อก็ไม่เต็มปากนัก เวลาเตร่อยู่ในสวนบางครั้งจะเห็นทหารหนุ่มนายหนึ่งลอบมองมาทางพวกเขา ซุนซีแกล้งหันไปจ้องหน้าอยู่บ่อยๆ สบตากันทีไรเจ้าหนุ่มเป็นอันได้สะดุ้งโหยงหน้าแดงเป็นลูกพุทรา ถูกอ่ายซวนดุไล่ให้ไปทำงานทำการอยู่ทุกครั้ง
นางบอกว่าทหารหนุ่มชื่อซิ่วหมิน เป็นลูกพี่ลูกน้องของสามีนาง อ่ายซวนบอกว่าซิ่วหมินเป็นเด็กน่าสงสารที่มารดากับพี่สาวป่วยเป็นโรคร้าย เพราะไม่มีตัวยาหายากราคาแพงและไม่มีหมอพวกนางจึงเสียชีวิตไปเมื่อปีก่อน พักหลังเวลาซุนซีหันไปเจอซิ่วหมินชายคนนั้นจะยิ้มเผล่ให้เหมือนเด็กเล็กๆ บางคราวเจอกันเขายังวานให้แอบไปซื้อของในตลาดมาให้
ซิ่วหมินเป็นเด็กดีไม่น้อย มองนานไปพาลให้เขานึกถึงตงเต๋อข่ายกับเมิ่งเซี่ยเหมย ไม่รู้ว่าป่านนี้จะเป็นอย่างไร
ตอนเช้าช่วงนี้มีดอกไม้ในตะกร้าสานมาตั้งอยู่บนพื้นหน้าประตูห้องนอนเขา กลีบดอกมักชุ่มพราวด้วยน้ำค้าง บางครั้งเป็นช่อดอกชา บางครั้งเป็นช่อโม่ลี่ดอกตูม ของขวัญชิ้นนี้มีมาวางทุกสามวัน หากช่วงไหนขาดไปจะเอามาวางใหม่ในวันพรุ่ง
ซุนซีตื่นมาไม่เคยพบผู้ส่งนิรนาม รู้แต่อยู่ในจวนเจ้าเมืองไม่ต้องห่วงเรื่องความปลอดภัย อย่างไรเสียของอย่างนี้ถึงส่งมาให้ก็คงปราศจากเจตนาคิดร้าย เช่นนี้เมื่อรับดอกไม้มาใส่ไว้ในแจกันเจ้าของห้องจึงมักวางตะกร้าคืนเอาไว้ที่เดิมพร้อมเหน็บกระดาษเขียนคำขอบคุณ เข้าวันถัดมาก็มีผู้มาเก็บกลับไป
อ่ายซวนแนะว่าให้ตื่นมาดูแต่เช้าตรู่ เขาเคยลองแล้ว แม้จะนั่งสัปหงกอยู่ทั้งคืนก็ไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าแวะเข้ามาใกล้ บางครั้งเงาทอดผ่านกำแพงปรุกระดาษ เปิดผางออกไปก็ไม่พบใคร นานเข้าซุนซีชักเริ่มเชื่อว่าไม่เป็นฝีมือภูตคงเป็นกระต่ายหยกล่ะกระมัง
แน่นอนว่าพอบอกสาวใช้นางก็ขำเป็นบ้าเป็นหลัง...
ซุนซีเอาเศษผ้ามาเย็บเป็นถุงเงินแล้วค่อยขึ้นโครงปักลายต้นไผ่ เสร็จเมื่อไหร่ตั้งใจจะให้เป็นของตอบแทนดอกไม้ เจ้าเมืองทั้งที่งานยุ่งแสนยุ่งก็เหมือนรู้ ชอบแวะเข้ามาตอนที่เขากำลังนั่งสนเข็มปักลายงานถึงได้ไม่เสร็จสักที
“ทำให้ใคร?” คนที่ปกติพูดน้อยกำลังซักไซ้ไล่เลียงเป็นพัศดีคุมทัณฑ์
“เปล่าเจ้าค่ะ ข้าแค่ปักในยามว่าง ไม่ได้จะให้ใคร”
หลายครั้งเข้าซุนซีขี้คร้านจะซ่อนแล้ว นั่งปักให้เห็นกันดื้อๆ เขาปฏิเสธไปหลายรอบแต่คนฟังไม่พอใจคำตอบสักเท่าไหร่ กอดอกทำหน้าถมึงทึงอยู่อย่างนั้น
“เสร็จเมื่อไหร่เอามาให้ข้า”
เขาเงยมองท่านเจ้าเมืองที่พูดเอาแต่ได้ จ้องค้างอยู่นาน “...ถุงนี้ทำจากเศษผ้า ไว้ข้าจะหาผ้าดีๆ เย็บให้ท่านใหม่”
ข้าราชการชั้นผู้น้อยคนหนึ่งวิ่งมาตามอวี้จินที่หน้าประตู ท่านเจ้าเมืองลุกขึ้น ก้าวออกไปไม่พ้นธรณีประตูยังไม่วายจะหันมากำชับเสียงเฉียบขาด “ปักเสร็จแล้วเอามาให้ข้า”
จบคำจอมเผด็จการก้าวยาวๆ หายไป ปล่อยให้ซุนซีอ้าปากค้างกับอากาศธาตุ
...เป็นเจ้านายเขาหรือก็เปล่า ยังจะมาสั่งใช้นั่นขอนี่เป็นเด็กเล็กเอาแต่ใจไปได้
--------------------------------------------
ก่อนอื่นต้องขอโทษจริงๆนะคะที่หายไปยาวเลย
ลืมเนื้อเรื่องกันไปรึยังฮือออ
ไม่ต้องเป็นห่วงว่าจะแต่งไม่จบแล้วทิ้งเรื่องนะคะ แต่งไว้จนจบแล้วแต่ว่าทยอยลง
ส่วนที่หายไปเป็นเดือนนี่ไม่มีข้อแก้ตัวค่ะ.. แต่กลับมาแล้วนะ
หลังจากนี้จะมาอัพวันอังคารกับศุกร์ค่ะ ถ้าหายไปอีกมาทวงได้เลยนะคะ...