หลังจากทะเลาะกับภรรยามาอย่างหนักหน่วง ภวินท์ก็รู้สึกว่าเขาทำงานไม่รู้เรื่องเลยทั้งวันมันทั้งหงุดหงิดงุ่นง่านไปหมดยิ่งเมื่อนึกไปถึงคำว่าเกลียดที่อีกฝ่ายเอื้อนเอ่ยออกมานั้นยิ่งทำให้เขาหงุดหงิดจนไม่ว่าใครก็เข้าหน้าไม่ติดทั้งนั้น เขาพยายามจัดการอารมณ์ของตัวเองให้เย็นขึ้นแล้วด้วยการสูบบุหรี่อย่างที่เคยทำแต่มันก็ช่วยเขาไม่ได้เหมือนเดิม เมื่อไม่เป็นอันทำงานแล้วภวินท์จึงเลือกที่มาปลดปล่อยอารมณ์ที่ไนท์คลับที่เขามีหุ้นส่วนอยู่เกินครึ่ง มือหนายกแก้วที่บรรจุแอลกอฮอลล์สีเหลืองอำพันเพียวๆขึ้นดื่มถี่ๆจนจวนจะหมดขวด
“โอ้โหเฮีย จัดหนักแต่หัววันเลยนะครับ” ตรีทศเอ่ยแซ็วญาติผู้พี่ทันทีที่เขาและคนอื่นๆมาถึง
“นั่นสิครับ เครียดอะไรหรือเปล่าเฮีย”
ปริญญ์เอ่ยเสริมขึ้นอย่างแปลกใจเมื่อเห็นญาติผู้พี่ของตัวเองกระดกแก้วเหล้าเพียวๆขึ้นดื่มอักๆอย่างกับไปเครียดอะไรมาทั้งๆที่ปกติแล้วภวินท์ไม่ค่อยดื่มเหล้าเพียวสักเท่าไร
“อืม มีเรื่องให้คิดนิดหน่อย” ภวินท์เอ่ยตอบนิ่งๆพลางเทเหล้าใส่แก้วจนหมดขวด
“เรื่องงานก็ไม่น่ามีอะไรเครียดนี่ครับเพราะตั้งแต่เฮียเข้ามาบริหารที่เดอะแกรนด์ฯทุกอย่างก็เรียบร้อยราบรื่นดีไปหมดจนพวกผมแทบไม่ต้องจัดการอะไรเลย”
ศดิศเอ่ยขึ้นอย่างแปลกใจเช่นกันเพราะเขารู้ดีว่าเรื่องงานไม่มีทางทำให้ภวินท์เครียดได้ขนาดนี้แน่นอนเพราะภวินท์เป็นคนเก่งและมีระบบการจัดการที่ดีทำให้การทำงานของญาติผู้พี่ไม่ค่อยมีความบกพร่อง
“หรือว่าเฮียทะเลาะกับน้องนทมาครับ” ศดิศเอ่ยถามอย่างที่ใจคิดและเขาก็เชื่อว่ายังไงก็ต้องเป็นเรื่องนี้แน่นอน
“เงียบ? แสดงว่าใช่เลย เฮียทะเลาะอะไรกับน้องครับ”
ตรีทศเอ่ยถามขึ้นด้วยความอยากรู้เพราะการที่นทีรินและภวินท์ทะเลาะกันจนภวินท์เครียดถึงขั้นมาดื่มนี่มันต้องรุนแรงและหนักหน่วงพอสมควรแน่ๆ
“เฮียซาน อย่าเพิ่งไปซักไซ้เฮียภพสิ” ปริญญ์ปรามตรีทศเพราะไม่อยากให้ภวินท์รู้สึกอึดอัดไปมากกว่าเดิม
“ก็กูเป็นห่วงเฮียนี่หว่า เผื่อเฮียอยากระบายอะไร”
ตรีทศเอ่ยบอกพลางหันไปจ้องที่ภวินท์อย่างไม่วางตาราวกับรอให้ภวินท์เล่าหรือระบายอะไรออกมาบ้างแต่เขาก็ต้องรู้สึกเซ็งเป็นอย่างมากเพราะญาติผู้พี่ไม่เปิดเผยคำพูดใดๆออกมาแม้แต่คำเดียว
“สั่งเหล้ามาให้กูอีกขวดสิ” ภวินท์เอ่ยบอกตรีทศเสียงเรียบนิ่งเมื่อวิสกี้หมดไปแล้วขวดนึงโดยที่มีเขาดื่มอยู่เพียงคนเดียว
“โหเฮีย เบาๆก่อนก็ได้ครับ นี่เฮียกินคนเดียวไปขวดนึงแล้วนะ” ตรีทศเอ่ยปรามญาติผู้พี่ด้วยความเป็นห่วง
“สั่งมาเถอะ มึงจะเรียกเด็กของมึงมานั่งด้วยก็ได้นะ วันนี้กูเลี้ยงเอง”
“ถ้าเฮียพูดขนาดนี้แล้ว ตรีทศจัดให้ครับผม ฮ่ะๆ” สิ้นเสียงของญาติผู้พี่นั้นตรีทศก็ยิ้มร่าก่อนจะหันไปเรียกบริกรให้เดินมารับออเดอร์อย่างอารมณ์ดี
“เปลี่ยนสีไวโคตรเลยเฮียซาน ฮ่ะๆ” ปริญญ์เอ่ยแซ็วตรีทศก่อนจะหัวเราะผสมโรงกันสองคนด้วยความขบขันโดยลืมที่จะซักไซ้ภวินท์อีกต่อไป
“เฮียครับ… ไม่ว่าเฮียจะทะเลาะกับน้องเรื่องอะไรมา ผมอยากให้เฮียใจเย็นๆไว้ก่อนนะครับ ค่อยๆคุยกันดีกว่าถ้าเกิดทะเลาะกันจนอากงรู้เรื่องท่านจะเครียดแล้วอาการจะแย่ลงนะครับ”
ศดิศเอ่ยเตือนญาติผู้พี่อีกคราด้วยความห่วงใยเพราะเขารู้ว่าตอนนี้เจ้าสัวพีระยังอยู่ในอาการที่ต้องไม่มีอะไรมากระทบกระเทือนจิตใจได้มิฉะนั้นอาการอาจจะทรุดลงได้
“อืม กูรู้แล้ว” ภวินท์พยักหน้าแกนๆให้ก่อนจะยกแก้วขึ้นดื่ม
ศดิศได้แต่ถอนหายใจยาวออกมาอย่างปลงๆเพราะเขารู้ว่าต่อให้ภวินท์กับนทีรินจะมีเรื่องบาดหมางกันมากเพียงใดแต่ทั้งคู่ก็ไม่คิดที่จะทำให้เจ้าสัวพีระเป็นกังวลจนอาการทรุดลงแน่นอน
“เครียดๆแบบนี้ เอาเด็กสักคนหน่อยไหมเฮียเดี๋ยวผมจัดการให้”
ตรีทศเอ่ยถามญาติผู้พี่พร้อมใบหน้ากรุ้มกริ่มตามประสาหนุ่มขี้เล่นและเขาก็ต้องรู้สึกแปลกใจเมื่อได้ยินคำตอบของญาติผู้พี่
“ไม่ต้อง… กูไม่มีอารมณ์” เอ่ยบอกก่อนจะยกแก้ววิสกี้ขึ้นดื่มรวดเดียว
ศดิศหันหน้าไปพยักหน้าให้กับปริญญ์และตรีทศอย่างรู้กันว่าไม่ควรจะซักไซ้ไล่เรียงอะไรภวินท์ไปมากกว่านี้เพราะนั่นอาจจะยิ่งทำให้ภวินท์อารมณ์เสียได้ง่าย พวกเขาจึงเลือกที่จะคุยเล่นเรื่องอื่นเพื่อให้ญาติผู้พี่ผ่อนคลายมากกว่าเดิม และเมื่อเวลาผ่านไปยิ่งแอลกอฮอลล์อยู่ในกายมากเพียงใดภวินท์ก็รู้สึกว่าเขาเริ่มผ่อนคลายได้บ้าง
ภวินท์และญาติๆดื่มและพูดคุยกันไปจนเวลาใกล้ตีสองเต็มที ทั้งหมดจึงทำการแยกย้ายกลับที่ของใครของมันทันทีอย่างรู้กัน ซึ่งภวินท์เองก็เลือกที่จะไม่ไปต่อที่ไหนทั้งนั้นนอกจากตรงกลับบ้านที่มีคนที่ทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดงุ่นง่านทั้งวันอยู่ที่นั่น เมื่อซูเปอร์คาร์ยี่ห้อดังคันหรูทะยานมาจอดที่คฤหาสน์ของกิจจานนท์แล้วร่างสูงก็พาตัวเองเดินมาทรุดนั่งอยู่ที่โซฟาหลังใหญ่ด้วยความเหนื่อยอ่อน เพราะฤทธิ์ของแอลกอฮอลล์ปนกับความเครียดที่มีทำให้ภวินท์ผล็อยหลับไปได้ง่ายๆ
โต๋เดินมาเจอเจ้านายที่นอนเมามายอยู่ที่โซฟาด้วยสภาพที่เละเทะอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนก็รู้สึกแปลกใจก่อนจะเดินออกไปเพื่อจะตามคนมาช่วยเขาแบกเจ้านายขึ้นไปด้านบน เมื่อเดินออกมาก็พบนทีรินเดินกำลังจะขึ้นด้านบนอยู่จึงเอ่ยทักทันที
“คุณนทยังไม่นอนเหรอครับ”
“นทลงมาดื่มนมน่ะครับพี่โต๋ กำลังจะขึ้นไปนอนแล้ว” นทีรินหันไปมองคนทักก่อนจะเอ่ยตอบ
“วันนี้คุณนทนอนดึกจังเลยครับ”
“นิดหน่อยครับ นทเพิ่งทำงานเสร็จ”
นทีรินเอ่ยตอบคนขับรถคนสนิทของสามีด้วยรอยยิ้มบางๆ วันนี้นทีรินทำรายงานค่าใช้จ่ายภายในบ้านจนดึกดื่นกว่าจะได้ทำธุระส่วนตัวของตัวเองก็ปาไปเกือบตีหนึ่งแล้ว
“อ่า… รบกวนคุณนทช่วยผมหน่อยได้ไหมครับ”
โต๋เอ่ยตะกุกตะกักเล็กน้อยเพราะเขารู้สึกเกรงใจภรรยาของเจ้านายเหลือเกินแต่หากจะไปตามคนอื่นมาช่วยก็คงจะนอนหลับกันไปหมดแล้ว
นทีรินเลิกคิ้วสงสัยเล็กน้อยเพราะยังไม่เข้าใจในสิ่งที่โต๋ต้องการให้ช่วย แต่เมื่อเดินมาที่ห้องรับแขกใหญ่ที่เขาและภวินท์เพิ่งจะทะเลาะกันไปนั้นก็พบร่างของสามีนอนเอกเขนกอยู่บนโซฟาหลังใหญ่ซึ่งดูจากท่าทางแล้วอีกฝ่ายน่าจะเมามาก
“คุณภพเมาเหรอครับพี่โต๋”
“ใช่ครับ แปลกมากเลยนะครับปกติคุณภพไม่เคยดื่มหนักจนเมาเลย สงสัยวันนี้งานคงเครียดมากแน่ๆเลยครับ”
โต๋เอ่ยบอกพร้อมสีหน้างุนงงเพราะตั้งแต่เขารับใช้ภวินท์มาตั้งแต่เด็กๆจนถึงตอนนี้เจ้านายของเขาไม่เคยดื่มหนักถึงขั้นเมามายหลับคอพับไม่รู้เรื่องแบบนี้เลยสักครั้ง
“อ่า… งั้นเหรอครับ”
นทีรินตอบรับเสียงเบาก่อนจะจับจ้องไปที่ใบหน้าคมของสามีที่นอนหลับไม่รู้เรื่อง นทีรินละสายตาออกจากอีกฝ่ายทันทีที่รู้ตัวว่าตัวเองยังคงโกรธภวินท์อยู่
“แล้วไปดื่มหนักขนาดนี้ขับรถกลับมาเองได้ยังไงก็ไม่รู้นะครับ ผมจะไปรับก็ไม่ยอม ผมนี่เป็นห่วงแทบตายเลยครับ”
โต๋เอ่ยบอกอีกคราก่อนจะยกมือไหว้ขึ้นท่วมหัวราวกับขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ช่วยคุ้มครองไม่ให้เจ้านายของเขาเป็นอะไรหลังจากที่ภวินท์เมาหนักขนาดนี้แต่กลับขับรถกลับมาบ้านอย่างปลอดภัยได้
นทีรินยิ้มขำเมื่อเห็นท่าทางของโต๋ก่อนจะหันไปจับจ้องคนเมาอีกคราก่อนจะค่อนขอดในใจ
คนแบบนี้ไม่ตายง่ายๆหรอก หึ! “คุณนทช่วยผมพยุงคุณภพขึ้นไปด้านบนได้ไหมครับ”
คำขอร้องที่นทีรินไม่อยากได้ยินมากที่สุดในตอนนี้ แต่ด้วยใบหน้าซื่อๆของโต๋ที่เต็มไปด้วยความห่วงใยเจ้านายแล้วนั้นก็ทำให้นทีรินปฏิเสธที่จะช่วยเหลือไม่ได้
“อ่า… ได้ครับ”
นทีรินเข้าไปพยุงร่างหนาของสามีอีกฝั่งเมื่อโต๋พยุงขึ้นได้แล้ว ทั้งคู่พยายามพยุงคนเมาขึ้นบันไดอย่างทุลักทุเลเพราะตัวของภวินท์นั้นไม่ใช่เบาๆเลย ขนาดโต๋ที่ตัวสูงใหญ่พอสมควรนั้นเมื่อเทียบกับภวินท์ก็ยังเทียบไม่ติดเลยแล้วไม่ต้องพูดถึงตัวของนทีรินเลย ห่างกับภวินท์ไปหลายเบอร์เลยทีเดียว
“ขอบคุณคุณนทมากนะครับ ถ้าไม่ได้คุณนทผมแย่แน่ๆเลย” โต๋เอ่ยบอกเมื่อเขาและนทีรินแบกร่างของภวินท์ขึ้นมายังห้องนอนเรียบร้อยแล้ว
“ไม่เป็นไรครับพี่โต๋ งั้นนทขอตัว…” นทีรินกำลังจะขอตัวกลับห้องเพราะคิดว่าคงไม่ต้องช่วยอะไรไปมากกว่านี้แล้วแต่โต๋ก็ขัดขึ้นมาเสียก่อน
“เฮ้ย! ผมลืมเก็บรถ ถ้างั้นผมฝากคุณภพไว้กับคุณนทก่อนนะครับเดี๋ยวผมมา”
ว่าจบแล้วโต๋ก็รีบวิ่งปรู๊ดออกจากห้องของเจ้านายไปอย่างรวดเร็วปล่อยให้นทีรินยืนงงทำตัวไม่ถูกอยู่ตามลำพัง
“เดี๋ยวสิครับพี่โต๋! -- อ้าว… พี่โต๋นะพี่โต๋ทิ้งเราไว้แบบนี้เลยเหรอ”
นทีรินจิ๊ปากอย่างขัดใจพลางหันไปมองร่างหนาของสามีที่เมาหลับไม่รู้เรื่องด้วยสภาพที่ไม่น่าดูเท่าใดนัก นทีรินเดินเข้าไปใกล้ๆร่างหนาก่อนจะค่อยๆจัดร่างของสามีให้นอนตามความยาวของเตียงดีๆ ร่างบางเดินเข้าไปในห้องน้ำสุดหรูที่ตกแต่งด้วยกระเบื้องหินอ่อนและกระจกโมเสกสวยงาม มือบางหยิบกะละมังใส่น้ำอุ่นก่อนจะหยิบผ้าชุบน้ำบิดหมาดและเดินกลับมาหยุดอยู่ที่เตียงหลังใหญ่เช่นเดิม
“ก็ไม่ได้อยากทำให้นักหรอกนะแต่เห็นสภาพแล้วทนไม่ได้”
ว่าจบร่างบางก็นั่งลงที่เตียงใหญ่ก่อนจะนำผ้าชุบน้ำบิดหมาดซับไปตามใบหน้าหล่อคมและลำคอของสามีอย่างเบามือดวงตาหวานจับจ้องไปที่ใบหน้าหล่อคมก็อดที่จะอมยิ้มออกมาไม่ได้เพราะเวลาที่ภวินท์หลับนั้นดูไร้พิษสงไปทันที ยามที่เจ้าตัวไม่ได้พ่นคำพูดร้ายกาจออกมานั้นก็ทำให้นทีรินอดนึกไปถึงพี่ภพพี่ชายที่แสนดีของเขาไม่ได้ ใบหน้าหวานหม่นลงพร้อมรอยยิ้มที่จางหายไปเมื่อนึกไปถึงตอนที่เขาและภวินท์ทะเลาะกันอย่างรุนแรง นทีรินอดเอ็ดตัวเองไม่ได้ว่าให้เลิกคิดถึงพี่ภพพี่ชายที่แสนดีคนนั้นได้แล้ว
เพราะไม่มีพี่ภพคนนั้นของเขาอีกแล้ว
“อืม…” เสียงทุ้มครางลึกในลำคอพร้อมมือหนาที่จับมาที่มือของเขาทำให้นทีรินสะดุ้งเล็กน้อย
“คุณภพ อยู่นิ่งๆได้ไหมครับ ผมเช็ดไม่ถนัด…”
นทีรินพยายามบิดมือออกจากมือหนาที่จับเขาแน่นเพราะว่าเขาเช็ดตัวให้อีกฝ่ายไม่ได้แต่ก็ไม่เป็นผลเมื่อมือหนาไม่ยอมปล่อยมือของเขาแล้วจากนั้นคนเมาก็ลืมตาขึ้นมองเขาด้วยสายตานิ่งๆทว่าเยิ้มหวานซึ่งอาจจะเป็นเพราะฤทธิ์ของแอลกอฮออลล์
“ยังไม่นอนเหรอ” เสียงทุ้มเอ่ยถามในขณะที่มือก็ยังไม่ปล่อยจากมือบาง
“กำลังจะไปนอนแล้วครับ แต่ต้องมาดูแลคนเมาแทนพี่โต๋เสียก่อน” นทีรินเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งติดไปทางเมินเฉยด้วยซ้ำ
“แล้วโต๋ไปไหน” เสียงทุ้มถามขึ้นอีก
“เอารถไปเก็บครับ -- ถ้าคุณภพโอเคแล้วผมขอตัวก่อนนะครับ”
เอ่ยตอบคำถามก่อนจะบิดมือให้หลุดจากพันธนาการก่อนจะลุกเตรียมออกจากห้องนี้ไปแต่ก็ต้องชะงักไปเมื่อมือหนาคว้ามือเขาไว้แล้วจับแน่น
“ไหนๆก็เช็ดให้แล้วก็ทำให้มันเสร็จไปเลยสิ เป็นคนชอบทำอะไรครึ่งๆกลางๆตั้งแต่เมื่อไร”
สิ้นเสียงประชดประชันนั้นนทีรินก็กลอกตาไปมาอย่างเบื่อหน่ายและขัดใจแต่ก็ยอมมาเช็ดตัวให้อีกฝ่ายเพื่อให้เสร็จๆไปเขาจะได้กลับไปนอนเสียที
ภวินท์ยิ้มมุมปากพอใจเมื่อภรรยาเอาผ้าชุบน้ำเช็ดซับไปตามแขนของเขาโดยไม่สนใจและไม่มองหน้าเขาเลยสักนิดและนั่นก็ยิ่งทำให้เขาอยากแกล้งอีกฝ่ายขึ้นมา
“ถอดเสื้อแล้วเช็ดข้างในให้หน่อยสิ มันอึดอัด”
นทีรินเบิกตากว้างเมื่อได้ยินเช่นนั้นและเมื่อสบสายตาคมที่ฉายแววท้าทายมาแล้วเขาจึงต้องจำใจเอื้อมมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตสีขาวยี่ห้อดังของอีกฝ่ายอย่างห้ามไม่ได้ มือบางแหวกเสื้อเชิ้ตออกเผยให้เห็นกล้ามท้องเป็นลอนสวยของอีกฝ่ายนทีรินเอาผ้าซับๆไปมาโดยไม่มองร่างกายของอีกฝ่ายใบหน้าหวานขึ้นสีแดงจางๆซึ่งท่าทีเช่นนั้นทำเอาภวินท์ลอบยิ้มอย่างพึงใจ
“ถ้าจะดื่มจนเมาแล้วต้องลำบากคนอื่นแบบนี้วันหลังก็เพลาๆเสียบ้างนะครับ” เสียงหวานเอ่ยขึ้นนิ่งๆทว่าเหน็บแนมอยู่ภายในขณะที่นำผ้าเช็ดซับไปทั่วเรือนร่างของสามีทางนิตินัย
“เป็นห่วง?”
ร่างหนาลุกผึงขึ้นทันทีด้วยท่อนบนที่เปลือยเปล่า นทีรินขยับออกห่างเล็กน้อยเพราะใบหน้าคมขยับใกล้เขาเกินไปแล้ว
“เป็นห่วงคนอื่นที่จะต้องลำบากมาดูแลคุณต่างหากครับ” นทีรินเถียงขึ้นทันทีเพราะเขาไม่อยากให้คนหลงตัวเองได้ใจไปมากกว่านี้เพราะเขาไม่มีทางเป็นห่วงอีกฝ่ายเด็ดขาด
“ไม่ลำบากคนอื่นหรอกเพราะผมมีเมียดูแล” เสียงทุ้มเอ่ยบอกพร้อมดวงตาคมฉายแววกรุ้มกริ่มทีเล่นทีจริงอย่างคาดเดาไม่ได้
“งั้นเหรอ… แล้วเมียคนไหนล่ะครับ” เสียงหวานตอกกลับพลางแสยะยิ้มใส่
“ผมมีเมียคนเดียว” เสียงทุ้มเอ่ยบอกหนักแน่นก่อนจะคว้าเอวบางของภรรยามาแนบชิดจนแทบจะเกยบนตักแกร่ง
“อ๊ะ… ปล่อยนะครับ! -- ถ้าคุณเมามากก็นอนได้แล้วครับ”
นทีรินโวยวายออกมาทันทีก่อนจะนึกโกรธตัวเองในใจหากว่าเขาเลือกที่จะกลับห้องนอนและไม่มาเสียเวลาเช็ดตัวให้อีกฝ่ายเขาก็คงไม่โดนอีกฝ่ายรังแกอีกแบบนี้ นทีรินดิ้นพลางสะบัดตัวเพื่อให้หลุดจากอ้อมแขนแกร่งแต่ก็ไม่เป็นผล ดวงตาคู่หว่านตวัดมองอย่างไม่พอใจแต่คนขี้แกล้งก็ได้หาใส่ใจไม่
“นท”
เสียงทุ้มเอ่ยเรียกชื่อเล่นของร่างบางในอ้อมแขนเบาๆทว่าก็ดังจนนทีรินใจกระตุกวูบ ดวงตาคมจับจ้องลึกเข้าไปในดวงตาหวานเนิ่นนานซึ่งนั่นทำให้หัวใจดวงน้อยของนทีรินเต้นรัวราวกับโดนมนตร์สะกด
“ป… ปล่อยผมนะครับ ผมจะเอาผ้าไปเก็บ” เมื่อรู้สึกตัวนทีรินก็เอ่ยบอกอีกฝ่ายด้วยเสียงกระเง้ากระงอด
“อยากจูบ”
เสียงทุ้มเอ่ยเจ้าเล่ห์ก่อนที่ดวงตาคมจะจับจ้องไปที่ริมฝีปากแดงอิ่มนั้นอย่างจาบจ้วงซึ่งนั่นทำให้นทีรินหลุดแหวออกมาด้วยความกรุ่นโกรธปนขัดเขินเพราะจะมีใครบ้างที่หน้าด้านหน้าทนเอ่ยคำพูดแบบนี้ออกมาอย่างไม่อายปากเลยสักนิด แต่เมื่อคิดไปอีกทีก็นึกได้ว่านี่คงจะเป็นเพราะฤทธิ์แอลกอฮออลล์แน่นอนเพราะไม่เช่นนั้นภวินท์คงไม่กล้าพูดจาแบบนี้กับเขาแน่
“คุณภพ! ถ้าเมาก็นอนไปเลยครับจะได้เลิกพูดจาเพ้อเจ้อสักที”
นทีรินพยายามดิ้นเพื่อให้หลุดจากแขนแกร่งอีกคราแต่ก็ต้องตกใจสะดุ้งขึ้นมาเมื่อปากหนาประทับจูบมาที่ปลายจมูกรั้นของเขาเบาๆ
“อ๊ะ… นี่คุณ!”
เสียงหวานเตรียมจะแหวใส่คนเมาที่ชอบฉวยโอกาสใส่เขาอย่างเต็มที่แต่มือหนาปล่อยให้เขาหลุดจากพันธนาการเสียก่อน นทีรินรีบลุกออกจากเตียงหลังใหญ่ทันทีพลางถอยห่างจากอีกฝ่ายให้มากที่สุด ใบหน้าหวานขมวดคิ้วมุ่นเมื่ออีกฝ่ายหัวเราะพลางล้มตัวลงนอนอย่างสบายใจที่แกล้งเขาได้
“หึหึ… ปิดไฟให้ด้วยนะ”
ท่าทางอารมณ์ดีของภวินท์ทำให้นทีรินรู้สึกเจ็บใจและเข่นเขี้ยวอยู่ในใจเป็นอย่างมาก เพราะท่าทีของอีกฝ่ายนั้นไม่เหมือนคนเมาเลยสักนิดเพราะมันดูปกติเกินเสียจนเขาคิดว่าภวินท์แกล้งเมาเพื่อที่จะแกล้งเขาหรือเปล่า
“อ้าวไม่ไปเหรอ หรือว่าจะนอนที่นี่?” คนขี้แกล้งหันหน้ามาถามเขาพลางยักคิ้วใส่เขาอย่างกวนๆจนนทีรินโมโหยิ่งกว่าเดิม
“ฮึ่ย!”
เมื่อทำอะไรไม่ได้ต่อกรก็ไม่ได้นทีรินเลยได้แต่เดินปึงปังเตรียมออกจากห้องนอนของสามีไปด้วยความเดือดดาลแต่ก่อนจะออกไปกลับได้ยินเสียงกวนประสาทตามมาอีกครา
“ฝันดีนะคุณภรรยา”
ฝันดีอย่างนั้นเหรอ… น่ากลัวจะฝันร้ายสิไม่ว่า! To be continue
_____________________________________________________________________________________________
TALK WITH WRITER :: ทำใจหน่อยนะคะพระเอกเรื่องนี้เป็นไบโพลาร์ค่ะ555555555555 นอกจากปากไม่ดีแล้วนิสัยก็ไม่ดีด้วยค่ะ น่าหมั่นไส้เนอะ >< แต่ยังไงก็ฝากติดตามความร้ายกาจของพี่เค้าไปเรื่อยๆเลยนะคะ เจอกันตอนหน้าค่ะ