พิมพ์หน้านี้ - Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๑๗ (23-6-62)

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => ข้อความที่เริ่มโดย: yokindy ที่ 27-02-2019 22:52:13

หัวข้อ: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๑๗ (23-6-62)
เริ่มหัวข้อโดย: yokindy ที่ 27-02-2019 22:52:13
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฎเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฎจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฎ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฎทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฎข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฎข้อ 17



เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม


*************



Husband-in-law {yaoi}
มีผลทางกฎหมาย แต่ไม่มีผลทางใจ...



บทนำ

“ฮึบ… โง้ย ไม่ถึง ฮึบ”

เด็กตัวเล็กวัย 7 ขวบในชุดเอี๊ยมสีเหลืองอ่อนกำลังพยายามเขย่งเท้าสุดตัว มือน้อยๆชูป่ายไปมาใต้ต้นไม้ใหญ่ เหตุเกิดจากการทำลูกโป่งสวรรค์สีแดงหลุดมือลอยมาเกี่ยวกับต้นไม้หน้าคฤหาสน์หลังใหญ่หลังหนึ่ง

แต่ไม่ว่าจะเขย่งเท้าให้สูงแค่ไหนมือก็ยังเอื้อมไม่ถึงอยู่ดี แต่จะให้ปีนต้นไม้ขาสั้นๆก็ปีนไม่ถึงเหมือนกัน เหตุการณ์ตรงหน้าทำให้เด็กหนุ่มวัย 12 ปีที่แอบมองอยู่สักพักแล้วอดเดินเข้าไปช่วยไม่ได้

“อ๊ะ…” น้องตัวเล็กร้องอย่างตกใจเมื่อมีใครที่ไหนก็ไม่รู้มาอุ้มเขาขึ้น มองลงไปก็เห็นเป็นพี่ชายหน้าตาดูใจดียิ้มมาให้

“เขย่งจนสุดปลายเท้าก็ไม่ถึงหรอกน่าตัวเล็ก อ่ะหยิบสิ” พี่ชายตัวสูงบอกน้องพร้อมรอยยิ้ม เขากระชับอุ้มน้องให้สูงขึ้นจนน้องเอื้อมมือไปคว้าเอาลูกโป่งเจ้าปัญหานี่ได้

“ข… ขอบคุณครับ” น้องตัวเล็กที่สูงเลยเอวพี่ชายตัวสูงมาไม่กี่เซนฯเอ่ยขอบคุณอย่างน่ารักเมื่อพี่ชายปล่อยให้เขาลงมายืนแล้ว

พี่ชายตัวสูงลูบหัวเล็กไปมาด้วยความเอ็นดู เขาคว้าไปหยิบเจ้าลูกโป่งของน้องมาผูกที่ข้อมือเล็กไว้หลวมๆเพราะกลัวว่าเจ้าลูกโป่งเจ้าปัญหานี่จะลอยหนีน้องตัวเล็กไปอีก

“บ้านอยู่ที่ไหนครับ เดี๋ยวพี่ภพเดินไปส่ง” เขาถามน้องพลางคว้ามือเล็กๆมาจับไว้ พี่ชายตัวโตที่แทนตัวเองว่าพี่ภพหรือภวินท์ กิจจานนท์เดินจูงมือน้อยของน้องตัวเล็กไว้หลวมๆพลางเดินตามถนนฟุตบาธไปเรื่อยๆ

“หลังนี้ครับ” น้องชี้นิ้วไปที่คฤหาสน์หลังโตที่ตั้งอยู่ข้างๆบ้านของเขา

หือ? น้องอยู่บ้านข้างๆนี่เอง ไม่ยักจะเคยเห็น

“อ๋อ เราเป็นเพื่อนบ้านกันนี่นา เพิ่งย้ายมาอยู่เหรอครับ พี่ภพไม่เคยเห็นหน้าตัวเล็กเลย” 

“บ้านคุณปู่ของนทเองครับ นทมาเที่ยวตอนปิดเทอม” น้องตัวเล็กที่แทนตัวเองว่านทหรือนทีริน พงศ์เรืองรองเอ่ยบอกพลางยิ้มกว้างจนเห็นฟันกระต่ายสองซี่น่ารักจนพี่ตัวสูงกว่าอดหยิกแก้มขาวเบาๆเพราะอดหมั่นเขี้ยวไม่ได้

น่ารัก

เด็กอะไรก็ไม่รู้เหมือนเด็กผู้หญิงเลย ตัวก็ขาวนุ่มนิ่มไปหมด แก้มก็ป่องมีสีแดงพาดริ้วจนน่าฟัด


ภาพหลานชายของเจ้าสัวพีระ กิจจานนท์และหลานชายของอาจารย์แพทย์ทิวา พงศ์เรืองรองจูงมือกันไปคุยกันไปเป็นภาพที่น่ารักมากสำหรับคนที่เดินผ่านไปมา พี่ชายตัวสูงในชุดกีฬาจูงมือน้องตัวเล็กหยอกล้อกันตลอดทางราวกับว่าสนิทกันมานาน ทั้งที่จริงแล้วเพิ่งจะรู้จักกันวันนี้

“ถึงแล้วครับ”
เสียงใสของน้องเอ่ยบอกพี่ชายตัวสูงเมื่อเดินเข้ารั้วคฤหาสน์หลังใหญ่ไม่แพ้กับคฤหาสน์ของเขาเลย

ร่างสูงจับจูงมือน้องตัวเล็กเดินเข้าไปในคฤหาสน์หลังโตสไตล์โคโลเนียลซึ่งต่างจากบ้านของเขาที่เป็นสไตล์วิกตอเรีย แต่ต้องยอมรับเลยว่าบ้านพงศ์เรืองรองมีการตกแต่งสวยไม่แพ้บ้านกิจจานนท์ของเขาเลย ยิ่งมาตั้งข้างกันมีรั้วติดกันแล้วยิ่งทำให้บ้านทั้งสองหลังดูโอ่อ่าหรูหราและดูมีอำนาจมากกว่าบ้านหลังอื่นๆที่อยู่บริเวณเดียวกัน

ภวินท์รู้ดีว่าคุณหมอทิวาตระกูลพงศ์เรืองรองนั้นเป็นเพื่อนกับอากงของเขามานาน แต่พอหมดรุ่นของอากงแล้วรุ่นลูกหลานก็ไม่ได้สนิทชิดเชื้ออะไรกันสักเท่าไร จึงทำให้เขาไม่เคยเจอและรู้จักกับน้องตัวเล็กคนนี้อย่างไรล่ะ วันนี้เป็นวันดีเสียจริงที่ได้รู้จักน้องตัวเล็กแล้ว ใบหน้าหล่อยิ้มพรายเมื่อมองไปที่ดวงหน้าหวานของน้อง

อยากมีน้องน่ารักๆแบบนี้ไปนอนกอดที่บ้านเสียจริง

ก่อนจะได้คิดอะไรไปมากกว่านี้ก็มีหญิงสาววัยรุ่นอายุประมาณ 20 ต้นๆคนหนึ่งวิ่งกระหืดกระหอบมาทางเขาและน้องตัวเล็กด้วยท่าทางที่ดูร้อนใจไม่น้อย

“คุณหนูขา… ไปไหนมาคะเนี่ย พี่นวลเป็นห่วงแทบแย่” หญิงสาวที่เรียกตัวเองว่าพี่นวลเดินเข้ามาหาคุณหนูของเธอด้วยสีหน้าเป็นห่วง

“นทไปเล่นแถวหน้าบ้านเองนะครับพี่นวล ไม่ได้ไปไหนไกลสักหน่อย” น้องตัวเล็กบอกพี่นวลพร้อมรอยยิ้มกว้างซึ่งภวินท์คิดในใจว่าเป็นยิ้มที่น่ารักที่สุดเลย

เขาชอบเวลาน้องยิ้มมากเลย มันเหมือนว่าโลกทั้งใบมันสดใสไปหมด แววตากลมโตดูเป็นประกายสดใสราวกับดวงดาวที่ระยิบระยับบนท้องฟ้า

“คราวหลังต้องบอกพี่นวลก่อนจะออกไปเล่นข้างนอกนะคะ พี่หาคุณหนูไม่เจอ หัวใจพี่แทบวาย” พี่นวลเอ่ยบอกด้วยความเป็นห่วง จะไม่ให้ห่วงได้อย่างไร ก็เธอมีคุณหนูคนเดียวนี่นา

“คิก พี่นวลเว่อร์จัง” น้องหัวเราะเบาๆกับความห่วงโอเวอร์แอคติ้งของพี่เลี้ยงสุดสวยที่เลี้ยงเขามาตั้งแต่เล็กๆ พี่นวลทำหน้างอนหน่อยๆแต่ก็หัวเราะออกมาเบาๆ

“เอ… แล้วหนุ่มหล่อคนนี้นี่ใครกันคะเนี่ย” พี่เลี้ยงร่างอวบถามขึ้นทันทีที่เห็นเด็กหนุ่มที่ยืนหล่ออยู่ข้างหลังคุณหนูของตน

“พี่ภพใจดี เขาช่วยนทเก็บลูกโป่งครับ” น้องตัวเล็กบอกพลางหันไปยิ้มกว้างให้พี่ชายที่ยืนอยู่ข้างๆ

“สวัสดีครับพี่นวล ผมภพนะครับ อยู่บ้านข้างๆนี่เองครับ” ภวินท์ยกมือไหว้พี่นวลอย่างนอบน้อมจนพี่เลี้ยงร่างอวบยกมือรับไหว้แทบไม่ทัน

“อ๋อ คุณภพหลานชายของเจ้าสัวพีระนี่เอง พี่ก็นึกว่าหนุ่มหล่อที่ไหน” พี่เลี้ยงร่างอวบเอ่ยชมพร้อมรอยยิ้ม พลางนึกไปถึงตอนที่ไปซื้อของในตลาด แล้วได้ยินแม่ค้าขาเม้าท์ลือกันให้แซ่ดว่าหลานชายของเจ้าสัวพีระเจ้าของตลาดนั้นรูปงามนามเพราะกันทุกคน

สงสัยเรื่องที่แม่ค้าในตลาดพูดกันว่าหลานชายของตระกูลกิจจานนท์หน้าตาดีนี่จะจริง เพราะขนาดคุณภพอายุแค่ไม่เท่าไร ยังดูหล่อแล้วก็สูงสมวัย ถ้าโตเป็นผู้ใหญ่คงจะหล่อไม่เบาแน่เลย

“พี่ภพจะเข้าบ้านไปทานขนมกับนทก่อนไหมครับ” น้องตัวเล็กเดินมาเขย่ามือเขาเบาๆพลางเอ่ยชวนอย่างน่ารัก

ภวินท์คิดในใจว่าเขานี่ท่าจะบ้าไปแล้ว เพราะเริ่มหลงเด็กตัวเล็กนี่แล้วล่ะสิ ทำอะไรก็น่ารักน่าเอ็นดูไปหมด
หรือเพราะเขาไม่มีพี่น้องกันนะ จะมีก็แต่ลูกพี่ลูกน้องที่วัยใกล้เคียงกันหมด แถมญาติๆของเขาก็ไม่ได้น่ารักตาโตแก้มป่องแบบน้องตัวเล็กเลยสักคน

“พี่ภพก็อยากทานขนมกับตัวเล็กนะครับ แต่วันนี้พี่ภพมีนัดกับคุณครูไปเรียนขี่สกีแล้วน่ะสิครับ”

“ว้า… เสียดายจังเลย” น้องน้อยยู่ปากเสียดาย

“งั้นเอาไว้วันหลังนะครับตัวเล็กเดี๋ยวพี่ภพมาเล่นด้วยนะ”

พี่ชายตัวสูงย่อเข่าลงให้หน้าอยู่ในระดับกับน้องพร้อมลูบหัวเล็กเบาๆด้วยความเอ็นดูก่อนที่จะเลื่อนหน้าเข้าไปหอมแก้มกลมของน้องตัวเล็กฟอดใหญ่อย่างชื่นใจ

ฟอด

“อ๊ะ…” น้องร้องตกใจก่อนจะเอามือกุมแก้มกลมของตัวเองไว้ แก้มป่องๆขึ้นสีแดงอย่างกับซอสมะเขือเทศหกใส่ พี่ชายตัวสูงเห็นน้องเขินหน้าแดงก็หัวเราะชอบใจ

“ว้าย! คุณหนูของพี่นวล โดนพี่ภพขโมยหอมแก้มซะแล้ว” แม่บ้านตัวกลมเอ่ยแซ็วก่อนจะหัวเราะเบาๆทำให้เด็กโดนแซ็วหน้าแดงแจ๋ราวกับลูกตำลึง ยิ่งโดนแซ็วโดนล้อคุณหนูของพี่นวลก็ยิ่งเขินอายม้วนไปใหญ่

“งื้อ… พี่นวลอ่า… อย่าแซ็วนทสิ” น้องตัวเล็กทำหน้ามุ่ยที่โดนแซ็ว ก่อนจะหันมายู่ปากใส่พี่ชายอย่างงอนๆที่แอบมาขโมยหอมแก้มเขาเฉยเลย

ทำไมพี่ภพไม่ขอดีๆ มาขโมยหอมแบบนี้ นทตั้งตัวไม่ทันเลย

“ฮ่ะๆ บ๊ายบายนะครับตัวเล็ก” พี่ชายหัวเราะชอบใจที่น้องยู่ปากงอนใส่ ก่อนจะโบกมือลาน้องตัวเล็กที่ยู่หน้ายู่ปากใส่ไม่เลิก

งอนน่ารักแบบนี้ พี่ภพยอมให้งอนทั้งวันเลยครับ

“พี่ภพคนบ้า!” น้องตัวเล็กไม่โบกมือลาตอบแต่แลบลิ้นใส่พี่ชายแทนก่อนจะรีบวิ่งเข้าบ้านไปพร้อมความเขินและใจเต้นแรงจนคับอก ก็นอกจากคุณพ่อกับคุณแม่แล้วก็คุณปู่แล้ว น้องนทตัวเล็กไม่เคยโดนใครหอมแก้มอีกเลยนี่นา

การพบกันของหลานชายทั้งสองตระกูลในวันนั้นเกิดเป็นความผูกพันและการเชื่อมไมตรีได้อย่างเหนียวแน่นจนในภายภาคหน้าไม่มีใครคาดคิดเลยว่าจะกลายเป็นความสัมพันธ์ที่อึดอัดจนเจ็บปวด


เมื่อคนนึงเก็บความรู้สึกทุกช่วงความทรงจำเอาไว้จนล้นหัวใจส่วนอีกคนกลับปล่อยทุกอย่างและมองข้ามไปอย่างไม่ใยดี…


To be continue

หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi}
เริ่มหัวข้อโดย: tasteurr ที่ 27-02-2019 23:22:12
ติดตามค่ะ
ประโยคสุดท้ายมาพร้อมดราม่าเลย

 :pig4:
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi}
เริ่มหัวข้อโดย: sailom_orn ที่ 28-02-2019 01:15:38
 :L2: รอจ้า
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๑
เริ่มหัวข้อโดย: yokindy ที่ 28-02-2019 10:27:57
บทที่ ๑



คฤหาสน์หลังใหญ่ตั้งอยู่ใจกลางย่านธุรกิจที่มีการออกแบบให้เป็นสไตล์วิกตอเรียผสมผสานกับการตกแต่งแบบจีนประยุกต์เนื่องจากเจ้าของบ้านมีเชื้อสายจีน เจ้าสัวพีระ กิจจานนท์ประมุขของบ้านเป็นคนไทยเชื้อสายจีนโดยบรรพบุรุษสืบเชื้อมาจากประเทศฮ่องกงและได้มาแต่งงานกับคนไทยจึงได้ย้ายมาตั้งรกรากกันที่ประเทศไทยตั้งแต่นั้นมา ตระกูลกิจจานนท์ได้ก่อตั้งธุรกิจในประเทศไทยจากร้านขายของชำเล็กๆจนเติบโตกลายเป็นห้างสรรพสินค้าที่มีชื่อว่าเดอะแกรนด์อ็อฟสยามที่มีสาขาอยู่ทั่วประเทศ เจ้าสัวพีระและพี่น้องร่วมสายเลือดต่างช่วยกันบริหารจัดการจนเดอะแกรนด์ฯประสบความสำเร็จและมีชื่อเสียงไปทั่วโลก เจ้าสัวพีระได้แต่งงานกับหญิงสาวชาวฮ่องกงที่บิดาและมารดาเป็นผู้เลือกให้และได้กำเนิดทายาทเป็นลูกชายคนหนึ่งต่อมาลูกชายและลูกสะใภ้ได้ให้กำเนิดหลานชายคนแรกและคนเดียวของเจ้าสัวนั่นก็คือ ภวินท์ กิจจานนท์ ในครั้งที่ภวินท์ยังเด็กมากพ่อและแม่ของภวินท์จำเป็นต้องย้ายรากฐานกลับไปอยู่ที่ฮ่องกงจึงได้ฝากให้เจ้าสัวพีระดูแลภวินท์ให้ จึงไม่แปลกเลยที่เจ้าสัวจะรักหลานชายคนนี้มาก

 

แต่บางทีการที่รักมากเกินไปอาจจะยิ่งทำให้เจ็บช้ำมากได้เช่นกัน

 

 

 

นักธุรกิจหนุ่มหลานชายเจ้าสัวตระกูลดังเจ้าของห้างสรรพสินค้าชื่อดัง เปลี่ยนคู่ควงอีกแล้ว คราวนี้เป็นนักแสดงหนุ่มชื่อดังจากซีรี่ย์วัยรุ่นที่กำลังดังมากในขณะนี้ ควงกันเที่ยวญี่ปุ่นไม่แคร์สื่อฯ กดอ่านต่อ…

 

 

“คุณภพนะคุณภพ กลับมาจากอเมริกาแล้วแทนที่จะกลับบ้านนะคะ ดั๊นไปเที่ยวกับดาราที่ไหนอีกก็ไม่รู้ คุณหนูดูสิคะ แบบนี้มันทำเกินไปแล้วนะคะ” พี่นวลชูแท็บเล็ตให้เจ้านายดูพลางบ่นกระปอดกระแปดด้วยความเจ็บใจแทนเจ้านาย ในขณะที่เจ้านายของเธอก็ได้หาใส่ใจไม่ ไม่หันมามองสิ่งที่เธอให้ดูแม้แต่น้อยเพราะมัวแต่ทำง่วนทำขนมอย่างตั้งใจ

 

“ช่างเขาเถอะครับพี่นวล เขาจะไปไหนกับใคร จะกลับบ้านหรือไม่กลับก็ช่างเขาเถอะ” นทีรินเอ่ยบอกพี่เลี้ยงคนสนิทอย่างไม่ยี่หร่ะ

 

“แต่ว่าคุณหนูคะ คุณหนูเป็นภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณภพนะคะ คุณหนูจะปล่อยไปแบบนี้จริงๆเหรอคะ” นทีรินหันหน้ามาดูภาพในแท็บเล็ตเจ้าปัญหาของพี่นวลอีกครา พบว่าในนั้นพาดหัวข่าวตัวโตพร้อมรูปถ่ายที่มีปาปารัสซี่ตามถ่ายนั้นเป็นภาพถ่ายที่เห็นแต่ด้านหลังของชายร่างสูงสมส่วนคนหนึ่ง แต่เพียงด้านหลังนทีรินก็รู้ดีนั่นแหละว่าเป็นสามีทางนิตินัยของเขาจริงๆและข้างๆสามีนั้นก็เป็นชายหนุ่มร่างเพรียวบางคนหนึ่งซึ่งนทีรินก็ไม่ได้ใส่ใจด้วยว่าเป็นใคร

 

เพราะนี่ไม่ใช่คนแรกและครั้งแรก

 

และเขาก็เจอเรื่องแบบนี้บ่อยครั้งจนชินเสียแล้ว

 

“นทก็ปล่อยแบบนี้มาตั้งนานแล้วนี่ครับ จะให้นทไปทำอะไรล่ะครับหืม” คุณหนูของพี่นวลยิ้มบาง

 

สายตากลมโตหม่นลงจนพี่นวลรับรู้ได้ คุณหนูของเธอน่ะทำได้เพียงหน้าชื่นแต่อกตรมเพียงใดใครเล่าจะรู้ เพราะคุณภวินท์นั่นแหละที่เห็นแก่ตัวแล้วก็ไม่เคยนึกถึงใจของคุณหนูของเธอเลยสักนิด แบบนี้จะไม่ให้เธอเจ็บใจได้อย่างไร

 

“โถน่าสงสารจริง คุณหนูของพี่” พี่เลี้ยงคนขี้แยน้ำตาไหลพรากด้วยความสงสารคุณหนูของตน ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปกี่ปีนทีรินก็จะมีพี่นวลที่ทั้งเป็นห่วงและดูแลอย่างนี้เสมอมาไม่เคยเปลี่ยน

 

“ฮ่ะๆ พี่นวลนี่ขี้แยตลอดเลยนะ… หยุดร้องไห้แล้วก็ไม่ต้องไปสนใจคนอื่นเลยครับ มาชิมแกงบวดฟักทองสูตรคลีนของนทดีกว่าว่าโอเคหรือยัง นทจะได้ตักไปให้อากงทาน” คุณหนูเอ่ยบอกพี่เลี้ยงที่ยังนั่งเอามือเช็ดน้ำตาป้อยๆ

 

พี่นวลเป็นคนเจ้าน้ำตามาแต่ไหนแต่ไรแล้วเขารู้ดี ยิ่งถ้าเป็นเรื่องของเขาแล้วล่ะก็ พี่นวลยิ่งน้ำตาตกได้ง่ายเพราะนอกจากคุณพ่อคุณแม่แล้วก็คุณปู่แล้ว ชีวิตของเขาก็มีแต่ผู้หญิงคนนี้นี่แหละที่คอยอยู่เคียงบ่าเคียงไหล่ดูแลกันมาจนถึงตอนนี้ไม่เปลี่ยนไปไหน

 

พี่นวลใช้ช้อนตักชิมฟักทองแกงบวดสูตรคลีนของคุณหนูที่ยืนทำหน้าลุ้นอยู่ข้างๆ เคี้ยวละเลียดขนมหวานที่ก่อนจะยิ้มเต็มแก้มเพราะว่ามันอร่อยมาก เมื่อเห็นท่าทางเช่นนั้นนทีรินยิ้มกว้างด้วยความดีใจก่อนจะตักขนมใส่ถ้วยกระเบื้องเคลือบอย่างดี ใบหน้าหวานยิ้มพอใจกับผลงานของตัวเอง พลางคิดไปว่าคนที่เขาตั้งใจทำฟักทองแกงบวดให้จะชอบหรือเปล่า เพราะว่าเขาคิดค้นสูตรนี้อยู่นานโขกว่าจะทำออกมาได้อร่อยขนาดนี้ เขาตั้งใจหาข้อมูลโภชนาการต่างๆและส่วนผสมทดแทนความหวานที่ไม่ใช่น้ำตาลก็เพื่อคนสำคัญของเขาแค่คนเดียว

 

อากง…

 

อากงชอบทานฟักทองแกงบวดมากแต่ทานไม่ได้เพราะหมอสั่งห้ามไม่ให้ทาน แต่กระนั้นเขานี่แหละก็จะดื้อด้านคิดค้นสูตรมาทำให้อากงทานจนได้เพราะเขาอยากเห็นอากงมีความสุขที่ได้ทานของโปรด แปลกดีจริงที่อากงเป็นคนจีนแท้ๆแต่กลับชอบขนมหวานของไทยมากโดยเฉพาะฟักทองแกงบวดที่สามารถทานได้ทุกวันไม่มีเบื่อ อาจจะเป็นเพราะว่าคุณปู่ของเขาชอบทำแต่ฟักทองแกงบวดนี่มาให้อากงทานล่ะมั้ง อากงถึงได้ไม่ชอบทานขนมหวานอย่างอื่นเลย

 

แล้วก็แปลกเหมือนกันคนรอบข้างตัวเขา คนบางคนเคยเป็นเช่นไรก็เป็นเช่นนั้นตลอดเสมอต้นเสมอปลาย ส่วนคนบางคนก็เปลี่ยนไปราวกับไม่เคยรู้จักกัน

 

 “พี่ภพ…” เสียงใสเอ่ยเรียกบุคคลที่ได้ชื่อว่าเป็นพี่ชายที่แสนดีด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ภวินท์มองดวงหน้าหวานด้วยสายตาว่างเปล่าและเย็นเยียบก่อนจะเอ่ยประโยคที่คนฟังน้ำตาคลอหน่วย

 

“ต่อไปนี้ไม่ต้องมายุ่งกันอีก” สิ้นประโยคนั้นขายาวของชายร่างสูงกว่า 185 เซนติเมตรก็ก้าวเดินออกไปโดยไม่หันมองใครอีกเลย

 

“ฮึก… พี่ภพ” นทีรินพยายามก้าวขาตามไปแต่ก้าวไม่ออกเลยแม่แต่น้อย ประโยคแสนเจ็บปวดนั่นทำเขาหมดแรงเสียดื้อๆ มันเจ็บไปหมด เจ็บไปทั้งใจจนแทบไม่มีแรง

 

“คุณหนูคะ” พี่นวลเดินเข้ามาประคองร่างของคุณหนูได้ทันท่วงที

 

ร่างอวบกอดนทีรินไว้แนบอกมือป้อมลูบหัวลูบหลังปลอบประโลมคุณหนูของเธอที่ร้องไห้ราวกับจะขาดใจด้วยความสงสารจับใจจนตัวเธอเองก็ร้องไห้ตาม

 

“ฮึก… พี่นวลครับ พี่ภพเกลียดนทแล้ว พี่ภพไม่อยากยุ่งกับนท ฮือ…”


 

 

 

“อากงครับ… นทมาแล้ว… วันนี้นททำฟักทองแกงบวดมาให้ด้วยนะครับ”

 

มือบางวางถาดของหวานสุดโปรดของชายชราประมุขของบ้านกิจจานนท์ไว้ที่โต๊ะเลื่อนได้สำหรับวางอาหารให้ผู้ป่วย ก่อนจะลากเลื่อนมาเพื่อให้คนป่วยได้ทานอย่างถนัดถนี่ นทีรินยิ้มให้ชายชราที่ใครต่อใครก็ต่างเกรงขามในอำนาจของท่าน แต่สำหรับนทีรินแล้วคุณพีระเป็นชายชราที่ใจดีที่สุดในโลกเลย

 

“นท… ภพ… ภพกลับมาหรือยัง” เสียงแหบพร่าของชายชราที่ป่วยด้วยโรคชราตามอายุเอ่ยถามขึ้นขณะที่ทานของหวานสุดโปรดที่หลานสะใภ้ทำมาให้หมดเรียบร้อยแล้ว

 

ได้ยินคำถามที่แสนจะตอบยากเช่นนั้นคนฟังก็ถอนหายใจออกมาเบาๆก่อนจะเอ่ยตอบด้วยใบหน้าติดยิ้มบางๆ

 

“คือว่า… พี่ภพยังไม่กลับมาเลยครับ สงสัยงานยุ่งน่ะครับอากง”

 

“ไม่จริงหรอก มันทิ้งอั๊วกับลื้อไปตั้งหลายปี ไม่เคยกลับมาให้เห็นหน้า จนอั๊วป่วยขนาดนี้มันก็ไม่เคยมาเยี่ยม สงสัยมันจะยังโกรธอั๊วไม่หาย” ใบหน้าของชายชราหม่นแสงลงราวกับความหวังทั้งหมดพังทลายที่หลานชายคนเดียวของตระกูลไม่ยอมกลับมาเยี่ยมและดูใจเขาเป็นครั้งสุดท้าย คุณพีระกลัวเหลือเกินว่าเขาจะอยู่ไม่ทันที่หลานชายคนโปรดจะกลับมา

 

นทีรินเห็นใบหน้าเศร้าหมองของคุณพีระเขาก็ได้แต่เศร้าตาม พลางค่อนขอดต่อว่าคนเป็นสามีทางนิตินัยในใจ

 

ทำไมภวินท์ถึงใจร้ายขนาดนี้ทั้งๆที่รู้อยู่แก่ใจว่าตอนนี้อากงไม่สบาย ทำไมถึงไม่กลับมาเยี่ยมอากงบ้าง ต่อให้จะโกรธอากงเรื่องการแต่งงานกับเขามากเพียงใดแต่ก็ควรจะแยกแยะได้นี่ว่าเรื่องแต่งงานกับเรื่องที่อากงป่วยมันคนละส่วนกัน

 

ภวินท์จากไปตั้งแต่ครั้งนั้นวันที่พวกเขาสองคนแต่งงานและจดทะเบียนสมรสกัน ซึ่งในตอนนั้นภวินท์มีอายุเพียง 22 ปีและนทีรินมีอายุเพียง 17 ปีเท่านั้น หลังจากนั้นสามีทางนิตินัยหมาดๆของเขาก็เดินทางไปอเมริกาทันทีโดยไม่สนใจคนรอบข้างเลยว่าจะเป็นอย่างไรและรู้สึกเช่นไรบ้าง นี่มันก็เป็นเวลาแปดปีแล้วสินะที่เขาจากไปและไม่เคยกลับมาเลย

 

คนใจร้าย

 

“พี่ภพเขาไม่คิดแบบนั้นหรอกครับ เขารักอากงนะ” ถึงแม้ในใจจะต่อว่าเพียงใดแต่กระนั้นนทีรินก็ยังเชื่อว่าภวินท์รักอากงมาก หากไม่รักมากก็คงไม่มีทิฐิมากเพียงนี้หรอก

 

“ลื้อก็เป็นแบบนี้ทุกที แก้ตัวแทนมันตลอด” อากงเอ่ยว่าไม่จริงจัง นทีรินยิ้มกว้างเมื่อเห็นรอยยิ้มบางๆบนใบหน้าของชายชรา

 

“นทพูดจริงๆนะครับ ถ้าเรารักใครมากๆเวลาโกรธกันก็จะโกรธมากแบบนี้แหละครับ”

 

“แต่อั๊วก็ไม่เห็นว่าลื๊อจะโกรธได้มันสักทีทั้งๆที่มันทำกับลื๊อขนาดนี้”

 

คำพูดจี้ใจดำเช่นนั้นทำให้นทีรินนิ่งไป มันก็จริงอย่างที่เจ้าสัวพีระว่า เพราะเขาไม่เคยโกรธภวินท์ได้เลยสักครั้งแม้จะอยากโกรธมากเพียงใดก็ตาม

 

“นท”

 

“ครับ”

 

“ลื๊อเคยโกรธอั๊วไหม ที่ให้แต่งงานกับภพ” ชายชราเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง

 

“นทไม่เคยโกรธอากงนะครับ นทรู้ว่าอากงหวังดีกับนทและครอบครัวของนทมาตลอด”

 

หากว่าไม่ได้เจ้าสัวพีระป่านนี้ครอบครัวของเขาอาจจะไม่ได้เป็นเช่นนี้ก็ได้ อากงหวังดีกับนทีรินและครอบครัวพงศ์เรืองรองมาตลอด และนทีรินก็รับรู้มาตลอดว่าเจ้าสัวพีระและคุณปู่ทิวาของเขารักกันมากเพียงใด นทีรินเข้าใจและซาบซึ้งในความรักของทั้งคู่ ที่แม้จะรักกันมากเพียงใดแต่ก็ยอมเสียสละเพื่อกันและกันไปทำหน้าที่ที่ถูกต้องเพื่อไม่ให้ครอบครัวถูกประณามและติฉินนินทาจากบุคคลอื่น

 

“ลื๊อนี่เหมือนทิวาปู่ของลื๊อมากเลยรู้ไหม… อั๊วคิดถึงปู่ของลื๊อนะ”

 

ความน่ารักใจดีและเข้าใจในบุคคลอื่นนั้นนทีรินมีเหมือนกับทิวาอย่างกับถอดแบบ เพราะเป็นเช่นนี้อย่างไรล่ะเจ้าสัวพีระถึงได้รักทั้งสองคนมาก

 

“นทก็คิดถึงคุณปู่เหมือนกันครับ” นทีรินยิ้มบางเมื่อนึกไปถึงคุณปู่ของเขาที่ตอนนี้ไปอยู่บนสวรรค์แล้ว

 

“นท ลื๊อติดต่อภพให้อั๊วได้ไหม อั๊วไม่รู้จริงๆว่าตัวเองจะมีชีวิตไปอีกนานแค่ไหน อั๊วอยากเจอภพเป็นครั้งสุดท้าย” ชายชราเอ่ยร้องขอมือเหี่ยวย่นจับที่มือบางของหลานสะใภ้แน่นราวกับฝากความหวัง นทีรินกุมมือเหี่ยวย่นนั้นแน่นราวปลอบประโลม

 

“อากงไม่พูดแบบนั้นสิครับ อากงยังแข็งแรง อากงต้องอยู่กับนทไปนานๆนะ”

 

นทีรินไม่อยากได้ยินแบบนี้ การสูญเสียคนที่เรารักมันทำใจลำบากจริงๆ เจ้าสัวพีระเป็นเหมือนครอบครัวที่เหลืออยู่ของเขา เพราะตั้งแต่ที่ปู่ทิวาเสียชีวิตไปด้วยโรคร้ายตอนนทีรินอายุได้เพียง 15 ปี ต่อมาไม่นานพ่อและแม่ของนทีรินก็มาประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตทั้งคู่อีก ตั้งแต่นั้นมาเจ้าสัวพีระก็ได้รับอุปการะดูแลเขามาตลอด นทีรินไม่อยากคิดเลยถ้าหากต้องเสียเจ้าสัวพีระไปอีกคน แล้วชีวิตของเขาจะเหลือใครอีก

 

“นท ลื๊อต้องยอมรับความจริงนะ อั๊วอยู่กับพวกลื๊อได้อีกไม่นาน ติดต่อภพให้อั๊วนะ ทำเพื่ออั๊วอีกสักครั้งนะ”

 

คำร้องขอครั้งสุดท้ายของชายชราผู้มีพระคุณทำให้นทีรินปฏิเสธไม่ได้ เขาพยักหน้ารับปากและจะพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้ภวินท์กลับมาหาอากงให้ได้

 

“ครับ นทจะติดต่อพี่ภพให้มาหาอากงให้ได้ครับ อากงไม่ต้องกังวลนะครับ”

 

“ขอบคุณลื๊อมากนะ” เจ้าสัวพีระยิ้มบางๆอย่างมีความหวัง

 

ถึงแม้ว่าความหวังมันจะแทบไม่มีเลยก็ตาม…

 

 

*********


 

“นท”

 

“…”

 

“นท”

 

“…”

 

“คุณนทีริน!”

 

“หะ! เออว่าไงนิน” นทีรินสะดุ้งตกใจเมื่อได้ยินเสียงเรียกชื่อตัวเองดังข้างหู

 

ตอนนี้นทีรินออกมาทานอาหารกลางวันที่ร้านอาหารญี่ปุ่นสุดหรูแห่งหนึ่งกับเพื่อนสนิทของเขาที่เรียนมาด้วยกันตั้งแต่สมัยมัธยม

 

“เป็นอะไรหรือเปล่า ดูเครียดๆนะ” ภาณินหรือนิน เพื่อนสนิทคนหนึ่งของนทีรินเอ่ยถามขึ้นมาด้วยความห่วงใย เนื่องจากเห็นว่านทีรินนั่งเหม่อมาเป็นเวลาสักพักแล้ว

 

“คิดเรื่องอากงน่ะ” นทีรินเท้าคางพลางถอนหายใจออกมาเบาๆ คำขอร้องของอากงที่นทีรินปฏิเสธไม่ได้ยังดังก้องในโสตประสาทซ้ำไปซ้ำมาราวตอกย้ำ

 

“มีอะไรร้ายแรงหรือเปล่า ระบายให้นินกับเหมือนฟังได้นะ” ภาณินเอ่ยบอก่อนจะหันไปพยักเพยิดกับ เหมือนชนกหรือเหมือน เพื่อนสนิทอีกคนหนึ่งของนทีริน

 

“อากงให้เราติดต่อหาพี่ภพ ท่านกลัวว่าท่านจะไม่ทันได้เจอหน้าพี่ภพ… เราจะทำยังไงดีทุกคน” นทีรินเอ่ยบอกเพื่อนรักทั้งสองเพื่อหารือ 

 

ไม่ใช่ว่าที่ผ่านมาเขาไม่เคยคิดจะติดต่อสามีทางนิตินัยเลย ตอนที่แต่งงานกันใหม่ๆแล้วภวินท์ต้องเดินทางไปอเมริกาเขาก็พยายามจะติดต่อเจ้าตัวเพราะอยากจะไปส่งอีกฝ่ายให้เดินทางปลอดภัยแต่ภวินท์กลับเมินเฉยต่อการติดต่อของเขาและทำเช่นนั้นมาตลอดทุกครั้งที่เขาพยายามจะติดต่อหา

เขาเสียใจแต่กลับไม่โกรธอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย อาจจะเป็นเพราะเขารักอีกฝ่ายมากเกินไปอย่างที่เจ้าสัวพีระเคยกล่าวไว้นั่นแหละ

 

“ก็โทรฯหาพี่ภพเลยสินท” เหมือนชนกออกความเห็น

 

“เราไม่อยากโทรฯ” นทีรินก้มหน้างุดบอกเพื่อนขมุบขมิบ

นทีรินกำลังกลัว กลัวว่าภวินท์จะไม่ตอบรับอย่างที่ผ่านมา

 

“อ้าว งั้นส่งข้อความแทนดีไหมล่ะ”

 

“ไม่รู้สิ ถ้าเขาเห็นว่าเป็นข้อความของเรา เขาอาจจะลบทิ้งก็ได้นะ” เอ่ยบอกพลางถอดถอนใจเบาๆ

 

“พี่ภพใจร้ายขนาดนั้นเชียวเหรอเนี่ย” ภาณินเอ่ยขึ้นก่อนจะยื่นมือไปจับมือเล็กของนทีรินไว้ราวกับปลอบใจ

 

“นั่นสิ นี่ขนาดนทเป็นภรรยาของเขาแท้ๆนะ ใจร้ายจริง” เหมือนชนกเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ

 

ไม่ใช่ว่าทั้งคู่ไม่รู้ว่าที่ผ่านมานทีรินเพื่อนรักของพวกเขาต้องเจอะเจอและอดทนกับการเป็นภรรยาของภวินท์ กิจจานนท์มากเพียงใด รู้ว่าภวินท์ใจร้ายกับนทีรินมากเพียงใดเขาทั้งคู่ก็รับรู้มาตลอดแต่ก็ไม่เคยได้พูดอะไรออกไปเพราะมันไม่ใช่เรื่องที่สมควรจะพูด

 

“เฮ้อ…” นทีรินถอนหายใจไม่รู้กี่พันกี่ร้อยรอบแล้ว เพราะเขาหนักใจจริงๆ

 

ใจหนึ่งก็อยากทำให้อากงสมหวัง แต่อีกใจก็ไม่อยากจะติดต่อหาคนใจร้ายคนนั้นเลย

 

“เรานึกออกแล้ว ลองฝากพี่ปรินซ์ไปบอกไหม พี่ปรินซ์เป็นลูกพี่ลูกน้องของพี่ภพไง เขาคงติดต่อกันอยู่เรื่อยๆนั่นแหละ” ภาณินเสนอความเห็นด้วยหน้าตาชื่นบาน

 

พี่ปรินซ์ที่เขาพูดถึงก็คือ ปริญญ์ กิจจานนท์ หลานชายของเจ้าสัวพายุน้องชายของเจ้าสัวพีระนั่นเอง ซึ่งก็ถือได้ว่าปริญญ์และภวินท์ต่างก็เป็นลูกพี่ลูกน้องกัน และที่สำคัญตอนนี้ภาณินกับปริญญ์ก็เป็นแฟนกันอีกด้วยจึงติดต่อกันได้ไม่ยาก

 

“งั้นเรารบกวนนินฝากพี่ปรินซ์ไปบอกเขาได้ไหม” เมื่อได้ยินเช่นนั้นนทีรินก็เริ่มมีความหวังขึ้นมา

 

“ได้สิ ไม่รบกวนหรอก เดี๋ยวเราคุยกับพี่ปรินซ์ให้ ไม่ต้องเป็นกังวลไปนะนท” ภาณินรับปากยิ้มกว้างและนั่นก็ทำให้นทีรินสบายใจมากขึ้นที่อย่างน้อยก็ยังพอมีหนทางให้ภวินท์กลับมาหาอากงได้บ้าง

 

“ขอบคุณมากนะนิน”

 

“ไม่เป็นไรเลย รีบกินข้าวกันดีกว่า คุณแซลมอนของนทจะบูดเหมือนหน้านทแล้วนะ” ภาณินเอ่ยล้อเลียนเพื่อนรักก่อนจะหัวเราะชอบใจเมื่อเห็นใบหน้าของนทีรินจากเครียดๆกลับกลายเป็นหน้ามุ่ยงอนๆแทน

 

“ฮื่อ… หน้านทไม่บูดสักหน่อย”

 

ทั้งภาณินและเหมือนชนกต่างก็หัวเราะเฮฮาไม่ให้บรรยากาศตึงเครียดนั่นก็ทำให้นทีรินรู้สึกสบายใจมากขึ้นและรู้สึกดีมากที่อย่างน้อยชีวิตของเขาก็มีแต่เพื่อนที่ดีเข้ามา

 

 

*********

 

 

“คุณนท ดื่มน้ำผลไม้ก่อนนะครับ” อินหรืออินทนิล เลขาฯคนสนิทของนทีรินยื่นแก้วน้ำผลไม้ส่งให้เจ้านายอย่างที่ทำเป็นประจำ

 

“ขอบคุณนะครับพี่อิน” นทีรินหยิบแก้วมาดื่มจนหมดด้วยความเหนื่อยอ่อนหลังจากที่เขาออกจากที่ประชุมอันแสนกดดันและเคร่งเครียด

 

“เหนื่อยไหมครับ เข้าประชุมกับบอร์ดฯทีไร คุณนทดูเหนื่อยทุกครั้งเลย วันนี้คงไม่มีอะไรแย่ๆใช่ไหมครับ” อินทนิลถามด้วยความเป็นห่วง เพราะรู้ดีเสมอว่าเจ้านายของเขาต้องแบกรับภาระอันหนักอึ้งอยู่เพียงผู้เดียวนับตั้งแต่ที่เจ้าสัวพีระล้มป่วย

 

“ทางบอร์ดฯอยากให้คุณภพกลับมาดำรงตำแหน่งประธานกรรมการแทนอากงน่ะครับ เพราะคุณภพเป็นทายาทอันดับหนึ่งโดยชอบธรรมของอากง แต่พี่อินก็รู้ใช่ไหมครับว่าตอนนี้คุณภพเองก็มีธุรกิจเป็นของตัวเองแล้ว เขาอาจจะไม่อยากกลับมาบริหารบริษัทของตระกูล”

 

ถึงแม้จะไม่ได้เจอกันนาน แต่นทีรินก็ยังคงติดตามข่าวของสามีทางนิตินัยอยู่เสมอๆ ข่าวที่ภวินท์เพิ่งจะเปิดตัวธุรกิจนำเข้าอะไหล่รถยนต์ซูเปอร์คาร์ซึ่งดูเหมือนว่าตอนนี้ธุรกิจนั้นกำลังจะไปได้สวยเลยทีเดียว นทีรินจะทำอย่างไรดีเพื่อให้ภวินท์กลับมาบริหารธุรกิจของตระกูล งานนี้คงจะยาก เพียงแค่คิดนทีรินก็รู้สึกเหนื่อยเพิ่มแล้ว

 

“ทำไมคุณนทคิดแบบนั้นล่ะครับ ยังคิดว่าคุณภพโกรธเรื่องการแต่งงานอยู่เหรอครับ” อินทนิลเอ่ยถามเพราะเขาเป็นอีกหนึ่งคนที่ทราบว่าการแต่งงานของภวินท์และนทีรินนั้นเป็นการคลุมถุงชน

 

“ครับ ก็มีแค่เรื่องนี้แหละครับ” หากไม่ใช่เรื่องนี้แล้วมันจะเรื่องอะไรกัน ยิ่งคิดก็ยิ่งเครียด ภวินท์จะรับรู้บ้างไหมว่าเขาต้องแบกรับภาระอะไรของกิจจานนท์ไว้บ้าง

 

หน้าที่ของนทีรินตอนนี้คือต้องดูแลจัดการทุกอย่างภายในบ้านกิจจานนท์ในฐานะภรรยาของทายาทเพียงคนเดียวของกิจจานนท์ นอกจากนี้เขายังต้องเป็นตัวแทนประชุมให้กับอากงและบริหารจัดการในฐานะหุ้นส่วนรายใหญ่ของห้างสรรพสินค้าเดอะแกรนด์อ็อฟสยามอีกด้วย ถึงแม้ว่าเขาจะเรียนรู้งานบริหารมาตั้งแต่เริ่มเข้ามหาวิทยาลัยก็ตาม

แต่ถึงอย่างไรเขาก็ไม่ใช่ทายาทที่แท้จริงของกิจจานนท์อยู่ดี ถ้าหากภวินท์จะไม่กลับมาบริหารแล้วจริงๆ นทีรินก็อาจจะต้องขออนุญาตขายหุ้นให้กับทายาทคนอื่นๆที่มีหุ้นส่วนรองลงมาและพร้อมที่จะบริหารมากกว่า ส่วนตัวเขาขอเป็นแค่หุ้นส่วนธรรมดาๆก็พอ การแบกรับภาระอันหนักอึ้งไว้เพียงคนเดียวมันทำให้นทีรินรู้สึกท้อมากขึ้นทุกที แต่ถึงกระนั้นความท้อแท้เรื่องงานหรืออะไรก็ตามนั้นมันก็ยังเทียบเท่าความท้อแท้ที่มาจากการถูกทอดทิ้งและเมินเฉยจากสามีทางนิตินัยอย่างภวินท์ไม่ได้เลย

 

“คุณนทอย่าเพิ่งเครียดนะครับ ผมเชื่อว่ายังไงคุณภพก็ต้องกลับมาแน่นอนครับ”

เสียงทุ้มนุ่มของอินทนิลเอ่ยปลอบประโลมเจ้านายพร้อมรอยยิ้ม นทีรินถอนหายใจยาวก่อนจะยิ้มตอบเลขาฯคนสนิทบางๆ

 

“นทก็ขอให้เป็นแบบนั้นนะครับพี่อิน”

 

นทีรินตระหนักไว้เสมอว่าเมื่อไรที่ภวินท์กลับมาและเมื่ออากงไม่อยู่แล้ว การแต่งงานของเขากับภวินท์ก็อาจจะต้องถึงเวลาสิ้นสุดสักที

 

เขาไม่เคยคิดจะรั้งภวินท์ไว้ เพราะเขารู้แก่ใจดีว่าพี่ภพ พี่ชายที่แสนดีของเขาคนนั้นไม่มีอีกแล้ว

 

ไม่มีวันที่มันจะเหมือนเดิม ถึงแม้ว่าความรู้สึกของเขาที่มีต่อภวินท์มันจะเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยนไปก็ตาม เขายังคิดถึงพี่ภพที่แสนใจดีและน่ารักกับเขาเสมอแต่ทว่ายิ่งคิดเขาก็ยิ่งเจ็บ

 

 

เพราะว่าพี่ภพที่แสนดีคนนั้นไม่มีวันกลับมาเป็นเหมือนเดิมอีกแล้ว…


To be continue

______________________________________________________________________________________




TALK WITH WRITER :: สวัสดีค่าตอนแรกมาแล้วววววว แง้ มีใครสงสารน้องนทบ้าง พระเอกเรื่องนี้ปากร้ายแล้วก็ใจร้ายด้วยค่ะ แต่อย่าเพิ่งเกลียดพี่ภพของพี่เจ๊น้า 55555555555 ฝากพี่ภพกับน้องนทไว้ในใจทุกคนด้วยนะคะ เจอกันตอนหน้าค่ะ :)
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi}
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 28-02-2019 11:01:40
 :pig2: :pig2: :pig2:
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi}
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 28-02-2019 13:50:46
รอตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๒ (8-3-62)
เริ่มหัวข้อโดย: yokindy ที่ 08-03-2019 20:54:25
บทที่ ๒



“ถึงแล้วครับผมบ้านแสนสุขของคุณภพ ไม่ได้กลับมาซะนาน ยังสวยเหมือนเดิมเลยนะครับ เผลอๆสวยกว่าเดิม น่าอยู่กว่าเดิมด้วย” เสียงของโต๋ คนขับรถประจำตำแหน่งพ่วงด้วยเพื่อนเล่นสมัยเด็กของภวินท์เอ่ยขึ้นด้วยความตื่นเต้น โต๋เดินทางไปกับภวินท์ทุกที่ตั้งแต่ภวินท์เดินทางไปอเมริกาเขาก็ต้องไปด้วยในฐานะคนรับใช้คนสนิทและคนขับรถ


“มึงจะหยุดเว่อร์ได้หรือยังไอ้โต๋ ไปขนของลงไป” เสียงทุ้มเข้มอันทรงพลังของหลานชายเจ้าสัวพีระดังขึ้น ร่างสูงในชุดสูททันสมัยดูน่าเกรงขามและเป็นที่จับตามองของทุกคนในบ้านกิจจานนท์

 

“ครับๆ แหม ก็มันน่าอยู่จริงๆนี่ครับ… หู้ว! แปลงดอกไม้ตรงนั้นส้วยสวย สงสัยคุณนทจะเป็นคนจัดการทั้งหมดแน่ๆเลย” คนขับรถคนสนิทของภวินท์เอ่ยขึ้นก่อนจะชี้ไปทางสวนดอกไม้ที่มีการตกแต่งอย่างสวยงามดูประณีต ซึ่งดูก็รู้ว่าการตกแต่งที่ดีนั้นย่อมมาจากคนที่มีรสนิยมที่ดีแบบนทีรินภรรยาของภวินท์แน่นอน


“มึงรู้ได้ยังไงว่านทีรินเป็นคนทำ” ภวินท์เอ่ยถามทั้งที่ในใจก็รับรู้ได้ว่าเป็นฝีมือของภรรยาของเขาแน่นอน

 
“แหมคุณภพก็… พูดอย่างกับไม่รู้จักคุณนทนะครับ คุณนทน่ะชอบปลูกต้นไม้จะตายไปครับ จำตอนที่คุณนทเด็กๆไม่ได้เหรอครับ คุณนทน่ะชอบปลูกดอก… เอ… ดอกฟออะไรวะ ดอกฟอ…”


“ฟอร์เก็ตมีน็อต” เสียงทุ้มเอ่ยพึมพำเบาๆจนแทบไม่ได้ยินแต่กลับดังขึ้นในโสตประสาทของเขาเสียจนห้ามไม่ได้ว่าฟอร์เก็ตมีน็อตคือดอกไม้ที่นทีรินและเขาชอบจริงๆ

 

 
“ตัวเล็ก!”เสียงเรียกคุ้นเคยดังขึ้นข้างหูของนทีรินที่กำลังปลูกต้นไม้อย่างตั้งใจต้องตกใจจนสะดุ้ง

 
“อ๊ะ… พี่ภพ! ตกใจหมดเลยตัวใหญ่บ้า!”

 
“ฮ่ะๆ ทำอะไรอยู่ครับ”ภวินท์หัวเราะร่าที่แกล้งเด็กตัวเล็กได้


“กำลังกินข้าวอยู่ครับ”เด็กตัวเล็กตอบพร้อมรอยยิ้มกวนๆจนคนฟังหมั่นเขี้ยว มือใหญ่ขยี้กลุ่มผมนิ่มไปมาเบาๆจนคนตัวเล็กหัวเราะคิกคัก

 
“กวนแล้วนะตัวเล็ก เดี๋ยวจะโดน”

 
“คิกๆ พี่ภพก็เห็นนี่นาว่านทกำลังจะปลูกต้นไม้น่ะ”

 
“ปลูกคนเดียวหมดนี่น่ะเหรอ”ภวินท์มองรอบข้างของเด็กตัวเล็กที่ถูกรายล้อมไปด้วยต้นไม้หลากหลายชนิดรวมๆกันแล้วน่าจะยี่สิบกว่าต้นได้

 
“ใช่แล้ว”

 

“โห เหนื่อยแย่เลย ให้พี่ภพช่วยดีกว่า”ภวินท์เอ่ยบอกพร้อมรอยยิ้มก่อนจะหยิบพลั่วพรวนดินขึ้นมาถือไว้อย่างแข็งขัน

 

“อ้าว แล้ววันนี้ไม่ได้มีนัดเตะบอลกับพวกพี่นาย พี่ซานแล้วก็พี่ปรินซ์เหรอครับ” นทีรินเอ่ยถามขณะที่มือเล็กก็หยิบต้นไม้ฝังลงไปในดินไปด้วย เพราะปกติแล้วภวินท์จะไปเตะบอลกับญาติๆตามประสาเด็กหนุ่มทั่วไป ซึ่งต่างจากเขาที่ไม่ชอบเล่นกีฬากลางแจ้งแต่กลับชอบที่จะทำกิจกรรมต่างๆที่เกี่ยวกับธรรมชาติมากกว่า

 

“ไม่มีครับ วันนี้ว่างก็เลยมาเล่นกับตัวเล็กไง” ว่าไม่พอมือใหญ่ยังยื่นมาหยิกแก้มใสของนทีรินเบาๆเป็นการหยอกล้อจนเจ้าของแก้มกลมร้องโอดโอยออกมา

 

“โอ๊ยๆ หยิกแก้มอีกแล้ว มันเจ็บนะ!”

 

“อยากน่ามันเขี้ยวเองช่วยไม่ได้”

 

“ฮึ่ย! มาช่วยนทขุดดินเลย”

 

“ฮ่ะๆ รับทราบคำบัญชาครับ” หัวเราะร่าก่อนจะตะเบ๊ะท่าใส่รับคำคนตัวเล็กก่อนจะใช้พลั่วพรวนดินให้อย่างตั้งใจ

 

นทีรินยิ้มกว้างเมื่อเห็นท่าทางตั้งใจของภวินท์ และก็รู้สึกดีที่ภวินท์พี่ชายที่แสนดีคนนี้ไม่เคยเบื่อกับสิ่งที่เขาชอบทำเลยแม้แต่น้อยกลับกันภวินท์ดูสนใจในสิ่งที่เขาชอบทำอีกต่างหาก นทีรินทราบดีว่าตัวเองนั้นเป็นเด็กที่ไม่ชอบเล่นกีฬาผาดโผนหรือกิจกรรมการละเล่นใดๆที่เด็กผู้ชายคนอื่นชอบทำกัน แต่เขากลับชอบงานประดิษฐ์ประดอย ทำอาหารและขนม หรือไม่ก็ปลูกต้นไม้อย่างสงบๆมากกว่าออกไปตะลอนเที่ยวเล่นข้างนอก

 

“ตัวเล็กครับ”เสียงเรียกของผู้ช่วยจำเป็นดังขึ้นนทีรินจึงหลุดจากความคิดต่างๆ

 

“หืม?”

 

“นี่เขาเรียกว่าดอกอะไรเหรอ สีสวยดี”มือหนาลูบไปที่ต้นไม้ดอกต้นหนึ่งที่ดอกของมันเป็นสีฟ้าอมม่วงสวยงาม

 

“ฟอร์เก็ตมีน็อตครับ นทชอบดอกนี้มากเลย สวยแล้วความหมายก็ดีด้วยนะพี่ภพ”นทีรินเอ่ยตอบพร้อมรอยยิ้มกว้าง ดวงตาหวานเป็นประกายเมื่อพูดถึงดอกไม้ที่ตนโปรดปราน

 

“ฟอร์เก็ตมีน็อต… อย่าลืมฉัน?”ภวินท์ทวนคำก่อนจะยิ้มกว้างไปให้

 

“ใช่ครับ อย่าลืมฉัน”

 

“ไม่ลืมแน่นอนครับ”

 

เมื่อเอ่ยจบนทีรินก็หน้าแดงระเรื่อพร้อมรอยยิ้มหวานที่ตอบรอยยิ้มกว้างของคนพูดอยู่แล้ว คำว่าไม่ลืมของภวินท์มันติดตรึงในใจของนทีรินไปตลอดทั้งวันและจะเป็นเช่นนั้นตลอดมา

 

 

“คุณภพคะ…”

 

ภวินท์หลุดจากห้วงภวังค์เมื่อได้ยินเสียงเรียกชื่อของตัวเองพร้อมร่างปรากฎของพี่เลี้ยงคนสนิทของภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายของเขา

 

“สวัสดีครับพี่นวล” มือหนายกขึ้นเป็นกระพุ่มไหว้พี่เลี้ยงคนสนิทของภรรยาด้วยความนอบน้อม

 

“สวัสดีค่ะ ยินดีต้อนรับกลับบ้านนะคะ” พี่นวลยกมือรับไหว้ก่อนจะเอ่ยบอกพร้อมรอยยิ้ม แม้ว่าภายในใจจะโกรธเคืองภวินท์เพียงใดแต่อย่างไรภวินท์ก็คือสามีที่ถูกต้องของคุณหนูของเธอที่เธอต้องเคารพเทียบเท่าคุณหนูของเธอ

 

“ขอบคุณครับ อากงล่ะครับ”

 

“เจ้าสัวอยู่ข้างบนค่ะ”

 

“ครับ ผมขอขึ้นไปหาท่านหน่อยนะครับ” ร่างสูงแสนสง่ากำลังจะเดินขึ้นข้างบนเพื่อไปเยี่ยมบุคคลที่มีพระคุณที่สุดในชีวิต แต่กลับต้องชะงักเท้าเมื่อได้ยินเสียงอันคุ้นเคยดังขึ้นก่อน

 

“ใครมาครับพี่นวล…  พ… พี่ เอ่อ… คุณภพ”

 

ใบหน้าหวานดูจะตกใจไม่ใช่น้อยกับการกลับมาของเขา ภวินท์มองใบหน้าหวานของภรรยาตามกฎหมายด้วยสีหน้าราบเรียบและไม่มีคำพูดใดๆเอื้อนเอ่ยออกมาแม้แต่การทักทาย นทีรินสบตากับสามีก่อนจะสังเกตุได้ว่าร่างสูงสมส่วนของภวินท์ที่ดูเป็นผู้ใหญ่กว่าตอนที่จากไปเมื่อแปดปีที่แล้วใบหน้าหล่อคมคายที่ไม่เปลี่ยนไปเลยต่างจากเดิมหน่อยก็คือท่าทีนิ่งขรึมและเย็นชา แต่กระนั้นภวินท์ก็ยังทำให้หัวใจดวงน้อยของนทีรินเต้นแรงจนเจ้าตัวอยากปรามให้มันหยุดเต้นเสียเดี๋ยวนี้

 

“สวัสดีครับคุณภพ” มือบางยกขึ้นเป็นพุ่มไหว้สามีอย่างนอบน้อมด้วยใบหน้าราบเรียบปนหวั่นเกรงเล็กน้อย แต่ท่าทีแสนประหม่าที่ปกปิดไม่มิดนั้นทำให้ภวินท์ยกยิ้มมุมปากขึ้นน้อยๆก่อนจะเอ่ยบอก

 

“อืม ผมอยากขึ้นไปหาอากง พาไปหน่อยสิ”

 

“ครับ เดี๋ยวผมให้พี่อินพาขึ้นไปนะครับ” นทีรินเอ่ยบอกคนเป็นสามีก่อนจะหันไปไหว้วานเลขาฯคนสนิทอย่างอินทนิลที่ยืนอยู่เคียงข้าง แต่ยังไม่ทันได้เอ่ยอะไรเท่าไรเสียงเข้มของภวินท์ก็ดังขึ้นก่อน

 

“ตอนจะติดต่อผมก็ต้องให้คนอื่นติดต่อแทน พอตอนนี้จะให้พาไปหาอากงก็ยังต้องให้คนอื่นพาขึ้นไปแทนอีก นี่คุณไม่คิดจะทำอะไรด้วยตัวเองบ้างเหรอนทีริน ไม่เจอกันไม่เท่าไรไม่ยักรู้ว่าคุณขี้ขลาดขึ้นเยอะ”

 

น้ำเสียงราบเรียบแต่ถ้อยคำที่เต็มเปี่ยมไปด้วยคำดูถูกและต่อว่านั้นทำให้นทีรินกัดฟันแน่นด้วยความเจ็บใจ

 

นทีรินยอมรับว่ายังไม่อยากเข้าหน้าภวินท์ตอนนี้เนื่องจากตั้งรับไม่ทันกับการกลับมาอย่างกะทันหันของภวินท์ แต่เมื่อมีถ้อยคำแสนต่อว่าดูถูกนั่นออกมานทีรินจึงสูดลมหายใจเข้าลึกๆและเชิดหน้าขึ้นก่อนจะเอ่ยบอกด้วยเสียงที่หนักแน่นและต้องการสื่อให้รู้ว่าเขาไม่เคยขี้ขลาด

 

“ครับ ผมจะพาคุณขึ้นไปหาอากงเอง”

 

 

 

“ทำไมไม่ให้อากงนอนห้องนอนข้างล่าง อยู่ด้านบนมันขึ้นลงลำบาก” ภวินท์เอ่ยถามร่างบอบบางที่เดินเคียงข้างขณะที่ทั้งคู่เดินขึ้นบันไดมาพร้อมกัน

 

“นท… เอ่อ ผมบอกให้อากงย้ายลงมาแล้วครับ แต่อากงไม่อยากไปนอนห้องอื่นนอกจากห้องของตัวเอง” นทีรินเอ่ยตอบพลางนึกเอ็ดตัวเองในใจที่เกือบจะหลุดแทนตัวเองด้วยชื่อเล่นกับภวินท์ เกือบลืมไปแล้วเชียวว่าตอนนี้เขากับภวินท์นั้นไม่ได้เป็นเหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว

 

“แล้วคุณก็ยอมอากงน่ะเหรอ”

 

เสียงทุ้มพร้อมใบหน้าที่ดูอย่างไรก็คือการตั้งใจที่จะยั่วโมโหเขาชัดๆนั้นทำให้นทีรินแทบจะสะกดอารมณ์ของตัวเองไม่อยู่ ที่ภวินท์พูดแบบนี้นั้นคือการหาว่าเขารับมือกับอากงไม่ได้ชัดๆ ทั้งๆที่ตลอดแปดปีที่ผ่านมาก็มีแต่เขาที่ดูแลและอยู่กับอากงมาตลอด

 

ว่าแต่เรา แล้วตัวเองล่ะมัวแต่ไปอยู่ที่ไหนมา เพิ่งจะกลับมาเอาป่านนี้ นทีรินค่อนแคะในใจอย่างเดือดดาล 

 

“แล้วคุณจะให้ผมทำยังไงครับ ในเมื่อย้ายลงมาข้างล่างแล้วอากงนอนไม่หลับแล้วอาการก็ทรุดลง คุณคิดว่าผมอยากเห็นอากงอาการทรุดลงเหรอครับ”

 

“หึ! คุณนี่ก็ยั่วโมโหขึ้นง่ายจริงเลยนะ” เอ่ยขึ้นพร้อมยกยิ้มมุมปากท้าทาย นทีรินพยายามสะกดกลั้นอารมณ์โมโหไว้ภายในเพราะไม่อยากจะต่อล้อต่อเถียงให้เกิดโมโหมากไปกว่านี้ ร่างบางสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนจะเอ่ยตัดบท

 

“คุณรอตรงนี้ก่อนนะครับ ผมจะเข้าไปบอกอากงว่าคุณกลับมาแล้ว”

 

“ทำไมต้องรอ เข้าไปพร้อมกันนี่แหละ เห็นหน้าผมอากงก็ไม่น่าจะดีใจจนช็อกหรอกท่านแข็งแรงจะตาย” เสียงทุ้มเอ่ยบอกติดตลกแต่นทีรินกลับไม่ขำ เขาไม่ชอบที่ภวินท์พูดเอาความเป็นความตายของอากงมาพูดล้อเล่น

 

คนอะไรปากเสียที่สุด!

 

นทีรินต่อว่าคนเป็นสามีในใจแต่ภวินท์รับรู้ได้ผ่านสายตากลมโตของภรรยาจึงกระตุกยิ้มอย่างพึงใจก่อนจะเปิดประตูเดินเข้าไปในห้องของเจ้าสัวพีระทันที นทีรินจึงเดินตามเข้าไปด้วยอารมณ์เดือดดาลและเจ็บใจที่ต่อว่าภวินท์ตรงๆไม่ได้

 

ภวินท์เดินเข้าไปภายในห้องนอนใหญ่ที่คุ้นเคยเพราะเขาชอบมานอนที่ห้องนี้กับอากงตั้งแต่ตอนเด็กๆแล้ว ภาพชายชราที่เคยแข็งแรงและอุ้มเขาขี่คอบ่อยๆแต่บัดนี้กลับนอนแน่นิ่งไม่ไหวติงไปไหน ภวินท์รู้สึกผิดที่ทิฐิของเขามันมากเกินจนเกือบกลับมาไม่ทันดูใจอากง บุคคลที่เขารักและเคารพเทียบเท่าพ่อแม่ผู้ให้กำเนิด ทั้งชีวิตของภวินท์มีอากงอยู่ในทุกช่วงเวลามาตลอด แต่เมื่อแปดปีที่แล้วมันมีเรื่องราวต่างๆเกิดขึ้นมากมายจนเขาในวัยนั้นรับไม่ทันและในเวลานั้นเขายอมรับว่าเขาโกรธอากงจริงๆแต่บัดนี้เมื่อเขาได้มาเจออากงแล้วความรู้สึกเหล่านั้นมันก็มลายหายไปจนหมดสิ้น

 

“อากงครับ… คุณภพกลับมาหาอากงแล้วนะ” นทีรินเห็นว่าภวินท์เอาแต่ยืนแน่นิ่งอยู่กับที่ ร่างบางจึงเดินเข้าไปที่เตียงหลังใหญ่แล้วเอ่ยปลุกชายชราที่นอนหลับอยู่บนเตียง

 

“ภพ… มาแล้วเหรอ… อั๊วขอโทษ…” เสียงแหบพร่าของเจ้าสัวพีระดังขึ้นทั้งที่ยังไม่ลืมตาเมื่อได้ยินชื่อของหลานชาย

 

“อากงครับ ผมอยู่นี่ครับ” ภวินท์ทรุดนั่งข้างเตียงก่อนจะจับมือของเจ้าสัวพีระขึ้นมากุมไว้ เจ้าสัวพีระลืมตาขึ้นมองก่อนจะน้ำตาไหลเมื่อพบหน้าของหลานชายที่เขาอยากพบมาตลอด

 

“อั๊วขอโทษ… อั๊วขอโทษ”

 

เจ้าสัวพีระเอ่ยซ้ำไปซ้ำมาราวกับเพ้อแต่ยังรู้สึกตัวดีอยู่ทุกอย่าง ในใจของชายชราเจ็บแปลบขึ้นมาเมื่อนึกไปเมื่อแปดปีที่แล้ววันที่เขาทะเลาะกับหลานชายอย่างรุนแรง

 

 

“ผมไม่แต่ง!”

 

“ลื้อต้องแต่ง!”

 

เสียงทุ้มหนักแน่นของทั้งผู้เป็นปู่และหลานเถียงกันอย่างไม่มีใครยอมใครดังลั่นบ้านกิจจานนท์ นี่ถือว่าเป็นครั้งแรกเลยที่ทั้งสองทะเลาะกันหนักหน่วงจนคนในบ้านต่างเกรงกลัววกันไปเสียหมด ภวินท์และเจ้าสัวพีระเป็นคู่ปู่หลานที่สนิทกันมาก เมื่อยามรักกันดีในบ้านก็ดูร่มเย็นเป็นสุขแต่เมื่อยามได้ทะเลาะหรือผิดใจกันขึ้นมาราวกับมีไฟมาสุมภายในบ้านอย่างไรอย่างนั้น

 

“อากงจะให้ผมแต่งงานกับคนที่ผมไม่ได้รักเหรอครับ” ภวินท์ในวัย 22 ปีเอ่ยถามคนเป็นปู่ด้วยน้ำเสียงราบเรียบทว่ารั้นอยู่ภายใน

 

“อั๊วไม่เข้าใจ เมื่อก่อนลื้อก็ยังรักยังเอ็นดูน้อง ทำไมตอนนี้ลื้อถึงไม่อยากแต่งงานกับน้อง”เจ้าสัวถามขึ้นอย่างไม่เข้าใจ เมื่อก่อนภวินท์ตัวติดกับนทีรินอย่างกับอะไร

 

“ก็เพราะผมไม่ได้รักนทไงครับ”

 

“ลื้อรักน้องนท”

 

“ผมไม่ได้รัก” ค้านเสียงหนักแน่นราวกับจะเอาชนะให้ได้

 

“ลื้อรักแต่ลื้อปฏิเสธหัวใจตัวเองเพราะลื้ออยากเอาชนะอั๊ว”เจ้าสัวเองก็เถียงขึ้นค้านเสียงดังเช่นกัน

 

รู้ทั้งรู้ว่าทั้งภวินท์และตนนิสัยรั้นเหมือนกันมากแค่ไหนแต่ทั้งคู่ก็ไม่หยุดที่จะเถียงกันเพื่อเอาชนะ ภวินท์รักนทีรินมาตลอดและก็รักแบบคนรักด้วย เจ้าสัวพีระรู้ดี เพราะเขาและภวินท์มีนิสัยเหมือนกันมากและ นทีรินเองก็เหมือนกับทิวาคนรักของเขานั่นแหละ

 

ใช่ เขากับทิวาปู่ของนทีรินรักกัน แต่หากสมัยก่อนความรักเพศเดียวกันนั้นยังไม่เป็นที่ยอมรับเจ้าสัวและทิวาจึงไม่ได้สมหวังในรักเพราะต่างต้องไปใช้ชีวิตในทางที่ถูกต้อง แต่ถึงกระนั้นสุดท้ายแล้วชีวิตคู่ของทั้งเขาและทิวาก็ต่างไปไม่รอดเพราะหัวใจที่เขาทั้งคู่รักกันมันมากเกินกว่าที่จะไปเผื่อใจให้คนอื่น

 

“ผมไม่ได้รักนท ยังไงก็ไม่รัก ผมไม่มีทางรักหลานของคนรักอากงเด็ดขาด!”ภวินท์ขึ้นเสียงใส่ด้วยความเจ็บใจ

 

ทุกอย่างในความรู้สึกของภวินท์มันเปลี่ยนไปเมื่อเขารู้ความจริงว่าอากงของเขาและทิวาปู่ของนทีรินนั้นรู้สึกอย่างไรต่อกัน ภวินท์จึงรู้สึกเหมือนโดนหักหลังจากคนที่เขารักมาก เพราะที่ครอบครัวของเขาต้องย้ายกลับไปอยู่ฮ่องกงก็เพราะว่าอาม่าของเขาต้องหย่าขาดกับอากง ครอบครัวของเขาต้องแตกแยกเพียงเพราะว่าอากงรักผู้ชายคนนั้น เขาทำใจไม่ได้จริงๆ

 

“ลื้อแน่ใจนะว่าไม่ได้รักน้อง”

 

“ผมแน่ใจ ผมไม่เคยรักนทแบบคนรักแล้วก็ไม่เคยคิดจะรัก”

 

“หึ! อั๊วจะคอยดู แล้วสักวันลื้อจะรู้ว่าทิฐิที่ลื้อมีในวันนี้มันจะย้อนกลับมาทำร้ายลื้อในวันข้างหน้า!”

 

ตอนนี้ทิฐิที่ภวินท์มีต่อเขายังมากนัก แต่หากวันหนึ่งที่ภวินท์รับรู้ถึงความหวังดีของเขาและเลิกโกหกใจตัวเองเมื่อไรนั่นแหละ ภวินท์จะรู้ว่านทีรินนั้นสำคัญมากเพียงใด

 

“หึ! ที่อากงบังคับให้ผมแต่งงานกับนท เพราะอากงมีปมที่รักกับคุณปู่ของนทไม่ได้ใช่ไหมล่ะครับ ตัวเองรักกันไม่ได้ก็เลยต้องบังคับให้หลานมารักกันแทน อากงคิดว่าทำแบบนี้แล้วมันจะลดปมในใจของตัวเองได้งั้นเหรอครับ”ภวินท์เอ่ยขึ้นด้วยอารมณ์ที่เดือดดาลจนเจ้าสัวพีระเดือดตามเช่นกันที่หลานชายพูดกระแทกใจ

 

“ลื้อหุบปากเดี๋ยวนี้ กล้าดียังไงมาพูดแบบนี้กับอั๊ว!”

 

“หรือว่ามันไม่จริงล่ะครับ”

 

“จะจริงหรือไม่จริงมันก็ไม่ใช่เรื่องของลื้อ! เรื่องของลื้อก็คือต้องแต่งงานกับน้องนทอย่างไม่มีข้อแม้ ไม่งั้นลื้อกับอั๊วได้เห็นดีกันแน่อาภพ!”

 

เสียงทุ้มของเจ้าสัวพีระยื่นคำขาดเสียงดังชัดเจน ใบหน้าคมมีแต่ความขึงขังจนน่ากลัว ภวินท์นิ่งเงียบไปสักพักหนึ่งใบหน้าหล่อคมมีแต่สายตาที่ว่างเปล่ามองไปที่เจ้าสัวพีระเท่านั้นก่อนจะเอ่ยขึ้น

 

“แล้วอากงจะเสียใจที่บังคับผมในวันนี้”

 

เมื่อเอ่ยจบร่างของหลานชายก็เดินออกไปทันที แต่กลับได้ยินสิ่งที่อากงเอ่ยทิ้งท้ายตอบมาชัดเจน

 

“แล้วลื้อจะเสียใจที่ไม่ฟังอั๊วในวันนี้เหมือนกัน”

 

 

 

“อากงครับ ผมขอโทษนะครับที่ไม่ได้กลับมาหาเลย ขอโทษที่เคยก้าวร้าวใส่อากง ขอโทษสำหรับทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมเคยทำแย่ๆใส่อากงนะครับ อากงยกโทษให้หลานคนนี้นะครับ”

 

ภวินท์ยกมือขึ้นแล้วก้มกราบเจ้าสัวพีระเป็นการขอโทษและขอขมาที่เขาเคยพูดจาและแสดงกิริยาที่ล่วงเกินผู้มีพระคุณของตัวเอง เจ้าสัวพีระกุมมือหลานชายไว้แน่นก่อนจะเอ่ย

 

“อั๊วไม่โกรธแล้ว… อั๊วดีใจที่ได้เห็นหน้าลื้อก่อนที่อั๊วจะตาย” ใบหน้าของชายชราที่เคยหม่นหมองบัดนี้กลับมีแต่รอยยิ้มพรายเต็มใบหน้าน้ำตาแห่งความดีใจยังคงไหลไม่ขาดสาย

 

“อากงอย่าพูดแบบนั้นสิครับ อากงยังแข็งแรงยังอยู่กับผมและทุกคนได้อีกนาน” ภวินท์เอ่ยให้กำลังใจถึงแม้ในใจจะรู้ดีว่าอากงของเขาเริ่มจะไม่ไหวแล้วก็ตาม

 

“อั๊วรู้ดีว่าอั๊วเหลือเวลาไม่มากแล้ว หลังจากนี้อั๊วขออะไรลื้ออย่างนึงได้ไหมอาภพ”

 

“อะไรเหรอครับ”

 

“อย่าเพิ่งหย่ากับนทได้ไหม รอให้อั๊วตายไปก่อนแล้วหลังจากนั้นลื้อจะหย่ากับน้องก็แล้วแต่ลื้อเลย” เจ้าสัวพีระเอ่ยบอกขณะที่สายตากลับมองไปที่นทีรินอย่างไม่วางตา เขาเป็นห่วงหลานสะใภ้คนนี้มาก เพราะเขารับปากทิวาคนรักของเขาไว้ว่าจะดูแลนทีรินให้ดีที่สุด

 

“อากง…”

 

คำขอร้องครั้งสุดท้ายของชายชราทำให้ภวินท์ทำใจยากที่จะปฏิเสธ ใบหน้าของอากงเต็มไปด้วยความหวังที่จะให้เขาดูแลนทีรินแทนนั้นมันชัดเจนเสียจนเขาไม่อยากปฏิเสธเพื่อทำลายความหวังนั้นลง

 

“แต่ต่อให้ลื้อหย่ากันไป ฝากดูแลน้องในฐานะน้องชายเหมือนเดิมด้วยนะ…” อากงเอ่ยพร้อมรอยยิ้มบางก่อนจะหันไปกวักมือเรียกให้หลานสะใภ้เข้ามานั่งข้างๆภวินท์

 

“นท”

 

“ครับอากง” นทีรินทรุดนั่งข้างภวินท์แล้วจับมือเหี่ยวย่นของชายชราไว้แน่น

 

“ถ้าอั๊วตายไปแล้วลื้อไม่มีใคร ให้ลื้อคิดซะว่าที่นี่ก็ยังเป็นบ้านของลื้อนะ อั๊วทำหน้าที่ของอั๊วแทนทิวาโดยการดูแลลื้ออย่างดีที่สุดและสุดความสามารถแล้ว เพียงเท่านี้อั๊วก็นอนตายตาหลับแล้วล่ะ” เมื่อคำพูดในใจของชายชราผู้มีพระคุณจบลง น้ำตาแห่งความตื้นตันและเสียใจก็ไหลออกจากดวงตาคู่สวยของนทีรินไม่ขาดสาย

 

“อากงไม่พูดแบบนั้นสิครับ นท ฮึก… ไม่ยอมให้อากงตายหรอกนะ ถ้าอากงไม่อยู่ใครจะชิมขนมหวานของนทกันล่ะ ฮึก…” นทีรินสะอื้นฮักด้วยความเสียใจ เพราะเขาไม่ชอบการสูญเสียเลยจริงๆ ถึงแม้ว่าเขาจะทราบอาการของเจ้าสัวพีระดีว่าอาการหนักเพียงใดแต่เขาก็ทำใจไม่ได้เลยสักวันที่จะต้องสูญเสียชายชราคนนี้ไป

 

“ร้องไห้อีกแล้วเจ้าเด็กคนนี้… เพราะลื้อเป็นแบบนี้ไงอั๊วถึงห่วง…” เจ้าสัวลูบกลุ่มผมนิ่มของนทีรินด้วยความเอ็นดู นทีรินที่เขารู้จักเมื่อพูดถึงความตายทีไร เด็กคนนี้ก็มักจะบ่อน้ำตาแตกขึ้นมาทันทีเชียวล่ะ

 

“ภพ… ฝากน้องด้วยนะ อั๊วขอล่ะ” เมื่อละสายตาจากนทีรินไปสบตาภวินท์แทนเจ้าสัวก็เอ่ยขอร้องหลานชายอีกครั้งเพื่อให้แน่ใจว่าไม่ว่าเขาจะตายไปแล้ว แต่ภวินท์ก็ยังจะดูแลนทีรินแทนเขาเป็นอย่างดีไม่ว่าสองคนนี้จะอยู่ในสถานะใดก็ตาม

 

“ครับ ผมจะทำตามที่อากงขอ อากงพักผ่อนเยอะๆแล้วก็ไม่ต้องกังวลอะไรแล้วนะครับ ผมจะดูแลนทแล้วก็ทุกๆคนในบ้านของเราเอง” ภวินท์เอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงหนักแน่นเพื่อเป็นการการันตีกับชายชราว่าเขาจะทำทุกอย่างตามที่ขอแน่นอน เมื่อได้ยินแบบนั้นเจ้าสัวพีระก็ยิ้มบางก่อนจะพรูลมหายใจด้วยความโล่งใจก่อนจะเอ่ยขึ้น

 

“ขอบใจมากนะภพ… ลื้อรู้ไหมว่าลื้อพูดถูก เรื่องที่อั๊วมีปมที่รักกับทิวาไม่ได้จนต้องบังคับให้ลื้อมาแต่งงานกับนทแทน แต่อั๊วอยากให้ลื้อรู้ไว้นะว่าอั๊วหวังดีกับลื้อจริงๆ”

 

“…” ทั้งภวินท์และนทีรินนิ่งเงียบและแอบลอบมองกันก่อนที่จะหันหน้าหนีไปทั้งคู่เมื่อได้ฟังความในใจของเจ้าสัวพีระ

 

“อั๊วรู้ว่าอั๊วฝืนใจลื้อแต่อั๊วหวังดีกับพวกลื้อจริงๆ… จากนี้ไปลื้อสองคนก็จะเป็นอิสระจากอากงแก่ๆอย่างอั๊วแล้วนะ” เจ้าสัวพีระเอ่ยบอกติดขำเล็กน้อยแต่กลับไม่มีใครสักคนรู้สึกตลกเลยแม้แต่น้อยแต่กลับมีความรู้สึกตื้นตันกับความหวังดีของชายชราผู้นี้เข้ามาแทนที่ ความรู้สึกนี้ตีขึ้นมาภายในใจของทั้งภวินท์และนทีรินจนประโยคสุดท้ายของเจ้าสัวพีระก่อนที่ชายชราจะหลับไปนั่นแหละ

 

“ถ้าพวกลื้อมีคนรักเมื่อไร อย่าลืมพาพวกเขาไปไหว้หลุมศพของอั๊วด้วยนะ อั๊วจะได้รู้ว่าหลานรักทั้งสองของอั๊วมีความสุขดีแล้ว”

 

 



“ผมให้แม่บ้านทำความสะอาดห้องนอนของคุณแล้วนะครับ” นทีรินเอ่ยบอกเมื่อเขาทั้งสองคนเดินออกมาจากห้องเจ้าสัวพีระเพื่อให้ชายชราพักผ่อนแล้ว เพราะก่อนที่เขาจะพาภวินท์ขึ้นมาเขาบอกให้เด็กขึ้นมาทำความสะอาดห้องของภวินท์รออยู่แล้ว

 

“ขอบใจ” เสียงทุ้มเอ่ยบอกเสียงเรียบขณะที่จะเดินแยกไปที่ห้องนอนของตัวเอง

 

“สักหกโมงเย็นผมจะให้แม่บ้านมาตามไปทานข้าวนะครับ” เอ่ยบอกอีกครั้งก่อนจะได้รับเสียงตอบเบาๆในลำคอกลับมา

 

“อืม”

 

“หรือว่าคุณมีธุระจะออกไปทานข้าวข้างนอกหรือเปล่าครับ” นทีรินเอ่ยถามจนคนฟังเลิกคิ้วสงสัย

 

“ไม่นี่ ทำไมถึงถามอย่างนั้น”

 

“ไม่มีอะไรครับ ถ้าเกิดว่าคุณจะออกไปข้างนอกผมจะได้ให้คนรถเตรียมรถไว้ให้น่ะครับ” นทีรินตอบเลี่ยงๆ

 

ทั้งๆที่จริงแล้วเขาอยากจะถามออกไปว่าวันนี้ไม่ไปทานข้าวข้างนอกกับดาราหนุ่มคนนั้นเหรอต่างหาก แต่นทีรินไม่ทำเพราะเขารู้สึกว่ามันงี่เง่าเกินไปและเขาไม่มีทางที่จะถามคำถามอะไรงี่เง่าๆแบบนั้นออกไปให้ภวินท์พูดจาถากถางเขากลับมาหรอก

 

“ไม่เป็นไร ไม่ได้จะออกไปไหน” ภวินท์ตอบด้วยใบหน้าเรียบๆแต่สายตาเหมือนจะรู้ทัน นทีรินเห็นเช่นนั้นจึงรีบขอตัว

 

“ครับ ถ้างั้นผมขอตัวนะครับ”

 

“เดี๋ยว…” ยังไม่ทันจะได้ก้าวแยกออกไปเสียงทุ้มก็ทำให้เท้าชะงักไปเสียก่อน

 

“ครับ?”

 

“คิดยังไงกับเรื่องที่อากงพูดวันนี้น่ะ…” ภวินท์กอดอกถามความคิดเห็นของภรรยาด้วยเสียงนิ่งๆ

 

“ถ้าเป็นเรื่องหย่าผมคิดว่าเราควรทำตามคำขอของอากง ส่วนเรื่องที่อากงให้คุณดูแลผมคุณภพไม่ต้องเก็บมันมาคิดหรือใส่ใจหรอกนะครับ ต่อไปถ้าอากงไม่อยู่แล้วผมจะย้ายออกจากบ้านกิจจานนท์ทันที คุณภพไม่ต้องกังวลนะครับ” นทีรินเอ่ยตอบตามที่ใจคิด เพราะเขาคิดแผนไว้ตลอดว่าหากสิ้นเจ้าสัวพีระแล้วเขาจะจัดการกับชีวิตของตัวเองอย่างไรต่อไป

 

“แล้วจะไปอยู่ที่ไหน บ้านของคุณก็ขายไปแล้วไม่ใช่เหรอ” ภวินท์เอ่ยถามเพราะเขาจำได้ว่าหลังจากที่ครอบครัวของนทีรินนั้นจากไปจนหมดทุกคนแล้ว นทีรินก็จัดการขายบ้านหลังนั้นไปแล้วย้ายเข้ามาอยู่ที่บ้านของเขาตามคำขอของเจ้าสัวพีระ

 

“ไม่เป็นไรครับ ผมยังมีเพนท์เฮ้าส์ซื้อเก็บไว้อยู่ ผมจะย้ายไปอยู่ที่นั่นครับ”

 

นทีรินเป็นทายาทคนเดียวของพงศ์เรืองรอง เพราะฉะนั้นสมบัติของตระกูลพงศ์เรืองรองที่คุณปู่และพ่อแม่ของเขาสร้างไว้ให้จึงตกเป็นของเขาแต่เพียงผู้เดียว นทีรินจึงไม่ห่วงหากว่าเขาจะต้องออกจากบ้านกิจจานนท์ไปอย่างไรเขาก็ยังมีสมบัติของเขาอยู่ และมันก็มากพอที่จะทำให้เขาสร้างธุรกิจเล็กๆน้อยๆขึ้นมาได้ไม่ยากเลย เพราะเขาคิดไว้อยู่แล้วว่าหากเขาหย่ากับภวินท์ไปแล้วเขาจะไม่เอาอะไรจากกิจจานนท์ไปแม้แต่ชิ้นเดียว

 

“ถ้ามันจะลำบากก็อยู่ที่นี่ไปก่อนก็ได้ ผมก็ไม่ใช่คนใจร้ายอะไรที่จะปล่อยให้อดีตภรรยาไปตกระกำลำบากที่อื่น”

 

เสียงทุ้มเอ่ยบอกเสียงเรียบทว่าคนฟังคิดว่ามันคือคำดูถูกที่แสนเจ็บปวด นี่ภวินท์คงจะคิดน่ะสินะว่าเขาน่ะต้องไปไหนไม่รอดและต้องอยู่เป็นหนามยอกอกของอีกฝ่ายไม่ยอมไปไหน เมื่อวันที่หย่ามาถึงเมื่อไรเขานี่แหละจะทำให้รู้เลยว่าภวินท์ กิจจานนท์จะไม่มีสิทธิ์มามีบทบาทในชีวิตของเขาอีกต่อไป

 

“ผมไม่ลำบากหรอกครับ ขอบคุณที่กรุณาแต่ผมขออนุญาตไม่รับไว้” นทีรินตอบกลับไปอย่างไม่หวั่นเกรงอีกต่อไป

 

เขาเคยคิดหากว่าภวินท์จะพูดดีๆกับเขาสักนิดเขาจะไม่มีทางทำท่าทางจองหองเย่อหยิ่งแบบนี้ใส่อีกฝ่ายแน่นอน แต่สิ่งที่ร่างสูงทำตั้งแต่มาถึงก็คือการดูถูกและถากถางเขาไม่เลิก ให้ตายเขาก็ไม่มีทางยอม เพราะนทีรินถือคติใครดีมาก็ดีตอบมาเสมอ

 

“หึ! ไม่เจอกันแค่แปดปีแต่คุณรั้นขึ้นเยอะนะ” ใบหน้าหล่อแสนร้ายกาจยกยิ้มขึ้นก่อนจะพูดตามที่ใจคิด

 

เด็กคนนี้อวดดีกับเขามากขึ้นทั้งที่เมื่อแปดปีก่อนไม่เคยเป็น แต่นั่นมันก็ทำให้ภวินท์รู้ว่าภรรยาของเขานั้นไม่เปลี่ยนไปเลยแต่ถ้าจะเปลี่ยนก็อาจจะเพราะอีกฝ่ายนั้นโตขึ้นมากก็เลยทำให้ความดื้อรั้นโตตามกระมัง

 

“จริงๆผมก็เป็นแบบนี้อยู่แล้ว เพียงแต่คุณภพอาจจะจำไม่ได้เท่านั้นเองแหละครับ ขอบคุณสำหรับความหวังดีทุกอย่างนะครับ…” นทีรินหยุดคำพูดไว้ขณะที่กำลังจะเดินลงบันไดไปก่อนจะเอ่ยต่อโดยไม่หันมามองหน้าอีกฝ่าย

 

“แต่เคยปฏิบัติกับผมยังไงก็ทำเหมือนที่เคยทำนั่นแหละครับดีแล้ว”

 

สิ้นคำพูดนั้นภวินท์ก็ยิ้มพรายเขารู้สึกสนุกอย่างบอกไม่ถูกที่เห็นใบหน้าอวดดีนั่นกรุ่นโกรธมันเหมือนกับว่าอีกฝ่ายกำลังกดกลั้นอารมณ์ที่โดนยั่วโดยเขา

 

“เดี๋ยว…” เสียงทุ้มรั้งเท้านทีรินไว้

 

“…” อะไรอีก!

 

“จัดอาหารเผื่อด้วยนะ วันนี้จะกินข้าวด้วย”

 

นทีรินไม่ตอบอะไรนอกจากพยักหน้าก่อนจะรีบสาวเท้าออกไปให้ห่างคนที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีให้เร็วที่สุด เพราะถ้าหากเขาต้องพูดคุยกับคนกวนโมโหแบบภวินท์นานๆเขาต้องได้ระเบิดอารมณ์ออกมาแน่นอนซึ่งนทีรินไม่ต้องการให้มันเป็นแบบนั้น เขาไม่ต้องการให้ภวินท์เห็นว่าเขาต้องเสียการควบคุมเพียงใดและที่สำคัญเขาไม่ต้องการให้ภวินท์รับรู้ถึงความรู้สึกใดๆของเขาทั้งสิ้นเพราะว่าถ้าเขารู้สึกมันก็แปลว่าเขาใส่ใจความรู้สึกของภวินท์น่ะสิ

 

จัดอาหารเผื่องั้นเหรอ?

 

เหอะ! เสียดายของชะมัด…

 

 

 

*********************************




ต่อข้างล่าง
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! ตอนที่ ๒ (8-3-62) [ต่อ]
เริ่มหัวข้อโดย: yokindy ที่ 08-03-2019 20:55:33
“ของประมูลชิ้นต่อไปได้แก่ แจกันจีนโบราณทรงน้ำเต้าในสมัยราชวงศ์ชิงครับ ราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 25 ล้านบาทครับ”

 
เสียงพิธีกรงานประมูลของเก่าจากสมาคมชอบของเก่าของเหล่าผู้ดีและบรรดาไฮโซฯดังขึ้นท่ามกลางเสียงฮือฮาของผู้ที่ชอบสะสมของเก่ารวมไปถึงนทีรินด้วย เขาชอบสะสมของเก่าสมัยต่างๆมาก เพราะนอกจากที่จะนำมาประดับบ้านแล้ว ของบางชิ้นยังทำให้ผู้คนที่เข้ามาเยี่ยมรับรู้ถึงรสนิยมและฐานะของเจ้าบ้านได้เป็นอย่างดี นทีรินและเจ้าสัวพีระจึงชอบมาประมูลของเก่าด้วยกันบ่อยๆเมื่อครั้งที่เจ้าสัวยังมีพละกำลังที่แข็งแรงอยู่

 
“หมายเลข 5 คุณนทีริน กิจจานนท์ให้ราคาไปที่ 27 ล้านบาทครับ” นทีรินยกป้ายที่มีหมายเลขประจำตัวของตัวเองขึ้นอย่างมั่นใจ อย่างไรวันนี้เขาก็ต้องได้แจกันใบนี้กลับบ้านไปฝากเจ้าสัวพีระให้จงได้

 
“หมายเลข 7 คุณเมธาวิน เกียรติโชติให้ราคาไปที่ 29 ล้านบาทครับ” เสียงพิธีกรประกาศถึงคนที่ยกป้ายขึ้นสู้เขา นทีรินไม่ยอมยกป้ายขึ้นเรื่อยๆและก็มีคนประมูลสู้เขาเรื่อยๆจนราคาสูงขึ้นไปเรื่อยๆ

 

“หมายเลข 5 คุณนทีริน กิจจานนท์ให้ราคาไปที่ 41 ล้านบาทแล้วครับ” นทีรินยกป้ายขึ้นในราคาที่สูงที่สุดจนคนในห้องประมูลมีเสียงฮือฮา นทีรินยิ้มรับอย่างหมายมั่น อีกนิดเดียวแจกันใบนี้ก็จะเป็นของเขาแล้ว

 

“41 ล้านบาทครั้งที่หนึ่ง… 41 ล้านบาทครั้งที่สอง…”

 

“50 ล้านบาทครับ” เสียงทุ้มก้องไปทั่วห้องดังขึ้นพร้อมยกป้ายประมูลหมายเลขอันคุ้นเคย

 

“หมายเลข 9 คุณนภทีป์ เศรษฐากรณ์ให้ราคาสูงถึง 50 ล้านบาทครับ!”

 

พิธีกรประกาศชื่อคนประมูล ชื่อแสนคุ้นเคยนั้นทำให้นทีรินหันไปมองด้วยสายตากรุ่นโกรธ แต่คนที่มองมากลับไม่กลัวสายตาเขาเลยแม้แต่น้อยกลับกันใบหน้าหล่อนั้นกลับยิ้มกว้างพลางยักคิ้วล้อเลียนเขาอีกต่างหาก

 

“50 ล้านบาทครั้งที่หนึ่ง… 50 ล้านบาทครั้งที่สอง…”

 

“และ 50 ล้านบาทครั้งที่สามครับ… ขอปิดประมูลการขายให้แก่คุณนภทีป์ เศรษฐากรณ์ที่มูลค่า 50 ล้านบาทครับ ยินดีด้วยครับ”

 

ทันทีที่พิธีกรประกาศจบเสียงปรบมือก็ดังขึ้นเกรียวกราวพร้อมร่างสูงที่ยืนขึ้นเต็มความสูงของเจ้าของที่ประมูลของได้ในราคาที่สูงที่สุด ใบหน้าหล่อหันมายิ้มกวนๆให้กับนทีรินเป็นเชิงหยอกล้ออีกคราจนเจ้าตัวเบ้ปากและย่นจมูกใส่คนขี้แกล้งก่อนจะเดินออกไปจากห้องประมูลไปยังห้องจัดเลี้ยงข้างๆกันทันที

 

 

 

“สวัสดีครับคุณหมายเลข 5”

 

เสียงทุ้มอันคุ้นเคยดังขึ้นข้างหูของนทีรินขณะที่เจ้าตัวกำลังหยิบแก้วเครื่องดื่มจากบริกร ไม่ต้องบอกก็เดาออกว่าไม่ใช่ใครที่ไหนนอกจากคนขี้แกล้งที่มาประมูลของตัดหน้าเขาไปเมื่อสักครู่นี่เอง

 

“รู้จักกันด้วยเหรอครับคุณหมายเลข 9” นทีรินทักตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบใบหน้าหวานยู่ขึ้นเล็กน้อยจนคนทักหัวเราะชอบใจ

 

คุณหมายเลข 9 หรือที่ใครๆต่างก็รู้จักในชื่อนภทีป์ เศรษฐากรณ์หรือเมฆนักธุรกิจเครื่องดื่มส่งออกชื่อดัง แท้จริงแล้วนภทีป์เป็นรุ่นพี่ของนทีรินทั้งคู่สนิทสนมกันมาตั้งแต่สมัยเรียนที่มหาวิทยาลัยที่เดียวกัน

 

“ฮ่ะๆ โกรธพี่หรือเปล่าครับ”

 

“โกรธมาก… มีอย่างที่ไหนมาประมูลตัดหน้าคนอื่นแถมให้ราคาสูงเกินไปอีก แค่แจกันจีนโบราณใบนิดเดียวก็ให้กันไม่ได้ พี่เมฆใจร้ายชะมัด” นทีรินย่นจมูกใส่งอนๆจนคนโดนว่าหัวเราะชอบใจที่แกล้งรุ่นน้องได้สำเร็จ

 

“ฮ่ะๆ ว่าพี่เป็นชุดเลยนะ งั้นงานประมูลครั้งต่อไปพี่ก็ประมูลแกล้งนทไม่ได้แล้วล่ะสิ” เสียงทุ้มแกล้งเย้ารุ่นน้อง

 

 “ชิส์! นทจะไม่มางานประมูลแล้ว โดนตัดหน้าไปแบบนี้ไม่สนุกเลย” นทีรินเอ่ยบอกงอนๆก่อนจะยกแก้วพั้นซ์ขึ้นดื่มแก้กระหาย

 

“ฮ่ะๆ ถ้างั้นพี่ขออนุญาตเลี้ยงข้าวคุณหมายเลข 5 เป็นการไถ่โทษได้ไหมครับ”

 

“คิดว่าเอาของกินมาล่อแล้วนทจะหายเคืองหรือไงครับ”

 

“แล้วถ้าเป็นฟัวกราส์ชั้นดีกับคาเวียร์ชั้นเลิศแถมไวน์ของ Château d'Yquem* ที่ห้องอาหารเลอนอร์มังดี จะพอทำให้คุณหมายเลข 5 หายเคืองหมายเลข 9 อย่างพี่ได้หรือเปล่าครับ” นภทีป์เอ่ยถามพร้อมเปย์รุ่นน้องอย่างรู้ใจพร้อมรอยยิ้มกว้างใจดีที่ส่งไปให้

 

นทีรินไม่ตอบอะไรนอกจากยิ้มหวานตอบกลับมา เพราะนภทีป์รู้ดีว่าห้องอาหารเลอนอร์มังดีเป็นร้านอาหารสุดโปรดของเขาน่ะสิ แล้วแบบนี้จะปฏิเสธได้อย่างไรกัน…

 

 

 

“ได้ยินว่าตอนนี้นทเข้าไปบริหารงานแทนเจ้าสัวพีระเหรอครับ” นภทีป์เอ่ยถามขณะที่ในมือกำลังใช้มีดและส้อมหั่นชิ้นสเต็กเนื้อวากิวชั้นดีไปด้วย

 

ตอนนี้ทั้งนภทีป์และนทีรินอยู่ในห้องอาหารของโรงแรมชื่อดังอย่างเลอนอร์มังดีที่เสิร์ฟอาหารฝรั่งเศสโดยเชฟชาวฝรั่งเศสโดยเฉพาะ ร้านนี้เป็นร้านที่นทีรินโปรดปรานมากเนื่องจากเจ้าสัวพีระและคุณปู่ทิวาของเขาก็โปรดปรานร้านนี้เขาจึงชอบตามและทุกคนรอบข้างตัวเขาก็รู้ดีว่าเขาโปรดร้านนี้มากเพียงใดเพราะนอกจากจะเสิร์ฟอาหารที่อร่อยแล้วบรรยากาศในร้านก็ยังดีอีกด้วย

 

“ครับ อากงป่วยเข้าไปบริหารไม่ไหวนทเลยไปในฐานะตัวแทนของท่านน่ะครับ” นทีรินเอ่ยตอบก่อนจะตัก Crab Consomme* ขึ้นซดเบาๆ

 

“อ๋อ แล้วคุณภวินท์หลานชายเจ้าสัวเขายังไม่กลับมาเลยเหรอครับ” นภทีป์เอ่ยถามรุ่นน้องด้วยความใคร่รู้

 

ที่จริงนภทีป์ทราบดีว่านทีรินได้แต่งงานกับภวินท์ตั้งแต่หลายปีมาแล้ว เพียงแต่รุ่นน้องคนนี้ไม่ได้เล่ารายละเอียดอะไรให้เขาฟัง แล้วตัวเขาเองก็ไม่คิดจะถามไถ่หรือตอแยอะไรเพราะหากนทีรินอยากจะเล่าก็คงเล่าให้ฟังเอง

 

“เพิ่งกลับมาได้สองสามวันนี้แหละครับ” นทีรินบอกไปตามที่ทราบ ทั้งๆที่จริงแล้วภวินท์กลับมาประเทศไทยได้หลายเดือนแล้วล่ะแต่ไม่ยอมกลับบ้านสักที

 

“ได้ข่าวว่าเขาเป็นเจ้าของธุรกิจซูเปอร์คาร์นำเข้าด้วยนี่ครับ กำลังบูมมากเลยนะตอนนี้” นภทีป์เอ่ยบอกก่อนจะหยิบแก้วไวน์แดงขึ้นจิบ

 

“นี่พี่เมฆตามข่าวของเขาด้วยเหรอครับ” นทีรินเอ่ยถามด้วยความสงสัยที่รุ่นพี่คนสนิทของเขารู้เรื่องสามีของเขาด้วย

 

“ไม่ได้ตามอะไรเท่าไรหรอกครับ… ที่จริงพี่เป็นลูกค้าของเขาน่ะครับ เคยสั่งซื้อซูเปอร์คาร์ของบริษัทเขาแค่สองสามคันเอง”

 

“แค่สองสามคัน แต่ก็คันละเกือบร้อยล้านใช่ไหมครับคุณนภทีป์” นทีรินเอ่ยเย้าแหย่อย่างรู้ทัน

 

“ฮ่ะๆ ก็ตามนั้นแหละครับ” นภทีป์เกาท้ายทอยแก้เขินพลางหัวเราะออกมา

 

ทั้งคู่พูดคุยเกี่ยวกับเรื่องต่างๆที่ชอบมาแชร์ให้กันฟังและหัวเราะผสมโรงกันอย่างสนุกสนาน ท่าทางสนิทสนมของทั้งคู่ต่างอยู่ในสายตาของคนรอบข้างที่มองมาอย่างไม่วางตา รวมไปถึงสายตาของนักข่าวคนหนึ่งอีกด้วย

 

 

 

- ข่าวด่วนไฮโซกอสซิปจ้า! นักธุรกิจหน้าใหม่มาแรงอย่างคุณนภทีป์ เศรษฐากรณ์และคุณนทีริน กิจจานนท์สะใภ้ไฮโซตระกูลดังไปนั่งทานอาหารกลางวันกันที่ภัตตาคารอาหารฝรั่งเศสสุดหรูแถวสาธร จากที่ดูๆแล้วทั้งคู่สนิทสนมกันมากกว่าปกติ เอ… แบบนี้เป็นการเอาคืนสามีหรือเปล่าคะคุณนทีริน -

 

 
To be continue


______________________________________________________________________________________________

 



TALK WITH WRITER :: พี่ภพน้องนทมาแล้วค่า เป็นยังไงบ้างคะรู้ถึงความร้ายกาจของคุณภวินท์ของพี่เจ๊กันหรือยัง 55555555555 อย่าเพิ่งเกลียดพระเอกนะคะ เพราะพี่ภพยังมีเรื่องให้ทุกคนหมั่นไส้นางอีกเยอะค่ะ ฝากติดตามความร้ายของพี่ภพและเอาใจช่วยน้องนทด้วยนะคะ เจอกันตอนหน้านะคะ :)


Château d'Yquem = ชื่อยี่ห้อไวน์ที่มีชื่อเสียงมาจากเขต Sauternes Gironde ทางตอนใต้ของแคว้น Bordeaux ซึ่งเป็นแคว้นทางภาคตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศฝรั่งเศส


Crab Consomme = ซุปใสที่ทำจากน้ำสต็อคและกรองมาจากเนื้อปู ส่วนใหญ่จะเสิร์ฟเป็น appetizer ก่อนที่ทาน course อื่นๆใน French food course

 

 

 
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi}
เริ่มหัวข้อโดย: TheDoungJan ที่ 08-03-2019 21:21:15
น้องนทสู้ๆอย่าพี่ยอมพี่ภพนะ :katai4:
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi}
เริ่มหัวข้อโดย: sailom_orn ที่ 08-03-2019 21:24:20
 :hao7: จะมีใครโมโหหึงไม่น้อ
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi}
เริ่มหัวข้อโดย: tasteurr ที่ 08-03-2019 21:47:13
แหมๆ คุณภพ ถึงเวลาแล้วอย่าให้เห็นว่าอิดออดไม่ยอมเซ็นใบหย่านะคะ
ชูป้ายไฟเชียร์พี่เมฆ  :impress2:
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi}
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 08-03-2019 21:48:09
เดี๋ยวอาการแอบหวงหึงจะตามมา
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi}
เริ่มหัวข้อโดย: we.jinkyu ที่ 09-03-2019 12:38:35
ติดตามเลยค่า  :hao7:
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi}
เริ่มหัวข้อโดย: HISY ที่ 10-03-2019 00:58:11
งานนี้จะมีคนหึงไหมนะ
เวลาอัพตอนใหม่เปลี่ยนหัวเรื่องว่ามาอัพด้วยได้ไหมคะ จะได้รีบเข้ามาอ่าน อิอิ
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi}
เริ่มหัวข้อโดย: บูมเบส ที่ 10-03-2019 02:01:40
เข้ามาติดตามครับ
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi}
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 10-03-2019 03:52:20
คนใจร้ายน่าจะไม่รู้ตัว
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi}
เริ่มหัวข้อโดย: สีหราช ที่ 11-03-2019 17:29:34
 o13 :really2:
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๓ (13-3-62)
เริ่มหัวข้อโดย: yokindy ที่ 13-03-2019 23:39:09
บทที่ ๓

 

“คุณหนูขา” พี่นวลเอ่ยเรียกคุณหนูด้วยเสียงที่ร้อนรนในมือป้อมๆนั้นถือสมาร์ทโฟนของตัวเองเดินมาด้วยสีหน้าที่ไม่สู้ดีนักจนนทีรินสงสัย

 

“มีอะไรหรือเปล่าครับพี่นวล สีหน้าไม่ดีเลย”

 

“คุณหนูเห็นข่าวนี่หรือยังคะ” พี่นวลเอ่ยถามพลางยกสมาร์ทโฟนให้ดู

 

นทีรินส่ายหน้าเบาๆเพราะเขายังไม่ได้อ่านข่าวหรือสนใจข่าวอะไรเท่าไรนัก เพราะมัวแต่ยุ่งๆกับการทำงานที่ต้องรับผิดชอบ

 

“ข่าวอะไรเหรอครับ”

 

มือบางหยิบสมาร์ทโฟนของพี่นวลมาดูก็พบว่าหัวข้อข่าวนั้นพาดพิงถึงเขาและนภทีป์พร้อมรูปถ่ายตอนที่เขาและนภทีป์นั่งทานอาหารด้วยกันที่ห้องอาหารเลอนอร์มังดี

 

ในเนื้อหาข่าวกล่าวว่าเขาและนภทีป์สนิทสนมกันเกินเหตุที่ควรจะเป็นและนอกจากนี้ในเนื้อหายังกล่าวว่าเขาเอาคืนสามีอย่างภวินท์ด้วยทั้งๆที่ความเป็นจริงแล้วเขากับนภทีป์แค่ไปทานอาหารด้วยกันตามประสารุ่นพี่รุ่นน้องกันก็เท่านั้นเอง

 

นทีรินยื่นสมาร์ทโฟนคืนให้กับเจ้าของพลางถอนหายใจออกมาเบาๆอย่างปลงๆ

 

“นักข่าวนี่ก็ช่างเขียนให้คนอื่นดูแย่เสียจริง แบบนี้มันน่าจะฟ้องร้องให้สำนักข่าวเจ๊งไปซะเลยนะคะ” พี่นวลเอ่ยต่อว่าคนเขียนข่าวด้วยความโมโหและเจ็บใจแทนเจ้านาย

 

“ช่างเขาเถอะครับพี่นวล พวกคนภายนอกเขาไม่ได้มารู้อะไรเกี่ยวกับตัวของนทกับพี่เมฆเสียหน่อย อยากจะเขียนอะไรก็ช่างเถอะครับ… นทไม่แคร์หรอก” นทีรินไหวไหล่เบาๆอย่างไม่ยี่หระ เพราะเขาคิดว่านักข่าวก็คือนักข่าวเขาจะเขียนใส่สีตีไข่อะไรอย่างไรก็ได้เพราะเขาไม่ได้มาล่วงรู้ความเป็นจริงว่าอะไรเป็นอะไร

 

“แต่ว่าเราน่าจะเอาเรื่องคนพวกนี้บ้างนะคะคุณหนู มาหาว่าคุณหนูเอาคืนสามีแบบนี้ได้ยังไงกัน คุณหนูของพี่ไม่เคยทำอะไรเสื่อมเสียแบบนั้นซะหน่อย” พี่นวลเอ่ยด้วยความเป็นเดือดเป็นร้อนแทนเจ้านาย

 

เพราะคนภายนอกไม่ได้มาล่วงรู้เลยว่าคุณหนูของเธอนั้นปฏิบัติตัวดีมาตลอดและไม่เคยทำให้เกียรติของการเป็นสะใภ้ของกิจจานนท์เสื่อมเสียเลยแม้แต่นิดเดียว

 

เมื่อเห็นท่าทีเป็นห่วงของพี่นวลนทีรินก็ยิ้มกว้างออกมาก่อนจะโผเข้ากอดร่างอวบของพี่เลี้ยงคนสนิทแน่นๆ

 

“อย่าไปแคร์คนอื่นเลยครับ แค่พี่นวลและคนรอบตัวนทรับรู้ว่านทเป็นยังไงเท่านี้ก็พอครับ ส่วนคนอื่นน่ะช่างเขาเถอะ ถ้าเราต้องไปแคร์คำพูดของคนทุกคนบนโลกนี้เราก็เหนื่อยแย่น่ะสิครับ”

 

เสียงหวานเอ่ยบอกด้วยเสียงร่าเริงเมื่อเห็นว่าคนเป็นพี่เลี้ยงทำหน้ามุ่ยไม่เลิก นทีรินไม่ต้องการให้คนรอบข้างตัวเขามาเครียดกับอะไรที่มันไร้สาระและมันก็ไม่ใช่ความจริง เพียงแค่นทีรินมีคนที่พร้อมจะเข้าใจอยู่เคียงข้างและให้กำลังใจเขาก็ไม่จำเป็นต้องไปสนใจข่าวอะไรทั้งนั้น

เมื่อได้ฟังเช่นนั้นพี่นวลก็ยิ้มตอบคุณหนูก่อนจะกอดร่างเล็กของคุณหนูตอบแน่นๆเป็นการให้กำลังใจและไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นพี่นวลก็ยังจะอยู่เคียงข้างคุณหนูของเธอตลอดไป

 

หลังจากกอดปลอบใจกันและกันได้สักพัก ทั้งคุณหนูและพี่เลี้ยงก็ต้องผละออกจากกันเมื่อได้ยินเสียงของคนคุ้นเคยดังขึ้น

 

“สวัสดีครับคุณนท… สวัสดีครับพี่นวล” อินทนิลยกมือไหว้เจ้านายและพี่เลี้ยงคนสนิทของเจ้านายด้วยความนอบน้อม

 

“อ้าวพี่อิน ทานอะไรมาหรือยังครับ… มาทานของว่างกับนทไหมครับ วันนี้นททำข้าวเหนียวหน้ากุ้งกับข้าวเหนียวหน้าปลาด้วยครับ” นทีรินเอ่ยชวนเลขาฯคนสนิทด้วยความร่าเริง

 

วันนี้นทีรินทำอาหารว่างไว้ทานเยอะแยะและแบ่งให้ทุกคนในบ้านได้ทานกันทุกคน ความใจดีและใส่ใจคนอื่นของนทีรินทำให้ทุกคนรอบตัวรักเขามากๆ

 

“ครับ ขอบคุณครับคุณนท” อินทนิลยิ้มรับก่อนจะนั่งลงที่เก้าอี้ตรงข้ามกับนทีรินเป็นจังหวะเดียวที่พี่นวลวางจานอาหารว่างที่บรรจุไปด้วยข้าวเหนียวหน้ากุ้งและข้าวเหนียวหน้าปลาที่ถูกจัดเรียงสวยงามยื่นให้อินทนิลพอดี อินทนิลยิ้มพร้อมเอ่ยขอบคุณพี่นวล

 

“นี่เป็นของขวัญที่คุณนภทีป์ส่งมาให้คุณนทครับ” อินทนิลเอ่ยบอกก่อนจะยื่นกล่องพัสดุขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่มากยื่นให้เจ้านาย

 

“หือ? จากพี่เมฆเหรอครับ” นทีรินรับของมาด้วยสีหน้าแปลกใจก่อนจะแกะกล่องเปิดดู ใบหน้าหวานยิ้มขำเมื่อเห็นว่าข้างในเป็นอะไร

 

“ว้าว… แจกันสวยจังค่ะ ท่าทางจะแพงน่าดูเลยนะคะคุณหนู” พี่นวลทำเสียงตื่นเต้นเมื่อเห็นของขวัญที่ถูกส่งมาโดยรุ่นพี่คนสนิทของคุณหนูซึ่งเธอเองก็รู้จักเป็นอย่างดี

 

แพงไม่แพงก็ 50 ล้านนั่นแหละครับพี่นวล

 

นทีรินคิดในใจขำๆก่อนจะมองเข้าไปในกล่องของขวัญที่มีการ์ดหนึ่งใบเสียบมาด้วย มือบางหยิบการ์ดใบเล็กขึ้นมาอ่าน

 

 

‘ได้รับของเรียบร้อยแล้วใช่ไหมครับคุณหมายเลข 5 ของขวัญชิ้นนี้พี่ฝากให้เจ้าสัวพีระด้วยนะครับ และฝากบอกท่านด้วยว่าขอให้ท่านหายป่วยไวๆจะได้ไปงานประมูลด้วยกันอีก ขอฝากของขวัญชิ้นนี้เป็นกำลังใจให้ท่านด้วยนะครับ จาก คุณหมายเลข 9’

 

 

ฮึ่ย! แกล้งกันตลอดเลยนะคุณหมายเลข 9 น่าโมโหจริงเชียว

 

ใบหน้าหวานยู่ขึ้นเล็กน้อยเมื่อนึกไปถึงรุ่นพี่จอมขี้แกล้งของตนเอง นภทีป์ชอบแกล้งเขาอยู่เป็นประจำตั้งแต่เมื่อครั้งที่เขาและนภทีป์เรียนมหาวิทยาลัยด้วยกัน แต่นทีรินก็ไม่ปฏิเสธว่าถึงแม้นภทีป์จะขี้แกล้งเพียงใดแต่ที่จริงแล้วนภทีป์เป็นรุ่นพี่ที่ใจดีมากจริงๆ

 

“คุณเมฆส่งของขวัญมาเนื่องในโอกาสอะไรเหรอคะคุณหนู”

 

“ที่จริงไม่ได้ส่งมาให้นทหรอก พี่เมฆส่งมาให้อากงน่ะครับ” นทีรินตอบพี่นวลยิ้มๆ

 

มือบางหยิบแจกันจีนใบงามที่เขาตั้งใจไปประมูลวันนั้นขึ้นมาดูรอบๆ นทีรินคิดในใจว่าหากเจ้าสัวพีระได้เห็นแจกันใบนี้แล้วจะต้องดีใจมากแน่ๆ เพราะเจ้าสัวพีระชอบสะสมของโบราณต่างๆอยู่แล้ว

 

“น่ารักจริงเชียว ตัวไม่มาแต่ฝากของมาให้เจ้าสัวตลอดเลยนะคะ” พี่นวลเอ่ยบอกอย่างเอ็นดู

 

ด้วยความที่นภทีป์สนิทกับนทีรินพอสมควรและในตอนที่ทั้งคู่ยังเรียนหนังสือด้วยกัน นภทีป์ก็มักจะมีของฝากมาฝากเจ้าสัวพีระและเธออยู่เสมอๆทำให้เจ้าสัวพีระและตัวเธอเองนั้นเอ็นดูกับความน่ารักของรุ่นพี่ของนทีรินได้ไม่ยากเลย

 

“ครับ น่ารักน่ะใช่แต่เรื่องขี้แกล้งนี่ก็ยังไม่เบาเหมือนเดิมนะครับพี่นวล”

 

“ฮ่ะๆ คุณเมฆก็หาเรื่องแกล้งคุณหนูมาตั้งแต่สมัยเรียนแล้วนี่คะ” พี่นวลหัวเราะชอบใจ

 

“เดี๋ยวนทขอตัวเอาแจกันของพี่เมฆไปให้อากงก่อนนะครับ อากงต้องดีใจมากๆแน่เลย”

 

นทีรินเอ่ยบอกพี่นวลและอินทนิลพร้อมรอยยิ้มกว้าง ก่อนจะรีบเดินเตรียมขึ้นไปหาเจ้าสัวพีระพร้อมกับของขวัญชิ้นพิเศษชิ้นนี้ก่อนที่นทีรินจะคิดในใจว่าเขาอยากจะหาของขวัญตอบแทนให้กับนภทีป์บ้าง เพราะของขวัญชิ้นนี้ราคาสูงเอาเรื่องเลยและเขาก็เกรงใจรุ่นพี่คนนี้มากๆเลย แต่เพราะมัวแต่คิดอะไรไปเรื่อยทำให้เขาไม่ทันระวัง

 

“อ๊ะ…”

 

นทีรินร้องออกมาเบาๆเมื่อร่างของเขาปะทะกับร่างสูงใหญ่ของใครสักคน และร่างของเขาก็เข้าไปอยู่ในอ้อมแขนแข็งแรงของร่างสูงนั้นอย่างช่วยไม่ได้ และเมื่อเงยหน้ามองก็พบว่าเป็นคนที่นทีรินไม่อยากจะเจอมากที่สุด

 

“มัวแต่เหม่อดีใจจนไม่มองทางเลยเหรอคุณภรรยา”

 

เสียงทุ้มเอ่ยถามเสียงนิ่งเรียบแต่ค่อนไปทางกระแนะกระแหนหน่อยๆใบหน้าหล่อที่ติดนิ่งขรึมฉายแววกวนประสาทจนนทีรินขมวดคิ้วมุ่นก่อนจะผละออกจากอ้อมแขนแกร่งนั้นทันที

 

“ขอโทษครับผมไม่ทันมอง ไม่ได้ตั้งใจจะชนคุณภพ”

 

นทีรินเอ่ยบอกพลางกระชับถือกล่องแจกันจีนไว้แน่นเพราะกลัวมันจะตกไปจนเกิดความเสียหาย ร่างบางกำลังจะเดินเลี่ยงเพื่อขึ้นบันไดไปยังห้องของเจ้าสัวพีระแต่ต้องชะงักเพราะคำพูดที่อีกฝ่ายเอื้อนเอ่ยออกมา…

 

“อย่าออกนอกหน้าให้มันมากนักนะนทีริน อย่าลืมว่าตอนนี้คุณยังใช้นามสกุลกิจจานนท์ในฐานะภรรยาของผมอยู่”

 

สิ้นคำพูดนั้นนทีรินก็กัดฟันและกำมือแน่นร่างบางหันหน้ากลับมาเผชิญกับคนที่เอ่ยคำพูดแสนร้ายกาจนั้นทันที

 

“ที่คุณภพพูดหมายความว่ายังไงครับ”

 

น้ำเสียงที่ติดราบเรียบแต่แฝงไปด้วยความกรุ่นโกรธอยู่ภายในทำให้ภวินท์รู้สึกสนุกแต่ในความสนุกนั้นกลับมีความไม่พอใจเกิดขึ้นภายในตัวของภวินท์ซึ่งเขาไม่คิดที่จะเสียเวลาไตร่ตรองหรอกว่าสาเหตุมาจากอะไร

 

“ผมรู้น่าว่าคุณเข้าใจ ทำอะไรไว้ก็รู้นี่… คุณเก่งอยู่แล้ว”

 

ร่างสูงไหวไหล่บอกพร้อมใบหน้าหล่อเหลายกยิ้มมุมปากอย่างร้ายกาจจนคนโดนกล่าวหาขมวดคิ้วมุ่นแสดงให้เห็นถึงความไม่พอใจกับคำกล่าวหานั่น

 

ฟังจากที่สามีทางนิตินัยพูดแล้วนทีรินก็ได้แต่หายใจเข้าลึกๆพลางพรูลมหายใจออกมาเบาๆเพื่อระงับอารมณ์ที่เริ่มจะคุกรุ่นในใจ นี่ภวินท์คงจะเห็นข่าวของเขากับนภทีป์แล้วสินะถึงได้มากระแนะกระแหนเขาได้ถึงเพียงนี้ ต่อให้ไม่ได้เจอกันมาหลายปี แต่นทีรินก็รู้ดีว่าไม่ได้มีเพียงเขาคนเดียวหรอกที่ติดตามข่าวสารของสามี ภวินท์เองก็ติดตามข่าวของเขาเช่นเดียวกัน แต่นทีรินก็ไม่เคยใส่ใจข่าวที่ถูกเขียนใส่สีตีความอย่างครึกโครมอะไรนั่นเพราะตั้งแต่ใช้ชีวิตเป็นภรรยาของภวินท์ กิจจานนท์มานั้นชีวิตของเขาก็เหมือนกับถูกตีกรอบมาเสมอ และเขาเองก็ไม่เคยคิดจะทำอะไรที่มันนอกกรอบอย่างที่อีกฝ่ายทำกับเขาหรอก ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้เห็นด้วยกับการแต่งงานของตัวเอง แต่ในเมื่อมันแก้ไขอะไรไม่ได้ก็ต้องทำใจยอมรับมันและทำทุกอย่างให้เหมาะสมและถูกต้องที่สุดและเขาก็มั่นใจว่าตัวเองไม่เคยคิดจะทำเรื่องอะไรที่ทำให้เสียเกียรติของตัวเองเด็ดขาด

 

“ครับ ผมทำอะไรลงไปทุกอย่างผมรู้ตัวและเปิดเผยในทางที่ถูกต้องเสมอ ไม่เหมือนใครบางคนหรอกนะครับที่ทำอะไรลงไปแล้วก็ไม่เคยนึกถึงใจของคนอื่น”

 

คำพูดที่หนักแน่นและคำที่อีกฝ่ายต่อว่าด้วยเสียงประชดประชันทำให้ภวินท์ยกยิ้มมุมปากอย่างพอใจ เพราะเขารู้สึกสนุกที่แกล้งให้ภรรยาทางนิตินัยรู้สึกโมโหและเลิกวางท่าเมินเฉยใส่เขาได้แล้ว

 

“เดี๋ยวนี้รู้จักต่อปากต่อคำด้วย… เก่งขึ้นนี่”

 

“ครับ แต่คงไม่เทียบเท่าคุณ”

 

ใบหน้าหวานเชิดขึ้นคอตรงด้วยท่าทางแสนเย่อหยิ่งเช่นนั้นมันยิ่งทำให้ภวินท์อยากจะเอาชนะคนตรงหน้าเป็นอย่างมากและไม่ว่าจะเป็นอย่างไรก็ตามเขาต้องชนะคนตรงหน้าเท่านั้น

 

“ถ้าเก่งแบบนี้ ก็ต้องรู้แล้วสิว่าคืนนี้เราต้องไปออกงานคู่กันในฐานะสามีภรรยา”

 

เสียงทุ้มเอื้อนเอ่ยประโยคดังกล่าวที่ท้ายเสียงเน้นคำว่าสามีภรรยาด้วยความหนักแน่นเพื่อเป็นการตอกย้ำให้นทีรินทราบว่าเขายังคงเป็นภรรยาของภวินท์ กิจจานนท์อยู่ นทีรินฟังโดยไม่ทันได้ตอบอะไรคนปากไม่ดีก็เดินจากไปเสียแล้วทิ้งให้ภรรยาทางนิตินัยยืนขมวดคิ้วเข่นเขี้ยวอยู่เพียงลำพัง

 

 

***

 

 ต่อข้างล่างค่ะ

หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! ตอนที่ ๓ (13-3-62) [ต่อ]
เริ่มหัวข้อโดย: yokindy ที่ 13-03-2019 23:40:20
“คุณหนูขา ชุดสูทจากเอ็กโซติคอนมาแล้วค่ะ”

 

เสียงพี่นวลเอ่ยบอกคุณหนูในมือของเธอถือถุงคลุมชุดสูทสุดหรูที่เธอตั้งใจเตรียมไว้ให้คุณหนูใส่ไปงานเลี้ยงวันนี้ และยิ่งทราบว่าคุณหนูจะต้องไปออกงานคู่กับภวินท์นั้นพี่นวลก็ยิ่งรู้สึกตื่นเต้นปนหวั่นใจ เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่ทั้งคู่ได้ไปงานเลี้ยงด้วยกัน เพราะฉะนั้นวันนี้คุณหนูของเธอต้องดูดีที่สุดให้สมกับที่เป็นสะใภ้ของกิจจานนท์

 

“ขอบคุณมากครับพี่นวล เลือกสีได้รู้ใจนทเหมือนเดิมเลยนะครับ” นทีรินเอ่ยชมพี่เลี้ยงที่แสนจะรู้ใจเขาพลางหยิบชุดสูททันสมัยสีครีมแบรนด์ดังที่ตัดเย็บโดยคนไทยขึ้นมาดูความเรียบร้อยก่อนจะส่งมันคืนให้พี่นวลเพื่อเอาไปวางไว้ในห้องแต่งตัวให้

 

“เดี๋ยวพี่เอาไปวางไว้ให้ในห้องแต่งตัวให้เหมือนเดิมนะคะ”

 

“โอเคครับ เดี๋ยวนททาสกินแคร์เสร็จแล้วจะเข้าไปใส่นะครับ”

 

นทีรินเอ่ยบอกพลางหยิบสกินแคร์ยี่ห้อดังขึ้นมาชโลมลงบนใบหน้า นทีรินเป็นคนที่ดูแลและใส่ใจตัวเองมากๆเพราะเขาถูกสอนมาตั้งแต่เด็กๆแล้วว่าต้องดูแลร่างกายและผิวพรรณของตัวเองให้ดีอยู่ตลอดเวลาเพื่อความดูดีของตนเองและเพื่อให้ผู้คนรอบข้างมองมาแล้วรู้สึกชื่นชมและไม่ให้เป็นที่ถูกตำหนิได้

 

“เครื่องประดับกับนาฬิกาพี่จะเลือกและวางไว้ให้เหมือนเดิมนะคะ”

 

“ครับ ขอบคุณมากครับพี่นวล”

 

นทีรินทาสกินแคร์ต่อไปได้สักพักก็ต้องหยุดเมื่อเห็นพี่เลี้ยงคนสนิทยืนเก้ๆกังๆทำท่าอ้ำอึ้งอยู่ไม่ห่าง

 

“เอ่อ… คุณหนูขา”

 

“ยังไม่หมดอีกเหรอครับพี่นวล วันนี้นทต้องแต่งองค์เยอะขนาดนี้เลยเหรอ”

 

นทีรินเอ่ยถามพี่เลี้ยงด้วยสีหน้าขำขันเพราะเขาคิดว่าพี่นวลคงจะรู้สึกตื่นเต้นไปกับเขากระมัง เพราะเวลาที่เขาต้องไปงานเลี้ยงพี่นวลจะเป็นคนจัดการเลือกชุดและพวกเครื่องประดับให้เขาตลอด

 

“เปล่าค่ะ… คือพี่จะบอกว่าอย่าลืมสวมแหวนแต่งงานด้วยนะคะ”

 

สิ้นเสียงของพี่นวลใบหน้าหวานที่ติดรอยยิ้มเมื่อสักครู่ก็หุบลงและท่าทางอารมณ์ดีก็แปรเปลี่ยนเป็นคุกรุ่นทันทีเมื่อนึกไปถึงคนที่พูดจาร้ายกาจใส่เขาเมื่อช่วงบ่าย

 

“อย่าออกนอกหน้าให้มันมากนักนะนทีริน อย่าลืมว่าตอนนี้คุณยังใช้นามสกุลกิจจานนท์ในฐานะภรรยาของผมอยู่”


คำพูดแสนร้ายกาจคำนั้นยังคงติดอยู่ในโสตประสาทของนทีรินจนเขารู้สึกรำคาญใจ ยอมรับว่ารู้สึกแย่กับคำพูดเหล่านั้นแต่เขาไม่เคยทำอะไรผิด ไม่เคยคิดที่จะออกนอกลู่นอกทางและไม่เคยทำให้เกียรติของการเป็นภรรยาของภวินท์ต้องเสื่อมเสียเลยแม้แต่ครั้งเดียว แต่อีกฝ่ายกลับมากล่าวหาต่อว่าและพูดจากระทบกระเทียบเขาอย่างกับว่าเขาทำตัวไม่ดีอย่างการนอกใจสามีอย่างนั้นแหละ ทั้งๆที่พฤติกรรมดังกล่าวมันเป็นของคนที่ต่อว่าเขาเองนั่นแหละที่เรียกว่านอกใจได้อย่างแท้จริง ทั้งควงกันออกหน้าออกตาไม่แคร์สื่อฯ ทั้งไปเที่ยวด้วยกันและอีกสารพัดที่นทีรินจะบรรยายได้  ตัวเขาเองก็ยังไม่เคยไปต่อว่าและวุ่นวายก้าวก่ายอะไรกับชีวิตภวินท์เลยแม้แต่ครั้งเดียวตั้งแต่ที่แต่งงานกันมา เขาเพียงแต่นิ่งเฉยและต้องทนต่อคำติฉินนินทามาตลอดระยะเวลาแปดปี มันไม่ยุติธรรมเลยสักนิดกับคนที่มีข่าวฉาวมาตลอดอย่างภวินท์และกับตัวเขาที่เพิ่งจะมีข่าวแต่กลับต้องเป็นคนที่โดนต่อว่าและเหยียดหยามเช่นนี้

 

ไม่ยุติธรรมเลยจริงๆ

 

“ถ้าเป็นเรื่องนี้พี่นวลไม่ต้องเป็นห่วงนทหรอกครับ ไปห่วงอีกคนนึงเถอะว่าวันนี้เขาจะกล้าใส่แหวนแต่งงานออกงานคู่กับนทหรือเปล่า”

 

นทีรินเอ่ยบอกพี่เลี้ยงคนสนิทด้วยใบหน้าราบเรียบทว่าน้ำเสียงนั้นติดประชดประชันเสียจนพี่นวลรู้สึกหวั่นใจไม่น้อย เพราะเธอเองก็เดาใจไม่ได้ว่าภวินท์จะปฏิบัติตัวให้สมกับเป็นสามีของคุณหนูของเธอหรือเปล่า…

 

นทีรินทาสกินแคร์จนเสร็จก่อนจะเดินเข้าไปในห้องแต่งตัวที่พี่นวลได้วางเครื่องประดับไว้ให้ มือบางหยิบกล่องแหวนโบราณหรูหราออกมาจากลิ้นชักตู้เก็บเครื่องประดับขนาดใหญ่ ดวงตาคู่สวยที่ใครๆก็บอกว่าหวานราวน้ำผึ้งเดือนห้าหม่นแสงลงเมื่อมองไปที่แหวนทองคำขาวฝังเพชรเม็ดโต นทีรินถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ก่อนจะหยิบมันออกมาสวมไว้ที่นิ้วนางข้างซ้ายที่เขามักจะสวมใส่ในวันที่ไปออกงานเพียงคนเดียวตลอดระยะเวลาแปด ปีเพื่อเป็นการตอกย้ำและแสดงตนให้คนภายนอกทราบว่าเขายังคงเป็นสะใภ้ของกิจจานนท์อยู่

 

 

 

 

“ขอโทษที่ทำให้รอนะครับ”

 

นทีรินในชุดสูทสีครีมตัดเย็บประณีตอย่างทันสมัยเดินตรงเข้ามายังห้องรับแขกขนาดใหญ่ของบ้านกิจจานนท์ที่มีร่างสูงสมส่วนของคนเป็นสามีในชุดสูทสีดำจากห้องเสื้อชื่อดังระดับโลกนั่งไขว่ห้างสูบบุหรี่ไฟฟ้ารออยู่บนโซฟาหลังใหญ่ ควันขาวโขมงพร้อมกลิ่นหอมของเมนทอลลอยคละคลุ้งทั่วห้องรับแขกใหญ่ นทีรินย่นจมูกและก้าวเท้าออกมาให้ห่างจากห้องรับแขกเล็กน้อย เพราะเขาไม่ต้องการให้กลิ่นไม่พึงประสงค์ใดๆมาติดที่เสื้อผ้าของเขา ต่อให้กลิ่นของมันจะหอมสดชื่นเพียงใดแต่มันก็มีสารนิโคตินที่แสนอันตรายอยู่ดี ก็เหมือนเฉกเช่นกับคนสูบนั่นแหละที่ภายนอกดูดีแต่ภายในกลับร้ายกาจอย่างที่สุด

 

“ไม่เป็นไรหรอก… รีบไปก็ต้องไปปั้นหน้านานเสียเปล่าๆ รอคุณแต่งตัวและไปช้าๆแบบนี้ก็ดีเหมือนกันว่าไหมล่ะ”

 

ใบหน้าหล่อยกยิ้มมุมปากก่อนจะเอื้อนเอ่ยถ้อยคำแสนประชดต่อว่าที่เขาแต่งตัวช้าและลงมาช้า ซึ่งนทีรินไม่ได้รู้สึกอะไรเพราะตั้งใจให้มันเป็นแบบนั้นอยู่แล้วและเขาอยากให้ภวินท์รับรู้ว่าเขาไม่เต็มใจที่จะไปออกงานคู่กับร่างสูงเลยแม้แต่น้อย แต่กระนั้นก็ตามนทีรินแอบเบนสายตามองไปยังมือหนาที่จับบุหรี่ไฟฟ้าขึ้นมาสูบและจับจ้องไปเฉพาะที่นิ้วนางข้างซ้ายของอีกฝ่ายอย่างพิจารณาก็พบว่าที่นิ้วนางข้างซ้ายของอีกฝ่ายนั้นมีแหวนทองคำขาวเรียบๆฝังเพชรประดับอยู่ นทีรินยอมรับว่ารู้สึกโล่งใจไม่น้อย แต่กระนั้นก็อดที่จะค่อนขอดในใจไม่ได้

 
ใส่เป็นแล้วเหรอแหวนแต่งงานน่ะ ชิส์!

 

“คงงั้นแหละครับ” เอ่ยบอกพลางยิ้มบางๆส่งไปให้อย่างประชดประชันเช่นกัน

 

เอาสิ… ถ้าภวินท์ประชดมาเขาก็จะประชดกลับ ไม่มีอะไรที่เขาต้องกลัวคนตรงหน้าอีกต่อไปแล้ว

 

ทั้งภวินท์และนทีรินเดินเคียงคู่กันมายัง Rolls-Royce* เปิดประทุนคันหรูโดยที่มีบอดี้การ์ดของภวินท์ยืนรอเปิดประตูให้อยู่แล้ว ภวินท์ขยับตัวหลบให้นทีรินเข้าไปนั่งก่อนจากนั้นเขาจึงเข้าไปนั่งตาม

 

“วันนี้อาจจะต้องใส่หน้ากากเล่นละครกันพอสมควรเลยทีเดียว คุณพร้อมหรือเปล่า”

 

เสียงทุ้มของคนข้างๆถามขึ้นขณะที่ทั้งคู่นั่งเคียงข้างกันในรถคันหรูแล้ว นทีรินหันหน้าหนีพลางย่นจมูกเมื่อร่างสูงหยิบบุหรี่ไฟฟ้าขึ้นมาสูบไม่เลิกแม้แต่ในรถยังไม่เลิกสูบ จนร่างบางต่อว่าอีกฝ่ายในใจ

 

จะสูบอะไรนักหนา! มีเรื่องให้เครียดมากนักหรือไง!

 

“อย่าเรียกว่าพร้อมเลยครับ เรียกว่าเตรียมตัวดีทุกครั้งที่ต้องออกงานคนเดียวดีกว่าครับ คุณภพไปอยู่เมืองนอกหลายปีอาจจะยังไม่ชิน แต่ผมชินแล้วล่ะครับ” ร่างบางนั่งหลังตรงก่อนจะเขยิบตัวให้ติดประตูรถอีกข้างเพราะเขาไม่อยากจะอยู่ใกล้ภวินท์เลยแม้แต่น้อย

 

“หึ! คุณจะบอกว่าผมลอยแพคุณอย่างนั้นสินะ” หัวเราะในลำคอก่อนจะเอ่ยบอกด้วยสีหน้ากวนประสาทปนขบขันที่เห็นอีกฝ่ายนั่งชิดประตูราวกับรังเกียจเขาเสียเต็มประดา ก่อนจะมองมือตัวเองที่ถือบุหรี่ไฟฟ้าควันโขมงอยู่ภวินท์จึงนึกได้ว่านทีรินไม่ชอบกลิ่นของมันสินะถึงได้ทำท่าทางแบบนั้น

 

“ผมไม่จำเป็นต้องพูดเองหรอกครับ… เพราะคุณภพเก่งอยู่แล้ว” นทีรินหันหน้ามาบอกพลางยิ้มมุมปากให้อย่างประชดประชันก่อนจะหันกลับไปอย่างไม่สนใจ

 

ก็รู้ตัวดีนี่ว่าชอบลอยแพคนอื่นให้เผชิญหน้ากับปัญหาต่างๆอยู่คนเดียว คนเห็นแก่ตัว!

 

“หึ! ถ้างั้นวันนี้เรามาดูกันว่าใครจะเก่งกว่ากัน” เสียงทุ้มเอ่ยบอกอย่างท้าทายก่อนจะดับบุหรี่ไฟฟ้าในมือลง

 

“เรื่องอื่นผมอาจจะสู้คุณไม่ได้ แต่จากที่ต้องเผชิญเหตุการณ์แบบนี้มาเป็นเวลาแปดปีด้วยตัวคนเดียว ผมว่าผมก็เก่งพอตัวเหมือนกัน” นทีรินเอ่ยบอกพลางยิ้มสู้อย่างไม่เกรงกลัว

 

เขาต้องเผชิญปัญหาหรือสิ่งต่างๆในชีวิตมามากมายเพียงใดตลอดระยะเวลาแปดปี ภวินท์ไม่มีวันล่วงรู้ได้เลยว่าตอนนี้เขาแข็งแกร่งกับเรื่องนี้มากเพียงใด

 

“มั่นใจแบบนี้ก็ดีแล้ว ถ้าอย่างนั้นเรามาซ้อมบทละครกันสักนิดไหมล่ะ เวลาที่ต้องไปแสดงให้คนอื่นดูจะได้ไม่เคอะเขิน” ร่างสูงคว้าเอวบางให้มาแนบชิดกับกายแกร่ง

 

ด้วยความที่ร่างกายมีขนาดที่ต่างกันพอสมควรร่างบอบบางของนทีรินจึงตกมาอยู่ในอ้อมกอดของภวินท์ได้ไม่ยาก

 

“น… นี่คุณ!”

 

นทีรินพยายามขืนตัวและขยับให้ออกห่างแต่ด้วยแรงที่มีนั้นมันน้อยนิดนักเมื่อต้องอยู่ในอ้อมแขนแกร่งของอีกฝ่าย ภวินท์กอดกระชับเอวบางไว้แน่นพลางกระตุกยิ้มมุมปากอย่างนึกสนุกเมื่อเห็นท่าทีของภรรยาที่ดูจะเกรงกลัวเขาเสียเหลือเกินแต่ก็ทำเป็นเชิดหน้าคอตรงแสดงท่าทางเย่อหยิ่ง ยิ่งนทีรินแสดงท่าทีแบบนี้ยิ่งทำให้เขาอยากแกล้งให้อีกฝ่ายหลุดมาดให้ได้

 

“กลัวอะไรเหรอ… ไหนบอกว่าคุณเก่งไง แค่บทละครเบสิกๆของคู่สามีภรรยาแค่นี้คุณแสดงได้สบายอยู่แล้ว ตอนเรียนมัธยมคุณก็เคยแสดงละครไม่ใช่เหรอ” ใบหน้าคมเอ่ยชิดใบหูเล็กจมูกคมปัดเฉียดแก้มนวลไปมา นทีรินยังคงแสดงอาการนิ่งเฉยราวกับไม่รู้สึกใดๆทั้งที่ในใจนั้นเต้นระรัวราวกับว่ามันจะหลุดออกจากอกก็ไม่ปาน

 

ท่าทีนิ่งเฉยแสนเย่อหยิ่งทำให้ภวินท์ต้องการเอาชนะให้ได้ ไม่รอช้ามือหนาเชยคางมนขึ้นดวงตาคมประสานกับดวงตาหวานที่ภายในตาแสดงให้เห็นถึงความกรุ่นโกรธ แต่ภวินท์หาได้สนใจความกรุ่นโกรธนั้นไม่ ใบหน้าหล่อกระตุกยิ้มเจ้าเล่ห์ที่สามารถแกล้งอีกฝ่ายให้เลิกเมินเฉยใส่เขาได้ และนี่ก็เป็นครั้งแรกในรอบแปดปีที่เจอกันแล้วทั้งคู่ได้อยู่ใกล้ชิดกันขนาดนี้

 

ใบหน้าคมขยับมาชิดจนจมูกคมชิดกับจมูกรั้นก่อนจะประทับริมฝีปากลงไปยังกลีบปากบางแนบแน่นนทีรินพยายามจะขยับออกแต่ไม่เป็นผลเมื่อมือหนาจับคางมนของเขาไว้แน่น ยิ่งเห็นภรรยาแสดงอาการพยศภวินท์ก็ต้องการปราบพยศโดยการบดขยี้ริมฝีปากบางที่เคยต่อปากต่อคำกับเขาอย่างดื้อรั้น นทีรินปล่อยให้อีกคนปล้ำจูบตนเองไปเรื่อยๆเพราะรู้ว่าอย่างไรเขาก็สู้แรงไม่ได้เมื่อจูบจนพอใจภวินท์ก็ผละออกพร้อมคำพูดแสนร้ายกาจที่ทำให้นทีรินโกรธจนตัวซีดตัวสั่นและเจ็บใจที่เขาสู้อะไรอีกฝ่ายไม่ได้เลย

 

“หึ! อยู่ต่อหน้าคนอื่นก็ช่วยเปลี่ยนจากแยกเขี้ยวเป็นยิ้มหวานด้วยนะคุณภรรยา… เพราะเดี๋ยวมันจะไม่เนียน”

 

นทีรินเกลียดภวินท์ที่สุด เกลียดสายตาคมคู่นั้นที่แฝงไปด้วยการล้อเลียนและเอาชนะ เกลียดคำพูดถากถางเหน็บแนมให้เขาเจ็บใจ เกลียดรอยยิ้มมุมปากที่แสนร้ายกาจ เกลียดทุกอย่างแม้กระทั่ง…

 

หัวใจของตัวเองที่เต้นรัวเมื่อภวินท์ประทับจูบมาที่ปากของเขา

 

เกลียดจริงๆ…

 

 

หลังจากที่ทั้งคู่ได้เล่นสงครามประสาทในรถกันได้ไม่นาน Rolls-Royce Phantom คันหรูก็ทะยานมาถึงโรงแรมที่จัดงานซึ่งวันนี้เป็นงานเปิดตัวรถยนต์ยุโรปที่เป็นรุ่นลิมิเต็ดอีดิชั่นที่มีในโลกเพียงไม่กี่คันเท่านั้นซึ่งงานนี้ภวินท์ได้รับเกียรติให้มาเป็นแขกวี.ไอ.พี.เพราะตัวเขาเองก็เป็นเจ้าของกิจการเกี่ยวกับรถยนต์เช่นเดียวกัน ภวินท์ยื่นแขนให้คนเป็นภรรยาคล้องเมื่อทั้งคู่ลงมาจากรถเรียบร้อยแล้ว นทีรินวางมือไปคล้องที่แขนแข็งแกร่งด้วยความไม่เต็มใจนักเพราะยังเคืองเรื่องที่ร่างสูงทำกับเขาเมื่อสักครู่อยู่ และนทีรินก็เกลียดสายตาของภวินท์เหลือเกินเพราะมันเหมือนกับว่าสายตาคู่นั้นมักจะมองเย้ยหยันมาที่เขาอยู่ตลอดราวกับว่าเอาชนะเขาได้แล้ว

 

“คุณภวินท์ คุณนทีรินมองกล้องนี้หน่อยครับ”

 

“กล้องนี้ด้วยครับ”

 

เสียงนักข่าวเอ่ยบอกพร้อมแสงแฟลชที่สาดมาที่ภวินท์และนทีรินอย่างไม่ขาดสายเมื่อทั้งคู่เดินเข้ามาภายในงานแล้ว นักข่าวเกือบทุกสำนักต่างพากันกรูเข้าหาทั้งคู่ด้วยความสนใจเพราะนี่เป็นครั้งแรกที่ทั้งคู่มาออกงานคู่กัน ทั้งภวินท์และนทีรินต่างปรับเปลี่ยนสีหน้าเป็นยิ้มกว้างแสดงถึงความชื่นมื่นตบตาคนภายนอกทั้งๆที่ภายในใจนั้นไม่เป็นแบบนั้นเลย

 

“คุณภวินท์โอบเอวคุณนทีรินด้วยได้ไหมครับ” นักข่าวคนหนึ่งเอ่ยบอกพลางยกกล้องรอ

 

“ได้สิครับ… ได้อยู่แล้ว” ภวินท์ยิ้มกว้างก่อนจะโอบเอวบางของนทีรินให้มาแนบชิด นทีรินเองก็ให้ความร่วมมือโดยขยับเข้าหาร่างแกร่งของสามีมือบางวางลงไปบนอกแกร่งเบาๆใบหน้านวลประดับไปด้วยรอยยิ้มหวานเพื่อให้นักข่าวเก็บภาพ

 

 

“เป็นการออกงานคู่กันครั้งแรก คุณทั้งสองคนรู้สึกอย่างไรบ้างครับ” นักข่าวหลายคนยื่นไมค์จ่อไปที่ทั้งคู่ด้วยความสนใจ ถึงแม้ว่าทั้งคู่จะไม่ใช่ดาราดังแต่ความที่เป็นเซเลบริตี้ทั้งคู่เลยได้รับความสนใจและการจับตามองเป็นอย่างมาก

 

“ไม่รู้สึกอย่างไรนี่ครับ นอกจาก… รู้สึกดีที่ได้ออกงานคู่กับภรรยาของผม” เสียงทุ้มเอ่ยตอบนักข่าวกพลางหันมองหน้าคนในอ้อมแขนด้วยสายตาละมุนหวานหยดเสียจนคนถูกมองคิดในใจว่าภวินท์นั้นเล่นละครเก่งชะมัด

 

“แล้วคุณนทีรินล่ะครับรู้สึกอย่างไรบ้าง”

 

“ครับ รู้สึกดีมากครับที่ผมกับคุณภพได้รับเกียรติให้มาเป็นแขกในงานวันนี้ครับ” นทีรินเอ่ยตอบพร้อมรอยยิ้มหวานอย่างเป็นมิตร

 

“เวลาแปดปีที่ทั้งคู่แต่งงานกันมานี่ ทางเราได้ข่าวว่าหลังจากแต่งงานคุณภวินท์ก็ย้ายไปอยู่ที่อเมริกาทันทีเลยใช่ไหมครับ”

 

“ใช่ครับ ผมไปเรียนต่อโทฯที่อเมริกาแล้วก็ได้มีโอกาสและหนทางทำธุรกิจของตัวเองน่ะครับเลยได้อยู่นาน ก็เลยไม่ได้มีเวลามาออกงานคู่ภรรยาเลย… นทคงไม่น้อยใจพี่ภพใช่ไหมครับ” ภวินท์เอ่ยตอบนักข่าวก่อนจะหันมาถามภรรยาในอ้อมแขนด้วยเสียงนุ่มทุ้มพร้อมรอยยิ้ม นทีรินเห็นเช่นนั้นก็ยิ้มหวานให้ก่อนจะตอบ

 

“ไม่น้อยใจหรอกครับ ผมเข้าใจคุณภพมาตลอดนั่นแหละครับว่าธุรกิจใหม่ของคุณภพยุ่งมาก”

 

เอาสิ เอาให้รู้ไปเลยว่าไม่ใช่แค่ภวินท์แสดงละครเก่งคนเดียว เพราะเขาเองก็แสดงได้เก่งเหมือนกัน

 

“คุณภวินท์มีธุรกิจของตัวเองแบบนี้แล้วจะยังกลับมาบริหารธุรกิจเดอะแกรนด์ฯอยู่หรือเปล่าครับ” นักข่าวเริ่มวกประเด็นเข้าเรื่องของธุรกิจอาจจะเพราะทุกคนรับรู้ว่าภวินท์นั้นมีกิจการเป็นของตัวเองแล้ว แถมกิจการที่ทำขึ้นมาก็กำลังไปได้สวยเสียด้วยหลายๆคนจึงเกิดคำถามว่าเขาจะยังอยากกลับมาบริหารกิจการของตระกูลอยู่หรือไม่

 

“กลับมาสิครับ ธุรกิจนี้เป็นของครอบครัวของผมนะครับผมต้องกลับมาบริหารอยู่แล้ว”

 

ภวินท์เอ่ยตอบด้วยเสียงที่หนักแน่น เพราะไม่ว่าจะยังไงเขาก็คือกิจจานนท์ เขาก็ต้องสานต่อธุรกิจของตระกูลให้รุ่งเรืองและยิ่งใหญ่กว่าเดิมอยู่แล้ว

 

“แล้วข่าวที่ว่าคุณภวินท์ไปเที่ยวญี่ปุ่นกับน้องเปปเปอร์ดาราวัยรุ่นชื่อดังนี่เรื่องจริงหรือเปล่าครับ”

 

“จริงครับ” เสียงทุ้มตอบหนักแน่นด้วยรอยยิ้มเช่นเดิมโดยไม่สนใจว่าใครจะคิดอย่างไรกับคำตอบ

 

นทีรินเริ่มนิ่งไปเมื่อฟังคำตอบของอีกฝ่ายไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไรแต่ทำไมเขาถึงได้รู้สึกเจ็บแปลบในใจเช่นนี้ นทีรินไม่อยากรู้สึกแบบนี้เลยมันเหมือนกับว่าเขาไม่อยากจะรับรู้เรื่องของอีกฝ่ายเลย

 

“งั้นข่าวที่ว่าคุณทั้งคู่กำลังขาเตียงร้าวนี่เรื่องจริงหรือเปล่าครับ”

 

ยิ่งได้ฟังนักข่าวตอกย้ำนทีรินก็ยิ่งอยากจะบอกให้ทุกคนรู้กันไปเลยว่าขาเตียงไม่ได้แค่ร้าวแต่มันแตกหักกันไปนานแล้วต่างหาก หากแต่ก็ต้องหลุดจากความคิดทั้งหมดทั้งมวลเมื่อคนข้างกายยังคงตอบนักข่าวด้วยท่าทีสบายๆราวกับไม่รู้สึกอะไรเลย

 

“ไม่จริงหรอกครับ พอดีผมไปดูงานที่ญี่ปุ่น แล้วบังเอิญไปเจอน้องเปปเปอร์ที่เป็นรุ่นน้องไปเที่ยวที่นั่นพอดีก็เลยได้ไปเที่ยวด้วยกัน มันก็เท่านั้นล่ะครับ”

 

“ไปกันสองต่อสองแบบนั้นคุณนทีรินไม่น้อยใจแย่เหรอครับ” นทีรินวางท่าทีเรียบเฉยเมื่อถูกนักข่าวพาดพิง เขาไม่ตอบอะไรออกไปปล่อยให้ภวินท์แก้ข่าวของตัวเองไปเพราะมันไม่ใช่หน้าที่ที่เขาจะต้องตอบ

 

“แล้วใครบอกคุณเหรอครับว่าผมกับน้องเขาไปกันสองต่อสอง… ถ้าการที่คุณเขียนข่าวและถ่ายรูปผมกับน้องเขาเพียงสองคนแล้วบอกว่าไปสองต่อสองก็อยากให้คิดเสียใหม่ด้วยนะครับ” เสียงทุ้มที่เคยเอ่ยด้วยท่าทีสบายเริ่มแข็งขึ้นสายตาคมดุจ้องมองจนนักข่าวที่ถามเริ่มหวั่นๆ

 

“มาที่ข่าวของคุณนทีรินบ้างนะครับ ได้ข่าวว่าช่วงนี้คุณสนิทสนมกับคุณนภทีป์ เศรษฐากรณ์เจ้าของธุรกิจเครื่องดื่มส่งออกเป็นพิเศษ ไม่ทราบว่ามีความสัมพันธ์กันอย่างไรครับ” นักข่าวเปลี่ยนเรื่องมาที่ข่าวของนทีรินบ้างซึ่งนทีรินก็ตอบออกไปตามความจริงพร้อมรอยยิ้มเพื่อไม่ให้การสัมภาษณ์ตึงเครียดเกินไป

 

“คุณนภทีป์เป็นรุ่นพี่ของผมตั้งแต่สมัยมหาวิทยาลัยครับ”

 

“สนิทกันขนาดไหนครับ เพราะจากในข่าวเห็นว่าคุณสองคนไปทานอาหารด้วยกันบ่อยครั้ง”

 

“ก็สนิทกันมาตั้งแต่สมัยมหาวิทยาลัยแล้วล่ะครับ เพราะคุณนภทีป์เป็นรุ่นพี่ที่ดีและคอยช่วยเหลือให้คำปรึกษาผมมาตลอดครับ ไม่แปลกหรอกใช่ไหมครับที่รุ่นพี่กับรุ่นน้องจะสนิทกันและไปทานอาหารด้วยกัน”

 

การตอบคำถามที่เป็นไปด้วยความเป็นธรรมชาติและแววตาที่ดูจริงใจถึงแม้ว่านทีรินจะไม่พอใจกับข่าวแต่เขาก็เลือกที่จะไม่แสดงกิริยาออกไปเพราะความมีสติจะช่วยให้ทุกอย่างดีขึ้นมากกว่าการวีนหรือเหวี่ยงใส่นักข่าว เพราะหากเป็นเช่นนั้นภาพลักษณ์ของเขาก็จะดูแย่ในสายตาคนภายนอกซึ่งนทีรินไม่ต้องการให้เป็นแบบนั้น

 

“แบบนี้ก็แสดงว่าคุณภวินท์กับคุณนทีรินไม่ได้มีปัญหากันอย่างที่ข่าวลือกันใช่ไหมครับ” นักข่าวถามย้ำมาที่ทั้งคู่ภวินท์จึงเป็นคนตอบออกไปแทน

 

“ถ้าผมมีปัญหากันแล้วผมจะมาออกงานคู่กันทำไมล่ะ ถ้าเป็นแบบนั้นจริงคงจะอึดอัดแย่น่ะสิครับ แต่นี่ผมกับนทเราก็ยังสวีทกันได้ปกติ จริงไหมครับนท…” หันมาถามภรรยาด้วยรอยยิ้มก่อนจะฝังจมูกคมลงไปบนแก้มนวลของภรรยาฟอดใหญ่

 

นทีรินสะดุ้งเล็กน้อยเพราะไม่คิดว่าภวินท์จะกล้าทำรุ่มร่ามกับเขาต่อหน้านักข่าว ใบหน้านวลหันไปมองภวินท์ด้วยสายตาอึ้งๆสบสายตาคมที่มองมาที่เขาอยู่แล้ว สายตาคมอ่อนแสงและดูละมุนขึ้นจนหัวใจดวงน้อยของนทีรินเต้นไม่เป็นส่ำ ภวินท์ยิ้มน้อยๆก่อนจะค่อยๆเลื่อนใบหน้าเข้าไปใกล้จนนทีรินหลับตาปี๋แต่ก็ต้องสะดุ้งหน่อยๆเมื่อริมฝีปากหนาประทับไปที่หน้าผากของเขาอย่างนุ่มนวล แสงแฟลชยังคงสาดส่องมาที่พวกเขาทั้งคู่ไม่ขาดตอนพร้อมสติของนทีรินที่หลุดลอยไปแล้ว รู้สึกตัวอีกทีก็เมื่อตอนที่ร่างสูงผละออกไปแล้วพร้อมหันไปบอกนักข่าวด้วยท่าทีสบายๆเหมือนเดิม

 

“เห็นแบบนี้แล้วพวกคุณยังจะเรียกว่าขาเตียงร้าวได้อีกเหรอครับ…”

 

ใบหน้าคมหันมาจ้องเขาพร้อมรอยยิ้มมุมปากเย้ยหยันเช่นที่เคยทำใส่เขา เพียงเท่านั้นแหละนทีรินจึงตั้งสติและคิดได้ว่าสิ่งที่ภวินท์ทำนั้น

 

มันก็แค่ละครฉากนึงเพื่อตบตาคนภายนอกเท่านั้นเอง…

 

 
To be continue


*************************************************************************




TALK WITH WRITER :: หึงไม่หึงก็จูบน้องไปแล้วจ้า คนอะไรร้ายจริงๆ มีใครอยู่ทีมพี่ภพไหมคะ 5555555555 ด่าพี่ภพได้แต่อย่าแรงนะคะ พี่เขาขี้เก๊กฟอร์มเยอะค่ะ ฝากติดตามความร้ายของพี่ภพและเป็นกำลังใจให้น้องนทด้วยนะคะ น้องโดนรังแกเรื่อยเลย แง้ T^T เจอกันตอนหน้านะคะ :)


Rolls-Royce = ยี่ห้อรถยนต์ที่มีต้นกำเนิดจากประเทศอังกฤษ รูปแบบรถยนต์ส่วนใหญ่จะมีลักษณะรถยนต์หรูหราขนาดใหญ่ ปัจจุบัน BMW เป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้าของ Rolls-Royce

หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๓ (13-3-62)
เริ่มหัวข้อโดย: HISY ที่ 14-03-2019 01:28:49
อิพี่ภพมันร้ายค่ะ ขอสาปส่งนางไปทุกตอน หมั่นไส้
สงสารน้องนทของแม่
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๓ (13-3-62)
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 14-03-2019 02:05:37
ร้ายกาจมากกกกก
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๓ (13-3-62)
เริ่มหัวข้อโดย: milin03 ที่ 16-03-2019 09:12:24
รอต่อค่ะ กำลังสนุก
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๓ (13-3-62)
เริ่มหัวข้อโดย: บูมเบส ที่ 16-03-2019 12:22:34
มาต่อไวๆนะครับกำลังสนุก
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๓ (13-3-62)
เริ่มหัวข้อโดย: donutnoi ที่ 16-03-2019 13:55:10
ให้พี่ภพ   :beat:
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๓ (13-3-62)
เริ่มหัวข้อโดย: onlyplease ที่ 16-03-2019 16:46:12
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๓ (13-3-62)
เริ่มหัวข้อโดย: ursleepingxd ที่ 16-03-2019 18:57:00
รอตอนหย่านะคะ อยากเห็นคนดิ้น 555555555555

ปล.เรื่องนี้มีแท็กมั้ยคะ จะไปช่วยหวีด เอ้ย ช่วยโปรโมทค่ะ  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๓ (13-3-62)
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 16-03-2019 23:45:14
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๓ (13-3-62)
เริ่มหัวข้อโดย: muiko ที่ 17-03-2019 00:56:17
ทำกับน้องไว้เยอะแบบนี้
ระวังเถอะ น้องหมดรักเมื่อไหร่จะสมน้ำหน้า
ถ้าปู่ตายก็ลาขาดเลยนะนท เอาแบบตามตัวไม่เจอยิ่งดี
สงสารนทจริงๆเลย  :sad4:
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๓ (13-3-62)
เริ่มหัวข้อโดย: sailom_orn ที่ 17-03-2019 12:00:09
พระเอกนิสัยไม่ดี ควรโดนสั่งสอนนนน :beat: :beat:
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๔ (19-3-62)
เริ่มหัวข้อโดย: yokindy ที่ 19-03-2019 21:46:39
บทที่ ๔


หลังจากแสดงละครฉากหนึ่งต่อหน้านักข่าวจบภวินท์ก็พานทีรินเดินแยกออกมาเพื่อที่จะมาทักทายเจ้าภาพของงานเลี้ยง ทั้งคู่พูดคุยกันอย่างดูเป็นธรรมชาติใบหน้าที่มีรอยยิ้มพรายอยู่เต็มดวงหน้าของทั้งคู่ทำให้ผู้คนภายนอกเชื่อได้ไม่ยากว่าข่าวลือต่างๆที่ออกมานั้นไม่เป็นความจริงเลยทั้งสิ้น เพราะทั้งภวินท์และนทีรินก็ยังมีท่าทีที่ดูรักใคร่กลมเกลียวกันมากถึงเพียงนี้ แต่ใครเล่าจะรู้ว่านี่เป็นเพียงแค่ละครฉากหนึ่งที่ทั้งคู่แสดงออกมาอย่างแนบเนียนเสียจนผู้คนภายนอกหมดความสงสัยในตัวของทั้งคู่ไปโดยปริยาย

 

“วันนี้คุณแสดงได้ดีนะ… อย่างน้อยคุณก็ไม่แยกเขี้ยวใส่ผมเหมือนตอนที่เราซ้อมกันบนรถ”

 

เสียงทุ้มของคนเป็นสามีดังขึ้นขณะที่ทั้งคู่แยกออกมาจากบุคคลภายนอกแล้ว น้ำเสียงเย้ยหยันและใบหน้าหล่อคมที่มีความล้อเลียนอยู่ภายในทำให้นทีรินอยากจะกลอกตาบนใส่อย่างช่วยไม่ได้ แต่ด้วยความที่ไม่อยากแสดงภาพลักษณ์เสียๆออกไปเขาจึงได้แต่ตีหน้านิ่งใส่เพื่อแสดงความไม่พอใจออกไป

 

“คุณเองก็แสดงได้ดีเกินความจำเป็นไปนะครับ”

 

“หึหึ ทำไมล่ะ… ก็ผมอยากให้นักข่าวและคนอื่นๆเขาเชื่อนี่ว่าเราไม่ได้มีปัญหากัน”

 

น้ำเสียงไม่พอใจและสีหน้านิ่งเมินเฉยอย่างที่ภรรยาทำใส่เขาเป็นประจำทำให้ภวินท์หัวเราะในลำคอเพราะรู้สึกพึงใจที่อย่างน้อยนทีรินก็มีท่าทีไม่พอใจเขาอยู่ก็ถือว่าการกลั่นแกล้งอีกฝ่ายนั้นสำเร็จตามที่เขาหวังไว้

 

“มีหลายวิธีมากครับที่ทำให้เขาเชื่อ… แต่คุณเลือกที่จะไม่ทำแล้วคุณก็เลือกวิธีที่ฉวยโอกาสกับผม” น้ำเสียงราบเรียบทว่าเย็นเยียบอยู่ภายในแสดงถึงความไม่พอใจเป็นอย่างมาก

 

นทีรินมองหน้าคนเป็นสามีด้วยสายตาขุ่นเพื่อสื่อว่าเขาไม่พอใจกับการกระทำเมื่อครู่ของอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย เขาไม่ชอบที่ภวินท์มาตัวรุ่มร่ามกับเขาต่อหน้านักข่าวและคนอื่นๆ ถึงแม้อีกฝ่ายจะทำไปเพื่อแก้ข่าวต่างๆแต่มันก็ยังมีอีกตั้งหลายวิธีที่จะสื่อให้คนอื่นรู้แต่ภวินท์เลือกที่จะไม่ทำแต่กลับใช้วิธีแบบนี้เพื่อกลั่นแกล้งและยั่วโมโหให้เขาเจ็บใจ

 

“เป็นสามีภรรยากัน เรียกว่าฉวยโอกาสคงไม่ได้ล่ะมั้ง” ร่างสูงไหวไหล่ยิ้มมุมปากอย่างไม่ยี่หร่ะ ท่าทีกวนประสาทนั้นทำให้นทีรินเจ็บใจเป็นอย่างมากแต่เขาก็พยายามที่จะไม่แสดงอารมณ์กรุ่นโกรธออกไปให้อีกฝ่ายเห็นเป็นอันขาด

 

เพราะถ้าเป็นแบบนั้นเขาก็แพ้ภวินท์น่ะสิ เขาน่ะจะไม่ยอมอีกฝ่ายอีกต่อไปแล้ว

 

“คุณภพก็รู้ดีนี่ครับว่าเราเป็นสามีภรรยากันเพียงในนาม เพราะฉะนั้นคุณก็ไม่ควรจะทำแบบนี้กับผมโดยที่ผมไม่ยินยอม”

 

“โกรธ?”

 

ภวินท์ถามเสียงกลั้วหัวเราะอย่างไม่สำนึกจนนทีรินเบือนหน้าหนีอย่างเอือมระอา นี่อีกฝ่ายจะแกล้งเขาไปถึงไหนกัน นทีรินไม่เข้าใจเลยสักนิด แปดปีที่ผ่านมาภวินท์แสดงท่าทีเมินเฉยและเย็นชาใส่เขามาตลอดแล้วทำไมตอนนี้ถึงได้กวนประสาทและยั่วโมโหเขาได้ขนาดนี้

 

“หึ! ไม่หรอกครับ ถ้าผมโกรธมันก็แปลว่าผมแคร์น่ะสิครับแล้วอีกอย่างใช้คำว่าโกรธก็คงไม่ถูก เพราะมันเลยความรู้สึกนั้นไปนานแล้วครับ” นทีรินตีหน้าเรียบนิ่งเพราะเขาจะไม่แสดงอาการกรุ่นโกรธออกมาให้อีกฝ่ายได้เห็นและหัวเราะเยาะเขาเด็ดขาด

 

ภวินท์เห็นท่าทีของภรรยาคนเก่งก็ยกยิ้มมุมปากขึ้นมือหนาคว้าเอวภรรยามาประชิดร่างแกร่งของตัวเองก่อนจะเอ่ยประโยคแสนประชดออกไป

 

“ภรรยาของผมนี่เก่งดีจริง -- งั้นก็ช่วยเก่งให้ตลอดเลยแล้วกันนะ” เสียงทุ้มเจ้าเล่ห์เอ่ยชิดริมฝีปากบางอย่างยั่วแหย่

 

นทีรินตกใจเล็กน้อยแต่คราวนี้เขาเลือกที่จะไม่ขยับออก เพราะเขาไม่อยากรู้สึกว่าเขาแพ้ให้กับความร้ายกาจของภวินท์ ใบหน้าคมอยู่ห่างใบหน้านวลไม่ถึงเซนฯดวงตาคมเจ้าเล่ห์จ้องเข้าไปในดวงตาหวานจนนทีรินใจเต้นแรงอย่างต้านทานไม่ได้เพราะสายตาที่ภวินท์มองมาที่เขามันเป็นสายตาที่คาดเดาไม่ได้ว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไรอยู่ ทั้งคู่ตกอยู่ในภวังค์โดยที่ต่างฝ่ายต่างไม่มีใครรู้ความคิดของอีกฝ่ายจนกระทั่งเสียงบุคคลที่สามอันคุ้นเคยดังขึ้นทำให้ภวินท์และนทีรินหลุดจากความคิดและผละออกจากกัน

 

“เฮียภพ… น้องนท… ว้าวๆ มาโชว์สวีทอะไรกันแถวนี้ครับเนี่ย”

 

ทั้งคู่หันไปมองก็พบว่าไม่ใช่ใครที่ไหน ชายหนุ่มรูปหล่อสามคนที่นทีรินคุ้นเคยเป็นอย่างดี ศดิศ ตั้งวัฒนากุลหรือนาย ตรีทศ กิจจานนท์หรือซานและปริญญ์ กิจจานนท์หรือปรินซ์ ทั้งสามคนเป็นหลานชายของเจ้าพายุน้องชายเจ้าสัวพีระ ซึ่งถ้านับตามศักดิ์ทั้งสามคนก็คือญาติผู้น้องของภวินท์นั่นเอง

 

“นั่นสิครับ… เมื่อกี้นี้ยังไม่พอเหรอครับ พรุ่งนี้เตรียมขึ้นข่าวหน้าหนึ่งทุกฉบับได้เลยนะเนี่ย ทอล์คอ็อฟเดอะทาวน์สุดๆไปเลย ฮ่ะๆ”

 

เสียงหัวเราะของชายหนุ่มเจ้าสำราญอย่างตรีทศดังขึ้นอย่างล้อเลียนจนนทีรินหน้าแดงพาดที่แก้มนวลอย่างห้ามไม่ได้ นทีรินจึงพยายามเบี่ยงประเด็นที่ถูกล้อโดยการทักทายทั้งสามคนแทน

 

“สวัสดีครับพี่ซาน พี่นาย พี่ปรินซ์” มือบางยกเป็นกระพุ่มไหว้ญาติของสามีอย่างนอบน้อม เพราะต่อให้เขาจะมีศักดิ์เป็นพี่สะใภ้ของทั้งสามคนนี้แต่อย่างไรเขาก็อายุน้อยกว่าจึงต้องเคารพผู้ที่อายุมากกว่าอยู่แล้ว

 

ทั้งสามคนรับไหว้นทีรินผู้มีศักดิ์เป็นพี่สะใภ้พร้อมรอยยิ้มกว้าง ที่จริงทั้งสามคนรู้จักและสนิทกับนทีรินมากพอสมควรเพราะเล่นด้วยกันมาตั้งแต่เด็กๆ แต่ถึงอย่างไรก็สนิทเทียบเท่าภวินท์ไม่ได้

 

“เป็นยังไงบ้างครับนท สบายดีใช่ไหม” ศดิศเอ่ยถามเสียงนุ่มพร้อมรอยยิ้ม

 

“สบายดีมากครับ -- วันนี้พี่ๆแต่งตัวหล่อกันทั้งสามคนเลยนะครับ” นทีรินเอ่ยแซ็วก่อนจะยิ้มขำ เพราะนานๆทีเขาจะเห็นพี่ชายทั้งสามคนแต่งตัวหล่อเป็นทางการขนาดนี้

 

“อะไรกันน้องนท แปลว่าธรรมดาแล้วพวกพี่ไม่หล่องั้นเหรอครับ” ตรีทศเอ่ยเย้าแหย่ด้วยเสียงขำขันตามแบบหนุ่มขี้เล่น

 

“ในสายตาน้องนทคนที่หล่อคงจะมีแค่เฮียภพคนเดียวใช่ไหมครับ” เสียงปริญญ์เสริมขึ้นอีกคนก่อนที่ทั้งสามจะยิ้มล้อเลียนมาให้ทั้งนทีรินและภวินท์ นทีรินเบนสายตาไปยังภวินท์ที่มองยิ้มๆมาที่เขาอยู่แล้ว

 

ตกลงมีเขาแค่คนเดียวใช่ไหมที่โดนแกล้งน่ะเพราะภวินท์ไม่ได้มีท่าทีรู้ร้อนรู้หนาวกับเสียงแซ็วอะไรเลยนอกจากยกแชมเปญขึ้นดื่มและสายตาคมนั้นก็ไม่ได้ละจากเขาไปเลย

 

“ใครว่าล่ะครับ นทว่าพี่ๆสามคนหล่อที่สุดในงานเลยนะ” นทีรินพยายามเบี่ยงประเด็นโดยการแซ็วกลับก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆ

 

“โห ชมแบบนี้อยากได้รถกี่คัน พี่จะซื้อให้น้องนททุกคันที่โชว์เลย” ตรีทศโชว์ป๋าอย่างไม่จริงจังแต่โดนศดิศและปริญญ์ปรามความทะเล้นนั้นไว้ก่อน

 

“เดี๋ยวนะ นี่มึงมีเงินเยอะขนาดนั้นเลยเหรอไอ้ซาน”

 

“ก็เงินของเราสามคนรวมกันซื้อให้น้องนทไง ฮ่ะๆ"

คนโชว์ป๋าหัวเราะชอบใจจนนทีรินหัวเราะผสมโรงตามกับความขี้เล่นของพี่ชายทั้งสามคนที่ไม่เปลี่ยนจากตอนที่พวกเขาเด็กๆเลย

 

“ฮ่ะๆ นทชมนี่ไม่หวังสิ่งตอบแทนหรอกนะครับ -- แต่ถ้าพวกพี่ๆจะซื้อ Aston Martin* ให้นทสักคัน นทก็โอเคนะครับ”

 

นทีรินเย้ากลับก่อนจะหัวเราะร่าชอบใจกับสีหน้าเหวอๆของพี่ชายทั้งสาม เพราะว่ารถแต่ละคันในงานวันนี้น่ะมีมูลค่าไม่ต่ำกว่ายี่สิบล้านแทบจะทุกคันเลย

 

“เอาแล้วไง… น้องนทเล่นพวกพี่ซะแล้ว” ปริญญ์หัวเราะกับการแกล้งคืนของนทีริน

 

“เงินของพวกพี่สามคนยังไม่เยอะเท่าเงินเฮียภพคนเดียวเลยนะครับน้องนท… ให้เฮียภพซื้อให้เถอะนะครับ ฮ่ะๆ” ตรีทศกลับคำอย่างรวดเร็วก่อนจะพยักเพยิดไปทางภวินท์ที่ไม่พูดอะไรนอกจากยิ้มมุมปากอย่างเดียว

 

“อยากได้กี่คันน้องนทก็บอกเฮียภพเลยครับ รายนั้นน่ะเขาไม่ได้มีแค่รถนะแต่เขามีเป็นโชว์รูมเลย” ศดิศเย้าแหย่เชียร์ให้นทีรินไปขอกับภวินท์

 

ใบหน้านวลจากที่ยิ้มกว้างๆก็ต้องหุบลงเหลือเพียงยิ้มบางๆเพราะที่จริงเขาไม่ได้อยากได้รถหรูอะไรนั่นหรอก ที่เขาพูดแบบนั้นก็เป็นแค่การแซ็วและแกล้งพี่ชายทั้งสามคนเล่นๆอย่างไม่จริงจังแต่ก็ไม่คิดว่าพวกพี่ๆจะโยนให้เขาไปขอให้ภวินท์ซื้อให้ ท่าทีล้อเล่นอย่างสนิทสนมเหล่านั้นไม่ได้หลุดไปจากสายตาของภวินท์ที่เอาแต่จ้องมองแต่ภรรยาเลย ร่างสูงหัวเราะในลำคอเบาๆก่อนจะยกแก้วแชมเปญในมือขึ้นดื่ม

 

“หึหึ”

 

“ขำอะไรเฮียภพ ซื้อรถให้เมียสักคันสิ -- นทอยากได้คันไหนนะครับ… คันนั้นใช่ไหม”

 

ตรีทศเอ่ยแซ็วพี่ชายก่อนจะหันมาถามพี่สะใภ้พลางชี้ไปที่รถสปอร์ตคันหรูยี่ห้อดังที่นทีรินแกล้งให้พวกเขาสามคนซื้อให้ เมื่อเห็นว่าโดนพี่ชายทั้งสามแกล้งคืนนทีรินจึงหัวเราะแห้งๆก่อนจะตอบ

 

“แฮะๆ นทล้อพวกพี่ๆเล่นครับ… นทไม่อยากได้หรอก -- เดี๋ยวนทขอตัวไปหยิบเครื่องดื่มก่อนนะครับ”

 

ว่าจบร่างบางก็เตรียมเดินแยกไปทางซุ้มอาหารที่ถูกจัดเรียงไว้สวยงามเพื่อรับรองแขกที่มาร่วมงาน แต่ก็ต้องชะงักเพราะข้อมือบางของเขาโดนใครสักคนคว้าไว้ก่อน

 

“ให้ไปเป็นเพื่อนไหม” เสียงทุ้มของสามีดังขึ้นเบาๆแต่ก็ดังพอที่คนรอบข้างจะได้ยินได้

 

นทีรินมองอีกฝ่ายอย่างไม่เข้าใจที่ภวินท์มาทำดีกับเขาแปลกๆทั้งๆที่ผ่านมาก็ไม่เคยจะสนใจอะไรเขาสักนิด กลับกันยิ่งชอบแกล้งให้เขาเจ็บใจอีกต่างหาก

 

แต่เมื่อคิดอีกทีก็นึกได้ว่าตอนนี้เขาทั้งคู่อยู่ในงานเลี้ยงที่มีคนรอบข้างจับจ้องมาตลอด สงสัยว่าฉากละครของภวินท์จะยังไม่จบกระมัง เมื่อคิดได้เช่นนั้นนทีรินก็รู้สึกวาบโหวงในใจขึ้นมาราวกับผิดหวังกับสิ่งที่ภวินท์ทำไปโดยไม่รู้สึกอะไร ไม่ยุติธรรมเลยสักนิดที่เขาต้องรู้สึกอะไรแบบนี้อยู่ฝ่ายเดียว เมื่อเป็นเช่นนั้นเขาก็ไม่ควรจะรู้สึกอะไรกับภวินท์ไปมากกว่านี้แล้ว

 

“ไม่เป็นไรครับ คุณภพอยู่คุยกับพวกพี่ๆเถอะครับ -- เดี๋ยวผมหยิบแชมเปญมาให้”

มือบางบิดออกจากมือใหญ่อย่างง่ายดายเพราะภวินท์ไม่ได้จับแน่น เมื่อหลุดจากพันธนาการร่างบางก็รีบเดินไปที่ซุ้มอาหารทันที

 

ภวินท์มองตามภรรยาอย่างนึกขัน ท่าทีประหม่าของอีกฝ่ายเมื่อสักครู่มันทำให้เขารู้สึกพึงใจชอบกล ปฏิเสธไม่ได้สักนิดว่าต่อให้นทีรินจะทำท่าทีเมินเฉยใส่เขามากเพียงใดแต่สีหน้าและท่าทางของอีกฝ่ายนั้นกลับตรงกันข้ามจนเขารู้สึกได้ว่าที่จริงแล้วอีกฝ่ายนั้นกำลังประหม่าและเคอะเขินกับการกระทำของเขาเมื่อครู่ต่างหาก

 

“จ้องหน้ากูกันทำไม” ภวินท์เอ่ยถามญาติๆทั้งสามที่จ้องมองมาที่เขาอย่างล้อเลียน

 

“ก็จ้องคนสวีทกันไงเฮีย… ให้ไปเป็นเพื่อนไหม จุ๊บๆ” ตรีทศเอ่ยเลียนแบบเขาแต่ที่เพิ่มเสียงจุ๊บแสนทะเล้นนั่นมาทำให้เขารู้สึกอยากจะเตะเข้าให้สักป้าบ

 

“ฮ่ะๆ นั่นสิ สวีทเชียวนะ -- ถ้าพวกผมไม่สนิทกับเฮียก็คงคิดว่าเฮียกับน้องเป็นคู่สามีภรรยาที่โคตรหวานเลยอ่ะ” ปริญญ์เสริมขึ้นมาอีกคนพร้อมรอยยิ้มกว้าง

 

“เฮียทำตัวเหมือนไม่ได้กำลังจะหย่ากับน้องเลยนะครับ -- ดีกันแล้วเหรอ” ศดิศเอ่ยถามด้วยความใคร่รู้เพราะท่าทีของทั้งคู่ไม่ได้เหมือนคนที่กำลังจะหย่ากันแม้แต่น้อย

 

ศดิศ ตรีทศและปริญญ์รู้มาตลอดว่าภวินท์และนทีรินแต่งงานกันอย่างไม่เต็มใจและรับรู้จากภวินท์มาตลอดว่าถึงอย่างไรทั้งคู่ก็ต้องหย่าขาดกันเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม แต่มาวันนี้พวกเขาก็แปลกใจไม่น้อยที่เห็นท่าทางสนิทสนมของทั้งคู่ที่ดูเหมือนคู่รักแสนหวานมากกว่าคนที่กำลังจะหย่าขาดจากกัน

 

“เปล่า… ก็แค่แสดงละครต่อหน้าคนภายนอก” ภวินท์เอ่ยตอบเสียงราบเรียบด้วยใบหน้านิ่งเฉย

 

“แสดงได้โคตรเนียนเลยนะเฮีย… ผมนี่แทบไม่เชื่ออ่ะว่าเฮียจะหย่ากับน้อง” ตรีทศเอ่ยบอกพลางปรบมือให้กับบทละครของพี่ชายที่แนบเนียนเสียจนเขาเองก็ไม่อยากเชื่อ

 

“ผมถามจริงๆเถอะ เฮียไม่คิดจะเริ่มต้นใหม่กับน้องบ้างเหรอ” ศดิศเอ่ยถามด้วยเสียงจริงจัง

 

เพราะที่จริงแล้วเขาก็อยากให้ทั้งภวินท์และนทีรินกลับมาเป็นเหมือนเดิมกันแม้จะรู้ว่าภวินท์มีทิฐิกับน้องมากเพียงใดแต่อดีตมันก็คืออดีตที่ควรจะปล่อยวางมากกว่ามานั่งเข่นเขี้ยวใส่กันและเล่นละครตบตาคนอื่น

 

“ทิฐิมากไปมันก็ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นมาหรอกนะเฮีย ที่พวกผมพูดแบบนี้ก็เพราะอยากเห็นเฮียกับน้องมีความสุขนะครับ”

 

ศดิศเอ่ยเตือนสติพี่ชายด้วยความหวังดีเพราะไม่ว่าใครก็ตามก็ไม่อยากเห็นภวินท์กับนทีรินแตกหักกันหรอก เพราะทั้งคู่รู้จักและรู้ใจกันมามากกว่าค่อนชีวิตและนอกจากนี้ทั้งคู่ยังมีความเหมาะสมกันในทุกๆด้านอีกด้วย

 

“ไม่ต้องมาห่วงกูหรอกน่า” ภวินท์ตัดบทไปดื้อๆจนญาติผู้น้องเดาไม่ได้ว่าพี่ชายกำลังคิดอะไรอยู่

 

ภวินท์เก็บคำพูดของลูกพี่ลูกน้องมาคิดก่อนจะมองไปที่ร่างบางของภรรยาที่กำลังเดินตรงมาหาเขาอย่างไตร่ตรอง ในมือบางไม่ได้มีแก้วแชมเปญอย่างที่ร่างบางเอ่ยบอกแต่กลับเป็นถ้วยชาดาร์จีลิง*ร้อนๆส่งมาให้เขาแทน อีกมือหนึ่งยื่นจานอาหารว่างใบเล็กที่บรรจุพวกคานาเป้*รูปแบบต่างๆที่เรียงรายไว้ให้ทานคู่กับชาร้อนโดยที่ไม่มีคำพูดใดๆหลุดออกจากปากของร่างบาง นอกจากดวงตาหวานที่มองหน้าเขาสลับกับจานอาหารราวกับจะสื่อว่าเขาควรทานอาหารจานนี้รองท้องกับชาร้อนมากกว่ากระดกแค่แชมเปญ ภวินท์มองดวงหน้าหวานอย่างไม่เข้าใจแต่ก็รับจานอาหารมาถือไว้ก่อนจะยิ้มมุมปากหน่อยๆพลางคิดไตร่ตรองไปถึงคำพูดของลูกพี่ลูกน้องเมื่อครู่นี้

 

 
ความสุขงั้นเหรอ? เขาไม่ได้มีความสุขมานานเท่าไรแล้ว…

 

 
***

ต่อข้างล่างค่ะ

 
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๔ (19-3-62) [ต่อ]
เริ่มหัวข้อโดย: yokindy ที่ 19-03-2019 21:51:06
“อ้าวคุณหนู… อรุณสวัสดิ์ค่ะ” เสียงพี่นวลเอ่ยทักทายเมื่อเห็นร่างบางของคุณหนูเดินลงมาข้างล่างด้วยท่าทีเหนื่อยอ่อนจนเธอเองอดเป็นห่วงไม่ได้

 

“อรุณสวัสดิ์ครับพี่นวล… ขอโทษนะครับนทตื่นสายไปหน่อย” นทีรินยิ้มบางๆให้พี่เลี้ยงคนสนิทก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้ที่โต๊ะอาหารขนาดใหญ่ที่เขาต้องนั่งทานอาหารที่นี่ทุกวัน

 

“ไม่เป็นไรเลยค่ะ… ที่จริงจะนอนต่ออีกสักหน่อยก็ได้นี่คะเมื่อคืนกว่าจะกลับจากงานเลี้ยงก็ดึกมากแล้ว อีกอย่างวันนี้คุณหนูก็ไม่ต้องเข้าประชุมกับบอร์ดไม่ใช่เหรอคะ” พี่นวลเอ่ยบอกพลางยกกาต้มกาแฟรินใส่ถ้วยกาแฟให้คุณหนูอย่างที่ทำเป็นประจำ

 

“ครับ วันนี้ไม่ต้องเข้าบริษัท… แต่นทยังทำรายงานรายจ่ายในบ้านกับเงินเดือนของพนักงานยังไม่เสร็จเลยครับก็เลยรีบตื่นมาทำ เดี๋ยวจะเสร็จไม่ทันน่ะครับ” นทีรินเอ่ยบอกพร้อมรอยยิ้มบางๆจนพี่นวลรู้สึกสงสารขึ้นจับใจ

 

เพราะนอกจากงานที่บริษัทแล้วคุณหนูของเธอก็มีหน้าที่ในบ้านที่ต้องจัดการอีกหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการทำรายจ่ายต่างๆภายในบ้าน รายงานเงินเดือนของพนักงานทุกคนในบ้านกิจจานนท์และสารพัดการจัดการภายในบ้านทุกอย่างที่คุณหนูของเธอต้องรับผิดชอบ ต้องยอมรับเลยว่าหากบ้านกิจจานนท์ขาดนทีรินไปแม้แต่คนเดียวบ้านก็คงไม่เรียบร้อยมาจนถึงทุกวันนี้แน่นอน

 

“โถ เหนื่อยแย่เลยคุณหนูของพี่… ถ้าอย่างนั้นมาทานข้าวเช้าก่อนนะคะค่อยไปทำงาน -- วันนี้พี่ทำโจ๊กเป๋าฮื้อให้ทานด้วยนะคะ” พี่นวลยิ้มเป็นกำลังใจให้คุณหนูอย่างที่ทำเป็นประจำ แม้เธอจะมีความรู้น้อยและไม่สามารถช่วยเหลืออะไรนทีรินได้มากนักแต่เธอเองก็อยากจะช่วยคุณหนูให้กินดีอยู่ดีมีความสุขอย่างที่ควรจะเป็น และยิ่งเห็นใบหน้าของคุณหนูแสดงความดีใจเหมือนเด็กๆที่เธอทำอาหารโปรดไว้ให้พี่นวลก็ยิ่งรู้สึกสุขใจตามไปด้วย

 

“ว้าว… มีปาท่องโก๋ด้วยไหมครับพี่นวล”

 

“มีสิคะ พี่จัดการให้คุณหนูเรียบร้อยแล้วค่ะพร้อมทานเลย”

 

“น่ารักที่สุดเลยครับ แบบนี้นทมีแรงทำงานทั้งวันเลย”

 

นทีรินยิ้มกว้างกับความเอาใจใส่ของพี่เลี้ยงคนสนิทที่ไม่ว่าเขาจะเจอเรื่องอะไรแย่ๆและหนักหน่วงมามากเพียงใดแต่เขาก็ยังมีพี่นวลอยู่เคียงข้างเขาเสมอ เขาจึงไม่เคยคิดว่าพี่นวลเป็นเพียงพี่เลี้ยงเลยเพราะนอกจากครอบครัวของเขาเองแล้วก็เจ้าสัวพีระ พี่นวลก็เป็นเหมือนคนในครอบครัวของเขาอีกคนเช่นกัน

 

“ทานเยอะๆนะคะ ช่วงนี้คุณหนูซูบลงไปเยอะนะคะ”

 

พี่นวลเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงพลางวางชามโจ๊กเป๋าฮื้อที่ส่งกลิ่นหอมยั่วน้ำลายลงตรงหน้าคุณหนู และเธอสังเกตุได้ว่าตั้งแต่ที่คุณหนูต้องเข้าไปทำงานรับหน้าที่แทนเจ้าสัวพีระนั้นคุณหนูของเธอดูซูบผอมลงไปเยอะ อาจจะเป็นเพราะงานบริหารที่มีทั้งความเครียดและกดดันมากเกินที่คนๆนึงจะรับได้ไหวและตอนนี้คุณหนูก็ยังต้องมารับมือกับปัญหาต่างๆที่เกี่ยวกับภวินท์อีกเหตุผลพวกนี้คงทำให้นทีรินเกิดภาวะความเครียดจนส่งผลต่อการทานอาหารได้ง่าย

 

“ได้เลยครับ วันนี้นทจะทานโจ๊กของพี่นวลสองชามเลย” นทีรินสูดดมกลิ่นเย้ายวนเข้าเต็มปอดก่อนจะยิ้มกว้างออกมาเพราะรู้สึกดีใจที่ได้ทานอาหารโปรด มือบางหยิบช้อนตักโจ๊กเข้าปากอย่างเอร็ดอร่อยจนพี่นวลรู้สึกโล่งใจที่คุณหนูทานข้าวได้เยอะ

 

“แล้วงานเลี้ยงเมื่อคืนราบรื่นดีใช่ไหมคะ เอ่อ… พี่เห็นข่าวของคุณหนูกับคุณภพเต็มโซเชียลไปหมดเลยค่ะ”

 

พี่นวลถามเสียงตะกุกตะกักเล็กน้อยเพราะไม่แน่ใจว่าควรจะถามเรื่องนี้ออกไปหรือไม่ แต่อีกใจหนึ่งก็อยากจะรู้ความเป็นไปของคุณหนู เพราะในข่าวที่เธออ่านพร้อมรูปถ่ายที่เห็นนั้นมันทำให้เธอแปลกใจไม่น้อยเลย

 

“ข่าวไวจังเลยนะครับ” นทีรินถอนหายใจเบาๆอย่างปลงๆ

 

“ค่ะ มีลงทั้งในโซเชียลมีเดียแล้วก็เว็ปสำนักข่าวต่างๆด้วยนะคะ… พี่เพิ่งรู้ว่าผู้คนภายนอกเขาสนใจชีวิตคุณหนูของพี่เยอะขนาดนี้เลยเหรอคะ”

 

แม้ภวินท์และนทีรินจะไม่ใช่ดาราดังแต่ด้วยความที่เป็นไฮโซฯตระกูลดังทั้งคู่ก็เลยทำให้ผู้คนภายนอกนั้นอยากติดตามข่าวเป็นอย่างมาก เพราะไม่ว่าจะไปไหนทำอะไรกับใครผู้คนก็ต่างจับจ้องมาตลอด ตอนแรกนทีรินก็รู้สึกอึดอัดและประหม่าไปบ้างแต่ตอนนี้เขาเองก็เริ่มชินเสียแล้ว

 

“นทชินแล้วล่ะครับ เดี๋ยวสักพักข่าวก็ซาๆไปเองแหละครับคนเดี๋ยวนี้ลืมเร็วจะตายครับพี่นวล” นทีรินเอ่ยบอกพี่เลี้ยงอย่างปลงๆเพราะเขาเองก็ไม่อยากให้พี่นวลมาเครียดหรือเก็บเอาข่าวพวกนี้ไปคิดมาก

 

“เอ่อ… คุณหนูคะ พี่ว่าคุณภพดู…” เสียงเว้นวรรคอย่างตะกุกตะกักถูกเอื้อนเอ่ยออกมาพร้อมสีหน้าของพี่นวลที่ดูเป็นกังวลนั้นทำให้นทีรินถามขึ้น

 

“ทำไมเหรอครับ”

 

“แปลกๆไปนะคะ… ปกติคุณภพไม่มายุ่งหรือวุ่นวายอะไรกับคุณหนูเลยนี่คะแต่ภาพในข่าวที่พี่เห็นมัน…”

 

พี่นวลพูดเสียงอ้อมแอ้มพลางหลุบตาลงไม่กล้าสบตากับคุณหนูเพราะเธอเองก็ไม่อยากจะถามอะไรให้มากความจนคุณหนูเกิดความไม่พอใจเพียงแต่เธอเป็นห่วงความรู้สึกของคุณหนูเท่านั้นเอง เพราะภาพข่าวที่เธอเห็นนั้นมันทำให้เธอรู้สึกแปลกใจกับการกระทำของภวินท์ไม่น้อยเลย

 

นทีรินรับรู้ถึงความห่วงใยผ่านสายตาของพี่นวลได้เป็นอย่างดีและเขาเองก็ซาบซึ้งกับมันอย่างมาก การที่มีคนเป็นห่วงเรามันรู้สึกดีจริงๆ

 

แต่หากถ้าเขาจะนึกไปถึงงานเมื่อคืนมันก็ราบรื่นดีไม่มีอะไรต้องเป็นกังวลเพราะสิ่งที่ทุกคนรับรู้นั้นมันก็เป็นแค่เพียงละครฉากหนึ่งที่เขาและภวินท์แสดงออกไปเท่านั้น

 

“พี่นวลไม่ต้องคิดอะไรหรอกนะครับ มันก็แค่ละคนฉากหนึ่งเท่านั้นแหละครับพี่นวลก็ทราบดีนี่ครับว่าอะไรเป็นอะไร ที่เขาทำแบบนั้นก็เพราะอยากหาเรื่องแกล้งนทเท่านั้นแหละครับ -- แล้วนทก็ทำอะไรไม่ได้เพราะต่อหน้าคนอื่นนทไม่อยากแสดงอะไรที่ไม่ดีออกไปทั้งๆที่ความจริงนทอยากจะว่าเขาแรงๆจะแย่อยู่แล้ว”

 

นทีรินเอ่ยบอกพี่เลี้ยงด้วยอารมณ์ที่เริ่มคุกรุ่นเมื่อนึกไปถึงใบหน้าหล่อคมที่มีแต่ความกวนประสาทประดับอยู่ รอยยิ้มมุมปากอย่างร้ายกาจแบบนั้นทำให้นทีรินพ่นลมหายใจออกจมูกแรงๆด้วยความกรุ่นโกรธ แล้วไหนจะสิ่งที่ร่างสูงทำกับเขาบนรถอีกยิ่งคิดก็ยิ่งนึกเอ็ดตัวเองที่เคลิบเคลิ้มไปตามภวินท์ หัวใจดวงน้อยเริ่มเต้นรัวขึ้นมาเมื่อนึกไปถึงเหตุการณ์บนรถและเหตุการณ์ตอนที่อยู่ต่อหน้านักข่าว สายตาคู่คมนั้นมองมาที่เขาอย่างอ่อนละมุนแบบนั้นมันทำให้เขาอดนึกไปถึงภวินท์พี่ชายที่แสนดีของเขาไม่ได้เพราะภวินท์มักจะใช้สายตาแบบนี้มองมาที่เขาเสมอๆ

 

“ไม่เอาค่ะ... ไม่พูดเรื่องนี้แล้วนะคะ ยิ่งพูดเดี๋ยวจะยิ่งอารมณ์ไม่ดีค่ะ -- ทานข้าวต่อดีกว่านะคะเดี๋ยวพี่ไปตักมาทานเป็นเพื่อน”

 

พี่นวลตัดบทขึ้นเพราะไม่อยากให้คุณหนูรู้สึกอารมณ์ไม่ดีพลางนึกเอ็ดตัวเองในใจว่าเธอไม่ควรถามถึงภวินท์ให้คุณหนูรู้สึกเจ็บใจเลย พี่นวลกำลังจะเดินเข้าไปในครัวเพื่อตัดข้าวต้มมานั่งทานเป็นเพื่อนนทีรินแต่ต้องชะงักเท้าเสียก่อนเมื่อได้ยินใครสักคนเรียกชื่อตัวเอง

 

“พี่นวล พี่นวลครับ!” มองไปก็พบว่าเป็นโต๋นั่นเองที่ทั้งวิ่งตึงตังและเรียกเสียงดังมาแต่ไกลเหมือนเด็กๆจนพี่นวลอดเอ็ดขึ้นมากับความโตแต่ตัวของโต๋ไม่ได้

 

“มีอะไรเจ้าโต๋… เสียงดังลั่นบ้านเชียว กลัวคนข้างบ้านไม่ได้ยินหรือไงกัน”

 

“อ้าวคุณนทก็อยู่เหรอครับ งั้นดีเลยครับ” โต๋เอ่ยบอกเมื่อเห็นนทีรินกำลังนั่งทานข้าวอยู่พอดี

 

“มีอะไรเหรอครับพี่โต๋” นทีรินเลิกคิ้วถามอย่างสงสัย

 

“อ่า… ผมว่าคุณนทไปดูเองข้างนอกดีกว่าครับ”

 

โต๋ไม่ได้บอกอะไรนอกจากชี้ไปทางหน้าบ้านซึ่งมันก็ทำให้นทีรินถอนหายใจเบาๆพลางส่ายหัวอย่างเหนื่อยหน่ายกับท่าทีแปลกประหลาดของโต๋ที่ดูปิดบังและทว่าแฝงใบหน้าซ่อนความดีใจไว้ด้วย

 

นทีรินไม่รอฟังอะไรนอกจากสาวเท้าออกไปตามที่โต๋บอก เมื่อไปถึงบริเวณเทอร์เรสหน้าบ้านก็พบว่ามีรถสปอร์ตสีขาวคันหรูติดยี่ห้อ Aston Martin จอดอยู่ข้างๆมีใครสักคนยืนเช็คความเรียบร้อยอยู่บริเวณรถอย่างจดจ่อก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาพบเขาแล้วยกมือไหว้ทักทาย

 

“สวัสดีครับคุณนทีริน… เดี๋ยวรบกวนช่วยเซ็นต์รับตรงนี้ด้วยครับ” ชายหนุ่มอายุประมาณสามสิบกว่าๆยื่นใบเซ็นต์รับมาให้ นทีรินรับมาด้วยความงงงวย

 

“เซ็นต์อะไรกันครับ… แล้วนี่รถของใครกัน” นทีรินเอ่ยถามอย่างสงสัยเมื่ออ่านรายละเอียดในใบเซ็นต์รับคร่าวๆแล้ว

 

ข้อมูลในนั้นระบุเกี่ยวกับข้อมูลรถยนต์ต่างๆอย่างละเอียดและด้านล่างมีที่เว้นว่างไว้เพื่อรอให้เขาเซ็นต์ชื่อลงไป นทีรินอ่านรายละเอียดภายในกระดาษแผ่นนั้นอย่างถี่ถ้วนก่อนจะมองไปบนหัวกระดาษที่ระบุชื่อบริษัทที่นทีรินรู้จักดีเพราะเป็นบริษัทของสามีเขาเอง

 

“ของคุณนทีรินนั่นแหละครับ… เจ้านายสั่งซื้อและให้เอามาให้ครับ” พนักงานคนนั้นเอ่ยบอกพร้อมรอยยิ้ม

 

“ของผม? -- คุณภพเป็นคนซื้อมาเหรอครับ” นทีรินถามซ้ำอย่างสงสัย เพราะไม่เข้าใจว่าภวินท์จะซื้อรถคันนี้มาให้เขาทำไมกัน

 

“ใช่ครับ”

 

“ขอบคุณนะครับ แต่ผมไม่รับ… แล้วก็จะไปคุยกับเจ้านายของคุณเองครับ -- คุณเอารถกลับไปได้เลย ขอโทษนะครับที่ทำให้เสียเวลา”

 

นทีรินเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงราบเรียบก่อนจะยื่นใบเซ็นต์รับคืนไป พนักงานคนนั้นรับคืนไปด้วยสีหน้างงงวยที่ภรรยาของเจ้านายไม่ยอมรับรถไป แต่ก่อนจะได้พูดอะไรออกไปเสียงทุ้มคุ้นเคยก็ดังขึ้นก่อน

 

“มาส่งแล้วเหรอ” ภวินท์ที่กำลังจะออกไปทำงานเดินเข้ามาถามพอดี

 

นทีรินมองหน้าคนเป็นสามีนิ่งเพราะไม่เข้าใจกับสิ่งที่อีกฝ่ายทำและวันนี้เขาต้องคุยกับภวินท์ให้รู้เรื่อง

 

“สวัสดีครับเจ้านาย” พนักงานคนนั้นยกมือไหว้เจ้านายอย่างนอบน้อม ภวินท์รับไหว้ก่อนจะเดินมาที่รถคันหรูเพื่อเช็คความเรียบร้อยต่างๆ

 

“อืม ทุกอย่างเรียบร้อยไหม”

 

“อ่า… ครับ -- แต่ว่าคุณนทีรินไม่เซ็นต์รับครับเจ้านาย”

 

พนักงานคนนั้นตอบเสียงตะกุกตะกักเล็กน้อยด้วยท่าทีเกรงใจ สิ้นเสียงของพนักงานภวินท์ก็หันมาถามคนเป็นภรรยาที่ยืนมองมาที่เขานิ่งๆ

 

“ทำไม… ไม่ถูกใจตรงไหนหรือเปล่า”

 

เสียงทุ้มของสามีที่ถามออกมาด้วยท่าทีปกติยิ่งทำให้นทีรินไม่เข้าใจไปกันใหญ่ ร่างบางพรูลมหายใจออกมาเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงราบเรียบทว่าเยียบเย็นอยู่ภายใน

 

“คุณภพ ผมขอคุยกับคุณเป็นการส่วนตัวสักครู่ได้ไหมครับ”

 

 



 

“คุณภพซื้อรถให้ผมทำไมครับ”

 

นทีรินเอ่ยถามทันทีที่เขาและภวินท์เดินเข้ามาคุยกันเพียงลำพังในห้องรับแขกใหญ่ของบ้าน ภวินท์ทรุดนั่งที่โซฟาหลังใหญ่แขนแกร่งพาดไปที่พนักพิงด้วยท่าทีสบายๆในขณะที่นทีรินยืนประชันหน้าเขาอยู่ไม่ห่าง

 

“ก็อยากได้ไม่ใช่เหรอ” เอ่ยบอกพลางไหวไหล่ขึ้นเล็กน้อย

 

สิ้นสุดคำพูดนั้นนทีรินก็คิดได้ว่าที่งานเลี้ยงเมื่อวานนี้เขาแกล้งพูดเล่นกับญาติๆของภวินท์ว่าเขาอยากได้รถคันนี้ เพราะเป็นแบบนั้นภวินท์ก็เลยซื้อมาให้เขาอย่างนั้นเหรอ

 

“ผมไม่ได้อยากได้ครับ… ที่ผมพูดเมื่อวานเพราะแค่อยากแหย่พวกพี่ๆเขาเล่น แล้วอีกอย่างผมเองก็มีรถส่วนตัวอยู่แล้วด้วยครับ”

 

นทีรินปฏิเสธออกไปทันที และเขาก็รู้ว่าภวินท์รู้ว่าเขาพูดเล่นแต่ทำไมอีกฝ่ายถึงยังซื้อรถคันนี้มาให้เขาอีก เขาไม่ได้อยากได้เสียหน่อยแล้วอีกอย่างเขาเองก็มีรถส่วนตัวอยู่แล้วและมันก็ยังใช้การได้ดีอยู่ด้วย

 

“คันนั้นมันเก่าแล้วนี่ ใช้มาหลายปีแล้วไม่ใช่เหรอ เปลี่ยนๆไปเถอะ” เสียงทุ้มเอ่ยบอกนิ่งๆพลางเลื่อนดูอะไรสักอย่างในแท็ปเล็ตเครื่องหรูไปด้วย

 

นทีรินกลอกตาบนขึ้นอย่างอ่อนใจที่อีกฝ่ายไม่สนใจอะไรที่เขาพูดเลยหนำซ้ำยังมาตัดสินใจอะไรแทนเขาอีก ถึงแม้รถของเขาจะใช้มาหลายปีแล้วแต่เขามันก็ไม่ได้เก่าขนาดที่จะต้องเปลี่ยนเลยนี่

 

“ถึงมันจะเก่าจะหลายปีแต่สภาพของมันยังดีและใช้งานได้อยู่ครับและอีกอย่างรถคันนั้นอากงเป็นคนซื้อให้ผม เพราะฉะนั้นผมจะไม่เปลี่ยนครับ” น้ำเสียงจริงจังและหนักแน่นทว่าแฝงไปด้วยความไม่พอใจอยู่ภายในดังขึ้นจนคนฟังต้องเงยหน้าจากแท็ปเล็ตเครื่องหรู

 

“ก็ซื้อมาแล้ว แค่รับไปมันคงไม่ยากอะไรหรอกนะ คุณจะเอาไปขับสลับกับคันเก่าก็ได้นี่”

 

ภวินท์ไม่สนใจก่อนจะหาทางออกให้นทีรินรับของที่เขาซื้อมาไปให้ได้ซึ่งนทีรินก็ยิ่งไม่เข้าใจไปใหญ่ว่าภวินท์ทำแบบนี้เพราะอะไรทั้งๆที่รู้อยู่เต็มอกว่าเขาไม่ได้อยากได้รถคันนี้จริงๆเสียหน่อย

 

“ผมไม่เข้าใจคุณเลยสักนิด คุณก็รู้ว่าผมพูดเล่นกับพวกพี่ๆเค้าแต่ทำไมคุณถึงยังต้องซื้อมาครับ -- ผมทราบนะครับว่าคุณภพมีเงินมากมายที่จะซื้อรถราคาเป็นร้อยล้านพันล้านได้ง่ายๆ แต่อย่าเอาเงินของคุณมาซื้ออะไรที่สิ้นเปลืองให้ผมเลยครับเพราะผมไม่ได้อยากได้อะไรจากคุณเลย”

 

นทีรินร่ายยาวตามที่ใจคิดเพราะยิ่งคุยกันเขาก็ยิ่งไม่รู้เรื่องและไม่เข้าใจในจุดประสงค์ของภวินท์ว่าทำแบบนี้ทำไมหรืออีกฝ่ายแค่อยากจะแกล้งเขาเล่นอีก

 

“ผมก็ไม่ได้ซื้อให้คุณฟรีๆนี่ ก็ถือซะว่าผมซื้อให้คุณเป็นของขวัญตอบแทนที่คุณดูแลอากงมาตลอด” เสียงทุ้มเอ่ยบอกตามความรู้สึก

 

เพราะว่าเขาซื้อรถคันนี้มาเพียงเพราะนทีรินพูดว่าอยากได้มันก็เท่านั้น และเขาเองก็ไม่เข้าใจว่านทีรินจะเครียดไปทำไมกับแค่รถคันเดียวที่เขาเป็นคนซื้อให้

 

หลังจากสิ้นเสียงเหตุผลของการซื้อรถคันนี้ของสามีทางนิตินัยแล้วนทีรินก็ได้แต่พ่นลมหายใจออกมา เพราะเหตุผลนี้มันฟังไม่ขึ้นเลยสักนิด หน้าที่ที่ดูแลเจ้าสัวพีระมันเป็นสิ่งที่เขาเต็มใจทำอยู่แล้วเพราะท่านคือผู้มีพระคุณของเขา

 

“เรื่องดูแลอากงผมทำด้วยความเต็มใจและไม่ได้ต้องการอะไรตอบแทนจากคุณทั้งนั้นครับ -- แต่ถ้าคุณอยากตอบแทนจริงๆก็ช่วยทำหน้าที่เป็นหลานที่ดีของอากงก็พอครับ”

 

นทีรินเอ่ยบอกด้วยเสียงนิ่งเรียบและไม่พอใจ แต่เขาเหนื่อยที่จะคุยกับภวินท์แล้วเพราะยิ่งคุยภวินท์ก็ยิ่งทำให้เขารู้สึกโมโห เขากลัวว่าตัวเองจะทนไม่ไหวกับความกวนประสาทของอีกฝ่ายไปเสียก่อน ร่างบางกำลังจะเดินออกไปจากห้องรับแขกใหญ่แต่เสียงทุ้มกวนประสาทดังขึ้นก่อน

 

“ถ้าอย่างนั้นก็ถือเสียว่าผมซื้อมาแลกกับจูบของคุณเมื่อวานเป็นไง…”

 

นทีรินหันหน้ากลับมาเผชิญกับสามีที่ยิ้มมุมปากเย้ยหยันและแฝงไปด้วยความกวนประสาทมาที่เขาอยู่แล้ว นทีรินขบกรามแน่นเพื่อหวังว่ามันจะช่วยระงับความกรุ่นโกรธได้ ประโยคที่อีกฝ่ายเอ่ยออกมานั้นแสนสั้นแต่ทำให้เขาเจ็บใจได้ไม่น้อยเลย



ซื้อรถมาแลกกับจูบอย่างนั้นเหรอ… น่าเกลียดที่สุด!

 

“ว่าไง… จะรับไปได้หรือยัง”

 

ภวินท์ยกคิ้วข้างนึงพลางถามด้วยท่าทีเรียบเฉยแต่แฝงไปด้วยความกวนประสาทไม่น้อย ดวงตาคมจับจ้องที่ริมฝีปากอวบอิ่มอย่างจาบจ้วงจนนทีรินคิดว่านั่นเป็นการกระทำที่หยาบคายที่สุด

 

“ถ้าอย่างนั้นผมยิ่งรับไม่ได้ใหญ่เลยครับเพราะผมไม่ได้ยินยอมและต้องการมัน -- กรุณาเอารถของคุณคืนไปด้วยครับ” นทีรินเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว เพราะเขาไม่ได้ยินยอมทั้งรถและทั้งจูบที่ภวินท์ฉวยโอกาสกับเขาเมื่อคืน

 

“หึ! รถของผมมันคงไม่มีค่าเท่าแจกันใบละหลายสิบล้านสินะ… ถึงได้อิดออดไม่อยากจะรับ”

 

เสียงทุ้มหัวเราะในลำคอก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงกระทบกระเทียบ ใบหน้าหล่อนั้นนิ่งเฉยแต่สายตาคมนั้นแฝงไปด้วยความไม่พอใจที่ภรรยาทางนิตินัยมีท่าทีอิดออดและไม่พึงใจกับสิ่งที่เขาซื้อมาให้ซึ่งมันทำให้เขารู้สึกอารมณ์คุกรุ่นขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้

 

นทีรินได้ยินเช่นนั้นก็แสยะยิ้มกับคำพูดประชดประชันของภวินท์ ในเมื่อภวินท์จะอยากเข้าใจอย่างไรเขาก็ไม่สนใจและจะไม่มีคำอธิบายใดๆออกจากปากเขาแม้แต่นิดเดียว เพราะเขาไม่จำเป็นต้องใส่ใจกับคนที่พูดจาร้ายกาจใส่เขาอยู่ตลอดเวลาแบบภวินท์เลยสักนิด

 

“ครับ รถของคุณมันก็ไม่มีค่าพอๆกับจูบของคุณนั่นแหละครับ”

 

น้ำเสียงเย็นชาดังขึ้นกระแทกอารมณ์ที่คุกรุ่นของภวินท์ได้อย่างดี ร่างสูงหัวเราะในลำคอแต่สายตาคมแข็งกร้าวขึ้นแสดงให้เห็นถึงอารมณ์ขุ่นมัวได้ดีแต่นทีรินไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะรู้สึกอย่างไร

 

“ไม่มีค่าอะไรสำหรับผมเลยแม้แต่นิดเดียว”

 

ร่างบางเอ่ยทิ้งท้ายประโยคหนักแน่นก่อนจะเดินออกจากห้องรับแขกใหญ่ไปด้วยความโมโหทิ้งให้ภวินท์มองท่าทีเมินเฉยนั่นด้วยอารมณ์คุกรุ่นที่เริ่มปะทุแรงขึ้นมาอย่างรวดเร็วแต่เขาไม่อยากจะยอมรับหรอกว่าไม่พอใจ มือหนาหยิบบุหรี่ไฟฟ้าขึ้นมาจุดสูบเพื่อคลายอารมณ์เพราะเขาไม่อยากจะไปทำงานด้วยอารมณ์ที่ขุ่นมัวจนไม่เป็นอันทำงาน แต่หากนึกไปถึงคำพูดของภรรยาเมื่อครู่และใบหน้านวลแฝงไปด้วยอารมณ์กรุ่นโกรธใบหน้าหล่อคมก็กระตุกยิ้มเย็น

 



ไม่มีค่าอย่างนั้นเหรอ หึ!

 

 
To be continue


_____________________________________________________________________________________________


TALK WITH WRITER :: ล่าสุดซื้อรถมาแลกกับจูบน้องแล้วจ้า ร้ายที่สุด! ร้ายแบบนี้แล้วมีใครจะอยู่ทีมพี่ภพกันไหมเนี่ย รีดเดอร์รอสาปส่งนางไปทุกตอนเลยนะคะ 55555555555 เจอกันตอนหน้าค่ะ :)


ชาดาร์จีลิง = เป็นชาที่ที่ถูกผลิตในเมืองดาร์จีลิงอยู่ทางรัฐเบงกอลตะวันตก ประเทศอินเดีย สีของชาจะเป็นสีทองสว่างจึงทำให้ได้รับฉายาว่าเป็น "แชมเปญแห่งชา"

คานาเป้ = เป็นอาหารชิ้นเล็กๆที่สามารถถือได้ด้วยนิ้วและมักรับประทานได้ในคำเดียว คานาเป้มักจะถูกนำมาใช้จัดงานเลี้ยงแบบค็อกเทล


Aston Martin = ชื่อบริษัทผลิตรถยนต์สปอร์ตหรูซึ่งมีฐานการผลิตที่เมือง Geydon ประเทศสหราชอาณาจักร ซึ่งชื่อยี่ห้อนั้นตั้งตามชื่อนามสกุลของ ลีโอเนล มาร์ตินซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งบริษัท

 

 
 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๔ (19-3-62)
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 19-03-2019 22:42:20
หน้าชาแตกยับเลยไหมล่ะภวินท์
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๔ (19-3-62)
เริ่มหัวข้อโดย: HISY ที่ 19-03-2019 22:49:03
จ้าา หมั่นไส้อิพี่จริงๆจ้าา
มั่นหน้ามั่นโหนกให้ได้ตลอดนะยะ รอวันซ้ำค่าา
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๔ (19-3-62)
เริ่มหัวข้อโดย: Funnycoco ที่ 20-03-2019 03:43:04
สมนำ้หน้าคุณภพ เป็นคนทีอะไรไม่นึกถึงใจคนอื่นเลยอะ
ตั้งแต่ทิ้งอากงไปตั้ง8ปีแล้วล่ะ
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๔ (19-3-62)
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 20-03-2019 04:13:04
มารักทำไมตอนนี้~
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๔ (19-3-62)
เริ่มหัวข้อโดย: nikpook ที่ 20-03-2019 15:52:41
รอตอนต่อไปค่ะ สนุกมากๆ :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๔ (19-3-62)
เริ่มหัวข้อโดย: YounIn ที่ 20-03-2019 16:54:11
ยากที่จะกลับมาดีกัน
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๔ (19-3-62)
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 20-03-2019 22:51:59
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๕ (26-9-62)
เริ่มหัวข้อโดย: yokindy ที่ 26-03-2019 15:38:58
บทที่ ๕



“กลิ่นหอมฟุ้งออกไปข้างนอกเลยค่ะคุณหนู… ทำอะไรทานคะ?”

พี่นวลเดินเข้ามาในครัวขนาดใหญ่พร้อมสูดกลิ่นหอมของอาหารที่ลอยฟุ้งออกไปด้านนอก เพียงฟังเสียงผัดในกระทะและกลิ่นหอมอันยั่วน้ำลายแล้วก็รู้ได้เลยว่าอาหารมื้อนี้ต้องรสเลิศแน่นอน

 
“ผัดไทยกุ้งสดครับพี่นวล พอดีนทได้เส้นจันท์เจ้าอร่อยที่อากงชอบมาน่ะครับเลยเอามาทำให้ท่านทาน”

 
นทีรินในชุดผ้ากันเปื้อนสำหรับในครัวกำลังยืนทำผัดไทยกุ้งสดสูตรคลีนที่เขาคิดขึ้นมาเองเพื่อที่จะได้ให้เจ้าสัวพีระรับประทานได้ เพราะผัดไทยเส้นจันท์ก็เป็นอาหารอีกจานหนึ่งที่เจ้าสัวพีระชอบเขาจึงตั้งใจทำอาหารจานนี้เป็นพิเศษตั้งแต่การเตรียมวัตถุดิบ นทีรินเลือกใช้เส้นจันท์เจ้าประจำที่เจ้าสัวพีระโปรดปราน น้ำมันที่ใช้ผัดเป็นน้ำมันมะกอกแทนน้ำมันพืชชนิดอื่น ส่วนกุ้งสดเขาเลือกกุ้งลายเสือตัวใหญ่เนื้อแน่นที่ทำการแกะเปลือกและผ่าหลังมาผัด

 
“หืม… น่าทานจังเลยค่ะคุณหนู” พี่นวลเดินเข้ามาใกล้พลางสูดดมความหอมยั่วน้ำลายก่อนจะยิ้มกว้างให้กับคุณหนู

 
นทีรินทำอาหารเก่งมากเพราะเรียนรู้มาตั้งแต่เด็ก ถึงแม้ว่าช่วงหลังๆมานี้นทีรินจะห่างหายจากการทำอาหารไปนานเพราะต้องเข้าไปทำงานแทนเจ้าสัวพีระ แต่สิ่งใดที่นทีรินตั้งใจทำแล้วมันจะออกมาดีหมดทุกอย่างจริงๆ ยิ่งเวลาที่เห็นคุณหนูทำอาหารแบบนี้ยิ่งทำให้พี่นวลอดคิดถึงคุณท่านที่จากไปไม่ได้เพราะคุณทิวาเองก็ทำอาหารอร่อยไม่แพ้กันเลย

 

นทีรินยิ้มกว้างภูมิใจกับผลงานของตัวเองขณะที่หยิบถั่วงอกดิบและผักกุยช่ายสดโรยลงไปในกระทะเป็นขั้นตอนสุดท้ายแล้วผัดให้เข้ากันเพียงเท่านั้นผัดไทยกุ้งสดหน้าตาน่ารับประทานก็เสร็จเรียบร้อย

 

“ใช่ไหมล่ะครับ… นทวานพี่นวลตักในกระทะนี้ขึ้นไปเสิร์ฟให้อากงด้วยนะครับ -- ส่วนอีกกระทะก็แบ่งไว้ให้ทุกคนทานด้วยนะครับนททำเผื่อทุกคนเลย” นทีรินเอ่ยวานพี่เลี้ยงคนสนิทขณะที่ทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้ว

 

“ได้ค่ะ… แล้วคุณหนูจะให้พเจ้าโต๋ไปเรียนคุณภพให้มาทานอาหารกลางวันเลยไหมคะ” พี่นวลรับคำก่อนจะเอ่ยถามต่อจนนทีรินชะงักไปครู่หนึ่งเมื่อได้ยินชื่อของสามีทางนิตินัย

 

“คุณภพอยู่บ้านเหรอครับ”

 

นทีรินเอ่ยถามพี่เลี้ยงคนสนิทด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งแต่ในใจกลับคิดไปถึงหน้าของคนเป็นสามีที่ไม่เจอกันมาร่วมอาทิตย์แล้ว นทีรินไม่เจอหน้าคนเป็นสามีเลยตั้งแต่วันที่เขาและภวินท์ทะเลาะกันเรื่องรถยนต์ที่ภวินท์ซื้อมา แต่ที่นทีรินรับรู้ตลอดก็คือภวินท์ได้เข้าไปทำงานที่เดอะแกรนด์ฯแล้วเขาจึงหมดหน้าที่ในการไปเป็นตัวแทนของเจ้าสัวพีระไปโดยปริยายและนอกจากนั้นภวินท์ยังกลับมานอนที่บ้านทุกวันและยังขึ้นไปเยี่ยมอากงทุกวันอีกด้วย ซึ่งการกระทำเหล่านั้นทำให้นทีรินแปลกใจไม่น้อยเลย

 

“อยู่ค่ะ เห็นว่าทำงานอยู่ที่ห้องทำงานใหญ่ -- พี่เพิ่งให้เด็กยกกาแฟกับของว่างขึ้นไปให้เมื่อครู่นี้เองค่ะ”

 

พี่นวลตอบพร้อมรอยยิ้มบางๆ ถึงแม้จะไม่รู้ว่าภวินท์และนทีรินทะเลาะด้วยเหตุผลใดเพราะนทีรินไม่ได้เล่าให้เธอฟังและเธอเองก็ไม่ได้ซักไซ้ไถ่ถามอะไรเพราะมันไม่ใช่เรื่องที่ควรจะไปซักไซ้ไล่เลียงให้คุณหนูของเธอรู้สึกแย่กว่าเดิม แต่ถึงกระนั้นก็ตามพี่นวลก็ยังคงเป็นห่วงเป็นใยทั้งคุณหนูและภวินท์อยู่เสมอมา

 

เมื่อได้ยินคำตอบจากพี่เลี้ยงคนสนิทนทีรินก็เงียบนิ่งไปจนพี่นวลรู้สึกเป็นห่วงขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ ร่างบางถอนหายใจเบาๆก่อนจะเดินไปเตรียมกระทะใบใหม่มาตั้งบนเตา

 

“ถ้าอย่างนั้นรอก่อนครับ… เดี๋ยวนทผัดให้เขาใหม่”

 

“อ้าว ทำไมล่ะคะ” พี่นวลเอ่ยถามด้วยความสงสัย

 

“คุณภพแพ้กุ้งน่ะครับ นทจะใส่ปลาหมึกให้เขาแทน”

 

นทีรินเอ่ยตอบพี่เลี้ยงเสียงราบเรียบก่อนจะเดินไปเตรียมปลาหมึกกล้วยตัวใหญ่มาหั่นเป็นแว่นๆเพื่อเตรียมผัดไว้ให้คนเป็นสามีได้ทาน ต่อให้เขาจะยังโกรธอีกฝ่ายอยู่แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าความใส่ใจที่เขามีต่อภวินท์นั้นจะต้องลดลงตาม

 

แต่กระนั้นก็ตามนทีรินก็ยังคงเลี่ยงที่จะเจอคนเป็นสามีอยู่ดี ยิ่งนึกไปถึงวันนั้นนทีรินก็ยิ่งรู้สึกขุ่นเคืองและเจ็บใจกับคำพูดและการกระทำของคนเป็นสามีไม่หาย รถยนต์ยี่ห้อหรูคันนั้นยังคงจอดแน่นิ่งอยู่ที่โรงจอดรถเคียงข้างกับรถยนต์ส่วนตัวของเขา จนนทีรินรู้สึกรำคาญใจทุกครั้งที่ต้องเห็นรถคันนั้นคันที่สามีทางนิตินัยของเขาซื้อมาให้เพื่อแลกกับจูบของเขาเอง

 

 “เดี๋ยวนทวานพี่โต๋ยกขึ้นไปเสิร์ฟคุณภพที่ห้องทำงานด้วยนะครับ ทำงานอยู่แบบนั้นคงไม่อยากลงมาทานข้างล่าง”

 

เมื่อจัดการทำผัดไทยให้คนเป็นสามีเสร็จแล้ว นทีรินก็ไหว้วานให้โต๋ซึ่งเป็นคนสนิทของภวินท์ยกถาดอาหารที่ประกอบไปด้วยผัดไทยใส่ปลาหมึกกล้วยและน้ำเก๊กฮวยเย็นชื่นใจที่นทีรินต้มเองขึ้นไปเสิร์ฟให้กับภวินท์ที่ทำงานอยู่ห้องด้านบนแทนที่จะให้ไปเรียกลงมาทานข้างล่าง เพราะนทีรินรู้ดีว่าหากภวินท์กำลังตั้งใจทำอะไรอยู่นั้นก็จะทำจนเสร็จก่อนจึงจะทำอย่างอื่นต่อได้

 

 

 

เมื่อจัดการทำอาหารให้ทุกคนในบ้านได้รับประทานกันหมดแล้ว พี่นวลจึงตักมาให้นทีรินได้ทานบ้าง นทีรินยิ้มกว้างพลางชวนพี่นวลนั่งทานด้วยกัน เพราะหลังๆมานี้ตั้งแต่ที่เจ้าสัวพีระป่วยเขาก็นั่งทานอาหารคนเดียวจนเขาทานอาหารไม่ค่อยอร่อยราวกับเป็นโรคเบื่ออาหารไปเสียแล้ว ก็มีแต่พี่นวลนี่แหละที่มานั่งทานอาหารเป็นเพื่อนเขาพูดคุยกับเขาจนเขาเจริญอาหารขึ้นบ้าง

 

“คุณนทครับ” เสียงเรียกของโต๋ดังขึ้นขณะที่นทีรินทานอาหารเสร็จเรียบร้อยแล้วแต่กำลังคุยเล่นอยู่กับพี่นวล

 

“ครับพี่โต๋” นทีรินขานรับ

 

“คุณภพเรียนว่าให้ไปหาที่ห้องทำงานครับ”

 

โต๋เอ่ยบอกพร้อมรอยยิ้มกว้างแต่นทีรินนี่แหละที่ยิ้มไม่ออกเพราะเขาไม่อยากไปเจอหน้าภวินท์ ร่างบางเม้มปากแน่นก่อนจะใช้ความคิดว่าจะพูดหลีกเลี่ยงการไปเจอหน้าคนเป็นสามีอย่างไรดี

 

“เอ่อ… แล้วคุณภพบอกไหมครับว่าเรียกหานททำไม”

 

“ท่านบอกว่าอยากจะถามเรื่องงานที่บริษัทครับ” สิ้นคำตอบของโต๋นทีรินก็ถอนหายใจออกมาเบาๆก่อนจะพยักหน้าให้โต๋อย่างจำใจ

 

ถ้าเป็นเรื่องอื่นเขาคงพอหลีกเลี่ยงได้บ้างแต่หากเป็นเรื่องงานแล้วล่ะก็เขาก็ปฏิเสธอะไรไม่ได้ เพราะเขาถือว่าเป็นคนจัดการดูแลงานทุกอย่างก่อนหน้านี้หากไม่ขึ้นไปพบแล้วภวินท์ก็ต้องหาว่าเขาเป็นคนไม่มีความรับผิดชอบต่อหน้าที่การงานซึ่งเขาไม่ต้องการให้เป็นแบบนั้น คนร้ายกาจแบบนั้นน่ะหาเรื่องมาต่อว่าเขาได้ตลอดนั่นแหละแต่เขาจะยอมให้อีกฝ่ายมาต่อว่าเขาไม่ได้โดยเฉพาะเรื่องงานที่บริษัทฯ

 

ร่างบางย่างเท้าขึ้นไปที่ห้องทำงานด้านบนซึ่งเคยเป็นห้องทำงานเก่าของเจ้าสัวพีระที่ท่านเอาไว้ทำงานเมื่อกลับมาที่บ้าน แต่ตอนนี้ภวินท์คงจะเทคโอเวอร์ห้องนี้ไปเป็นของตัวเองแล้วสินะ เมื่อเท้าไปหยุดยืนอยู่หน้าประตูมือบางก็ยกขึ้นมาเคาะประตูด้วยความสั่นเทาเพราะนทีรินเองก็ไม่ได้พร้อมที่พบหน้าของภวินท์เลย

 

“เข้ามาได้”

 

เสียงทุ้มเข้มจากคนภายในห้องขานตอบเป็นการอนุญาตดังขึ้น นทีรินจึงเปิดประตูออกก่อนจะเดินเข้าไปด้วยท่าทีเรียบนิ่งแต่ทว่าใจนั้นเต้นระรัวจนนทีรินอดเอ็ดตัวเองไม่ได้

 

ภวินท์ในชุดลำลองสบายๆกำลังตรวจเอกสารกองโตที่วางอยู่บนโต๊ะทำงานขนาดใหญ่ด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง ใบหน้าหล่อคมที่ถูกประดับไว้ด้วยแว่นกรองแสงเมื่อเวลาที่ทำงานทำให้ร่างสูงดูน่าเกรงขามขึ้นไปอีกจนนทีรินรู้สึกหวั่นๆ เวลาที่ต้องพบเจอกับภวินท์มันทำให้เขาทำตัวไม่ถูกทุกครั้ง แล้วทำไมเขาต้องรู้สึกเกรงกลัวอีกฝ่ายด้วยก็ไม่รู้ทั้งๆที่เขาเป็นฝ่ายโดนภวินท์ทำตัวร้ายใส่แท้ๆ

 

“คุณภพเรียกหาผมเหรอครับ”

 

นทีรินเดินไปหยุดยืนหน้าโต๊ะทำงานขนาดใหญ่พลางเอ่ยถามคนเป็นสามีที่ไม่แม้แต่มองหน้าเขาเลยสักนิดเพราะมัวแต่ตรวจเอกสารในมืออย่างด้วยท่าทีเคร่งเครียด

 

“อืม นั่งสิ”

 

ภวินท์เงยหน้ามองเล็กน้อยก่อนจะผายมือเชิญภรรยานั่งลงที่เก้าอี้ตรงข้ามเขานทีรินทรุดนั่งที่เก้าอี้โดยไม่พูดอะไรเพราะรอให้ภวินท์ตรวจเอกสารในมือเสร็จก่อน คนที่นั่งรอไม่รู้จะวางตัวอย่างไรจึงทำได้เพียงสอดสายตาไปรอบๆห้องก่อนจะหยุดไปที่โต๊ะขนาดเล็กที่มีถาดอาหารวางอยู่นทีรินจึงรู้ได้ว่าภวินท์นั้นทานผัดไทยที่เขาทำขึ้นมาให้จนหมดแล้วแถมหมดเกลี้ยงจานเสียด้วย น้ำเก๊กฮวยก็ถูกดื่มจนหมดแก้วเหลือเพียงน้ำแข็งติดก้นแก้วเท่านั้น

 

นทีรินรู้สึกหัวใจพองโตขึ้นมาเมื่อเห็นว่าภวินท์ทานอาหารที่เขาทำจนหมด เขาไม่อยากหลอกตัวเองเลยว่าดีใจแต่ทำอย่างไรได้ในเมื่อมันรู้สึกแบบนั้นอย่างห้ามไม่ได้จริงๆ

 

“ทำไมแบรนด์ห้องเสื้อนาวิยาถึงได้มาขอขยายสาขาทั้งๆที่ขาดทุนล่ะ” ภวินท์เป็นฝ่ายถามขึ้นมาก่อน สายตาคมจดจ้องมาที่ดวงหน้าหวานใสของภรรยานิ่งๆเพื่อฟังคำตอบ

 

“ทางแบรนด์คิดที่จะทำเสื้อผ้าที่ Casual ขึ้นกว่าเดิมน่ะครับเพราะปกติแล้วทางแบรนด์วางขายที่เดอะแกรนด์ลักซ์ฯนั้นมีภาพลักษณ์เสื้อผ้าเป็นสไตล์ Formal ซะส่วนใหญ่น่ะครับก็เลยตีตลาดได้แค่ลูกค้าระดับไฮเอนด์ ส่วนลูกค้าที่ระดับรองลงมาไม่ค่อยสนใจและมีกำลังซื้อที่ไม่มากพอครับ ทางแบรนด์เลยเข้ามาขอขยายสาขาเพิ่มโดยใช้ชื่อว่านาวี่บายนาวิยาที่จะเปิดตัวเสื้อผ้าที่มีคุณภาพในราคาที่ถูกลงครับ” นทีรินชี้แจงในส่วนที่ภวินท์ไม่เข้าใจให้ฟังเพราะว่าเขาเป็นคนรับผิดชอบในงานส่วนนี้ด้วยตัวเอง

 

“แล้วทางแบรนด์แน่ใจได้ยังไงว่าจะขายได้ ในเมื่อคุณบอกเองว่าเดอะแกรนด์ลักซ์ฯมีแต่ร้านค้าไฮเอนด์ซะส่วนใหญ่และลูกค้าก็มี purchasing power* ไม่มากพอ” ภวินท์ถามต่อเพราะยังไม่เข้าใจในสิ่งที่นทีรินชี้แจงมากนัก

 

“จริงอยู่ที่เดอะแกรนด์ลักซ์ฯจัดวางขายแต่แบรนด์ไฮเอนด์แต่ลูกค้าที่มาเดินเที่ยวที่นี่ก็มีหลายระดับครับ ทางแบรนด์ก็เลยอยากจะเปิดแบรนด์ลูกออกมาคู่กับแบรนด์แม่เพื่อสร้างความเชื่อถือให้กับแบรนด์ที่เดอะแกรนด์ลักซ์ฯก่อนครับ จากนั้นหากยอดขายเพิ่มขึ้นจึงจะขอขยายสาขาไปที่เดอะแกรนด์ฯสาขาอื่นครับ” เสียงอธิบายเพิ่มเติมของนทีรินทำให้ภวินท์นิ่งเพื่อใช้ความคิดไปครู่หนึ่งก่อนจะถามต่อ

 

“อืม คุณเป็นคนคุยกับทางนาวิยาโดยตรงเลยหรือเปล่า”

 

“ครับ ผมคุยเอง… คุณภพมีข้อข้องใจตรงไหนไหมครับผมจะได้อธิบายให้ฟัง” นทีรินเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

 

สายตาคมนิ่งของภวินท์ที่มองมาราวกับไม่เชื่อใจในสิ่งที่เขาทำลงไป แต่สำหรับนทีรินแล้วเขาคิดว่าเรื่องนี้เขาตัดสินใจไม่ผิดแน่นอน 

 

“ก็แค่คิดว่าทำไมคุณถึงแน่ใจนักว่าเขาจะไม่ขาดทุน เพราะแบรนด์นี้ขาดทุนมาสองปีติดต่อกันแล้วนะ” ภวินท์ไหวไหล่ขึ้นเล็กน้อยก่อนจะนั่งพิงพนักเก้าอี้ด้วยท่าทีสบายๆเพื่อคลายความตึงเครียด

 

“นาวิยาถึงจะเป็นแบรนด์ไทยแต่การตัดเย็บและดีไซน์นั้นมีความละเอียดเทียบห้องเสื้อดังๆได้มากทีเดียวครับ ราคาและคุณภาพก็เป็นที่ยอมรับได้แต่ในสองปีที่ผ่านมาอาจจะเป็นเพราะทางแบรนด์เพิ่งจะเปลี่ยนดีไซเนอร์ใหม่และรูปแบบของเสื้อผ้าใหม่ที่ยังไม่ลงตัวมากนักเลยทำให้ทางแบรนด์ขาดทุนครับ ทางแบรนด์แจ้งว่าเขาคิดและวางแผนที่จะเปิดตัวแบรนด์ลูกเพื่อทำการ Rebranding*ครับ ผมก็เลยให้โอกาสเขาดูและที่สำคัญนาวิยาเป็นลูกค้าของเดอะแกรนด์ลักซ์ฯมาตั้งแต่เริ่มเปิดห้างฯครับ เพราะฉะนั้นการที่เราให้โอกาสลูกค้าที่ Loyalty กับเรามาตลอดก็ถือว่าไม่ได้เสียหายอะไรใช่ไหมครับ”

 

นทีรินชี้แจงพร้อมอธิบายให้ภวินท์เข้าใจว่าอะไรเป็นอะไรและนทีรินก็เชื่อว่าต่อให้ภวินท์ไม่เห็นด้วยอย่างไรแต่สำหรับเขาแล้วการที่เขาทำแบบนี้มันก็เป็นการบริหารในรูปแบบของเขาเอง แล้วมันก็ไม่ได้มีอะไรเสียหายเดอะแกรนด์ฯก็ไม่ได้ขาดทุนแต่กลับยังได้กำไรเป็นความไว้วางใจและความภักดีจากลูกค้าอีกต่างหาก

 

“อืม… ก็ลองดู” ร่างสูงเอ่ยบอกภรรยาด้วยเสียงเรียบพลางยกถ้วยกาแฟขึ้นดื่ม

 

ท่าทีและน้ำเสียงที่จริงจังในการอธิบายของภรรยาไม่ได้ทำให้ภวินท์ทึ่งแต่อย่างใด เพราะเขารู้ดีว่านทีรินนั้นเรียนจบด้านบริหารมาแบบเขาเพียงแต่ว่ากลยุทธ์ที่อีกฝ่ายใช้จัดการและต่อรองกับลูกค้าอาจจะคนละแบบกับเขาเท่านั้นเอง เพียงแต่สิ่งที่เขาทึ่งก็ในตัวภรรยาก็คือนทีรินกล้าที่จะออกความคิดเห็นต่างๆและยังกล้าได้กล้าเสียโดยไม่มีท่าทีหวั่นเกรงใดๆเลย ซึ่งในส่วนนี้เขาชอบกับวิธีแก้ปัญหาของอีกฝ่ายเพราะมันทำให้เขารู้ว่านทีรินนั้นมีความคิดที่โตขึ้นกว่าที่เขาคิดไว้เสียอีก

 

“คุณภพมีคำถามอะไรอีกไหมครับผมจะได้อธิบายทีเดียว” เมื่อคนเป็นสามีเห็นด้วยกับสิ่งที่เขาทำแล้วนทีรินจึงถามออกไปต่อเผื่อว่าภวินท์มีงานส่วนอื่นที่ไม่เข้าใจอีก

 

“มี” คำตอบห้วนสั้นแต่สายตาคมที่มองเขาไม่ได้เรียบนิ่งอย่างตอนต้นแต่กลับเริ่มฉายแววกวนประสาทเข้ามาแทนที่

 

“เรื่องอะไรครับ”

 

นทีรินเอ่ยถามเสียงราบเรียบและพยายามที่จะไม่หลบสายตาคมที่จับจ้องมาโดยที่เขาก็เดาไม่ได้ว่าภวินท์กำลังคิดอะไรอยู่ ร่างสูงไม่เอ่ยอะไรนอกจากใช้สายตาคมที่ฉายแววยั่วแหย่จับจ้องมาที่เขาอย่างไม่วางตาจนนทีรินขมวดคิ้วมุ่นเมื่อรู้สึกว่ากำลังโดนกวนอารมณ์ ภวินท์หัวเราะในลำคออย่างพอใจเมื่อเห็นท่าทางแบบนั้นของภรรยา

 

“สรุปว่าเรื่องอะไรครับ” เอ่ยถามเสียงแข็งเพื่อสื่อให้อีกฝ่ายรู้ว่าเขาเริ่มจะไม่พอใจที่โดนแกล้งแล้ว

 

“คุณหลบหน้าผมทำไม” เสียงทุ้มเอ่ยถามโดยที่สายตาคมก็ยังจับจ้องไปที่ดวงหน้าหวานไม่วางตา

 

นทีรินชะงักไปเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำถามนั้นก่อนจะปรับสีหน้าให้นิ่งเฉยตามเดิม เพราะเขาไม่คิดว่าภวินท์จะถามอะไรแบบนี้ออกมาตรงๆทั้งๆที่อีกฝ่ายก็ทราบดีว่าเขาหลบหน้าทำไม

 

“ไม่ได้หลบครับ… ผมก็อยู่ของผมแบบปกติ”

 

“งั้นเหรอ” เสียงทุ้มทวนซ้ำด้วยเสียงเรียบนิ่งทว่ายั่วแหย่อย่างกวนประสาท

 

“ครับ ถ้าคุณภพไม่ได้ใส่ใจหรือมองหาผม คุณภพจะรู้ครับว่าผมไม่ได้หลบหน้าคุณเลย เพราะมันไม่ได้มีความจำเป็นที่ผมจะต้องทำจริงไหมครับ”

 

นทีรินจ้องหน้าคนเป็นสามีนิ่งเพื่อสื่อให้รู้ว่าเขาไม่ได้หลบหน้าอีกฝ่ายเลยทั้งที่ความจริงถึงแม้เขาจะทำแบบนั้นแต่ใครจะอยากให้ภวินท์รู้ล่ะ ถ้าเป็นแบบนั้นเขาก็ต้องพ่ายแพ้ให้กับความร้ายกาจของอีกฝ่ายน่ะสิ เขาไม่ยอมหรอก

 

“ยังโกรธอยู่?”

 

“อย่าเรียกว่าโกรธเลยครับ อย่างที่ผมเคยบอกมันเลยความรู้สึกโกรธไปนานแล้วครับ”

 

“หึหึ”

 

“ถ้าไม่มีอะไรแล้วผมขอตัวก่อนนะครับ” นทีรินลุกจากเก้าอี้เตรียมเดินออกไปทันทีเมื่อรู้ว่าตัวเองกำลังโดนยั่วโมโหแต่ต้องชะงักเท้าไว้เมื่อเสียงทุ้มดังขึ้นอีก

 

“เดี๋ยวก่อน”

 

“…” นทีรินหันกลับมามองด้วยสายตาเอือมระอา เพราะเขาเบื่อที่ภวินท์เอาแต่แกล้งกวนประสาทเขาไม่เลิก

 

“ผัดไทยอร่อยดี… ไม่คิดว่าจะจำได้ว่าแพ้กุ้ง”

 

ภวินท์เอ่ยบอกพลางยกยิ้มมุมปากน้อยๆสายตาคมที่เคยมีแต่ความเย้ยหยันบัดนี้กลับมีความอ่อนละมุนเข้ามาแทนที่จนหัวใจดวงน้อยของนทีรินกระตุกวูบอย่างไม่เป็นจังหวะ นทีรินหลบตาคมนั่นทันทีด้วยท่าทีเลิ่กลั่กใบหน้านวลขึ้นสีแดงที่แก้มอ่อนๆร่างบางรีบหันตัวกลับไปเพื่อหลบซ่อนความขัดเขินที่ปรากฏบนใบหน้านวล

 

“ผมไม่ได้จำได้ครับ”

 

เมื่อเอ่ยทิ้งท้ายจบนทีรินก็รีบเดินออกจากห้องทำงานใหญ่ไปทันทีจนไม่ทันเห็นใบหน้าคมของภวินท์ที่ประดับไปด้วยรอยยิ้มมุมปากที่แสดงถึงความพึงพอใจ

 

นทีรินกึ่งเดินกึ่งวิ่งลงบันไดมาพร้อมหัวใจที่เต้นไม่เป็นจังหวะ มือบางกุมที่หน้าอกข้างซ้ายที่เต้นรัวของตัวเองพลางนึกเอ็ดตัวเองในใจว่าทำไมต้องแคร์ในสิ่งที่ภวินท์เป็นอีกแล้ว ที่จริงเขาน่าจะทำเป็นจำไม่ได้ว่าอีกฝ่ายแพ้กุ้ง ทำไมเขาถึงยังต้องสนใจภวินท์ด้วยทั้งๆที่อีกฝ่ายไม่เคยสนใจหรือใส่ใจเขาเลยยิ่งคิดนทีรินก็ยิ่งเจ็บแปลบขึ้นภายในใจ

 

เพราะเขาต้องยอมรับความจริงว่า

 

ทุกเรื่องของภวินท์เขาไม่ได้จำได้

 

แต่เขาไม่เคยลืมต่างหาก…

 

 

***********

 
ต่อข้างล่างค่ะ
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๕ (26-3-62) [ต่อ]
เริ่มหัวข้อโดย: yokindy ที่ 26-03-2019 15:42:52
“วันนี้ว่างมาเจอเพื่อนๆได้แล้วเหรอครับคุณนทีริน” ภาณินเอ่ยเสียงกลั้วหัวเราะจนนทีรินย่นจมูกใส่กับคำแซ็วจากเพื่อนๆ

 

“ช่วงนี้ไม่ต้องเข้าไปทำงานที่เดอะแกรนด์ฯแล้วน่ะ ต่อไปนี้นทจะว่างมาเจอนินกับเหมือนจนเบื่อหน้ากันไปข้างนึงเลยนะ” นทีรินเอ่ยบอกเพื่อนรักทั้งสองด้วยเสียงสดใสเพราะเขาดีใจที่อย่างน้อยต่อไปนี้เวลาที่เขาไม่มีอะไรทำเขาจะได้มาหาเพื่อนๆได้ตลอดเวลา

 

ตอนนี้นทีริน ภาณินและเหมือนชนกนั่งพูดคุยกันอยู่ในร้านไดอามอนด์พาราไดซ์ซึ่งเป็นธุรกิจร้านขายเครื่องประดับของภาณินที่มีสาขาอยู่ในห้างฯเดอะแกรนด์ฯเกือบทุกสาขา

 

นทีรินก็เลยตัดสินใจนัดเพื่อนๆมาพบเจอกันที่ร้านของภาณินเพราะช่วงที่ผ่านมาเขาต้องเข้าไปทำงานที่เดอะแกรนด์ฯนั้นเขายุ่งจนไม่ค่อยมีเวลามาเจอเพื่อนๆเลยแต่ตอนนี้เขาไม่ต้องเข้าไปทำงานที่เดอะแกรนด์ฯแล้วเพราะภวินท์ได้เข้าไปดำรงตำแหน่งแทนเจ้าสัวพีระอย่างเป็นทางการแล้วตอนนี้เขาจึงมีหน้าที่แค่ดูแลและจัดการทุกอย่างในบ้านกิจจานนท์เท่านั้น เมื่อเขาจัดการอะไรเรียบร้อยแล้วเขาก็เลยมาที่ห้างเดอะแกรนด์ฯในวันนี้แต่ไม่ใช่ในฐานะผู้บริหารแต่มาในฐานะลูกค้าต่างหาก

 

“อ้าว งั้นแสดงว่าพี่ภพก็เข้าไปบริหารที่เดอะแกรนด์ฯแล้วใช่ไหม” ภาณินเอ่ยถามด้วยความสงสัยเพราะนทีรินยังไม่ได้บอกพวกเขาเลยว่าไม่ได้เข้าไปทำงานที่เดอะแกรนด์ฯแล้ว

 

“อืม ใช่แล้ว”

 

“ดีสิ นทของพวกเราจะได้หายเหนื่อยสักที เหนื่อยมานานมากแล้ว” เหมือนชนกเดินเข้ามากอดแขนนทีรินปลอบใจเพราะรู้ดีว่าที่ผ่านมาเพื่อนรักเหนื่อยมามากเพียงใด

 

นทีรินยิ้มก่อนจะกอดเพื่อนตอบ ในใจพลางคิดไปถึงเจ้าสัวพีระเพราะว่าที่เขายอมอดทนทำงานที่เดอะแกรนด์ฯนั้นก็เพื่อเจ้าสัวพีระคนเดียวแม้ว่าเหนื่อยเพียงใดเขาก็ยอม

 

“นททำทุกอย่างเพื่ออากง แค่นี้สบายมากเลย -- อีกหน่อยถ้าอากงไม่อยู่แล้วนทก็จะหย่ากับคุณภพ นทจะได้เริ่มชีวิตใหม่ของตัวเองเสียที”

 

นทีรินถอนหายใจออกมาอย่างปลงๆเพราะรู้ดีว่าเขาและภวินท์นั้นไม่มีทางเหมือนเดิมและสุดท้ายก็ต้องจบกันด้วยการหย่าในสักวันหนึ่ง

 

“นทจะหย่ากับพี่ภพจริงๆเหรอ แต่งงานมาแปดปีแล้วทำไมไม่ลองคุยกันใหม่ดูล่ะ บางที…”

 

ฃภาณินกำลังรู้สึกเสียดายในความสัมพันธ์ของเพื่อนรักและภวินท์เพราะรู้ดีว่าทั้งคู่นั้นมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมาตั้งแต่ยังเด็ก ถึงแม้ว่าตอนนี้ภวินท์จะใจร้ายกับเพื่อนเขามากเพียงใดแต่ด้วยระยะเวลากับความสัมพันธ์ที่มีมายาวนานนั้นทำให้เขาคิดว่าไม่อยากให้ทั้งคู่จบกันแบบนี้เลย

 

“นินก็รู้ว่านทไม่มีสิทธิ์เลือกตั้งแต่แรกแล้ว ทั้งเรื่องแต่งงานแล้วก็เรื่องหย่านทก็ไม่ได้เป็นคนเลือก คุณภพต่างหากล่ะที่เป็นคนเลือกมาตั้งแต่ต้นและตอนนี้นทเองก็ต้องการเป็นอิสระจากการแต่งงานและการเป็นภรรยาของคุณภพเสียที… นทเหนื่อยมามากแล้ว แล้วนทก็เชื่อว่าคุณภพเองก็อยากรีบหย่ากับนทจะแย่อยู่แล้ว”

 

นทีรินก็ไม่ได้อยากให้มันจบแบบนี้แต่เขาจะไปทำอะไรได้ในเมื่อทุกสิ่งทุกอย่างภวินท์เป็นคนเลือกมาตั้งแต่ต้น การแต่งงานนั้นที่จริงเขาก็ไม่เห็นด้วยแต่หลังจากวันที่ภวินท์และเจ้าสัวพีระทะเลาะกันอย่างรุนแรงเขาก็ไม่ได้พบหน้าอีกฝ่ายอีกเลยจนกระทั่งมาเจอกันอีกทีคือวันหมั้นภวินท์ก็ไม่เปิดโอกาสให้เขาได้แสดงความคิดเห็นใดๆเมื่ออีกฝ่ายตอบตกลงยอมแต่งงานกับเขา ทางผู้ใหญ่ก็จัดงานแต่งนั้นขึ้นมาโดยไม่ได้ผ่านความคิดเห็นใดๆจากเขาราวกับเป็นการบังคับทางอ้อมแต่เขาก็ทราบดีว่าที่เจ้าสัวพีระทำไปเพราะหวังดีกับเขาและครอบครัว

 

สีหน้าเหนื่อยอ่อนและแววตาที่หม่นแสงของนทีรินทำให้ภาณินและเหมือนชนกรู้สึกสงสารเพื่อนขึ้นมาจับใจ ถึงแม้จะไม่อยากให้ชีวิตคู่ของเพื่อนนั้นพังทลายมากเพียงใดแต่ความสบายใจของเพื่อนต้องมาเป็นอันดับแรกมากกว่า


“แล้วนทคิดไว้แล้วเหรอว่าหลังจากหย่ากับพี่ภพแล้วนทจะทำยังไงต่อ”

เหมือนชนกเอ่ยถามต่อด้วยความเป็นห่วงแม้จะรู้ว่านทีรินไม่ได้ลำบากใดๆหากต้องหย่ากับภวินท์แต่เขาเองก็อดห่วงไม่ได้อยู่ดี

 

“นทก็คงย้ายออกไปอยู่เพ้นท์เฮ้าส์ที่เคยซื้อเก็บไว้น่ะแหละ ส่วนเรื่องงานก็คิดๆอยู่ว่าอยากจะลองเปิดร้านอาหารไทยดูน่ะ”

 

นทีรินตอบเพื่อนพลางยิ้มบางๆ เขาวางแผนเกี่ยวกับชีวิตของตัวเองไว้เสมอหากเมื่อใดที่ถึงวันที่ต้องหย่าขาดจากภวินท์แล้วเขาจะได้มีได้มีอิสระในการใช้ชีวิตและการทำงานที่ตัวเองฝันไว้มาตลอดสักที

 

“ถ้านทคิดดีแล้วพวกเราก็โอเค ยังไงพวกเราก็จะอยู่ข้างๆนทนะ” ภาณินโอบไหล่บางของนทีรินไว้แน่นเป็นการให้กำลังใจกอปรกับเหมือนชนกที่เข้ามาโอบไหล่เขาอีกด้วยเหมือนกัน

 

“ใช่ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นขอให้นทรู้ว่ายังมีเรากับนินอยู่เคียงข้างเสมอนะ”

 

นทีรินยิ้มกว้างอย่างซาบซึ้งที่มีเพื่อนดีๆอย่างสองคนนี้อยู่เคียงข้างทำให้เขารู้ว่าอย่างน้อยชีวิตของเขาก็ยังมีใครอีกหลายคนคอยเป็นกำลังใจให้อยู่เสมอ

 

“ขอบใจมากนะทุกคน… แต่เราเลิกพูดเรื่องเครียดๆกันเถอะ ที่นทนัดทุกคนมาวันนี้นทอยากให้เหมือนกับนินช่วยเลือกของขวัญให้พี่เมฆหน่อยน่ะ”

 

นทีรินเอ่ยบอกจุดประสงค์อีกหนึ่งอย่างที่เขามาในวันนี้ไม่ใช่เพียงเพราะต้องการมาพบปะเพื่อนฝูงอย่างเดียวแต่เขาต้องการมาเลือกซื้อของขวัญตอบแทนให้กับนภทีป์อีกด้วย

 

“ได้สิ เอาเป็นอะไรดี -- ตอนนี้คอลเล็คชั่นใหม่มีนาฬิกา สร้อยข้อมือ กระดุมติดสูท เข็มกลัดติดเน็กไท”

 

ภาณินเอ่ยแนะนำเพื่อนอย่างคล่องแคล่วก่อนจะหยิบถาดเครื่องประดับขนาดใหญ่ซึ่งเป็นคอลเล็กชั่นใหม่ที่เพิ่งจะวางขายออกมาให้เพื่อนได้เลือกดู ธุรกิจของภาณินได้รับความนิยมในหมู่ลูกค้าเกือบทุกระดับเพราะไม่ได้มีอัญมณีที่แพงมากอย่างเพชรอย่างเดียวแต่ยังมีอัญมณีอื่นๆที่อยู่ในระดับราคาที่ทุกคนรับได้อีกด้วย

 

“อืม… เดี๋ยวนทขอดูก่อนนะ”

 

นทีรินไล่สายตาดูไปทั่วทั้งถาด

ดวงตาหวานไปสะดุดกับสร้อยข้อมือสำหรับผู้ชายเรียบๆเส้นนึงที่ประดับไปด้วยเพชรทั่วทั้งเส้น มือบางหยิบสร้อยขึ้นมาพิจารณาดูอย่างสนใจ

 

“นทจะซื้อสร้อยข้อมือให้พี่เมฆเหรอ” เหมือนชนกเอ่ยถามเมื่อเห็นเพื่อนหยิบสร้อยข้อมือขึ้นมาดู

 

“ใช่แล้ว… นินกับเหมือนว่าเส้นนี้เป็นไงบ้าง” นทีรินชูสร้อยข้อมือเพชรให้เพื่อนๆดูเพื่อแสดงความคิดเห็น แต่สำหรับตัวเขาเองคิดว่าสร้อยเส้นนี้ดูเรียบๆแต่หรูเหมาะกับนภทีป์ดี

 

“สวยดีนะ ดูเรียบๆแต่หรูดีนะ” ภาณินพยักหน้าออกความเห็น ส่วนเหมือนชนกยังคงสอดสายตาไปทั่วถาดเครื่องประดับอยู่

 

“อ๊ะ… เส้นนี้ก็สวยนะนท -- ดูสิ ลายของมันเหมือนคลื่นเมฆเลย เข้ากับชื่อของพี่เมฆพอดีเลย”

 

เหมือนชนกหยิบสร้อยข้อมืออีกเส้นขึ้นมาให้นทีรินดู ซึ่งลายของมันมีลักษณะเป็นเกลียวคลื่นราวกับคลื่นก้อนเมฆที่มีเพชรเม็ดเล็กฝังอยู่ไปทั่วทั้งเส้นทำให้สร้อยข้อมือเส้นนี้ดูโดดเด่นแต่ก็เรียบหรูในคราวเดียวกัน

 

“จริงด้วยแฮะ… เส้นก็ไม่ใหญ่มากด้วย เหมือนนี่ตาดีจริงๆเลย -- ถ้าอย่างนั้นนทเอาเส้นนี้เลยนะนิน”

 

นทีรินรู้สึกถูกใจเส้นที่เหมือนชนกเลือกให้มากกว่ามือบางหยิบสร้อยเส้นนั้นขึ้นมาพิจารณาก่อนจะยื่นมันให้ภาณินเอาไปจัดการให้

 

“ได้เลย ตอนนี้ที่ร้านมีบริการสลักชื่อด้วยนะนท จะสลักชื่อพี่เมฆไว้ที่หลังสร้อยด้วยไหม”

 

“อืม ก็ดีนะ”

 

“โอเค เดี๋ยวนินจัดการให้แล้วเดี๋ยวห่อของขวัญให้ด้วยเลย” ภาณินเอ่ยบอกก่อนจะหันไปสั่งให้พนักงานนำสร้อยข้อมือไปห่อของขวัญเพื่อให้ของขวัญชิ้นนี้สมบูรณ์แบบที่สุด

 

นทีรินยิ้มออกมาเมื่อมองไปที่ของขวัญที่เขาตั้งใจเลือกให้นภทีป์พลางคิดไปว่าอีกฝ่ายจะชอบของขวัญที่เขาเลือกให้หรือไม่ แต่อีกใจก็นึกขันเพราะคนอย่างนภทีป์น่ะจะต้องเอ็ดเขาแน่นอนเลยที่มาซื้อของขวัญราคาแพงแบบนี้ให้

 

ในขณะที่นทีรินกำลังชื่นชมกับของขวัญในมืออยู่โดยที่ไม่สังเกตุเลยว่ามีสายตาคู่คมคู่หนึ่งกำลังมองเขาจากทางด้านนอกร้าน สายตาคมแสดงท่าทีว่างเปล่าแฝงความไม่พอใจอยู่ภายในเมื่อเห็นภรรยาของตัวเองยิ้มแย้มแสดงท่าทีเหมือนกำลังพึงใจอะไรสักอย่างหนึ่งกับกล่องของขวัญที่ดูจากขนาดก็รู้ว่าด้านในเป็นอะไรและที่ทำให้เขารู้สึกเหมือนอารมณ์ขุ่นมัวขึ้นไปอีกเพราะเขารู้ดีว่าของขวัญชิ้นนั้นมันไม่ได้เป็นของเขาอย่างแน่นอน

 
To be continue

_______________________________________________________________________________________

TALK WITH WRITER :: ตอนนี้อยู่ทีมไหนกันดีคะ? มีใครอยากอยู่ทีม #พี่ภพคนใจร้าย2019 บ้างไหมคะ 5555555555 บอกเลยว่าคนใจร้ายก็ยังจะเป็นคนใจร้ายอยู่วันยังค่ำเพราะงั้นฝากทุกคนเป็นกำลังใจให้น้องนทดีกว่าค่ะ ^^ เจอกันตอนหน้าค่า :)

Purchasing Power = กำลังซื้อของผู้บริโภคที่ต้องการซื้อสินค้าที่ตรงความต้องการมากที่สุดโดยไม่เกินกำลังซื้อที่มีอยู่
Rebranding = การปรับภาพลักษณ์องค์กรซึ่งวิธีนี้เป็นกลยุทธ์อย่างหนึ่งทางการตลาดเพื่อให้มีการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายให้มากที่สุด
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๕ (26-3-62)
เริ่มหัวข้อโดย: sailom_orn ที่ 26-03-2019 16:25:35
 :hao7: ว้ายๆๆๆ มีคนอิจฉาตาร้อน
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๕ (26-3-62)
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 26-03-2019 21:17:28
อิจฉาจนหึง :pig4:
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๕ (26-3-62)
เริ่มหัวข้อโดย: บูมเบส ที่ 26-03-2019 21:31:24
อย่างอีพีภพต้องเป็นรองเท้าถึงจะดี
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๕ (26-3-62)
เริ่มหัวข้อโดย: we.jinkyu ที่ 26-03-2019 21:36:43
อย่าอิจฉาค่าาาาา พี่ภพ  :hao3:
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๕ (26-3-62)
เริ่มหัวข้อโดย: HISY ที่ 27-03-2019 01:15:37
พบคนขี้หึงขี้อิจฉาหนึ่งอัตราค่าา
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๕ (26-3-62)
เริ่มหัวข้อโดย: Funnycoco ที่ 27-03-2019 02:50:37
สมน้ำหน้าเขาไม่ซื้อให้เธอหรอกอีคุณภพ
 :pig4: ทีมนทจ้าาาา
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๕ (26-3-62)
เริ่มหัวข้อโดย: nikpook ที่ 27-03-2019 17:32:49
พี่ภพคือรู้ดีมากว่าไม่ใช่ของตัวเอง5555  ทีมน้องนทค่าา
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๕ (26-3-62)
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 27-03-2019 18:05:35
 o13
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๕ (26-3-62)
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 27-03-2019 22:31:57
โกรธอ่ะดิ๊!!!
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๖ (28-3-62)
เริ่มหัวข้อโดย: yokindy ที่ 28-03-2019 18:18:03
บทที่ ๖


“นินครับ”

 

เสียงเรียกคุ้นเคยทำให้ภาณินและทุกคนหันไปมองตามเสียง ภาณินยิ้มกว้างเมื่อพบว่าเป็นปริญญ์คนรักของตัวเองกำลังเดินเข้ามาหา

 

“พี่ปรินซ์… มาได้ไงครับ วันนี้ไม่เข้าบริษัทเหรอ” เอ่ยถามคนรักด้วยความสงสัย เพราะตอนนี้เป็นเวลาแค่ประมาณบ่ายสามโมงเท่านั้นและก็ยังไม่ใช่เวลาที่อีกฝ่ายเลิกงานด้วย

 

“วันนี้งานเสร็จเร็วน่ะครับพวกพี่ก็เลยมาหาอะไรทานกันที่นี่ พี่ก็เลยจะแวะมาชวนนินไปทานอาหารด้วยกันไงครับ”

 

ปริญญ์เอ่ยตอบคนรักเสียงนุ่มมือหนายกขึ้นมาลูบหัวคนรักเบาๆด้วยความรักใคร่ ภาณินยิ้มเขินก่อนจะเอ็ดคนรักเบาๆเมื่อเห็นเพื่อนรักทั้งสองคนทำสายตาล้อเลียนใส่ อาการขัดเขินของภาณินทำให้ทุกคนหัวเราะออกมาด้วยความเอ็นดู

 

“ไงครับเด็กๆมาซื้ออะไรกันเหรอ” ปริญญ์เอ่ยทักทายเพื่อนของคนรักอย่างสนิทสนมพร้อมรอยยิ้มกว้าง

 

เมื่อได้ยินคำทักทายจากคนรักของเพื่อนนทีรินและเหมือนชนกจึงยกมือไหว้คนรักของเพื่อนด้วยความนอบน้อมพร้อมรอยยิ้มกว้าง

 

“สวัสดีครับพี่ปรินซ์ นทมาซื้อของขวัญให้รุ่นพี่น่ะครับก็เลยให้นินกับเหมือนมาช่วยเลือก”

 

นทีรินเอ่ยบอกญาติผู้น้องของสามีที่พ่วงตำแหน่งคนรักของเพื่อนด้วย ปริญญ์พยักหน้ารับก่อนจะมองถุงกระดาษในมือของนทีรินที่มีตราสัญลักษณ์ร้านของคนรัก

 

“เออนี่เฮียภพก็มานะครับนท… พวกพี่กำลังจะไปทานอาหารเย็นด้วยกันไปทานด้วยกันสิครับหลายๆคนสนุกดีนะ”

 

ปริญญ์เอ่ยชวนคนรักและเพื่อนๆเพราะไหนๆตอนนี้ก็อยู่ที่นี่ด้วยกันครบแล้วเขาคิดว่าถ้าไปทานอาหารด้วยกันหลายๆคนน่าจะดีกว่ามีแค่เขาและญาติๆ

 

นทีรินยิ้มบางๆเมื่อได้ยินชื่อของสามีและไม่ได้ตอบรับอะไรออกไปเพราะเขาแล้วแต่เพื่อนๆ หากเพื่อนๆอยากไปทานอาหารกับปริญญ์เขาก็จะไปด้วยเพราะเขาไม่อยากทำให้เพื่อนๆรู้สึกอึดอัดและไม่สบายใจไปด้วย และที่สำคัญเขาไม่อยากให้เพื่อนๆรู้สึกแย่กับภวินท์ถึงแม้ว่าเขากับภวินท์จะมีเรื่องผิดใจกันก็ตาม

 

“แล้วพี่ภพอยู่ที่ไหนล่ะครับ” ภาณินเอ่ยถามคนรักอย่างสงสัยเพราะไม่เห็นภวินท์เดินเข้ามาในร้านด้วย

 

ปริญญ์หันซ้ายหันขวาหาญาติผู้พี่แถวๆหน้าร้านของคนรักแต่กลับไม่พบ

 

“อ้าว เมื่อกี้ยังอยู่แถวๆหน้าร้านของนินอยู่เลยนี่ -- สงสัยจะเดินไปร้านอาหารแล้วล่ะมั้งครับ”

 

“นี่พวกเราก็กะว่าซื้อเสร็จของแล้วจะไปทานอาหารพอดีเลยครับพี่ปรินซ์ -- นทกับเหมือนไปทานข้าวกับพี่ปรินซ์ด้วยกันนะ”

 

ภาณินหันมาถามเพื่อนรักทั้งสองแต่เน้นสายตาไปยังนทีรินมากกว่า เพราะเขาเองก็เกรงว่านทีรินอาจจะไม่อยากไปหากมีภวินท์ร่วมโตีะด้วย เหมือนชนกเองก็ส่งสายตาเป็นห่วงมาให้เพราะเกรงว่านทีรินจะอึดอัด

 

“ไปสิ นทโอเค” 

 

นทีรินตอบเพื่อนรักพร้อมรอยยิ้มหวานเพื่อแสดงให้รู้ว่าเขาไม่เป็นไรเพราะเขาอยากให้ภาณินได้ทานข้าวกับปริญญ์และเขาก็จะไม่ทำให้คนรอบข้างรู้สึกอึดอัดกับเรื่องของเขาและภวินท์เด็ดขาด

 

“งั้นดีเลยครับ เดี๋ยวพี่โทรฯจองโต๊ะเพิ่มให้เอง” ปริญญ์หยิบสมาร์ทโฟนเครื่องหรูขึ้นมากดเพื่อจองโต๊ะเพิ่มที่ร้านอาหารหลังจากได้ยินคำตอบจากทุกๆคนแล้ว

 

 



 

หลังจากที่ปริญญ์โทรฯจองโต๊ะที่ร้านอาหารแล้ว เขาก็พาคนรักและเพื่อนของคนรักมาที่ร้านอาหารตะวันตกสไตล์ฟิวชั่นร้านหนึ่งซึ่งตั้งอยู่บนชั้นสูงสุดมีลักษณะเป็นรูฟท็อปของห้างฯเดอะแกรนด์ลักซ์ฯบรรยากาศของร้านมีการตกแต่งสไตล์โมเดิร์นสวยงามและสามารถมองเห็นวิวใจกลางเมืองได้ 360 องศา

 

“อ้าวน้องนท น้องเหมือน มาด้วยเหรอครับ”

 

ตรีทศเอ่ยทักทายทันทีที่ทั้งหมดเดินเข้ามาในร้านเพราะตอนแรกเขาคิดว่าจะมีแค่ภาณินคนรักของปริญญ์มาเพียงคนเดียว

 

เมื่อได้ยินคำทักทายนทีรินและเหมือนชนกยกมือเป็นพุ่มไหว้ทุกคนอย่างนอบน้อม นทีรินยิ้มกว้างให้กับทุกคนและเมื่อสายตาหวานสบกับสายตาคมของภวินท์ที่นั่งติดริมระเบียงในมือหนายกแก้วแชมเปญขึ้นดื่มนทีรินก็รู้สึกทำตัวไม่ถูกเพราะสายตาที่มองมานั้นเหมือนกำลังคาดโทษและไม่พอใจอะไรเขาสักอย่างซึ่งเขาเองก็พยายามจะไม่สนใจเพราะเขาไม่ได้ทำอะไรผิด

 

มองเราแบบนั้นทำไมกัน อย่างกับเราทำอะไรผิด…

 

“เอ้าไอ้นาย หลบให้น้องนทนั่งข้างสามีเขาสิวะ”

 

“เออกูรู้ กูก็กำลังจะลุกอยู่นี่ไง”

 

นทีรินหลุดจากความคิดทันทีที่ได้ยินเสียงของตรีทศกับศดิศกำลังเถียงกันเรื่องที่นั่งอยู่ ศดิศลุกจากที่นั่งที่นั่งข้างภวินท์ทันทีก่อนจะเชิญให้เขาไปนั่งตรงนั้นแทน

 

“ไม่เป็นไรครับพี่ๆ นั่งตามสบายเลยครับ นทนั่งตรงไหนก็ได้”

นทีรินเอ่ยบอกอย่างเกรงใจก่อนจะสบสายตาของสามีที่จ้องเขาไม่เลิก

 

ร่างสูงหัวเราะในลำคอเล็กน้อยเมื่อได้ยินภรรยาพูดราวกับว่ารังเกียจจนไม่อยากมานั่งข้างเขามือหนายกขวดแชมเปญติดยี่ห้อดังอย่าง Moet et Chandon* เทใส่แก้วตัวเองก่อนจะยกดื่มรวดเดียวจนทุกคนบนโต๊ะเห็นถึงบรรยากาศที่เหมือนกำลังจะมาคุอย่างไรอย่างนั้น

 

“อ่า… ไม่ได้หรอกครับ เดี๋ยวเฮียจะด่าพี่ว่าไม่ยอมหลบให้ภรรยามานั่งข้างๆ แฮะๆ”

 

ศดิศหัวเราะแห้งๆเมื่อเห็นท่าทีของญาติผู้พี่ที่ดูเหมือนอารมณ์กำลังคุกรุ่นอย่างไรอย่างนั้น เขาจึงรีบลุกไปนั่งข้างตรีทศทันที

 

“ขอบคุณครับพี่นาย”

 

นทีรินเอ่ยขอบคุณก่อนจะทรุดนั่งที่เก้าอี้เคียงข้างคนเป็นสามีที่ดูเหมือนจะไปกินรังแตนที่ไหนมาซึ่งเขาก็ไม่อาจรู้ได้ เขาจึงได้แต่นั่งเงียบๆ

 

“ทุกคนครับ ไหนๆวันนี้ก็อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาแล้วนะครับ ผมกับนินมีทริปเที่ยวมานำเสนอครับ”

 

เมื่อปริญญ์เห็นว่าบรรยากาศกำลังอึมครึมเขาจึงเปิดเรื่องคุยเป็นการผ่อนคลายความตึงเครียดที่กำลังจะเกิดขึ้นให้กลับมาครึกครื้นเหมือนเดิม

 

“ใช่ครับๆ พอดีนินได้ Gift Voucher โรงแรมห้าดาวที่เกาะหลีเป๊ะมาครับ… พวกเราไปเที่ยวด้วยกันไหมครับ”

 

ภาณินเอ่ยเสริมคนรักขึ้นมาพร้อมรอยยิ้มกว้าง โชคดีที่เขามีเรื่องมาคุยกับทุกคนพอดีเลยทำให้บรรยากาศเริ่มกลับมาเป็นปกติ

 

“ไปครับ!”

 

ตรีทศยกมือขึ้นคนแรกราวกับเด็กที่ดีใจที่จะได้ไปเที่ยว ท่าทางแบบนั้นของหนุ่มจอมทะเล้นทำให้ทุกคนบนโต๊ะหัวเราะออกมาได้ไม่ยาก

 

“เฮ้ยๆ ไอ้ซาน นี่ตอบแบบไม่คิดเลยเหรอมึง” ศดิศเอ่ยแซ็วเสียงกลั้วหัวเราะ

 

“เรื่องเที่ยวอ่ะเฮียซานปฏิเสธไม่เป็นหรอกครับเฮียนาย ฮ่ะๆ” ปริญญ์หัวเราะชอบใจพลอยทำให้คนอื่นหัวเราะผสมโรงไปด้วยกันทำให้บรรยากาศที่เคยอึมครึมเริ่มกลับมาสนุกอีกครั้ง

 

“อ้าวไอ้ปรินซ์ คนทำงานมาเหนื่อยๆก็อยากไปชาร์จแบตฯบ้างสิวะ… แค่คิดถึงสาวๆใส่บิกินี่แบตฯกูก็เต็มแม็กแล้ว ฮ่ะๆ”

 

“แล้วเฮียภพกับน้องนทล่ะครับว่าไง”

 

ปริญญ์เอ่ยถามสองสามีภรรยาที่ไม่ยอมออกความคิดเห็นใดๆเลย บางทีเขาก็กลัวว่าจะทำให้ทั้งคู่อึดอัดแต่เขาอยากให้ทุกคนไปเที่ยวด้วยกันจริงๆ แต่ไม่ทันที่ภวินท์และนทีรินจะเอ่ยอะไรตรีทศก็แทรกขึ้นมาก่อน

 

“ไปด้วยกันทั้งหมดนี่แหละครับ นานๆทีเราจะได้ไปเที่ยวด้วยกันนะ”

 

“นานๆทีอะไร เรากับเฮียภพเจอกันแทบทุกวัน” ศดิศเอ่ยตัดบทตรีทศด้วยเสียงขำๆจนตรีทศโวยออกมา

 

“ก็กูหมายถึงไปเที่ยวต่างจังหวัด ไม่ใช่เที่ยวย่ำราตรีแบบนั้นไงเว้ย -- ไปเถอะนะเฮีย ไปเถอะนะครับน้องนท”

 

หนุ่มจอมทะเล้นกำลังอ้อนสองสามีภรรยาด้วยท่าทางน่ารักพลางกระพริบตาปริบๆออดอ้อนราวกับเด็กเพื่อสื่อให้รู้ว่าเขาอยากให้ไปเที่ยวด้วยกันจริงๆท่าทางแบบนั้นทำนทีรินกับภวินท์อดที่จะยิ้มขำไม่ได้

 

“อ่า… นทยังไงก็ได้ครับ แล้วแต่คุณภพ”

 

นทีรินเอ่ยบอกพลางส่งยิ้มบางๆไปให้ญาติของสามีเมื่อคนข้างๆได้ยินภรรยาโยนมาให้เขาตัดสินใจภวินท์ก็พูดสวนขึ้นมาทันที

 

“ผมก็แล้วแต่คุณ อยากไปหรือเปล่าล่ะ?” สายตาคมหันมองดวงหน้าภรรยากอรปกับที่นทีรินหันมามองเขาด้วยสายตาเลิ่กลั่กๆราวกับว่าไม่อยากตัดสินใจ

 

“มัวแต่แล้วแต่กันไปมาแบบนี้ตัดสินใจไม่ได้สักทีหรอกครับ -- เอาเป็นว่าทุกคนไปครับน้องนินเพราะทริปนี้พี่บังคับ”

 

เมื่อเห็นว่าสองสามีภรรยาเอาแต่เกี่ยงกันไปมาจนตรีทศตัดบทขึ้นมาเป็นการสรุปให้เรียบร้อย เมื่อทุกคนได้ยินเช่นนั้นก็ไม่ได้คัดค้านอะไรนอกจากหัวเราะใส่คนหนุ่มจอมทะเล้นที่ตื่นเต้นกับการไปเที่ยวมากกว่าใคร

 

“สรุปว่าทุกคนไปใช่ไหมครับ นินจะได้จัดการทุกอย่างให้”

 

ภาณินถามย้ำเพราะเขาจะได้จัดการเรื่องตั๋วเครื่องบินและที่พักให้กับทุกคนได้ เพราะงานนี้เขากับปริญญ์ก็เปรียบเสมือนพ่องานของทริปนี้

 

“ตามนั้นครับ… แต่พี่ว่าก่อนที่เราจะตกลงอะไรกันสั่งอาหารกันก่อนดีไหมครับพี่หิวจนไส้จะร่วงไปกองกับพื้นแล้ว”

 

ตรีทศบ่นพร้อมใบหน้ายุ่งๆเพราะเขารู้สึกหิวมากก่อนจะหันไปสั่งอาหารกับบริกรที่ยืนรอให้บริการอยู่ข้างๆ

เมื่อตรีทศเริ่มสั่งอาหารคนอื่นๆก็เปิดเมนูดูอาหารที่ตัวเองอยากทาน

 

“Lobster Thermidor* ที่นึง” เสียงทุ้มเอ่ยสั่งบริกรเสียงเรียบแต่ทำเอาทุกคนบนโต๊ะอาหารแปลกใจไม่น้อย ภวินท์เลิกคิ้วเป็นเชิงสงสัยว่าทุกคนมองเขาด้วยสายตาแปลกๆแบบนั้นทำไม

 

“เฮียแพ้กุ้งไม่ใช่เหรอครับ” ศดิศเอ่ยถามด้วยความสงสัยเพราะเขารู้ว่าญาติผู้พี่นั้นแพ้กุ้ง

 

“อืม… แต่คนข้างๆไม่แพ้”

 

ภวินท์ตอบสีหน้านิ่งๆก่อนจะได้ยินเสียงโห่แซ็วจากทุกคนบนโต๊ะ สายตาคมจับจ้องไปที่ดวงหน้าของภรรยาด้วยสายตาที่นทีรินคาดเดาไม่ได้ ความรู้สึกเก่าๆเริ่มกลับเข้ามาหัวใจก็เต้นผิดจังหวะตลอดเมื่อเจอสายตาแบบนี้

 

ทำไมช่วงนี้ถึงชอบมองเราแบบนี้นักนะ

 

“แหมๆ เอาใจเมียเก่งนะเฮีย” ตรีทศได้ทีแซ็วญาติผู้พี่ใหญ่ ก่อนจะหัวเราะชอบใจเพราะทั้งๆที่เขาแซ็วภวินท์แท้ๆแต่คนที่หน้าแดงกลับเป็นคนข้างๆภวินท์ไปเสียอย่างนั้น

 

“จะเอาอะไรอีกไหม”

 

ภวินท์หาได้สนใจเสียงโห่แซ็วนั้นไม่แต่กลับถามคนข้างๆต่อหลังจากที่เขาสั่งเมนูพิเศษของทางร้านมาให้แล้ว นทีรินไม่ได้ตอบอะไรเขาแต่หันไปสั่งบริกรแทน

 

“เอา Roasted Lamb Rack* หนึ่งที่ครับ”

 

สิ้นเสียงหวานของภรรยาภวินท์ก็ยกยิ้มมุมปากขึ้นหน่อยๆอย่างพึงพอใจเพราะอาหารจานที่คนข้างๆเพิ่งสั่งไปมันเป็นเมนูที่เขาโปรดปรานน่ะสิ

 

“ปกตินทไม่ทานเนื้อสัตว์ใหญ่ไม่ใช่เหรอ” เหมือนชนกเอ่ยถามเพื่อนเมื่อเห็นว่าเมนูที่เพื่อนสั่งไปนั้นเป็นอาหารที่ทำมาจากสัตว์ใหญ่อย่างเนื้อแกะ

 

“อืม… แต่มีคนทานได้อยู่แล้วล่ะ”

 

นทีรินพยักหน้าน้อยๆก่อนจะเอ่ยตอบเพื่อนเสียงราบเรียบด้วยท่าทีนิ่งๆโดยไม่สังเกตุเลยว่าคนที่นั่งเคียงข้างนั้นแอบลอบยิ้มกับการเอาใจใส่ของเขา

 

ทุกคนบนโต๊ะก็ไม่ต่างกันสายตาล้อเลียนกับริมฝีปากที่กลั้นยิ้มนั้นทำนทีรินรู้สึกประหม่าได้ง่ายดายแต่ก็ได้แต่ยิ้มบางๆส่งไปเท่านั้น และนทีรินก็ไม่อาจทราบได้เลยว่าทุกคนที่นั่งอยู่บนโต๊ะนั้นรู้สึกเหมือนกับว่ากำลังดูสามีภรรยาจีบกันอย่างไรอย่างนั้น

 


*****************

ต่อข้างล่างค่ะ
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๖ (28-3-62) [ต่อ]
เริ่มหัวข้อโดย: yokindy ที่ 28-03-2019 18:22:21
นทีรินกำลังยืนอยู่หน้าประตูไม้สักบานใหญ่ตรงห้องนอนส่วนตัวของภวินท์ที่ถัดจากห้องนอนของเขาเพียงไม่กี่เมตร ซึ่งหากเขาไม่มีธุระเรื่องงานที่จะคุยกับภวินท์นั้นก็จะไม่มีวันเห็นเขามายืนหน้าห้องของอีกฝ่ายแบบนี้เด็ดขาด ร่างบางสูดลมหายใจเข้าลึกๆอย่างให้กำลังใจตัวเอง แม้ต่อหน้าของภวินท์เขาจะดูเหมือนกับไม่เกรงกลัวอีกฝ่ายแต่ใครเล่าจะรู้ว่าภายในใจของเขานั้นมันรู้สึกประหม่าทุกครั้งที่ได้พบหน้าของสามี

 

ยิ่งเรื่องเมื่อวานก็ยิ่งทำให้เขาแปลกใจมากเพราะตลอดการทานอาหารนั้นภวินท์คอยตักนู่นนี่ให้เขาอยู่ตลอดราวกับว่าอยากจะเอาใจแต่ที่มากไปกว่านั้นก็คือตอนที่มือหนาหยิบผ้าเช็ดปากขึ้นมาซับมุมปากเล็กๆของเขานี่แหละซึ่งการกระทำเหล่านั้นก็ยิ่งทำให้หัวใจของเขาเต้นแรงขึ้นอย่างห้ามไม่ได้นทีรินได้แต่สงสัยว่าทำไมภวินท์ต้องทำอะไรแบบนั้นด้วย

 

แต่ก่อนจะได้คิดอะไรไปมากกว่านี้นทีรินก็สะบัดหัวไล่ความคิดนั้นทิ้งไปเพราะนึกได้ว่าทั้งหมดนั้นก็อาจจะเป็นละครฉากหนึ่งของภวินท์ก็เป็นได้ มือบางยกขึ้นเคาะประตูหนาอีกคราเมื่อไม่ได้ยินเสียงเจ้าของห้องเอ่ยอนุญาตสักที

 

เมื่อจนใจที่จะเคาะประตูแล้วมือบางจึงตัดสินใจคว้าที่จับประตูยกขึ้นเพื่อเปิดเข้าไป เมื่อพบว่าไม่ได้ล็อกร่างบางจึงเปิดประตูแล้วเดินเข้าไปภายในห้องนอนขนาดใหญ่แต่ก็ไม่พบร่างสูงของเจ้าของห้องเลยแม้แต่น้อย

 

“ไปไหนของเขานะ”

 

นทีรินพึมพำเบาๆกับตัวเองก่อนจะสอดสายตาไปทั่วๆก่อนที่สายตาหวานจะเบิกขึ้นกว้างเมื่อพบเจ้าของห้องที่มีหยดน้ำเกาะพราวไปทั่วร่างเดินนุ่งผ้าเช็ดตัวผืนเดียวไว้หมิ่นแหม่ออกมาจากทางเข้าห้องน้ำ

 

“เอ่อ… ผมขอโทษครับคุณภพ ผมเคาะประตูเรียกหลายทีแล้วแต่…”

 

ร่างบางหันหลังกลับทันทีพลางเอ่ยบอกเสียงตะกุกตะกัก เท้าเล็กค่อยๆขยับเพื่อที่จะเดินออกห่างรัศมีของคนที่แต่งตัวไม่เรียบร้อย

 

“เพิ่งอาบน้ำเสร็จเลยไม่ได้ยิน” ภวินท์เอ่ยบอกภรรยาที่กำลังหันหลังคุยกับเขาก่อนจะก้มสำรวจตัวเองแล้วยิ้มขำกับท่าทางหวาดหวั่นของนทีริน

 

“ค..ครับ ถ้างั้นคุณภพจัดการตัวเองให้เสร็จก่อนก็ได้ครับ… เดี๋ยวผมไปรอข้างล่าง”

 

เมื่อได้ยินเช่นนั้นนทีรินก็รีบเดินไปที่ประตูบานใหญ่เพื่อจะรีบออกไปทันที คนตัวเล็กเอ็ดตัวเองในใจว่าไม่น่าเข้ามาในห้องของสามีตอนนี้เลย

 

“เดี๋ยว… แล้วมีเรื่องอะไรด่วนหรือเปล่า” ภวินท์เอ่ยถามเสียงติดขำๆเล็กน้อย แต่ก็คิดได้ว่าหากไม่มีเรื่องด่วนที่จะคุยกับเขาอีกฝ่ายไม่กล้าเข้ามาในห้องเขาแบบนี้หรอก

 

“คือผมจะมาบอกคุณภพว่าทางแบรนด์นาวิยาเขาส่งรายงานเกี่ยวกับแบรนด์ลูกเขามาให้คุณภพพิจารณาดูอีกครั้งน่ะครับ” เสียงหวานเอ่ยตะกุกตะกักพลางยื่นแฟ้มรายงานให้เขาทั้งๆที่ยังหันหลังอยู่ มือใหญ่ไม่ได้รับแฟ้มนั่นมาแต่เอ่ยถามต่อ

 

“แล้วทำไมเขาถึงได้ฝากคุณมาได้”

 

“เมื่อวานผมเจอคุณนาวิยาเจ้าของแบรนด์ที่เดอะแกรนด์ลักซ์ฯน่ะครับเขาก็เลยเข้ามาทักทายแล้วก็ฝากรายงานนี้มาให้คุณภพครับ แต่ผมเห็นว่ามันดึกแล้วคุณภพก็ดูเหนื่อยๆก็เลยเอามาให้ตอนเช้าแทนครับ”

 

ที่จริงทางลูกค้านั้นมีความสนิทสนมกับนทีรินมากทีเดียว เนื่องจากเป็นลูกค้าวี.ไอ.พี.ที่ทางแบรนด์ชอบส่งเสื้อผ้ามาให้เขาเป็นหุ่นให้เพื่อโปรโมตสินค้าของทางแบรนด์ นทีรินก็มีหน้าที่เพียงถ่ายรูปและนำลงโซเชียลมีเดียต่างๆ

 

“อืม… เอาวางไว้ที่โต๊ะตรงนั้นก่อน” ภวินท์เอ่ยบอกเสียงเรียบพลางชี้ไปที่โต๊ะกระจกกลางระหว่างโซฟาหลังใหญ่

 

นทีรินหยักหน้ารับก่อนจะค่อยๆลากเท้าไปยังจุดหมายโดยที่ไม่กล้าหันมองเจ้าของห้องเลยแม้แต่น้อย มือบางวางแฟ้มเอกสารไว้ก่อนจะรีบสาวเท้าเพื่อออกจากห้องไป

 

“ถ้างั้นผมขอตัวก่อนนะครับ”

 

“เดี๋ยว…” เสียงทุ้มดังขึ้นจนอีกฝ่ายชะงักเท้าหยุดอยู่กับที่

 

“ค.. ครับ?”

 

 “รอผูกเน็กไทให้ก่อน” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นเรียบๆขณะที่กำลังเดินไปที่ตู้เสื้อผ้าหลังใหญ่ที่มีเสื้อเชิ้ตเรียงรายเป็นระเบียบ

 

“แล้วทุกทีใครผูกให้คุณภพครับ”

 

นทีรินเอ่ยถามอย่างสงสัยเพราะเขาเห็นว่าปกติภวินท์ไม่ผูกเน็กไทเลยแค่สวมสูทดำทับเสื้อเชิ้ตก็เท่านั้นและตอนนี้ภวินท์ก็กำลังทำให้เขาแปลกใจกับการกระทำของอีกฝ่ายอีกแล้ว

 

“ทุกทีไม่ผูกแต่วันนี้อยากผูก -- ไปนั่งรอที่โซฟาก่อนก็ได้” เสียงทุ้มเอ่ยติดกวนจนนทีรินได้แต่ยู่ปากใส่อย่างหมั่นไส้

 

“ไม่เป็นไรครับ ผมยืนรอก็ได้”

 

นทีรินยืนนิ่งอยู่กับที่แต่สายตานั้นสอดส่องไปทั่วห้องนอนใหญ่ของสามีที่เขาไม่ได้เข้ามาเหยียบที่นี่นานมากแล้วตั้งแต่ที่ภวินท์จากไปครั้งนั้น

 

“ไปเลือกเน็กไทให้หน่อย… รู้ใช่ไหมว่าอยู่ตรงไหน”

 

เสียงทุ้มดังขึ้นทำให้นทีรินหลุดจากภวังค์ ร่างบางพยักหน้าแกนๆเพราะเริ่มหมั่นไส้คนช่างสั่งพลางเดินไปที่ตู้เสื้อผ้าที่มีลิ้นชักขนาดใหญ่ซึ่งภายในนั้นมีเน็กไทหลายแบบหลายสีวางเรียงรายกันเต็มไปหมดข้างๆกันก็เป็นกล่องเข็มกลัดติดเน็กไทยแบรนด์ดังหลายกล่องเรียงเรียบร้อย

 

“คุณภพเอาเส้นไหนดีครับ”

 

ด้วยความที่เลือกไม่ถูกเพราะมันมากมายเหลือเกินจึงหันไปถามคนที่ต้องการจะสวมใส่แต่แทนที่จะได้รับคำตอบที่ดีกลับกลายเป็นคำพูดกระแนะกระแหนจากอีกฝ่ายกลับมาแทน

 

“เลือกมาสักเส้นเถอะ ปกติก็เลือกของให้คนอื่นเก่งอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ แค่เลือกเน็กไทแค่นี้คงไม่เกินความสามารถใช่ไหม”

 

นทีรินได้แต่กลอกตาไปมาอย่างเบื่อหน่ายคำพูดร้ายกาจของภวินท์นั้นไม่เคยทำให้เขาชินได้เลย จนเขาอยากจะรู้เสียจริงว่าอีกฝ่ายนั้นทานอาหารที่ทำให้ปากเน่าปากเสียทุกวันเลยหรือไงถึงได้พูดจาร้ายใส่เขาไม่เลิก

 

เมื่อเลือกเส้นที่ต้องการได้แล้วนทีรินก็รีบสาวเท้าเข้ามาหาคนเป็นสามีที่นั่งไขว่ห้างรออยู่ตรงปลายเตียงด้วยท่าทีสบายๆ ภวินท์ลุกขึ้นเต็มความสูงเพื่อให้ภรรยาผูกเน็กไทให้อย่างถนัดถนี่

 

“ขออนุญาตครับ…” เสียงหวานเอ่ยเบาๆก่อนจะค่อยๆเอาเน็กไทลายทางยี่ห้อดังคล้องคอของสามี

 

“ทำไมถึงเลือกเส้นนี้”

 

“เพราะอากงเป็นคนซื้อมาให้คุณครับ”

 

นทีรินเอ่ยบอกถึงความสำคัญขอเน็กไทเส้นที่เขาเลือกมาผูกให้ร่างสูงในวันนี้ เจ้าสัวพีระซื้อเน็กไทเส้นนี้ให้หลานชายคนโปรดหลังที่ภวินท์เรียนจบระดับชั้นอุดมศึกษานทีรินจึงคิดว่าภวินท์ควรจะผูกมันบ้างอากงจะได้ดีใจ

 

“จำได้ด้วย?”

 

“ผมจำเรื่องของอากงได้ทุกอย่างครับ”

 

นทีรินเอ่ยบอกโดยไม่มองหน้าของคนเป็นสามีเลยลมหายใจที่รินรดใบหน้าของเขาที่ห่างกันไม่กี่คืบมือบางสั่นเทาขณะพยายามพันเส้นเน็กไทให้เป็นทรงอย่างช่วยไม่ได้เพราะเขาและภวินท์อยู่ใกล้กันเกินไปแล้ว

 

“ใส่ใจเก่งแบบนี้สินะ อากงถึงได้รัก” น้ำเสียงติดเย้ยหยันนั้นทำให้นทีรินรู้สึกระอาแต่ก็ตอกกลับประชดประชันอย่างไม่กลัวเกรง

 

“ไม่เกี่ยวหรอกครับ ขนาดคนไม่ค่อยใส่ใจอากงยังรักเลย”

 

“หึหึ หมายถึงใครเหรอ” เสียงทุ้มติดกวนประสาทถามขึ้นทั้งๆที่รู้ว่านทีรินเอ่ยกระทบกระเทียบตัวเอง

 

“ไม่รู้สิครับ คุณภพคิดว่าเป็นใครก็คนนั้นแหละครับ” ใบหน้านวลยียวนกลับอย่างไม่ยอม

 

“เดี๋ยวนี้ยียวนเก่งเชียวนะ”

 

“ไม่เก่งเท่าคุณภพหรอกครับ”

 

นทีรินพูดเรื่องจริงหากเขายียวนเก่ง ภวินท์ก็กวนประสาทเก่งมากกว่าเขาเสียอีกยิ่งเวลาคำพูดพล่อยๆออกมาจากปากของอีกฝ่ายเมื่อไรเขายิ่งรู้สึกกรุ่นโกรธและเจ็บใจเสียทุกครั้ง

 

 “ไม่ได้เก่งแค่เรื่องนี้นะ…” เมื่อเห็นว่าภรรยากล้าต่อปากต่อคำเขาอย่างไม่กลัวยิ่งทำให้ภวินท์นึกสนุก มือหนารวบเอวบางคอดเข้ามาปะทะอกแกร่งที่เต็มไปด้วยมัดกล้าม

 

“อ๊ะ…” นทีรินตกใจเล็กน้อยมือบางดันอกแกร่งให้ออกห่างแต่ไม่เป็นผลเมื่อใบหน้าหล่อคมก้มมาชิดกับหน้าเขาเสียแล้ว

 

“อยากรู้ไหมว่าเก่งเรื่องอะไรบ้าง”

 

เสียงทุ้มเอ่ยชิดข้างแก้มเขาจนใบหน้านวลขึ้นสีแดงระเรื่ออย่างห้ามไม่ได้ มือบางพยายามดันอีกฝ่ายให้ออกห่างด้วยแรงที่มีน้อยนิดหากเทียบกับภวินท์

 

“หยุดแกล้งผมเดี๋ยวนี้นะครับคุณภพ! ทำไมเดี๋ยวนี้คุณถึงชอบทำอะไรถึงเนื้อถึงตัวผมนัก”

 

นทีรินแหวออกมาเสียงดังเมื่อคิดว่าภวินท์แกล้งเขาแรงเกินไปแล้ว และเขาก็ไม่ชอบให้อีผฝ่ายมาทำอะไรรุ่มร่ามกับเขาด้วย

 

“ไม่รู้เหรอ… ก็เห็นเก่งไปซะทุกเรื่อง เรื่องนี้ก็น่าจะเดาได้มั้ง” แต่คนขี้แกล้งก็ได้หาสนใจคำโวยวายไม่นอกจากพูดจายียวนกวนโมโหเขาอย่างต่อเนื่องไม่เว้นวาง

 

“เดาว่าคุณต้องการจะแกล้งผมไงครับ… แล้วผมก็ไม่ชอบที่คุณมาทำแบบนี้” นทีรินเอ่ยบอกเสียงแข็งเพื่อแสดงให้รู้ว่าไม่พอใจ

 

“แบบไหนเหรอ”

 

“ก็ทำตัวรุ่มร่ามกับผมไงครับ”

 

“เรียกว่ารุ่มร่ามคงไม่ได้เพราะคุณเป็นภรรยาของผม” ภวินท์เอ่ยออกไปพร้อมใบหน้ากวนๆและเขาก็กำลังสนุกที่ยั่วโมโหอีกฝ่ายได้

 

นทีรินใจกระตุกเมื่อได้ยินคำพูดของอีกฝ่ายเพราะเขาไม่เข้าใจเลยว่าทำไมพักหลังๆนี้ภวินท์ถึงได้ย้ำสถานะของเขาบ่อยขนาดนี้ทั้งๆที่เมื่อก่อนไม่เคยมายุ่มย่ามอะไรกับเขาเลยแม้แต่น้อยและที่สำคัญเขาไม่คิดที่จะคิดเข้าข้างตัวเองว่าอีกฝ่ายมีอาการหึงหวงเขาเด็ดขาดเพราะเขาเชื่อว่าภวินท์ไม่มีทางรู้สึกแบบนั้นกับเขาเลยสักนิดเดียว

 

“ผมเป็นภรรยาของคุณเพียงในนามครับ”

 

เมื่อคิดได้แบบนั้นนทีรินจึงตอบออกไปเสียงเรียบๆพลางสบตาอีกฝ่ายนิ่งๆ ภวินท์ไม่ตอบอะไรนอกจากกระตุกยิ้มมุมปากอย่างที่ทำใส่เขาเป็นประจำราวกับพอใจที่แกล้งเขาได้

 

“หึหึ”

 

“ผมผูกเน็กไทให้เสร็จแล้ว… ปล่อยผมได้แล้วครับ”

 

มือบางทั้งสองข้างแกะแขนแกร่งให้ออกจากตัวด้วยท่าทีกรุ่นโกรธภวินท์จึงยอมปล่อยอีกฝ่ายแต่โดยดีก่อนจะหัวเราะในลำคออย่างพึงใจ นทีรินรีบสาวเท้าออกจากห้องนอนของสามีทันทีที่เขาเป็นอิสระแต่ก็ยังไม่วายได้ยินเสียงกวนประสาทของเจ้าของห้องตามมาทำให้เขาเจ็บใจเล่นอีกระลอก

 

“ผูกสวยดีนี่… หลังจากนี้ก็ผูกให้ทุกวันเลยแล้วกันนะคุณภรรยา”

 

เสียงทุ้มที่เน้นย้ำคำว่าคุณภรรยาอย่างกวนๆนั้นยิ่งทำให้นทีรินโมโหจนอยากจะระเบิดใส่อีกฝ่ายเสียให้ได้และที่เขาเจ็บใจมากไปกว่านั้นคือเขาต่อกรอะไรกับภวินท์ไม่ได้เลยนอกจากค่อนขอดอีกฝ่ายในใจ

 



ฮึ! ฝันไปเถอะ!





_____________________________________________________________________________________________

TALK WITH WRITER :: น้องนทโดนพี่ภพแกล้งอีกแล้วแง้ พระเอกเราปากร้าย ใจร้าย ขี้แกล้ง เอาแต่ใจ ฟอร์มเยอะด้วย (ไม่มีอะไรดีเล้ย T^T) เข้าข่ายพระเอกที่ไม่ใช่พระเอก ส่วนพี่เมฆก็คือจะเป็นพระรองที่พระเอ๊กพระเอก 55555555555555 ฝากเอาใจช่วยน้องนทด้วยนะคะ ติดตามความร้ายของพี่ภพตอนหน้าค่ะ :)


Moet et Chandon (โมเอ้ เต ชองดง) = ชื่อผู้ผลิตแชมเปญที่ใหญ่ที่สุดและดีที่สุดมีฐานการผลิตในแคว้น Champagne ประเทศฝรั่งเศส ซึ่งก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 1743 โดย Claude Moet


Lobster Thermidor (ล็อบสเตอร์แตร์มีดอร์) = เป็นอาหารฝรั่งเศสที่มีการปรุงเนื้อล็อบสเตอร์กับซอสข้นๆให้สุกจากนั้นโรยหน้าด้วยชีสแล้วอบจนชีสเยิ้ม ซึ่งอาหารจานนี้ได้คิดค้นขึ้นมาในภัตตาคารอาหารฝรั่งเศสแห่งหนึ่งซึ่งตั้งใกล้โรงละครที่กำลังฉายหนังที่ชื่อว่า Thermidor

 
Rosted Lamb Rack = ซี่โครงแกะย่างซึ่งมีกรรมวิธีการประกอบที่แตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับเชฟผู้คิดสูตร



 
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๖ (28-3-62)
เริ่มหัวข้อโดย: Veesi3 ที่ 28-03-2019 20:24:52
จะมาไม้ไหนเนี่ยยยยย
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๖ (28-3-62)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 28-03-2019 21:20:29
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๖ (28-3-62)
เริ่มหัวข้อโดย: nikpook ที่ 28-03-2019 21:28:20
ปากบอกไม่รักไม่ชอบแต่การกระทำมันตรงข้ามสุดๆเลยนะคุณภพ :hao3:
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๖ (28-3-62)
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 28-03-2019 22:37:18
เริ่มรักเขาแล้วอ่ะดิ5555
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๖ (28-3-62)
เริ่มหัวข้อโดย: dorabarin ที่ 28-03-2019 22:44:09
 :mc4: มาติดตามค่า สนุกมากเลย  :กอด1:
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๖ (28-3-62)
เริ่มหัวข้อโดย: sailom_orn ที่ 29-03-2019 00:49:58
 :ruready คุณสามีขี้อ่อย
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๗ (3-4-62)
เริ่มหัวข้อโดย: yokindy ที่ 03-04-2019 22:00:09
บทที่ ๗

 

หลังจากวันนั้นนทีรินก็ต้องเข้าไปผูกเน็กไทให้กับภวินท์อยู่ทุกวันด้วยความไม่เต็มใจเท่าไรนักซึ่งตัวเขาเองก็พยายามหลีกเลี่ยงจากอีกฝ่ายแล้วแต่ก็ไม่เป็นผลเพราะหากว่าเขาไม่ไปปรากฏตัวที่ห้องของสามีในตอนเช้าทุกวันภวินท์ก็จะเป็นฝ่ายมาตามเขาที่ห้องเองซึ่งแน่นอนว่านทีรินต้องเลือกที่จะไปที่ห้องของอีกฝ่ายอยู่แล้ว เพราะการมีสามีมาปรากฏอยู่ที่หน้าห้องของเขาทุกวันไม่ใช่เรื่องที่เขาทำใจคุ้นชินได้เลย การกระทำของภวินท์เริ่มเปลี่ยนไปจนเขาเองก็แปลกใจไม่น้อยเพราะไม่เข้าใจว่าสิ่งที่อีกฝ่ายกำลังกระทำนั้นต้องการอะไรจากเขากันแน่

 

ยิ่งคิดนทีรินก็ยิ่งเหนื่อยใจร่างบางถอนหายใจออกมาหนักๆในมือบางถือฟ็อกกี้ฉีดน้ำใส่ต้นกล้วยไม้ที่เขาตั้งใจสร้างโรงเพาะและปลูกขึ้นมาเพื่อคุณปู่ของเขาเพราะคุณทิวาชื่นชอบดอกกล้วยไม้เป็นพิเศษ นทีรินยิ้มบางๆกับดอกกล้วยไม้พันธุ์หายากเพราะมันทำให้เขานึกถึงคุณปู่ผู้ล่วงลับของตัวเอง นทีรินคิดในใจหากว่าคุณปู่ยังอยู่ในตอนนี้อะไรๆมันคงจะดีกว่าที่เป็นในตอนนี้ก็ได้ เขายังจำวันที่คุณปู่สิ้นลมหายใจได้ดีเพราะวันนั้นเขาร้องไห้หนักเสียจนแทบไม่มีน้ำตาเหลืออยู่เลย

 

“คุณปู่ ฮึก... คุณปู่อย่าทิ้งนทไปได้ไหมครับ”

 

นทีรินจับมือเหี่ยวย่นของคุณปู่แน่น ใบหน้าหวานมีน้ำตาไหลอาบแก้มนวลเปรอะเต็มดวงหน้า

 

“ถ้าปู่ไม่อยู่แล้ว นทต้องเป็นเด็กดีของทุกๆคนนะครับ ไม่ดื้อไม่ซนแล้วก็ตั้งใจเรียน ความดีและความรู้ที่นทมีจะทำให้นทอยู่ในสังคมได้โดยไม่ลำบากนะลูก... เชื่อปู่นะ”

 

คุณทิวายิ้มบางๆให้กับหลานชายพลางเอ่ยคำสั่งสอนครั้งสุดท้ายที่เขาจะสอนให้ได้ คุณทิวารู้ตัวเองดีมาตลอดว่าเวลาในชีวิตของเขาเหลือน้อยเต็มที แต่กระนั้นเขาเองก็ยังเป็นห่วงนทีรินอยู่ตลอดว่าหลานคนนี้จะอยู่ได้อย่างไรแต่เมื่อเขาหันไปมองเจ้าสัวพีระเขาก็รู้สึกโล่งใจและวางใจที่คนๆนี้จะดูแลหลานชายของเขาได้เป็นอย่างดี

 

“ครับ นทจะเชื่อคุณปู่ทุกอย่างครับ” นทีรินกลั้นก้อนสะอึกไว้เพราะไม่อยากให้คุณปู่เป็นกังวลกับตัวเองนัก คุณทิวาเห็นเช่นนั้นก็ยิ้มให้หลานชายเป็นการชื่นชม

 

“เฮียพีครับ... ผมฝากนทด้วยนะ”

 

คุณทิวาฝากฝังหลานชายให้กับชายคนรักที่เขารักมาตลอดเพราะเขารู้ว่าหากนทีรินอยู่กับเจ้าสัวพีระ นทีรินจะต้องมีชีวิตที่ดีและสุขสบายอย่างที่เขาดูแลหลานคนนี้มาตลอด

 

“ไม่ต้องห่วงนะทิวา เฮียสัญญาจะดูแลนทให้ดีที่สุด”

 

เจ้าสัวพีระให้คำสัญญาแก่คนรักพร้อมรอยยิ้มเพื่อเป็นการยืนยันว่าเขาจะดูแลหลานชายของคนรักให้ดีที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้และเขาก็ทำตามคำสัญญามาตลอดเพื่อไม่ให้คนรักที่ล่วงลับไปแล้วต้องเป็นกังวลใดๆอีก


 

 

“คุณหนูขา… คุณหมอการุณมาตรวจอาการท่านเจ้าสัวค่ะ”

 

เสียงของพี่นวลดังขึ้นทำให้นทีรินหยุดฉีดน้ำและหลุดจากห้วงภวังค์ความคิด มือบางวางฟ็อกกี้ไว้ก่อนจะเดินเข้ามาทักทายคนที่พี่นวลพามาด้วยรอยยิ้มกว้าง

 

“สวัสดีครับคุณลุงหมอ สบายดีไหมครับ” นทีรินยกมือเป็นพุ่มไหว้คุณหมอการุณซึ่งเป็นหมอประจำตัวของเจ้าสัวพีระด้วยความนอบน้อม

 

“สวัสดีครับคุณนท ลุงสบายดีครับ” หมอการุณรับไหว้หลานสะใภ้ของท่าเจ้าสัวพร้อมรอยยิ้มเช่นกัน

 

นทีรินมีความสนิทสนมกับคุณหมอการุณในระดับหนึ่งเพราะคุณหมอการุณเป็นรุ่นน้องของคุณปู่ของเขาเมื่อสมัยเรียนแพทย์มาด้วยกัน ถ้าในอดีตเจ้าสัวพีระจะมีคุณทิวาเป็นแพทย์ประจำตัวแต่ตั้งแต่คนรักเสียไปคุณหมอการุณจึงเข้ามาทำหน้าที่นี้แทน จึงทำให้นทีรินรู้จักและสนิทสนมกับคุรหมอการุณมาตั้งแต่เด็กๆ

 

“คุณหนูจะให้พี่ไปเรียนคุณภพให้มาดูท่านเจ้าสัวไหมคะ”

 

พี่นวลเอ่ยถามคุณหนูเพราะเธอเองก็อยากให้ภวินท์มาฟังอาการของท่านเจ้าสัวจากปากของหมอการุณเช่นเดียวกัน ภวินท์จะได้ช่วยคุณหนูของเธอดูแลเจ้าสัวด้วยอีกแรง

 

“ครับพี่นวล นทฝากด้วยนะครับ”

 

นทีรินตอบรับพี่เลี้ยงของตัวเองเพราะเขาเองก็อยากให้ภวินท์มาฟังอาการของอากงเช่นเดียวกันจะได้ช่วยกันดูแลท่านได้ถูกต้องเพื่อไม่ให้อาการที่เป็นอยู่กำเริบได้ ถึงแม้ว่าเขาจะอยากหย่ากับภวินท์มากเพียงใดแต่เขาก็ไม่ได้อยากให้เจ้าสัวพีระรีบด่วนจากเขาไปเสียหน่อยเพราะทั้งชีวิตของเขาเจ้าสัวพีระคือคนที่สำคัญที่สุด

 

“คุณภพกลับมาแบบนี้แล้วท่านเจ้าสัวคงจะดีใจมากๆเลยใช่ไหมครับคุณนท”

 

คุณหมอการุณเอ่ยถามขณะที่นทีรินกำลังพาเขาขึ้นไปยังห้องส่วนตัวของเจ้าสัวพีระเพราะเขาเป็นอีกคนหนึ่งที่ทราบเรื่องของเจ้าสัวพีระและภวินท์เป็นอย่างดีเนื่องจากเป็นหมอประจำตัวของคนทุกคนในบ้านสนิทสนมกับตระกูลกิจจานนท์มานานจนเจ้าสัวพีระไว้เนื้อเชื่อใจ

 

“ครับ คุณลุงหมอก็ทราบดีใช่ไหมครับว่าทั้งชีวิตของอากงก็รอแต่คุณภพกลับมาอย่างเดียว”

 

ตั้งแต่ป่วยเจ้าสัวพีระรอเพียงภวินท์อยู่เสมอต่อให้ยังไม่ป่วยก็รอเพราะท่านมักจะให้คนสนิทสืบความเกี่ยวกับหลานชายอยู่ให้เสมอๆซึ่งนทีรินก็รับรู้มาตลอดว่าเจ้าสัวเป็นห่วงภวินท์มากเพียงใด

 

“ท่านเคยบอกลุงด้วยนะครับว่าให้ช่วยท่านให้มีชีวิตอยู่ก่อนเพราะท่านอยากจะรอคุณภพ… คุณภพเป็นคนสำคัญของท่านจริงๆ”

 

คุณหมอการุณเอ่ยบอกอย่างที่เจ้าสัวพีระเคยบอกเขาและเขาก็คิดหาทางทุกทางเพื่อให้เจ้าสัวมีชีวิตต่อตามที่ท่านหวังถึงแม้ว่าความหวังในตอนนั้นมันจะริบหรี่มากเหลือเกินก็ตาม แต่ในตอนนี้เขาทราบข่าวว่าภวินท์กลับมาแล้วเขาก็ได้แต่หวังว่าคนไข้พิเศษของเขาจะอาการดีขึ้นบ้าง

 

“สวัสดีครับคุณลุงการุณ” เสียงทุ้มเอ่ยทักทายพร้อมมือที่ยกขึ้นไหว้อย่างนอบน้อม 

 

คุณหมอการุณหันไปตามเสียงก็พบร่างสูงสมส่วนและดูสง่าน่าเกรงขามของคนทั่วไป ภวินท์ในวันที่คุณหมอการุณเจอครั้งล่าสุดนั้นก็เมื่อหลายสิบปีที่แล้วนั้นภวินท์ยังดูเด็กมากอยู่เลย และพอมาเจอในวันนี้เขาก็อดที่จะชื่นชมหลานชายของเจ้าสัวไม่ได้เพราะภวินท์นั้นดูดีและน่าเกรงขามเหมาะสมที่จะเป็นทายาทอันดับหนึ่งของตระกูลกิจจานนท์จริงๆ

 

“ไม่ได้เจอกันเสียนาน คุณภพหล่อเหมือนเดิมเลยนะครับ”

 

คุณหมอเอ่ยเสียงกลั้วหัวเราะกับภวินท์อย่างสนิทสนมตามประสาคนอารมณ์ดี ภวินท์ยิ้มรับก่อนจะเอ่ยบอก

 

“ขอบคุณครับ… เข้าไปหาอากงกันเถอะครับผมเองก็อยากทราบอาการของท่านแล้ว”

 

เมื่อภวินท์เอ่ยจบทั้งหมดก็เข้าไปในห้องของเจ้าสัวพีระทันทีเพราะอยากทราบอาการของเจ้าสัวพีระแล้วว่าเป็นอย่างไรบ้าง

 

ร่างของชายชราที่นอนหลับอยู่บนเตียงด้วยลมหายใจแผ่วเบาทำให้นทีรินและภวินท์อดที่จะเป็นกังวลไม่ได้ ถึงแม้ว่าตั้งแต่ที่ภวินท์กลับมานั้นเจ้าสัวพีระจะสามารถทานอาหารได้เยอะกว่าที่เคยเป็นแต่กระนั้นก็อดเป็นห่วงไม่ได้อยู่ดี

 

ทั้งสองคนปล่อยให้คุณหมอการุณทำการตรวจอาการตามขั้นตอนทางการแพทย์อย่างที่ต้องตรวจทุกเดือน คุณหมอการุณยิ้มกว้างพร้อมความโล่งที่เกิดขึ้นภายในใจเพราะว่าคนไข้พิเศษของเขาถึงแม้อาการจะไม่ได้ดีขึ้นหรือหายขาดแต่ก็ไม่ได้แย่ลงจนน่าเป็นห่วงเท่าใดนัก

 

“อาการของเจ้าสัวตอนนี้ดีขึ้นมากนะครับ… ความดันก็ปกติดีไม่มีปัญหาอะไร -- เดี๋ยวลุงจะจัดยาให้ท่านตามเดิม ยังไงรบกวนคุณนทดูแลและจัดการให้เจ้าสัวทานยาให้ตรงตามเวลาด้วยนะครับ”

 

คุณหมอการุณเอ่ยบอกพร้อมรอยยิ้มกว้างที่ส่งมาให้ คำวินิจฉัยของหมอทำให้นทีรินและภวินท์รู้สึกโล่งใจไม่น้อยเลย เพราะอย่างน้อยมันก็ไม่ได้เป็นข่าวร้ายสำหรับพวกเขา

 

“ได้ครับคุณลุงหมอ… อากงดีขึ้นแบบนี้หมายความว่าอากงจะอยู่กับนทได้อีกนานๆใช่ไหมครับคุณลุงหมอ”

 

นทีรินเอ่ยถามพร้อมใบหน้าที่มีความหวังขึ้นมาเพราะอย่างน้อยเขาก็รู้ว่าเจ้าสัวพีระยังอยู่กับเขาได้อีกนาน และเขายังไม่อยากสูญเสียชายชราคนนี้ไปเลยแม้แต่วินาทีเดียว ท่าทางดีใจและมีความหวังราวกับเด็กน้อยนั้นทำให้คุณหมอการุณถอนหายใจยิ้มๆก่อนจะเอ่ยบอก

 

“คุณนทครับ… โรคชราเมื่อเป็นแล้วลุงก็ตอบไม่ได้หรอกนะครับว่าคนไข้จะเหลือเวลาในชีวิตเท่าไร ทุกอย่างขึ้นอยู่กับตัวคนไข้ไม่ใช่แค่ร่างกายแต่มีเรื่องของจิตใจด้วย ลุงอยากให้คุณภพกับคุณนททำใจไว้ตั้งแต่เนิ่นๆนะครับ”

 

คุณหมอการุณเอ่ยบอกตามความเป็นจริงเพราะโรคชราที่เจ้าสัวพีระเป็นนั้นมันไม่มีทางหายขาดเมื่อเป็นแล้วก็ไม่สามารถตอบได้ว่าจะมีเวลาอยู่ได้ถึงเมื่อไร เขาไม่อยากพูดเพื่อให้ความหวังกับนทีรินเพราะเขารู้ว่าอาการที่เจ้าสัวเป็นนั้นมีสิทธิ์ที่จะจากไปได้ตลอด เขาจึงพูดอะไรมากไม่ได้นอกจากให้คำแนะนำแก่ญาติของคนไข้ที่ควรพึงกระทำเพื่อไม่ให้อาการทรุดลงมากกว่าเดิม

 

“สิ่งสำคัญที่ทั้งคุณนทและคุณภพต้องทำตอนนี้ก็คือต้องช่วยกันดูแลท่านเจ้าสัวให้ดีทั้งร่างกายและจิตใจครับ ที่ท่านอาการดีขึ้นก็เพราะว่ามีหลานอย่างคุณสองคนคอยเป็นกำลังใจให้ เพราะฉะนั้นอย่าทำอะไรที่กระทบกระเทือนจิตใจของท่านนะครับไม่อย่างนั้นอาการของท่านอาจจะทรุดลงได้”

 

สิ้นคำแนะนำของคุณหมอการุณดวงตาหวานของนทีรินก็หม่นแสงลงราวกับตอนนี้ความหวังของเขามันช่างริบหรี่เหลือเกินแต่ถึงอย่างไรเขาก็จะพยายามดูแลให้เจ้าสัวพีระอยู่กับเขาไปได้นานๆเขาจะอดทนเหมือนตอนที่คุณทิวาสอนเขาให้อดทนเข้มแข็ง

 

“ขอบคุณมากนะครับคุณลุงหมอ”

 

ภวินท์และนทีรินยกมือไหว้ขอบคุณหมอการุณด้วยความนอบน้อม คุณหมอรับไหว้พร้อมรอยยิ้มก่อนจะเดินออกไปจากห้อง

 

“พี่นวลครับ นทฝากส่งคุณลุงหมอด้วยนะครับ”

 

นทีรินเอ่ยบอกพี่เลี้ยงให้ไปส่งคุณหมอการุณแทนเพราะว่าเขาอยากจะคุยกับเจ้าสัวพีระ ร่างบางเดินไปนั่งข้างเตียงหลังใหญ่คนละฝั่งกับภวินท์ที่นั่งคุยกับเจ้าสัวอยู่ก่อนแล้ว

 

“อากงครับ… เป็นยังไงบ้าง”

 

เสียงทุ้มเอ่ยถามคนเป็นปู่ด้วยน้ำเสียงห่วงใยมือหนาจับมือเหี่ยวย่นไว้แน่นเป็นการให้กำลังใจ เจ้าสัวพีระยกยิ้มนิดๆให้หลานชายก่อนจะเอ่ยบอกด้วยเสียงแหบพร่า

 

“เหมือนเดิมนั่นแหละ เจ็บออดๆแอดๆตามประสาคนแก่… ลื้อนั่นแหละเป็นยังไงบ้างภพ”

 

เสียงแหบพร่าของเจ้าสัวเอ่ยถามหลานชายด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง ต่อให้เขาจะป่วยเจียนตายเพียงใดแต่ความห่วงใยที่มีต่อลูกหลานนั้นยังคงเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ยิ่งไม่ได้ดูแลและทำงานด้วยตัวเองเขาก็ยิ่งเป็นห่วงแต่ที่ผ่านมาก็ต้องวางใจไปหน่อยเพราะนทีรินนั้นช่วยเขาและเดอะแกรนด์ได้มากจริงๆ

 

“ผมเข้าไปทำงานที่เดอะแกรนด์ฯแล้วนะครับ ทุกอย่างเรียบร้อยดี… อากงไม่ต้องห่วงนะครับ”

 

ภวินท์รู้ดีว่าสิ่งที่อากงห่วงมากที่สุดก็คือเดอะแกรนด์อ็อฟสยามเพราะที่นี่ถือเป็นสมบัติอันล้ำค่าที่สุดของตระกูล บรรพบุรุษได้สร้างสิ่งนี้ไว้ให้ลูกหลานดำรงเลี้ยงชีพเพื่อไม่ให้ลูกหลานต้องลำบากจึงไม่แปลกเลยที่อากงจะเป็นกังวล

 

คำพูดของหลานชายเรียกรอยยิ้มบนใบหน้าเหี่ยวย่นของชายชราได้เป็นอย่างดี ชีวิตของเขาไม่ต้องการอะไรอีกแล้วนอกจากรับรู้ว่าหลานชายที่เป็นทายาทอันดับหนึ่งของตระกูลได้เข้าไปบริหารงานแทนเขาแล้ว ภวินท์คือหลานชายคนแรกของตระกูลเพราะฉะนั้นภวินท์จึงเป็นความหวังทั้งหมดของเขาที่จะนำพากิจการของตระกูลให้รุ่งเรืองสืบไป

 

“อั๊วดีใจที่ได้ยินแบบนี้นะ เดอะแกรนด์ฯเป็นสิ่งที่อั๊วและครอบครัวสร้างมาทั้งชีวิต… ต่อไปนี้เป็นหน้าที่ของรุ่นหลานๆอย่างพวกลื้อที่จะช่วยกันสานต่อให้รุ่งเรืองยิ่งๆขึ้นไป”

 

“ผมและพวกน้องๆจะทำให้ดีที่สุดครับอากง”

 

ภวินท์รับปากพร้อมรอยยิ้มมุ่งมั่นเพื่อแสดงให้เจ้าสัวพีระเห็นว่าเขาเป็นทายาทอันดับหนึ่งของตระกูลที่จะไม่มีวันทำให้สิ่งที่บรรพบุรุษสร้างมานั้นต้องล่มสลายไปแน่นอน เจ้าสัวพีระรับรู้ถึงสายตามุ่งมั่นของหลานชายที่เขารักมากที่สุดก่อนจะเอ่ยบอก

 

“ขอบใจมาก -- แล้วนทล่ะเป็นไงบ้าง ได้เข้าไปช่วยภพทำงานหรือเปล่า”

 

ชายชราหันหน้าไปอีกทางที่มีหลานสะใภ้ส่งยิ้มมาให้เขาอยู่แล้วก่อนจะเอ่ยถามขึ้นอย่างห่วงใยเช่นเดียวกัน

 

“อ่า... คือว่านท…”

 

นทีรินมีท่าทีอึกอักเล็กน้อยเพราะตั้งแต่ที่ภวินท์เข้าไปทำงานที่เดอะแกรนด์ฯเขาก็คิดเพียงแต่ว่าตัวเองหมดหน้าที่ไปโดยปริยายและไม่ได้เข้าไปยุ่มย่ามอะไรในเดอะแกรนด์ฯอีกเลย

 

“ไม่เป็นไรหรอกครับอากง… ให้นทเขาดูแลทุกอย่างในบ้านของเราก็พอแล้วครับ”

 

เมื่อเห็นว่าภรรยาตะกุกตะกักตอบอะไรไม่ถูกภวินท์จึงเอ่ยสวนขึ้นมาโดยไม่รอให้อีกฝ่ายตอบอะไร และอีกอย่างเขาก็คิดว่าเขาสามารถจัดการทุกอย่างได้โดยที่ไม่ต้องมีนทีรินช่วยเหลือ เพราะเขารับรู้ว่าที่ผ่านมานั้นอีกฝ่ายต้องดูแลทั้งเดอะแกรนด์ฯและทุกอย่างภายในบ้านหลังนี้และเขาก็คิดว่ามันคงเพียงพอแล้วที่จะให้อีกฝ่ายดูแลทุกอย่างในบ้านกิจจานนท์เพียงอย่างเดียว

 

เมื่อได้ยินคำพูดจากสามีความน้อยใจก็ตีขึ้นมาภายในใจของนทีรินอย่างห้ามไม่ได้ พลางคิดว่าภวินท์คงไม่อยากจะให้เขาไปยุ่มย่ามอะไรในเดอะแกรนด์ฯเพราะกลัวว่าเขาจะคิดไม่ซื่อกับสมบัติของตัวเองสินะ ใบหน้าหวานสลดลงแต่พยายามเก็บอาการเพราะเขาไม่อยากให้เจ้าสัวพีระเป็นกังวลไปกับเขา

 

“ลื้อไม่อยากให้น้องไปช่วยงานหรือไง นททำงานเก่งนะดูแลอะไรหลายๆอย่างแทนอั๊วได้ดีเชียวล่ะ”

 

เจ้าสัวพีระเอ่ยบอกหลานชายเพราะที่ผ่านมาตั้งแต่เขาป่วยก็มีแต่นทีรินที่ทำหน้าที่แทนเขาได้เป็นอย่างดีจนแทบไม่มีอะไรขาดตกบกพร่องเลยแม้แต่น้อยเพราะนทีรินนั้นมีความละเอียดและใส่ใจในทุกรายละเอียดจริงๆ

 

“ผมทราบครับว่าน้องเก่งแต่หน้าที่ของภรรยาที่ดีก็คือต้องดูแลสามีและดูแลบ้านไม่ใช่เหรอครับอากง ส่วนผมที่เป็นสามีก็มีหน้าที่ไปทำงานข้างนอกหาเงินมาเลี้ยงครอบครัวไงครับ”

 

ภวินท์เอ่ยบอกอากงพร้อมรอยยิ้มก่อนที่ดวงตาคมจะจับจ้องมาที่ดวงหน้าของภรรยาอย่างไม่วางตา สายตาที่ดูเรียบนิ่งทว่ากลับวาววับกรุ้มกริ่มในความรู้สึกของนทีริน หัวใจดวงน้อยเริ่มสั่นรัวจนเขาต้องเป็นฝ่ายหลบดวงตาคมนั่นเอง

 

“ถ้าลื้อคิดแบบนั้น อั๊วก็แล้วแต่ลื้อ”

 

เจ้าสัวพีระเอ่ยบอกพลางกลั้วหัวเราะชอบใจกับคำพูดของหลานชายเพราะอย่างน้อยเขาก็รับรู้ได้ว่าภวินท์คงจะกลับมารู้สึกดีกับนทีรินแล้ว เพราะเจ้าสัวพีระยังคงเชื่อมั่นอยู่เสมอว่าภวินท์ไม่มีทางหมดรักคนแบบนทีรินไปได้เฉกเช่นเขาที่ไม่เคยหมดรักทิวาได้เลย

 

เมื่อเห็นเจ้าสัวพีระหัวเราะชอบใจกับคำพูดของภวินท์แบบนั้นใบหน้านวลของนทีรินก็ขึ้นสีแดงพาดอย่างต้านทานไม่ได้ ร่างบางทั้งรู้สึกประหม่าและขัดเขินไปเสียหมดยิ่งหันไปเจอสายตาคมของภวินท์เขาก็ยิ่งทำตัวไม่ถูก

 

“เอ่อ… อากงครับ วันนี้อยากทานอะไรเป็นพิเศษไหมครับนทจะได้ทำให้ทาน”

 

นทีรินพยายามตัดบทเปลี่ยนเรื่องที่ทำให้เขาเลิกประหม่าเสียที ท่าทางแบบนั้นยิ่งทำให้ภวินท์แอบยิ้มขำอย่างอารมณ์ดีที่แกล้งให้อีกฝ่ายเขินอายได้

 

“อะไรก็ได้ ลื้อทำอะไรอั๊วกินได้หมดนั่นแหละ”

 

สิ้นเสียงคำตอบของชายชราก็ทำให้นทีรินหน้ามุ่ยเพราะว่าเขาคิดไม่ออกว่าจะทำอะไรให้เจ้าสัวพีระรับประทานในวันนี้ดี

 

“ก็นทคิดไม่ออกนี่ครับ… นทอยากให้อากงทานของที่อยากทานจริงๆนะ”

 

เสียงกระเง้ากระงอดปนออดอ้อนอย่างน่ารักของหลานสะใภ้ทำให้เจ้าสัวพีระส่ายหัวยิ้มๆ

 

“เฮ้อ… เจ้าเด็กคนนี้นี่วุ่นวายจริงๆเลยเชียว แล้วถามแต่อั๊วไม่ถามภพบ้างล่ะว่าอยากกินอะไร”

 

“นทอยากทำอาหารให้อากงทานก็ต้องถามอากงสิครับ จะให้ถามคนอื่นได้ยังไงกัน”

 

นทีรินเอ่ยบอกเจ้าสัวพีระเสียงงอนๆพลางเน้นเสียงคำว่าคนอื่นหนักๆก่อนจะหันไปพบใบหน้าคมของภวินท์ยิ้มด้วยสายตาล้อเลียนอยู่ร่างบางจึงขมวดคิ้วมุ่นอย่างขัดใจ

 

“ภพอยากกินอะไรไหม ช่วยอั๊วคิดหน่อยเถอะไม่งั้นวันนี้อั๊วไม่ได้กินข้าวฝีมือเจ้าเด็กตัวยุ่งแน่นอน”

 

ภวินท์หลุดขำกับคำว่าเจ้าเด็กตัวยุ่งของอากง ก่อนจะหันไปมองหน้าเด็กตัวยุ่งที่มองเขาตาเขียวปั๊ดแสดงความไม่พอใจที่โดนเขาหัวเราะล้อเลียนอยู่

 

“ราดหน้าหมูหมักดีไหมครับอากง ผมนึกอยากทานมาหลายวันแล้ว”

 

เสียงทุ้มเอ่ยตอบอากงแต่สายตาไม่ได้ละไปจากดวงหน้าหวานของภรรยาเลยแม้แต่น้อย ใบหน้าคมยักคิ้วกวนๆส่งไปให้นั่นยิ่งทำให้นทีรินแอบเบ้ปากใส่อย่างหมั่นไส้ เพราะว่าเขารู้ดีว่าราดหน้าหมูหมักนั้นเป็นเมนูที่ภวินท์ชอบ

 

“อืม ไม่ได้กินมานานแล้ว ทำเลยนะนทจะได้กินด้วยกัน”

 

สิ้นเสียงของเจ้าสัวพีระนั้นนทีรินก็ได้แต่พยักหน้ารับคำด้วยความจำใจก่อนจะเข่นเขี้ยวในใจเพราะเขาอยากทำอาหารให้อากงทานไม่ใช่ภวินท์เสียหน่อย

 



***

ต่อข้างล่างค่ะ
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๗ (3-4-62) [ต่อ]
เริ่มหัวข้อโดย: yokindy ที่ 03-04-2019 22:02:53
ในเวลาบ่ายวันหยุดสุดสัปดาห์แม้ว่าคนอื่นจะมีวันหยุดกันแต่สำหรับภวินท์แล้วเขาไม่มีวันจะหยุดจากงานได้เลย เพราะนอกจากที่เขาต้องเข้าไปทำงานที่เดอะแกรนด์ฯแล้วเขาก็ยังต้องจัดการบริหารบริษัทรถยนต์ซูเปอร์คาร์นำเข้าของตัวเองด้วย ยังดีที่บริษัทของเขามีเพื่อนของเขาเป็นหุ้นส่วนฯอยู่เยอะก็เลยไม่ต้องจัดการอะไรมากมาย มือหนาเปิดแฟ้มเอกสารตรวจดูข้อมูลไปมาอย่างเคร่งเครียดเพราะเขาต้องตรวจเอกสารทุกอย่างอย่างละเอียดเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการทุจริตในบริษัทได้

 

มือหนาคลึงหัวตาของตัวเองไปมาด้วยความเหนื่อยอ่อนก่อนเสียงทุ้มจะเอ่ยอนุญาตเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตูจากคนภายนอกดังเข้ามา และเมื่อเงยหน้ามองก็พบว่าเป็นแม่บ้านคนหนึ่งถือถาดขนาดกลางเดินตรงมาที่โต๊ะทำงานของเขาก่อนจะวางถ้วยชาเขียวร้อนที่ส่งกลิ่นหอมพร้อมกับสโคนหน้าบลูเบอร์รี่วางอยู่ในจานใบเล็กข้างๆกัน

 

“ชาเขียวร้อนกับของว่างค่ะคุณภพ”

 

“ผมไม่อยากดื่มชา เปลี่ยนเป็นกาแฟให้ที”

 

ภวินท์เอ่ยบอกเสียงเรียบๆก่อนจะก้มหน้าทำงานต่อเพราะเวลาที่เขาทำงานเครียดๆแบบนี้เขาต้องการดื่มแค่กาแฟดำเท่านั้น สิ้นเสียงคำสั่งนั้นแม่บ้านคนนั้นก็ทำท่าอึกอักลำบากใจไม่ยอมทำตามคำสั่งจนภวินท์เงยหน้ามองพลางเลิกคิ้วสงสัย

 

“อ่า… แต่ว่าคุณนทให้เอาชาเขียวร้อนมาให้คุณภพดื่มแทนกาแฟน่ะค่ะ”

 

เสียงตะกุกตะกักอย่างหวั่นเกรงของแม่บ้านคนนั้นทำให้ภวินท์รู้สึกหัวใจพองโตได้ง่ายเพียงได้ยินแค่ชื่อของภรรยา ภวินท์มองถ้วยชาเขียวกับจานของว่างก่อนจะลอบยิ้มกับการเอาใจใส่ของนทีรินที่แม้ว่าเขาจะกวนประสาทใส่อีกฝ่ายแค่ไหนแต่นทีรินก็ไม่เคยปล่อยปละละเลยสำหรับการเอาใจใส่ดูแลเขาเลย

 

“ถ้างั้นก็เอาวางไว้”

 

ภวินท์พยักเพยิดให้แม่บ้านคนนั้นด้วยอารมณ์ผ่อนคลายขึ้นเพียงรู้ว่าของพวกนี้เป็นสิ่งที่นทีรินให้นำมาให้เขา ภวินท์ยกถ้วยชาเขียวขึ้นดื่มก่อนจะเอ่ยถามแม่บ้าน

 

“แล้วตอนนี้คุณนทอยู่ไหน”

 

“คุณนทนั่งเล่นอยู่ที่ห้องรับแขกค่ะ”

 

สิ้นเสียงแม่บ้านตอบภวินท์ก็พยักหน้าให้ก่อนจะเดินออกจากห้องทำงานไปอย่างอารมณ์ที่ดีขึ้นจนแม่บ้านคนนั้นแปลกใจเป็นอย่างมากเพราะก่อนหน้านี้ภวินท์ยังดูเคร่งเครียดและอารมณ์ไม่ดีกับการทำงานอยู่เลย

 

 

 

 

“ได้รับของแล้วใช่ไหมครับคุณหมายเลข 9”

 

เสียงหวานเอ่ยถามปลายสายอย่างขำขันเพราะเขานึกหน้าอีกฝ่ายออกว่าจะต้องทำหน้าแบบไหนใส่เขา

 

“(โถ่นท… จะลำบากซื้อของแบบนี้ให้พี่ทำไมกันครับ)”

 

ปลายสายเอ่ยบอกอย่างเกรงใจเมื่อเขาได้รับของขวัญที่นทีรินส่งไปให้เรียบร้อยแล้ว เพราะสิ่งที่อีกฝ่ายซื้อให้เขานั้นมันมีมูลค่าไม่น้อยเลย

 

“ลำบากอะไรกันครับ สร้อยข้อมือเส้นนี้น่ะแค่หลักแสนเองนะครับ นทได้กำไรจากแจกันจีนใบนั้นตั้งอีกหลายสิบล้านแหน่ะ ฮ่ะๆ”

 

นทีรินหัวเราะชอบใจที่เอาคืนนภทีป์ได้เพราะการที่เขาซื้อของขวัญชิ้นนี้ให้อีกฝ่ายเพราะคิดว่านภทีป์สมควรที่จะได้รับมันแล้ว เขาปรึกษากับเจ้าสัวพีระเรียบร้อยแล้วว่ายังไงก็ต้องซื้อของขวัญตอบแทนให้กับนภทีป์ให้ได้เพราะไม่ใช่เรื่องดีเลยที่เขาจะรับของจากอีกฝ่ายมาเพียงฝ่ายเดียว

 

“(แต่มันไม่เหมือนกันนี่ แจกันใบนั้นพี่ตั้งใจประมูลมาให้นทกับอากงนะครับ)”

 

นภทีป์เอ่ยบอกด้วยความเกรงใจอีกคราเพราะเขาตั้งใจที่จะประมูลแจกันจีนใบนั้นเป็นของขวัญเพื่อให้กำลังใจแก่เจ้าสัวพีระจริงๆโดยที่เขาไม่คิดหวังอะไรตอบแทนทั้งสิ้น

 

“งั้นสร้อยข้อมือเส้นนี้นทกับอากงก็ตั้งใจซื้อมาตอบแทนพี่เมฆเหมือนกัน ห้ามปฏิเสธนะครับไม่งั้นนทจะส่งแจกันจีนใบนี้คืนไปแน่นอน”

 

นทีรินขู่ด้วยเสียงหนักแน่นและจริงจังจนปลายสายถอนหายใจยาวก่อนจะยินยอมรับของขวัญชิ้นนี้แต่โดยดีเพราะเขารู้ว่าหากเขาไม่รับนั้นนทีรินจะต้องส่งแจกันจีนใบนั้นคืนมาให้เขาเช่นเดียวกัน

 

“(เฮ้อ… รับก็ได้ครับ แต่คราวหลังไม่ต้องเสียเงินเสียทองซื้อของแบบนี้มาให้พี่แล้วนะครับ พี่ขอแค่ขนมหม้อแกงไม่ก็ข้าวเหนียวสังขยาอร่อยๆหนึ่งถาดก็พอแล้ว)”

 

“ฮ่ะๆ ได้เลยครับ วันหลังนทจะทำทั้งขนมหม้อแกงและสารพัดขนมให้หลายๆถาดเลยครับ พี่เมฆอย่าเพิ่งเบื่อรสชาติขนมของนทไปก่อนละกันครับ”

 

นทีรินหลุดขำกับความมักน้อยของรุ่นพี่คนสนิทเพราะสิ่งที่นภทีป์ขอจากเขานั้นมันเล็กน้อยมากจริงๆ

 

“(ฮ่ะๆ นททำอร่อยขนาดนั้นไม่เบื่อแน่นอนครับ)”

 

นภทีป์หัวเราะก่อนจะเอ่ยเยินยอรุ่นน้องด้วยความขำขัน เขารู้ดีว่านทีรินมีฝีมือในการทำอาหารและขนมมากขนาดไหนและเขาก็เคยชิมทั้งอาหารและขนมฝีมือของอีกฝ่ายอยู่บ่อยครั้ง

 

“แล้วไปดูงานที่เกาหลีเป็นยังไงบ้างครับ”

 

นทีรินเอ่ยถามรุ่นพี่เพราะรู้ว่านภทีป์เพิ่งกลับมาจากดูงานที่ประเทศเกาหลีใต้ นี่ก็เป็นสาเหตุที่เขาเพิ่งจะส่งของขวัญชิ้นนี้ให้นภทีป์เพราะอยากให้นภทีป์ได้รับทันทีที่ถึงประเทศไทยจริงๆ

 

“(โอเคดีครับ… นี่พี่ซื้อชาผสมโสมเกาหลีมาฝากอากงด้วยนะครับแล้วก็มีของฝากเล็กๆน้อยๆให้นทกับพี่นวลด้วย ไว้ว่างๆเดี๋ยวพี่เอาเข้าไปให้นะครับ)

 

“ซื้อของมาฝากอีกแล้ว นทเกรงใจนะครับพี่เมฆ”

 

นทีรินย่นจมูกเล็กน้อยเพราะเขาเกรงใจที่รุ่นพี่คนนี้ชอบซื้อของมาฝากเขาทุกทีเลยส่วนเขาเองก็ไม่ค่อยได้ให้อะไรอีกฝ่ายเลย

 

 “(ไม่ต้องเกรงใจเลยครับ พี่อยากซื้อฝากเพราะพี่อยากเข้าไปเยี่ยมอากงด้วย ตั้งแต่งานยุ่งๆก็ไม่ได้เจอท่านนานแล้ว)”

 

นภทีป์เอ่ยบอกตามที่ใจคิดเพราะเขาอยากจะเข้าไปเยี่ยมเจ้าสัวพีระตั้งนานแล้วแต่ด้วยความที่ช่วงนี้เขาไม่ค่อยมีเวลาสักเท่าไรเพราะเขาเพิ่งจะทำการขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศได้ไม่นานงานของเขาจึงยุ่งพอสมควรเลย

 

“อากงก็พูดถึงพี่เมฆอยู่เหมือนกันครับว่าอยากไปงานประมูลด้วยกันอีก”

นทีรินเอ่ยบอกเพราะเจ้าสัวพีระเองก็มีความสนิทสนมกับรุ่นพี่คนนี้ของเขาเช่นกันจนบางครั้งก็ถามถึงและชวนให้มาทานอาหารด้วยกันอยู่บ่อยครั้ง

 

“(ถ้าอย่างนั้นฝากบอกท่านด้วยนะครับว่าพี่จะหาเวลาเข้าไปเยี่ยมเร็วๆนี้)”

 

“ได้เลยครับ ขอบคุณมากนะครับพี่เมฆ”

 

นทีรินเอ่ยบอกพร้อมรอยยิ้มก่อนที่ทั้งคู่จะคุยเรื่องสัพเพเหระได้สักพักนภทีป์ก็ต้องขอตัววางสายไปเสียก่อนเพราะมีงานค้างที่ต้องทำต่อ นทีรินกดวางสายก่อนจะส่ายหัวยิ้มๆให้กับรุ่นพี่คนสนิทพลางคิดในใจว่าเขาจะเริ่มทำขนมที่นภทีป์อยากทานส่งไปให้เมื่อไรดีแต่ไม่ทันได้คิดอะไรมากจากที่ยิ้มแย้มอารมณ์ดีอยู่นทีรินก็ต้องหุบยิ้มเมื่อร่างสูงคุ้นเคยนั้นปรากฏต่อสายตาพร้อมคำพูดประชดประชันถากถางเช่นเคย

 





“ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เลยนี่ คงจะมีความสุขมากสินะที่ได้คุยกับ… ผู้ชายคนอื่น



To be continue


___________________________________________________________________________________________

TALK WITH WRITER :: เอาแล้วไง คุณพี่เค้าเตรียมหาเรื่องน้องอีกแล้วค่ะ แง้ TT พี่ภพจะปากร้ายแค่ไหนติดตามตอนหน้านะคะ แฮร่ :) 
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๗ (3-4-62)
เริ่มหัวข้อโดย: muiko ที่ 04-04-2019 02:57:30
อย่าช้านะพี่ภพ เลิกอคติได้แล้ว
นทก็มีความอดทนนะ
ตอนนี้นทยังรัก ถ้าปากหมา ทำตัวแย่ๆใส่อีก
ถ้านทไปรักคนอื่นจะสมน้ำหน้าให้นะ
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๗ (3-4-62)
เริ่มหัวข้อโดย: TheDoungJan ที่ 04-04-2019 04:02:27
แซะเก่งง นอกจากงานบริหารแล้วยังขายขนมครกปะคะเนี่ยคุณภวินท์
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๗ (3-4-62)
เริ่มหัวข้อโดย: sailom_orn ที่ 04-04-2019 07:55:32
 :z3: ผู้ชายปากร้าย มันน่า.... :z6:
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๗ (3-4-62)
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 04-04-2019 10:58:49
หึงเหรอจ๊ะ5555
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๗ (3-4-62)
เริ่มหัวข้อโดย: บูมเบส ที่ 04-04-2019 11:35:47
ตอบแทนได้ม่ะ โครตมีความสุขเลย
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๗ (3-4-62)
เริ่มหัวข้อโดย: fuku ที่ 04-04-2019 13:00:35
ตกลงก็ชอบเค้า แต่ขยันเห่าใส่



เป็นเด็กประถมเรอะ
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๗ (3-4-62)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 04-04-2019 13:42:45
พูดแต่ละอย่างไม่เคยมองตัวเองเลย
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๘ (8-4-62)
เริ่มหัวข้อโดย: yokindy ที่ 08-04-2019 00:11:23
บทที่ ๘



“ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เลยนี่ คงจะมีความสุขมากสินะที่ได้คุยกับ… ผู้ชายคนอื่น”


สิ้นเสียงทุ้มเย้ยหยันนั้นนทีรินก็ลุกขึ้นยืนประจันหน้ากับคนพูดอย่างไม่เกรงกลัว สิ่งที่ภวินท์เอ่ยออกมาคำว่า ‘ผู้ชายคนอื่น’ เน้นย้ำหนักแน่นราวกับว่าเขากำลังนอกใจอีกฝ่ายทั้งๆที่เขายังไม่ได้ทำอะไรแบบนั้นอย่างที่โดนกล่าวหาเลยแม้แต่น้อย

 

“ที่คุณภพพูดแบบนี้ต้องการจะสื่อถึงอะไรครับ”

 

นทีรินเอ่ยถามเสียงราบเรียบทว่าเย็นเยียบเพื่อแสดงให้อีกฝ่ายรับรู้ถึงความไม่พอใจ ซึ่งดูจากคำต่อว่าของอีกฝ่ายที่จงใจกระแนะกระแหนมาที่เขาแล้ว นทีรินก็รู้ได้เลยว่าภวินท์จงใจจะหาเรื่องเขาทั้งๆที่อีกฝ่ายไม่ได้รู้เรื่องใดๆที่เกี่ยวกับเขาเลยแม้แต่น้อย

 

“ผมว่าคุณคงฉลาดพอที่จะเข้าใจนะว่าผมสื่อถึงอะไร”

 

ใบหน้าหล่อคมแต่แฝงไปด้วยความร้ายกาจเช่นนั้นไม่ได้ทำให้นทีรินรู้สึกโมโหไปมากกว่าคำพูดของอีกฝ่ายที่จงใจด่าทอต่อว่าเขา แต่เขาก็พยายามเก็บความรู้สึกโมโหนั้นไว้เพราะเขารู้ดีว่าคนแบบภวินท์ก็ดีแต่ยั่วโมโหเขาเพื่อเอาชนะเท่านั้น

 

“ผมไม่เข้าใจหรอกครับ เพราะผมไม่ได้มีความคิดที่ลงสู่ที่ต่ำแบบใครบางคน” นทีรินตอกกลับนิ่งๆอย่างไม่ยอมแพ้เพราะเขาจะไม่ยอมให้ภวินท์มาว่าเขาฝ่ายเดียวอีกต่อไปแล้ว

 

สิ้นคำต่อว่าของภรรยานั้นทำเอาภวินท์หัวเราะในลำคออย่างพึงใจที่อย่างน้อยครั้งนี้นทีรินก็กล้าที่จะต่อปากต่อคำกับเขา ใบหน้าหวานที่เรียบนิ่งแต่ทว่าแววตานั้นมีแต่ความกรุ่นโกรธมันยิ่งทำให้ภวินท์รู้ว่าอย่างน้อยภรรยาของเขาไม่ได้มีท่าทีเมินเฉยหรือเฉยชาใส่เขาได้อีกต่อไป

 

“อย่างนั้นเหรอ… ไม่ยักรู้ว่าภรรยาของผมรวยขนาดที่สามารถซื้อสร้อยข้อมือราคาหลายแสนให้คนอื่นได้ง่ายๆ” ภวินท์จึงไม่หยุดที่จะยั่วโมโหอีกฝ่ายต่อ

 

ที่ผ่านมาต่อให้เขาเมินเฉยใส่ภรรยาทางนิตินัยของตัวเองมากแค่ไหนแต่ภวินท์ก็ไม่เคยหยุดตามข่าวและความเป็นไปของภรรยาเลยสักครั้ง ครั้งนี้ก็เหมือนกันเพียงแต่ครั้งนี้ต่างกันเพียงเขารับรู้และเห็นด้วยตาของตัวเองว่านทีรินตั้งใจซื้อของขวัญให้กับผู้ชายคนอื่นซึ่งการกระทำของภรรยาแบบนั้นมันทำให้เขารู้สึกโมโหอย่างห้ามไม่ได้ เพราะมันเหมือนกับว่านทีรินหยามบทบาทการเป็นสามีของเขาเกินไป

 

“คนที่มีความคิดต่ำๆก็มักจะคิดอะไรได้ต่ำๆเสมอนั่นแหละครับ… ผมเข้าใจดี” นทีรินเอ่ยพร้อมยิ้มมุมปากไม่หวั่นเกรงซึ่งมันยั่วอารมณ์ที่เริ่มจะคุกรุ่นของภวินท์ได้เป็นอย่างดี

 

“หึ! ทำอะไรก็อย่าให้รีบร้อนเกินไปเลย ในเมื่อเรายังไม่ได้หย่าขาดกันผมก็ยังไม่อยากถูกใครๆตราหน้าว่าโดนเมียสวมเขา”

 

สิ้นคำพูดที่แสนร้ายกาจนั้นนทีรินก็สวนขึ้นมาทันทีอย่างไม่เกรงกลัว

 

“งั้นคุณก็ลองโดนซะบ้างสิครับ คุณคงไม่เคยโดนสังคมติฉินนินทาซึ่งต่างจากผมที่โดนตราหน้ามาตลอดว่าถูกสามีสวมเขา ผมต้องอดทนกับคำติฉินนินทาจากคนภายนอกขนาดไหนคุณไม่มีทางรู้หรอกครับเพราะคนอย่างคุณมันเห็นแก่ตัว”

 

คำว่าโดนสวมเขาเปรียบเสมือนหนามยอกอกของนทีรินที่เขาไม่มีวันที่จะหายเจ็บจากมันได้ ภวินท์จะรับรู้บ้างไหมว่าสิ่งที่อีกฝ่ายเอื้อนเอ่ยออกมานั้นมันคือสิ่งที่อีกฝ่ายทำกับเขามาตลอด คำนินทาจากบุคคลภายนอกที่เขาได้ยินมาตลอดระยะเวลาแปดปีว่าถูกสามีสวมเขามันทำให้เขาเจ็บช้ำมาเพียงไหนไม่มีใครรับรู้ได้ ภายใต้ใบหน้านิ่งเฉยของเขาจะมีใครรู้บ้างไหมว่าในใจของเขามันเจ็บช้ำเพียงใด

 

“คนแบบผมนี่แหละที่เป็นสามีที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณ เพราะฉะนั้นคุณคงรู้นะว่าสิ่งที่ภรรยาอย่างคุณต้องทำก็คือ… หยุดความสัมพันธ์กับชายอื่น

 

เสียงทุ้มเอ่ยหนักแน่นเน้นคำพูดสุดท้ายไว้ราวกับนี่คือประกาศิตจากเขาที่นทีรินต้องทำตามอย่างไม่มีข้อแม้ ต่อให้เขาและนทีรินกำลังจะหย่าขาดจากกันแต่ถ้าทุกอย่างยังไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมทั้งเขาและนทีรินยังคงบทบาทเป็นสามีภรรยากันนั้น ไม่ว่าอย่างไรภวินท์จะไม่ยอมโดนหยามเกียรติการเป็นสามีจากอีกฝ่ายเด็ดขาด

 

คำพูดของภวินท์ทำให้นทีรินรู้สึกโมโหจนอยากจะระเบิดให้ได้ ทำไมอีกฝ่ายถึงกล้าที่จะออกคำสั่งให้เขาหยุดคบหาคนนั้นคนนี้ทั้งๆที่สิ่งที่ภวินท์กำลังต่อว่าเขานั้นมันไม่ใช่อย่างที่อีกฝ่ายคิดแม้แต่นิดเดียว

 

“ถึงคุณจะเป็นสามีของผมตามกฎหมาย แต่ไม่ได้หมายความว่าคุณจะมาออกคำสั่งอะไรกับผมก็ได้ เพราะฉะนั้นผมไม่จำเป็นต้องทำตามคำสั่งของคุณ”

 

นทีรินเอ่ยบอกเสียงนิ่งทว่าหนักแน่นเช่นเดียวกัน ท่าทีเย่อหยิ่งและดื้อรั้นในคราวเดียวกันนั้นทำให้อารมณ์ที่กำลังคุกรุ่นของภวินท์ขาดสะบั้น

 

“อย่ามาอวดดีกับผม! ไม่อย่างนั้นคุณจะมาหาว่าผมใจร้ายไม่ได้นะ”

 

ดวงตาคมฉายความกรุ่นโกรธออกมาชัดเจนแต่นั่นไม่ได้ทำให้นทีรินรู้สึกเกรงกลัวเลยแม้แต่น้อยเพราะเขาคิดว่าเขาไม่เคยทำอะไรที่เสื่อมเสียเกียรติของการเป็นภรรยาของภวินท์เลยแม้แต่ครั้งเดียว นทีรินตระหนักในใจเสมอว่าตอนนี้ตัวเองอยู่ในบทบาทอะไรและเขาก็วางตัวดีมาตลอด เพราะฉะนั้นต่อให้ภวินท์จะออกคำสั่งห้ามให้เขาคบใครเขาก็ไม่จำเป็นต้องกระทำตาม

 

“ผมบริสุทธิ์ใจที่จะคบกับใครคุยกับใครก็ได้เพราะมันเป็นสิทธิ์ของผม ทำไมคุณต้องเข้ามาก้าวก่ายเรื่องของผมทั้งๆที่ผมไม่เคยไปยุ่งเรื่องอะไรของคุณด้วยซ้ำ คุณอยากจะคบใครอยากจะควงใครออกหน้าออกตาไม่แคร์สื่อฯมันก็เรื่องของคุณผมไม่สนใจ แล้วคุณเองก็ไม่ควรมาสนใจเรื่องของผมเหมือนกัน”

 

นทีรินกำลังเรียกร้องความเป็นธรรมแก่ตัวเองเพราะการที่เขาคบหากับนภทีป์นั้นเขารู้ตัวดีว่าเป็นความสัมพันธ์แบบไหนและที่สำคัญเขาไม่เคยคิดเกินเลยกับรุ่นพี่คนนี้เลยแม้แต่นิดเดียว ซึ่งการเขาถูกภวินท์ต่อว่าด่าทอมันจึงเป็นสิ่งที่นทีรินยอมไม่ได้

 

“อ๋อ ที่พูดแบบนี้หมายความว่าอยากจะควงกันไม่แคร์สื่อฯบ้างอย่างนั้นใช่ไหม! อย่ามายั่วให้ผมโมโหมากไปกว่านี้เลยจะดีกว่าเพราะถ้ามันเป็นแบบนั้นคุณกับชู้ของคุณจะแย่เอาได้”

 

เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าวใบหน้าหล่อคมที่บ่งบอกว่าสิ่งที่เอ่ยออกมาไม่ใช่เพียงคำขู่นั้นทำเอานทีรินแอบหวั่นเพราะกลัวว่านภทีป์จะโดนหางเลขจากอารมณ์โมโหของสามีทางนิตินัยของเขาได้

 

“คุณมันจิตใจสกปรกคิดแต่เรื่องต่ำทรามทั้งๆที่ตัวคุณเองนั่นแหละที่ทำแบบนั้นกับผมมาตลอด! คุณด่าทอต่อว่าผมแล้วตัวคุณเองนี่ดีมากสินะที่เที่ยวควงใครต่อใครเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาได้อย่างเปิดเผย ทีตัวเองยังทำได้แล้วพอคนอื่นทำบ้างคุณจะเดือดร้อนทำไมครับ”

 

“หึ! ยอมรับแล้วสินะว่ากำลังเล่นชู้”

 

เสียงหัวเราะในลำคอพร้อมคำพูดกระแทกกระทั้นนั้นทำเอานทีรินโมโหจนตัวสั่นพร้อมกัดฟันแน่นเป็นการกดกลั้นอารมณ์ มือบางกำแน่นจนเจ็บไปหมดแต่ก็ไม่เทียบไม่ได้กับภายในใจของเขาที่มันปวดร้าวไปทั้งใจเพียงเพราะคำพูดถากถางของอีกฝ่าย

 

“คุณจะคิดยังไงก็ช่างผมไม่แคร์เพราะผมรู้ตัวเองดีว่าผมกำลังทำอะไรและคนอย่างผมก็ไม่เคยทำให้ตัวเองเสื่อมเสียชื่อเสียงเหมือนที่คุณทำ”

 

นทีรินพยายามกลืนก้อนสะอื้นของตัวเองให้ลงคอไปเพราะเขาไม่อยากแสดงความอ่อนแอให้ภวินท์เห็นและให้อีกฝ่ายมาดูถูกสมเพชเขา เพราะต่อให้เขาจะอธิบายความจริงอะไรออกไปคนใจร้ายก็ไม่คิดจะฟังมันหรอก เพราะฉะนั้นจะไม่มีคำอธิบายใดๆหลุดจากปากของเขาสักคำเดียว

 

“เล่นชู้ถ้าไม่เรียกว่าเสื่อมเสียแล้วควรเรียกว่าอะไรเหรอ”

 

ภวินท์ย่างสามขุมเข้ามาประชิดตัวร่างบางทันทีพลางเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเย้ยหยันจนความอดทนของนทีรินขาดสะบั้น

 

“ผมไม่เข้าใจว่าทำไมเราถึงไม่ต่างคนต่างอยู่ ทำไมคุณถึงไม่ทำเมินใส่ผมอย่างที่ทำมาตลอด คุณไม่เคยเห็นผมเป็นภรรยาของคุณอยู่แล้วนี่! แล้วตอนนี้คุณมีสิทธิ์อะไรมากะเกณฑ์ชีวิตของผม!”

 

เสียงของนทีรินแผดดังออกมาเพราะเขาทนกับคำพูดที่แสนร้ายกาจของภวินท์ไม่ได้อีกแล้ว นทีรินไม่เคยเข้าไปยุ่มย่ามอะไรกับชีวิตของภวินท์เลยสักครั้งเดียวต่อให้อีกฝ่ายจะใจร้ายกับเขาขนาดไหนเขาก็ได้แต่เก็บกลั้นมันเอาไว้ภายในใจคนเดียว ที่ผ่านมาเขาอยู่ในที่ของเขามาตลอดและไม่เคยคิดจะไปยุ่งเรื่องของอีกฝ่ายแล้วทำไมวันนี้กลับกลายเป็นเขาที่ต้องโดนอีกฝ่ายด่าทอต่อว่าทั้งๆที่เขายังไม่ได้ทำอะไรผิด

 

“สิทธิ์ของการเป็นสามีคุณไง… ตราบใดที่คุณยังใช้นามสกุลกิจจานนท์ในฐานะภรรยาของผมอยู่ผมก็มีสิทธิ์ในตัวคุณ…”

มือหนาคว้าเอวบางของภรรยามาปะทะอกแกร่งพร้อมสายตาคมไล่กวาดเรือนร่างของนทีรินอย่างจาบจ้วงราวกับว่าทุกอย่างในตัวของนทีรินมันเป็นของเขาทั้งหมด

 

…ทุกอย่าง

 

นทีรินเกลียดสายตาของภวินท์ สายตาที่ดูหมิ่นเขา สายตาที่พร้อมจะเอาชนะเขา สายตาที่อีกฝ่ายมองเขาราวกับว่าเขาเป็นเพียงของเล่นให้อีกฝ่ายเล่นสนุกไปวันๆ

 

นทีรินเกลียดมันเหลือเกิน…

 

“คุณภพ! ปล่อยผมนะครับ”

 

มือบางพยายามผลักอกแกร่งด้วยแรงทั้งหมดที่มีทว่ามือหนากลับกอดรัดเขาแน่นกว่าเดิมจนนทีรินแทบจะขยับตัวไม่ได้ ท่าทีที่อีกฝ่ายแสดงออกว่ารังเกียจมันยิ่งทำให้ภวินท์รู้สึกคับแค้นในใจ

 

“หึ! ทีกับผัวนี่ทำหวงเนื้อหวงตัว… กับชู้คงจะปล่อยตัวให้กับมันเลยสิท่า!”

 

จบคำพูดแสนเหยียดหยามนั้นหัวใจของนทีรินก็เจ็บปวดราวกับใกล้แตกสลาย เขาไม่รู้ว่าทำไมตัวเองต้องมารู้สึกเจ็บปวดกับคำพูดแสนร้ายกาจของภวินท์แบบนี้ด้วย ความรู้สึกที่ปวดร้าวตีขึ้นอกจนน้ำใสๆคลอหน่วยตา ดวงตาหวานจับจ้องไปที่ดวงตาคมอย่างตัดพ้อเพราะเขาไม่คิดว่าภวินท์จะพูดจาหยาบคายและสกปรกใส่เขาได้ขนาดนี้

 

“กรุณาหยุดการกระทำและคำพูดที่มันสกปรกๆของคุณด้วยนะครับ เพราะผมไม่ใช่คุณที่คิดแต่เรื่องต่ำทรามและผมก็ไม่อยากได้ยินอะไรที่มันออกมาจากปากสกปรกๆของคุณอีก!”

 

นทีรินอ่ยออกไปด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าวก่อนที่มือบางจะผลักร่างหนาของภวินท์ออกจากตัวและพร้อมจะพาร่างของตัวเองไปให้ไกลจากตรงนี้เสียทีเพราะเขาทนฟังคำพูดแย่ๆของอีกฝ่ายต่อไป แต่มือหนาของภวินท์กลับคว้าตัวเขาเข้ามาประชิดตัวอีกครา

 

“ปากสกปรกงั้นเหรอ! งั้นคุณก็ลิ้มลองความสกปรกนี้หน่อยเป็นไง!”

 

เอ่ยจบปากหนาก็ประกบเข้าที่ปากบางของภรรยาทันทีด้วยความโมโห สัมผัสของภวินท์มันทั้งรุนแรงและหยาบโลนจนนทีรินรู้สึกเจ็บไปทั้งกายและใจ ปากหนาตะโบมจูบจนปากบางบวมเจ่อลิ้นร้อนไล่เล็มไปทั่วริมฝีปากบางและพยายามรุกล้ำเข้าไปภายในโพรงปากนุ่มจนสำเร็จ ลิ้นร้อนเกี่ยวกระหวัดกับลิ้นเล็กที่พยายามต่อต้านเขาอย่างไม่ประสาแต่มือหนายึดคางมนไว้แน่นเพื่อไม่ให้ต่อต้านริมฝีปากเขาได้ มือบางทุบที่อกแกร่งด้วยแรงทั้งหมดที่มีแต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกใดๆ

 

“อื้อ… อึก…”

 

นทีรินหลุดเสียงครางอื้ออึงออกมาเมื่อเริ่มหายใจไม่ทันและภวินท์ก็ไม่ยอมถอดถอนริมฝีปากออกเสียทีแต่กลับจู่โจมรุกล้ำแนบแน่นกว่าเดิมราวกับต้องการสั่งสอนความอวดดีที่นทีรินแสดงออกต่อเขา เมื่อต่อต้านจนเหนื่อยและจนใจจะผลักไสร่างบางจึงปล่อยให้อีกฝ่ายกระทำเขาจนพอใจ น้ำใสๆไหลออกมาจากดวงตาคู่หวานราวปลดปล่อย เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายหมดแรงต่อต้านแล้วริมฝีปากหนาจึงจูบซับน้ำตาจากดวงตาหวานก่อนจะเลื่อนมาประกบปากบางอีกคราแล้ววาดจูบที่นุ่มนวลและอ่อนโยนขึ้นจนทั้งคู่ใจเต้นแรงขึ้นอย่างต้านทานไม่ได้ราวกับทั้งคู่ต่างโหยหาซึ่งกันและกัน

 

นทีรินหลับตารับสัมผัสอันอ่อนไหวอย่างห้ามไม่ได้ เขาโกรธตัวเองอีกแล้วที่ต้องรู้สึกแบบนี้กับภวินท์อย่างไม่รู้จบ จนเมื่ออีกฝ่ายถอนริมฝีปากออกไปเขาจึงค่อยๆลืมตาขึ้นพร้อมคราบน้ำตาที่เอ่อล้นออกมาจากดวงตาคู่หวาน

 

“ผมเกลียดคุณ…”

 

นทีรินเอ่ยเสียงหนักแน่นดวงตาหวานฉายความกรุ่นโกรธออกมาพร้อมมีน้ำใสคลอหน่วยอย่างกลัดกลั้นไม่ได้ เขารู้สึกโกรธภวินท์ที่ทำแบบนี้และเขาก็โกรธตัวเองที่เผลอไผลไปกับสัมผัสของอีกฝ่ายโดยที่ปฏิเสธไม่ได้เลย

 

คำว่าเกลียดของภรรยาทำเอาอารมณ์ของภวินท์คุกรุ่นขึ้นมาอีกครา เขาไม่รู้ว่าเขาเป็นอะไรแต่เขาเกลียดคำว่าเกลียดของอีกฝ่ายที่เอ่ยใส่เขา ดวงตาหวานแข็งกร้าวและเย็นชาเช่นนั้นมันแสดงให้เห็นได้ชัดเลยว่าสิ่งที่อีกฝ่ายเอ่ยออกมานั้นมันเป็นเช่นนั้นจริงๆ

 

“เกลียดก็ดีแล้ว… แต่ผมจะบอกคุณเอาไว้ว่าต่อให้คุณเกลียดผมแค่ไหน…” ดวงตาคมจ้องลึกเข้าไปในดวงตาหวานก่อนจะเอ่ยประโยคแสดงความเป็นเจ้าของขึ้นมา

 

“คุณก็เป็นเมียผมอยู่ดี… จำเอาไว้นทีริน” เมื่อเอ่ยจบมือหนาก็ปล่อยจากร่างบางก่อนจะสาวเท้าออกไปจากห้องทันที

 

เมื่อพ้นร่างของสามีแล้วนทีรินก็ทรุดนั่งลงที่โซฟาหลังใหญ่อย่างหมดแรง น้ำใสๆไหลออกจากดวงตาหวานอีกครา มือบางปัดมันออกจากตาลวกๆเพราะไม่อยากให้ใครมาเจอว่าตอนนี้เขาอ่อนแอเพียงใด อ่อนแอเพียงเพราะคำพูดและการกระทำที่มาจากสามีที่ไม่เคยยอมรับเขาเลย ถ้าไม่ใช่เพราะคำขอของเจ้าสัวพีระนั้นเขาอยากจะรีบหย่าขาดจากคนใจร้ายแบบภวินท์ให้เร็วที่สุดเพราะเขาไม่รู้ว่าเขาจะอดทนกับความเจ็บปวดที่อีกฝ่ายกระทำต่อเขาไปได้อีกนานเพียงใด

 
 

***

ต่อข้างล่างค่ะ
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๘ (8-4-62) [ต่อ]
เริ่มหัวข้อโดย: yokindy ที่ 08-04-2019 00:15:52
หลังจากทะเลาะกับภรรยามาอย่างหนักหน่วง ภวินท์ก็รู้สึกว่าเขาทำงานไม่รู้เรื่องเลยทั้งวันมันทั้งหงุดหงิดงุ่นง่านไปหมดยิ่งเมื่อนึกไปถึงคำว่าเกลียดที่อีกฝ่ายเอื้อนเอ่ยออกมานั้นยิ่งทำให้เขาหงุดหงิดจนไม่ว่าใครก็เข้าหน้าไม่ติดทั้งนั้น เขาพยายามจัดการอารมณ์ของตัวเองให้เย็นขึ้นแล้วด้วยการสูบบุหรี่อย่างที่เคยทำแต่มันก็ช่วยเขาไม่ได้เหมือนเดิม เมื่อไม่เป็นอันทำงานแล้วภวินท์จึงเลือกที่มาปลดปล่อยอารมณ์ที่ไนท์คลับที่เขามีหุ้นส่วนอยู่เกินครึ่ง มือหนายกแก้วที่บรรจุแอลกอฮอลล์สีเหลืองอำพันเพียวๆขึ้นดื่มถี่ๆจนจวนจะหมดขวด

 

“โอ้โหเฮีย จัดหนักแต่หัววันเลยนะครับ” ตรีทศเอ่ยแซ็วญาติผู้พี่ทันทีที่เขาและคนอื่นๆมาถึง

 

“นั่นสิครับ เครียดอะไรหรือเปล่าเฮีย”

ปริญญ์เอ่ยเสริมขึ้นอย่างแปลกใจเมื่อเห็นญาติผู้พี่ของตัวเองกระดกแก้วเหล้าเพียวๆขึ้นดื่มอักๆอย่างกับไปเครียดอะไรมาทั้งๆที่ปกติแล้วภวินท์ไม่ค่อยดื่มเหล้าเพียวสักเท่าไร

 

“อืม มีเรื่องให้คิดนิดหน่อย” ภวินท์เอ่ยตอบนิ่งๆพลางเทเหล้าใส่แก้วจนหมดขวด

 

“เรื่องงานก็ไม่น่ามีอะไรเครียดนี่ครับเพราะตั้งแต่เฮียเข้ามาบริหารที่เดอะแกรนด์ฯทุกอย่างก็เรียบร้อยราบรื่นดีไปหมดจนพวกผมแทบไม่ต้องจัดการอะไรเลย”

 

ศดิศเอ่ยขึ้นอย่างแปลกใจเช่นกันเพราะเขารู้ดีว่าเรื่องงานไม่มีทางทำให้ภวินท์เครียดได้ขนาดนี้แน่นอนเพราะภวินท์เป็นคนเก่งและมีระบบการจัดการที่ดีทำให้การทำงานของญาติผู้พี่ไม่ค่อยมีความบกพร่อง

 

“หรือว่าเฮียทะเลาะกับน้องนทมาครับ” ศดิศเอ่ยถามอย่างที่ใจคิดและเขาก็เชื่อว่ายังไงก็ต้องเป็นเรื่องนี้แน่นอน

 

“เงียบ? แสดงว่าใช่เลย เฮียทะเลาะอะไรกับน้องครับ”

 

ตรีทศเอ่ยถามขึ้นด้วยความอยากรู้เพราะการที่นทีรินและภวินท์ทะเลาะกันจนภวินท์เครียดถึงขั้นมาดื่มนี่มันต้องรุนแรงและหนักหน่วงพอสมควรแน่ๆ

 

“เฮียซาน อย่าเพิ่งไปซักไซ้เฮียภพสิ” ปริญญ์ปรามตรีทศเพราะไม่อยากให้ภวินท์รู้สึกอึดอัดไปมากกว่าเดิม

 

“ก็กูเป็นห่วงเฮียนี่หว่า เผื่อเฮียอยากระบายอะไร”

 

ตรีทศเอ่ยบอกพลางหันไปจ้องที่ภวินท์อย่างไม่วางตาราวกับรอให้ภวินท์เล่าหรือระบายอะไรออกมาบ้างแต่เขาก็ต้องรู้สึกเซ็งเป็นอย่างมากเพราะญาติผู้พี่ไม่เปิดเผยคำพูดใดๆออกมาแม้แต่คำเดียว

 

“สั่งเหล้ามาให้กูอีกขวดสิ” ภวินท์เอ่ยบอกตรีทศเสียงเรียบนิ่งเมื่อวิสกี้หมดไปแล้วขวดนึงโดยที่มีเขาดื่มอยู่เพียงคนเดียว

 

“โหเฮีย เบาๆก่อนก็ได้ครับ นี่เฮียกินคนเดียวไปขวดนึงแล้วนะ” ตรีทศเอ่ยปรามญาติผู้พี่ด้วยความเป็นห่วง

 

“สั่งมาเถอะ มึงจะเรียกเด็กของมึงมานั่งด้วยก็ได้นะ วันนี้กูเลี้ยงเอง”

 

“ถ้าเฮียพูดขนาดนี้แล้ว ตรีทศจัดให้ครับผม ฮ่ะๆ” สิ้นเสียงของญาติผู้พี่นั้นตรีทศก็ยิ้มร่าก่อนจะหันไปเรียกบริกรให้เดินมารับออเดอร์อย่างอารมณ์ดี

 

“เปลี่ยนสีไวโคตรเลยเฮียซาน ฮ่ะๆ” ปริญญ์เอ่ยแซ็วตรีทศก่อนจะหัวเราะผสมโรงกันสองคนด้วยความขบขันโดยลืมที่จะซักไซ้ภวินท์อีกต่อไป

 

“เฮียครับ… ไม่ว่าเฮียจะทะเลาะกับน้องเรื่องอะไรมา ผมอยากให้เฮียใจเย็นๆไว้ก่อนนะครับ ค่อยๆคุยกันดีกว่าถ้าเกิดทะเลาะกันจนอากงรู้เรื่องท่านจะเครียดแล้วอาการจะแย่ลงนะครับ”

 

ศดิศเอ่ยเตือนญาติผู้พี่อีกคราด้วยความห่วงใยเพราะเขารู้ว่าตอนนี้เจ้าสัวพีระยังอยู่ในอาการที่ต้องไม่มีอะไรมากระทบกระเทือนจิตใจได้มิฉะนั้นอาการอาจจะทรุดลงได้

 

“อืม กูรู้แล้ว” ภวินท์พยักหน้าแกนๆให้ก่อนจะยกแก้วขึ้นดื่ม

 

ศดิศได้แต่ถอนหายใจยาวออกมาอย่างปลงๆเพราะเขารู้ว่าต่อให้ภวินท์กับนทีรินจะมีเรื่องบาดหมางกันมากเพียงใดแต่ทั้งคู่ก็ไม่คิดที่จะทำให้เจ้าสัวพีระเป็นกังวลจนอาการทรุดลงแน่นอน

 

 “เครียดๆแบบนี้ เอาเด็กสักคนหน่อยไหมเฮียเดี๋ยวผมจัดการให้”

 

ตรีทศเอ่ยถามญาติผู้พี่พร้อมใบหน้ากรุ้มกริ่มตามประสาหนุ่มขี้เล่นและเขาก็ต้องรู้สึกแปลกใจเมื่อได้ยินคำตอบของญาติผู้พี่

 

“ไม่ต้อง… กูไม่มีอารมณ์” เอ่ยบอกก่อนจะยกแก้ววิสกี้ขึ้นดื่มรวดเดียว

 

ศดิศหันหน้าไปพยักหน้าให้กับปริญญ์และตรีทศอย่างรู้กันว่าไม่ควรจะซักไซ้ไล่เรียงอะไรภวินท์ไปมากกว่านี้เพราะนั่นอาจจะยิ่งทำให้ภวินท์อารมณ์เสียได้ง่าย พวกเขาจึงเลือกที่จะคุยเล่นเรื่องอื่นเพื่อให้ญาติผู้พี่ผ่อนคลายมากกว่าเดิม และเมื่อเวลาผ่านไปยิ่งแอลกอฮอลล์อยู่ในกายมากเพียงใดภวินท์ก็รู้สึกว่าเขาเริ่มผ่อนคลายได้บ้าง

 

 

 

ภวินท์และญาติๆดื่มและพูดคุยกันไปจนเวลาใกล้ตีสองเต็มที ทั้งหมดจึงทำการแยกย้ายกลับที่ของใครของมันทันทีอย่างรู้กัน ซึ่งภวินท์เองก็เลือกที่จะไม่ไปต่อที่ไหนทั้งนั้นนอกจากตรงกลับบ้านที่มีคนที่ทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดงุ่นง่านทั้งวันอยู่ที่นั่น เมื่อซูเปอร์คาร์ยี่ห้อดังคันหรูทะยานมาจอดที่คฤหาสน์ของกิจจานนท์แล้วร่างสูงก็พาตัวเองเดินมาทรุดนั่งอยู่ที่โซฟาหลังใหญ่ด้วยความเหนื่อยอ่อน เพราะฤทธิ์ของแอลกอฮอลล์ปนกับความเครียดที่มีทำให้ภวินท์ผล็อยหลับไปได้ง่ายๆ

 

โต๋เดินมาเจอเจ้านายที่นอนเมามายอยู่ที่โซฟาด้วยสภาพที่เละเทะอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนก็รู้สึกแปลกใจก่อนจะเดินออกไปเพื่อจะตามคนมาช่วยเขาแบกเจ้านายขึ้นไปด้านบน เมื่อเดินออกมาก็พบนทีรินเดินกำลังจะขึ้นด้านบนอยู่จึงเอ่ยทักทันที

 

“คุณนทยังไม่นอนเหรอครับ”

 

“นทลงมาดื่มนมน่ะครับพี่โต๋ กำลังจะขึ้นไปนอนแล้ว” นทีรินหันไปมองคนทักก่อนจะเอ่ยตอบ

 

“วันนี้คุณนทนอนดึกจังเลยครับ”

 

“นิดหน่อยครับ นทเพิ่งทำงานเสร็จ”

 

นทีรินเอ่ยตอบคนขับรถคนสนิทของสามีด้วยรอยยิ้มบางๆ วันนี้นทีรินทำรายงานค่าใช้จ่ายภายในบ้านจนดึกดื่นกว่าจะได้ทำธุระส่วนตัวของตัวเองก็ปาไปเกือบตีหนึ่งแล้ว

 

“อ่า… รบกวนคุณนทช่วยผมหน่อยได้ไหมครับ”

 

โต๋เอ่ยตะกุกตะกักเล็กน้อยเพราะเขารู้สึกเกรงใจภรรยาของเจ้านายเหลือเกินแต่หากจะไปตามคนอื่นมาช่วยก็คงจะนอนหลับกันไปหมดแล้ว

 

นทีรินเลิกคิ้วสงสัยเล็กน้อยเพราะยังไม่เข้าใจในสิ่งที่โต๋ต้องการให้ช่วย แต่เมื่อเดินมาที่ห้องรับแขกใหญ่ที่เขาและภวินท์เพิ่งจะทะเลาะกันไปนั้นก็พบร่างของสามีนอนเอกเขนกอยู่บนโซฟาหลังใหญ่ซึ่งดูจากท่าทางแล้วอีกฝ่ายน่าจะเมามาก

 

“คุณภพเมาเหรอครับพี่โต๋”

 

“ใช่ครับ แปลกมากเลยนะครับปกติคุณภพไม่เคยดื่มหนักจนเมาเลย สงสัยวันนี้งานคงเครียดมากแน่ๆเลยครับ”

 

โต๋เอ่ยบอกพร้อมสีหน้างุนงงเพราะตั้งแต่เขารับใช้ภวินท์มาตั้งแต่เด็กๆจนถึงตอนนี้เจ้านายของเขาไม่เคยดื่มหนักถึงขั้นเมามายหลับคอพับไม่รู้เรื่องแบบนี้เลยสักครั้ง

 

“อ่า… งั้นเหรอครับ”

 

นทีรินตอบรับเสียงเบาก่อนจะจับจ้องไปที่ใบหน้าคมของสามีที่นอนหลับไม่รู้เรื่อง นทีรินละสายตาออกจากอีกฝ่ายทันทีที่รู้ตัวว่าตัวเองยังคงโกรธภวินท์อยู่

 

“แล้วไปดื่มหนักขนาดนี้ขับรถกลับมาเองได้ยังไงก็ไม่รู้นะครับ ผมจะไปรับก็ไม่ยอม ผมนี่เป็นห่วงแทบตายเลยครับ”

 

โต๋เอ่ยบอกอีกคราก่อนจะยกมือไหว้ขึ้นท่วมหัวราวกับขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ช่วยคุ้มครองไม่ให้เจ้านายของเขาเป็นอะไรหลังจากที่ภวินท์เมาหนักขนาดนี้แต่กลับขับรถกลับมาบ้านอย่างปลอดภัยได้

 

นทีรินยิ้มขำเมื่อเห็นท่าทางของโต๋ก่อนจะหันไปจับจ้องคนเมาอีกคราก่อนจะค่อนขอดในใจ

 

คนแบบนี้ไม่ตายง่ายๆหรอก หึ!

 

“คุณนทช่วยผมพยุงคุณภพขึ้นไปด้านบนได้ไหมครับ”

 

คำขอร้องที่นทีรินไม่อยากได้ยินมากที่สุดในตอนนี้ แต่ด้วยใบหน้าซื่อๆของโต๋ที่เต็มไปด้วยความห่วงใยเจ้านายแล้วนั้นก็ทำให้นทีรินปฏิเสธที่จะช่วยเหลือไม่ได้

 

“อ่า… ได้ครับ”

 

นทีรินเข้าไปพยุงร่างหนาของสามีอีกฝั่งเมื่อโต๋พยุงขึ้นได้แล้ว ทั้งคู่พยายามพยุงคนเมาขึ้นบันไดอย่างทุลักทุเลเพราะตัวของภวินท์นั้นไม่ใช่เบาๆเลย ขนาดโต๋ที่ตัวสูงใหญ่พอสมควรนั้นเมื่อเทียบกับภวินท์ก็ยังเทียบไม่ติดเลยแล้วไม่ต้องพูดถึงตัวของนทีรินเลย ห่างกับภวินท์ไปหลายเบอร์เลยทีเดียว

 

“ขอบคุณคุณนทมากนะครับ ถ้าไม่ได้คุณนทผมแย่แน่ๆเลย” โต๋เอ่ยบอกเมื่อเขาและนทีรินแบกร่างของภวินท์ขึ้นมายังห้องนอนเรียบร้อยแล้ว

 

“ไม่เป็นไรครับพี่โต๋ งั้นนทขอตัว…” นทีรินกำลังจะขอตัวกลับห้องเพราะคิดว่าคงไม่ต้องช่วยอะไรไปมากกว่านี้แล้วแต่โต๋ก็ขัดขึ้นมาเสียก่อน

 

“เฮ้ย! ผมลืมเก็บรถ ถ้างั้นผมฝากคุณภพไว้กับคุณนทก่อนนะครับเดี๋ยวผมมา”

 

ว่าจบแล้วโต๋ก็รีบวิ่งปรู๊ดออกจากห้องของเจ้านายไปอย่างรวดเร็วปล่อยให้นทีรินยืนงงทำตัวไม่ถูกอยู่ตามลำพัง

 

“เดี๋ยวสิครับพี่โต๋! -- อ้าว… พี่โต๋นะพี่โต๋ทิ้งเราไว้แบบนี้เลยเหรอ”

 

นทีรินจิ๊ปากอย่างขัดใจพลางหันไปมองร่างหนาของสามีที่เมาหลับไม่รู้เรื่องด้วยสภาพที่ไม่น่าดูเท่าใดนัก นทีรินเดินเข้าไปใกล้ๆร่างหนาก่อนจะค่อยๆจัดร่างของสามีให้นอนตามความยาวของเตียงดีๆ ร่างบางเดินเข้าไปในห้องน้ำสุดหรูที่ตกแต่งด้วยกระเบื้องหินอ่อนและกระจกโมเสกสวยงาม มือบางหยิบกะละมังใส่น้ำอุ่นก่อนจะหยิบผ้าชุบน้ำบิดหมาดและเดินกลับมาหยุดอยู่ที่เตียงหลังใหญ่เช่นเดิม

 

“ก็ไม่ได้อยากทำให้นักหรอกนะแต่เห็นสภาพแล้วทนไม่ได้”

 

ว่าจบร่างบางก็นั่งลงที่เตียงใหญ่ก่อนจะนำผ้าชุบน้ำบิดหมาดซับไปตามใบหน้าหล่อคมและลำคอของสามีอย่างเบามือดวงตาหวานจับจ้องไปที่ใบหน้าหล่อคมก็อดที่จะอมยิ้มออกมาไม่ได้เพราะเวลาที่ภวินท์หลับนั้นดูไร้พิษสงไปทันที ยามที่เจ้าตัวไม่ได้พ่นคำพูดร้ายกาจออกมานั้นก็ทำให้นทีรินอดนึกไปถึงพี่ภพพี่ชายที่แสนดีของเขาไม่ได้ ใบหน้าหวานหม่นลงพร้อมรอยยิ้มที่จางหายไปเมื่อนึกไปถึงตอนที่เขาและภวินท์ทะเลาะกันอย่างรุนแรง นทีรินอดเอ็ดตัวเองไม่ได้ว่าให้เลิกคิดถึงพี่ภพพี่ชายที่แสนดีคนนั้นได้แล้ว

 

เพราะไม่มีพี่ภพคนนั้นของเขาอีกแล้ว

 

“อืม…” เสียงทุ้มครางลึกในลำคอพร้อมมือหนาที่จับมาที่มือของเขาทำให้นทีรินสะดุ้งเล็กน้อย

 

“คุณภพ อยู่นิ่งๆได้ไหมครับ ผมเช็ดไม่ถนัด…”

 

นทีรินพยายามบิดมือออกจากมือหนาที่จับเขาแน่นเพราะว่าเขาเช็ดตัวให้อีกฝ่ายไม่ได้แต่ก็ไม่เป็นผลเมื่อมือหนาไม่ยอมปล่อยมือของเขาแล้วจากนั้นคนเมาก็ลืมตาขึ้นมองเขาด้วยสายตานิ่งๆทว่าเยิ้มหวานซึ่งอาจจะเป็นเพราะฤทธิ์ของแอลกอฮออลล์

 

“ยังไม่นอนเหรอ” เสียงทุ้มเอ่ยถามในขณะที่มือก็ยังไม่ปล่อยจากมือบาง

 

“กำลังจะไปนอนแล้วครับ แต่ต้องมาดูแลคนเมาแทนพี่โต๋เสียก่อน” นทีรินเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งติดไปทางเมินเฉยด้วยซ้ำ

 

“แล้วโต๋ไปไหน” เสียงทุ้มถามขึ้นอีก

 

“เอารถไปเก็บครับ -- ถ้าคุณภพโอเคแล้วผมขอตัวก่อนนะครับ”

 

เอ่ยตอบคำถามก่อนจะบิดมือให้หลุดจากพันธนาการก่อนจะลุกเตรียมออกจากห้องนี้ไปแต่ก็ต้องชะงักไปเมื่อมือหนาคว้ามือเขาไว้แล้วจับแน่น

 

“ไหนๆก็เช็ดให้แล้วก็ทำให้มันเสร็จไปเลยสิ เป็นคนชอบทำอะไรครึ่งๆกลางๆตั้งแต่เมื่อไร”

 

สิ้นเสียงประชดประชันนั้นนทีรินก็กลอกตาไปมาอย่างเบื่อหน่ายและขัดใจแต่ก็ยอมมาเช็ดตัวให้อีกฝ่ายเพื่อให้เสร็จๆไปเขาจะได้กลับไปนอนเสียที

 

ภวินท์ยิ้มมุมปากพอใจเมื่อภรรยาเอาผ้าชุบน้ำเช็ดซับไปตามแขนของเขาโดยไม่สนใจและไม่มองหน้าเขาเลยสักนิดและนั่นก็ยิ่งทำให้เขาอยากแกล้งอีกฝ่ายขึ้นมา

 

“ถอดเสื้อแล้วเช็ดข้างในให้หน่อยสิ มันอึดอัด”

 

นทีรินเบิกตากว้างเมื่อได้ยินเช่นนั้นและเมื่อสบสายตาคมที่ฉายแววท้าทายมาแล้วเขาจึงต้องจำใจเอื้อมมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตสีขาวยี่ห้อดังของอีกฝ่ายอย่างห้ามไม่ได้ มือบางแหวกเสื้อเชิ้ตออกเผยให้เห็นกล้ามท้องเป็นลอนสวยของอีกฝ่ายนทีรินเอาผ้าซับๆไปมาโดยไม่มองร่างกายของอีกฝ่ายใบหน้าหวานขึ้นสีแดงจางๆซึ่งท่าทีเช่นนั้นทำเอาภวินท์ลอบยิ้มอย่างพึงใจ

 

“ถ้าจะดื่มจนเมาแล้วต้องลำบากคนอื่นแบบนี้วันหลังก็เพลาๆเสียบ้างนะครับ” เสียงหวานเอ่ยขึ้นนิ่งๆทว่าเหน็บแนมอยู่ภายในขณะที่นำผ้าเช็ดซับไปทั่วเรือนร่างของสามีทางนิตินัย

 

“เป็นห่วง?”

 

ร่างหนาลุกผึงขึ้นทันทีด้วยท่อนบนที่เปลือยเปล่า นทีรินขยับออกห่างเล็กน้อยเพราะใบหน้าคมขยับใกล้เขาเกินไปแล้ว

 

“เป็นห่วงคนอื่นที่จะต้องลำบากมาดูแลคุณต่างหากครับ” นทีรินเถียงขึ้นทันทีเพราะเขาไม่อยากให้คนหลงตัวเองได้ใจไปมากกว่านี้เพราะเขาไม่มีทางเป็นห่วงอีกฝ่ายเด็ดขาด

 

“ไม่ลำบากคนอื่นหรอกเพราะผมมีเมียดูแล” เสียงทุ้มเอ่ยบอกพร้อมดวงตาคมฉายแววกรุ้มกริ่มทีเล่นทีจริงอย่างคาดเดาไม่ได้

 

“งั้นเหรอ… แล้วเมียคนไหนล่ะครับ” เสียงหวานตอกกลับพลางแสยะยิ้มใส่

 

“ผมมีเมียคนเดียว” เสียงทุ้มเอ่ยบอกหนักแน่นก่อนจะคว้าเอวบางของภรรยามาแนบชิดจนแทบจะเกยบนตักแกร่ง

 

“อ๊ะ… ปล่อยนะครับ! -- ถ้าคุณเมามากก็นอนได้แล้วครับ”

 

นทีรินโวยวายออกมาทันทีก่อนจะนึกโกรธตัวเองในใจหากว่าเขาเลือกที่จะกลับห้องนอนและไม่มาเสียเวลาเช็ดตัวให้อีกฝ่ายเขาก็คงไม่โดนอีกฝ่ายรังแกอีกแบบนี้ นทีรินดิ้นพลางสะบัดตัวเพื่อให้หลุดจากอ้อมแขนแกร่งแต่ก็ไม่เป็นผล ดวงตาคู่หว่านตวัดมองอย่างไม่พอใจแต่คนขี้แกล้งก็ได้หาใส่ใจไม่


“นท”

 

เสียงทุ้มเอ่ยเรียกชื่อเล่นของร่างบางในอ้อมแขนเบาๆทว่าก็ดังจนนทีรินใจกระตุกวูบ ดวงตาคมจับจ้องลึกเข้าไปในดวงตาหวานเนิ่นนานซึ่งนั่นทำให้หัวใจดวงน้อยของนทีรินเต้นรัวราวกับโดนมนตร์สะกด

 

“ป… ปล่อยผมนะครับ ผมจะเอาผ้าไปเก็บ” เมื่อรู้สึกตัวนทีรินก็เอ่ยบอกอีกฝ่ายด้วยเสียงกระเง้ากระงอด

 

“อยากจูบ”

 

เสียงทุ้มเอ่ยเจ้าเล่ห์ก่อนที่ดวงตาคมจะจับจ้องไปที่ริมฝีปากแดงอิ่มนั้นอย่างจาบจ้วงซึ่งนั่นทำให้นทีรินหลุดแหวออกมาด้วยความกรุ่นโกรธปนขัดเขินเพราะจะมีใครบ้างที่หน้าด้านหน้าทนเอ่ยคำพูดแบบนี้ออกมาอย่างไม่อายปากเลยสักนิด แต่เมื่อคิดไปอีกทีก็นึกได้ว่านี่คงจะเป็นเพราะฤทธิ์แอลกอฮออลล์แน่นอนเพราะไม่เช่นนั้นภวินท์คงไม่กล้าพูดจาแบบนี้กับเขาแน่

 

“คุณภพ! ถ้าเมาก็นอนไปเลยครับจะได้เลิกพูดจาเพ้อเจ้อสักที”

 

นทีรินพยายามดิ้นเพื่อให้หลุดจากแขนแกร่งอีกคราแต่ก็ต้องตกใจสะดุ้งขึ้นมาเมื่อปากหนาประทับจูบมาที่ปลายจมูกรั้นของเขาเบาๆ

 

“อ๊ะ… นี่คุณ!”

 

เสียงหวานเตรียมจะแหวใส่คนเมาที่ชอบฉวยโอกาสใส่เขาอย่างเต็มที่แต่มือหนาปล่อยให้เขาหลุดจากพันธนาการเสียก่อน นทีรินรีบลุกออกจากเตียงหลังใหญ่ทันทีพลางถอยห่างจากอีกฝ่ายให้มากที่สุด ใบหน้าหวานขมวดคิ้วมุ่นเมื่ออีกฝ่ายหัวเราะพลางล้มตัวลงนอนอย่างสบายใจที่แกล้งเขาได้

 

“หึหึ… ปิดไฟให้ด้วยนะ”

 

ท่าทางอารมณ์ดีของภวินท์ทำให้นทีรินรู้สึกเจ็บใจและเข่นเขี้ยวอยู่ในใจเป็นอย่างมาก เพราะท่าทีของอีกฝ่ายนั้นไม่เหมือนคนเมาเลยสักนิดเพราะมันดูปกติเกินเสียจนเขาคิดว่าภวินท์แกล้งเมาเพื่อที่จะแกล้งเขาหรือเปล่า

 

“อ้าวไม่ไปเหรอ หรือว่าจะนอนที่นี่?” คนขี้แกล้งหันหน้ามาถามเขาพลางยักคิ้วใส่เขาอย่างกวนๆจนนทีรินโมโหยิ่งกว่าเดิม

 

“ฮึ่ย!”

 

เมื่อทำอะไรไม่ได้ต่อกรก็ไม่ได้นทีรินเลยได้แต่เดินปึงปังเตรียมออกจากห้องนอนของสามีไปด้วยความเดือดดาลแต่ก่อนจะออกไปกลับได้ยินเสียงกวนประสาทตามมาอีกครา

 

“ฝันดีนะคุณภรรยา”

 

 



ฝันดีอย่างนั้นเหรอ… น่ากลัวจะฝันร้ายสิไม่ว่า!

 

To be continue

 
_____________________________________________________________________________________________

TALK WITH WRITER :: ทำใจหน่อยนะคะพระเอกเรื่องนี้เป็นไบโพลาร์ค่ะ555555555555 นอกจากปากไม่ดีแล้วนิสัยก็ไม่ดีด้วยค่ะ น่าหมั่นไส้เนอะ >< แต่ยังไงก็ฝากติดตามความร้ายกาจของพี่เค้าไปเรื่อยๆเลยนะคะ เจอกันตอนหน้าค่ะ :)
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๘ (8-4-62)
เริ่มหัวข้อโดย: sailom_orn ที่ 08-04-2019 01:51:38
 :3125:  :3125: :3125: โมโหแทนนท
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๘ (8-4-62)
เริ่มหัวข้อโดย: TheDoungJan ที่ 08-04-2019 02:06:23
เป็นบุคคลที่น่าด่าทุกตอน  :mew5:
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๘ (8-4-62)
เริ่มหัวข้อโดย: Funnycoco ที่ 08-04-2019 03:08:27
ว่านทแต่ละอย่างเข้าตัวเองทั้งนั้น :katai1:
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๘ (8-4-62)
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 08-04-2019 08:35:31
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๘ (8-4-62)
เริ่มหัวข้อโดย: HISY ที่ 08-04-2019 11:31:21
หมั่นไส้จริงๆรักน้องแต่ก็หาเรื่องว่าน้องตลอด
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๘ (8-4-62)
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 08-04-2019 11:34:35
5555 จ้าพ่อคนปากแข็ง
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๘ (8-4-62)
เริ่มหัวข้อโดย: Peung002 ที่ 08-04-2019 16:40:44
โอ๊ย!!!! ขอน้องนทมาไว้บ้านเราได้มั๊ย ไม่ให้อีตาไบโพล่านี่แล้ว ชอบว่าน้อง  :mew2:
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๘ (8-4-62)
เริ่มหัวข้อโดย: muiko ที่ 08-04-2019 17:41:59
แปดปีเลยนะ ที่ไม่มาสนใจเลย มาเจอกันอีกทีก็ปากหมา
ที่ผ่านมา ควงคนอื่นออกหน้าออกตา ยังมีหน้ามาด่านทอีกหรอ
แล้วที่เฮียซานจะเสนอเด็กมานั่งด้วยให้คืออะไร ก็รุ้จักนทหนิ ทำแบบนี้ได้หรอ สงสารนท อยากให้หย่า นทไม่ควรรักคนแบบนี้เลย  :z3:
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๘ (8-4-62)
เริ่มหัวข้อโดย: wanida023 ที่ 08-04-2019 23:51:41
นทสู้ๆน้าาา
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๘ (8-4-62)
เริ่มหัวข้อโดย: naruxiah ที่ 09-04-2019 01:44:49
คุณ​พระเอก​ รักเมียออกขนาดนี้นะหึงใหญ่​เลย
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๘ (8-4-62)
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 09-04-2019 02:00:09
 :z1: :z1: :z1: :z1:
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๘ (8-4-62)
เริ่มหัวข้อโดย: nikpook ที่ 09-04-2019 17:47:27
หึงก็บอกหึงสิคะคุณภพ เครียดเรื่องของน้องขนาดนี้ต้องรู้แล้วป้ะว่ารักน้องมากๆ :-[ ระวังโดนแย่งนะคะ :hao7:
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๘ (8-4-62)
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 12-04-2019 02:55:33
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๘ (8-4-62)
เริ่มหัวข้อโดย: EoBen ที่ 12-04-2019 16:12:06
คนนึงปากร้าย คนนึงปากหนัก

หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๘ (8-4-62)
เริ่มหัวข้อโดย: net. net_n2537 ที่ 13-04-2019 01:19:43
ว่าแต่เขา​ อิเหนา​เป็น​เอง​ เกลียด​คนประเภท​นี้​ที่​สุด​ 8ปีที่ไม่เคยสนใจใยดี 8ปีที่ควงคนอื่นไม่ซ้ำหน้า​ หลับนอนกับใครมาบ้างก็ไม่รู้​ ยังจะมีหน้ามาว่าเมียตัวเองอีก​ ทั้งที่​ทุก​เรื่อง​ที่​พูด​มา​คือ​ตัวเอง​ทำมาหมดแล้ว
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๘ (8-4-62)
เริ่มหัวข้อโดย: Quatree ที่ 13-04-2019 15:43:11
 :pig4:s
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๘ (8-4-62)
เริ่มหัวข้อโดย: BABYBB ที่ 14-04-2019 01:05:10
ทำร้ายจิตใจน้องเก่งจริงๆเล้ยยยยย  :ruready
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๘ (8-4-62)
เริ่มหัวข้อโดย: บูมเบส ที่ 14-04-2019 08:30:57
แนะนำให้หย่าครับ ดูแลอากงในฐานะอื่นได้ไม่จำเป็นต้องเป็นเป็นหลานสะใภ้ก็ได้มั้ง
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๘ (8-4-62)
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 14-04-2019 08:51:08
 :3123:
เพราะรักเลยหึงชิมิล่ะ
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๘ (8-4-62)
เริ่มหัวข้อโดย: GAZESL ที่ 14-04-2019 19:37:48
บางทีพี่ภพอาจกำลังพยายามอยู่ พี่ภพสู้ๆ ฮึบๆ  :m1:
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๙ (17-4-62)
เริ่มหัวข้อโดย: yokindy ที่ 17-04-2019 00:34:28
บทที่ ๙

 

หลายวันต่อมาเมื่อถึงกำหนดที่ทุกคนนัดกันไปเที่ยวทะเลด้วยกันโดยมีปริญญ์และภาณินเป็นเจ้าคนจัดการทุกอย่างให้รวมไปถึงตั๋วเครื่องบิน รถรับ-ส่งสนามบินรวมไปถึงบัตเลอร์*เพื่อคอยดูแลและอำนวยความสะดวกให้แก่ทุกคนด้วย จุดหมายปลายทางของทุกคนคือเกาะหลีเป๊ะ จังหวัดสตูล ซึ่งในช่วงฤดูร้อนของประเทศไทยเป็นช่วงที่ผู้คนต้องการหนีจากอากาศร้อนๆไปเที่ยวทะเลกันเป็นส่วนใหญ่จึงทำให้มีนักท่องเที่ยวต่างไปเที่ยวกันล้นหลาม ที่พักและสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆจึงคราคร่ำไปด้วยนักท่องเที่ยวมากมายส่วนใหญ่จะเป็นชาวต่างชาติ และเนื่องจากค่าครองชีพของเกาะหลีเป๊ะนั้นสูงอยู่พอตัวแต่เมื่อคิดไปถึงความสวยงามของเกาะแล้วนั้นก็ถือเป็นความคุ้มค่าที่ควรค่าแก่การไปท่องเที่ยว

 

โรงแรมพลูวิลล่าระดับห้าดาวตั้งอยู่ใจกลางเกาะซึ่งบ้านพักแต่ละหลังจะเป็นแบบซีวิวที่สามารถมองเห็นชายทะเลได้สุดหูสุดตา และที่พักที่ภาณินได้สิทธิพิเศษมานั้นเป็นบ้านพักในรูปแบบของไพรเวทพลูเรซิเดนส์ขนาดใหญ่ที่สามารถรองรับแขกได้ 8-10 คน สิ่งอำนวยความสะดวกจะมีสระว่ายน้ำอยู่ในตัวและมีสถานที่สำหรับใช้จัดงานเลี้ยงสังสรรค์ได้อย่างสบายโดยไม่ต้องออกไปทานอาหารข้างนอก และภายในพลูเรซิเดนส์หลังนี้จะประกอบไปด้วยห้องนอนทั้งหมด 4 ห้องโดยทุกห้องมีห้องน้ำส่วนตัวและอ่างจากุซซี่ทุกห้องโดยวิวในห้องน้ำจะเป็นกระจกใสโปร่งสามารถมองเห็นวิวทะเลและภูเขาได้อย่างชัดเจน

 

และเมื่อทุกคนมามาถึงที่พักและจัดของกันเข้าที่กันเรียบร้อยแล้วก็มารวมตัวกันบริเวณระเบียงหน้าบ้านพักที่ข้างๆกันมีสระว่ายน้ำขนาดใหญ่อยู่ด้วย ทุกคนจึงใช้สถานที่ตรงนี้เป็นที่สำหรับจัดสังสรรค์กันโดยมีบัตเลอร์คอยอำนวยความสะดวกเรื่องอาหารและเครื่องดื่มให้

 

นทีรินแยกตัวออกมาจากคนอื่นๆที่กำลังพูดคุยกันสนุกสนานด้วยจิตใจที่ร้อนรนและเป็นกังวลอย่างห้ามไม่ได้ มือบางหยิบสมาร์ทโฟนเครื่องหรูของตัวเองออกมากดต่อสายทันที

 

“พี่นวล อากงเป็นยังไงบ้างครับ”

 

นทีรินเอ่ยถามปลายสายด้วยเสียงเป็นกังวล เพราะตั้งแต่ที่เจ้าสัวพีระป่วยนั้นนทีรินไม่เคยห่างท่านไปไหนเลยแม้กระทั่งต่างจังหวัดก็ตามถึงแม้จะรู้ว่ามีพยาบาลพิเศษและพี่นวลช่วยดูแลอยู่แต่นทีรินก็ไม่อาจวางใจได้สนิท

 

“(เจ้าสัวนอนหลับไปแล้วค่ะ พี่ป้อนข้าวและให้ทานยาเรียบร้อยแล้วค่ะ)”

 

สิ่งที่ปลายสายเอ่ยบอกทำให้นทีรินรู้สึกโล่งใจไปได้บ้าง และเขาก็รู้ดีว่าพี่นวลเป็นคนเดียวที่จะดูแลเจ้าสัวพีระแทนเขาได้ดีกว่าคนอื่นๆ

 

“ขอบคุณที่ดูแลอากงเป็นอย่างดีนะครับพี่นวล ไว้นทจะซื้อของฝากไปฝากนะครับ” นทีรินเอ่ยบอกพี่เลี้ยงคนสนิทพร้อมรอยยิ้มอย่างสบายใจ

 

“(ค่ะคุณหนู เที่ยวให้สนุกนะคะ ไม่ต้องห่วงท่านเจ้าสัวพี่จะดูแลท่านให้ดีที่สุดค่ะ)”

 

พี่นวลรับคำพลางเอ่ยบอกให้คุณหนูสบายใจและหายห่วงจากสิ่งที่กำลังกังวลเพราะเธอก็เป็นอีกคนหนึ่งที่อยากให้คุณหนูมีความสุขและได้พักผ่อนอย่างสบายใจด้วยเพราะหน้าที่และความรับผิดชอบต่างๆในชีวิตนั้นมีมากเหลือเกิน

ทำให้ที่ผ่านมานทีรินแทบจะไม่ได้ใช้ชีวิตอย่างที่ควรจะเป็นเลย

 

นทีรินคุยเรื่องสัพเพเหระกับพี่เลี้ยงคนสนิทไปได้สักพักด้วยเรื่องส่วนใหญ่ก็จะเป็นการเล่าถึงที่พักและความสวยงามของทะเลให้ฟังเมื่อคุยเล่นกันไปได้สักพักพี่นวลก็ขอตัววางสายเพื่อไปดูแลและจัดการงานที่ทำต่อ

 

“นท วางสายจากพี่นวลแล้วเหรอ” เหมือนชนกเดินเข้ามาหาพลางเอ่ยถามขึ้นเมื่อเห็นว่าเพื่อนรักวางสายโทรศัพท์เรียบร้อยแล้ว

 

“ใช่ๆ เหมือนมีอะไรหรือเปล่า” นทีรินรับคำพลางถามขึ้น

 

“เราว่าจะชวนนทไปเดินเล่นชายหาดหน่อยน่ะ” เหมือนชนกเอ่ยชวนเพราะเห็นชายหาดที่สวยขาวสะอาดตาที่รับกับน้ำทะเลสีฟ้าใสเป็นที่น่าถ่ายรูปเก็บไว้มาก

 

“แล้วพี่ภาคย์ล่ะ”

 

นทีรินเอ่ยถามไปยังภาคย์ซึ่งเป็นคนรักของเหมือนชนก ทั้งคู่ได้คบกันมาเป็นเวลานานแล้วตั้งแต่สมัยที่เรียนมหาวิทยาลัยมาด้วยกัน ซึ่งนทีรินเองก็พบเจอและเห็นความสัมพันธ์ที่ดีของเหมือนชนกและภาคย์มาตลอด

 

“โอ๊ย… รายนั้นน่ะพอเริ่มสนิทกับพวกพี่ซานก็ไปตั้งวงก๊งเหล้ากันแล้ว” เหมือนชนกเอ่ยบอกพลางยู่หน้าเง้างอนคนรักจนนทีรินหัวเราะออกมากับความน่ารักของเพื่อน

 

“ฮ่ะๆ พี่ภาคย์เฟรนด์ลี่ขนาดนั้นต้องเข้ากับพวกพี่ซานได้อยู่แล้ว”

 

“ใช่ไง เราก็เลยมาชวนนทไปเดินเล่นถ่ายรูปที่ชายหาดแก้เบื่อกันดีกว่า”

 

ว่าจบเหมือนชนกก็เดินเข้ามาลากแขนเพื่อนรักออกไปชายหาดเหมือนเด็กเล็กๆนทีรินยิ้มขำเล็กน้อยก่อนจะลุกเดินไปตามเพื่อน

 

“โอเค ไปๆ แล้วนินดื่มอยู่กับพวกพี่ๆเหรอ” นทีรินเอ่ยถามไปยังเพื่อนสนิทอีกคนเพราะไม่เห็นเดินมาด้วยกัน

 

“นั่งคุยเล่นอยู่กับพี่ปรินซ์น่ะ เราเลยไม่อยากกวนเวลาคนสวีทกัน”

 

เหมือนชนกเอ่ยบอกด้วยเสียงติดขำปนหมั่นไส้เพื่อนรักอีกคนจนนทีรินหัวเราะออกมาและเอ่ยแซ็วกลับไป

 

“แหม ถ้าพี่ภาคย์ว่างเมื่อไรเหมือนก็เตรียมไปสวีทกับพี่เขาได้เต็มที่เลยนะ”

 

คำพูดและสายตาล้อเลียนเช่นนั้นทำเอาเหมือนชนกหน้าแดงขึ้นมาอย่างง่ายดายและท่าทีเช่นนั้นก็ทำนทีรินหัวเราะชอบใจออกมาได้ไม่ยากเลย

 

“นทอ่า… ต่อหน้าพี่ภาคย์ห้ามแซ็วเรานะ”



เหมือนชนกเอ่ยบอกเสียงเง้างอดเพราะต่อให้เขาจะคบกับภาคย์มานานเพียงใดแต่ก็ไม่เคยชินกับคำแซ็วของคนอื่นทุกทีเพราะมันทำให้เขาเขินจนทำตัวไม่ถูกทุกครั้งไปและที่ทำให้เขินยิ่งไปกว่านั้นก็คือภาคย์ที่พร้อมจะล้อเลียนเขาอยู่ทุกเมื่อนั่นแหละ

 

“ฮ่ะๆ นทไม่รับปากนะ” นทีรินหัวเราะชอบใจก่อนจะได้รับท่าทางเง้างอนของเพื่อนรักตอบมา

 

นทีรินและเหมือนชนกเดินถ่ายรูปวิวทะเลสวยงามไปเรื่อยๆบ้างก็ผลัดกันถ่ายรูปให้กันและกันไปมาจนกว่าจะได้รูปที่ดูดีและโอเคจริงๆเพื่อที่จะสามารถอัพลงโซเชียลมีเดียได้ ถ่ายไปถ่ายมาเรื่อยๆทั้งคู่ก็ต้องชะงักไปเมื่อเหมือนชนกพบเจอสิ่งที่น่าสนใจอยู่ตรงหน้า

 

“นท ดูนั่นสิ…”

 

นทีรินหันไปตามที่เพื่อนรักชี้นิ้วบอกก็พบว่าเป็นภวินท์และศดิศกำลังขี่เจ็ทสกีตรงมาจากฝั่งทะเลที่ไกลพอสมควร ร่างสูงของสามีที่สวมเพียงกางเกงขาสั้นสบายๆด้านบนปราศจากอาภรณ์ใดๆเผยให้เห็นแผ่นอกเปลือยเปล่าและกล้ามท้องที่เป็นลอนแน่นอย่างคนที่ดูแลตัวเองทั่วไป

 

“โห… พี่ภพกับพี่นายขี่เจ็ทฯเก่งจังเนอะ” เหมือนชนกเอ่ยชื่นชม

 

นทีรินละสายตาออกจากตรงนั้นราวกับว่าไม่สนใจก่อนจะหยิบกล้องมิลเลอร์เลสยกขึ้นถ่ายรูปเพื่อนรักที่กำลังให้ความสนใจแต่คนขี่เจ็ทสกีอยู่ด้วยสายตาที่ชื่นชม

 

“แน่ล่ะ ก็พวกเขาเรียนมาตั้งแต่เด็กๆนี่นา” นทีรินเอ่ยบอกเพื่อนรักที่ดูจะไม่สนใจเรื่องถ่ายรูปอีกต่อไป

 

สายตาหวานหันไปมองยังทะเลอีกคราก็พบว่าสามีกำลังขี่เจ็ทสกีตรงมาเทียบยังชายฝั่งเรียบร้อยแล้ว ภวินท์ดับเครื่องยนต์ก่อนจะลงมาจากเจ็ทสกีคันใหญ่โดยมีผู้ช่วยที่คอยดูแลช่วยเหลืออยู่แถวนั้นอยู่แล้ว ยิ่งเห็นสามีขี่เจ็ทสกีก็ยิ่งทำให้นทีรินอดคิดไปถึงเรื่องในอดีตไม่ได้

 

สายตาคมหันมาสบตากับภรรยาที่มองมาด้วยสายตาที่คาดเดาได้ไม่ยากว่าอีกฝ่ายกำลังคิดเรื่องอะไรอยู่ และเขาก็มั่นใจว่าตัวเองและภรรยาต่างคิดไปถึงเรื่องเดียวกันแน่นอน

 

เหตุการณ์วันนั้นคล้ายคลึงกับวันนี้เลยทีเดียวแต่ต่างกันตรงที่ในวันนั้นเขาอายุ 17 ปีในขณะที่ภรรยานั้นมีอายุเพียง 12 ปีเท่านั้น ในตอนนั้นเจ้าสัวพีระได้พาพวกเขามาเที่ยวทะเล

 

 

“ตัวเล็กครับ หายโกรธพี่ภพเถอะนะ” เสียงทุ้มนุ่มเอ่ยขึ้นพลางเดินตามง้อเด็กขี้งอนอยู่ไม่ห่าง

 

“ไม่ต้องมาพูดเลย! ไหนพี่ภพสัญญาว่าถ้ามาถึงทะเลจะสอนนทขี่เจ็ตสกีไงครับ”

 

เด็กขี้งอนเอ่ยบอกเสียงกระเง้ากระงอดพลางยู่ปากใส่งอนๆกับคนที่ผิดสัญญาว่าเมื่อมาถึงทะเลจะสอนเขาขี่เจ็ทสกี แต่อีกฝ่ายกลับมัวแต่แข่งขี่เจ็ทสกีอย่างสนุกสนานกับญาติๆจนลืมคำสัญญาที่ให้ไว้กับเขาไปเลย

 

“พี่ภพขอโทษนะครับที่มัวแต่ห่วงแข่งกับพวกไอ้นายจนลืมสอนตัวเล็ก แต่วันนี้พี่ภพพร้อมสอนตัวเล็กทั้งวันเลยนะครับ”

 

ภาพผู้ชายตัวโตกำลังวิ่งตามง้องอนน้องเป็นความน่ารักสำหรับคนที่เดินผ่านไปมา นทีรินแอบอมยิ้มเมื่อมีนิ้วก้อยใหญ่ๆยื่นมาขอคืนดีอยู่ไม่ห่างแต่เขาก็ต้องแสร้งทำขรึมไว้ก่อน

 

“ชิส์ นทไม่อยากเรียนกับคนผิดสัญญาหรอก นทจะไปให้พี่นายสอนดีกว่า” น้องตัวเล็กเอ่ยบอกอย่างไม่สนใจก่อนจะเดินหนีต่อไป

 

“ไม่ได้นะครับ! ห้ามให้ใครสอนนอกจากพี่ภพคนเดียว”

 

ภวินท์เอ่ยบอกคนตัวเล็กพลางเอาแขนแกร่งกั้นขวางไม่ให้อีกคนเดินไปไหนอีกด้วย อารมณ์ที่ดีๆกลับเริ่มขุ่นมัวเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายจะไปให้คนอื่นสอนซึ่งเขาไม่มีทางยอม

 

“พี่ภพถอยไปนะ! นทจะไปให้พี่นายสอน”

 

นทีรินแอบยิ้มกริ่มในใจที่ยั่วโมโหของพี่ชายคนนี้ได้ เขาไม่ได้จะให้ศดิศสอนจริงๆหรอกเขาก็แค่อยากแกล้งพี่ชายคนนี้ดูบ้างเท่านั้นเองเพราะถ้าไม่ใช่ภวินท์สอนเขาก็ไม่ได้สนใจที่อยากจะเรียนเหมือนกัน

 

“ไม่ให้ไปครับ ตัวเล็กต้องเรียนกับพี่ภพคนเดียวเท่านั้น”

 

พี่ชายตัวโตยังคงรั้งน้องตัวเล็กไว้ด้วยใบหน้ายุ่งๆเพราะกลัวว่าน้องจะไปให้คนอื่นสอนที่ไม่ใช่เขา ยิ่งคิดก็ยิ่งโมโหอย่างไม่รู้สาเหตุนักว่าเพราะอะไรถึงยอมให้น้องไปเรียนกับคนอื่นไม่ได้

 

ร่างเล็กกำลังจะเดินหนีไปอีกแต่มือหนาคว้าตัวน้องไว้จนเสียหลักล้มลงไปทั้งคู่โดยที่กายแกร่งของพี่ชายตัวโตมีร่างบอบบางของน้องคร่อมทับอยู่ด้านบนริมฝีปากบางแตะสัมผัสที่ปากหนาแผ่วเบา

 

“อ๊ะ…”

 

นทีรินเบิกตากว้างอย่างตกใจก่อนจะผละออกอย่างรวดเร็วร่างบางดิ้นขยับเพื่อจะลุกขึ้นจากร่างหนาของพี่ชายแต่ไม่เป็นผลเมื่อมือหนาของภวินท์กอดเขาไว้แน่น

 

“ตัวเล็ก… ห้ามไปเรียนกับคนอื่นนะครับ พี่ภพหวง”

 

เสียงทุ้มนุ่มออดอ้อนจนคนฟังหน้าขึ้นสีแดงพาดริ้วที่แก้มนวลทั้งสองข้างซึ่งนั่นสร้างความพึงพอใจให้ภวินท์ได้เป็นอย่างดี ไม่ว่านทีรินจะยิ้มหรือจะทำหน้าโมโหหรือหน้างอนเป็นแบบไหนอีกน้องก็ดูน่ารักเสมอในสายตาของภวินท์

 

“พ… พี่ภพ! ปล่อยนะ ปล่อยนท”

 

นทีรินตีไปที่อกแกร่งของพี่ชายเพื่อหวังให้อีกฝ่ายปล่อยเขาแต่กลับไม่เป็นผลเพราะภวินท์แกล้งกอดรัดเขาแน่นมากกว่าเดิมอีกแถมยังแกล้งร้องโอดโอยโอเวอร์เสียจนเขาหมั่นไส้อีกต่างหาก

 

“โอ๊ยๆ พี่ภพเจ็บนะครับตัวเล็ก… เด็กอะไรมือหนักชะมัด”

 

“ปล่อยนทนะ!” เอ่ยเสียงเขียวไม่พอใจคนขี้แกล้งที่แสร้งว่าเจ็บปวดแต่ใบหน้ากลับยิ้มระรื่นล้อเลียนเขาไม่เลิก

 

“พี่ปล่อยตัวเล็กนานแล้วนะ เรานั่นแหละที่ไม่ลุกออกไป”

 

มือหนาชูขึ้นให้ดูเป็นเชิงว่าตัวเองนั้นปล่อยจากตัวของอีกฝ่ายนานแล้ว ใบหน้าหล่อคมประดับไปด้วยรอยยิ้มพรายอย่างเจ้าเล่ห์เมื่อเห็นว่าคนตัวเล็กนั้นเขินอายเขามากเพียงใด

 

“ฮึ่ย!”

 

นทีรินรีบลุกออกจากกายแกร่งของพี่ชายขี้แกล้งทันที หัวใจดวงน้อยเต้นรัวไม่เป็นจังหวะจนเขาตกใจ เขาเพิ่งจะเข้าใจว่าหัวใจเต้นจนแทบหลุดออกจากอกมันเป็นแบบนี้นี่เอง ใบหน้าหวานกุมแก้มตัวเองแน่นเมื่อรู้สึกถึงความร้อนที่แก้มทั้งสองข้าง

 

“ตัวเล็กครับ…”

 

เสียงทุ้มติดขำเอ่ยเรียกเมื่อเห็นว่าน้องตัวเล็กเขินอายไม่เลิก ใบหน้าหล่อคมแฝงไปด้วยความล้อเลียนนั้นทำให้คนตัวเล็กแหวออกมา

 

“อ… อะไรอีกเล่า!”

 

“จูบแรกเหรอ…”

 

เสียงทุ้มล้อเลียนพร้อมใบหน้าหล่อที่ยื่นเข้ามาแทบจะชิดกับใบหน้านวลทำเอานทีรินอายม้วนจนแทบอยากจะแทรกแผ่นดินหนี เขาพยายามจะเลิกคิดถึงมันแล้วแต่อีกฝ่ายกลับมาล้อเลียนเพื่อตอกย้ำเขาไปอีก

 

“พ… พี่ภพบ้า นทไม่คุยด้วยแล้ว!”

 

คนตัวเล็กเอ่ยจบก็รีบกึ่งเดินกึ่งวิ่งหนีพี่ชายจอมขี้แกล้งออกไปให้ไกลที่สุดเพราะเขาไม่สามารถทนกับสายตากรุ้มกริ่มแพรวพราวนั้นได้อีกต่อไปแต่กระนั้นก็กลับได้ยินเสียงหัวเราะอย่างพึงใจของคนขี้แกล้งตามมาไม่ห่างจนในวันนั้นนทีรินก็ไม่ยอมให้ภวินท์หรือใครก็ตามสอนขี่เจ็ทสกีอีกเลย


 

 

“นท!” เสียงเรียกชื่อดังขึ้นจนนทีรินสะดุ้งเฮือกและกลุดจากภวังค์ความคิดพลางหันไปตามเสียงเรียกของเพื่อนสนิท

 

“หะ? ม.. เมื่อกี้ว่าอะไรนะเหมือน”

 

เอ่ยถามซ้ำเนื่องจากเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเพื่อนรักได้พูดอะไรออกมาบ้างเพราะมัวแต่นึกถึงเหตุการณ์ในอดีตที่เขาไม่มีวันที่จะลืมมันลงได้เลย

 

“เราถามว่าไปถ่ายรูปตรงนั้นกันไหม นี่เหม่ออะไรเนี่ย” เหมือนชนกเอ่ยบอกอีกครั้งด้วยใบหน้าที่งุนงงเพราะไม่เข้าใจว่าเพื่อนกำลังเหม่อถึงอะไร

 

“เปล่าๆ ไปสิ”

 

นทีรินปฏิเสธแกนๆพลางเดินนำออกไปแต่ก็ไม่วายแอบหันมองไปทางชายทะเลอีกคราก็พบว่ายังมีสายตาคมจับจ้องมาไม่เลิกเช่นกัน นทีรินรีบหันกลับมาแทบไม่ทันแล้วทำเป็นเสมองไปทางอื่นดูนั่นนี่ไปเรื่อย ร่างเล็กเอ็ดตัวเองในใจว่าไม่น่านึกไปถึงเหตุการณ์นั้นเลยแต่เขาก็ไม่คิดว่าภวินท์จะคิดไปถึงเหตุการณ์เดียวกันหรอกเพราะเขาไม่เชื่อว่าภวินท์จะสนใจที่จะจดจำมันเฉกเช่นเขา

 

“นท… เราถามจริงๆนะ นททะเลาะอะไรกับพี่ภพหรือเปล่า”

 

เหมือนชนกเอ่ยถามด้วยความใคร่รู้เพราะเขาแอบสังเกตุเพื่อนรักและสามีของเพื่อนแล้วก็พบว่าทั้งคู่ดูอึดอัดต่อกันอย่างไรอย่างนั้น

 

“ทำไมเหมือนถามนทแบบนั้นล่ะ”

 

นทีรินเลือกที่จะไม่ตอบแต่ถามกลับแทน เขากำลังเอ็ดตัวเองที่ทำให้คนอื่นรู้สึกอึดอัดไปกับตัวเองเพราะเขาไม่อยากให้เป็นแบบนั้นเลย เขาไม่อยากให้คนอื่นมารู้สึกถึงความอึดอัดกับเรื่องของเขาและภวินท์

 

“ก็นทดูไม่ค่อยมีความสุขเลย นทอึดอัดหรือเปล่าที่ต้องมาเที่ยวด้วยกันแบบนี้”

 

เหมือนชนกเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วงถึงแม้ไม่รู้ว่าตอนนี้ภวินท์และนทีรินมีเรื่องบาดหมางใจอะไรกันอย่างไรเพราะเขาไม่อยากจะก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของเพื่อนแต่ก็อดห่วงไม่ได้อยู่ดี

 

“ไม่มีอะไรหรอกเหมือน นทแค่เป็นห่วงอากงน่ะ ตั้งแต่อากงป่วยเหมือนก็รู้ว่านทไม่เคยห่างจากอากงมาหลายวันเลย”

 

นทีรินเลี่ยงที่จะบอกเพื่อนสนิทถึงสิ่งที่เขาแลภวินท์ทะเลาะกันอย่างรุนแรงเพราะไม่อยากให้เพื่อนมารับรู้และกังวลกับเขา เขาจึงอ้างเรื่องความกังวลถึงเจ้าสัวพีระออกไป

 

“แต่ว่าไม่ได้ทะเลาะกับพี่ภพจริงๆใช่ไหม” เหมือนชนกยังคงถามย้ำด้วยความห่วงใยเช่นเคย

 

“เปล่า ไม่มีอะไรเกี่ยวกับคุณภพเลย… เหมือนไม่ต้องเป็นห่วงนะ นทโอเคมากๆ”

 

นทีรินก็ยิ้มกว้างออกมากับความเป็นห่วงที่เพื่อนมีมาให้เขาเสมอ เขาก็จะไม่ทำให้เพื่อนเป็นห่วงไปมากกว่านี้แล้วเพราะเขาไม่อยากทำให้การมาเที่ยวครั้งนี้ทำให้คนอื่นพลอยไม่สนุกกับเรื่องของเขาไปด้วย

 

เมื่อเหมือนชนกได้ยินเพื่อนบอกเช่นนั้นก็ยิ้มกว้างตอบไปก่อนจะเอื้อมมือไปลูบไหล่เพื่อนอย่างให้กำลังใจเช่นเคย ทั้งคู่ผลัดกันถ่ายรูปจากมุมนั้นมุมนี้ไปเพลินๆจนนทีรินลืมเรื่องที่กังวลไปได้บ้าง ก่อนที่จะได้ยินเสียงเรียกจากภาณินที่ตะโกนเรียกเสียงดังมาจากทางบ้านพักของพวกเขาให้กลับขึ้นไปรวมตัวกันเมื่อทั้งภวินท์และศดิศขึ้นมาจากน้ำและกลับขึ้นบนบ้านพักเรียบร้อยแล้ว

 

 

***

ต่อข้างล่างค่ะ
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๙ (17-4-62) [ต่อ]
เริ่มหัวข้อโดย: yokindy ที่ 17-04-2019 00:38:44
เมื่อนทีรินและเหมือนชนกขึ้นไปรวมตัวกับทุกคนแล้วก็พบว่าภาณินสั่งอาหารทะเลมามากมายจนล้นโต๊ะโดยอาหารทั้งหมดนั้นได้ถูกปรุงและทำให้สุกโดยบัตเลอร์และเชฟผู้เชี่ยวชาญโดยเฉพาะที่มาดูแลพวกเขาเป็นพิเศษซึ่งสะดวกสบายเป็นอย่างมากเพราะพวกเขาไม่ต้องทำอะไรเองเลยนอกจากมีหน้าที่เพียงแค่รับประทานเท่านั้น

 

“น้องนท น้องเหมือนดื่มอะไรดี เอาเบียร์คนละกระป๋องไหมครับ”

 

ตรีทศเอ่ยถามใบหน้าหล่อที่ดวงตาเริ่มเยิ้มเล็กน้อยเนื่องจากตรีทศดื่มแอลกอฮอลล์ตั้งแต่มาถึงในช่วงบ่ายจนตอนนี้เป็นเวลาอาหารเย็นแล้ว

 

เหมือนชนกกำลังจะตอบรับว่าเอาแต่กลับต้องชะงักไปเมื่อมีเสียงคนรักแทรกตอบขึ้นมาก่อน

 

“พี่ซานครับ ของน้องเหมือนเอาเป็นน้ำอัดลมก็พอครับ” ภาคย์เอ่ยบอกตรีทศก่อนจะทำสายตาคาดโทษคนรักยิ้มๆ

 

“อะไรอ่า… ทำไมตัวมาตัดสินใจแทนเค้าแบบนี้ล่ะ” เหมือนชนกทำเสียงเง้างอดใส่คนรักที่ห้ามไม่ให้เขาดื่มแอลกอฮอลล์

 

“พี่ไม่อนุญาตให้ดื่มของมึนเมานะครับบี๋ ดื่มน้ำอัดลมนี่แหละครับ”

 

ภาคย์เอ่ยบอกติดดุเล็กน้อยเพราะเขารู้ว่าเหมือนชนกนั้นแพ้แอลกอฮอลล์ถ้าหากดื่มเข้าไปมากๆอาจมีผื่นแดงขึ้นที่ตัวและอาจทำให้อีกฝ่ายไม่สบายตัวจนเที่ยวไม่สนุกเอาได้

 

“แหมๆ สวีทกันจริง พี่อยากสวีทบ้างอ่ะแต่ไม่มีคู่” ตรีทศเห็นทั้งสองคนกำลังสวีทงุ้งงิ้งกันก็อดที่จะเอ่ยแซ็วออกมาไม่ได้จนคนโดนแซ็วหน้าแดงกันไปตามระเบียบ

 

“อ้าว แล้วเมียเทศกาลมึงล่ะไปไหนหมด ไม่ควงมาด้วยสักคนสองคน”

 

ศดิศที่เปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้วเดินออกมาได้ยินญาติกำลังแซ็วคนอื่นพอดีเขาเลยแซ็วอีกฝ่ายกลับคืนบ้างจนตรีทศที่กำลังกระดกเบียร์ดื่มนั้นสำลักออกมาแทบไม่ทัน

 

“แค่กๆ… ไอ้นาย! อย่าพูดเยอะ กูอายน้องๆเค้า”

 

คำว่าเมียเทศกาลนั้นทำให้เจ้าตัวอดรู้สึกเขินอายขึ้นมาไม่ได้และท่าทางแบบนั้นก็สร้างเสียงหัวเราะให้ทุกคนบนโต๊ะได้เป็นอย่างมากเลยทีเดียว

 

“น้องนทเอาเบียร์ไหมครับ ร้อนๆแบบนี้ดื่มเบียร์แล้วชื่นใจดีนะครับ” ศดิศเอ่ยถามนทีรินขึ้นเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังไม่ได้เครื่องดื่มมือหนาเตรียมเปิดเบียร์ขวดเล็กให้แต่เสียงปริญญ์แทรกขึ้นมาก่อน

 

“เฮียนายไม่กลัวเฮียภพว่าบ้างเหรอไปชวนเมียเขาดื่มของมึนเมา”

 

“อ่า… จริงด้วยว่ะ”

 

ศดิศทำหน้าเลิ่กลั่กเพราะลืมนึกไปจนทุกคนบนโต๊ะต่างก็มองหน้ากันเลิ่กลั่กตาม ซึ่งเจตนาของปริญญ์นั้นไม่ได้ตั้งใจจะทำให้งานกร่อยหรืออึดอัดเพียงแต่เขาคิดแค่ว่าภวินท์อาจจะมีความคิดเป็นห่วงนทีรินเฉกเช่นเดียวกับภาคย์ที่เป็นห่วงเหมือนชนกก็ได้ ความเงียบถูกทลายลงด้วยเสียงทุ้มของภวินท์ที่ดังขึ้น

 

“ไม่เป็นไร กูไม่ว่าหรอกเพราะเรื่องนี้กูให้อิสระเมียกูเต็มที่ แต่เรื่องอื่น… ไม่แน่”



สายตาคมนิ่งทว่าแฝงไปด้วยความร้ายกาจภายในหันไปจับจ้องไปที่ภรรยาอย่างไม่วางตาและพยายามสื่อให้อีกฝ่ายรับรู้ว่าเรื่องอื่นที่เขาหมายถึงนั้นหมายความถึงอะไรซึ่งนทีรินก็รับรู้มันได้อย่างแน่ชัดแต่ก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกไปนอกจากตีหน้านิ่งๆใส่คนเป็นสามีอย่างไม่สนใจก่อนจะหันไปยิ้มหวานให้ศดิศ

 

“ไม่เป็นไรครับพี่นาย นทขอแค่น้ำอัดลมก็พอครับ”

 

เมื่อสถานการณ์อึดอัดเริ่มกลับมาเป็นปกติแล้วทุกคนบนโต๊ะก็เริ่มกลับมาพูดคุยเรื่องต่างๆอย่างสนุกสนานโดยมีตรีทศและภาคย์ซึ่งเป็นคนที่มีมุกตลกประจำตัวนั้นเป็นคนสร้างเสียงหัวเราะให้ตลอดการสนทนา

 

“ทุกคนครับ! ยิ้มหน่อยเร็ว ชีสสสสสส”

 

เมื่อทานอาหารกันไปได้สักพักภาณินก็หยิบกล้องมิลเลอร์เลสยี่ห้อดังที่ราคาเหยียบแสนยกขึ้นมากดถ่ายภาพหมู่ของทุกคนที่กำลังสนุกอยู่ ภาณินหัวเราะเมื่อย้อนดูภาพที่ทุกคนกำลังเผลอนั้นเป็นภาพที่น่ารักและเป็นธรรมชาติมากๆ

 

นทีรินและเหมือนชนกออกไปยืนดูรูปที่ภาณินถ่ายด้วยกันก่อนที่ทั้งสามเพื่อนรักจะเซลฟี่ด้วยกันหลายๆรูปพลางหัวเราะคิกคักกันอยู่สามคนก่อนที่ปริญญ์และตรีทศจะรีบวิ่งมาเข้าเฟรมของทั้งสามคนเป็นการป่วนไปด้วย

 

“เฮียนายครับ ถ่ายรูปคู่ผมกับนินให้หน่อยครับ”

 

ปริญญ์เอ่ยไหว้วานญาติผู้พี่เพราะรู้ดีว่าศดิศในสมัยเรียนนั้นอยู่ชมรมถ่ายภาพและญาติของเขาคนนี้ก็ถ่ายรูปสวยมากๆ ศดิศรับคำก่อนจะออกมาเป็นตากล้องให้น้องๆโดยที่มีปริญญ์และภาณินเป็นแบบให้ถ่ายเป็นคู่แรก

 

“น้องเหมือนกับคุณภาคย์จะเอารูปคู่ด้วยไหมครับ” ศดิศเอ่ยถามคู่รักอีกคู่หนึ่งก่อนจะได้รับเสียงตอบรับกลับมา

 

“เอาครับๆ ไปตรงโน้นกันครับบี๋ เห็นวิวทะเลสวยดี”

 

ภาคย์และเหมือนชนกเดินไปอีกฟากของบ้านพักซึ่งเป็นบริเวณระเบียงรับลมที่สามารถมองเห็นวิวทะเลและภูเขาอย่างสวยงามทั้งคู่ผลัดกันแอ็คท่าคู่กันไปมาอย่างน่ารัก

 

นทีรินมองภาพของเพื่อนและคนรักของเพื่อนด้วยสายตาที่ชื่นชมและยินดีที่เพื่อนได้พบเจอกับคนรักที่ดีและเพื่อนก็มีชีวิตที่มีความสุขซึ่งต่างจากเขาที่ในชีวิตแทบจะหาความสุขจากคนรักแทบไม่ได้ ชีวิตคู่ของเขาและภวินท์เป็นเหมือนละครหนึ่งเรื่องที่พวกเขาต้องร่วมกันแสดงไปให้จนกว่าจะถึงวันที่อวสานเพียงแต่บทละครของเขามันไม่ได้จบแบบแฮปปี้เอนดิ้งอย่างของคนอื่นๆก็เท่านั้น

 

“เฮียภพ น้องนท มาถ่ายรูปคู่ครับ” เสียงเรียกจากตากล้องจำเป็นดังขึ้นทำให้นทีรินหลุดจากภวังค์

 

สายตาหวานหันไปมองคนเป็นสามีที่มองเขามาอยู่แล้วภวินท์ยิ้มมุมปากก่อนที่ร่างสูงจะเดินไปหยุดยืนแทนที่ที่ภาคย์และเหมือนชนกยืนอยู่เมื่อครู่นทีรินถอนหายใจเบาๆก่อนจะเดินตามไปยืนข้างร่างสูงของสามีอย่างจำใจ

 

ภวินท์และนทีรินยืนชิดกันมือหนาถือวิสาสะโอบเอวบางของภรรยาไว้หลวมๆพร้อมรอยยิ้มที่ประดับอยู่บนใบหน้าของทั้งคู่เฉกเช่นกับวันที่ทั้งคู่ไปออกงานคู่กันแล้วมีนักข่าวรอเก็บภาพทั้งคู่อยู่

 

“โห สวยมากครับ… แต่ขอเปลี่ยนท่าหน่อยนะครับ แบ็กกราวด์ตอนพระอาทิตย์กำลังจะตกพอดีเลยครับ”

 

ตากล้องจำเป็นเอ่ยบอกพลางแนะนำว่าให้จัดแจงท่าใหม่เพราะตอนนี้เบื้องหลังของทั้งคู่เป็นภาพที่สวยงามมากและควรค่าแก่การถ่ายเก็บไว้เป็นอย่างมาก

 

เมื่อได้ยินญาติผู้น้องเอ่ยบอกเช่นนั้นภวินท์ก็ใช้มือสองข้างโอบเข้าที่เอวบางของภรรยาไว้แน่นโดยที่เขาไปยืนซ้อนหลังของอีกฝ่ายและเอาคางเกยที่ไหล่บอบบางของร่างบางไว้ นทีรินสะดุ้งเล็กน้อยเมื่ออีกฝ่ายเริ่มทำตัวรุ่มร่ามกับเขาเกินควรอีกแล้ว แต่ก็ต้องแสร้งตีหน้านิ่งไว้เพราะไม่อยากให้คนอื่นๆสงสัย

 

“ยิ้มกว้างๆให้คนอื่นเขาเห็นว่าเราเป็นสามีภรรยาที่น่าอิจฉาหน่อยสิ”

 

เสียงทุ้มเอ่ยบอกเสียงเบาเพื่อให้ได้ยินแค่สองคนทว่าชัดเจนในโสตประสาทของนทีริน ใบหน้าหวานเงยขึ้นมองหน้าของอีกฝ่ายที่ส่งยิ้มมาที่เขาซึ่งดูก็รู้ว่านี่คือการแสดงละครของอีกฝ่ายอีกฉากหนึ่งแล้ว

 

“อยู่กับคนสนิทๆแบบนี้คุณยังต้องแสดงละครอีกเหรอครับ” นทีรินพูดลอดไรฟันเสียงเบาขณะที่แสร้งยิ้มไปให้กล้องเหมือนกัน

 

เขาเหนื่อยที่ต้องมาทำอะไรแบบนี้แล้วแต่ถ้าไม่ทำมันก็ยิ่งแสดงให้คนอื่นรับรู้ถึงความสัมพันธ์อันย่ำแย่ของเขาและภวินท์ขึ้นไปอีกซึ่งเขาไม่ได้อยากให้คนอื่นต้องมารับรู้ปัญหาของเขาและสามีทางนิตินัยทั้งนั้น เมื่อถึงเวลาที่เขาและอีกฝ่ายต้องหย่าขาดกันเมื่อไรเมื่อนั้นทุกๆคนรอบข้างเขาก็จะรับรู้มันได้เอง

 

“ละครของเราสองคนมันจะจบก็ต่อเมื่อ… เราหย่าขาดกันเท่านั้น”

 

เสียงหัวเราะในลำคอดังขึ้นก่อนจะเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงหนักแน่นเพื่อเป็นการตอกย้ำให้นทีรินรู้ว่าหากระหว่างเขาและอีกฝ่ายยังไม่มีการหย่าขาดต่อกันก็จะต้องแสดงละครบทนี้ต่อหน้าผู้คนไปเรื่อยๆแบบนี้นี่แหละ ท่าทางอวดดีและเย่อหยิ่งของภรรยาทำให้ภวินท์ต้องการปราบพยศให้ได้อยู่หมัด

 

“นี่คุณ!”

 

นทีรินสะดุ้งตกใจเล็กน้อยก่อนจะขมวดคิ้วมุ่นกัดฟันกรอดเมื่ออีกฝ่ายรวบตัวเขาหันหน้าเข้าหากันเพื่อปะทะอกแกร่ง มือหนากอดเอวบางของเขาไว้แน่น สายตาคมมองมาที่เขาอย่างเจ้าเล่ห์ก่อนจะยักคิ้วข้างหนึ่งกวนๆมาให้อีกด้วยซึ่งนั่นทำให้เขาแทบอยากจะผลักร่างอีกฝ่ายออกแต่เพราะอยู่ต่อหน้าคนอื่นๆเขาจึงทำอะไรไม่ได้นอกจากเข่นเขี้ยวในใจ

 

“ท่านี้พอได้ไหมวะไอ้นาย” ภวินท์หันไปถามญาติผู้น้องที่ทำหน้าตะลึงงันอยู่ซึ่งไม่ต่างจากคนอื่นๆที่เริ่มหันมามองทางเขาและภรรยาอย่างสนใจ

 

“ม… มันดีมากครับเฮีย ขออีกรูปนึงนะครับ เฮียสวีทเต็มที่เลยครับ” ศดิศเอ่ยบอกก่อนจะยกกล้องขึ้นเก็บภาพต่อไป

 

“เต็มที่เลยใช่ไหม… ได้”

 

เสียงทุ้มเอ่ยตอบญาติผู้น้องแต่สายตาคมกลับจับจ้องมาที่ดวงหน้าหวานของภรรยาไม่วางตา ใบหน้าหล่อคมโน้มลงมาจนอวัยวะบนใบหน้าของทั้งคู่อยู่ในระดับเดียวกัน นทีรินกระพริบตาเลิ่กลั่กไปมาภายในใจเต้นรัวราวกับเสียงรัวกลอง และนทีรินก็ต้องรู้สึกเหมือนทุกอย่างรอบตัวมันหยุดเคลื่อนไหวเมื่อริมฝีปากหนาทาบทับมาบนปากบางของเขาอย่างแผ่วเบาทว่าแนบแน่น นทีรินหลับตาแน่นขณะที่ริมฝีปากหนาวาดลวดลายไปบนปากของเขาไปมาอย่างไม่หยุดหย่อนจนเขาแทบไม่รับรู้อะไรรอบข้างเลยว่าคนรอบข้างนั้นพูดว่าอะไรกันบ้าง

 

ในความคิดของนทีรินในตอนนี้กลับนึกไปยังวันนั้นวันที่ภวินท์ได้จูบแรกของเขาไปโดยไม่ตั้งใจหัวใจของเขาพองโตขึ้นอย่างประหลาด ใบหน้าหล่อคมของพี่ภพในวันนั้นยังคงตราตรึงในใจเขาไม่เลือนหายคำถามที่ล้อเลียนเขาในวันนั้นกลับดังชัดขึ้นจนไม่อาจลืมเลือนได้

 

“จูบแรกเหรอ…”

 

ใช่ ภวินท์คือจูบแรกของเขา

 

คำตอบที่เขาไม่เคยบอกให้ใครได้รับรู้แม้แต่เจ้าตัวแต่เขาก็รู้ว่าภวินท์รับรู้ได้ ในวันนั้นเขารู้สึกมีความสุขที่ได้มอบจูบแรกที่มีค่าของเขาให้กับภวินท์ไปเพราะเขารักอีกฝ่ายมากเหลือเกินและเขาก็อยากจะเก็บเหตุการณ์และคำพูดของเขาและพี่ภพในวันนั้นไว้ทุกวินาทีแห่งความทรงจำไปตลอดกาล

 



แต่ถ้ากับภวินท์ที่เป็นสามีของเขาในตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นจูบที่เท่าไรเขาก็ไม่อยากจะจำมันเลยสักครั้งเดียว…

 

To be continue


________________________________________________________________________________________________


 TALK WITH WRITER :: สุขสันต์วันสงกรานต์ที่ผ่านมาแล้ว 2 วันค่า 555555555555 ใครไปเที่ยวสงกรานต์กลับมาก็อย่าลืมมาอ่านพี่ภพน้องนทนะคะ ซึ่งนอกจากแกล้งเมียแล้วพี่เค้าก็ไม่เก่งอะไรอีกเลยค่า ล่าสุดขโมยจูบน้องอีกแล้ว แง้... ด่าพี่เค้าได้แต่อย่าแรงนะคะ ยังไงพี่เค้าก็เป็นพี่พระเอกของเราน้า 5555555555555 เจอกันตอนหน้าค่ะ :)


บัตเลอร์ (Butler) = เป็นอาชีพที่มีเกียรติอย่างหนึ่งมีรากฐานมาจากประเทศอังกฤษซึ่งเป็นหัวหน้าฝ่ายบริการซึ่งรับจ้างรับใช้เจ้านายภายในบ้านซึ่งมีอันจะกินของประเทศอังกฤษและความหมายของบัตเลอร์ต่างจากคนรับใช้เนื่องจากคนที่จะมาทำหน้าที่เป็นบัตเลอร์ต้องมีความรู้สูงรอบด้านที่สามารถจะดูแลและจัดการครอบครัวของเจ้านายได้อย่างสมบูรณ์ ซึ่งบัตเลอร์สำหรับประเทศไทยในที่นี้อาจจะหมายถึงผู้ดูแลและอำนวยความสะดวกแก่แขกพิเศษในระดับสูง
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๙ (17-4-62)
เริ่มหัวข้อโดย: HISY ที่ 17-04-2019 01:04:28
สงสารนท คือตั้งแต่อ่านมาร้องไห้สงสารนทตลอด อินมาก
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๙ (17-4-62)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 17-04-2019 01:35:29
 :z6:
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๙ (17-4-62)
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 17-04-2019 02:07:30
สงสารนทจังเลย
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๙ (17-4-62)
เริ่มหัวข้อโดย: muiko ที่ 17-04-2019 03:09:06
สงสารนท เมื่อไหร่จะได้หย่า
นทจะได้หลุดพ้นซะที
ทั้งคำพูดการกระทำของพี่ภพ มันทำร้ายจิตใจกันเกินไปแล้ว
ไม่มีอะไรจะด่าพี่ภพ ทำอะไรไว้ก็ของให้รับผลแบบนั้นแล้วกัน
 :hao5:
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๙ (17-4-62)
เริ่มหัวข้อโดย: sailom_orn ที่ 17-04-2019 03:19:04
 :beat: พระเอกทำตัวหน้้าหมั่นไส้มาก
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๙ (17-4-62)
เริ่มหัวข้อโดย: TheDoungJan ที่ 17-04-2019 03:44:11
เมื่อไรจะหย่ากันสักที สงสารนทแล้ว
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๙ (17-4-62)
เริ่มหัวข้อโดย: MmBb ที่ 17-04-2019 07:12:08
ถ้าวันที่ต้องหย่าขาดจากกันมาถึงจริงๆก็ขอให้คุณภพทุกข์ทรมาณกับการสูญเสียคนที่ตัวเองรักอย่างนทให้หนักๆใจร้ายใจดำกับน้องมาหลายตอนก็ขอให้เจอความทุกข์หลายๆตอนเหมือนกัน หยิ่งนักทำร้ายจิตใจคนอื่นเก่งนักก็ขอให้ได้รับความทุกข์กลับไปอย่างเท่าเทียมกัน
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๙ (17-4-62)
เริ่มหัวข้อโดย: BABYBB ที่ 17-04-2019 08:36:17
สงสารน้อง :m15:
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๙ (17-4-62)
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 17-04-2019 08:44:57
 :katai2-1:


รอวันเอาคืน
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๙ (17-4-62)
เริ่มหัวข้อโดย: Peung002 ที่ 17-04-2019 13:54:35
สงสารน้องนท ได้แต่หวังว่าอิคนพี่ (งอน ไม่อยากเอ่ยชื่อ) จะไม่ใจร้ายไปมากกว่านี้นะ  :m16:
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๙ (17-4-62)
เริ่มหัวข้อโดย: Hananijinji ที่ 24-04-2019 07:23:44
หมั่นไส้พี่ภพมากค่ะ รอวันหย่า แล้วเห็นพีาภพซมซานกลับมาหาน้องเหมือนหมาเลยนะคะ
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๑๐ (24-4-62)
เริ่มหัวข้อโดย: yokindy ที่ 24-04-2019 17:14:59
บทที่ ๑๐



เมื่อจบฉากถ่ายรูปอันแสนหวานที่หลายๆคนต่างแปลกใจกับการกระทำของทั้งภวินท์และนทีรินเพราะไม่คิดว่าสองสามีภรรยาจะสวีทหวานกันได้ขนาดนี้ ถึงแม้ทั้งหมดจะทราบว่าภวินท์และนทีรินเพิ่งจะกลับมาเจอกันอีกครั้งหลังจากห่างกันไปตั้งแปดปีแต่เมื่อเห็นว่าทั้งคู่ดูรักใคร่กลมเกลียวกันมากขึ้นนั้นทุกคนก็เกิดความสบายใจแล้วว่าภวินท์และนทีรินอาจจะปรับความเข้าใจกันมากขึ้นแล้วไม่เช่นนั้นคงไม่โชว์หวานต่อหน้าทุกคนได้แบบนี้

 

ภานินและเหมือนชนกต่างกรูกันเข้ามาแซ็วเพื่อนรักกันยกใหญ่เฉกเช่นเดียวกับหนุ่มๆที่เหลือก็ต่างโห่แซ็วภวินท์อย่างสนุกสนานโดยที่ไม่มีใครคิดเลยว่านั่นเป็นเพียงละครฉากหนึ่งที่ภวินท์และนทีรินต่างสร้างมันขึ้นมาเท่านั้นเอง นทีรินไม่ได้พูดอะไรนอกจากยิ้มบางๆส่งให้ไป ไม่มีใครรับรู้เลยว่าเขาเหนื่อยหัวใจมากเพียงใดที่ต้องโดนคนเป็นสามีกลั่นแกล้งเช่นนี้ ยิ่งคิดเขาก็ยิ่งไม่เข้าใจว่าทำไมและเพราะอะไรภวินท์ถึงต้องมาทำแบบนี้กับเขาด้วย ทำไมถึงต้องจูบเขาและต้องทำให้เขาหวั่นไหวได้ถึงเพียงนี้ นทีรินไม่รู้ว่าตัวเองควรรู้สึกอย่างไรกับสามีแล้ว มันสับสนไปหมดและเขาก็หาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้ว่าทำไมภวินท์ถึงต้องทำตัวรุ่มร่ามกับเขานัก สิ่งที่อีกฝ่ายแสดงออกนั้นมันคือการแสดงตนเป็นเจ้าของเขาหรือเปล่า นทีรินไม่อยากจะคิดเข้าข้างตัวเองว่าเป็นเช่นนั้นหรอกเพราะเขาคงไม่คิดว่าภวินท์จะมารู้สึกอะไรกับตัวเองเด็ดขาด เขาเป็นภรรยาของภวินท์ที่มีผลแค่ทางกฎหมายแต่ถ้าทางใจเขาคงจะไม่มีผลอะไรกับชีวิตของอีกฝ่ายเลย

 

ร่างบางถอนหายใจยาวออกมาด้วยความกังวลไม่น้อยเมื่อนึกไปถึงบทสนทนาของตัวเองกับภาณินเมื่อไม่นานนี้

 

“นท… คือเรื่องที่นทขอไปอ่ะ เราถามพนักงานแล้วนะแต่ว่า…”ภาณินทำหน้าอึกอักเมื่อทำตามที่เพื่อนรักร้องขอไม่ได้

 

“ไม่ได้เหรอนิน…”

 

“เราขอโทษนะนท พนักงานบอกว่าห้องที่มีเตียงเดี่ยวสองเตียงถูกจองไว้หมดเลย พอดีช่วงนี้มันช่วงไฮซีซั่นน่ะลูกค้าเลยจองเต็มหมดก็เลยย้ายเตียงมาไว้ที่นี่ไม่ได้ แง…”

 

ภาณินทำหน้าจะร้องไห้เมื่อเห็นสีหน้าเป็นกังวลของเพื่อนที่แสดงออกอย่างชัดเจน และไม่มีความสงสัยอีกต่อไปว่าทำไมนทีรินถึงไม่อยากนอนร่วมเตียงกับภวินท์ เพราะต่อให้ทั้งคู่จะแต่งงานกันมาร่วมแปดปีแต่ไม่ได้มีความลึกซึ้งอย่างสามีภรรยาคู่อื่นที่พึงกระทำต่อกันเลย

 

“อ่า.. ไม่เป็นไรหรอกนิน นทเข้าใจ”นทีรินยิ้มบางให้เพื่อนเป็นเชิงว่าไม่เป็นไร

 

เพราะเขาเองก็ไม่อยากจะมากเรื่องและพลอยทำให้ทริปที่เพื่อนรักอุตส่าห์จัดขึ้นมานั้นต้องหมดสนุกเพราะความมากเรื่องของเขาหรอก ยิ่งเห็นว่าเพื่อนทำหน้าจะร้องไห้ลำบากใจนทีรินก็ยิ่งอดรู้สึกผิดไม่ได้

 

“ถ้านทไม่โอเค เดี๋ยวเราไปนอนกับนท แล้วให้พี่ปรินซ์ไปนอนกับพี่ภพดีไหม”

 

ภาณินเสนอเพราะไม่อยากให้นทีรินอึดอัด เขาเองก็ห่วงความรู้สึกของเพื่อนไม่น้อยเลย เมื่อได้ยินเช่นนั้นนทีรินก็รีบท้วงขึ้นทันที

 

“เฮ้ย ไม่เอาๆ ทำแบบนั้นได้ยังไงกัน ทริปนี้พี่ปรินซ์เขาอยากอยู่กับนินมากๆนะ… ไม่เป็นไรหรอก นทนอนเตียงเดียวกับคุณภพได้จริงๆ”

 

“นทโอเคจริงๆใช่ไหม เราเป็นห่วงจริงๆนะ”ภาณินถามย้ำเพื่อความมั่นใจ

 

“โอเคสิ นินไม่ต้องคิดมากนะ นทโอเคจริงๆ”

 

นทีรินยิ้มกว้างไปให้เพื่อนเป็นเชิงว่าเขาไม่เป็นไรและโอเคมากๆที่ต้องร่วมเตียงกับสามี ภาณินเห็นเช่นนั้นก็ยิ้มกว้างตอบมา

 

คำว่าโอเคที่นทีรินเอ่ยบอกเพื่อนๆไปนั้นมันชักจะไม่โอเคกับเขาสักเท่าไรเมื่อต้องมาอยู่ในห้องเดียวกับสามีในตอนนี้แล้ว ห้องนอนในพลูวิลล่าเรซิเดนส์แห่งนี้มีห้องน้ำในตัวทุกห้องและแต่ละห้องมีระเบียงซีวิวให้มองเห็นทะเลทุกห้อง บรรยากาศคล้ายกับห้องพักของคู่รักที่มาฮันนีมูนไม่มีผิด นทีรินรู้สึกขัดๆอย่างบอกไม่ถูกเมื่อต้องมาอยู่ในห้องกับสามีตามลำพังซึ่งตั้งแต่แต่งงานกันมาเขาสองคนไม่เคยได้ร่วมห้องแบบนี้ตามลำพังเลยแม้แต่ครั้งเดียว

 

ดวงตาหวานราวน้ำผึ้งเดือนห้าหันไปมองด้านข้างของตัวเองที่มีร่างหนาของสามีที่ท่อนบนนั้นใส่เสื้อฮาวายสีสันสดใสเหมาะสำหรับใส่มาเที่ยวทะเลตามคอนเซ็ปต์แต่เขาจะไม่รู้สึกอะไรเลยหากว่าอีกฝ่ายนั้นจะไม่ติดกระดุมเสื้อมันเลยสักเม็ดจนเผยให้เห็นร่างท่อนบนที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามเช่นนี้ ไม่ต้องแปลกใจเลยว่าทำไมเขาถึงสู้แรงของอีกฝ่ายไม่เคยได้เลย

 

“เป็นอะไรหรือเปล่า” เสียงทุ้มดังขึ้นพอให้นทีรินสะดุ้งเล็กน้อยจนหันหน้ากลับแทบไม่ทัน

 

“ค.. ครับ?”

 

“ถามว่าเป็นอะไรทำไมถึงทำหน้าแบบนั้น”

 

ภวินท์เอ่ยถามภรรยาที่นั่งตัวลีบติดริมโซฟาอีกฟากกับที่เขานั่งอยู่ด้วยแววตาขบขันไม่น้อย ใบหน้าหวานที่แสดงออกถึงความกังวลอย่างเห็นได้ชัดเช่นนั้นเขาก็พอจะรู้นั่นแหละว่าอีกฝ่ายกำลังคิดมากที่ต้องมานอนร่วมเตียงกับเขาแต่เขาก็อดที่จะแกล้งอีกฝ่ายไม่ได้

 

“เปล่านี่ครับ”

 

นทีรินแสร้งตีหน้านิ่งเพื่อกลบเกลื่อนความกังวลที่ภวินท์ดูอย่างไรก็ปกปิดไม่มิด และยิ่งนทีรินอวดเก่งกับเขามากเพียงใดมันก็ยิ่งทำให้เขาอยากแกล้งอีกฝ่ายมากขึ้นเท่านั้น

 

“ถ้าไม่อยากมาเที่ยว ทำไมถึงไม่บอกพวกเพื่อนๆตั้งแต่แรก”

 

เสียงทุ้มเอ่ยดังขึ้นตามที่ใจคิด หากอีกฝ่ายอึดอัดและไม่ได้อยากจะมาก็ควรปฏิเสธไปเสียแต่ทีแรกจะได้ไม่ต้องมาคอยระแวดระวังเขาอยู่เช่นนี้

 

“ผมไม่ได้ไม่อยากมาเที่ยวสักหน่อย”

 

คนที่นั่งข้างๆเอ่ยขึ้นเสียงขมุบขมิบ ใบหน้าหวานยู่ขึ้นขัดใจเพราะว่าเขาไม่ได้ไม่อยากมาเที่ยวอย่างที่อีกฝ่ายกล่าวหาแต่เขาเพียงแค่กำลังกังวลเมื่อต้องอยู่ตามลำพังกับอีกฝ่ายแบบนี้ต่างหาก

 

“หรือเป็นเพราะต้องมานอนร่วมเตียงผม?” ใบหน้าหล่อคมหันมองพลางเลิกคิ้วขึ้นถามอย่างรู้ทันด้วยความเจ้าเล่ห์จนนทีรินรู้สึกหวั่นใจ

 

“…”

 

ร่างบางไม่ตอบอะไรนอกจากหันหน้าหนีเพื่อหลบสายตาคมของอีกฝ่าย และเมื่อคนถามเห็นเช่นนั้นก็หัวเราะในลำคอขึ้นมาเป็นเชิงล้อเลียนและเย้ยหยันให้นทีรินรู้สึกเจ็บใจ

 

“หึหึ เงียบแบบนี้แสดงว่าใช่สินะ ถ้าอย่างนั้นคุณก็ควรบอกคนอื่นสิว่าไม่อยากมาเพราะอึดอัดที่จะต้องนอนกับสามีตัวเอง”

 

“ผมก็อยากจะบอกแบบนั้นนะครับ แต่เผอิญว่าผมเป็นคนมีมารยาทและมีความเกรงใจมากพอ”

 

สิ้นคำพูดของคนเป็นสามีนทีรินก็สวนขึ้นทันทีด้วยเสียงเด็ดเดี่ยวพลางต่อว่าอีกฝ่ายในใจ ภวินท์พูดราวกับว่าเรื่องนี้มันเป็นเรื่องง่ายที่จะเอาไปโพนทะนาบอกคนอื่น ต่อให้เขาอึดอัดที่จะอยู่กับสามีของตัวเองเขาก็จะเก็บความอึดอัดมันไว้ในใจนี่แหละถึงแม้จะเก็บไม่ค่อยมิดก็ตามที

 

“คุณนี่เกรงใจคนอื่นจนตัวเองอึดอัดตามเคยสินะ ถ้าอึดอัดจนมาเที่ยวไม่สนุกแบบนี้ก็ไม่น่าตกปากรับคำกับเพื่อนๆตั้งแต่แรก”

 

เสียงทุ้มที่เปล่งออกมาเป็นเหมือนคำต่อว่าทำให้นทีรินยิ่งรู้สึกเดือดดาล หากวันไหนที่อีกฝ่ายไม่ได้ต่อว่าเขานี่ท่าจะนอนไม่หลับเสียกระมัง

 

“ผมไม่ใช่คนที่จะพูดอะไรโดยไม่คิดแบบคุณนะครับ -- ทริปนี้นินกับพี่ปรินซ์ตั้งใจชวนเรามาถ้าไม่มามันก็น่าเกลียดสิครับ”

 

จะมาโทษเขาฝ่ายเดียวได้อย่างไร แล้วเพราะใครกันล่ะที่ทำให้เขาอึดอัดอยู่ตลอดแบบนี้ นทีรินเหนื่อยใจที่จะพูดกับภวินท์เสียแล้ว เพราะยิ่งพูดอีกฝ่ายก็หาเรื่องต่อว่าเขาไม่เลิก

 

“เอาเถอะๆ คุณจะคิดยังไงก็ตามใจ แต่ผมคงไม่เสียสละไปนอนโซฟาแบบพระเอกในหนังอะไรแบบนั้นคุณคงรู้นะ”

 

เสียงทุ้มเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงกวนประสาทเสียจนนทีรินขมวดคิ้วมุ่นเพื่อแสดงความไม่พอใจออกไป แต่ก็เปล่าประโยชน์เพราะคนเป็นสามีคงไม่ได้รู้สึกรู้สมอะไรกับความไม่พอใจของเขาหรอกนอกจากจะรู้สึกพึงใจเสียด้วยซ้ำที่สามารถกลั่นแกล้งเขาให้อารมณ์เสียได้ เขาน่ะจนใจจะแสดงอาการอะไรออกไปแล้ว

 

“ผมก็ไม่ได้หวังให้คุณทำแบบนั้นหรอกครับ แล้วผมก็ไม่คิดที่จะไปนอนโซฟาเหมือนกัน”

นทีรินตอกกลับอย่างไม่หวั่นเกรง

 

เรื่องอะไรเขาต้องลำบากไปนอนโซฟาแข็งๆให้ปวดหลังในขณะที่อีกฝ่ายได้นอนบนเตียงคิงไซส์สบายๆเช่นนี้กันล่ะ ต่อให้เขาจะกังวลที่ต้องนอนกับอีกฝ่ายแต่เขาก็ไม่อยากทนนอนลำบากๆให้ร่างกายเขาเจ็บปวดจนไม่สบายตัวหรอกนะ

 

“เก่งดีนี่ แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน”

 

ภวินท์ยิ้มมุมปากกับท่าทีเย่อหยิ่งอวดเก่งของภรรยาก่อนจะขยับตัวเข้ามาชิดกับร่างบางของภรรยาทันทีจนอีกฝ่ายไม่ทันตั้งตัวและขยับหนีไม่ได้นอกจากเอนตัวหลบเลี่ยงใบหน้าหล่อคมที่โน้มมาแทบจะชิดกับหน้าเขาอยู่แล้ว หัวใจดวงน้อยของนทีรินเต้นรัวเมื่อตาประสานกับดวงตาคม

 

“ค.. คุณภพ จะทำอะไรครับ?”

 

เสียงหวานเอ่ยเรียกเสียงเบาหวิวจนแทบไม่ได้ยินแต่ก็ไม่ได้ทำอีกฝ่ายนั้นผละออกหรือออกห่างเลยแม้แต่น้อย กลับกันร่างหนาเข้ามาชิดมากกว่าเดิม

 

“อย่ากลัวไปก่อนล่ะ เพราะคนที่มีแอลกอฮอลล์ในร่างกายมากๆบางที…”

 

ทั้งคู่อยู่ใกล้กันจนนทีรินได้กลิ่นแอลกอฮอลล์จางๆผสมกับกลิ่นกายของสามี ลมหายใจที่รินรดใบหน้าของเขามันทำให้ใบหน้าหวานขึ้นสีแดงพาดจนร้อนที่หน้าไปหมด ยิ่งใบหน้าคมโน้มเข้ามาใกล้จนจมูกคมที่ปัดผ่านแก้มนวลของเขานั้นมันยิ่งทำให้ร่างบางตัวแข็งทื่อ

 

“ก็เผลอทำอะไรไม่รู้ตัวได้เหมือนกัน”

 

เสียงทุ้มกระซิบข้างหูเบาๆด้วยน้ำเสียงกรุ้มกริ่มและเจ้าเล่ห์ไม่น้อยทำให้คนฟังหน้าแดงขึ้นมากกว่าเดิมและภายในใจก็เกิดความหวั่นไหวมากขึ้นกว่าเดิมอย่างห้ามไม่ได้ หัวใจที่เต้นเสียงระรัวดังขึ้นราวกับว่ามันจะหลุดออกจากอกเสียให้ได้เป็นเครื่องเตือนใจว่าการที่นทีรินอยู่ใกล้ภวินท์นั้นมันเริ่มอันตรายสำหรับร่างบางเสียแล้ว เพราะการที่เขารู้สึกหวั่นไหวไปกับการกระทำของสามีนั่นแหละคือสิ่งที่อันตรายกับหัวใจของนทีรินมากที่สุดเลย

 

สีหน้าตื่นตระหนกปนเขินอายของภรรยาราวกับว่าอีกฝ่ายเป็นกระต่ายน้อยตัวเล็กๆที่กำลังตื่นกลัวกับคำขู่ของราชสีห์อย่างภวินท์นั้นยิ่งทำให้เขานึกสนุกที่ได้แกล้งอีกฝ่ายให้เขินอายได้ ร่างสูงหลุดขำเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้ออกห่างจากตัวภรรยาเลยสักนิด จมูกคมปัดป่ายผ่านที่พวงแก้มที่ขึ้นสีแดงจางๆไปมาเป็นเชิงหยอกล้อจนนทีรินขยับหน้าหนี

 

“ย..หยุดแกล้งผมนะครับคุณภพ”

 

“กลัวแล้วเหรอ? ไม่เห็นเก่งเหมือนเมื่อกี้เลยนี่” ภวินท์เอ่ยถามเสียงกลั้วหัวเราะพอใจที่ปราบพยศภรรยาได้สำเร็จ

 

“ผ.. ผมจะไปนอนโซฟาเองก็ได้ครับ เชิญคุณนอนบนเตียงไปเถอะ”

 

ว่าจบร่างบางก็รีบลุกผึงขึ้นจากโซฟาหลังใหญ่ที่เขาคาดว่าจะเป็นที่พักพิงของตัวเองในคืนนี้แล้วรีบวิ่งเข้าห้องน้ำไปเลยโดยไม่สนใจเสียงหัวเราะของสามีที่ไล่หลังมาเลย

 

นทีรินขอกลับคำเรื่องที่ห่วงสุขภาพตัวเองไปก่อนเลย หากว่าเขาต้องร่วมเตียงกับภวินท์จริงๆล่ะก็ เขาต้องระแวงอีกฝ่ายจนไม่ได้นอนแน่ๆเลย พลันนึกไปถึงใบหน้าหล่อคมและเสียงทุ้มของสามียังคงก้องดังในโสตประสาทของนทีรินไปมาราวย้ำเตือน หัวใจดวงน้อยก็เต้นระรัวราวคนรัวกลองที่ไม่มีทีท่าว่าจะแผ่วลงเลย

 

บ้าที่สุด! แล้วคืนนี้เราจะกล้านอนได้ยังไง

 

นทีรินต่อว่าอีกฝ่ายในใจอย่างเดือดดาลและหวั่นใจพลางคิดไปว่าเขาควรจะทำอย่างไรดี หากไปขอความช่วยเหลือจากเพื่อนๆในตอนนี้ก็เป็นไปไม่ได้เลยเพราะเพื่อนรักทั้งสองคนตอนนี้ก็กำลังใช้เวลาส่วนตัวกับคนรักอยู่ เมื่อไม่มีทางเลือกใดๆแล้วนทีรินจึงต้องจำใจจำยอมนอนร่วมห้องกับคนเป็นสามีอย่างเลี่ยงไม่ได้

 

มาถึงขั้นนี้แล้ว ยอมนอนโซฟาสักวันก็ได้

 

นทีรินสะบัดหัวพยายามไล่ความคิดต่างๆออกไปจากหัวให้หมด ร่างบางพยายามตั้งสติกับตัวเองให้มั่นและก็คิดเสียว่าคืนนี้เขานอนคนเดียว เขาจะทำเป็นว่าไม่มีภวินท์อยู่ในห้องด้วยมันอาจจะดีขึ้น เมื่อคิดได้เช่นนั้นแล้วร่างบางก็ยิ้มให้กำลังใจตัวเองก่อนจะผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าอาบน้ำชำระร่างกายให้เรียบร้อย น้ำอุ่นในอุณหภูมิพอเหมาะทำให้นทีรินผ่อนคลายได้ดีเลยทีเดียว

 

ร่างบางในชุดนอนสีขาวเข้าชุดกันเดินออกมาจากห้องน้ำด้วยเสียงที่เบาที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ออกมาเมื่อไม่พบร่างของสามีที่นั่งอยู่โซฟาที่จะเป็นเตียงนอนของเขาในคืนนี้นทีรินก็ถอนหายใจยาวออกมาอย่างโล่งใจ ดวงตาหวานกวาดมองไปทั่วเพื่อหาว่าอีกฝ่ายไปไหนแล้วคำตอบก็ปรากฏเมื่อเห็นร่างสูงใหญ่ของสามียืนคุยโทรศัพท์อยู่ที่ระเบียงด้านนอก นทีรินหันหน้ากลับมาไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะทำอะไรอยู่ อย่างที่ใจคิดเขาจะคิดเสียว่าไม่มีภวินท์อยู่ในห้องเขาจะได้นอนหลับได้สบายเสียทีเพราะวันนี้เขาทั้งเหนื่อยทั้งเพลียมามากแล้ว

 

ร่างบางเดินไปหยิบหมอนและผ้าห่มผืนเล็กในตู้เสื้อผ้าขนาดใหญ่มาจัดแจงบนโซฟาหลังใหญ่ที่เขาใช้เป็นที่พักผ่อนก่อนจะล้มตัวลงนอนแม้มันจะไม่ได้สบายเท่าเตียงคิงไซส์หลังใหญ่นั้นแต่นทีรินก็ยอมนอนในที่ๆตัวเองสบายใจดีกว่า อย่างที่เขาบอกนั่นแหละคับที่อยู่ได้คับใจให้อยู่อย่างไรก็อยู่ยากกว่า ความเพลียและความเหนื่อยล้าสะสมที่ผ่านๆมาทำให้นทีรินผล็อยหลับไปได้ง่ายเลยทีเดียว

 

ภวินท์เดินเข้ามาภายในห้องหลังจากที่วางสายจากหุ้นส่วนบริษัทซูเปอร์คาร์นำเข้าของเขาแล้ว แม้แต่วันที่เขาลาพักร้อนก็ยังมีงานและปัญหามาให้ปวดหัวได้ทุกวัน การเป็นผู้บริหารใครบอกว่าสบายภวินท์ขอเถียงขาดใจเลยล่ะ

 

ร่างสูงมองไปที่ประตูห้องน้ำที่ได้ถูกแง้มไว้เล็กน้อยมันแสดงให้รู้ว่าภรรยาได้ออกมาจากห้องน้ำแล้ว ร่างสูงจึงเดินเข้าไปใช้ต่อ เมื่อเดินเข้าไปจมูกคมได้กลิ่นหอมอ่อนๆประจำตัวของภรรยาอย่างคุ้นเคยกลิ่นหอมหวานที่ไม่มีความเลี่ยนเลยแม้แต่น้อย หลังจากที่เครียดจากปัญหาเรื่องงานเมื่อครู่กลิ่นหอมของภรรยากลับทำให้เขาผ่อนคลายและอารมณืดีขึ้นอย่างประหลาด

 

ภวินท์จัดการธุระส่วนตัวเรียบร้อยแล้ว ร่างสูงสมส่วนในกางเกงนอนขายาวสีเทาผ้าเนื้อดีโดยท่อนบนปราศจากอาภรณ์ติดกายเนื่องจากเขาเป็นคนขี้ร้อน

เขาเดินมาหยุดที่โซฟาหลังใหญ่ก็พบว่ามีร่างบางของภรรยานอนหลับอยู่ตามที่อีกฝ่ายได้ลั่นประกาศิตไว้ ร่างสูงอมยิ้มขำเล็กน้อยเมื่อนึกไปถึงเหตุการณ์เมื่อครู่ สีหน้าตื่นตระหนกราวกับลูกกระต่ายกำลังตื่นกลัวนั้นทำให้เขาหลุดยิ้มออกมาได้ไม่ยากทั้งๆที่ที่ผ่านมามีแต่คนบอกว่าเขาน่ะคือเสือยิ้มยาก

 

“นท…”

 

“…”

 

“นท.. หลับแล้วเหรอ”

 

เสียงทุ้มเอ่ยเรียกร่างบางที่นอนหลับตาพริ้มไม่รู้สึกตัวใดๆลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมอทำให้ภวินท์รู้ว่าภรรยาได้เข้าสู่ห้วงนิทราไปแล้วและไม่มีทีท่าว่าจะตื่นขึ้นมาพูดคุยหรือถกเถียงเขาแล้ว มือบางดึงผ้าห่มผืนเล็กนั้นมากอดไว้แน่นราวกับหาความอบอุ่นที่แทบจะไม่ได้จากมันเลย อุณหภูมิต่ำถึงสิบแปดองศาจากแอร์คอนดิชันเนอร์นั้นทำให้ร่างบางรู้สึกหนาวได้

 

ภวินท์จ้องไปที่ดวงหน้าหวานของอีกฝ่ายก็อดส่ายหัวยิ้มๆกับความดื้อรั้นของอีกฝ่ายไม่ได้ ร่างสูงตัดสินใจช้อนตัวร่างบางขึ้นแนบอกแล้วเดินไปที่เตียงคิงไซส์หลังใหญ่ก่อนจะวางร่างบางของภรรยาลงบนเตียงอย่างเบามือเพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะตื่นมาและได้เปิดศึกกันอีก เพราะความดื้อรั้นของภรรยาของเขานั้นมีน้อยเสียเมื่อไรกัน ร่างสูงเดินไปอีกฟากของเตียงแล้วล้มตัวลงนอนก่อนจะดึงผ้าห่มผืนหนาขึ้นมาคลุมทั้งร่างของเขาและภรรยาไว้ก่อนจะดึงผ้าห่มเพื่อจัดแจงให้คลุมตัวอีกฝ่ายให้อบอุ่นขึ้นแต่ต้องชะงักไปเล็กน้อยเมื่อมือบางเอื้อมมาจับมือเขาไว้แน่น

 

“อือ.. อย่าดึงผ้าห่ม.. นทหนาว”

 

ร่างบางขยับตัวหันตะแคงข้างมาทางเขาเสียงหวานเอ่ยดังขึ้นพลางมือบางก็ดึงผ้าห่มมาคลุมตัวไว้จนชิดปลายคาง ภวินท์ยิ้มขำเพราะรู้ว่าการที่อีกฝ่ายแทนตัวเองด้วยชื่อเล่นแบบนั้นทำให้ภวินท์รู้เลยว่าภรรยานั้นหลับจนละเมอใส่เขาเสียแล้ว

 

“หึหึ ขี้เซาตามเคยสินะ”

 

ภวินท์นอนหันตะแคงข้างใบหน้าคมขยับเข้าไปใกล้ใบหน้าหวานเพื่อจ้องหน้าอีกฝ่ายได้อย่างถนัดถนี่ ดวงตาคมไล่พิจารณาใบหน้าของภรรยาตั้งแต่ดวงตาหวานซึ้งที่ถูกปิดสนิทมาจนถึงจมูกโด่งรั้นที่ชอบยู่ใส่เขาในบางคราไล่เรียงมาจนถึงริมฝีปากอิ่มแดงที่เขาได้เคยสัมผัสมาแล้ว การได้นอนร่วมเตียงกับนทีรินในคืนนี้นั้นเป็นความรู้สึกที่ภวินท์ก็อธิบายไม่ถูก ถึงมันจะไม่ใช่ครั้งแรกที่เขานอนกับอีกฝ่ายก็ตามที ในครั้งที่เขาและนทีรินยังเด็กๆกันอยู่นั้นก็นอนร่วมเตียงด้วยกันอยู่บ่อยครั้งเมื่ออีกฝ่ายมาเล่นที่บ้านเขาจนดึกดื่นและได้นอนค้างคืนด้วยกันและก็มีบางครั้งที่เขาได้ไปนอนที่บ้านของอีกฝ่ายบ้าง ในตอนนั้นมันคือความรู้สึกของพี่ชายและน้องชายนอนด้วยกัน แต่ครั้งนี้ความรู้สึกมันกลับต่างออกไปเพราะครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกที่เขานอนกับอีกฝ่ายในฐานะสามีภรรยา ความรู้สึกผ่อนคลายจนหัวใจพองโตบังเกิดขึ้นกับภวินท์อย่างที่เขาไม่เคยเป็นมาก่อน กลิ่นหอมหวานจากกายบางที่อยู่ห่างกันไม่ถึงคืบนั้นเรียกร้องให้เขาทำในสิ่งที่หัวใจสั่งมากกว่าสมองนั่นก็คือการประทับจูบไปที่หน้าผากมนของภรรยาแผ่วเบาและนุ่มนวล

 



“ฝันดีนะนท”

 

 

***

ต่อข้างล่างค่ะ
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๙ (17-4-62)
เริ่มหัวข้อโดย: yokindy ที่ 24-04-2019 17:16:42
เช้าวันที่สองของทริปเกาะหลีเป๊ะเมื่อทุกคนตื่นนอนและจัดการธุระของตัวเองเรียบร้อยแล้ว ทั้งหมดก็พากันออกมานั่งทานอาหารเช้าแบบบุฟเฟ่ต์ที่ถูกตระเตรียมโดยเชฟของทางโรงแรม และมีบัตเลอร์คอยอำนวยความสะดวกให้ตั้งแต่เช้าตรู่ บนโต๊ะอาหารถูกจัดวางไปด้วยอาหารเช้าแบบอเมริกันเบรกฟาสต์ อาหารไทยและอาหารจีนกวางตุ้งร่วมสมัยเรียงรายอยู่เต็มไปหมด

 

ในเช้านี้นทีรินเลือกทานเป็นข้าวต้มปลาเต๋าเต้ยพร้อมกับชาเอิร์ลเกรย์ร้อนแบบเบาๆเนื่องจากว่าในช่วงเช้านั้นเขาไม่ค่อยเจริญอาหารสักเท่าไรและในวันนี้จะต้องไปล่องเรือเที่ยวอีกด้วยเขาจึงไม่อยากทานอะไรให้หนักท้องมากเกินไปจนเกิดความไม่สบายตัวขึ้น

 

“นท เมื่อคืน…”

 

ภาณินที่นั่งทานอาหารเช้าอยู่เคียงข้างเอ่ยขึ้นพลางละคำพูดบางอย่างไว้ให้แสดงออกทางสีหน้าเผยออกไปเพียงอย่างเดียว นทีรินเห็นเช่นนั้นก็ทำหน้าอึกอักเพราะรู้ดีว่าเพื่อนจะถามถึงเรื่องอะไร

 

“อ.. อะไรเหรอนิน”

 

“เมื่อคืนนทเป็นยังไงบ้าง”

 

ภาณินเอ่ยถามออกไปด้วยความใคร่รู้ กอปรกับเหมือนชนกเองก็นั่งฟังอย่างตั้งใจเช่นกันเพราะเขาเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าการที่ภวินท์และนทีรินอยู่ร่วมห้องกันเมื่อคืนนั้นเกิดอะไรกับเพื่อนรักของเขาบ้างไหมและสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นมันจะเป็นข่าวดีกับตัวเพื่อนของเขาบ้างไหม

 

“อ่า.. นทโอเคดี ไม่มีอะไร” นทีรินเอ่ยบอกเพื่อนรักทั้งสองพลางส่งยิ้มบางๆไปให้เพื่อให้เพื่อนคลายกังวล

 

“แล้วพี่ภพไม่ได้… ใช่ไหม” เหมือนชนกเอ่ยถามขึ้นด้วยความใคร่รู้พลางยิ้มล้อไปให้จนนทีรินเขินจนวางหน้าวางตัวไม่ถูก

 

“ม.. ไม่นะ ไม่ได้ทำอะไร”

 

“นทหน้าแดงเลยอ่ะ นี่ไม่ได้โกหกพวกเราใช่ไหม”

 

ภาณินเอ่ยขึ้นเนื่องจากแก้มขาวนวลของเพื่อนรักตอนนี้ได้แปรเปลี่ยนเป็นสีชมพูอ่อนๆเรียบร้อยแล้ว คำคาดคั้นพร้อมสายตาที่ล้อเลียนจากเพื่อนๆทำให้นทีรินย่นจมูกใส่งอนๆพลางเอ่ยบอกเสียงกระเง้ากระงอด

 

“นทเปล่าสักหน่อย เชื่อนทเถอะมันไม่มีอะไรอย่างที่เหมือนกับนินคิดเลย”

 

มันไม่ได้เป็นอย่างที่ทั้งภาณินและเหมือนชนกคิดหรอกแต่ก็ไม่ใช่ว่ามันไม่ได้มีเรื่องอะไรมาทำให้เขาเขินอายได้ถึงเพียงนี้นี่นา นทีรินลอบถอนหายใจเบาๆเมื่อนึกไปถึงเหตุการณ์เมื่อเช้าที่เขาพบเจอ

 

 

“คุณภพ..”

 

 นทีรินสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาแล้วพบหน้าบุคคลที่นอนเคียงข้างเขาทั้งคืนแถมยังมีแขนแกร่งพาดลงมาบนเอวบางของเขาอีกด้วยซึ่งนั่นก็แปลได้ว่าเขาถูกภวินท์นอนกอดทั้งคืน ใบหน้านวลขึ้นเห่อร้อนเมื่อพบว่าอีกฝ่ายเปลือยท่อนบนเผยให้เห็นร่างกำยำอย่างคนที่ออกกำลังกายสม่ำเสมอ นทีรินหันซ้ายหันขวาทำตัวไม่ถูกพลางกำลังจะขยับตัวให้หลุดจากอ้อมกอดของอีกฝ่ายแต่ก็ต้องสะดุ้งเฮือกเมื่อได้ยินเสียงทุ้มดังขึ้นข้างหู

 

“ตื่นแล้วเหรอ”

 

“ค.. ครับ”

 

 เสียงทุ้มนุ่มนั้นทำให้นทีรินไม่กล้าลุก ภวินท์เอ่ยถามทั้งๆที่ยังหลับตาแต่กลับไม่ขยับตัวเพื่อปล่อยร่างเขาให้เป็นอิสระเสียที ร่างบางได้แต่นึกแปลกใจว่าเขามานอนที่เตียงนี้ได้อย่างไรในเมื่อเขาเลือกที่จะนอนโซฟาเมื่อคืนนี้แล้ว

 

“ทำไมตื่นเช้า” ดวงตาคมลืมขึ้นพลางเอ่ยถาม นทีรินอึกอักเล็กน้อยแต่ก็ตอบออกไป

 

“ก็มันชินแล้วนี่ครับ”

 

“นอนต่ออีกสักหน่อยเถอะมาพักผ่อนไม่ใช่หรือไง”

 

เมื่อฟังคำตอบจากภรรยาจบแล้วภวินท์ก็เอ่ยบอกก่อนจะหลับตาลงอีกคราพลางกักกอดร่างบางให้มาแนบชิดโดยไม่สนใจเสียงโวยวายเล็กๆจากภรรยาเลย

 

“ปล่อยนะครับคุณภพ.. ผมจะไปโทรฯหาอากง”

 

นทีรินเอ่ยบอกคนฉวยโอกาสพลางดันอกของอีกฝ่ายออกแต่ไม่เป็นผลเมื่อคราวนี้ภวินท์เล่นใช้มือสองข้างคว้าตัวเขาเข้าไปกอดไว้แนบชิดกว่าเดิมจนตัวเขาแทบจะเกยไปบนร่างกายของอีกฝ่ายแล้ว

 

“โทรฯไปรบกวนอะไรอากงแต่เช้าหืม”

 

เสียงทุ้มถามขึ้นจนนทีรินใจกระตุกวูบ มันไม่ใช่เสียงติดดุไม่ใช่เสียงที่เย้ยหยันถากถางอย่างที่อีกฝ่ายชอบพูดกับเขาแต่กลับเป็นน้ำเสียงนุ่มนวลและอบอุ่นอย่างที่ภวินท์เคยพูดกับเขาในตอนที่อีกฝ่ายเป็นพี่ชายที่แสนดี

 

“ก.. ก็ผมเป็นห่วงท่านนี่ คุณน่ะหัดห่วงท่านบ้างสิครับ”

 

นทีรินพยายามกดกลั้นความเขินอายโดยการแสร้งต่อว่าอีกฝ่ายออกไป ภวินท์หัวเราะในลำคอเบาๆเมื่อเห็นใบหน้ายุ่งๆของภรรยาแต่ทว่าแก้มนวลนั้นขึ้นสีแดงจางๆให้เห็นได้ชัด

 

“ห่วงอยู่ทุกวัน”

 

เสียงทุ้มเอ่ยออกไปตามความจริง แม้ว่าเขาจะไม่ได้อยู่ดูแลอากงอย่างใกล้ชิดอย่างที่นทีรินทำแต่ไม่ใช่ว่าเขาละเลยการเป็นหลานที่ดีของอากงไป เขายังขึ้นไปเยี่ยมอากงทุกครั้งก่อนไปทำงานและกลับมาพูดคุยกับอากงในตอนกลับมาที่บ้านทุกครั้ง เพียงแต่สิ่งที่เขาทำนั้นไม่มีใครมามองเห็นหรือพบเจอเท่านั้นเองและภวินท์ก็ไม่ได้สนใจว่าจะมีใครมองเห็นความดีที่เขาทำต่ออากงหรือไม่เพราะสิ่งที่เขากระทำเขาย่อมรู้อยู่แก่ใจว่ากำลังทำอะไรอยู่

 

“ห่วงแต่ก็ไม่เคยแสดงให้เห็นว่าห่วงเลยสักนิด”นทีรินสบตาคมพลางต่อว่าอีกฝ่ายด้วยเสียงประชดประชันจนภวินท์ยิ้มขำใส่

 

“นี่กำลังน้อยใจแทนอากง?” เสียงทุ้มเอ่ยเสียงกลั้วหัวเราะจนนทีรินจิ๊ปากและยู่หน้าใส่อย่างลืมตัว

 

“ผมเปล่าสักหน่อย.. ก็ผมพูดเรื่องจริงนี่นา ถ้าคุณห่วงท่านก็ใช้เวลากับท่านเยอะๆสิครับ อากงมีคุณเป็นหลานคนเดียวท่านย่อมรักและอยากใช้เวลาที่เหลือกับคุณให้มากที่สุดอยู่แล้ว ส่วนคุณก็ต้องทำตัวเป็นหลานที่ดีของท่านเพื่อชดเชยเวลาที่ผ่านมาที่คุณไม่ได้ใช้ชีวิตร่วมกับท่านเลย..”

 

เสียงหวานเอ่ยบอกยาวเหยียดจนภวินท์ลอบยิ้มว่าขณะที่นทีรินกำลังสั่งสอนเขาไปอย่างเป็นธรรมชาติโดยที่อีกฝ่ายคงลืมไปแล้วว่ากำลังตกอยู่ในอ้อมกอดของเขาและใบหน้าของเขาและอีกฝ่ายก็ห่างกันไม่ถึงคืบเลยด้วยซ้ำ ภวินท์จับจ้องไปที่ดวงหน้าหวานและปากอิ่มที่กำลังเอ่ยเจื้อยแจ้วไปมาอย่างเพลินๆ

 

“ย.. ยิ้มอะไรล่ะครับ… ที่ผมพูดนี่คุณได้ฟังบ้างหรือเปล่า”

 

“อืม.. พูดต่อสิ”

 

นทีรินเอ่ยขึ้นเมื่อมองไปที่ใบหน้าคมของอีกฝ่ายที่มีรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ประดับอยู่บนหน้า ใบหน้าคมที่ห่างเขาไม่ถึงคืบทำให้นทีรินขยับหน้าออกห่างทันทีพลันนึกเอ็ดตัวเองว่าไม่น่าลืมตัวขนาดนี้เลย แล้วสุดท้ายเขาก็ต้องมาโดนอีกฝ่ายหัวเราะเยาะอีกแน่นอนเลย

 

“ไม่พูดแล้วครับ ถ้าคุณฟังจริงๆก็กรุณาทำด้วยนะครับ”

 

“ครับ เข้าใจแล้วครับคุณภรรยา”

 

เสียงทุ้มนุ่มรับคำอย่างว่าง่ายทำให้นทีรินหัวใจพองโตและนึกแปลกใจอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ดวงตาหวานจับจ้องเข้าไปในดวงตาคมอย่างมีความหมายเพราะเขาหวังว่าสิ่งที่อีกฝ่ายตกปากรับคำนั้นไม่ใช่เพียงคำพูดพล่อยๆที่ต้องการพูดเพื่อแกล้งแหย่เขาแต่เขาอยากให้ภวินท์ทำได้อย่างที่พูดจริงๆ ใบหน้าคมขยับเข้ามาใกล้จนจมูกคมชนกับจมูกของนทีรินเมื่อรู้สึกถึงลมหายใจอุ่นๆที่รินรดกันและกันทำให้นทีรินรู้สึกตัวและพยายามขยับออกห่าง

 

“ก.. ก็ดีแล้วครับ -- ปล่อยผมได้หรือยังล่ะครับ ผมจะได้ไปโทรฯหาอากงสักที”

 

นทีรินขืนตัวออกจากอ้อมแขนแกร่งที่กักกันเขาไม่ให้ออกไปได้แต่ไม่เป็นผลเพราะภวินท์ไม่มีทีท่าจะยอมปล่อยตัวเขาเลย นทีรินถอดถอนใจอย่างเหนื่อยหน่ายกับคนขี้แกล้ง

 

“คุณบอกเองไม่ใช่เหรอว่าให้ผมทำตัวเป็นหลานที่ดีของอากง เพราะงั้นผมจะโทรฯหาอากงเอง ส่วนคุณ.. ก็มีหน้าที่อื่นที่จะต้องทำ” เสียงทุ้มเจ้าเล่ห์เอ่ยบอกจนนทีรินทำหน้าฉงนใส่กลับไปอย่างไม่เข้าใจ

 

“หน้าที่อะไรครับ”

 

“คุณรู้ว่าหลานที่ดีต้องปฏิบัติตัวกับอากงยังไง แล้วคุณรู้หรือยังว่าภรรยาที่ดีต้องปฏิบัติตัวกับสามียังไง..”

 

นทีรินสะดุ้งตื่นตระหนกเมื่อร่างหนาลุกขึ้นมาคร่อมทับตัวเขาไว้ คำพูดเจ้าเล่ห์และแววตากรุ้มกริ่มที่ไล่สายตาไปทั่วร่างบางของนทีรินแบบนั้นมันยิ่งแสดงให้เห็นว่าอีกฝ่ายกำลังกลั่นแกล้งคนไม่มีทางสู้อย่างเขาอีกแล้ว

 

“คุณภพ! หยุดเลยนะครับ! หยุดแกล้งผมแบบนี้เสียที”

 

นทีรินโวยวายเสียงดังก่อนจะผลักร่างของสามีสุดแรงที่มีจนหลุดออกจากพันธนาการของอีกฝ่ายได้ ร่างบางหอบหายใจแฮกเพราะว่าการที่ต้องใข้แรงร่วมกับคนที่ตัวใหญ่กว่ามันทำให้เขาเสียพลังงานไปพอสมควรเลย 

 

“ก็ดูเหมือนคุณจะไม่รู้วิธีการเป็นภรรยาที่ดีผมก็กำลังจะบอกอยู่นี่ไง”

 

ภวินท์เอ่ยขึ้นพลางหัวเราะอย่างพึงใจที่สามารถกลั่นแกล้งเขาได้ นทีรินกัดฟันกรอดอย่างเจ็บใจและขัดใจที่ทำอะไรอีกฝ่ายไม่ได้เลย ซ้ำยังถูกอีกฝ่ายหัวเราะเยาะอีกต่างหาก

 

“คุณเองก็ไม่รู้วิธีการเป็นสามีที่ดีเหมือนกันนั่นแหละครับ เพราะฉะนั้นโปรดอย่ามาเรียกร้องการเป็นภรรยาที่ดีจากผมเลย!” ร่างบางตอกกลับคนเป็นสามีด้วยความโมโห

 

ภวินท์เป็นคนขี้แกล้งที่น่าโมโหที่สุดเท่าที่ชีวิตเขาเคยเจอมาเลยจนร่างบางเหลือที่จะอดทนกับอีกฝ่ายแล้ว


                                                                                                 

 

บทสนทนาจบลงอยู่เพียงเท่านั้นนทีรินก็รีบวิ่งเข้าไปในห้องน้ำทันทีโดยไม่ได้ฟังคำพูดใดๆจากสามีอีกเลย ร่างบางย่นจมูกก่อนจะถอนหายใจหนักๆอย่างขัดใจเมื่อนึกไปถึงคำพูดถากถางแววตาล้อเลียนของอีกฝ่าย การกระทำที่ดูเหมือนหยอกล้อของภวินท์โดยที่เจ้าตัวคงไม่ตระหนักถึงจิตใจของเขาเลยว่าจะรู้สึกอย่างไรบ้าง แต่ก็เป็นเขาเองที่อดเอ็ดตัวเองในใจไม่ได้ที่เผลอไผลไปกับการกระทำของสามี

 

 


แล้วเขาต้องห้ามใจอย่างไรไม่ให้รู้สึกหวั่นไหวกับภวินท์มากไปกว่านี้…

 

 
To be continue

_____________________________________________________________________________________________


TALK WITH WRITER :: ช่วยด้วยค่าาาา มีคนใจร้ายลวนลามน้อง แง้ T^T แต่งเองก็อยากจะทุบพี่ภพแรงๆเลย คนอะไรใจร้ายขนาดนี้ยังมาทำน้องหวั่นไหวได้อีกแหน่ะ ฝากรีดเดอร์ทุบพี่ภพให้ด้วยนะคะ เจอกันตอนหน้าค่า :)
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๑๐ (24-4-62)
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 24-04-2019 21:08:47
พี่ภพน่าทุบมากกกก
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๑๐ (24-4-62)
เริ่มหัวข้อโดย: Funnycoco ที่ 24-04-2019 21:09:53
ทำไมพระเอกขี้แกล้งอย่างงี้ ไม่รักก็ปล่อยน้องไปเลย แมนๆหน่อยสิ :katai1:
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๑๐ (24-4-62)
เริ่มหัวข้อโดย: we.jinkyu ที่ 24-04-2019 21:12:55
น้องนท โดนแกล้ง  :mew2:
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๑๐ (24-4-62)
เริ่มหัวข้อโดย: HISY ที่ 24-04-2019 22:51:33
ไปจัดการทำความเข้าใจความรู้สึกของตัวเองก่อนเถอะอิพี่ภพ
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๑๐ (24-4-62)
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 24-04-2019 23:53:41
 :hao7: :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๑๐ (24-4-62)
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 25-04-2019 00:06:15
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๑๐ (24-4-62)
เริ่มหัวข้อโดย: Toon_TK ที่ 25-04-2019 00:25:35
รอวันที่พี่ภพถุกเอาคืนอย่างสาสม
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๑๐ (24-4-62)
เริ่มหัวข้อโดย: sailom_orn ที่ 25-04-2019 02:00:28
 o18 เหมือนพี่ภพจะเริ่มหลงรักน้องโดยไม่รู้ตัว
รอหัวเราะพวกปากแข็ง หัวดื้อ :laugh:
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๑๑ (2-5-62)
เริ่มหัวข้อโดย: yokindy ที่ 02-05-2019 21:34:50
บทที่ ๑๑



 
หลังจากกลับมาจากทริปเที่ยวจากเกาะหลีเป๊ะแล้วทุกอย่างก็กลับสู่เหตุการณ์ปกติก็คือนทีรินมีหน้าที่กลับมาดูแลและจัดการทุกอย่างภายในบ้านกิจจานนท์เช่นเคยซึ่งรวมไปถึงการดูแลเจ้าสัวพีระด้วยส่วนภวินท์ก็มีหน้าที่กลับไปทำงานที่เดอะแกรนด์ฯดังเดิม

 

ทุกอย่างในชีวิตดำเนินไปตามปกติแต่สิ่งที่ไม่ปกติสำหรับนทีรินในตอนนี้นั้นก็คงจะเป็นหัวใจของเขาเองที่มันเริ่มจะทรยศตัวเขาโดยการเผลอไปหวั่นไหวกับการกระทำของภวินท์ที่เปลี่ยนไปจากเดิมโดยสิ้นเชิง จากที่เคยเมินเฉยต่อกันบัดนี้กลับใกล้ชิดกันมากขึ้นโดยที่นทีรินแทบจะตั้งตัวไม่ทัน สายตาคมของอีกฝ่ายที่เคยมองเขาอย่างเย้ยหยันบัดนี้ก็แปรเปลี่ยนเป็นอ่อนละมุนขึ้นจนเขาต้องหลบสายตาคู่นั้นไปเสียทุกครั้งเพราะมันมีผลต่อการเต้นของหัวใจเสียเหลือเกิน

 

นทีรินกำลังพยายามที่จะไม่รู้สึกอะไรกับสามีตัวเองแต่ทำไมมันถึงทำได้ยากนัก ภวินท์เป็นคนที่มีผลต่อหัวใจของเขามาตลอดไม่ว่าจะเป็นในอดีตที่เขาสองคนยังดีๆกันอยู่หรือแม้กระทั่งตอนนี้ที่หัวใจของเขามันร่ำร้องตลอดว่าใครที่อยู่ในใจอย่างที่นทีรินไม่อยากจะยอมรับมันสักเท่าไร แต่อย่างที่เขาพูดกันคนเราคิดจะโกหกใครก็ย่อมได้แต่ไม่สามารถโกหกหัวใจตัวเองได้

 

นทีรินลอบถอนหายใจเบาๆเมื่อนึกไปถึงใบหน้าของคนที่ทำให้เขาจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวอยู่ร่ำไป อาการวิตกกังวลแปลกๆของหลานสะใภ้นั้นสร้างความแปลกใจให้เจ้าสัวพีระไม่น้อยเลย

 

“นท ไปเที่ยวมาเป็นไงบ้าง”

 

ชายชราที่ถูกจัดท่าทางให้นั่งชันหัวเตียงอยู่บนเตียงขนาดคิงไซส์หลังใหญ่เอ่ยถามหลานสะใภ้ด้วยสีหน้าเป็นห่วง เพราะไม่รู้ว่าหลังจากกลับจากเที่ยวหลานสะใภ้ไปพาเรื่องไม่สบายใจอะไรกลับมาด้วยหรือเปล่า

 

สิ้นคำถามและสีหน้าที่ดูเป็นกังวลของเจ้าสัวพีระนั้นทำให้นทีรินรีบเอ่ยตอบพร้อมรอยยิ้มกว้างเพื่อไม่ให้ชายชราต้องเป็นกังวลตามตัวเอง

 

“สนุกดีครับอากง อากงหายไวๆนะครับนทจะได้พาไปเที่ยวบ้าง”

 

นทีรินคิดถึงเมื่อครั้งยังเด็กที่เจ้าสัวพีระพาเขา ภวินท์และคุณทิวาไปเที่ยวด้วยกัน ในตอนนั้นมันช่างมีความสุขจนแทบจะบรรยายเป็นคำพูดไม่ได้เพราะมันสุขจนล้นหัวใจจริงๆ ถ้าเลือกได้นทีรินก็อยากจะมีชีวิตที่มีความสุขเช่นเมื่อครั้งในอดีตพาผู้มีพระคุณของเขาคนนี้ไปเที่ยวบ้างแต่เหมือนมันจะสายเกินไปแล้ว

 

“อั๊วขอโทษนะที่ผ่านมาอั๊วเป็นภาระให้ลื้อมากเลย”

 

แววตาของชายชราหม่นแสงลงเล็กน้อย เขารู้ดีว่าการที่เขาให้นทีรินกับภวินท์แต่งงานกันมันก็เป็นการตัดสิทธิ์ของหลานทั้งสองคนโดยปริยาย เขาทำให้นทีรินหมดโอกาสในการใช้ชีวิตตามวิถีปกติของวัยรุ่นเพราะเมื่อนทีรินได้เข้ามาใช้นามสกุลกิจจานนท์ก็เท่ากับว่าจะต้องแบกภาระรับผิดชอบอะไรหลายๆอย่างไว้ตั้งแต่อายุยังน้อย แต่เขามีความเชื่อว่าสักวันหนึ่งสิ่งที่เขาตัดสินใจทำลงไปทั้งหมดมันจะต้องเป็นผลดีต่อหลานทั้งสองคนแน่นอน

 

“อย่าพูดแบบนั้นสิครับอากง อากงไม่เคยเป็นภาระของนทเลยนะ อากงคือคนสำคัญที่สุดของนทนะครับ”

 

นทีรินกุมมือเหี่ยวย่นของชายชราไว้แน่นดวงตาหวานซึ้งมีน้ำตาคลอหน่วยรื้นขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่

เขาไม่เคยคิดและไม่แม้แต่จะคิดว่าเจ้าสัวพีระคือภาระของตัวเอง กลับกันชายชราคนนี้คือผู้มีพระคุณที่ให้ชีวิตใหม่กับเขาในวันที่เขาแทบไม่เหลือใครในชีวิต เจ้าสัวพีระรักและดูแลเขาเปรียบเสมือนหลานแท้ๆถ้าสิ่งใดที่ทำให้อีกฝ่ายมีความสุขนทีรินก็พร้อมที่จะทำทุกอย่าง

 

“ขอบคุณนะนท.. ขอบคุณลื้อมากๆ ขอบคุณที่ทำให้อั๊วรู้ว่าการที่อั๊วรักทิวามันไม่ใช่เรื่องผิด ขอบคุณที่ลื้อเป็นหลานที่ดีที่สุดของทิวา ขอบคุณที่ลื้อทำหน้าที่หลานสะใภ้ของกิจจานนท์ได้ดีที่สุด ลื้อจำไว้นะนท ลื้อไม่ใช่แค่หลานสะใภ้ของอั๊วแต่ลื้อคือครอบครัวของอั๊ว”

 

ชายชราเอ่ยบอกพร้อมรอยยิ้มบางๆในความรู้สึกซาบซึ้งใจ นทีรินเป็นอีกคนหนึ่งที่ไม่เคยมองว่าความรักของเขาและทิวาเป็นเรื่องผิดธรรมชาติอย่างที่คนอื่นมอง นทีรินในสายตาของเจ้าสัวพีระคือเด็กตัวเล็กๆที่ดูเหมือนจะอ่อนแอแต่ที่จริงแล้วจิตใจของเด็กคนนี้ช่างยิ่งใหญ่และเข้มแข็งนัก นทีรินไม่เคยย่อท้อและยอมแพ้ให้เขาเห็นเลยสักครั้งเดียวไม่ว่าจะเรื่องอะไร เขาคิดไม่ผิดเลยที่ให้นทีรินเข้ามาเป็นคนในครอบครัวของเขา

 

“นททำทุกอย่างเพื่ออากงครับ อะไรที่ทำให้อากงมีความสุขนทยอมทุกอย่างครับ”

 

หลานสะใภ้เอ่ยบอกด้วยเสียงหนักแน่นที่ออกมาจากใจจริงๆ การกตัญญูต่อผู้มีพระคุณนั้นคือสิ่งที่นทีรินถูกสั่งสอนให้ยึดถือมากกว่าสิ่งใดทั้งหมด เพราะฉะนั้นหากสิ่งใดที่เจ้าสัวพีระมีความสุขเขายอมทำตามทุกอย่างไม่ใช่แค่เพราะเขากตัญญูต่ออีกฝ่ายเท่านั้นแต่มันเป็นเพราะเขารักและเคารพเจ้าสัวพีระเหมือนคนในครอบครัวที่เหลืออยู่ในชีวิตของเขา

 

สิ้นเสียงคำพูดของนทีรินนั้นก็ไม่ได้คลายความกังวลของเจ้าสัวพีระเท่าใดนัก อาจเพราะสีหน้าของหลานสะใภ้มันหม่นหมองเหมือนคนไม่มีความสุขอย่างเห็นได้ชัดถึงเพียงนี้

 

“อยากให้อั๊วมีความสุขแล้วทำไมลื้อถึงดูไม่ค่อยมีความสุขเลยล่ะ”

 

“นท..” คำพูดของเจ้าสัวพีระทำนทีรินชะงักไปไม่น้อยเลย แต่ไม่ทันได้ตอบอะไรชายชราก็ถามขึ้นมาก่อน

 

“มีอะไรไม่สบายใจหรือเปล่า”

 

เจ้าสัวพีระทราบดีว่าการที่นทีรินและภวินท์ได้กลับมาพบกันอีกครั้งนั้นไม่ได้ทำให้ความรู้สึกของหลานทั้งสองคนกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้อาจเพราะเหตุผลและทิฐิหลายๆอย่างที่ทั้งสองคนมี อีกทั้งยังรวมไปถึงสิ่งที่เขาร้องขอจากหลานทั้งสองอีก เขารู้ว่ามันทำให้หลานๆอึดอัดแต่เขาก็ไม่คิดว่ามันจะทำให้นทีรินไม่มีความสุขถึงเพียงนี้

 

“เปล่าครับอากง นทสบายดีครับ.. จริงๆนะครับ”

 

นทีรินเอ่ยบอกเสียงหนักแน่นพร้อมย้ำแน่ชัดเพื่อให้เจ้าสัวพีระคลายความกังวล เขาอดเอ็ดตัวเองในใจไม่ได้ที่เผลอแสดงความทุกข์ใจที่มีออกมาให้เจ้าสัวพีระได้พลอยกังวลไปด้วย

 

“ถ้าลื้อว่าอย่างนั้นอั๊วก็เชื่อลื้อ”

 

เจ้าสัวพีระยิ้มบางตอบแต่ภายในใจเขารู้ว่าหลานสะใภ้กำลังโกหกเขาเพื่อให้เขาสบายใจขึ้น

เพราะเสียงย้ำหนักแน่นพร้อมใบหน้ายิ้มแย้มแบบที่เจ้าตัวแสดงต่อเขาเป็นประจำไม่ได้ทำให้เจ้าสัวพีระคลายกังวลตามแต่อย่างใดแต่ก็เลือกที่จะเชื่อคำโกหกของหลานสะใภ้เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายรู้สึกผิดที่ทำให้เขาไม่สบายใจไปด้วย

 

“เดี๋ยวนทอ่านหนังสือให้ฟังนะครับ”

 

นทีรินอ่านหนังสือธรรมะให้เจ้าสัวพีระฟังอย่างที่ทำเป็นกิจวัตร ชายชราชอบให้หลานสะใภ้อ่านหนังสือให้ฟังเพราะมันทำให้เขารู้สึกสงบจิตใจมากขึ้น และก็หวังว่าสักวันหนึ่งหากเขาหมดลมหายใจไปแล้วนั้นเขาจะได้จากไปแบบสงบๆและไม่เจ็บปวดอีกต่อไป

 

ชายชรานอนฟังเสียงใสของหลานสะใภ้อ่านไปเรื่อยๆจนเกือบจะเคลิ้มหลับหากไม่ได้ยินเสียงใครสักคนเปิดประตูเข้ามาภายในห้องเสียก่อน

 

“สวัสดีครับอากง” เสียงทุ้มอันคุ้นเคยพร้อมร่างปรากฏของหลานชายนั้นทำให้เจ้าสัวพีระพนักหน้ายิ้มรับเบาๆ

 

“ทำไมวันนี้กลับมาเร็วได้ล่ะ บริษัทงานไม่ยุ่งเหรอภพ”

 

“ไม่ค่อยยุ่งครับ มีพวกน้องๆช่วยก็เบาแรงได้บ้างครับ” ภวินท์เอ่ยตอบอากงพร้อมรอยยิ้มส่งไปให้ชายชรา

 อย่างที่รู้กันเดอะแกรนด์ฯเป็นเหมือนระบบกงสีของทุกคนในตระกูลกิจจานนท์ซึ่งบัดนี้ได้ถูกถ่ายทอดให้แก่รุ่นหลานซึ่งเป็นรุ่นที่สามของตระกูลแล้ว ภวินท์และลูกพี่ลูกน้องก็ต่างกันช่วยจัดการบริหารในส่วนต่างๆตามหน้าที่และภาระรับผิดชอบของแต่ละคน แต่ภวินท์จะหนักกว่าคนอื่นหน่อยเพราะถือหุ้นในจำนวนที่มากกว่าผู้อื่นในตระกูล

 

“อืม ช่วยๆกันแบบนี้ก็ดีแล้ว”

 

เมื่อได้ยินสิ่งที่หลานชายเอ่ยบอกแล้วเจ้าสัวพีระก็ยิ้มรับด้วยความโล่งใจที่ลูกหลานของเขาสามารถจัดหารและบริหารเดอะแกรนด์ฯให้เป็นไปในความเรียบร้อย เขาเชื่อมั่นในตัวของภวินท์ว่าหลานชายที่เขารักมากที่สุดจะไม่มีทำให้สิ่งที่เขาสร้างมาทั้งหมดต้องพังพินาศลงไป

 

“อากงหิวหรือยังครับ วันนี้ผมซื้อข้าวต้มปลาเจ้าที่อากงชอบมาฝากด้วยนะครับ”

 

ภวินท์นั่งลงข้างเตียงฝั่งเดียวกับนทีรินพลางเอ่ยบอกอากงพร้อมรอยยิ้ม เขาจำได้ว่าข้าวต้มปลาเจ้าดังเจ้านี้เป็นเจ้าที่อากงชอบทานมากๆและในสมัยที่เขายังเด็กอากงมักจะพาไปทานด้วยกันประจำ

 

หลังจากที่กลับมาจากทริปเที่ยวนั้นภวินท์ตระหนักถึงคำพูดของภรรยาอยู่ตลอดว่าเขาจะกระทำตัวเป็นหลานที่ดีของอากงในช่วงเวลาที่ท่านยังเหลือเวลาในชีวิตอยู่ เขาอยากจะใช้เวลาร่วมกับอากงให้ได้มากที่สุดก่อนที่ท่านจะหมดลมหายใจ

 

“ขอบใจมาก.. แต่วันหลังให้นททำให้อั๊วกินก็ได้ นทต้มข้าวต้มปลาไม่คาวดีน่ะ”

 

“จริงเหรอครับ สงสัยวันหลังผมต้องลองชิมบ้างนะครับว่าไม่คาวจริงหรือเปล่า” ภวินท์เอ่ยตอบอากงแต่สายตากลับมองตรงมาที่ภรรยาที่นั่งอยู่ข้างๆด้วยแววตาล้อเลียน

 

“จริงสิ.. นทน่ะเขาทำอาหารดีๆให้อั๊วกินตั้งหลายอย่างแล้วนะ”

 

“ผมต้องช่วยสแกนก่อนสิครับ เกิดมีใครแถวนี้ทำอาหารให้อากงทานแล้วท้องเสียขึ้นมาผมจะได้รู้ตัวคนร้ายไงล่ะครับ”

 

ภวินท์เอ่ยบอกเสียงขันอย่างไม่จริงจังซึ่งนทีรินก็ทราบดีว่าอีกฝ่ายคงจงใจพูดจากวนประสาทกลั่นแกล้งเขาอีกแล้ว ซึ่งนั่นก็ทำให้เขาเจ็บใจไม่น้อยจนต้องแหวขึ้นมา

 

“นี่คุณกำลังกล่าวหาว่าผมทำอาหารไม่ดีให้อากงทานเหรอครับ”

 

“ผมยังไม่ได้พูดชื่อคุณเลยนะ ร้อนตัวเหรอ”

 

ภวินท์หัวเราะอย่างพึงใจที่กลั่นแกล้งภรรยาได้สำเร็จ แววตากรุ้มกริ่มปนล้อเลียนนั้นทำให้นทีรินยิ่งรู้สึกโมโหมากกว่าเดิม ใบหน้าหวานยู่ขึ้นอย่างไม่พอใจที่คนปากเสียมากล่าวหาว่าเขาจะทำอาหารไม่ดีให้อากง

 

“อากงครับ…” เสียงหวานของนทีรินเอ่ยเรียกเป็นการฟ้องชายชราให้ช่วยเขาจากคนปากเสีย เจ้าสัวพีระหัวเราะหน่อยๆก่อนจะเอ่ยปรามหลานชายจอมขี้แกล้ง

 

“ภพ.. แกล้งน้องทำไมล่ะ”

 

ภวินท์มองหน้าภรรยาจอมขี้ฟ้องด้วยความขำขันปนเอ็นดู ตั้งแต่เมื่อไรภวินท์ก็ตอบตัวเองไม่ได้ที่เขาเลือกที่จะมองภรรยาด้วยสายตาเช่นนี้ จะเป็นเพราะอีกฝ่ายชอบทำตัวน่ารักแบบนี้กระมังสายตาของเขาที่มองอีกฝ่ายมันถึงได้เริ่มเปลี่ยนไป

 

สายตาคมจับจ้องไปที่ดวงหน้าของภรรยาอย่างไม่วางตาโดยที่อีกฝ่ายมองค้อนเขากลับอย่างงอนๆที่เขาไปกล่าวหาอีกฝ่าย

 

“เพราะน้องน่ารักมั้งครับ ผมเลยอยากแกล้ง” เอ่ยบอกโดยที่สายตาคมก็ไม่ได้ละไปจากใบหน้าหวานของภรรยาเลย

 

เสียงทุ้มนั้นทำให้นทีรินชะงักไปก่อนที่ใบหน้าหวานใสจะมีสีแดงพาดริ้วที่แก้มนวลทั้งสองข้างและมันก็ทำให้คนพูดพึงใจเป็นอย่างมากจนละสายตาจากความน่ารักของภรรยาไม่ได้เลย

 

เสียงหัวเราะของและการกระทำของภวินท์นั้นทำให้ชายชราแปลกใจไม่น้อยเลย แต่ความแปลกใจนั้นกลับสร้างความสุขและความสบายใจให้แก่ชายชราไม่น้อยเช่นกัน เพราะเขารู้สึกว่าบรรยากาศของหลานชายและหลานสะใภ้นั้นมันเริ่มจะดีขึ้นอย่างที่เขาได้หวังไว้หรือเปล่า

 

“อากงหิวหรือยังครับ”

 

นทีรินเอ่ยถามชายชราด้วยสายตาเลิ่กลั่กๆทำตัวไม่ถูกหลังจากได้ยินคำพูดแปลกๆจากสามี ร่างบางพยายาเปลี่ยนเรื่องเพื่อไม่ให้ตัวเองเสียการควบคุมจากการกระทำของสามีไปมากกว่านี้

 

“อืม ไปบอกเด็กยกข้าวขึ้นมาให้อั๊วกินเลยก็ได้” ชายชราเอ่ยตอบก่อนจะลอบยิ้มกับความเขินอายแสนน่ารักของหลานสะใภ้

 

“ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวนทไปบอกพี่นวลก่อนนะครับอากง”

 

นทีรินเอ่ยบอกพลางลุกขึ้นจะเดินไปข้างล่างโดยพยายามไม่มองคนข้างๆที่ส่งยิ้มล้อเลียนพร้อมสายตากรุ้มกริ่มล้อเขาอยู่ตลอด ภวินท์ลอบยิ้มก่อนจะคว้ามือบางของภรรยาไว้จนอีกฝ่ายสะดุ้งเล็กน้อยจนต้องบิดมือออกจากมือใหญ่

 

“ไม่ต้องหรอกคุณ ผมบอกในครัวให้แล้ว คุณมานั่งเถอะจะได้ทานข้าวพร้อมอากงเลย”

 

สิ้นเสียงของสามีนทีรินก็เลิกคิ้วฉงนเล็กน้อยเพราะกำลังไม่เข้าใจในการกระทำของอีกฝ่าย แต่ก็ต้องเริ่มเข้าใจเมื่อเด็กรับใช้ได้ยกอาหารที่ภวินท์ซื้อมาจัดเรียงบนโต๊ะอาหารล้อเลื่อนสำหรับผู้ป่วย บนโต๊ะมีชามที่บรรจุข้าวต้มปลาเต๋าเต้ยที่ส่งกลิ่นหอมยั่วน้ำลายพร้อมกับข้าวที่เป็นเครื่องเคียง 2-3 อย่างวางเรียงมาด้วย นอกจากสำรับของเจ้าสัวพีระแล้วก็ยังมีสำรับสำหรับเขาและภวินท์ด้วย นทีรินนั่งลงข้างภวินท์ที่โต๊ะรับแขกภายในห้องของเจ้าสัวพีระที่บัดนี้ได้ถูกแปรเปลี่ยนเป็นโต๊ะกินข้าวไปเรียบร้อยแล้ว

 

นทีรินยิ้มกว้างเมื่อเห็นภาพที่ภวินท์ป้อนข้าวและดูแลอากงอย่างใกล้ชิด เสียงพูดคุยและเสียงหัวเราะของอากงกับหลานชายที่ดังขึ้นมันทำให้นทีรินรู้สึกหัวใจพองโตไปด้วยความซาบซึ้งใจ ภาพที่เขาอยากจะเห็นมาตลอดระยะเวลาแปดปีบัดนี้มันเกิดขึ้นแล้วจริงๆ และเขาก็ได้แต่หวังว่าทิฐิภายในใจของภวินท์ที่มีต่อเจ้าสัวพีระและเขามันจะลดลงจนหมดไปในวันใดวันหนึ่งเสียที

 

“อากงครับ ต่อไปนี้ผมกับนทจะมาทานข้าวพร้อมอากงทุกวันเลยนะครับ”

 

ภวินท์มองหน้าภรรยาที่นั่งอยู่เคียงข้างก่อนจะเอ่ยบอกชายชราพร้อมรอยยิ้มกว้างโดยที่มีรอยยิ้มกว้างของอีกฝ่ายตอบกลับมาเช่นเดียวกัน

 

บรรยากาศแห่งความสุขได้อบอวลไปทั่วห้องของชายชรา รอยยิ้มกว้างปรากฏบนใบหน้าอันเหี่ยวย่นของชายชรา รอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความสุขและเขาก็หวังอย่างยิ่งว่าหลานทั้งสองของเขาจะต้องมีความสุขแบบนี้ตลอดไปแม้แต่ในวันที่เขาได้จากไปแล้วก็ตาม

 

 
***

 ต่อข้างล่างค่ะ

 
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๑๑ (2-5-62) {ต่อ}
เริ่มหัวข้อโดย: yokindy ที่ 02-05-2019 21:37:29
หลังจากวันนั้นภาพที่ภวินท์และนทีรินนั่งทานข้าวพร้อมเจ้าสัวพีระก็เป็นภาพที่ทุกคนในบ้านเห็นจนชินตาเสียแล้ว ความสนิทสนมและความใกล้ชิดที่เคยมีให้กันพร้อมกับความรู้สึกของภวินท์และนทีรินที่มีต่อกันและกันได้เริ่มแปรเปลี่ยนจนทั้งคู่แทบไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำ บรรยากาศในบ้านกิจจานนท์ดูสดใสมากขึ้นไม่อึมครึมเหมือนครั้งที่ภวินท์กลับมาช่วงแรกๆ

 

แต่ต่อให้ตอนนี้ภวินท์จะไม่ร้ายกาจเหมือนเดิมแล้วแต่ความเจ้าเล่ห์และขี้แกล้งของเจ้าตัวก็ยังมีมากเหมือนเดิมจนนทีรินอ่อนใจจะต่อกรด้วย ภวินท์คงไม่รู้เลยว่าได้ทำให้นทีรินหัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะมากเพียงใด ความรู้สึกที่เขามีต่ออีกฝ่ายมันเริ่มชัดเจนมากขึ้นทุกทีโดยที่เขาต้านทานไม่ได้ แต่ถึงอย่างไรเขาก็ไม่กล้าที่จะคิดเข้าข้างตัวเองว่าอีกฝ่ายจะคิดเหมือนกัน

นทีรินนั่งถอนหายใจยาวกับความคิดที่หมุนวนภายในใจขณะที่กำลังนั่งเล่นอยู่ที่ศาลาเล็กๆที่ตั้งอยู่ในสวนดอกไม้ของบ้านกิจจานนท์ ลมเย็นอ่อนๆพัดโชยมารับกับกลิ่นดอกไม้ในสวนก็ไม่ได้ทำให้นทีรินผ่อนคลายเท่าที่เคยเป็น ซึ่งอาการแปลกๆของนทีรินไม่ได้รอดพ้นสายตาของพี่นวลไปได้ พี่เลี้ยงคนสนิทเดินตรงเข้ามาพร้อมถาดอาหารว่างที่ตั้งใจเตรียมมาให้คุณหนูอย่างที่ทำประจำ

 

“คุณหนูคะ..” พี่นวลเอ่ยเรียกคุณหนูที่ดูเหม่อใจลอยด้วยน้ำเสียงห่วงใยไม่น้อย

 

“ครับพี่นวล” นทีรินรับคำพี่เลี้ยงคนสนิท มือบางไปรับน้ำผลไม้ที่พี่นวลส่งมาให้พอดี

 

“กำลังดูอะไรอยู่คะ”

 

พี่นวลเอ่ยถามอย่างสนใจเมื่อเห็นนิตยสารออกแบบภายในของร้านอาหารวางเรียงรายอยู่เต็มโต๊ะนอกจากนี้ยังมีแท็บเล็ตที่หน้าจอแสดงรูปภาพร้านอาหารอยู่มากมายที่นทีรินเสิร์ชค้างทิ้งไว้

 

“อ๋อ นทกำลังดูพวกดีไซน์ร้านอาหารอยู่น่ะครับ -- พี่นวลคิดว่าถ้านทจะตกแต่งร้านเป็นสไตล์ Casual Dining แบบประมาณนี้ดีไหมครับ” นทีรินหยิบแท็บเล็ตชูขึ้นให้พี่เลี้ยงดูพลางถามความคิดเห็นอีกฝ่าย

 

เพราะนทีรินตั้งใจไว้แล้วถ้าหากวันใดที่เขาต้องออกจากบ้านกิจจานนท์ไป สิ่งที่เขาจะทำเพื่อเลี้ยงชีพตัวเองนั้นก็คือการเปิดร้านอาหารตามที่เขาใฝ่ฝันไว้มาตั้งแต่เด็ก

 

“สวยมากค่ะคุณหนู ดูเรียบๆแต่หรูหราดีนะคะ”

 

พี่นวลรับมาดูใกล้ๆและเอ่ยชมเปราะเพราะแบบที่นทีรินให้ดูนั้นเป็นสิ่งที่เข้ากับอีกฝ่ายมากๆ นทีรินเป็นคนเรียบง่ายแต่ทว่าก็ดูดีมากเช่นเดียวกัน

 

“ใช่ครับ นทชอบสไตล์เรียบง่ายแต่ก็ดูหรูหราในคราวเดียวกัน ส่วนอาหารนทก็อยากให้เป็นอาหารไทยแต่จะตกแต่งให้เป็นสไตล์ฟิวชั่นน่ะครับจะได้น่าสนใจมากขึ้น”

 

“คุณทิวาเคยสอนพี่ด้วยนะคะว่า การที่คนเราทานอาหารดีๆที่มีการจัดตกแต่งที่สวยงามท่ามกลางสิ่งแวดล้อมที่ดีและสบายตาจะทำให้เราเจริญอาหารยิ่งขึ้น”

 

พี่นวลเอ่ยบอกตามที่คุณทิวาเคยสอนตัวเองในครั้งที่อีกฝ่ายยังมีชีวิตอยู่ คุณทิวามักจะพร่ำสอนเขาเสมอเกี่ยวกับสิ่งต่างๆภายในบ้านรวมไปถึงการข้อคิดต่างๆในการใช้ชีวิตอีกด้วย

เมื่อนทีรินได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มบางๆส่งไปให้พี่เลี้ยงคนสนิท

 

“คิดถึงคุณปู่จังเลยนะครับพี่นวล ถ้าท่านยังอยู่ก็น่าจะดี”

 

“คุณทิวายังอยู่ในใจของพวกเราทุกคนเสมอนะคะคุณหนู”

 

“ครับพี่นวล นทก็เชื่อแบบนั้น”

 

 

พี่นวลลูบไปที่ไหล่บอบบางของคุณหนูเบาๆเป็นการปลอบโยน เพราะพี่นวลเชื่อว่าต่อให้ตอนนี้คุณทิวาจะจากไปแล้วแต่ท่านก็ยังอยู่ในใจของทุกคนอยู่เพราะเจ้านายของเขาเป็นคนดีทุกคนก็ย่อมรักท่านเป็นธรรมดา

 

นทีรินยิ้มกว้างก่อนจะชวนพี่นวลดูแบบของร้านอาหารต่อ ทั้งสองพูดคุยและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันอยู่สักพักหนึ่งก็ต้องตกใจอย่างสุดขีดเมื่อพบร่างคุ้นเคยปรากฏต่อหน้าที่มาพร้อมเสียงที่ดังลั่น

 

“ทำอะไรกันอยู่ครับ!”

 

“ว้ายแม่ร่วง!” พี่นวลอุทานดังอย่างตกใจ มือป้อมจับที่หัวใจอย่างโล่งใจเมื่อพบว่าคนที่มาแกล้งเธอและคุณหนูเป็นใคร

 

“ฮ่ะๆ สวัสดีครับพี่นวล” มือหนากระพุ่มไหว้พี่นวลอย่างนอบน้อมพร้อมกลั้วหัวเราะชอบใจที่สามารถแกล้งให้ทุกคนตกใจได้

 

“พี่เมฆอ่ะ!”

 

นทีรินแหวใส่คนขี้แกล้งเสียงดังจนนภทีป์หัวเราะขึ้นมาอีกระลอก นทีรินส่ายหัวให้กับความขี้แกล้งของรุ่นพี่คนนี้ที่มักจะแกล้งเขาเป็นเด็กๆอยู่เรื่อย

 

“ทำไมไม่โทรฯบอกนทล่ะครับว่าจะมา นทจะได้ทำขนมที่พี่เมฆอยากทานไว้รอ” นทีรินเอ่ยบอกรุ่นพี่จอมขี้แกล้งของตัวเอง เพราะเขายังติดคำสัญญาว่าจะทำขนมให้รุ่นพี่คนนี้ทานอยู่

 

“อยากเซอร์ไพร์สไงครับ” นภทีป์เอ่ยบอกรุ่นน้องอย่างอารมณ์ดี

 

“คุณเมฆนี่ขี้แกล้งเหมือนเดิมเลยนะคะ” พี่นวลเอ็ดอย่างไม่จริงจังนักก่อนจะหัวเราะเบาๆ

 

“ฮ่ะๆ ผมไม่ได้ขี้แกล้งนะครับแค่ชอบทำให้คนอื่นตื่นเต้นเท่านั้นเองครับพี่นวล”

 

นภทีป์เอ่ยบอกพี่เลี้ยงของรุ่นน้องด้วยความสนิทสนม เพราะนภทีป์เป็นรุ่นพี่ของนทีรินมาตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัยในคณะและสาขาเดียวกัน และก็ได้มีโอกาสมาเที่ยวเล่นที่บ้านนี้อยู่บ่อยครั้งจึงไม่แปลกเลยที่จะสนิทกับพี่นวล

 

“นี่ครับของฝากจากเกาหลี -- มีของพี่นวลด้วยนะครับ” นภทีป์ยื่นถุงกระดาษที่ข้างในบรรจุไปด้วยของฝากจากประเทศเกาหลีใต้ที่เขาไปได้ทำธุรกิจอยู่ที่นั่นอยู่เป็นเดือนๆ

 

“ขอบคุณมากนะคะ มีของมาฝากตลอดเลยแต่คราวหลังไม่ต้องลำบากนะคะคุณเมฆ”

 

ความใจดีของนภทีป์ทำให้ทั้งพี่นวลและนทีรินนั้นเกรงใจไม่น้อยเลย เพราะแต่ไหนแต่ไรเวลานภทีป์มาเยี่ยมที่บ้านก็มักจะมีของฝากเล็กๆน้อยๆมาให้เป็นประจำ

 

“ลำบากอะไรกันครับพี่นวล แค่ของฝากเล็กๆน้อยๆพวกนี้สบายมากครับ” นภทีป์เอ่ยบอกด้วยความเต็มใจ

 

“เพิ่งมาถึง ขึ้นไปไหว้อากงก่อนไหมครับพี่เมฆ”

 

“ไปสิครับ”

 

“ถ้าอย่างนั้นคุณหนูพาคุณเมฆไปไหว้ท่านเจ้าสัวก่อนนะคะ เดี๋ยวพี่จะไปเตรียมของว่างกับเครื่องดื่มไว้ให้ค่ะ”

 

พี่นวลเอ่ยบอกก่อนจะเดินแยกไปในครัวเพื่อเตรียมของว่าง นทีรินกับนภทีป์ก็แยกไปในบ้านเพื่อที่จะขึ้นไปยังห้องของเจ้าสัวพีระ นภทีป์ไม่ได้มาที่นี่เสียนานตั้งแต่เรียนจบจนกระทั่งเจ้าสัวพีระล้มป่วย ได้กลับมาอีกครั้งเขาเองก็รู้สึกตื่นเต้นไม่น้อยเลย

 

นทีรินพานภทีป์เข้ามาภายในห้องนอนส่วนตัวของประมุขของบ้าน นภทีป์มีสีหน้าที่สลดลงเล็กน้อยเมื่อเห็นชายชรานอนหลับลมหายใจแผ่วๆนิ่งเงียบสนิท เขามีความสนิทสนมกับเจ้าสัวพีระอยู่ในระดับหนึ่งเพราะว่าชอบไปงานประมูลของเก่าหายากด้วยกัน ในตอนนั้นเจ้าสัวพีระยังเป็นชายชราที่แข็งแรงอยู่มาก แต่มาวันนี้เขาต้องพบอีกฝ่ายในวันที่นอนป่วยอยู่แบบนี้นภทีป์ก็รู้สึกหดหู่ไม่น้อยเลย

 

“อากงครับ พี่เมฆมาเยี่ยมครับ”

 

นทีรินกระซิบข้างหูของชายชราด้วยเสียงที่เบาแต่ชัดเจน เจ้าสัวพีระค่อยๆลืมตาขึ้นมาก่อนจะยิ้มบางๆส่งไปให้เมื่อพบหน้าผู้มาเยี่ยม

 

“สวัสดีครับอากง” นภทีป์ยกมือกระพุ่มไหว้ด้วยความนอบน้อมก่อนจะทรุดลงนั่งข้างเตียงของชายชรา

 

“หายไปนานเลยนะเมฆ งานยุ่งเหรอ” เจ้าสัวพีระเอ่ยถามรุ่นพี่ของหลานสะใภ้อย่างสนิทสนมเพราะเขาเองก็ได้พบและพูดคุยกับนภทีป์อยู่บ่อยครั้ง

 

“ครับ ช่วงนี้กำลังขยายสินค้าส่งออกไปต่างประเทศครับก็เลยยุ่งมากไม่มีเวลามาเยี่ยมอากงเลยครับ”

 

“ไม่เป็นไรหรอก งานกำลังไปได้สวยก็ไปสนใจงานก่อนนั่นแหละถูกแล้ว”

 

เจ้าสัวพีระยิ้มเมื่อเห็นถึงความประสบความสำเร็จของนภทีป์ที่ฉายแววให้เห็นมานานแล้ว เขาเป็นนักธุรกิจที่ผ่านประสบการณ์ต่างๆมามากมายจึงไม่แปลกเลยที่จะมองเห็นแววของคนที่จะประสบความสำเร็จเฉกเช่นกับตัวเอง

 

“ครับ แล้วอากงเป็นยังไงบ้างครับ” นภทีป์เอ่ยถามด้วยความห่วงใย

 

“ก็เจ็บออดๆแอดๆตามประสานั่นแหละ ไม่รู้จะตายวันตายพรุ่ง”

 

คำตอบที่เจ้าสัวพีระตอบออกมาไม่ได้มีความเศร้าเจือปนอยู่เลยแม้แต่นิดเดียวกลับกันกลับมีความขำขันอยู่เสียมากกว่าราวกับว่าไม่ได้กลัวความตายเลยสักนิด นภทีป์และนทีรินได้ยินก็ยิ่งรู้สึกสลดใจเพราะไม่ได้อยากสูญเสียเจ้าสัวพีระไป

 

“อย่าพูดแบบนั้นสิครับ อากงยังแข็งแรงอยู่ต้องหายไวแน่นอนครับ ถ้าอากงหายแล้วเราจะได้ไปงานประมูลด้วยกันอีกไงครับ” นภทีป์ให้กำลังใจเพราะเขาเองก็ยังอยากไปงานประมูลกับเจ้าสัวพีระเหมือนที่ผ่านมา

 

“อืม” เจ้าสัวพีระพยักหน้าให้ยิ้มๆ

 

“พี่เมฆรอไปงานประมูลกับอากงอยู่นะ อากงต้องหายไวๆนะครับ” นทีรินให้กำลังใจอีกแรงอย่างมีความหวังว่าในสักวันเจ้าสัวพีระจะหายดีแม้ความหวังมันน้อยนิดก็ตาม

 

“แล้วอากงชอบแจกันน้ำเต้าที่ผมประมูลมาให้ไหมครับ”

 

“ชอบมาก.. แต่คงแพงน่าดูเลยสิ วันหลังไม่เอาแล้วนะ นทมาฟ้องอั๊วอยู่ว่าโดนลื้อแกล้งประมูลตัดหน้าไปด้วยนะ” เจ้าสัวพีระเอ่ยบอกพลางกลั้วหัวเราะ

 

“ก็มันน่าฟ้องไหมล่ะครับอากง นทประมูลของนทอยู่ดีๆก็มาประมูลโก่งราคาซะสูงเชียวแล้วนทจะไปสู้ไหวได้ยังไงครับ” คนโดนแกล้งยู่ปากใส่งอนๆจนนภทีป์หัวเราะชอบใจที่แกล้งรุ่นน้องได้สำเร็จ

 

“ฮ่ะๆ งั้นงานประมูลคราวหน้า พี่จะต่อให้นทประมูลของให้เสร็จก่อนแล้วพี่ค่อยประมูลดีไหมครับจะได้หายเคืองพี่สักที”

 

“ต้องอย่างนั้นอยู่แล้วครับ ฮ่ะๆ”

 

เสียงพูดคุยกันอย่างสนุกสนานและเสียงหัวเราะผสมโรงกันดังขึ้นทั่วห้องชายชราทำให้ผู้มาใหม่ที่ยืนฟังอยู่สักพักนั้นรู้สึกอารมณ์เริ่มขุ่นมัวขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ ร่างสูงถอนหายใจหนักๆก่อนจะขบกรามแน่นพยายามข่มอารมณ์ที่เริ่มคุกรุ่นไว้

 

สายตาคมจับจ้องไปยังภรรยาของตัวเองที่ทั้งยิ้มทั้งหัวเราะอย่างอารมณ์ดีกับชายอีกคนที่เขาเคยลั่นประกาศิตกับอีกฝ่ายไปว่าให้เลิกยุ่งกัน แต่ก็ได้รับการปฏิเสธตอบมาต่อให้เขาไม่รู้ว่าคนทั้งคู่มีอะไรมากไปกว่าที่เห็นหรือไม่แต่เขาก็ไม่พอใจอยู่ดีที่นทีรินพาชายอื่นมาเหยียบจมูกเขาถึงที่แบบนี้และมันก็เป็นสิ่งที่เขายอมไม่ได้

 

“ภพ กลับมาแล้วเหรอ” เสียงเจ้าสัวพีระเอ่ยดังขึ้นเมื่อร่างหลานชายปรากฏขึ้นต่อหน้าพร้อมกับที่ทุกคนหันมองภวินท์พอดี

 

“ขอโทษครับ ผมไม่ทราบว่าอากงมีแขกมาเยี่ยม” ภวินท์เอ่ยบอกอากงเสียงเรียบนิ่ง สายตาคมหันมองคนมาเยี่ยมก่อนจะหันกลับมาด้วยความนิ่งขรึมจนภายในห้องที่มีเสียงหัวเราะต่างนิ่งเงียบกันไปหมด

 

“ไม่เป็นไรๆ แล้วทำไมวันนี้กลับบ้านเร็วนักล่ะ มันยังไม่ถึงเวลาเลิกงานเลยไม่ใช่เหรอ”

 

“ปวดหัวนิดหน่อยครับอากง ก็เลยกลับมาพัก”

 

ภวินท์เอ่ยตอบตามความจริง วันนี้เขารู้สึกไม่ค่อยสบายเท่าไรด้วยงานที่เครียดและค่อนข้างกดดันสะสมกันมาเป็นเวลาหลายวันมันก็ทำให้ร่างกายเขาอ่อนล้าได้ง่ายๆ

 

เจ้าสัวพีระพยักหน้ารับหลานชาย ภายในห้องเงียบสงัดจนนทีรินแอบรู้สึกอึดอัดจึงตัดสินใจพูดขึ้นมา

 

“เอ่อ.. นทขออนุญาติแนะนำนะครับ.. คุณภพ.. นี่คุณนภทีป์ครับเป็นรุ่นพี่สมัยมหาวิทยาลัยของผม -- ส่วนนี่คุณภวินท์ครับพี่เมฆเป็นหลานชายคนเดียวของอากงแล้วก็เป็น.. สามีของนทครับ”

 

นทีรินพยายามบังคับเสียงให้เป็นไปตามปกติเพื่อแนะนำสามีและรุ่นพี่ให้รู้จักกัน สายตาคมดุของภวินท์ที่มองมามันทำให้เขารู้สึกหวั่นใจอย่างไรชอบกล เพราะเขาทราบว่าภวินท์เอ่ยลั่นวาจาให้เขาเลิดคบหากับนภทีป์มาก่อนแต่ด้วยความที่เขาตระหนักเสมอว่าสิ่งที่ตัวเองกำลังกระทำนั้นมันไม่ได้เป็นเรื่องที่ผิดเขาก็ไม่รู้ว่าเขาต้องกลัวไปทำไม

 

“สวัสดีครับคุณภวินท์ ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ”

 

นภทีป์ทักทายด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มตามประสาคนอารมณ์ดีพร้อมยื่นมือออกไปค้างรอ ภวินท์จับมืออีกฝ่ายตอบก่อนตจะทักทายกลับด้วยเสียงที่เรียบนิ่งพร้อมรอยยิ้มมุมปากที่ติดทำเป็นประจำ

 

“ยินดีที่ได้รู้จักครับคุณนภทีป์ เรียกผมว่าภพก็ได้”

 

“ผมเคยซื้อซูเปอร์คาร์ที่บริษัทของคุณภพด้วยนะครับ รถที่บริษัทคุณภพนำเข้ามามีแต่รุ่นเจ๋งๆแล้วก็สวยทุกคันเลยนะครับ” นภทีป์ชวนคุยตามประสาคนที่มีนิสัยเป็นมิตรทั่วไป

 

“ถึงว่าทำไมผมถึงคุ้นๆรถของคุณ ที่แท้ก็เป็นลูกค้าของผมนี่เอง ถ้าผมรู้สักนิดว่าคุณเมฆเป็นรุ่นพี่ของนท ผมก็คงจะบริการคุณเมฆให้ดีกว่านี้” ภวินท์เอ่ยบอกพลางยิ้มรับ เขาคิดอยู่ว่าทำไมถึงได้รู้สึกคุ้นเคยซูเปอร์คาร์ยี่ห้อดังที่จอดอยู่ด้านล่างเหลือเกิน

 

“ไม่เป็นไรหรอกครับ แค่คุณภพอัพเดทผมเรื่องซูเปอร์คาร์รุ่นใหม่ๆก็เพียงพอแล้วครับ ผมยังมือใหม่อยู่น่ะครับสงสัยต้องรบกวนให้โปรเฟสชันแนลแบบคุณภพแนะนำให้บ้างแล้วครับ”

 

“ครับ ได้อยู่แล้ว.. ผมชอบนะครับเป็นมือใหม่แต่ก็ขวนขวายที่อยากจะเรียนรู้ เพราะลูกค้าบางคนที่ซื้อไปก็สักแต่ว่าจะขับให้ดูเท่ไปวันๆ”

 

ภวินท์เอ่ยบอกตามใจคิดเพราะมีไม่กี่คนหรอกที่ขับซูเปอร์คาร์เพราะความชอบและมีแพชชั่นในสิ่งนี้ บางคนก็ขับเพราะมีเงินซื้อแต่ไม่ใส่ใจจะดูแล

 

นภทีป์พยักหน้าเห็นด้วยและก็ได้ฝากเนื้อฝากตัวเป็นคนขอคำแนะนำจากภวินท์เรียบร้อย ภวินท์เองก็เต็มใจที่จะให้คำแนะนำเพราะต่อให้เขาไม่พอใจในตัวของนภทีป์เพราะเหตุผลบางอย่างที่ติดอยู่ในใจแต่เขาก็เป็นคนมีเหตุผลพอที่จะไม่เอามันมาปนกัน

 

การที่สามีและรุ่นพี่คุยกันได้อย่างไม่มีปัญหาใดๆทำให้นทีรินโล่งใจไม่น้อยเพราะอย่างน้อยเขาก็สบายใจที่ภวินท์ไม่ได้แสดงท่าทีร้ายกาจใส่นภทีป์อย่างที่เขาเคยคิด

 

“วันนี้อยู่ทานข้าวเย็นด้วยกันก่อนแล้วค่อยกลับนะเมฆ” เจ้าสัวพีระเอ่ยชวนนภทีป์อย่างที่ทำประจำเวลาอีกฝ่ายมาเยี่ยมเยียน

 

“ผมก็กะว่าจะมาอาศัยฝากท้องที่นี่อยู่แล้วครับอากง คิดถึงกับข้าวฝีมือนทกับพี่นวลจะแย่อยู่แล้วครับ ฮ่ะๆ” นภทีป์เอ่ยบอกเสียงกลั้วหัวเราะ

 

“ถ้าอย่างนั้นพี่เมฆอยากทานอะไร รีเควสต์มาได้เลยนะครับ” นทีรินเอ่ยบอกรุ่นพี่พร้อมรอยยิ้มกว้าง

 

“อะไรก็ได้ครับที่นททำพี่กินได้หมดทุกอย่าง” นภทีป์พูดเอาใจรุ่นน้องอย่างที่ทำประจำ

 

ทั้งนทีรินและนภทีป์พูดคุยกันเป็นไปตามธรรมชาติอย่างเช่นเคยรอยยิ้มที่ติดอยู่บนใบหน้าของคนทั้งคู่ทำให้มีอีกคนในห้องเริ่มจะไม่พอใจขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ ดวงตาหวานเป็นประกายเมื่อได้พูดคุยกับใครอีกคนที่ไม่ใช่เขา น้ำเสียงทุ้มหวานที่ถูกใช้กับใครที่ไม่ใช่เขา มันทำให้ภวินท์รู้สึกว่าเขากำลังหึงหวงอีกฝ่าย

 

ใช่ เขาหึงนทีรินและก็หึงมากๆแต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่รับรู้มันเลยเพราะอีกฝ่ายไม่ได้คิดจะสนใจเขาเลยด้วยซ้ำ

 

“ผมขอตัวก่อนนะครับอากง ผมอยากนอนพัก” ภวินท์เอ่ยบอกเจ้าสัวพีระด้วยเสียงเรียบนิ่ง ก่อนจะสาวเท้าเตรียมเดินออกไป

 

“ไม่รอกินข้าวด้วยกันก่อนล่ะภพ แล้วค่อยไปนอนพัก” เสียงชายชราขัดขึ้นมาก่อนที่หลานชายจะเดินพ้นไปยังประตู

 

“ไม่เป็นไรครับอากง เดี๋ยวผมให้โต๋จัดอาหารไปให้ที่ห้อง” ภวินท์เอ่ยบอกโดยไม่หันมามองผู้ใดในห้องเลย

 

สิ้นคำพูดนั้นร่างสูงก็เดินออกจากห้องไปโดยไม่สนใจเลยว่ามีดวงตาหวานคู่หนึ่งมองตามไปอย่างห่วงใยเพียงเพราะรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังไม่สบาย

 

 
To be continue

___________________________________________________________________________________________

TALK WITH WRITER :: โอ๊ะโอ... มีใครบางคนกำลังหึงน้องอยู่น้าาาา สงสารดีไหมน้าาา 55555555555 พาพี่เมฆมาให้หายคิดถึงแล้วนะคะ บอกแล้วว่าเรื่องนี้พระเอกคือตัวร้าย ส่วนพระรองก็คือพระเอกที่แท้ทรู 5555555555


เจอกันตอนหน้านะคะ :)
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๑๑ (2-5-62)
เริ่มหัวข้อโดย: BABYBB ที่ 02-05-2019 21:57:14
เพราะทำนิสัยไม่ดีกับน้องไว้ตั้งแต่ต้น เลยไม่สงสารค่ะ  555555555
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๑๑ (2-5-62)
เริ่มหัวข้อโดย: muiko ที่ 02-05-2019 22:00:37
หึงไปเลย สมน้ำหน้าา
เล่นหายไปดีนัก นทจะไปซี้หรือมีพี่คนใหม่ก็ไม่แปลก
รีบๆททำคะแนนคืนหล่ะ มัวแต่ทิฐิระวังเสียนทไปนะพี่ภพ
เตือนแล้วนะ!!!  :laugh:
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๑๑ (2-5-62)
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 02-05-2019 22:18:59
สมน้ำหน้าอีภพ
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๑๑ (2-5-62)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 02-05-2019 22:21:33
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๑๑ (2-5-62)
เริ่มหัวข้อโดย: TheDoungJan ที่ 02-05-2019 22:47:10
พี่ภพก็ดีแต่ทำไรแบบนี้คะแนนไม่เคยจะมีแล้วยังจะมางอนอีก
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๑๑ (2-5-62)
เริ่มหัวข้อโดย: Funnycoco ที่ 02-05-2019 23:19:09
สมน้ำหน้าคุณภพ หมาหัวเน่าไปเลยย
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๑๑ (2-5-62)
เริ่มหัวข้อโดย: sailom_orn ที่ 03-05-2019 00:08:14
ว้าวๆๆๆคนป่วยงอน  แต่จนมีคนสนใจไม๋นะ :laugh: :laugh:
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๑๑ (2-5-62)
เริ่มหัวข้อโดย: HISY ที่ 03-05-2019 00:50:58
เชิญหึงหน้ามืดปวดหัวไปคนเดียวน้องไม่เหลียวแลไปเลยจ้ะ
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๑๑ (2-5-62)
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 03-05-2019 03:58:02
ฝสมน้ำหน้า อิพี่ภพ
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๑๑ (2-5-62)
เริ่มหัวข้อโดย: PINE J. ที่ 04-05-2019 11:54:44
หึงเก่งอ่ะคุณภพพพ :o8:
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๑๑ (2-5-62)
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 04-05-2019 23:48:49
 :katai2-1:



หึงเก่ง
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๑๑ (2-5-62)
เริ่มหัวข้อโดย: mybear_sr ที่ 05-05-2019 10:10:45
ภพนิสัยแย่มาก ต่อให้ตะพูดหรือทำด้วยอคติแต่คำพูดและการกระทำนั้นมันบั่นทอนกดขี่ดูถูกไม่ให้เกลียดนทไปแล้ว ว่านทมีชู้ทั้งที่ไม่ได้มีแต่ไม่ย้อนมองดูตัวเองเลยว่าเป็นยังไง ต่อให้ข่าวจะไม่จริงแต่คนก็รู้ทั่วกันแล้วว่านทถูกสามีสวมเขา ภพเป็นสามีที่เฮงซวยมาก ความคิดโคตรโบราณ ให้เมียอยู่บ้านดูแลบ้านดูแลสามีความคิดชาย(ผัว)เป็นใหญ่สุดๆ ไปอยู่เมืองนอกตั้งนานแต่ความคิดอารยะไม่ได้ก้าวหน้าเลย แค่ตอนที่เถียงกับนทหาว่านทมีชู้นั่น ขนาดนทพูดว่าคุณก็ทำๆๆยังคิดว่าตัวเองถูกอะ เอาแต่ย้อนว่านทผิด เฮงซวย!!!
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๑๑ (2-5-62)
เริ่มหัวข้อโดย: Hananijinji ที่ 06-05-2019 07:50:46
เชียเมฆกับนทมากค่ะ ถ้าเค้ารักกันก็ไม่ผิดหวังอ่า สะใจ แหะๆ :hao6: คิดถึงไรท์นะคะ มาทีสองตอนรวดๆเลย
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๑๒ (7-5-62)
เริ่มหัวข้อโดย: yokindy ที่ 07-05-2019 17:44:40
บทที่ ๑๒



 

นทีรินยืนหยุดอยู่หน้าประตูบานใหญ่ของห้องนอนสามีที่อยู่ตรงข้ามกับห้องนอนของเขาเองด้วยใจหวั่นๆปนกับความกังวลใจไปถึงคนที่บอกว่าป่วยเมื่อช่วงเย็น สีหน้าของอีกฝ่ายก็ดูไม่ค่อยสู้ดีนักซึ่งเขาเองก็เดาไม่ได้ว่าเป็นเพราะไม่สบายหรือว่าไม่พอใจที่นภทีป์มาหาเขาที่บ้านกันแน่ รู้ตัวอีกทีนทีรินก็ตำหนิตัวเองในใจว่าเขากำลังแคร์ภวินท์มากเกินไปแล้วแต่เขาก็อดไม่ได้เพราะความรู้สึกของเขาที่มีต่ออีกฝ่ายนั้นมันเกินจะต้านทานแล้วจริงๆ

 

มือบางยกขึ้นเคาะบนประตูบานใหญ่สองสามครั้งแต่ยืนรอได้สักพักเจ้าของห้องก็ยังไม่มาเปิด จึงทำให้นทีรินยิ่งกังวลไปใหญ่ว่าคนป่วยจะอาการหนักหรือเปล่า มือบางที่กำลังจะโยกกลอนเพื่อเปิดเข้าไปดูต้องชะงักเสียก่อนเมื่อได้ยินเสียงของคนสนิทของสามีดังขึ้นจากข้างหลัง

 

“คุณภพไม่อยู่ในห้องนะครับคุณนท”

 

เมื่อหันไปก็พบว่าเป็นโต๋ที่เดินมาพร้อมเสื้อสูทสีดำราคาแพงในมือที่ดูก็รู้ว่าเป็นของใครพร้อมใบหน้ายิ้มแย้มสดใสตามฉบับคนอารมณ์ดี นทีรินยิ้มแหยๆไปให้ก่อนจะเอ่ยถามถึงเจ้าของเสื้อสูทที่ไม่ได้มาปรากฏตัวตรงนี้ด้วย

 

“อ่า.. แล้วคุณภพไปไหนเหรอครับพี่โต๋”

 

สีหน้าล้อเลียนของโต๋ทำให้ใบหน้าหวานของนทีรินแดงซ่านขึ้นมาให้เห็นอย่างชัดเจน พลางคิดไปในใจว่าลูกน้องกับเจ้านายนี่มีสายตาที่ชอบล้อเลียนเขาเหมือนกันไม่มีผิดเลยจริงๆ

 

“คุยงานอยู่ในห้องทำงานครับ”

 

“อ๋อ.. คุณภพไม่ได้นอนพักอยู่ในห้องเหรอครับ เห็นเขาบอกว่าปวดหัวนทก็นึกว่าจะนอนพักอยู่เสียอีก” นทีรินเอ่ยถามต่อขณะในใจนึกห่วงขึ้นมาเมื่อทราบว่าภวินท์นั้นดื้อดึงเพียงใดแม้แต่ตัวเองป่วยก็ยังมิวายดูแลตัวเองให้ดี

 

“คุณนทก็ทราบนี่ครับว่าถ้าเป็นเรื่องงานคุณภพจริงจังและเครียดมาก ต่อให้เป็นไข้ก็ไม่สนใจหรอกครับ”

 

โต๋เอ่ยบอกอย่างปลงๆเมื่อทราบดีว่าเจ้านายของตัวเองเป็นเช่นไร โต๋รับรู้มาตลอดเพราะอาศัยอยู่รับใช้ภวินท์มาตั้งแต่เด็กและยังตามเจ้านายคนนี้ไปในทุกๆที่ จึงไม่แปลกที่เขาจะรู้ว่าเจ้านายของตัวเองเครียดและจริงจังเรื่องงานมากเพียงใด หากผู้ใดเอ่ยบอกว่าเจ้าสัวพีระนั้นมีความเป็นเลิศด้านการบริหารธุรกิจแล้วล่ะก็ ภวินท์เองก็ไม่ต่างจากอากงเลยทั้งการบริหารจัดการและความละเอียดนั้นภวินท์ได้รับดีเอ็นเอด้านนี้มาเต็มเปี่ยม

 

“ที่เดอะแกรนด์ฯมีปัญหาอะไรหรือเปล่าครับ ถึงได้เครียดขนาดนั้น” นทีรินพยักหน้าเข้าใจก่อนจะถามต่อเพราะเขาเองก็ไม่ทราบความใดๆเกี่ยวกับเดอะแกรนด์ฯทั้งสิ้นตั้งแต่คนเป็นสามีได้เข้าไปบริหารจัดการ

 

“ที่เดอะแกรนด์ฯเรียบร้อยดีครับแต่บริษัทซูเปอร์คาร์ของคุณภพมีปัญหานิดหน่อยน่ะครับ คุณภพคงกำลังเคลียร์กับดีลเลอร์ทางอเมริกาอยู่ครับ”

 

โต๋เอ่ยบอกตามที่เขารู้มา แน่นอนว่าเรื่องต่างๆของเจ้านายเขาย่อมรับรู้ได้ทั้งหมด อาจจะเป็นเพราะความใส่ใจที่มีต่อเจ้านายมันมากเกินจนบางครั้งเขาก็โดนภวินท์เอ็ดอยู่บ่อยครั้ง

 

สิ้นคำของโต๋นทีรินก็ถอนหายใจเบาๆก่อนจะพยักหน้าเข้าใจ เขาทราบดีแล้วว่าทำไมภวินท์จึงได้เครียดนักเพราะอีกฝ่ายไม่ได้กุมบังเหียนเพียงเดอะแกรนด์ฯหากแต่มีบริษัทของตัวเองที่ต้องรับผิดชอบอีกด้วยคงไม่แปลกหรอกที่จะเครียดจนป่วยได้ บางคราเขาก็ได้กลิ่นเมนทอลที่เจือกลิ่นสารนิโคตินจากกายของอีกฝ่ายอยู่บ่อยครั้ง นั่นก็ยิ่งทวีความห่วงใยที่เขามีต่อคนเป็นสามีขึ้นไปอีก

 

“นทวานพี่โต๋ไปบอกพี่นวลให้ทำอาหารสำหรับคุณภพให้หน่อยนะครับ แล้วก็วานเอายาแก้ไข้ขึ้นมาพร้อมเลยด้วย”

 

นทีรินไหว้วานคนสนิทของสามีด้วยน้ำเสียงเรียบที่คนฟังทราบถึงความห่วงใยที่นทีรินมีต่อภวินท์ได้เป็นอย่างดี โต่รับคำภรรยาเจ้านายอย่างแข็งขันก่อนจะรีบลงบันไดไปเพื่อไปทำตามคำสั่ง

 

นทีรินเดินไปทรุดนั่งที่ตั่งไม้สักที่ถูกแกะสลักเป็นลายมังกรสวยที่ถูกจัดตั้งไว้บริเวณหน้าห้องทำงานใหญ่ของเจ้าสัวพีระที่ตอนนี้ได้กลายเป็นของสามีเขาไปเสียแล้ว ร่างบางถอนหายใจยาวก่อนจะมองไปทางประตูห้องทำงานที่มีคนที่ทำให้เขากระวนกระวายอยู่ข้างใน พลางมองไปทางบันไดบ้างเพื่อรอว่าเมื่อไรโต๋จะนำสิ่งที่เขาไหว้วานขึ้นมาให้ด้วยจิตใจที่ร้อนรน เพราะกลัวว่าคนป่วยจะเป็นอะไรไปเสียก่อน

 

สักพักใหญ่ๆโต๋ก็เดินกลับขึ้นมาพร้อมถาดอาหารนทีรินเอ่ยขอบคุณอีกฝ่ายก่อนจะรับถาดมา ร่างบางสูดหายใจเข้าลึกๆก่อนจะเคาะประตูบานใหญ่ให้พอเป็นพิธีก่อนจะเปิดเข้าไป เท้าเล็กย่างก้าวเข้าไปด้วยเสียงที่เบาที่สุด เมื่อเดินเข้าไปก็พบร่างสูงของสามียืนคุยโทรศัพท์ด้วยท่าทางเคร่งเครียด

 

“It’s not my problem. Your shipment company hasn’t been delivered on time according to our commitment. So, that’s why you have to be responsible to all of the damages…”

 

เสียงทุ้มเปล่งเป็นภาษาอังกฤษกับใครสักคนทางโทรศัพท์ด้วยน้ำเสียงขึงขังและไม่พอใจ ซึ่งจากที่ฟังนทีรินก็คาดเดาได้ไม่ยากว่าอีกฝ่ายน่าจะกำลังมีปัญหากับดีลเลอร์เกี่ยวกับเรื่องการขนส่งสินค้าที่มาไม่ตรงเวลาที่นัดหมายกันไว้

 

สายตาคมจับจ้องมาที่นทีรินขณะที่ยังคุยโทรศัพท์อยู่ ความเคร่งเครียดที่ปรากฏบนใบหน้าของคนเป็นสามีทำให้นทีรินรู้สึกหวาดหวั่นอย่างบอกไม่ถูก ร่างบางยืนนิ่งอยู่กับที่ไม่กล้าขยับเข้าไปมากกว่านี้ นทีรินรอจนอีกฝ่ายคุยโทรศัพท์เสร็จจึงเอ่ยขึ้นด้วยเสียงประหม่าเล็กน้อยเพราะยังไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายกำลังอยู่ในอารมณ์ไหน

 

“คุณภพ.. ผมเอาอาหารกับยามาให้คุณครับ”

 

“วางไว้ตรงโต๊ะนั้นก่อนก็ได้” เสียงทุ้มเอ่ยบอกภรรยาโดยไม่มองหน้าขณะที่เลื่อนดูงานในแท็บเล็ตไปด้วยท่าทางที่เคร่งเครียด

 

“เอ่อ... ไม่ทานข้าวก่อนเหรอครับ คุณป่วยอยู่ไม่ใช่เหรอ”

นทีรินไม่ได้วางถาดลงบนโต๊ะอย่างที่อีกฝ่ายเอ่ยบอกเพราะกำลังรวบรวมความกล้าในการเอ่ยในสิ่งที่กำลังคิดอยู่ในใจออกไปด้วยความหวั่นใจไม่น้อยว่าอีกฝ่ายอาจจะโมโหใส่เขาก็เป็นได้ แ

 

“งานผมยังไม่เสร็จ เดี๋ยวค่อยกิน”

 

ท่าทางเคร่งเครียดและรีบร้อนที่อยากจะจัดการให้งานที่กำลังมีปัญหานั้นให้เรียบร้อยของคนเป็นสามีทำเอานทีรินนึกเริ่มจะโมโหขึ้นมาที่อีกฝ่ายเอาแต่สนใจงานจนไม่ใส่ใจถึงสุขภาพของตัวเองสักนิด

 

“ไม่เสร็จก็ปล่อยมันไว้สักพักไม่ได้เลยเหรอครับ ทำไมคุณไม่ห่วงสุขภาพตัวเองเลยล่ะ”

 

เมื่อสิ้นเสียงหวานที่เจือปนไปด้วยความไม่พอใจจบลงภวินท์ก็เงยหน้ามองเจ้าของใบหน้าหวานทันที น้ำเสียงหวานที่คนฟังสัมผัสได้ถึงความเป็นห่วงเป็นใยทำให้ภวินท์ลอบยิ้มอย่างพึงพอใจก่อนจะสาวเท้าเข้าไปใกล้ร่างบางจนนทีรินขยับกายออกห่างเล็กน้อย

 

“แล้วที่คุณมายืนบ่นเป็นคนแก่อยู่เนี่ย คุณห่วงผมหรือไงหืม?”

 

เสียงทุ้มเอ่ยล้อเลียนภรรยาพลางยิ้มมุมปากเจ้าเล่ห์ส่งไปให้ เมื่อได้ยินเช่นนั้นดวงตาหวานก็เบิกขึ้นเล็กน้อยก่อนจะแสดงท่าทีเลิ่กๆลั่กๆออกมาอย่างห้ามไม่ได้ ซึ่งท่าทางน่ารักแบบนั้นเรียกรอยยิ้มของภวินท์ได้เป็นอย่างดี

 

“ผม… ผมเปล่านะครับ ก็แค่..”

 

“ถ้าไม่ได้ห่วงก็หยุดบ่นได้แล้ว” เสียงทุ้มเอ่ยบอกด้วยเสียงล้อเลียนขณะที่มือหนาวางบนกลุ่มผมนิ่มของนทีรินแล้วขยี้เบาๆ

 

นทีรินสะดุ้งเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้ขยับหนีแต่อย่างใด ฝ่ามือใหญ่ที่ประทับอยู่บนศีรษะของเขามันทำให้รู้สึกอบอุ่นในใจอย่างประหลาด

 

“ผมไม่ได้บ่นคุณสักหน่อย”

 

คนตัวเล็กกว่าเอ่ยบอกเสียงอุบอิบพลางยู่ปากใส่คนเป็นสามีที่ล้อว่าขี้บ่นเป็นคนแก่ทั้งๆที่มันคือความห่วงใยต่างหาก ท่าทางแบบนั้นของภรรยาทำให้ภวินท์ยิ้มขำเพราะสิ่งที่อีกฝ่ายกระทำกับพูดนี่ตรงข้ามกันอย่างเห็นได้ชัดเลยล่ะ

 

“งั้นเหรอ”

 

แววตาที่แฝงไปด้วยความล้อเลียนนั้นทำนทีรินอายจนแทบอยากแทรกแผ่นดินหนีให้ได้

เขารู้สึกเกลียดความรู้สึกของตัวเองที่มันแสดงออกมาชัดเจนจนภวินท์สัมผัสได้เสียแล้ว

 

“ถ.. ถึงผมไม่ได้ห่วงแต่อากงก็เป็นห่วงนี่ครับ คุณกำลังจะทำให้อากงไม่สบายใจนะครับ”

 

นทีรินพยายามเบี่ยงประเด็นโยนไปให้เจ้าสัวพีระด้วยท่าทีตะกุกตะกักเพราะถึงอย่างไรเขาก็ไม่อยากจะยอมรับเลยว่าเขาเป็นห่วงอีกฝ่ายเพราะขืนเขาบอกว่าห่วงคนแบบภวินท์น่ะยังไงก็ต้องได้ใจแน่นอนเลย

 

“อากงไม่รู้หรอกเพราะผมจะทำตัวเป็นหลานที่ดีของท่านโดยที่ไม่ทำให้ท่านเป็นห่วง พอใจคุณแล้วใช่ไหมครับคุณภรรยา?”

 

ภวินท์ยื่นหน้าเข้าไปใกล้อีกฝ่ายอย่างยียวนด้วยท่าทีกวนประสาทจนนทีรินเข่นเขี้ยวในใจ

 

คนบ้า! คนเขาเป็นห่วงยังจะมากวนประสาทอีก
 

“ถ้าอย่างนั้นก็แล้วแต่คุณเลยครับ คุณจะป่วยหนักมากกว่าเดิมมันก็เป็นเรื่องของคุณ ผมก็ไม่ได้อยากยุ่งกับคุณนักหรอกครับ”

 

เมื่อจนใจจะคุยกับคนกวนประสาทแล้วนทีรินจึงประชดประชันใส่อีกฝ่ายโดยการวางถาดอาหารและยาลงบนโต๊ะดังตึงตังก่อนจะรีบสาวเท้าเตรียมออกจากห้องนี้ให้เร็วที่สุดแต่ก็ต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงทุ้มขัดขึ้นมาก่อน

 

“ไม่อยากยุ่งแต่ก็หาข้าวหายามาให้ แบบนี้หมายความว่ายังไงหืม?”

 

เมื่อหันหน้ากลับไปก็พบว่าอีกฝ่ายกำลังยิ้มล้อเลียนมาที่เขาอย่างพึงใจอยู่ นี่คงจะคิดแน่นอนเลยว่าที่เขาทำไปทุกอย่างเพราะเป็นห่วงน่ะ นทีรินกัดปากล่างแน่นก่อนชี้แจงด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง

 

“ไม่ได้มีความหมายอะไรทั้งนั้นครับ ผมมีหน้าที่ดูแลทุกคนในบ้าน เห็นว่าคุณป่วยผมก็แค่หาข้าวกับยามาให้ทานเท่านั้นเอง”

 

นทีรินเสตามองไปที่อื่นเพราะยิ่งสบตากับภวินท์เขาก็ยิ่งหลุด นทีรินรู้ตัวดีว่าเขาเป็นคนโกหกและเฉไฉไม่เก่งเลยสักนิด ไม่อย่างนั้นภวินท์คงไม่ล้อเลียนเขาด้วยสายตากรุ้มกริ่มกลับมาเช่นนี้หรอก

 

“ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นคนปากแข็ง ทั้งๆที่จริงแล้ว... นิ่มจะตาย”

 

“คุณภพ!”

 

นทีรินแหวออกมาเสียงดังเมื่อสายตาคมของอีกฝ่ายมาหยุดที่ริมฝีปากบางของเขาอย่างเจ้าเล่ห์ ดวงตาหวานตวัดมองภวินท์ด้วยสายตาไม่พอใจแต่อีกฝ่ายกลับไม่รู้สึกอะไรนอกจากหัวเราะในลำคออย่างพึงใจที่กลั่นแกล้งเขาให้อายได้

 

“หึหึ”

 

“ทำไมคุณชอบกวนประสาทผมนัก สนุกมากเลยเหรอครับ” นทีรินเบื่อหน่ายที่จะทนกับคนขี้แกล้งแบบนี้แล้ว ขนาดป่วยอยู่ยังกวนประสาทเขาได้ถึงเพียงนี้

 

“อย่างน้อยการแกล้งคุณมันก็ทำให้ผมหายเครียดจากงานได้บ้าง”

 

สิ้นคำพูดของคนขี้กวนนทีรินก็นิ่งไปเล็กน้อย เพราะเขาเพิ่งฉุกคิดได้ว่าอีกฝ่ายอาจจะกำลังเครียดกับปัญหาเรื่องงาน และการที่ภวินท์แกล้งเขาแบบนี้อาจจะทำให้อีกฝ่ายผ่อนคลายขึ้นก็เป็นได้ เมื่อคิดได้เช่นนั้นร่างบางจึงค่อยๆคลายคิ้วที่ขมวดมุ่นออกก่อนจะเอ่ยในสิ่งที่ใจคิด

 

“ก็อย่าหักโหมเกินไปสิครับ ผมรู้ว่าตอนนี้คุณต้องรับผิดชอบอะไรหลายอย่างแต่คุณอย่ามัวแต่ห่วงงานอย่างเดียว สุขภาพของตัวเองก็ควรห่วงด้วย ร่างกายหักโหมใช้มันมากก็ต้องพักมันเสียบ้าง…”

 

ภวินท์ฟังเสียงหวานนั้นเอ่ยเจื้อยแจ้วด้วยใจที่พองโต สายตาหวานที่ส่งมานั้นมีแต่ความห่วงใยที่เขาสัมผัสได้ คำพูดที่เขาล้อเลียนว่าเป็นคำบ่นนั้นก็มีแต่ความห่วงใยที่อีกฝ่ายมีให้ ภวินท์รับรู้ได้เสมอว่านทีรินเป็นห่วงเขา เพราะถ้าอีกฝ่ายไม่ได้ห่วงใยกันก็คงไม่มายืนอยู่ตรงหน้าเขาหรอก ภวินท์ยอมรับว่าเขาดีใจที่ได้รับการสนใจจากนทีริน จากภรรยาที่เขาไม่ยอมรับตั้งแต่แรก แต่ทำไมตอนนี้เขาถึงรู้สึกว่าเขากำลังขาดภรรยาคนนี้ไปไม่ได้

 

“ขอบคุณที่เป็นห่วงนะครับ” ภวินท์เอ่ยบอกเสียงนุ่มพร้อมรอยยิ้ม

 

นทีรินใจสั่นวูบวาบขึ้นมาเพราะรอยยิ้มนั้นไม่ใช่การแสยะยิ้มอย่างที่อีกฝ่ายชอบทำ แต่มันคือรอยยิ้มที่ยิ้มออกมาจากใจจริงๆที่นทีรินสัมผัสได้ เมื่อปฏิเสธและกลบเกลื่อนไม่ได้ว่าเขาเป็นห่วงอีกฝ่าย นทีรินก็ได้แต่พยักหน้ายอมรับว่าการที่เขาเข้ามาพบกับสามีในตอนนี้นั้นมันคือความห่วงใยที่เขามีต่ออีกฝ่ายทั้งสิ้น

 

“ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวก่อนนะครับ คุณเองก็อย่าลืมทานข้าวทานยานะครับ”

 

“ผมไม่อยากทานอาหารที่คุณเอามาให้เลย” เสียงทุ้มเอ่ยบอกติดอ้อนเล็กน้อยจนนทีรินทำหน้าสงสัย

 

“หือ? ทำไมล่ะครับ”

 

สายตาคมของภวินท์มองไปยังอาหารที่ถูกยกมาด้วยใบหน้าที่แฝงไปด้วยความเบื่อหน่าย มือหนายกขึ้นมาเท้าคางอย่างเด็กเอาแต่ใจจนนทีรินแอบอมยิ้มขำและพลางคิดในใจว่าเวลาภวินท์ป่วยแล้วงอแงเหมือนตอนเด็กๆไม่มีผิด

 

“ผมอยากทานอาหารที่คุณทำให้มากกว่า”

 

ใบหน้าหล่อคมที่ทำหน้าออดอ้อนอย่างนั้นทำเอานทีรินวางหน้าแทบไม่ถูก ใช่ว่าไม่เคยโดนอีกฝ่ายอ้อนเสียหน่อยเพียงแต่ในตอนที่เขาโดนอีกฝ่ายออดอ้อนนั้นมันก็นานแสนนานมาแล้วแถมตอนนั้นก็ยังไม่ได้แต่งงานกันเสียหน่อย เจอแบบนี้เข้าไปหัวใจของนทีรินก็เต้นระรัวขึ้นมาอีกคราจนเขาต้องรีบเดินออกจากห้องนี้ไปโดยไม่หันกลับมามองคนที่ทำให้หวั่นไหวที่ยิ้มกริ่มอยู่เลย ร่างบางรีบเดินกลับไปยังห้องนอนของตัวเองเพื่อตั้งหลักพลางนึกเอ็ดตัวเองในใจ

 

ชักจะหวั่นไหวกับเขาเกินไปแล้วนะนท…

 

 

***

ต่อข้างล่างค่ะ
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๑๒ (7-5-62) [ต่อ]
เริ่มหัวข้อโดย: yokindy ที่ 07-05-2019 17:46:30
ในช่วงบ่ายของวันที่ภวินท์ยังป่วยอยู่นั้นร่างสูงไม่ได้ไปทำงานที่บริษัทเนื่องจากโหมงานหนักเกินไปจนไปไม่ไหว และนทีรินเองก็ออกปากห้ามไม่ให้อีกฝ่ายไป ถ้าหากอยากทำงานก็ให้สั่งผ่านโทรศัพท์และอินเทอร์เน็ตเท่านั้น นทีรินรู้ดีว่าเขาอาจจะก้าวก่ายชีวิตของภวินท์มากเกินไปแต่หากเขาไม่ทำเช่นนี้ภวินท์ก็คงดื้อดึงไม่เลิกและเขาเองก็เป็นห่วงอีกฝ่ายไม่น้อยเลย

 

“คุณนทครับ คุณภพเรียนว่าวันนี้อยากทานผัดวุ้นเส้นกับแกงจืดลูกรอกเป็นอาหารเย็นครับ”

 

โต๋เดินเข้ามาบอกนทีรินในขณะที่กำลังนั่งอ่านหนังสือวรรณกรรมเล่มโปรดอยู่ภายในห้องนั่งเล่นขนาดใหญ่ของบ้าน นทีรินพยักหน้ายิ้มให้โต๋เล็กน้อยก่อนจะวางหนังสือในมือลง ร่างบางเดินเข้าไปในครัวขนาดใหญ่เพื่อพบกับพี่เลี้ยงคนสนิทที่กำลังอบคุ้กกี้ใส่โหลไว้เพื่อเอาไว้รับแขกเหรื่อที่มาเยี่ยมเจ้าสัวพีระ

 

“พี่นวลครับ เดี๋ยวนทขอตัวไปตลาดสักครู่นะครับ” นทีรินเอ่ยบอกพี่เลี้ยงคนสนิททุกครั้งที่เขาจะออกไปไหนเพื่อให้อีกฝ่ายรับรู้และคลายกังวลได้

 

“จะทำอะไรทานเหรอคะ”

 

พี่นวลเอ่ยถามด้วยความสงสัยเพราะน้อยครั้งนักที่นทีรินจะออกไปเดินตลาดด้วยตัวเองหากไม่ได้จะทำอาหารในโอกาสพิเศษ

 

“คุณภพอยากทานแกงจืดลูกรอกน่ะครับ นทเลยจะไปซื้อมาทำให้เขาทานครับ”

 

พี่นวลนึกแปลกใจแต่ก็ได้แต่พยักหน้ารับรู้ พลันนึกไปถึงภวินท์ที่กำลังป่วยอยู่พี่นวลก็เลยไม่ได้คิดอะไรมากแต่ก็ยังคงความแปลกใจไว้ภายในอยู่ดี

 

“แล้วจะไปตลาดเองเลยเหรอคะคุณหนู พี่ว่าให้เด็กไปซื้อให้ดีกว่าไหมคะ อากาศข้างนอกร้อนขนาดนี้เดี๋ยวผิวพรรณเสียแย่เลยค่ะคนดี”

 

พี่นวลเอ่ยบอกด้วยความเป็นห่วงเพราะช่วงนี้อากาศที่ประเทศไทยนั้นร้อนมากเสียจริง จนบางทีก็ไม่อยากจะออกไปไหนเลย ความเป็นห่วงโอเวอร์ของพี่นวลทำให้นทีรินอดจะยิ้มขำไม่ได้

 

“ไม่เป็นไรครับ นทอยากไปเลือกซื้อวัตถุดิบเองน่ะครับ”

 

“ถ้าอย่างนั้นก็ให้เด็กไปช่วยถือของนะคะ”

 

นทีรินยิ้มตอบรับคำของพี่นวลก่อนจะไปเตรียมตัวออกไปตลาดกับเด็กรับใช้อีกหนึ่งคนที่พี่นวลส่งมาให้เป็นผู้ช่วยถือของ

 

สถานที่ที่นทีรินเรียกว่าเป็นตลาดนั้นก็ถือเป็นธุรกิจอย่างหนึ่งของเดอะแกรนด์ฯซึ่งเป็นตลาดสดที่ได้รับมาตรฐานระดับโลกมีความปลอดภัยและความสะอาดที่ถูกการันตีโดยกรมฯที่เกี่ยวข้องกับอาหารมาเป็นอย่างดี ร่างบอบบางเดินเลือกวัตถุดิบต่างๆอย่างเพลิดเพลิน ที่จริงแล้วนทีรินไม่ค่อยได้มาที่นี่สักเท่าไรเนื่องจากวัตถุดิบทุกอย่างจะถูกเลือกซื้อโดยพี่นวลและแม่บ้านคนอื่นๆเสียมากกว่า แต่วันนี้เขาอยากจะมาเลือกทุกอย่างเองเพียงเพราะเขาอยากจะทำอาหารให้ออกมาสะอาดและดีที่สุดเพื่อให้คนที่จะรับประทานอาหารของเขานั้นได้รับความปลอดภัยจนเขาหายห่วงได้ในที่สุด

 

เมื่อกลับมาจากตลาดแล้วร่างบางก็เดินเข้าครัวอย่างตั้งใจ มือบางนำวัตถุดิบทั้งหมดมาล้างและทำความสะอาดก่อนจะเริ่มทำอาหาร นทีรินตั้งหม้อน้ำจนเดือดและใส่กระดูกซุป หัวหอม แครอทลงไปเพื่อให้น้ำแกงจืดนั้นหวานและกลมกล่อมมากขึ้น เมื่อต้มจนซุปเริ่มได้ที่แล้วจึงใส่กระเทียม พริกไทยและรากผักชีที่ถูกโขลกรวมกันแล้วลงไป จากนั้นค่อยๆใส่หมูบดทรงเครื่องลงไปจนหมูสุกก็ใส่ลูกรอกลงไปจากนั้นก็ปรุงรสจนได้ที่แล้วจึงตักใส่ชามกระเบื้องไว้ และนทีรินก็หันไปทำอาหารอีกอย่างที่ถูกรีเควสต์มานั่นก็คือผัดวุ้นเส้นนั่นเอง

 

ท่าทางตั้งใจของนทีรินนั้นไม่ได้เล็ดลอดไปจากสายตาของพี่นวลได้เลย พี่เลี้ยงคนสนิทอดคิดในใจไม่ได้ว่าความสัมพันธ์ของภวินท์และคุณหนูของเธอน่าจะกำลังดีขึ้นเรื่อยๆแล้ว และเธอก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่าภวินท์จะทำให้คุณหนูของเธอมีความสุขเฉกเช่นคู่สามีภรรยาอื่นๆได้ในสักวันหนึ่งจะได้ไม่ต้องจบด้วยการหย่าขาดจากกัน

 

เมื่อนทีรินจัดเตรียมอาหารทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ก็พร้อมที่จะนำไปเสิร์ฟให้ทุกๆคนในบ้านได้ นทีรินแยกถาดอาหารเป็นสองที่ สำหรับเจ้าสัวพีระและภวินท์อย่างละถาด ร่างบางเดินถือถาดอาหารไปให้เจ้าสัวพีระเป็นคนแรกและแจ้งว่าวันนี้จะมีเขามาทานอาหารกับท่านได้เพียงคนเดียวเนื่องจากภวินท์ไม่สบาย เมื่อจัดแจงทุกอย่างให้เจ้าสัวพีระเรียบร้อยแล้วนทีรินก็นำถาดอาหารมาให้ภวินท์ต่อที่ห้องทำงาน มือบางเปิดประตูเข้าไปเมื่อไม่ได้ยินเสียงตอบรับอนุญาตของคนข้างตอบมา

 

ร่างบางเดินเข้าไปพบว่าคนเป็นสามีนั้นกำลังนอนเอามือเท้าคางหลับอยู่บนเก้าอี้ทำงานอย่างทุลักทุเลจนน่าเป็นห่วง ดวงตาหวานกวาดไปทั่วโต๊ะทำงานที่มีเอกสารต่างๆวางเกะกะไม่เป็นระเบียบ นทีรินวางถาดอาหารลงก่อนจะเดินเข้ามาปลุกคนเป็นสามี

 

“คุณภพ”

 

“…”

 

“คุณภพครับ” มือบางสัมผัสที่แขนแกร่งก่อนจะเขย่าเบาๆเพื่อให้คนป่วยรู้สึกตัว

 

“อือ..”

 

ภวินท์ลืมตาขึ้นอย่างสะลึมสะลือเมื่อพบว่าเป็นภรรยาดวงตาคมก็เบิกขึ้นเต็มดวงพลางคิดในใจว่าเขาต้องโดนอีกฝ่ายดุแน่นอนเลย

 

“ทำไมคุณไม่ไปนอนพักที่ห้องนอนดีๆล่ะครับ”

 

ไม่ทันขาดคำดีเขาก็โดนภรรยาเอ็ดเสียแล้ว ภวินท์ยิ้มขำน้อยๆก่อนจะคว้าเอวบางของภรรยาให้รุดนั่งลงบนตักแกร่งของเขาจนนทีรินตกใจ

 

“อ๊ะ… คุณภพ! ทำอะไรของคุณครับ” คนโดนบังคับเอ่ยดุคนป่วยที่ชักจะเอาแต่ใจขึ้นทุกวัน

 

“อย่าเพิ่งดุนะนท.. ขอนั่งแบบนี้สักพักได้ไหมครับ”

 

มือหนากอดเอวบางไว้แน่นก่อนจะพิงหัวมาที่ไหล่บอบบางราวหาที่พักพิง น้ำเสียงออดอ้อนที่อีกฝ่ายเอ่ยบอกนั้นทำให้นทีรินถอนหายใจออกมาเบาๆกับคนเอาแต่ใจ

 

“ทำไมคุณไม่ไปนอนในห้องดีๆครับ นอนแบบนี้เดี๋ยวก็ปวดตัวหรอก”

 

“ไม่เป็นไรหรอก ขอพักสายตาแป๊บเดียวแล้วผมจะไปทำงานต่อแล้ว” ภวินท์เงยหน้าขึ้นจากไหล่เล็กพลางเอ่ยบอกคนในอ้อมกอดด้วยสายตาละมุน

 

“ไม่ครับ คุณป่วยขนาดนี้ทำไมถึงยังห่วงงานอยู่อีก” นทีรินขัดขึ้นมาทันควันเมื่อรู้ว่าตอนนี้คนป่วยกำลังดื้อกับเขาอีกแล้ว

 

“ผมไม่ได้เป็นอะไรมากหรอกน่า”

 

“ทั้งๆที่คุณตัวร้อนขนาดนี้ยังบอกว่าไม่เป็นอะไรอีกเหรอ”

 

นทีรินเอาหลังมืออังไปที่หน้าผากของคนป่วยก่อนจะไล่ลงมาที่แก้มสากและคอเพื่อวัดอุณหภูมิและก็พบว่าอีกฝ่ายยังตัวร้อนอยู่เลย

 

“แค่เป็นไข้นิดหน่อยเอง”

 

มือหนาจับมือบางของภรรยาไว้พลางเอ่ยบอกเสียงติดอ้อนจนนทีรินใจเต้นแรงอีกคราแต่ก็ต้องแสร้งทำเป็นดุกลบเกลื่อนเพื่อไม่อยากให้คนป่วยได้ใจอีก

 

“คุณหยุดรั้นกับผมเลยนะครับ แล้วข้าวกลางวันก็ทานไปนิดเดียวเอง เดี๋ยวก็เป็นหนักกว่าเดิมหรอก”

 

“ผมทานไม่ค่อยลง อยากทานอาหารที่คุณทำให้ไง”

 

“คุณจะได้ทานอาหารที่ผมทำให้แน่นอนครับ แต่คุณต้องหยุดโหมงานเสียก่อน”

 

นทีรินยื่นคำขาดเพราะเขาจะไม่ยอมให้ภวินท์ทำงานหนักขณะที่ป่วยเด็ดขาด แค่เจ้าสัวพีระทราบว่าหลานชายป่วยท่านก็เป็นห่วงจะแย่อยู่แล้ว เกิดภวินท์โหมทำงานหนักจนร่างกายทรุดไปเจ้าสัวพีระน่าจะเกิดความกังวลใจไม่น้อยเลยทีเดียว นทีรินทั้งเป็นห่วงอากงและหลานชายจอมดื้อของอากงเสียจริง

 

“ทำแบบนั้นไม่ได้หรอก คุณก็รู้ว่าการเป็นผู้บริหารเราจะอ่อนแอมากไม่ได้ ต่อให้ผมจะป่วยแค่ไหนผมก็ต้องทำ”

 

ภวินท์เองก็ยังคงดื้อดึง เขาทราบว่านทีรินเป็นห่วงแต่ด้วยความที่เขาเป็นผู้นำและเป็นผู้ขับเคลื่อนและจัดการธุรกิจทุกอย่างเขาก็ต้องทำมันให้ดีที่สุดต่อให้ป่วยมันก็ยังถือว่าไกลหัวใจสำหรับภวินท์

 

“ถ้าอย่างนั้นผมจะช่วยคุณทำงานเองครับ แต่ต้องแลกกับการที่คุณจะต้องทานข้าวที่ผมทำมาให้พร้อมกับกินยาให้เรียบร้อยก่อน.. ตกลงไหมครับ”

 

คราวนี้นทีรินยื่นข้อเสนอที่ประนีประนอมสำหรับเขาและภวินท์ ถ้าอะไรที่เขาสามารถช่วยเหลืออีกฝ่ายได้เขาก็จะช่วยทำให้ถ้ามันต้องแลกกับการที่ภวินท์จะหันมาดูแลตัวเองสักนิดก็ยังดี

 

“ครับ ตกลงก็ตกลง”

 

 

ภวินท์พยักหน้ายิ้มมุมปากตอบรับข้อเสนอของภรรยาในอ้อมกอด กลิ่นหอมจากกายของร่างบางนั้นทำให้เขาผ่อนคลายได้จริงๆจนบางทีเขาก็ชักจะเสพติดกลิ่นของอีกฝ่ายมากขึ้นทุกวัน หากวันใดที่ไม่ได้กลิ่นนี้เขาก็รู้สึกว่ามันวูบโหวงในใจแปลกๆ

 

“ถ้าอย่างนั้นทานข้าวก่อนนะครับ” นทีรินลุกจากตักแกร่งก่อนจะเดินไปหยิบถาดอาหารมาวางไว้ตรงหน้าคนป่วย

 

ภวินท์มองไปยังถาดอาหารที่ประกอบไปด้วยอาหารที่เขาอยากทานทั้งนั้น ผัดวุ้นเส้นและแกงจืดลูกรอกส่งกลิ่นหอมจนเขาต้องสูดเข้าไปให้เต็มปอด นทีรินจัดแจงนำจานข้าวมาวางไว้ตรงหน้าพร้อมกับแก้วที่บรรจุน้ำเปล่าอุ่นๆวางไว้ข้างกัน

 

“ไม่ทานล่ะครับ” นทีรินเลิกคิ้วสงสัยเมื่อคนป่วยไม่ยอมทานอาหารสักที

 

“ป้อนด้วยสิ”

 

“คุณภพ.. นี่คุณเป็นเด็กเหรอครับ” นทีรินกลอกตาไปมาอย่างเหนื่อยหน่าย เขาคิดไว้แล้วเชียวว่าภวินท์เป็นคนได้คืบจะเอาศอกเสียจริง

 

“มือผมไม่ค่อยมีแรง สงสัยจะเขียนงานมากไป” ภวินท์เอ่ยบอกพลางแกล้งสะบัดมือไปมาราวกับเมื่อยขบนักหนา

 

“เรื่องเยอะจังนะครับ ถ้าผมป้อนคุณต้องทานให้หมดด้วยนะ” เมื่อจนใจจะต่อล้อต่อเถียงนทีรินจึงยอมที่จะป้อนคนป่วยช่างเอาแต่ใจด้วยความจำใจ

 

“ครับๆ คุณนี่นับวันยิ่งทำตัวเหมือนหม่าม้าของผมไปแล้วนะ”

 

น้ำเสียงล้อเลียนและสายตาวาววับของสามีชักเริ่มทำให้นทีรินไม่แน่ใจแล้วว่าภวินท์นั้นป่วยจริงๆหรือเพียงต้องการจะแกล้งให้เขาเอาใจเท่านั้น

 

“ถ้าผมต้องมีลูกชายดื้อรั้นแบบคุณผมคงปวดหัวน่าดูเลยครับ”

 

ภวินท์เป็นคนเจ้าเล่ห์ กวนประสาทและเอาแต่ใจเรื่องนี้นทีรินทราบดี แต่เพียงแค่เขาไม่คิดว่าจะหนักถึงเพียงนี้โดยเฉพาะตอนที่อีกฝ่ายป่วย

 

“ถ้าอย่างนั้นที่เขาบอกว่ามีเมียเหมือนมีแม่นี่ก็เรื่องจริงใช่ไหม”

 

สายตาคมเป็นประกายขณะพูดล้อเลียน คำว่าเมียที่ถูกเปล่งออกมาจากปากคนป่วยจอมเจ้าเล่ห์ทำให้ใบหน้านวลมีสีแดงขึ้นข้างแก้มนวลอย่างช่วยไม่ได้ ซึ่งนั่นก็สร้างความพึงพอใจให้แก่คนช่างล้อได้เป็นอย่างดี ยิ่งเห็นแววตาล้อเลียนของสามีนทีรินก็ยิ่งเลิ่กลั่กทำตัวไม่ถูก

 

“ม.. มัวแต่พูดเล่นอยู่นั่นแหละครับ ทานข้าวสิครับจะได้ทานยา แล้วคราวนี้คุณอยากจะทำงานจนเสร็จผมก็จะไม่วุ่นวายกับคุณเลย”

 

เสียงหวานแสร้งเอ่ยดุอีกคราเพื่อกลบเกลื่อนความเขินอายก่อนจะตักอาหารป้อนคนป่วยจนหมดโดยมีสายตากรุ้มกริ่มของคนป่วยจ้องมองอยู่ตลอดเวลา

 

 



“นี่ถ้าไม่ได้คุณนทนี่คุณภพคงไม่ยอมหยุดทำงานจริงๆนะครับ”

 

เสียงโต๋เอ่ยขึ้นขณะที่พาเจ้านายของตัวเองกลับมานอนที่ห้องนอนได้สำเร็จแล้ว ภวินท์หลับสนิทจนไม่รู้สึกตัวด้วยซ้ำว่าถูกหิ้วปีกพามานอนที่ห้องนอนของตัวเอง

 

“นั่นสิคะคุณหนู นี่ทำยังไงคะถึงได้ยอมหยุดทำงานแล้วก็นอนพักแบบนี้” พี่นวลเอ่ยถามด้วยความสงสัยเพราะทุกคนต่างรู้ว่าภวินท์ป่วยหนักแต่ก็ไม่ยอมพักผ่อน

 

“นทให้คุณภพทานยาแก้ไข้แบบมีฤทธิ์ง่วงซึมน่ะครับ เพราะถ้าไม่ทำแบบนี้คุณภพจอมดื้อของทุกคนก็ไม่ยอมพักผ่อนเสียที”

 

นทีรินยิ้มภูมิใจที่ในที่สุดแผนการของเขาก็ทำให้ภวินท์นอนหลับได้เต็มตาเสียที หากเขาไม่ให้อีกฝ่ายกินยาที่มีฤทธิ์ง่วงซึม คนป่วยจอมดื้อก็คงไม่ยอมพักผ่อนจริงๆจังๆเสียทีแล้วถ้าเป็นแบบนั้นแล้วเมื่อไรจะหายขาดมีแต่จะทรุดลงเปล่าๆ ร่างบางถอนหายใจอย่างโล่งอกและในวันนี้เขาก็คงนอนหลับได้อย่างสบายใจเช่นกัน

 

ไม่เพียงแต่นทีรินเท่านั้นที่รู้สึกโล่งอกแต่พี่นวลและโต๋เองก็เช่นกันเพราะทุกคนก็ต่างห่วงใยภวินท์ด้วยกันทั้งนั้น

 

“ดีจังเลยนะครับ” โต๋เอ่ยขึ้นพลางมองไปที่นทีรินอย่างชื่นชม

 

“ดีอะไรเหรอเจ้าโต๋” พี่นวลเอ่ยถามโต๋เพราะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังจะสื่อถึงอะไร

 

“ก็การที่คุณภพมีคุณนทเป็นภรรยาไงครับที่ดีมากๆ ผมว่าไม่มีใครคู่ควรกับคุณภพของผมได้เท่าคุณนทของพี่นวลอีกแล้วครับ”

 

สายตาชื่นชมของทั้งโต๋และพี่นวลที่ส่งผ่านมาให้นทีริน ทำให้เจ้าตัวรู้สึกชื่นใจไม่น้อยแต่ในขณะเดียวกันก็ต้องรู้สึกหน่วงหนึบในใจไม่น้อยเช่นกัน

 

เพราะเขาก็อดคิดไม่ได้ว่าบางทีภวินท์อาจจะไม่ได้คิดก็ได้ว่าเขาคู่ควรที่จะเป็นภรรยาของอีกฝ่ายก็เป็นได้ นทีรินตระหนักไว้เสมอว่าต่อให้เขามีผลทางกฎหมายในการเป็นภรรยาที่ถูกต้องของภวินท์

 

 



แต่เขาก็คงจะไม่มีผลทางใจของอีกฝ่ายเลย…

 

 

_________________________________________________________________________________________________

TALK WITH WRITER :: วันที่พี่ภพป่วยแต่ก็ยังหาเรื่องแต๊ะอั๋งเมียได้อยู่จ้า คนป่วยแบบนี้มันน่าโดนทุบสักทีสองที 5555555555555
เจอกันตอนหน้าค่า :)

หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๑๒ (7-5-62)
เริ่มหัวข้อโดย: PINE J. ที่ 07-05-2019 20:10:04
โอ๊ยเขินนนนนนน :o8:
เป็นกำลังใจให้ไรท์นะคะ
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๑๒ (7-5-62)
เริ่มหัวข้อโดย: BABYBB ที่ 07-05-2019 20:31:18
ต่อจากนี้ก็ช่วยทำตัวดีๆกับน้องด้วยล่ะคุณภพ
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๑๒ (7-5-62)
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 07-05-2019 21:40:49
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๑๒ (7-5-62)
เริ่มหัวข้อโดย: sailom_orn ที่ 07-05-2019 21:41:41
เริ่มมีฉากหวานๆบ้างแล้ว  :mew3: :mew3:
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๑๒ (7-5-62)
เริ่มหัวข้อโดย: NaunaeZaa ที่ 07-05-2019 22:32:00
ตามอ่านทันซักที555 สนุกมากค่ะ คุณภพชอบให้ความหวังนทอ่ะ มันเจ็บปวดนะเจ้าบ้า :sad4: :sad4:
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๑๒ (7-5-62)
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 08-05-2019 01:21:13
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๑๒ (7-5-62)
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 08-05-2019 02:24:03
บอกนทไปเลยว่ารักเขา
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๑๒ (7-5-62)
เริ่มหัวข้อโดย: HISY ที่ 09-05-2019 02:10:47
ได้แต่ตอดเล็กตอดน้อย เก็กไปเรื่อย
หันหน้าคุยกับน้องป่านนี้ได้มากว่าตอดแล้ว อิอิ
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๑๒ (7-5-62)
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 09-05-2019 03:42:03
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๑๒ (7-5-62)
เริ่มหัวข้อโดย: Hananijinji ที่ 10-05-2019 20:12:02
นทอย่าไปใจอ่อนน้า คนอ่านหมั่นไส้ภพมาก!
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๑๒ (7-5-62)
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 11-05-2019 22:15:00
ต้องทำยังไงให้หายเกลียดและหมั่นไส้คุณภพดี ตอนนี้กำลังหวาน ๆ กันอยู่คงไม่ใช่ว่ามีแฟนเก่าที่เคยคบกันตอนไปต่างประเทศเมื่อ 8 ปีมาทำให้เรื่องแย่จนหย่ากันนะ ถ้าเป็นยังงั้นเราจะได้เตรียมใจรอสมน้ำหน้าคุณภพค่ะ เราจะสรรหาคำมาด่าให้เยอะ ๆ เลยค่ะ
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๑๓ (14-5-62)
เริ่มหัวข้อโดย: yokindy ที่ 14-05-2019 00:51:28
บทที่ ๑๓



“คุณแน่ใจแล้วนะครับว่าจะไปทำงานวันนี้ ทำไมไม่หยุดพักต่ออีกสักวันล่ะครับ”

 

นทีรินเอ่ยถามความแน่ใจของสามีขณะกำลังผูกเน็กไทให้อีกฝ่ายอย่างที่ต้องทำอยู่เป็นนิจจนเริ่มชินเสียแล้ว เพราะการผูกเน็กไทให้สามีก่อนไปทำงานทุกเช้านั้นถือเป็นกิจวัตรของเขาไปเสียแล้ว

 

“ดีขึ้นเยอะแล้วล่ะ วันนี้มีประชุมผู้ถือหุ้นด้วย ไม่ไปไม่ได้หรอก”

 

ร่างสูงเอ่ยตอบภรรยาโดยสายตาคมเอาแต่จับจ้องไปที่ดวงหน้าหวานอย่างนึกขัน เพราะกำลังคิดว่าวันนี้จะต้องโดนภรรยาดุเรื่องที่เขารั้นจะไปทำงานแน่นอนเลย

 

“ถ้าประชุมเสร็จแล้วรู้สึกไม่ไหวก็กลับมาพักนะครับ” นทีรินเอ่ยบอกอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงที่เจือไปด้วยความห่วงใยทั้งสิ้น

 

ภวินท์เพิ่งจะลาป่วยไปได้แค่สองวันเท่านั้นเองทั้งๆที่อาการป่วยที่อีกฝ่ายเป็นนั้นมันควรจะพักผ่อนให้มากกว่านี้ แต่อย่างที่นทีรินรู้และเข้าใจมาตลอดก็คือภวินท์เป็นคนที่บ้างานมากๆเพราะเมื่อลืมตาตื่นทุกอย่างสำหรับภวินท์ก็ดูเป็นการทำงานไปเสียหมดไม่ว่าจะเป็นการโทรศัพท์ดีลกับลูกค้าหรือแม้แต่การเช็กงานในแท็บเล็ตที่เลขาฯส่งมาให้ดู หากเขาไม่คอยหาข้าวหายามาให้ทานทุกมื้อทุกวันแบบนี้อาการป่วยของอีกฝ่ายคงไม่ทุเลาลงเลย

 

นทีรินถอนหายใจเล็กน้อยอย่างปลงๆกับคนป่วยที่ดื้อจนเขาไม่รู้จะปราบอย่างไรแล้ว

 

“เป็นห่วงเหรอ” เสียงทุ้มถามใบหน้าหล่อคมมีรอยยิ้มล้อเลียนประดับอยู่บนหน้าจนนทีรินรู้สึกหมั่นไส้

 

ชิส์! รู้แล้วยังจะถามอีก

 

“ผมก็ห่วงทุกคนนั่นแหละครับ ไม่ได้ห่วงแค่คุณ อ๊ะ..” นทีรินร้องขึ้นอย่างตกใจเมื่อมือใหญ่ของสามีรวบเอวเขาเข้าไปแนบชิดกายแกร่งจนไม่เหลือพื้นที่ว่างระหว่างกันอีกต่อไป

 

“หลานสะใภ้อากงนี่ปากแข็งจริงๆเลยนะ”

 

ภวินท์เอ่ยล้อเลียนเสียงขันเมื่อพบคนปากไม่ตรงกับใจหนึ่งอัตรา แถมเขาเองก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าคนในอ้อมกอดนั้นเป็นคนปากไม่ตรงกับใจที่น่ารักมากจริงๆ

 

“ผมเปล่าสักหน่อย” นทีรินยู่ปากใส่คนช่างล้ออย่างลืมตัว

 

ใบหน้านวลขึ้นสีแดงพาดที่แก้มเมื่อดวงตาคมจับจ้องมาที่หน้าเขาไม่วางตาจนเขาต้องเป็นฝ่ายหลบก่อน นทีรินแทบจะต้านกับความรู้สึกที่ก่อเกิดภายในใจไม่ไหว เวลาอยู่ใกล้ชิดกับภวินท์ทีไรเขารู้สึกใจเต้นแรงจนแทบจะหลุดออกจากอกทุกครั้งไป ต่อให้พยายามต่อต้านหรือห้ามใจอย่างไรผลสุดท้ายเขาก็แพ้ให้กับการกระทำของคนเป็นสามีอยู่ดี

 

“วันนี้ไปเดอะแกรนด์ฯด้วยกันไหม” ภวินท์เอ่ยถามร่างบางในอ้อมกอดขณะที่ดวงตาคมจับจ้องลึกเข้าไปในดวงตาคู่สวย

 

“หือ?”

 

นทีรินเลิกคิ้วสงสัยว่าทำไมจู่ๆภวินท์ถึงต้องชวนเขาไปเดอะแกรนด์ฯทั้งๆที่ผ่านมาอีกฝ่ายไม่เคยเอ่ยปากชวนเขาไปทำงานด้วยเลยสักครั้งจนบางทีเขาเคยแอบคิดว่าภวินท์คงไม่อยากให้เขาไปยุ่มย่ามภายในเดอะแกรนด์ฯซึ่งเป็นสมบัติล้ำค่าของกิจจานนท์ จนเขาก็เคยคิดน้อยใจอีกฝ่ายอยู่เหมือนกันเพราะภวินท์อาจจะคิดได้ว่าเขาหวังสมบัติของอีกฝ่ายทั้งๆที่เขาไม่เคยคิดแบบนั้นเลยสักครั้ง

 

ใบหน้านวลหม่นลงเล็กน้อยจนภวินท์ต้องถามย้ำอีกครั้งเพราะไม่รู้ว่าภรรยากำลังคิดอะไรอยู่ถึงได้ทำหน้าลำบากใจเช่นนั้น

 

“ว่าไงหืม?”

 

“คุณภพจะให้ผมไปช่วยทำงานเหรอครับ”

 

นทีรินเอ่ยถามเสียงเบาอย่างไม่มั่นใจทว่าก็ชัดเจนในความรู้สึกเพราะเขาอยากทราบเหตุผลที่สามีชวนเขาไปบริษัทในวันนี้ ใบหน้านวลมีสีหน้าลำบากใจอยู่เนืองๆจนภวินท์ไม่แน่ใจว่าภรรยาคิดอะไรไปถึงไหนแล้วจึงได้ทำหน้าแบบนี้

 

“ผมไม่ได้ให้คุณไปช่วยงาน ผมให้คุณไปดูแลผมต่างหาก”

 

เสียงทุ้มเอ่ยเฉลยให้คนที่มีสีหน้ากังวลให้หายคับข้องใจ เพราะการที่เขาออกปากชวนนทีรินไปที่ทำงานด้วยก็เพราะอยากให้ภรรยาไปคอยดูแลเขาเพื่อลดความกังวลใจที่อีกฝ่ายมีต่อเขา แต่ทว่าเหตุผลลึกๆลงไปในใจของเขา ภวินท์รู้สึกว่าอยากให้นทีรินไปกับเขาในวันนี้ด้วย

 

เพราะวันนี้มันเป็นวันทำงานที่ธรรมดาแต่กลับพิเศษในความรู้สึกของเขา…

 

สิ้นคำเฉลยของสามีนทีรินก็ไม่ได้พูดอะไรนอกจากเลิกคิ้วสงสัยเพราะไม่เข้าใจว่าทำไมภวินท์ถึงอยากให้เขาไปดูแลถึงบริษัท แต่ก็ต้องเข้าใจเมื่ออีกฝ่ายเอ่ยเหตุผลออกมา

 

“คุณจะได้ไปช่วยจัดอาหารจัดยาให้ผมด้วยไง ถ้าผมอาการทรุดลงเดี๋ยวคุณก็มาดุผมอีก ผมน่ะยังไม่อยากโดนแม่คนที่สองอย่างคุณดุหรอกนะ”

 

คำพูดช่างล้อเลียนกับใบหน้าคมที่ประดับไปด้วยรอยยิ้มขำขันนั้นทำให้นทีรินขมวดคิ้วมุ่น ริมฝีปากแดงฉ่ำยู่ขึ้นเพราะคำว่าแม่คนที่สองของภวินท์นั้นทำเขาหงุดหงิดใจไม่น้อยแต่ใบหน้าขาวนวลที่ขึ้นสีแดงพาดริ้วไปทั่วทั้งหน้ากลับทรยศความรู้สึกของเขาจนน่าโมโห

 

“ก็คุณทำตัวให้น่าดุเองนี่ครับ” นทีรินเอ่ยบอกพร้อมใบหน้ายุ่งๆจนภวินท์ยิ้มขำกับท่าทางแบบนั้น

 

“คุณถึงต้องไปดูแลผมไง”

 

“แล้วพี่อินล่ะครับ”

 

นทีรินเอ่ยถามไปยังอินทนิลอดีตเลขาฯของเขาที่คอยช่วยงานเขาตั้งแต่ครั้งที่เขาได้เข้าไปดำรงตำแหน่งแทนเจ้าสัวพีระ และในตอนนี้อินทนิลก็ได้กลายเป็นเลขาฯส่วนตัวของภวินท์ไปเสียแล้ว

 

“อินทนิลเขาดูแลผมแค่เรื่องงานเท่านั้น เรื่องส่วนตัวผมไม่ได้ให้เขาเข้ามายุ่ง”

 

ภวินท์ตอบภรรยาตามความเป็นจริงเพราะเขาไม่ชอบให้ใครเข้ามาวุ่นวายหรือยุ่มย่ามกับชีวิตส่วนตัวของเขามากนัก เพราะสำหรับเขาเลขาฯส่วนตัวมีหน้าที่ช่วยเหลือแบ่งเบาภาระและอำนวยความสะดวกให้เขาในด้านการทำงานเท่านั้น

 

สิ้นคำตอบของสามีนทีรินก็พยักหน้าเข้าใจ เพราะเขาทราบดีว่าภวินท์ไม่ค่อยชอบให้ใครวุ่นวายกับชีวิตส่วนตัวเท่าใดนัก

 

“ถ้าอย่างนั้นก็ได้ครับ แต่ผมขอตามไปทีหลังได้ไหมครับ ผมอยากดูแลอากงให้ทานอาหารทานยาให้เรียบร้อยก่อน”

 

นทีรินยินยอมที่จะไปดูแลอีกฝ่ายตามคำขอแต่หากเขาก็มีหน้าที่ต้องดูแลเจ้าสัวพีระให้เรียบร้อยเสียก่อนจึงจะไปทำอย่างอื่นได้

 

“อืม ถ้าเสร็จแล้วก็ให้คนรถขับรถไปส่งนะ ไม่ต้องขับเองขากลับจะได้กลับพร้อมกัน” ภวินท์พยักหน้ารับคำเข้าใจแต่ก็ยังไม่ปล่อยร่างบางออกจากอ้อมแขนแกร่งจนนทีรินทักท้วงขึ้นมา

 

“ครับ.. ปล่อยได้หรือยังล่ะครับ”

 

เสียงหวานเอ่ยบอกเจ้าของอ้อมแขนแกร่งแต่ดูจากท่าทีของอีกฝ่ายไม่มีทีท่าจะปล่อยตัวเขาเลยสักนิดจนนทีรินชักอ่อนใจกับความขี้แกล้งของคนเป็นสามี

 

ภวินท์ยิ้มขำกับท่าทางของภรรยาก่อนที่จมูกคมจะฝังไปที่แก้มนวลพร้อมสูดดมความหอมไปเสียฟอดใหญ่จนคนโดนฉวยโอกาสเบิกตากว้างขึ้นด้วยความตกใจ

 

“คุณภพ!” นทีรินแหวใส่เสียงดัง มือบางยกขึ้นมากุมแก้มของตัวเองไว้แน่นเพราะกลัวว่าคนนิสัยไม่ดีจะฉวยโอกาสกับเขาอีก

 

“หึหึ แล้วเจอกันนะครับ”

 

ภวินท์หัวเราะในลำคออย่างพึงพอใจก่อนจะคลายอ้อมกอดและปล่อยร่างบางเป็นอิสระ เมื่อหลุดจากพันธนาการนทีรินก็รีบวิ่งแจ้นออกไปจากห้องนอนของสามีด้วยใจที่เต้นรัวราวกับว่ามันจะระเบิดออกจากอกเสียให้ได้

 

นทีรินเข่นเขี้ยวในใจไปถึงคนนิสัยไม่ดี เพราะการที่ภวินท์ป่วยไม่ได้ทำให้อีกฝ่ายดูสลดหมองลงเลยสักนิดกลับกันยิ่งทวีความขี้แกล้งและเจ้าเล่ห์ของอีกฝ่ายมากขึ้นไปอีกจนเขาแทบจะรับไม่ไหวเสียแล้ว

 

มือบางกุมไปที่หน้าอกข้างซ้ายของตัวเองราวกับปรามไม่ให้มันเต้นรัวเกินกว่านี้แล้ว เพราะนับวันหัวใจเขาก็ยิ่งร่ำร้องบอกว่าความรู้สึกของเขาที่มีต่อภวินท์มันยิ่งถลำลึกลงไปเมื่อได้อยู่ใกล้ชิดกับอีกฝ่าย และก็เป็นตัวของเขาเองที่ต้านทานมันไม่ได้เลยแม้แต่ครั้งเดียว

 

ยิ่งคิดเขาก็ยิ่งนึกเคืองคนเป็นสามีที่ชอบมาล้อเล่นกับความรู้สึกของเขาอยู่เรื่อย การกระทำของคนเป็นสามีทำให้เขาอดคิดไม่ได้ว่าภวินท์คงไม่ได้รู้สึกอะไรนอกจากอยากจะกลั่นแกล้งให้เขาได้อายและเสียการควบคุมจากอีกฝ่ายเท่านั้น

 

นทีรินสะบัดหัวไล่ความคิดเพื่อไม่ให้ตัวเองฟุ้งซ่านไปมากกว่านี้แล้วก่อนจะรีบลงไปเตรียมอาหารและยาให้เจ้าสัวพีระ เมื่อเตรียมเรียบร้อยแล้วนทีรินก็เข้าไปดูแลเจ้าสัวพีระอย่างที่ทำเช่นทุกวัน

ลมหายใจแผ่วเบาของเจ้าสัวพีระทำเอานทีรินใจหายแทบทุกครั้ง ถึงแม้ชายชราจะแสดงออกว่าอาการดีขึ้นแต่ลึกลงไปเขาก็รับรู้ได้ว่าเจ้าสัวพีระนั้นทรมานกับโรคที่เป็นอยู่เพียงใด จนอีกฝ่ายจะจากไปในตอนไหนเขาก็ไม่อาจทราบได้ และตามที่คุณหมอการุณเคยได้บอกไว้ว่าโรคชรานี้คนไข้มีสิทธิ์ที่จะจากไปได้ตลอดเวลา อีกอย่างคุณหมอก็สั่งให้เอาเครื่องช่วยหายใจออกตามคำร้องขอของเจ้าสัวพีระเพราะฉะนั้นมันก็ยิ่งจะลดระยะเวลาในการมีชีวิตของเจ้าสัวพีระได้ ที่จริงแล้วเขาและภวินท์ไม่เห็นด้วยกับการที่จะเอาเครื่องช่วยหายใจออกแต่หากเป็นความปรารถนาของเจ้าสัวพีระที่ทั้งคู่ไม่อาจปฏิเสธได้ ถึงแม้จะเสียใจแต่เขาและภวินท์แคร์ความรู้สึกของเจ้าสัวพีระมากกว่าจึงยินยอม ร่างบางดูแลจนกระทั่งชายชราหลับไปเขาจึงปล่อยให้พยาบาลพิเศษดูแลและทำหน้าที่ต่อ

 

ร่างบอบบางเดินกลับมายังห้องนอนของตัวเองด้วยอารมณ์ที่หน่วงหนึบในใจไม่ใช่น้อย เมื่อตระหนักได้อยู่เสมอว่าเจ้าสัวพีระมีเวลาเหลืออยู่กับเขาได้น้อยเต็มทีแล้ว ไม่รู้ว่าวันนี้หรือพรุ่งนี้จะเป็นเช่นไร หากไม่มีเจ้าสัวพีระแล้วการหย่าขาดของเขากับภวินท์ก็คงใกล้เข้ามาแล้วเช่นกัน นทีรินปฏิเสธไม่ได้ว่ารู้สึกใจหายกับสถานะที่จะต้องเปลี่ยนไป ยิ่งในวันนี้แม้จะเป็นเพียงวันธรรมดาของใครหลายๆคนแต่สำหรับเขาวันนี้มันคือวันแห่งการตอกย้ำว่าในตอนนี้เป็นเวลาครบเก้าปีในการที่เขาได้ดำรงสถานะเป็นภรรยาที่ถูกต้องของภวินท์แล้ว

 

วันครบรอบแต่งงาน

 

สมาร์ทโฟนเครื่องหรูช่างรู้ใจเมื่อมันปรากฏแจ้งเตือนนี้บนหน้าจอตลอดในทุกวันที่และเดือนนี้ต่างกันแค่ปีที่เปลี่ยนไปเท่านั้น เวลาช่างผ่านไปเร็วจนบางครั้งเขาก็คิดว่าเหตุการณ์ทุกอย่างเพิ่งจะเกิดขึ้นเมื่อวานเท่านั้น นทีรินในวัยสิบเจ็ดปีและภวินท์ในวัยยี่สิบสองปีในวันนั้นได้เป็นสามีภรรยาที่ถูกต้องตามกฏหมายมาเป็นระยะเวลาครบเก้าปีแล้วในวันนี้

 

กล่องของขวัญกล่องที่เก้าซึ่งเป็นกล่องล่าสุดได้ถูกนำไปวางบนชั้นวางของที่ในนั้นบรรจุกล่องของขวัญขนาดไม่ใหญ่มากจำนวนแปดกล่องที่วางเรียงอย่างเป็นระเบียบอยู่แล้วซึ่งภายในกล่องของขวัญในแต่ละกล่องได้บรรจุสิ่งของที่มีรูปแบบต่างกันออกไปตามช่วงระยะเวลานับจากปีที่หนึ่งจนถึงเก้า นทีรินถอนหายใจยาวดวงตาหวานมีน้ำใสรื้นอยู่จนมือบางยกขึ้นมาปัดทิ้งลวกๆ เพราะเขาไม่รู้ว่าตัวเองควรรู้สึกอย่างไรระหว่างดีใจกับเสียใจ ดีใจที่อีกไม่นานเขาก็คงได้เป็นอิสระในการเป็นภรรยาของภวินท์กับเสียใจที่เขาหลงรักสามีของตัวเองอยู่ข้างเดียว

 

“คุณหนูคะ รถพร้อมแล้วนะคะ…”

 

เสียงเรียกของพี่นวลทำให้นทีรินหลุดจากความคิดต่างๆ มือบางยกขึ้นเช็ดน้ำตาที่เอ่อคลอไปมาพลางพยายามทำหน้าให้เป็นปกติที่สุด

 

“ครับพี่นวล” นทีรินตอบรับพี่นวลพลางยิ้มบางๆไปให้ซึ่งใครๆก็ดูออกว่ามันเป็นการฝืนยิ้มทั้งสิ้น

 

“นี่มันของขวัญที่คุณหนูเคยซื้อให้คุณภพนี่คะ พี่จำได้ว่าคุณหนูซื้อให้คุณภพในวันที่ครบรอบแต่งงานใช่ไหมคะ แล้วทำไมยังอยู่กับคุณหนูอยู่ล่ะคะ”

 

พี่นวลเอ่ยขึ้นอย่างสงสัยเมื่อเห็นกล่องของขวัญในมือของคุณหนูของเธอ และเธอก็จำมันได้ทุกชิ้นว่านทีรินซื้อให้กับภวินท์ทุกๆวันครบรอบแต่งงานแต่เธอแปลกใจว่าทำไมมันยังอยู่กับคุณหนูของเธอในสภาพเดิมที่เหมือนไม่เคยได้ถูกส่งไปให้ภวินท์เลยแม้แต่ชิ้นเดียว

 

“นทเก็บไว้เพราะแต่นทไม่กล้าส่งไปให้เขาครับ”

 

นทีรินก้มหน้างุดพลางเอ่ยตอบเสียงอ่อย เพราะพี่นวลคงคิดมาตลอดว่าเขาส่งของขวัญทุกชิ้นไปให้ภวินท์ทั้งที่จริงแล้วไม่มีชิ้นใดถูกส่งไปสักชิ้นเพราะเขากลัว กลัวภวินท์จะไม่ยอมรับของขวัญที่ถูกส่งไปโดยภรรยาอย่างเขา

 

“คุณหนูยังรักคุณภพอยู่ใช่ไหมคะ”

 

พี่นวลเอ่ยถามทั้งที่ในใจก็รู้อยู่แล้วว่าคุณหนูของเธอไม่เคยลืมภวินท์ได้เลย การกระทำที่คุณหนูมีแต่อีกฝ่ายมันชัดเจนขึ้นทุกวันจนพี่นวลเองก็สังเกตุได้อย่างแน่วแน่ เพียงแต่ที่ถามก็เพื่อความแน่ชัดเท่านั้น

 

คำถามของพี่นวลยิ่งทำให้นทีรินรู้สึกอึดอัดแต่ในขณะเดียวกันก็รู้สึกโล่งใจที่เขาจะได้ระบายความรู้สึกนี้ออกไปบ้าง นทีรินเก็บความรู้สึกที่มีต่อภวินท์ไว้จนลึกล้นหัวใจจนเขาเองก็อึดอัดเพราะเขาปฏิเสธไม่ได้เลยว่าความรู้สึกที่เขามีต่อสามีนั้นมันยิ่งทวีคูณมากขึ้นทุกวัน

 

“นท... ไม่รู้สิครับ นทพยายามห้ามใจแล้วครับพี่นวลแต่มันก็ทำไม่ได้สักที ทั้งๆที่เขาเคยใจร้ายกับนทแต่ทำไมนทถึงยังรักเขาขนาดนี้ก็ไม่รู้ ที่จริงนทไม่เคยเลิกรักเขาได้สักครั้งหรอกครับ นทรักเขามาตลอดพี่นวลก็ทราบ เพียงแต่แค่มันแปรเปลี่ยนจากการรักแบบพี่ชายไปเป็นแบบคนรักเท่านั้นเอง”

 

นทีรินระบายความอึดอัดพร้อมดวงตาคู่สวยมีน้ำใสไหลอาบแก้มนวลจนพี่นวลรู้สึกสงสารคุณหนูจับใจจนน้ำตาของเธอก็ไหลตามเช่นกัน

 

“นทลืมความรักแบบพี่น้องที่เคยมีให้พี่ภพไปตั้งนานแล้ว จนในตอนนี้มันก็ยิ่งชัดเจนว่านทรักเขาแบบไหน นทไม่อยากรู้สึกแบบนี้เลยครับ เพราะยิ่งรู้สึกนทก็ยิ่งเจ็บเพราะนทรู้ว่าคุณภพคงไม่ได้รู้สึกเหมือนกัน ทั้งๆที่เขาใจร้ายกับนท นทก็ยังรักเขา ฮ่ะๆ ตลกดีนะครับพี่นวล”

 

นทีรินยิ้มทั้งน้ำตา เขาตลกตัวเองที่ดันไปหลงรักภวินท์ทั้งๆที่รู้ว่าไม่ควรรัก ไม่ควรเลยสักนิด

 

“โถ.. คนดีของพี่ ความรักน่ะไม่ได้เลือกหรอกนะคะว่าเขาคนนั้นจะเป็นยังไง แค่เรารักเขาเท่านั้นก็พอแล้วค่ะ บางทีความรักก็ไม่จำเป็นต้องมีเหตุผลเลยนี่ว่าทำไมถึงรัก”

 

พี่นวลโผเข้ากอดคุณหนูของตัวเองไว้แนบอกแน่นพลางลูบหัวลูบหลังเอ่ยปลอบประโลมไปด้วยทั้งน้ำตา นทีรินกอดพี่เลี้ยงตอบแน่นเพื่อหาความอบอุ่นพี่นวลคือความสบายใจที่เขามีและพี่นวลก็เป็นคนเดียวที่เข้าใจเขามากที่สุดในตอนนี้

 

“นทคงไม่เลิกรักคุณภพหรอกครับพี่นวล นทยังรักเขาเหมือนเดิมเพียงแต่… นทแค่อยากให้มันน้อยลงจนในวันหนึ่งนทสามารถกลับไปรักเขาแบบพี่น้องได้อย่างที่ผ่านมา”

 

นทีรินตั้งปณิธานไว้แน่วแน่เพราะไม่ว่าอย่างไรก็ตามเขาต้องกลับไปรู้สึกกับภวินท์แบบเดิมให้ได้ไม่เช่นนั้นมันก็จะยิ่งมีแต่ความเจ็บปวดก่อเกิดกับตัวและหัวใจของเขาไม่สิ้นสุดสักที

 

 

***
ต่อข้างล่างค่ะ
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๑๓ (14-5-62) {ต่อ}
เริ่มหัวข้อโดย: yokindy ที่ 14-05-2019 00:55:52
นทีรินเดินทางมาที่เดอะแกรนด์ฯด้วยใจที่ห่อเหี่ยวแต่กระนั้นเขาก็จะพยายามทำตัวให้ปกติที่สุดเท่าที่จะทำได้ ร่างบอบบางในชุดไพรเวทแบรนด์ดังเป็นที่น่าแปลกใจสำหรับพนักงานที่พบเจอนทีริน ทุกคนในเดอะแกรนด์ฯต่างก็พากันทำความเคารพนทีรินกันยกใหญ่จนเจ้าตัวประหม่าเล็กน้อย เพราะการมาที่เดอะแกรนด์ฯของเขาคงสร้างความแปลกใจไม่น้อยเลยแก่พนักงานเพราะทุกคนต่างรับรู้แล้วว่าเขาไม่ได้ดำรงตำแหน่งในการทำงานในเดอะแกรนด์ฯอีกต่อไปหลังจากที่ภวินท์กลับมาบริหารงาน แต่กระนั้นทุกคนก็ยังปฏิบัติกับนทีรินอย่างเดิมไม่เปลี่ยนแปลง

 

“สวัสดีครับคุณนท”

 

แม้กระทั่งอดีตเลขาฯส่วนตัวของนทีรินอย่างอินทนิลที่ได้ยกมือขึ้นไหว้ภรรยาของเจ้านายคนปัจจุบันของตัวเองอย่างนอบน้อม

 

“สวัสดีครับพี่อิน ไม่ไปหานทที่บ้านบ้างเลยนะครับ พี่นวลก็บ่นคิดถึงพี่อินจะแย่”

 

นทีรินเอ่ยบอกเชิงตัดพ้ออย่างไม่จริงจังเท่าใดนัก อินทนิลเป็นเลขาฯผู้ช่วยของเขาที่สนิทกันพอสมควรเพราะได้ร่วมงานกันอยู่เป็นเวลาหลายปีนับตั้งแต่ที่เจ้าสัวพีระล้มป่วย และในตอนนี้อินทนิลก็ได้กลายเป็นเลขาฯส่วนตัวของภวินท์แทนเขาไปเสียแล้ว

 

“ไว้ว่างๆแล้วเดี๋ยวผมจะเข้าไปหานะครับ -- คุณนทเชิญที่ห้องรับรองก่อนครับเดี๋ยวผมไปเอาของว่างกับน้ำผลไม้มาให้นะครับ”

 

อินทนิลผายมือเชื้อเชิญให้ภรรยาของเจ้านายเข้าไปพักที่ห้องรับรองแขกข้างห้องทำงานของภวินท์ที่ถูกสร้างขึ้นมาไว้เพื่อรับรองแขกคนสำคัญของผู้บริหารโดยเฉพาะ นทีรินรับคำก่อนจะเดินเข้าไปนั่งรอที่โซฟาหลังใหญ่ ไม่นานนักอินทนิลก็เดินเข้ามาภายในห้องพร้อมกับถาดอาหารว่างและเครื่องดื่มที่มีไว้รับรองแขก

 

“ตอนนี้คุณภพท่านกำลังคุยงานอยู่กับสถาปนิกที่ออกแบบโปรเจ็กต์ใหม่อยู่น่ะครับ แต่ท่านก็สั่งไว้นะครับว่าถ้าคุณนทมาให้คุณนทมารอที่ห้องนี้ก่อน ถ้าท่านคุยงานเสร็จจะรีบมาพบครับ”

 

อินทนิลชี้แจงให้นทีรินทราบถึงเหตุผลที่ให้นทีรินมานั่งรอในห้องรับรองแขกแห่งนี้ตามคำสั่งที่ภวินท์ได้สั่งเขาไว้ก่อนที่เจ้าตัวจะไปคุยงานกับสถาปนิก นทีรินพยักหน้าเข้าใจพลางยกน้ำผลไม้ขึ้นดื่มเพื่อดับกระหาย

 

“ช่วงนี้งานยุ่งมากหรือเปล่าครับพี่อิน”

 

นทีรินชวนคุยเนื่องจากเขาเองก็ไม่ได้เจออินทนิลเป็นเวลาร่วมหลายเดือนแล้วจึงอยากจะทราบถึงสารทุกข์สุขดิบของอดีตเลขาฯของตัวเอง

 

“ยุ่งพอสมควรครับคุณนท พอดีว่าคุณภพกำลังมีโปรเจกต์ใหม่เกี่ยวกับการสร้างห้างฯสำหรับสินค้าปลอดภาษีน่ะครับ เป็นโปรเจ็กต์ที่ใหญ่พอสมควรเลยทุกฝ่ายก็เลยต้องตั้งใจเป็นพิเศษเพราะทางบอร์ดฯคาดหวังกับโปรเจ็กต์นี้ของคุณภพมากๆครับ”

 

อินทนิลเอ่ยบอกถึงความเป็นไปภายในบริษัทให้นทีรินฟังเพราะเขาคิดว่านทีรินคงยังไม่ทราบถึง โปรเจ็กต์เดอะแกรนด์อ็อฟสยามดิวตี้ฟรี ซึ่งเป็นโปรเจ็กต์ใหม่ของเดอะแกรนด์ฯซึ่งไอเดียทั้งหมดเป็นของภวินท์ทั้งสิ้นซึ่งเป็นโปรเจ็กต์นี้เปรียบเสมือนผลงานมาสเตอร์พีซของภวินท์ที่จะสร้างสรรค์ขึ้นเพื่อให้ทางบอร์ดฯบริหารเห็นว่าภวินท์เหมาะสมที่จะดำรงในตำแหน่งประธานกรรมการของเดอะแกรนด์อ็อฟสยามต่อจากเจ้าสัวพีระอย่างแท้จริง

 

“แล้วพี่อินทำงานกับคุณภพราบรื่นดีใช่ไหมครับ”

 

“ดีมากครับ คุณภพท่านเป็นคนเก่งจัดการอะไรทุกอย่างได้ฉลาดและรวดเร็วสมกับเป็นหลานของท่านเจ้าสัวเลยครับ”

 

“ดีแล้วครับ”

 

นทีรินฟังจากที่อินทนิลเล่าเขาก็ทราบถึงประสิทธิภาพการทำงานของภวินท์ได้อย่างถ่องแท้เลย เพราะขนาดภวินท์ได้เข้ามาทำงานได้ไม่เท่าไร แต่กลับสร้างผลงานที่ดีๆให้แก่เดอะแกรนด์ฯได้หลายอย่างแล้ว เขายอมรับเลยว่าภวินท์นั้นเก่งจริงๆ

 

“แล้วคุณนทเป็นยังไงบ้างครับ เอ่อ.. ผมหมายถึงกับคุณภพน่ะครับ”

 

อินทนิลเลือกที่จะถามสารทุกข์สุขดิบอดีตเจ้านายของตัวเองคืนบ้าง เพราะตั้งแต่เขาไม่ได้ทำงานเป็นผู้ช่วยนทีรินแล้วเขาก็ไม่ได้ทราบความใดๆเกี่ยวกับนทีรินและภวินท์โดยสิ้นเชิง แต่ด้วยความที่เคยรับใช้กันมาก่อนก็ทำให้ความห่วงใยที่อินทนิลมีต่อนทีรินนั้นไม่ได้ลดลงตามเช่นกัน

 

“ก็ปกติดีครับพี่อิน ไม่ได้มีอะไรพิเศษ”

 

นทีรินเลือกที่จะเลี่ยงตอบความในใจเพราะเขาไม่ได้อยากให้ใครมาเป็นกังวลกับตัวเขาทั้งนั้น และเขาก็คิดว่ามันไม่สมควรเลยสักนิดถ้าจะต้องเอาความไม่สบายใจของเขามาเล่าให้ใครต่อใครฟัง

 

“นทฝากพี่อินดูแลคุณภพด้วยได้ไหมครับ ช่วงนี้คุณภพไม่ค่อยสบายเท่าไรคงเป็นเพราะจะโหมงานหนัก”

 

นทีรินไหว้วานอดีตเลขาฯด้วยน้ำเสียงเชิงวอนขอ เพราะถึงอย่างไรเขาก็คงจะไม่ได้ดูแลภวินท์ได้มากเท่าใดนักหากคนเป็นสามียังดึงดันที่จะทำงานหนักเช่นนี้ ยิ่งตอนนี้มีโปรเจ็กต์ใหม่รออยู่ภวินท์ก็คงจะมีเวลาในการพักผ่อนได้น้อย

 

“จริงเหรอครับ นี่ผมดูไม่ออกเลยนะครับ ท่านดูปกติมากๆเลย”

 

อินทนิลเอ่ยบอกอย่างตกใจเพราะว่าภวินท์ไม่มีท่าทีเหมือนคนป่วยเลยสักนิด เพราะใบหน้าที่ดูเคร่งขรึมตลอดเวลานั้นทำให้เขาเองก็ยังจับไม่ได้เลยด้วยซ้ำว่าเจ้านายป่วย

 

“คุณภพเขาไม่ค่อยแสดงออกว่าป่วยให้ใครเห็นหรอกครับ เขาเป็นคนจริงจังกับงานมากๆจนบางทีก็ไม่นึกถึงสุขภาพของตัวเอง”

 

“แล้วที่คุณนทมาในวันนี้ก็เพราะตามมาดูแลคุณภพเหรอครับ”

 

“ครับ นทกลัวว่าเขาจะดื้อจนไม่ยอมทานข้าวทานยาอีกน่ะครับ -- เอ่อ.. นทไม่ได้ห่วงเขานะครับ ก็แค่ทำตามหน้าที่”

 

นทีรินเอ่ยบอกก่อนจะรีบชี้แจงไปถึงเหตุผลของการมาของเขาในวันนี้ให้อดีตเลขาฯฟังเพราะแววตาเป็นประกายเชิงล้อเลียนอย่างเห็นได้ชัดของอินทนิลนั้นทำให้ใบหน้านวลขึ้นสีแดงพาดริ้วจนนทีรินมุ่ยหน้าใส่อดีตเลขาฯด้วยท่าทีแง่งอนจนอินทนิลยิ้มกว้างที่สามารถเย้าแหย่ให้นทีรินเขินอายได้

 

คุยเล่นกับอินทนิลไปได้สักพักใหญ่ๆเจ้าตัวก็รีบขอตัวไปทำงานต่อ นทีรินนั่งรออยู่ได้ไม่นานร่างสูงของสามีก็ปรากฏขึ้นต่อหน้า ใบหน้าคมที่เต็มไปด้วยท่าทีเหนื่อยอ่อนนั้นทำให้นทีรินรีบกุลีกุจอจัดสำรับอาหารพร้อมยาไว้ให้สามีทันทีเพราะนี่เลยเวลาอาหารกลางวันมาได้สักพักแล้ว

 

ภวินท์กินข้าวและกินยาตามที่ภรรยาจัดไว้ให้ทุกอย่างโดยไม่ขัดใจอีกฝ่ายเลย นทีรินถือโอกาสช่วยภวินท์ดูงานในหลายๆอย่างในวันนี้เพื่อเป็นการแบ่งเบาภาระงานจากสามีเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายโหมงานหนักเกินไปเพราะอาการป่วยที่กำลังจะดีขึ้นอาจจะทรุดลงได้อีก

 

ภวินท์มองใบหน้าหวานที่เต็มไปด้วยความตั้งใจขณะทำงานอย่างเพลินๆ เขาปฏิเสธไม่ได้เลยว่าชอบมองใบหน้านวลของภรรยาขึ้นทุกวัน ร่างบางที่มีกลิ่นกายหอมละมุนทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายได้ไม่น้อยจนเขารู้สึกเสพติดกลิ่นของอีกฝ่ายไปเสียแล้ว ห้องทำงานที่เคยมีแต่ใบหน้าตึงเครียดของเจ้าของห้องบัดนี้กลับมีแต่รอยยิ้มพึงใจปรากฏขึ้นมาแทนที่เพียงเพราะมีใครอีกคนอยู่ในห้องด้วยกันเท่านั้นเอง

 

เมื่อเวลาผ่านไปจวบจนถึงเวลาเลิกงานแล้วทั้งภวินท์และนทีรินก็ได้จัดการเคลียร์งานทั้งหมดให้ผ่านไปได้ด้วยดี ทั้งคู่เดินเคียงข้างกันเพื่อจะกลับท่ามกลางสายตาแปลกใจของพนักงาน บ้างก็มองมาด้วยสายตาชื่นชมยิ่งเวลาที่ทั้งคู่เดินเคียงข้างกันมานั้นทำให้พนักงานหลายๆคนอดคิดไม่ได้เลยว่าเจ้านายทั้งสองของพวกเขานั้นดูเหมาะสมกันมากจริงๆ นทีรินยิ้มสดใสรับความเคารพของพนักงานที่เดินผ่านไปมาอย่างเป็นกันเอง ใบหน้าคมของภวินท์ที่เคยเคร่งขรึมและดุดันสำหรับลูกน้องหลายๆคนนั้นบัดนี้กลับมีแววตาที่อ่อนโยนขึ้นโดยเฉพาะเวลาที่จับจ้องไปยังนทีริน

 

“นี่มันไม่ใช่ทางกลับบ้านนี่ครับ” นทีรินทักท้วงคนขับขึ้นทันทีที่เริ่มไม่คุ้นทางกลับบ้าน

 

“ก็ไม่ใช่น่ะสิ” คนขับเอ่ยตอบภรรยาด้วยท่าทีสบายๆจนนทีรินนึกสงสัย

 

“แล้วคุณจะไปไหนครับ”

 

“เดี๋ยวก็รู้น่า” คนขับหันมายักคิ้วให้กวนๆอย่างมีเลศนัยนั่นก็ยิ่งทำให้นทีรินอดหวั่นใจไม่ได้

 

“อะไรกัน.. คุณจะไปไหนบอกผมมาเดี๋ยวนี้นะครับ”

 

เสียงหวานติดดุของภรรยาทำเอาภวินท์ลอบยิ้มขำกับท่าทีหวั่นวิตกของอีกฝ่ายไม่ได้

 

“กลัวผมพาไปขายเหรอหืม” เสียงทุ้มเย้าแหย่จนคนถูกล้อแหวใส่เสียงเขียว

 

“ผมไม่ใช่เด็กนะครับ จะได้กลัวคุณพาไปขาย”

 

“ก็ใช่ไง แล้วคุณจะกลัวทำไม ผมแค่จะพาคุณไปทานข้าวเท่านั้นเอง” เสียงหัวเราะในลำคอของคนเป็นสามีทำเอานทีรินหน้ามุ่ย

 

นี่เขาไม่ใช่เด็กเสียหน่อยแต่อีกฝ่ายกลับล้อเลียนเขาราวกับว่าเขาเป็นเด็กที่กำลังถูกหลอกไปขายเสียอย่างนั้น เขาก็แค่อยากรู้ว่าอีกฝ่ายจะพาเขาไปไหนเท่านั้นเอง แค่พาไปทานข้าวไม่เห็นจะต้องลับลมคมในอะไรกับเขาขนาดนั้นเลย

 

 

ซูเปอร์คาร์คันหรูที่ราคาเกือบเหยียบเก้าหลักทะยานมาจอดในที่จอดรถสำหรับลูกค้าวี.ไอ.พี.ของโรงแรมห้าดาวสุดหรูใจกลางเมือง ห้องอาหารชื่อดังที่ตั้งอยู่ชั้นบนสุดของโรงแรมเป็นห้องอาหารยุโรปที่เสิร์ฟอาหารสไตล์เมดิเตอร์เรเนียนสุดหรู นทีรินเคยมาทานอาหารที่นี่เพียงครั้งสองครั้งเท่านั้น ร่างบางนึกแปลกใจไม่น้อยเพราะครั้งที่เขามาทานอาหารที่นี่กับเพื่อนๆภายในร้านมีลูกค้าอยู่เต็มร้านทุกครั้ง แต่ทำไมครั้งนี้มันถึงต่างไปขนาดนี้ เพราะว่านอกจากโต๊ะของเขากับภวินท์ภายในร้านไม่มีลูกค้าโต๊ะอื่นเลยแม้แต่โต๊ะเดียว

 

แปลกจัง… ทำไมไม่มีคนเลย
 

“เป็นอะไรเหรอ ทำไมคุณดูกังวลแปลกๆ” ภวินท์ถามขึ้นเมื่อเห็นใบหน้านวลมีสีหน้ากังวลอย่างเห็นได้ชัด

 

“เปล่าครับ ผมแค่สงสัยว่าทำไมไม่มีลูกค้าโต๊ะอื่นเลย”

 

นทีรินเฉลยความในใจและไม่ได้คลายความสงสัยเลยแม้แต่น้อย ภวินท์ลอบยิ้มกับท่าทางแบบนั้นแต่ก็ไม่ได้ตอบอะไร เมื่อนทีรินพบว่าไร้ซื่งคำตอบจากคนเป็นสามีก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร ทั้งคู่เริ่มสั่งอาหารกับบริกรไปตามปกติจนกระทั่งอาหารเริ่มมาเสิร์ฟก็ยังไม่มีลูกค้าคนอื่นเลยจนนทีรินเลิกสงสัยไปโดยปริยายโดยที่ไม่ได้ฉุกคิดไปเลยว่าห้องอาหารชื่อดังแบบนี้จะไม่มีลูกค้าได้อย่างไรหากไม่มีคนมีเงินมหาศาลมาทำการปิดร้านเพื่อเซอร์ไพร์สใครสักคน

 

ภวินท์และนทีรินได้ออกมาชมวิวกลางคืนของเมืองกรุงหลังจากที่ทานอาหารกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว จากบริเวณโซนภายนอกของร้านอาหารสไตล์รูฟท็อปที่เปิดโล่งให้สำหรับผู้ที่ชอบนั่งชมวิวบรรยากาศกลางคืน

 

“นท”

 

“ครับ?”

 

นทีรินตกใจเล็กน้อยเมื่อสิ่งที่สามียื่นมาให้เป็นช่อดอกไม้ขนาดพอดีๆส่งมาให้ ช่อดอกไม้ราคาแพงระยับที่ประกอบไปด้วยดอกไม้ระดับพรีเมียมที่ภวินท์ตั้งใจสั่งมาให้ภรรยาโดยเฉพาะ

 

“รับไปสิ” นทีรินมองสิ่งที่อยู่ในมือของสามีสลับกับใบหน้าคมไปมาอย่างแปลกใจก่อนจะรับสิ่งนั้นมาด้วยท่าทีงงๆ

 

“ฟอร์เก็ตมีน็อต..” ดวงตาหวานเบิกขึ้นเล็กน้อยก่อนจะยิ้มหวานเมื่อเห็นดอกไม้ที่ตัวเองโปรดปราน

 

“ชอบไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมเดี๋ยวนี้ไม่ชอบปลูกแล้วล่ะ” เสียงทุ้มเอ่ยถามขึ้นเมื่อเห็นท่าทางดีใจของภรรยาที่ถูกแสดงออกผ่านรอยยิ้มหวานของอีกฝ่าย

 

“อากาศที่นี่ร้อนเกินไปครับ ปลูกยังไงมันก็ตายอยู่ดี ผมเลยปลูกอย่างอื่นแทน” นทีรินอธิบายให้ฟัง

 

ที่จริงเขาอยากปลูกเจ้าต้นฟอร์เก็ตมีน็อตให้เต็มสวนจนใจจะขาดหากเพียงแต่ว่าที่กรุงเทพฯในสมัยนี้นั้นร้อนเกินกว่าที่จะปลูกมัน เพราะนอกจากจะดูแลยากแล้วก็ยังทำให้คนปลูกนั้นท้อใจและเสียใจที่ต้องมาเห็นต้นไม้ที่ตัวเองรักมันเหี่ยวเฉาและตายไปในที่สุดนทีรินเลยเลิกคิดที่จะปลูกเจ้าต้นไม้นี้ไปเลย

 

“นท.. ” เสียงทุ้มเอ่ยเรียกอีกครา

 

“ครับ?”

 

เสียงหวานรับคำพลางละสายตาจากช่อดอกไม้มายังใบหน้าคมของสามีแทน แต่ก็ต้องชะงักไปเล็กน้อยเมื่อสายตาคมจับจ้องมาที่ใบหน้าเขาอย่างมีความหมาย

 

“ขอบคุณที่ดูแลผมนะ”

 

เสียงทุ้มเอ่ยด้วยเสียงนุ่มจนนทีรินรู้สึกใจชื้นขึ้นราวกลับมีน้ำมาชะโลมจิตใจที่เคยห่อเหี่ยวของเขา นทีรินไม่เคยต้องการอะไรจากภวินท์เลยเพียงแค่ร่างสูงรับรู้ซึ่งถึงความห่วงใยที่เขามีต่ออีกฝ่ายเท่านี้เขาก็พอใจแล้ว

 

“ไม่เป็นไรครับ มันคือหน้าที่ของภรรยาอย่างผมอยู่แล้วนี่ครับ”

 

นทีรินเอ่ยบอกพลางยิ้มบางๆก่อนจะเสตามองไปยังวิวกลางคืนตรงหน้า เขาไม่กล้าสบตากับภวินท์นานๆเพราะมันจะยิ่งทำให้การควบคุมหัวใจของเขายากขึ้น

 

“คุณยังชอบดูวิวตอนกลางคืนเหมือนเดิมเลยนะ” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นขณะที่สายตาไม่ได้ละไปจากดวงหน้าหวานเลยสักนิด

 

“ก็วิวตอนกลางคืนมันดูสงบกว่าตอนกลางวันนี่ครับ กลางวันมีแต่ความวุ่นวาย น่าเสียดายที่กรุงเทพฯไฟสว่างเกินไปจนมองไม่เห็นดาว”

 

นทีรินถอนหายใจยาวเมื่อมองไปบนฟากฟ้ามืดดำแต่กลับมองไม่เห็นดวงดาวเลยสักดวงอาจจะเพราะแสงไฟมากเกินไปจนบดบังแสงสว่างธรรมชาติจากดวงดาว

 

“แต่ต่อให้เรามองไม่เห็น แต่ก็สัมผัสได้ว่ามีไม่ใช่เหรอ บางอย่างไม่ต้องมองเห็นด้วยตาแต่ก็สัมผัสได้ด้วยใจไม่ใช่เหรอ”

 

นทีรินหันมองไปยังสามีทันทีขณะที่อีกฝ่ายมองมาที่เขาอยู่แล้ว ดวงตาคมจับจ้องลึกเข้ามาภายในดวงตาหวานของนทีริน และเขาก็ต้องรู้สึกวูบไหวในใจเมื่อใบหน้าคมขยับเข้ามาที่ใบหน้าเขาจนห่างกันเพียงไม่ถึงนิ้ว โลกเหมือนจะหยุดหมุนไปทันใดเมื่อริมฝีปากหนาประทับลงมาที่ริมฝีปากบางอย่างนุ่มนวลและไม่มีการรุกล้ำใดๆ นทีรินหลับตาพริ้มไปด้วยอารมณ์ที่อ่อนไหวพลางในใจพลันอดนึกไปยังเหตุการณ์ในอดีตของเขาและภวินท์ไม่ได้

 

“ทำไมดาวที่บ้านพี่ภพถึงน้อยจังล่ะครับ”

 

น้องตัวเล็กเอ่ยถามขณะที่แขนเล็กพาดเกาะไปที่ระเบียง ดวงตาหวานจับจ้องไปบนฟากฟ้ามืดดำที่มีดวงดาวเพียงน้อยนิดประดับอยู่บนนั้น

 

“อาจจะเป็นเพราะแสงไฟมีมากเกินไปล่ะมั้งครับ เราเลยมองเห็นดาวได้น้อย”ร่างสูงของพี่ชายเอ่ยตอบเด็กตัวเล็กที่สูงเลยเอวเขาขึ้นมาหน่อยเดียวเท่านั้น

 

“ว้า.. เสียดายจัง”

 

“ตัวเล็กชอบดาวเหรอครับ”

 

“ที่บ้านคุณแม่ของนทมีดาวเยอะกว่านี้ครับ นทเลยชอบดู”

 

น้องตัวเล็กเอ่ยบอกพร้อมรอยยิ้มกว้าง ที่เชียงใหม่สถานที่ที่เป็นบ้านเกิดของคุณแม่น้องตัวเล็กนั้นอากาศดีนักแถมตอนกลางคืนยังสามารถมองเห็นดาวได้ชัดเจนกว่าในกรุงเทพฯอีกต่างหาก นทีรินชอบดูดาวยิ่งดาวเยอะๆเขายิ่งชอบ

 

“แต่ถึงที่บ้านพี่ภพจะมีดาวน้อยกว่าบ้านคุณแม่ของตัวเล็ก แต่อย่างน้อยเราก็สัมผัสได้นะครับว่ามันมี”

 

เสียงทุ้มของพี่ชายเอ่ยบอกน้องตัวเล็กที่ทำหน้าฉงนไม่เข้าใจในสิ่งที่พี่ชายพูดนัก

 

“สัมผัสได้เหรอ?”

 

“ครับ อย่างตรงหน้าที่ภพก็มีดาวนะ”

 

คำพูดของพี่ชายทำเอาน้องตัวเล็กตื่นเต้นขึ้นมาทันใดพลางดวงตาหวานกวาดมองไปถ้วนทั่วอย่างตื่นเต้นเพื่อตามหาดาวอย่างที่พี่ชายบอก

 

“ดาวอะไรเหรอครับพี่ภพ! นทอยากเห็น”

 

“ก็ตัวเล็กไงครับ… ตัวเล็กคือดาวของพี่ภพ”

 

พี่ชายเอ่ยเฉลยพลางดวงตาคมก็จับจ้องไปที่ใบหน้าของน้องตัวเล็กไม่วางตาจนน้องหน้าแดงแจ๋ราวกับลูกตำลึงจนพี่ชายอดที่จะก้มลงไปฟัดแก้มกลมของน้องตัวเล็กด้วยความมันเขี้ยวไม่ได้

 

เหตุการณ์ในวันนั้นคล้ายคลึงกับวันนี้มากนักหากแต่มันช่างต่างไปในความรู้สึกของทั้งภวินท์และนทีริน ริมฝีปากหนายังคงวาดจูบไปทั่วริมฝีปากบางอย่างมัวเมาจากความหวานของอีกฝ่าย ความรู้สึกวูบไหวก่อเกิดภายในใจดวงน้อยของนทีรินอย่างห้ามไม่ได้ ร่างบางตัวสั่นเล็กน้อยลมเย็นพัดโชยยังไม่ทำให้หนาวกายจนสั่นเท่ากับตอนที่ริมฝีปากหนาประทับลงมาที่ปากของเขาเลย โลกที่เหมือนหยุดหมุนกลับมาเป็นปกติอีกครั้งเมื่อภวินท์ถอนจูบออกไปอย่างอ้อยอิ่งก่อนที่ร่างสูงจะเอ่ยประโยคที่ทำให้โลกของนทีรินแทบจะหยุดหมุนอีกครา

 



 

“สุขสันต์วันครบรอบแต่งงานนะนท”

 

 
To be continue
__________________________________________________________________________________________________

 TALK WITH WRITER :: พบคนหลงรักเมียตัวเองหนึ่งอัตราจ้า พี่ภพเป็นผู้ชายประเภทที่รักเค้าแต่ก็ชอบแกล้งเค้าอ่านะ ไว้วันหย่ามาเมื่อไรพี่ภพหนาวแน่ค่ะ! ทุกคนไม่ต้องห่วงว่าน้องนทจะไม่ได้เอาคืนนางนะคะยังไงพี่ภพก็ต้องได้รับบทลงโทษจากการกระทำของตัวเองอยู่แล้วค่ะ ไว้วันนั้นมาถึงเมื่อไรฝากสมน้ำหน้าพี่เค้าด้วยนะคะ 55555555555555 เจอกันตอนหน้าค่ะ :)
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๑๓ (14-5-62)
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 14-05-2019 01:22:39
 :L1:
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๑๓ (14-5-62)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 14-05-2019 01:46:53
อะไร​ ยังไท่อนากให้หวานชื่นเลยนะ
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๑๓ (14-5-62)
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 14-05-2019 02:21:23
รุกซะไม่ทันได้ตั้งตัวเลย
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๑๓ (14-5-62)
เริ่มหัวข้อโดย: muiko ที่ 14-05-2019 02:30:40
ทำไมนี่อ่านแล้วน้ำตาไหล
มันสงสารนทอ่ะ   :hao5:
จริงๆอยากให้นทตัดใจได้สุดๆไปเลย เห้อ
คงรอวันที่สมน้ำหน้าภพ
แต่ว่าหย่าหลังอากงเสียจริงหรอ นี่ก็ไม่อยากให้อากงเสียเลน
อยากให้นททนไม่ไหวเอง แล้วหย่าเองแบบใครมารั้งก็ไม่อยู่
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๑๓ (14-5-62)
เริ่มหัวข้อโดย: sailom_orn ที่ 14-05-2019 03:13:33
 ตอนหย่ากันพระเอกของเราจะเป็นยังไงบ้างน้า
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๑๓ (14-5-62)
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 14-05-2019 07:57:49
 :katai2-1:
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๑๓ (14-5-62)
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 14-05-2019 17:14:27
รอสมน้ำหน้าพระเอกอย่างเดียวค่ะ
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๑๓ (14-5-62)
เริ่มหัวข้อโดย: HISY ที่ 14-05-2019 18:41:52
ทำดีนิดหวานหน่อยอย่าคิดว่าจะให้อภัยนะอิพี่ภพ
รอซ้ำเติมนาง ปล่อยให้ได้ใจไปก่อน
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๑๓ (14-5-62)
เริ่มหัวข้อโดย: BABYBB ที่ 14-05-2019 19:09:12
โหหหห หวานจนลืมไปแล้วว่าก่อนหน้านี้พระเอกเราผีบ้ายังไง :laugh:
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๑๓ (14-5-62)
เริ่มหัวข้อโดย: Funnycoco ที่ 15-05-2019 00:33:36
ทำไมพี่ภพตอนแรกถึงหนีไปอ่ะ ตอนนี้พอกลับก็รักนทเลยเอ่อ มันง่ายไปไหม  :katai1:
ตัวเองหนีไปทำนทเสียใจมาตั้งหลายปี
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๑๓ (14-5-62)
เริ่มหัวข้อโดย: kungverrycool ที่ 15-05-2019 09:30:58
อยากเห็นตอน พี่ภพ ทุรนทุราย 555
เอาแบบว่าจัดหนักเลยนะคะให้สมกับ 8 ปี
ที่ น้องนท ต้องเจ็บปวด
 :z6:
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๑๓ (14-5-62)
เริ่มหัวข้อโดย: wanida023 ที่ 15-05-2019 12:10:13
 o13
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๑๓ (14-5-62)
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 15-05-2019 13:55:33
 :L2: :L2: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๑๓ (14-5-62)
เริ่มหัวข้อโดย: s_sisters19 ที่ 15-05-2019 19:11:19
รอวันน้องเท รอดูน้ำตาคนใจกากแต่ปากเก่ง หึ
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๑๓ (14-5-62)
เริ่มหัวข้อโดย: kokoro ที่ 17-05-2019 17:14:20
พี่ภพมาช้ามากๆ มันก้ำกึ่งแล้วนะคะพี่ว่าจะได้รับโอกาสหรือไม่
ขอให้พยายามต่อไปก็แล้วกัน
น้องยังมีใจอยู่แน่ๆละ ก็ถือว่าพอมีหวังนะ
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๑๔ (21-5-62)
เริ่มหัวข้อโดย: yokindy ที่ 21-05-2019 23:40:01
บทที่ ๑๔



“สุขสันต์วันครบรอบแต่งงานนะนท”

 

สิ้นคำกล่าวนั้นดวงตาคู่หวานก็รื้นไปด้วยน้ำตาใจดวงน้อยกระตุกวูบไหวขึ้นอย่างห้ามไม่อยู่ คำพูดของคนเป็นสามียังดังก้องในโสตประสาทของนทีรินไม่มีหยุดหย่อนราวย้ำเตือน คำพูดที่ฟังเหมือนจะไม่จริงแต่มันก็จริงจนชัดเจน

 

“คุณภพ… จำได้เหรอครับ” เสียงหวานเอ่ยแผ่วเบาจนตัวเองแทบไม่ได้ยินเสียงตัวเอง

 

ดวงตาคู่คมที่จับจดมายังใบหน้าหวานของเขาอย่างมีความหมาย รอยรสจูบก็ยังตราตรึงไม่หายไปนั้นทำให้นทีรินตระหนักได้ว่าทุกๆอย่างตรงหน้ามันคือเรื่องจริงเพราะทุกสัมผัสที่ภวินท์มอบให้มันชัดเจนจนไม่อาจเป็นได้เพียงฝันอีกต่อไป

 

“ไม่ใช่แค่จำได้”

 

“…”

 

“แต่ไม่เคยลืมต่างหาก…”

 

สายตาคมจับจ้องลึกเข้าไปในดวงตาคู่สวยอย่างไม่วางตาพร้อมเสียงทุ้มเอ่ยบอกเรียบนิ่งทว่าหนักแน่นอยู่ภายในราวกับต้องการฝังลงลึกให้คนฟังได้ตระหนักชัดเจนถึงความรู้สึกภายในของเขาจริงๆ คำพูดดังกล่าวทำเอาคนฟังนิ่งเงียบแต่น้ำตาใสๆกลับไหลเป็นทางอาบแก้มนวลไม่ขาดสายราวปลดปล่อยความอัดอั้นตันใจที่ฝังแน่นมาตลอดระยะเวลาที่จากกัน

 

“ทำไมถึง… ฮึก ทำไมถึงชอบล้อเล่นกับความรู้สึกของผมนักครับ ผมไม่รู้ว่าคุณภพต้องการอะไรจากผม แต่คุณไม่ควรทำแบบนี้กับผมเลย”

 

ขณะพูดน้ำใสๆก็ไหลร่วงหล่นจนอาบเต็มแก้มนวล นทีรินพรั่งพรูคำพูดที่เขาเห็บไว้ในใจทุกอย่างออกมาให้อีกฝ่ายได้รับรู้ ภวินท์ไม่ควรทำแบบนี้กับเขาและก็ไม่ควรทำให้เขารู้สึกเจ็บแบบนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่มีหยุดหย่อน

 

“…”

 

“เรากำลังจะหย่ากันไม่ใช่เหรอครับ แล้วทำไมคุณภพถึงได้ทำเหมือนว่าเราเป็นสามีภรรยากันจริงๆทั้งๆที่จริงแล้วมันไม่ใช่แบบนั้น คุณภพหยุดแกล้งผมแบบนี้ได้ไหมครับ ผมไม่เคยรู้สึกสนุกเลยสักครั้งที่คุณทำแบบนี้”

 

 “…”

 

คำว่าหย่าขาดจากกันทำให้หัวใจที่แข็งแกร่งของคนฟังกระตุกวูบอย่างใจหาย ภวินท์รู้ดีว่าการกลับมาของเขาคราวนี้อะไรมันจะต้องเกิดขึ้นบ้าง เขาไม่ได้กลับมาเพื่อขอขมาอากงเพียงอย่างเดียวแต่เขาจะต้องคืนอิสระให้กับนทีรินด้วยการหย่าขาดให้กับอีกฝ่ายด้วย ในอดีตเขาเคยคิดที่จะหย่าขาดกับนทีรินในสักวันหนึ่งที่ทุกอย่างพร้อมแต่พอมาวันนี้ทำไมเขาถึงรู้สึกว่ามันเจ็บปวดนักเมื่ออีกฝ่ายเอ่ยปากถึงเรื่องหย่าขาดขึ้นมา แต่เขาไม่เคยคิดจะโทษอีกฝ่ายหรอกเพราะถ้าจะมีคนที่ผิดมันก็คงจะเป็นตัวของเขาเอง

ผิดที่ตัวเองมีทิฐิเยอะเหลือเกินแต่ใครเล่าจะรู้ว่าทิฐิที่เขามีนั้นมันก็ทำให้เขาเจ็บปวดไม่ต่างกับนทีรินเลย

 

“คุณกอดผม คุณจูบผมโดยที่ไม่รู้สึกอะไร คุณทำได้ยังไงครับ”

 

ความรู้สึกที่อยู่ภายในใจของนทีรินบัดนี้ได้ถูกระบายมันออกมาจนหมดสิ้นจากหัวใจที่บอบช้ำ เวลาที่ผ่านมากับการเป็นภรรยาของภวินท์มันทำให้เขาไม่เคยมีความสุขเลยสักนิดเดียว เขาไม่รู้ว่าตัวเองผิดอะไรที่ต้องมารองรับความมีทิฐิจากสามีของตัวเอง นทีรินทำหน้าที่ของตัวเองอย่างดีที่สุดตลอดมาและเขาไม่หวังให้ภวินท์กลับมาเป็นเหมือนเดิมอย่างที่เคยเป็น แต่อย่างน้อยภวินท์ก็ไม่ควรทำให้เขารู้สึกกับอีกฝ่ายมากไปกว่านี้

 

เสียงสูดลมหายใจดังขึ้นขณะที่น้ำตาก็ยังไหลออกมาจากดวงตาคู่สวยไม่ขาดสายจนแดงก่ำ นทีรินกัดปากล่างเพื่อกลัดกลั้นเสียงสะอื้นของตัวเอง ใบหน้าหวานก้มงุดร้องไห้เงียบๆจนกระทั่งมีมือหนายื่นมาเกลี่ยน้ำตาให้เขาอย่างอ่อนโยนจึงทำให้นทีรินเงยหน้าขึ้นมองอีกครั้ง

 

“แล้วทำไมนทถึงคิดว่าพี่ไม่รู้สึกอะไรล่ะ..” พี่เองก็เจ็บปวดเหมือนกันที่ต้องพยายามห้ามใจไม่ให้รักนทไปมากกว่านี้

 

สิ่งที่พยายามเอ่ยออกไปนั้นชะงักไว้เท่านั้น เขาอยากบอกความรู้สึกที่เขามีต่ออีกฝ่ายให้ฟังเพียงแต่เขามันคนปากหนักจึงไม่ได้ทำให้อีกฝ่ายเห็นถึงความชัดเจน

 

“อย่าทำให้ผมคิดว่าคุณภพรักผมเลยครับ เพราะผมเชื่อว่ามันไม่ใช่ความรัก…”

 

เสียงหวานใสหยุดไว้เพียงเท่านั้นพลางดวงตาคู่หวานจับจ้องเข้าไปที่ดวงตาคมทั้งๆที่น้ำตายังคลอหน่วยอยู่ก่อนจะเอ่ยประโยคที่ใจคิดมาตลอด

 

“…เพราะคนที่รักกัน เขาไม่ทำให้กันเสียใจหรอกครับ”

 

นทีรินเอ่ยบอกตามความรู้สึกภายในใจที่เขารู้สึกมาตลอด แม้เขาจะหวั่นไหวกับการกระทำของสามีแต่เขาเองก็อกคิดไม่ได้ที่อีกฝ่ายทำนั้นเป็นเพียงเพราะอยากจะแกล้งเขาและเอาชนะเขาเท่านั้นเพราะว่าสิ่งที่ภวินท์แสดงออกต่อเขานั้นเป็นความรักที่อีกฝ่ายมอบให้เขาคงไม่เจ็บถึงเพียงนี้

 

ทั้งคู่ต่างนิ่งเงียบใส่กันจนได้ยินเสียงลมหายใจของกันและกัน มีเพียงสายตาของทั้งคู่ที่คอยสื่อสารต่อกันจนกระทั่งนทีรินต้องเป็นฝ่ายหลบไปเสียเอง ร่างบางกำลังจะเดินกลับเข้าไปข้างในเพราะคิดว่าคงไม่มีสิ่งใดที่จะพูดกับภวินท์อีกแล้วแต่ก็ต้องชะงักไปเมื่อมือหนาคว้าตัวเขาเข้าไปกอดไว้แน่น

 

“ขอโทษ..”

 

เสียงทุ้มเอ่ยบอกเสียงเบาทว่ากลับดังก้องในหูของนทีรินชัดเจน คำขอโทษนั้นทำให้น้ำตาของนทีรินไหลออกมาอีกคราราวทำนบพัง

 

“ขอโทษที่ทำให้เสียใจ”

 

มือหนาลูบหลังปลอบประโลมร่างบางในอ้อมกอดที่กำลังสะอึกสะอื้นหนักราวจะขาดใจเสียให้ได้ ยิ่งเห็นแบบนี้ภวินท์ก็ยิ่งรู้สึกใจเสียพลางคิดโทษตัวเองในใจ

 

“ขอโทษที่เห็นแก่ตัว”

 

“ขอโทษที่ทิ้งให้นทเผชิญกับอะไรๆอยู่คนเดียว”

 

“พี่ภพขอโทษนะครับตัวเล็ก…”

 

คำเรียกคุ้นเคยที่ภวินท์เคยเรียกนทีรินตั้งแต่เด็กๆถูกเอ่ยออกมานั้นยิ่งทำให้นทีรินปล่อยโฮหนักกว่าเดิมเพราะเขาคิดถึงคำนี้ คิดถึงเหลือเกิน

 

คำขอโทษทั้งหมดที่พรั่งพรูออกจากปากของภวินท์เป็นคำขอโทษที่มันมาจากความรู้สึกผิดจริงๆที่เขาทำให้นทีรินต้องเสียใจอยู่แบบนี้ ภวินท์รักนทีรินมาตลอดอันนี้ตัวเขาเองก็รู้ดีแต่ที่เขาต้องจากไปเขาเองก็มีเหตุผลของตัวเองเช่นเดียวกัน การจากไปของเขาก็ไม่ได้ทำให้เขาเจ็บปวดน้อยไปกว่านทีรินเลยแต่เขาต้องพยายามข่มใจไม่แสดงความเจ็บปวดนั้นออกมาให้ใครต่อใครเห็น

 

“พี่ภพใจร้าย คนใจร้าย… ใจร้ายที่สุดเลย… ฮือ”

 

มือบางทุบแขนทุบหลังคนตัวโตกว่าไปมาราวอยากระบายความเจ็บปวดนี้ออกไป เขาอยากจะตีภวินท์แรงๆให้เท่ากับที่เขาเจ็บปวดเสียเหลือเกินแต่กระนั้นเขาก็เลือกที่จะกอดอีกฝ่ายตอบ ความอบอุ่นที่ก่อเกิดภายในหัวใจ คำขอโทษของอีกฝ่ายและสายตาที่แสดงถึงความรู้สึกผิดนั้นเหมือนน้ำชโลมจิตใจห่อเหี่ยวของเขาให้กลับมาเบ่งบานอีกครั้ง

 

“ทำไมต้องทิ้งนทไปด้วย ฮือ… เกลียดนทมากเลยเหรอ”

 

คำตัดพ้อของอีกฝ่ายนั้นทำให้ภวินท์รู้สึกเจ็บแปลบในใจอย่างห้ามไม่ได้เพราะเขาไม่เคยรู้สึกเช่นนั้นกับนทีรินเลยสักนิดเดียว มือหนากุมแก้มนวลของอีกฝ่ายไว้พลางใช้นิ้วโป้งเกลี่ยน้ำตาให้อย่างนุ่มนวลก่อนที่ใบหน้าคมจะก้มลงชิดกับใบหน้านวลจนสัมผัสได้ถึงลมหายใจที่รินรดซึ่งกันและกัน ปากหนาประกบเข้าที่ปากบางอีกคราโดยไม่ได้มีการรุกล้ำใดๆ ความอ่อนโยนนุ่มนวลก่อนจะผละออกแล้วกดจูบที่มุมปากเล็กซ้ำๆราวปลอบประโลมก่อนจะเอ่ยความในใจที่มีออกไปตามเสียงหัวใจของตัวเอง

 

“อย่าพูดแบบนั้น.. พี่ไม่เคยเกลียดนท ไม่มีวัน…”

 

จะเกลียดได้ยังไง ในเมื่อพี่รักนทมาตลอดและมันก็เป็นอย่างนั้นไม่เคยเปลี่ยนแปลง…

 

 

***
ต่อข้างล่างค่ะ
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๑๔ (21-5-62) {ต่อ}
เริ่มหัวข้อโดย: yokindy ที่ 21-05-2019 23:44:00
“ยังไม่นอนเหรอนท”

 

เสียงทุ้มเอ่ยถามทันทีที่เจอร่างบางของภรรยาหยุดยืนอยู่หน้าห้องนอนตรงข้ามกับห้องนอนเขา ร่างบอบบางในชุดนอนผ้าซาตินสีแชมเปญชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะค่อยๆหันกลับมาเผชิญหน้ากับเขาด้วยความประหม่าระคนเคอะเขินเล็กน้อย

 

เพราะหลังจากวันครบรอบแต่งงานที่ทั้งคู่ได้เผยความในใจที่มีต่อกันนั้นได้ทำให้นทีรินรู้สึกโล่งใจที่จะคุยกับภวินท์มากขึ้น นทีรินก็ยอมรับว่าเขารู้สึกดีที่ภวินท์บอกความในใจที่มีต่อเขาที่อย่างน้อยเขาก็รับรู้ได้ว่าภวินท์ไม่ได้เกลียดอะไรเขาและต่อให้ไม่ทราบถึงเหตุผลที่ภวินท์เลือกที่จะทิ้งเขาไปตั้งแปดปีแต่เขาก็เชื่อว่าอีกฝ่ายมีเหตุผลและเขาเองก็ยังรอว่าสักวันที่ภวินท์พร้อมที่จะบอกให้เขาได้รับรู้ในสักวันหนึ่ง

 

“ผมลงไปดื่มนมมาครับ… นี่คุณเอางานกลับมาทำที่บ้านอีกแล้วใช่ไหมครับ”

 

นทีรินไม่แปลกใจกับเหตุผลของการนอนดึกของภวินท์เลยสักนิดเพราะเขารู้ดีว่าอีกฝ่ายนั้นชอบเอางานกลับมาทำที่บ้านจนเป็นกิจวัตรไปเสียแล้ว ช่วงนี้ภวินท์บ้าทำงานมากๆอาจจะเป็นเพราะแรงกดดันจากบอร์ดบริหารซึ่งเขาเองก็เคยเป็นเช่นอีกฝ่ายเพียงแต่เขาไม่ได้บ้างานเท่าที่อีกฝ่ายเป็นเท่านั้นเอง เมื่อถึงเวลาที่ต้องพักผ่อนมันก็ควรต้องพักผ่อนไม่ใช่ทุกช่วงเวลาในชีวิตก็เป็นการทำงานไปเสียหมดมันจะทำให้เครียดเกินไปซึ่งเขาก็เคยบอกภวินท์ไปหลายครั้งแล้วและเขาเองก็อ่อนใจที่จะดุคุณภพจอมดื้อของทุกคนเสียแล้ว

 

“เคลียร์งานนิดเดียวเองครับ เดี๋ยวจะไปนอนแล้ว”

 

เสียงหวานติดดุของนทีรินทำเอาภวินท์ลอบยิ้มขำออกมาอย่างห้ามไม่ได้ก่อนเสียงทุ้มจะเอ่ยบอกติดอ้อนจนคนฟังหน้าแดงระเรื่อ แต่ก่อนที่จะได้แสดงความเขินอายออกมามากกว่านี้ความจมูกดีของนทีรินก็ทำงานเมื่อได้กลิ่นไม่พึงประสงค์บางอย่างจากร่างกายของสามี

 

“คุณสูบบุหรี่เหรอครับ”

 

นทีรินเลือกที่จะถามออกมาตามตรง ไม่ใช่ว่าไม่เคยเห็นภวินท์สูบบุหรี่แต่ช่วงนี้เขารู้สึกว่าอีกฝ่ายนั้นสูบจัดเกินไปเมื่อยิ่งยืนใกล้กันแบบนี้เขายิ่งได้กลิ่นเมนทอลอันคุ้นเคยจากตัวของอีกฝ่ายชัดเจน

 

“อืม ช่วงนี้พี่เครียดเรื่องงานน่ะ”

 

ภวินท์สารภาพตามตรงเพราะช่วงนี้เขาเครียดเรื่องงานที่ต้องรับผิดชอบมากมายเหลือเกินจนเขาแทบไม่มีเวลาได้พักผ่อนเลยซึ่งวิธีคลายเครียดที่ดีที่สุดและเร็วที่สุดสำหรับเขาตอนนี้ก็คงเป็นการสูบบุหรี่

 

“…”

 

สิ้นคำพูดของคนเป็นสามีก็ทำให้นทีรินเงียบไปและไม่มีคำพูดใดๆออกจากปากของร่างบางเลยสักนิดแต่ใบหน้านวลกลับแสดงถึงความขุ่นใจต่ออีกฝ่ายจนเจ้าตัวลอบยิ้มเพราะรู้ทันความคิดของเขา

 

“ไม่ชอบให้สูบ?”

 

“ผมพูดแบบนั้นไม่ได้หรอกครับ เพราะผมไม่มีสิทธิ์ไปวุ่นวายอะไรกับตัวของคุณภพ เพียงแต่ผมอยากให้คุณเพลาๆลงบ้างยังไงมันก็ไม่ดีต่อสุขภาพของคุณ”

 

คำพูดแสนประชดและห่างเหินแต่กลับมีความห่วงใยอยู่ในทีนั้นทำให้ภวินท์หลุดขำออกมา ใบหน้านวลที่ทำเป็นตีนิ่งเฉยแต่จมูกรั้นเชิดนั้นแสดงออกตรงข้ามโดยสิ้นเชิง เมื่อเห็นว่าสามีกำลังยิ้มขำล้อเลียนนทีรินก็ยู่ปากไม่พอใจก่อนจะก้าวเท้าเตรียมจะเดินเข้าห้องหนีคนช่างล้อไป

 

“แล้วรู้ได้ยังไงว่าไม่มีสิทธิ์ นทมีสิทธิ์ในตัวพี่ทุกอย่าง”

 

มือหนาคว้าข้อมือบางไว้จนร่างบางแทบเสียหลักแต่มือหนาสองข้างกลับกระชับกอดคนตัวบางไว้แน่นเพื่อไม่ให้เสียหลักจนคนโดนกอดแหวขึ้นเสียงเขียว

 

“คุณภพ.. รุ่มร่ามกับผมอีกแล้วนะครับ”

 

ดวงตาหวานถลึงใส่คนฉวยโอกาสทันทีที่ตกไปอยู่ในอ้อมกอดของอีกฝ่ายแต่คนฉวยโอกาสหาได้สนใจไม่กลับกระชับกอดร่างบางมาแนบชิดกว่าเดิม

 

“ถ้าไม่ชอบให้สูบก็จะไม่สูบ โอเคไหมครับ”

ดวงตาคมสบตาคู่หวานอย่างมีความหมายขณะพูดจนคนในอ้อมกอดแสดงท่าทีเลิ่กลั่ก

 

“อ.. โอเคอะไรครับ คุณไม่สูบมันก็ดีต่อตัวของคุณเอง ไม่เกี่ยวกับผมสักหน่อยว่าจะโอเคหรือไม่โอเค”

 

“หึหึ คนปากแข็ง” นิ้วชี้ใหญ่ยกขึ้นมาเขี่ยจมูกรั้นเบาๆอย่างเอ็นดูจนคนที่ยู่หน้ายู่จมูกเป็นทุนเดิมอยู่แล้วต้องยู่กว่าเดิม

 

“ผมไม่ได้ปากแข็งสักหน่อย พูดตามความจริงทั้งนั้นครับ” คนโดนล้อปฏิเสธขึ้นทันควันพลางนึกเจ็บใจกับความรู้ทันของอีกฝ่าย

 

“ความจริงที่นทห่วงพี่น่ะเหรอ”

 

ใบหน้าหล่อคมที่ประดับไปด้วยรอยยิ้มล้อเลียนแบบนั้นทำนทีรินนิ่งอึ้งไปเพราะเขาเองก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าห่วงใยอีกฝ่ายจนนทีรินอดเอ็ดตัวเองไม่ได้ว่าเผลอไปแสดงอาการห่วงใยภวินท์จนเจ้าตัวรู้ทันอีกแล้ว

 

“จะคิดยังไงก็แล้วแต่คุณภพเลยครับ แล้วก็ปล่อยด้วย ผมจะไปนอนแล้ว” นทีรินเอ่ยขึ้นพลางใช้มือดันอกแกร่งให้ออกห่างแต่กลับไม่เป็นผลเมื่อร่างสูงยิ้มกรุ้มกริ่มพลางอุ้มตัวเขาขึ้นในท่าเจ้าสาว

 

“คุณภพ! ทำอะไรครับ! วางผมลงเดี๋ยวนี้นะครับ!”

 

นทีรินตกใจเมื่อตัวลอยหวือขึ้นในอ้อมแขนแกร่งของสามี
มือเล็กทุบเข้าที่ไหล่แกร่งพัลวันพลางดิ้นขลุกขลักในอ้อมแขนแต่คนอุ้มกลับไม่สะทกสะท้านสักนิดเลยกลับกันร่างสูงอุ้มเขาเดินเข้าห้องนอนของตัวเองหน้าตาเฉยโดยไม่ฟังเสียงโวยวายจากเขาสักนิดเลย

 

ภวินท์วางร่างบอบบางลงบนเตียงขนาดคิงไซส์อย่างเบามือ นทีรินกระถดตัวหนีจนติดริมอีกฟากของเตียงด้วยท่าทีหวาดหวั่นร่างบางหันรีหันขวางเพื่อที่จะพยายามหาทางหนีทีไล่ ดวงตาหวานมองไปรอบๆห้องนอนขนาดใหญ่พอๆกับห้องนอนของเขาที่มีการตกแต่งโดยเฟอร์นิเจอร์ทุกอย่างภายในห้องมาจากเฟอร์นิเจอร์ยี่ห้อดังจากประเทศอิตาลีซึ่งความสวยงามและหรูหรานั้นไม่ต่างจากห้องนอนของเขาเลยจะต่างกันเพียงแค่โทนสีของห้องที่ดูเข้มและทึบกว่าห้องของเขาเท่านั้นแต่นี่ไม่ใช่ประเด็นเพราะตอนนี้นทีรินพยายามที่จะหาทางออกไปจากห้องของสามีให้เร็วที่สุดขณะที่ร่างบางกำลังใช้ความคิดอยู่ก็ต้องตกใจสุดขีดอีกครั้งเมื่อมือหนาเอื้อมมาคว้าตัวเขาเข้าไปนอนกอดแนบอกอย่างหน้าตาเฉย

 

“คุณภพ!” เสียงแหวดังขึ้นแต่ไม่ได้ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกรู้สาอะไรกลับนอนกอดร่างบางในท่าทีสบายๆ

 

“นอนได้แล้วครับ” ภวินท์เอ่ยบอกคนในอ้อมกอดพลางกระชับกอดอีกฝ่ายไว้แน่นแต่ก็มิวายที่มือบางทุบมาที่ตัวเขาอย่างไม่ลดละ

 

“นอนอะไรล่ะครับ ผมจะกลับไปนอนห้องตัวเอง ปล่อยผมไปนะ!”

 

นทีรินโวยวายพลางใช้มือทุบที่แขนแกร่งดังอักหลายๆทีแต่อย่างที่รู้ๆกันอยู่ว่าขนาดตัวที่ต่างกันจึงทำให้แรงของนทีรินสู้ภวินท์ไม่ได้อยู่แล้ว ภวินท์ยิ้มกริ่มในใจพลางคิดว่าอีกฝ่ายมีแรงทุบเขาเพียงเท่านี้แต่ก็ยังไม่ยอมแพ้ทั้งๆที่รู้ว่าอย่างไรก็สู้แรงมหาศาลอย่างเขาไม่ได้

 

“นอนที่ไหนก็เหมือนกันแหละน่า” ภวินท์เอ่ยบอกปัดไม่สนใจเสียงโวยวาย

 

“ไม่เหมือนครับ ผมจะกลับไปนอนห้องตัวเอง ปล่อยผมนะคุณภพ!”

 

นทีรินดิ้นขลุกขลักจนเริ่มจะถอดใจเพราะว่าทำอย่างไรภวินท์ก็ไม่ปล่อยเขาออกจากอ้อมแขนเสียที ร่างบางขมวดคิ้วมุ่นอย่างไม่พอใจที่โดนแกล้งต่อให้เขาและภวินท์จะเริ่มรู้สึกดีต่อกันแต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะต้องยอมโดนอีกฝ่ายรังแกแบบนี้สักหน่อย

 

“พี่ภพ.. เรียกพี่ว่าพี่ภพแล้วก็แทนตัวเองว่านทเหมือนเดิมด้วยครับ”

 

ภวินท์ต่อรองอย่างนักธุรกิจที่ไม่ยอมเสียเปรียบแต่คนในอ้อมกอดกลับไม่โอนอ่อนตามซ้ำยังแสนพยศเสียจนเขามันเขี้ยวอยากจะปราบพยศให้ได้

 

“ไม่! คุณอย่ามาออกคำสั่งกับผมนะคุณภพ! ปล่อยสิ!”

 

“ถ้าไม่เรียกก็ไม่ปล่อย” คนเจ้าเล่ห์ลอยหน้าลอยตากวนประสาทเสียจนนทีรินเข่นเขี้ยวอย่างเจ็บใจ

 

“พี่ภพ.. ปล่อยนะ!”

 

เสียงหวานเอ่ยด้วยเสียงที่แข็งขืนอย่างจำใจเพราะต่อให้เขาเจ็บใจอีกฝ่ายแต่ต้องยอมกระทำตามเพราะรู้ว่าตัวเองไม่สามารถสู้แรงของผู้ชายตัวโตคนนี้ได้

 

“พูดเพราะๆด้วยครับ” คนช่างต่อรองก็ต่อรองไม่มีหยุดหย่อนจนนทีรินถอนหายใจอย่างอ่อนใจกับคนที่แสนเอาแต่ใจ

 

“พี่ภพครับ ปล่อยนทเถอะนะครับ”

 

เสียงหวานเว้าวอนติดออดอ้อนแต่ใบหน้าหวานกลับก้มงุดเพื่อซ่อนแก้มแดงๆแต่จะซ่อนอย่างไรก็ไม่พ้นสายตาคมดังเหยี่ยวเลยสักที

 

“น่ารักมากครับ” ภวินท์ยิ้มกว้างกับความน่ารักตรงหน้าจนอดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นมาบีบจมูกเล็กอย่างมันเขี้ยว

 

“ฮื่อ.. พูดแล้วจะปล่อยได้หรือยังครับ” นทีรินปัดมือหนาออกจากจมูกของเขาพลางเอ่ยทักท้วงถึงข้อต่อรอง

 

“จะให้ปล่อยไปได้ยังไงครับ… ก็เมียทั้งคนนี่นา”

 

เสียงทุ้มเอ่ยตอบสายตาคมเปล่งประกายความกรุ้มกริ่มเจ้าเล่ห์ออกมาอย่างนึกสนุกและพึงพอใจที่สามารถหลอกล่อภรรยาตัวน้อยได้สำเร็จ

 

“คุณภพ! นี่คุณหลอกให้ผมพูดเหรอ คุณนี่มันขี้โกงชะมัด! นี่ผมลืมไปได้ยังไงว่าคุณมันคนเจ้าเล่ห์ที่สุด!”

 

นทีรินถลึงตาใส่คนขี้โกงก่อนจะทุบไปที่ร่างหนาแรงๆแต่แรงเพียงใดก็ไม่ได้กระทบกระเทือนอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อยแต่กลับหัวเราะเขาอย่างนึกสนุกและพึงพอใจอีกต่างหากจนนทีรินเหนื่อยใจจะต่อล้อต่อเถียงด้วย สายตาคมจับจ้องมาที่ใบหน้าหวานไม่วางตามือหนากระชับกอดร่างบางไว้แนบอก

 

“ฝันดีนะนท” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นก่อนจะหลับตาลง

 

“ฝันดีอะไรของคุณ! ปล่อยผมเดี๋ยวนี้นะ ไม่ต้องมาแกล้งหลับใส่ผมเลย!”

 

นทีรินโวยวายใส่พลางดิ้นขลุกขลักในอ้อมแขนแกร่งแต่ไม่ได้มีการตอบรับใดๆกลับมาทั้งสิ้นนอกจากลมหายใจที่รินรดใบหน้าของเขาเท่านั้น

 

“งั้นผมขอให้คุณฝันร้าย ได้ยินไหม! ฝันร้ายๆๆ อื้อ...”

 

เสียงโวยวายถูกปิดด้วยริมฝีปากหนาที่ทาบทับลงมาบนปากบางอย่างแผ่วเบานุ่มนวลและเนิ่นนานนทีรินหลับตาพริ้มเคลิ้มไปกับรสจูบที่ภวินท์มอบให้ ริมฝีปากหนาเริ่มขยับวาดลวดลายไปทั่วปากบางพลางดูดเม้มริมฝีปากบางทั้งบนและล่างสลับกันอย่างชำนาญ หัวใจดวงน้อยของนทีรินสั่นระรัวราวจะหลุดออกจากอกเสียให้ได้เมื่อลิ้นอุ่นชื้นได้รุกล้ำเข้าไปทักทายลิ้นเล็กของเขา ลิ้นหนาเกี่ยวกระหวัดลิ้นเล็กไปมาดูดซับเก็บเกี่ยวน้ำหวานทุกหยาดหยดจนไม่เหลือ กายบางที่มีกลิ่นหอมหวานชื่นใจที่เขาคุ้นเคยและรู้สึกผ่อนคลายทุกครั้งเริ่มทำให้เขามัวเมาไปด้วยความเสน่หาเฉกเช่นเดียวกับรสจูบที่แสนหวานนี้ยิ่งทำให้เขามัวเมาจนยากที่จะถอดถอนริมฝีปากออกแต่เมื่อเสียงหวานเริ่มประท้วงเพราะหายใจไม่ออกจึงทำให้ภวินท์ผละออกอย่างอ้อยอิ่งและเกิดความรู้สึกเสียดายขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้

 

“ถ้าไม่นอน จะไม่หยุดแค่จูบ” เสียงทุ้มกระเซ่าที่ดังขึ้นข้างหูทำให้นทีรินรู้สึกขนลุกซู่และใจสั่นรัวจนยากที่จะปราม

 

“คุณมัน… ฮึ่ย!”

 

คนฉวยโอกาส
 

ใจจริงคำนี้คือคำที่นทีรินต้องการใช้ต่อว่าภวินท์แต่หากคิดอีกทีว่าไปก็ไม่ได้เกิดผลอะไรขึ้นมาซ้ำยังเข้าทางคนเจ้าเล่ห์อีกด้วยและอีกอย่างจะเรียกว่าฉวยโอกาสก็คงจะพูดได้ไม่เต็มปากสักเท่าไรเพราะว่าตัวของเขาเองก็เคลิบเคลิ้มตามอีกฝ่ายด้วยเช่นกัน

 

“นอนกันนะครับ”

 

ประโยควอนขอที่ติดออดอ้อนดังขึ้นขณะที่ใบหน้าของทั้งคู่ยังอยู่ใกล้กันจนลมหายใจรินรดกันและกัน ริมฝีปากของทั้งคู่ที่ห่างเพียงนิ้วคั่นทำให้นทีรินก้มหน้างุดจนชิดอกเพื่อซ่อนความเขินอาย เพราะสายตาคมเปล่งประกายของสามีนั้นทำเขาหน้าร้อนไปหมดแล้วไหนจะคำอ้อนวอนขอนั่นยิ่งทำให้เขาเขินไปกันใหญ่

 

“ขอเหตุผลที่ผมต้องนอนกับคุณหน่อยสิครับ” เสียงหวานเอ่ยขึ้นอุบอิบเสียงเบาจนแทบไม่ได้ยิน

 

นทีรินอยากทราบเหตุผลที่แท้จริงของสามีที่บังคับเขาให้มานอนด้วยแบบนี้มันหมายความว่าอย่างไรกัน เขาไม่อยากรู้สึกเองไปคนเดียวอีกแล้ว การกระทำที่ชัดเจนของอีกฝ่ายเขารับรู้ได้แต่ในเมื่อภวินท์ไม่เคยเอ่ยมันออกมาจากปากของอีกฝ่ายเองนทีรินเองก็ไม่กล้าที่จะคิดไปไกลกว่านี้เพราะที่ผ่านมาภวินท์กลั่นแกล้งเขามาตลอดจนบางครั้งเขาก็ไม่อาจคิดได้ว่าสิ่งที่อีกฝ่ายกระทำลงนั้นเป็นเพราะว่าต้องการจะแกล้งเขาหรือว่า…

 

ภวินท์รักเขากันแน่

 

“เหตุผลก็คือเราเป็นสามีภรรยากันจะนอนด้วยกันก็ไม่แปลก”

 

เสียงทุ้มเอ่ยตอบตามความเป็นจริงนั่นก็คือเขาและนทีรินเป็นสามีภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายทุกประการ หากจะต้องนอนร่วมเตียงเดียวกันมันก็ไม่ได้แปลกหรือเสียหายอะไร

 

แต่คำตอบนั้นดูเหมือนจะไม่ได้ทำให้คนฟังพึงใจได้เลย นทีรินทำหน้านิ่งดวงตาหวานซึ้งหม่นแสงลงอย่างเห็นได้ชัดเพราะเขาคิดไว้อยู่แล้วว่าคำตอบของภวินท์ต้องเป็นแบบนี้และเขาก็คิดไว้อยู่แล้วว่าเขาไม่ควรคาดหวังใดๆจากอีกฝ่ายเลยสักนิดเดียว

 

“แต่นี่เป็นแค่เหตุผลรองนะ”

 

เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นเรียกความสนใจจากร่างบางในอ้อมกอดได้เป็นอย่างดี ใบหน้าหวานเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าหล่อคมอย่างมีความหวังแม้มันจะดูริบหรี่แต่เขาเองก็อยากจะลองเสี่ยงที่จะหวังดูสักครั้ง

 

“แล้วเหตุผลหลักคืออะไรครับ”

 

“เหตุผลหลักของพี่ก็คือ…”

 

ภวินท์หยุดคำพูดไว้เพียงเท่านั้นก่อนที่ริมฝีปากหนาจะประทับลงไปบนหน้าผากมนของนทีรินอย่างนุ่มนวลก่อนจะเอ่ยประโยคที่ทำให้นทีรินอดที่จะอมยิ้มไม่ได้ หัวใจที่เต้นพร้อมกันจนได้ยินเสียงมันบ่งบอกถึงความรู้สึกของทั้งคู่ได้เป็นอย่างดี ประโยคที่ภวินท์เอ่ยออกมาขึ้นมันช่างแผ่วเบาทว่าหนักแน่นในความรู้สึกของนทีริน แขนแกร่งที่กระชับกอดร่างบางแผ่ซ่านความอบอุ่นไปทั่วทั้งสรรพางค์กายราวกับทั้งคู่โหยหาความอบอุ่นนี้มานานแสนนาน ความละมุนหวานจากรสจูบยังคงติดอยู่ที่ปลายลิ้นไม่จางหายนั้นทำให้นทีรินยินยอมที่จะนอนหลับไปในอ้อมกอดแสนอบอุ่นของภวินท์พร้อมประโยคแสนหวานของอีกฝ่ายที่ดังก้องย้ำๆจนลึกลงไปในใจจะทำให้เขาหลับฝันดีไปตลอดทั้งคืน

 



 
 

“พี่อยากเจอนทเป็นคนสุดท้ายก่อนที่จะนอนแล้วตื่นขึ้นมาเจอนทเป็นคนแรกในทุกๆวัน”

 

To be continue

________________________________________________________________________________________________

TALK WITH WRITER :: แฮปปี้แต่ยังไม่เอนดิ้ง วู้วๆ เอาเซ่! ปากร้ายมาเยอะจะปากหวานบ้างจะเป็นไรยังไงพี่ภพก็เป็นพระเอกไบโพลาร์อยู่แล้วนี่นา 55555555555555 ตอนนี้มันก็จะหวานๆหน่อยอ่ะนะเพราะว่าเดี๋ยวตอนหลังๆความขมจะเริ่มมาแล้วค่ะ T^T จะไม่มีใครเป็นกำลังใจให้พี่ภพจริงๆใช่ไหมเนี่ย 5555555555555

เจอกันตอนหน้าค่า :)
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๑๔ (21-5-62)
เริ่มหัวข้อโดย: muiko ที่ 22-05-2019 00:06:36
คิดได้ช้าไปมั้ยคุณภพ แปดปีนะ
ไม่เอาอ่ะ นทอย่ายอมง่ายๆแบบนี้
ทิฐิเอง ก็เจ็บเอง ไม่สงสาร อย่าบอกว่าเจ็บเหมือนกัน
นทดูเจ็บกว่าเยอะ โดนพูดจาร้ายๆในตลอด ทั้งที่ไม่ผิดอะไร
มาขอโทษกะทำดีแค่นี้ ยังน้อยไป
ยังไม่เชียร์คุณภพตอนนี้
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๑๔ (21-5-62)
เริ่มหัวข้อโดย: arjinn ที่ 22-05-2019 01:36:34
ไม่อยากได้ขมๆ เลย อยากได้หวานๆ ค่ะ ค่อยๆ หวาน
คุณพี่ภพอธิบายไปเลยว่าอะไรเป็นอะไร อ้ำอึ้ง จะแย่
ลุ้น ลุ้นความขม
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๑๔ (21-5-62)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 22-05-2019 01:46:10
ง่ายไป
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๑๔ (21-5-62)
เริ่มหัวข้อโดย: Funnycoco ที่ 22-05-2019 02:34:50
ไม่น่าให้นทคืนดีด้วยง่ายๆเลย
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๑๔ (21-5-62)
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 22-05-2019 02:36:50
แล้วที่หายไป หาไปทำไม  มีคนอื่นทำไม? งง
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๑๔ (21-5-62)
เริ่มหัวข้อโดย: SoSweetCB ที่ 22-05-2019 02:54:30
หมั่นไส้ภพมากกกกกกกก ถ้าน้องมีผชไฮโซมาจีบก็ปล่อยน้องไปเถอะะะ สงสารน้อง


Sent from my iPad using Tapatalk
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๑๔ (21-5-62)
เริ่มหัวข้อโดย: sailom_orn ที่ 22-05-2019 03:30:52
พอรุก ก็ไม่ทันให้น้องได้ตั้งตัวเลยนะ :z6:
เอาแต่ใจจริงๆ
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๑๔ (21-5-62)
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 22-05-2019 09:13:57
แปดปีที่ไม่ได้อยู่ด้วยกัน เราไม่เชื่อหรอกว่าพี่ภพจะไม่ได้คบกับคนอื่นเพื่อลืมน้อง
เราเชื่อว่าจะต้องมีคนมาทวงพี่ภพคืนแน่ ๆ นั้นคือความขมที่น้องจะได้รับชัวร์
ถ้าเป็นแบบนั้นจริงเราจะรอดูน้องว่าจะเอาคืนพี่ภพยังไงต่อไป
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๑๔ (21-5-62)
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 22-05-2019 11:11:47
 :o8: :o8: :o8: :o8: หวานแปปๆจะขมอีกแล้วเหรออ
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๑๔ (21-5-62)
เริ่มหัวข้อโดย: SoSweetCB ที่ 22-05-2019 12:52:17
เอาจริงๆ พี่ภพก็คงรักรน้องมาตลอดอย่างที่อากงบอก แต่ทิฐิสูงเกินไปจนไม่ยอมรับใจตัวเอง ชอบแกล้งน้องเพราะน้องน่ารักใช่มั้ยล่ะ แต่พี่จะแสดงความรักแบบผิดๆ ให้น้องเข้าใจผิดแบบนี้ไม่ด้ายยยย


Sent from my iPhone using Tapatalk
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๑๔ (21-5-62)
เริ่มหัวข้อโดย: SoSweetCB ที่ 22-05-2019 16:49:31
ดีใจแทนนทที่อย่างน้อยคนพี่ก็จำวันครบรอบแต่งงานได้ เราว่าที่ป่านมาภพก็คงจำได้ทุกอย่างแหละแต่ทิฐิค้ำคอ แต่ตอนนี้น้องละลายกำแพงพี่จนพี่เปลี่ยนไปแล้ว แต่ๆๆๆๆๆ น้องสับสนอยู่ดีว่าทำไมพี่ถึงเปลี่ยนอปลง น้องยังคิดว่าพี่แค่แกล้งอ่ะ ถ้าสิ้นเจ้าสัวไปน้องหนีเตลิดแน่เลย พี่ภพต้องบอกรักน้องนะะะ อย่าปากแข็งเด้อ


Sent from my iPhone using Tapatalk
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๑๔ (21-5-62)
เริ่มหัวข้อโดย: SoSweetCB ที่ 22-05-2019 17:12:39
อ่านถึงตอนล่าสุดแล้วพี่ภพหวานก็เป็นนนนน ต้องนี้เข้ามจกันแล้วถึงพี่จะไม่พูดว่ารักออกมาแต่จะมีดราม่าอีกหรอคะ ;-; สงสารใจจจจจ ฮือ


Sent from my iPhone using Tapatalk
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๑๔ (21-5-62)
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 22-05-2019 22:08:13
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๑๔ (21-5-62)
เริ่มหัวข้อโดย: HISY ที่ 23-05-2019 00:54:52
ความหวานช่างไม่จีรังนัก หวังว่าจะไม่ขมมากนะคะ
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๑๔ (21-5-62)
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 23-05-2019 03:08:41
วู้ววววส์~~ว้าววว~~~สวีทท~~เหลือเกินพ่อคู๊ณณณ >.,< "ถ้าท่านพี่พูดมาอย่างนี้น้องคงได้กลายเป็นลูกไก่ในกำมือจริงๆอะนะ" นทกล่าว 5555555 ก็ถ้าเหตุผลคุณพี่ไม่ดีพอ+ไม่มากพอกับความ 8 ปีที่หนีไปแม้กลับมาชดใช้ เราคงให้อภัยไม่ง่าย ขอมองดูความรักของพี่ที่จะมีให้นทมากกว่านี้หน่อยเถอะ เรามันคนนอก แล้วเราก็เข้าใจนทดีที่จะยอมอ่อนให้ง่าย ก็เพราะว่ารักมากมาย รักมากมายเกินไปจริงๆ มาวันนี้พี่พูดแบบนี้ การ์ดใจที่ตั้งไว้พังลงทันที ต่อจากนี้จะเจอไรบ้าง รอดูความสนุกเลยค่ะ เรามันชอบเล่นกับความรู้สึกตัวละคร 5555 //เชรดดดด!!อ่านรวดเดียว 14 ตอนวางไม่ลงเลย สนุกมากกกกกกกกกก ชอบความหน่วงปนหวานนี้จริงๆ หมั่นไส้คุณภวินทร์ตั้งแต่ตอนแรกยันตอนนี้ไม่หายเลย เห๊อะ!!!! 5555 รอตอนต่อไปเลยค่ะ

แต่งดี อ่านแล้วอิน ใส่ใจกับคนอ่านมากๆ ท้ายบทมีหมายเหตุพวกชื่ออาหาร,อาชีพ,สิ่งของ ฯลฯ เราได้รู้สิ่งนั้นๆเพิ่มไปอีกว่ามันเป็นยังไง ไอ้เรามันก็คนบ้านๆ จกส้มตำ นั่งรถเมล์ บลาๆ เจอไฮโซไปแบบนี้ บางทีมีเงิบ ดีนะที่ไรท์ใส่คำอธิบายลักษณะประกอบมา 555555 แสดงถึงความใส่ใจต่อผู้อ่านจริง ขอบคุณมากนะคะที่แต่งและมาอัพลงในนี้ให้ได้อ่านกัน กดติดตามเลยค่ะ (:
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๑๔ (21-5-62)
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 24-05-2019 05:44:41
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๑๕ (5-6-62)
เริ่มหัวข้อโดย: yokindy ที่ 05-06-2019 16:08:45
บทที่ ๑๕

 

ยามรุ่งอรุณในวันหยุดสุดสัปดาห์ของผู้บริหารเดอะแกรนด์อ็อฟสยามคนใหม่ผู้ที่กุมบังเหียนธุรกิจทั้งหมดไว้อย่างเต็มตัวเพราะโปรเจ็กต์ใหญ่ที่เขาได้สรรค์สร้างทุกอย่างด้วยความคิดทั้งหมดอย่างสุดตัวนั้นทำให้ภวินท์เป็นที่ยอมรับในบอร์ดบริหารของเดอะแกรนด์อ็อฟสยามได้อย่างง่ายดาย ร่างหนาพลิกตัวเล็กน้อยเมื่อแสงแดดยามเช้าเริ่มเล็ดลอดและสาดส่องออกมาจากช่องของผ้าม่าน ดวงตาคมค่อยๆเบิกขึ้นเล็กน้อยก่อนจะเบิกโตเต็มที่เมื่อร่างบางที่มีกลิ่นหอมหวานติดตัวที่เขานอนกอดทั้งคืนนั้นได้หายไปจากอ้อมแขนแกร่งเสียแล้ว ภวินท์ยิ้มขำเล็กน้อยเมื่อนึกไปถึงใบหน้านวลที่มีสีแดงพาดริ้วน่ารัก กลิ่นหอมหวานราวกับดอกไม้จากกายบางที่ทำให้เขานอนหลับสบายตลอดทั้งคืนอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนเพราะช่วงหลังๆมานี้เขาเครียดเรื่องงานมากจนบางคืนก็นอนหลับแทบไม่เต็มตาเลยสักคืนจนกระทั่งเมื่อคืนนี้ที่เป็นอีกหนึ่งคืนที่เขารู้สึกผ่อนคลายอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ร่างสูงกว่าหนึ่งร้อยแปดสิบห้าเซนติเมตรยืนเต็มความสูงพร้อมยืดแขนและขาไปมาก่อนจะเข้าห้องน้ำไปทำธุระส่วนตัวให้เสร็จอย่างเร็วไวเพราะเขาอยากรีบลงไปเจอกับคนที่ทำให้เขาคิดถึงตั้งแต่ในฝันจนกระทั่งตอนตื่นนอนให้เร็วที่สุด

 

“อรุณสวัสดิ์ค่ะคุณภพ” เสียงพี่นวลเอ่ยทักทายพร้อมรอยยิ้มทำให้ภวินท์ยิ้มตอบ

 

“อรุณสวัสดิ์ครับพี่นวล”

 

เสียงทุ้มเอ่ยตอบพี่เลี้ยงคนสนิทของภรรยาพร้อมรอยยิ้มก่อนจะเสตามองคนที่ลุกหนีไปจากเตียงเขาตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ด้วยแววตากรุ้มกริ่มจนเจ้าตัวยู่ปากขึ้นหน่อยๆ

 

“วันนี้วันหยุดแต่ตื่นเช้าเชียวนะคะ” พี่นวลทำเสียงแปลกใจเพราะเนื่องจากวันนี้เป็นวันหยุดของอีกฝ่ายแท้ๆแต่กลับตื่นเช้าอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

 

“เมื่อคืนหลับสบายน่ะครับเลยมีแรงตื่นเช้า”

 

คนตื่นเช้าเอ่ยบอกพี่นวลแต่ตาคมจับจ้องไปยังร่างบางที่นั่งตักอาหารเช้าเข้าปากทำไม่รู้ไม่ชี้ใส่เขา ภวินท์หัวเราะในลำคออย่างนึกขันเมื่อใบหน้านวลเริ่มหงิกงอขณะที่เขาทรุดนั่งลงที่เก้าอี้เคียงข้างร่างบาง

 

“อ่า… งั้นเหรอคะ -- ว่าแต่คุณภพจะทานอาหารเช้าเป็นอะไรดีคะ วันนี้มีอเมริกันเบรกฟาสต์กับโจ๊กหมูบะช่อทานคู่กับหมั่นโถวทอดค่ะ”

 

พี่นวลเอ่ยถามพร้อมบอกตัวเลือกของอาหารเช้าในวันนี้ให้สามีของเจ้านายทราบตามหน้าที่ของพี่เลี้ยงคนสนิทพ่วงตำแหน่งหัวหน้าแม่บ้านของกิจจานนท์ในตอนนี้

 

“ขอเป็นกาแฟดำสักแก้วก็พอครับพี่นวล”

 

ภวินท์เอ่ยบอกอาหารเช้าที่เขามักจะทานเป็นประจำนั่นก็คือกาแฟดำแค่หนึ่งแก้วเท่านั้นเพราะตอนเช้าเขาต้องรีบไปทำงานและตัวเขาเองก็ไม่ค่อยเจริญอาหารในช่วงเช้าสักเท่าไร

 

“ไม่อยากลองทานโจ๊กบ้างเหรอคะคุณภพ วันนี้คุณนทลงครัวเองเลยนะคะ"

 

พี่นวลเอ่ยบอกขณะที่เทกาแฟดำใส่แก้วเพื่อมาเสิร์ฟให้กับสามีของคุณหนูแม้จะทราบดีว่าภวินท์ไม่ชอบทานอาหารเช้าก็ตามแต่เธอก็คิดว่าการทานอาหารเช้าเป็นสิ่งสำคัญที่สุด

 

“ถ้ามีใครไม่อยากทานก็ช่างเถอะครับพี่นวล โจ๊กนี้นทตั้งใจทำให้อากงทานคนเดียว ส่วนคนอื่นจะทานหรือไม่ทานนทไม่แคร์ครับ”

 

นทีรินเอ่ยบอกพี่นวลแต่น้ำเสียงค่อนไปทางประชดประชันคนที่นั่งเคียงข้างเสียมากกว่า ใบหน้านวลที่ฉายความแง่งอนออกมานั้นทำเอาภวินท์หลุดยิ้มอย่างขำขัน

 

“ถ้างั้นเอาโจ๊กด้วยก็ดีครับพี่นวล ผมรู้สึกอยากทานฝีมือภรรยาตัวเองขึ้นมาเสียแล้ว” เสียงทุ้มเอ่ยบอกพี่นวลก่อนจะหันไปยักคิ้วกวนๆใส่ภรรยาที่ทำปากคว่ำหน้าคว่ำใส่เขาอยู่

 

“ได้ค่ะ รอสักครู่นะคะคุณภพ เดี๋ยวพี่ไปเตรียมให้ค่ะ” สิ่งที่ภวินท์เอ่ยบอกทำเอาพี่นวลรู้สึกแปลกใจไม่น้อยแต่ก็ยินยอมทำตามคำสั่งที่ถูกเปลี่ยนโดยสามีของคุณหนูของเธอ

 

“เป็นอะไรหืม…” เมื่อพี่นวลเดินออกไปจากห้องอาหารแล้วภวินท์จึงเอ่ยถามคนข้างๆที่นั่งตักโจ๊กเข้าปากไม่สนใจเขา

 

“…”

 

“เคืองที่พาไปนอนด้วยเมื่อคืน?”

 

เมื่อได้รับแต่ความเงียบตอบกลับมาเสียงทุ้มติดกวนก็แสร้งถามต่ออย่างนึกสนุก ทั้งๆที่รู้เหตุผลอยู่แล้วว่าภรรยานั้นเคืองเขาด้วยเรื่องอะไร

 

“…”

 

“เคืองที่โดนกอด?”

 

เสียงทุ้มยังคงแกล้งคนตัวเล็กอย่างไม่ลดละ นทีรินขมวดคิ้วมุ่นอย่างขัดใจเมื่อเริ่มรู้สึกว่าอีกฝ่ายกำลังกวนประสาทเขาอีกแล้ว ก็ใบหน้าหล่อคมที่ฉายแววไปด้วยความสนุกนั่นแหละที่บ่งบอกทุกอย่างแต่ต่อให้จะรู้สึกขัดใจที่โดนแกล้งอย่างไรแต่นทีรินก็มีแต่ความเงียบให้กับภวินท์เท่านั้นเพราะเขารู้ดีว่าคนแบบภวินท์ก็ดีแต่แกล้งเขาอยู่ร่ำไป

 

“…”

 

นทีรินกำลังจะตักโจ๊กเข้าปากทานอย่างไม่สนใจอยู่แล้วหากไม่ได้ยินประโยคแสนกวนจากอีกฝ่ายที่ทำให้เขาหมดอารมณืทานอาหารเช้าไปเสียก่อน

 

“หรือว่าเคืองที่โดนจูบ?”

 

“คุณภพ!” เสียงหวานแหวขึ้นลั่นเมื่อคนเป็นสามีพูดเรื่องน่าไม่อายออกมาได้หน้าตาเฉยซ้ำยังดูชอบใจอีกต่างหาก

 

“หน้าแดงแบบนี้ แสดงว่าเรื่องจูบสินะ”



ภวินท์หัวเราะอย่างพึงใจที่สามารถแกล้งให้ภรรยาหลุดมาดเงียบนิ่งได้ใบหน้านวลขึ้นสีแดงพาดริ้วเต็มแก้มไม่รู้ว่าเพราะโมโหที่โดนเขาแกล้งหรือว่ากำลังเขินกับรสจูบเมื่อคืนกันแน่

 

ยิ่งภวินท์ล้อคนตัวเล็กก็ยิ่งหน้าแดงจนพาลทำตัวเลิ่กๆลั่กๆดวงตาหวานก็หลบดวงตาคมที่กำลังจดจ้องมาอย่างไม่ลดละก่อนจะแสร้งลุกขึ้นเตรียมหนีคนขี้แกล้งแต่ก็ไม่เป็นผลเมื่อมีมือหนาเกี่ยวเข้าที่เอวบางของเขาให้รุดลงไปนั่งบนตักแกร่ง

 

“ผมไม่อยากคุยกับคุณแล้ว! อ๊ะ..”

 

“นี่ใช่ไหมที่เขาเรียกว่างอนน่ะหืม?”

 

เสียงทุ้มเอ่ยข้างหูเบาๆจมูกคมแสนซุกซนก็ปัดผ่านแก้มนวลไปมาจนนทีรินต้องเอียงแก้มหนีพลางมือบางก็ได้แต่จิกลงบนมือหนาที่กอดเอวเขาไว้แน่นราวกับมือนั้นเป็นกลอนล็อคแสนแน่นหนาจนแกะไม่ออกเพราะภวินท์ดูไม่ได้เจ็บจากการโดนเล็บจิกเลยสักนิด

 

“คุณภพ! ปล่อยผมนะ! ผมโกรธคุณแล้วนะครับ!”

 

เมื่อสู้ไม่ได้นทีรินจึงโวยวายใส่คนขี้แกล้งอีกคราด้วยความขัดใจที่เขาไม่เคยต่อกรกับภวินท์ได้เลย หากแต่คำโวยวายนั้นดูเหมือนจะไม่ได้ทำให้คนจอมขี้แกล้งนั้นสำนึกแต่อย่างใดกลับกันที่ใบหน้าคมนั้นฉายแต่รอยยิ้มขำอย่างเห็นได้ชัด

 

“พี่จะปล่อยนทก็ต่อเมื่อนทหายงอนพี่… หายงอนนะครับ” เสียงทุ้มเอ่ยติดอ้อนพลางวางคางไว้บนไหล่บอบบางอย่างออดอ้อนไปด้วยจนคนโดนอ้อนหัวใจพองโตขึ้น

 

“ผมไม่ได้งอนคุณ ไม่ได้มีความรู้สึกนั้นเลยแม้แต่นิดเดียว”

 

แต่ต่อให้จะโดนอ้อนจนจิตใจหวั่นไหวสักเพียงใดแต่คนตัวเล็กก็แสร้งทำโกรธโดยที่ใบหน้าหวานเชิดขึ้นคอตั้งตรงอย่างที่เคยทำเวลางอนอีกฝ่าย ภวินท์ยิ้มขำกับท่าทางแง่งอนของภรรยาที่ทั้งน่ารักและน่าหมั่นเขี้ยวในคราวเดียวกัน

 

“ง้อนะครับ”

 

ร่างสูงเอ่ยบอกเสียงนุ่มติดอ้อนก่อนจะฝังจมูกคมลงบนแก้มนวลฟอดใหญ่จนคนโดนขโมยหอมแก้มตกใจจนแหวออกมาด้วยความโมโหปนเขินอาย

 

“คุณ!” มือบางจับแก้มข้างที่โดนหอมด้วยความตกใจ

 

“สงสัยยังไม่หาย”

 

ว่าไม่พอจมูกคมแสนซนก็กดที่ข้างแก้มนวลไปอีกฟอดใหญ่จนนทีรินเขินอายจนแทบแทรกแผ่นดินเมื่อจมูกคมประทับลงมาสลับแก้มทั้งสองข้างของเขาไปมาอีกหลายๆครา

 

“คุณภพ! หยุดเดี๋ยวนี้นะครับ”

 

เสียงปรามแสนหวานปนเกรี้ยวกราดของภรรยาไม่ได้ทำให้ภวินท์รู้สึกกลัวแต่อย่างใดแต่กลับรู้สึกชอบใจและชื่นใจเสียมากกว่าที่มีแก้มหอมหวานให้เชยชมตั้งแต่เช้า

 

นทีรินเห็นใบหน้าหล่อคมนั้นฉายความสนุกซ้ำยังหัวเราะชอบใจที่แกล้งเขาได้ก็ใช้มือบางตีเขาที่แขนแกร่งหลายๆทีแต่อีกฝ่ายก็ไม่ได้สะทกสะท้านใดๆกลับกันที่ภวินท์ละจากแก้มนวลเป็นตัวของเขาแทนเพราะจมูกคมและปากหนาแสนซนนั้นระดมจูบและหอมที่แก้มของเขาก่อนจะลากไปที่คอระหงของเขาซึ่งเป็นจุดอ่อนที่ทำให้นทีรินชะงักนิ่งก่อนจะย่นคอหนีจากนั้นจมูกคมก็ลากเลื่อนไปที่ไหล่มนก่อนที่ปากหนาจะกดจูบที่ไหล่เบาๆหลายๆที มือหนาคลายออกจากเอวบางก่อนจะจัดการจับคนตัวเล็กให้หันมาสบตากับเขาแต่คนบนตักก้มหน้างุดไม่กล้าสบตา ใบหน้าหล่อคมเลื่อนเข้ามาใกล้ใบหน้าหวานจนปลายจมูกชนกันเบาๆมือหนาจับคางมนให้เชิดขึ้นก่อนที่ริมฝีปากหนาจะค่อยๆเลื่อนเข้าใกล้เพื่อประทับจูบลงบนปากบางแสนหวานอย่างอ่อนโยนโดยไม่ได้มีการรุกล้ำใดๆนทีรินหลับตาพริ้มมือบางขยุ้มเสื้อเชิ้ตของอีกฝ่ายก่อนจะค่อยๆคลายมือแล้วยกแขนขึ้นคล้องคอแกร่งไปด้วยความเผลอไผล ภวินท์บรรจงจูบปากบางเนิ่นนานก่อนจะผละออกอย่างอ้อยอิ่งเสียดายเมื่อได้ยินเสียงพี่เลี้ยงคนสนิทของภรรยาดังแว่วมาแต่ไกล

 

“โจ๊กมาแล้วค่ะ… เอ่อ..”

 

พี่นวลที่เดินเข้ามาเตรียมเสิร์ฟอาหารเช้าให้แก่สามีของคุณหนูได้แต่ชะงักเท้าอยู่กับที่พี่เลี้ยงนทีรินนิ่งอึ้งไปทันทีเมื่อภาพตรงหน้าที่เห็นนั้นเป็นภาพที่คุณหนูของเธอนั่งอยู่บนตักแกร่งของภวินท์ซึ่งเป็นภาพที่เธอไม่คาดคิดว่าจะได้เห็นมาก่อน

 

“พี่นวล…”

 

นทีรินเอ่ยเรียกพี่เลี้ยงคนสนิทของตัวเองเสียงเบาหวิวก่อนจะรีบลุกขึ้นจากตักแกร่งของสามีทันที ใบหน้าหวานขึ้นสีแดงระเรื่อทั่วแก้มนวลอย่างนึกอาย เพราะไม่รู้ว่าพี่นวลทันมาเห็นภวินท์ทำตัวรุ่มร่ามใส่เขาหรือเปล่า ใบหน้านวลแดงเรื่อขึ้นมากกว่าเดิมกับสิ่งที่คนจอมฉวยโอกาสเอ่ยบอกพี่นวล

 

“ไม่เป็นไรครับพี่นวล ผมว่าผมทานของหวานอิ่มแล้วล่ะครับ”

 

คำพูดแสนกำกวมกับสายตาคมที่ฉายแววกรุ้มกริ่มจับจ้องมาที่ใบหน้าหวานของเขาไม่วางตาก่อนจะเป็นเขาที่หลบไปเสียเองเพราะถ้าเปรียบสายตาคมของภวินท์เป็นลูกกระสุนปื่นแล้วล่ะก็ตัวของเขาก็คงจะพรุนไปทั้งร่างเป็นแน่แท้

 

ของหวานบ้าอะไร! ฉวยโอกาสกับเราชัดๆ คนบ้า!

 

 

***

 

 

ร่างระหงของนทีรินที่ย่างเท้าเข้ามาที่บริษัทเดอะแกรนด์อ็อฟสยามนั้นเป็นที่ชินตาสำหรับพนักงานทุกคนไปเสียแล้วเพราะในตอนนี้นทีรินมีหน้าที่ส่งเสบียงอาหารกลางวันให้กับประธานกรรมการของบริษัททุกวันนับตั้งแต่ครั้งที่ภวินท์ป่วยหลังจากนั้นร่างสูงก็ออดอ้อนให้เขาทำอาหารมาให้เขาทานทุกวันในคราแรกนทีรินก็ไม่ได้ตกปากรับคำใดๆหากแต่คนเจ้าเล่ห์เอ่ยขู่ว่าถ้าไม่ได้ทานอาหารกลางวันฝีมือของเขาก็จะไม่ยอมทานอะไรเลย ด้วยความเป็นห่วงของนทีรินจึงทำให้ร่างบางตกปากรับข้อเสนอของสามีอย่างง่ายดายจนบัดนี้ก็เกือบอาทิตย์แล้วที่ร่างบางทำอาหารมาส่งให้คนเป็นสามีที่ทำงานในทุกๆวัน ตอนแรกนทีรินก็รู้สึกแปลกๆกับสายตาคนรอบข้างแต่ตอนนี้เขาเองก็เริ่มชินเสียแล้วแถมยังรู้สึกดีทุกครั้งที่ต้องคิดว่าวันนี้เขาจะทำอะไรให้ภวินท์ทานเป็นอาหารกลางวันดี วันนี้ก็เช่นเดียวกันร่างบางอมยิ้มกับกล่องอาหารหลายๆกล่องที่ด้านในบรรจุไปด้วยแกงเผ็ดเป็ดย่างและปลาหมึกยัดไส้ผัดกระเทียมนอกจากนี้ยังมีขนมหวานเป็นขนมชั้นที่บรรจงจัดแต่งให้เป็นรูปดอกกุหลาบหลากสีสันที่เขาตั้งใจทำมาให้อีกฝ่ายได้ทาน

 

“สวัสดีครับคุณนท มาหาคุณภพเหรอครับ” อินทนิลยกมือไหว้พลางกล่าวทักทายภรรยาของเจ้านายอย่างคุ้นเคย นทีรินยกมือรับไหว้พร้อมรอยยิ้มเช่นเคย

 

“นทเอาข้าวกลางวันมาส่งให้เจ้านายของพี่อินตามเดิมนั่นแหละครับ”

 

เป็นที่คุ้นชินสำหรับอินทนิลเช่นกันในเวลาใกล้เที่ยงเช่นนี้เขาจะพบร่างบอบบางของนทีรินพร้อมกล่องอาหารกลางวันของท่านประธานแห่งเดอะแกรนด์ฯมาด้วยเสมอซึ่งไม่ใช่เพียงเท่านั้นแต่นทีรินยังมีขนมหรือของว่างเล็กๆน้อยๆติดมือมาฝากเขาสม่ำเสมอจนบางคราอินทนิลก็รู้สึกเกรงใจแต่ด้วยความน่ารักของนทีรินเขาก็เต็มใจที่จะรับไว้เพราะว่าฝีมือการทำอาหารและขนมของนทีรินนั้นรสเลิศจริงๆ

 

“งั้นเอามาครับ เดี๋ยวผมเอาไปจัดให้เอง” อินทนิลอาสาแต่นทีรินไม่ยอมยื่นให้

 

“ไม่เป็นไรครับ พี่อินงานเต็มโต๊ะเลย เดี๋ยวนททำเองก็ได้พี่อินจะได้ทำงานต่อ”

 

นทีรินเอ่ยบอกอดีตเลขาฯของตัวเองพร้อมรอยยิ้มเต็มใจเพราะเขาทราบดีว่าอินทนิลนั้นมีงานมากมายเพียงใดยิ่งต้องมาทำงานกับภวินท์แล้วอินทนิลก็ยิ่งงานเยอะมากขึ้นกว่าตอนที่ทำงานกับเขาเสียอีกเพราะโปรเจ็กต์ของภวินท์นั้นมากมายเหลือเกิน

 

“คุณนทนี่น่ารักไม่เปลี่ยนเลยนะครับ”

 

อินทนิลเอ่ยชื่นชมภรรยาเจ้านายอย่างที่ทำประจำ ที่จริงเขาทราบมาเสมอว่านทีรินเป็นคนน่ารักและใส่ใจผู้คนรอบข้างเสมอแต่ถึงจะทราบเขาก็ยังอดที่จะชื่นชมอีกฝ่ายไม่ได้อยู่ดี

 

“อุ่ย! ท่านประธาน…”

 

แต่ก่อนที่จะได้ชื่นชมอะไรไปมากกว่านี้อินทนิลก็ต้องตกใจสะดุ้งอย่างสุดตัวเมื่อท่านประธานสุดหล่อเจ้านายคนปัจจุบันของเขานั้นยืนจ้องเขาด้วยสายตาราวกับจะกินเลือดกินเนื้อกันเสียให้ได้ สายตาคมจ้องเขม็งมาที่เลขาฯด้วยสีหน้าหาเรื่องจนอินทนิลหน้าซีดตัวสั่น

 

“รู้นะว่าสนิทกัน แต่ชมภรรยาผมแบบนี้คิดอะไรหรือเปล่าอินทนิล” เสียงทุ้มเอ่ยถามเย็นเยียบจนอินทนิลรู้สึกเสียวสันหลังวูบวาบก่อนจะเอ่ยบอกเสียงตะกุกตะกักอย่างหวาดหวั่น

 

“ผ… ผมไม่ได้คิดแบบนั้นเลยนะครับท่าน”

 

อินทนิลก้มหน้างุดอย่างหวั่นเกรงพลางเอ็ดตัวเองในใจที่เผลอไปชื่นชมภรรยาเจ้านายออกนอกหน้าจนทำให้เจ้านายไม่พอใจจนอาจจะทำให้เขาโดนเด้งออกจากงานได้ ที่จริงแล้วตั้งแต่ที่อินทนิลทำงานกับภวินท์มานั้นเขาก็ไม่ค่อยสนิทสนมกับผู้เป็นเจ้านายสักเท่าไรเพราะส่วนใหญ่ภวินท์จะคุยกับเขาแค่เรื่องงานเท่านั้นส่วนเรื่องอื่นๆหรือแม้แต่การพูดคุยเล่นตามประสาเจ้านายลูกน้องก็ไม่มีเลยสักนิด ซึ่งต่างกับตอนที่เขาทำงานกับนทีรินที่อีกฝ่ายปฏิบัติกับเขาเหมือนเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องกันเสียมากกว่าที่จะเป็นเจ้านายและลูกน้อง

 

“ไม่คิดก็เอาอาหารไปจัดมาให้ที จัดสองที่นะ” ภวินท์เห็นสีหน้าหวั่นกลัวของเลขาฯก็เอ่ยบอกด้วยเสียงที่ปกติขึ้น

 

“อ่า.. ครับๆ” อินทนิลเงยหน้าขึ้นก่อนจะรีบกุลีกุจอเอากล่องอาหารในมือของนทีรินไปจัดให้เจ้านายตามคำสั่งทันที

 

เมื่อพ้นร่างของอินทนิลแล้วภวินท์ก็เดินไปจูงมือภรรยาเข้ามานั่งภายในห้องทำงานส่วนตัวของเขาด้วยกันโดยไม่พูดไม่จาอะไรนอกจากแสดงสีหน้าขมวดคิ้วมุ่นเหมือนกำลังไม่พอใจอะไรบางอย่างซึ่งนั่นก็ทำให้นทีรินเกิดอาการงงงวยขึ้นเพราะไทม่ทราบว่าสามีนั้นไปอารมณ์ขุ่นมัวมากจากที่ไหน

 

“คุณภพไปใช้พี่อินทำไมครับ พี่อินกำลังงานยุ่งอยู่นะครับเดี๋ยวผมเอาไปจัดมาให้คุณเองก็ได้”

 

นทีรินเปิดประเด็นพูดก่อนโดยไม่รู้เลยว่ากำลังจุดชนวนอารมณ์ไม่ดีของภวินท์ให้ลุกโชนอีกครา ภวินท์ถอนหายใจยาวก่อนจะโอบเอวบางมาแนบชิดแล้วกอดไว้แน่นเป็นเชิงออดอ้อนซึ่งนทีรินก็ไม่ได้ขัดขืนแต่อย่างใดเพราะกำลังสงสัยว่าอีกฝ่ายเป็นอะไร

 

 “เลิกทำตัวน่ารักใส่คนอื่นได้ไหมครับ” เสียงทุ้มเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงจริงจังแต่ไม่ได้แข็งขืนหรือเยียบเย็นแต่อย่างใด

 

“อ.. อะไรนะครับ” สิ้นคำพูดนั้นนทีรินก็ยิ่งแปลกใจเพราะเขาไม่รู้ตัวเองเลยว่าไปทำตัวน่ารักใส่คนอื่นอย่างที่สามีกล่าวหาตอนไหน

 

“คนอื่นหลงเสน่ห์กันหมดแล้วรู้ไหม”

 

“คุณภพพูดเรื่องอะไรกันครับ” นทีรินกำลังไม่เข้าใจในสิ่งที่สามีพูดก่อนจะหน้าแดงขึ้นมาเมื่อได้ยินประโยคต่อมาของสามี

 

“พี่หึงจะแย่อยู่แล้ว”

 

“ห.. หึงอะไรกันครับ หึงผมกับพี่อินน่ะเหรอ พี่อินเขาไม่ใช่แบบที่คุณภพคิดหรอกนะครับ”

 

นทีรินชี้แจงตามความจริงเพราะเขาและอินทนิลนั้นสนิทสนมกันแบบพี่น้องแล้วอีกอย่างเขาก็ทราบดีว่าอินทนิลเป็นอย่างไร เพราะต่อให้อินทนิลจะหน้าตาดีติดไปทางหวานนิดๆแต่แท้จริงแล้วอินทนิลเป็นผู้ชายที่มีแฟนเป็นผู้หญิงและนทีรินก็เคยพบกับแฟนของอินทนิลแล้วด้วย

 

“จะยังไงก็ช่าง พี่ก็หึงอยู่ดี” ภวินท์เอ่ยบอกก่อนจะกอดภรรยาไว้แน่นจนนทีรินแอบอมยิ้มกับท่าทางของสามีที่ดูแล้วเหมือนเด็กหวงของไม่มีผิด

 

“ไม่ต้องหึงหรอกครับท่านประธาน อ่า.. ผมมีภรรยาแล้วครับ”

 

อินทนิลที่เดินเข้ามาเสิร์ฟอาหารได้ยินสิ่งที่เจ้านายคุยกันพอดิบพอดีก่อนจะชี้แจงความเป็นจริงให้เจ้านายหน้าดุเข้าใจ เพราะว่าเขามีภรรยาแล้วจริงๆและเขากับภรรยาก็แต่งงานกันมาหลายปีแล้วด้วย

 

“งั้นก็แล้วไป” เมื่อได้ยินเช่นนั้นภวินท์ก็รู้สึกโล่งใจไม่น้อยแต่ก็ยังตีหน้าขรึมใส่ลูกน้องอยู่

 

“ผมจะไม่ถูกไล่ออกใช่ไหมครับ”

 

อินทนิลเอ่ยถามเสียงซื่อๆกับเจ้านายจนภวินท์ลอบยิ้มแต่ก็ต้องแสร้งทำหน้าดุๆใส่ไว้ก่อนเป็นการแกล้งที่อินทนิลทำให้เขาหึงภรรยาตัวน้อย

 

“ถ้าไม่รีบไปเคลียร์งานอาจจะโดนก็ได้นะ”

 

“เหวอ.. ไปแล้วครับ”

 

ได้ยินเช่นนั้นอินทนิลก็รีบย้ายร่างตัวเองออกจากห้องทำงานของเจ้านายเพื่อไปทำงานทันที ซึ่งท่าทางเช่นนั้นทำเอาทั้งภวินท์และนทีรินหลุดขำออกมาทั้งคู่

 

“เพิ่งรู้ว่าเลขาฯเก่าของนทนี่ก็กวนเหมือนกันนะ” ภวินท์พูดขึ้นเสียงขำขันเพราะเขาเองก็เพิ่งทราบว่าเลขาฯของตัวเองเป็นเช่นไรก็วันนี้

 

“ก็หัดใส่ใจลูกน้องสักนิดสิครับ ถ้าคุณภพเป็นกันเองกับลูกน้องแบบนี้บ่อยๆ ลูกน้องก็จะยิ่งแสดงความเป็นกันเองให้คุณได้เห็นแบบนี้นั่นแหละ เอาแต่ทำหน้าดุๆแบบนี้ลูกน้องไม่กลัวหัวหดแย่เลยเหรอครับ”

 

นทีรินเอ่ยบอกตามที่เห็นเพราะเวลาที่จากที่เขาสังเกตุตอนที่ภวินท์อยู่กับลูกน้องก็จะทำหน้าดุๆเสียงขรึมๆใส่เป็นประจำเลย เขาทราบว่าภวินท์ต้องรักษาภาพลักษณ์การเป็นท่านประธานแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าการเป็นเจ้านายใหญ่จะต้องเคร่งขรึมกับลูกน้องอยู่เสมอเสียเมื่อไร

 

“ก็พี่ทำหน้าใจดีแบบนทไม่เป็นน่ะสิ”

 

ตามความคิดของภวินท์เขาเองก็ไม่ได้อยากทำหน้าเคร่งขรึมจนทำให้ลูกน้องเกรงกลัวหรอกแต่บางคราเวลาทำงานที่เครียดมากๆใบหน้ามันก็แสดงออกไปเองจนเขาก็ไม่รู้ตัว

 

“เป็นสิครับ ตอนเด็กๆก็ทำออกบ่อยไป”

 

นทีรินเอ่ยบอกเสียงอ้อมแอ้มพลางนึกไปในวันที่เขาพบกับภวินท์เป็นครั้งแรก พี่ชายที่มีรอยยิ้มใจดีที่ช่วยเขาเก็บลูกโป่งในวันนั้นและเพราะความใจดีของภวินท์เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขารักอีกฝ่ายมาตลอด

 

“พี่ทำเป็นแค่กับนทเท่านั้นแหละครับ”

 

ภวินท์เอ่ยบอกภรรยาในอ้อมกอดเสียงนุ่มก่อนที่สายตาคมจะสบเข้ากับสายตาหวานซึ้งอย่างมีความหมายเพราะต้องการสื่อว่าเขามีสายตาแบบนี้ให้กับคนในอ้อมกอดแค่คนเพียงคนเดียวเท่านั้นซึ่งนั่นก็ทำให้นทีรินหน้าเห่อร้อนขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้

 

“ก็.. ก็หัดยิ้มให้มันเยอะๆบ้างสิครับ ทีกับผมคุณยิ้มออกจะบ่อย กับพี่อินก็ลองยิ้มให้บ้างสิครับ”

 

“อินเขาไม่ใช่นทสักหน่อย แล้วอีกอย่างพี่หึงนะครับที่เรียกคนอื่นว่าพี่แต่ไม่ยอมเรียกพี่ว่าพี่บ้างเลย” เสียงทุ้มแกล้งเอ่ยตัดพ้อจนคนในอ้อมกอดอมยิ้มขำจนอยากแกล้งอีกฝ่ายคืนบ้าง

 

“อยากเป็นพี่เหรอครับ… ถ้าคุณภพอยากเป็นพี่ผมจะได้เรียก พี่.. อื้อ!”

 

ผลของการอยากแกล้งอีกฝ่ายไม่เป็นผลเพราะตัวเขากลับเป็นคนโดนกระทำเองเสียแล้วเมื่อริมฝีปากหนาฉกชิมบนริมฝีปากบางก่อนจะกดจูบหนักๆเท่านั้นไม่พอยังคงจู่โจมด้วยการดูดเม้มปากบางอย่างนึกอย่างมันเขี้ยวจนปากบางเริ่มบวมเจ่อความเร่าร้อนของรสจูบที่เริ่มจะแปรเปลี่ยนเป็นความอ่อนละมุนเมื่อปากหนาจูบลงที่มุมปากเล็กเบาๆก่อนจะถอดถอนออก

 

“ไม่อยากเป็นพี่แต่อยากเป็นที่รักครับ”

 

เสียงทุ้มกระเซ่าเอ่ยชิดแก้มนวลที่มีสีแดงพาดริ้วน่ารักทำเอาเจ้าของแก้มนวลทำตัวไม่ถูกได้แต่ก้มหน้างุดซ่อนใบหน้าแดงๆไว้

 

“ผม.. ผมจะกลับแล้วนะครับ คุณภพจะได้ทานข้าวสักที”



คำพูดที่ทั้งเซี้ยวทั้งน่าหมั่นไส้นั้นทำเอานทีรินเขินอายจนแสดงทีท่าตะกุกตะกักไปไม่เป็นและนั่นก็ทำให้ภวินท์หัวเราะในลำคอด้วยความเอ็นดูกับท่าทางแสนน่ารักของภรรยา

 

“จะรีบไปไหนหืม ทานข้าวเป็นเพื่อนพี่ก่อนสิครับ” มือหนาจับข้อมือบางพลางดึงเล็กน้อยให้นทีรินนั่งลงเคียงข้างตามเดิม

 

“ถ้าจะให้ทานเป็นเพื่อน ก็เลิกแกล้งผมได้แล้วครับ” นทีรินหน้ามุ่ยใส่คนขี้แกล้ง

 

“พี่ยังไม่ได้แกล้งอะไรนทเลยนะ” เสียงทุ้มเอ่ยปฏิเสธแต่ดวงตาคมกลับวาววับปากหนายกยิ้มมุมปากเจ้าเล่ห์ทำให้นทีรินยู่ปากใส่งอนๆ

 

“ยิ้มแบบนี้แหละครับที่เรียกว่าแกล้ง”

 

“ยิ้มแบบนี้แปลว่ากำลังมีความสุขต่างหาก”

 

ภวินท์เอ่ยบอกพลางมือหนาวางลงบนกลุ่มผมนิ่มแล้วขยี้เบาๆอย่างนึกเอ็นดูภรรยา นทีรินอมยิ้มก่อนจะจัดอาหารกลางวันให้สามีได้ทานเสียทีเพราะว่าเลยเวลาทานอาหารมาสักพักแล้ว ตลอดการทานอาหารของทั้งคู่ไม่มีวินาทีไหนเลยที่สายตาคมของภวินท์จะละไปจากดวงหน้าหวานของนทีริน การทานอาหารในทุกๆมื้อกับภรรยาไม่ได้ทำให้เขาอิ่มท้องเพียงอย่างเดียวหากแต่ยังรู้สึกอิ่มเอมใจจนเขาอยากให้มีช่วงเวลาแบบนี้ในชีวิตในทุกๆวันไปตลอดกาล…

 

 

***

ต่อข้างล่างค่ะ
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๑๕ (5-6-62) {ต่อ}
เริ่มหัวข้อโดย: yokindy ที่ 05-06-2019 16:12:33
ในบ่ายวันหนึ่ง ณ ทีรูม*ชื่อดังใจกลางกรุงซึ่งเป็นร้านประจำของนทีรินและเพื่อนๆที่ชอบนัดพบปะกันพร้อมจิบชาในยามบ่ายด้วยกัน นทีรินและเพื่อนๆเป็นคนที่หลงใหลในการดื่มชามากกว่ากาแฟซึ่งไม่ว่าจะเป็นชาชนิดใดในที่ใดก็ตามเขาและเพื่อนๆก็มักจะไปลองชิมด้วยกันเสมอๆเฉกเช่นเดียวกับวันนี้ที่ภาณินและเหมือนชนกก็นัดเขาออกมาพูดคุยเล่นกันที่ทีรูมเจ้าประจำที่ภายในร้านมีการตกแต่งสไตล์วินเทจดูน่ารัก บนโต๊ะนอกจากกาต้มชาและถ้วยชาแล้วยังมีขนมหวานอย่างเช่น สโคน มาการอง ทาร์ตผลไม้และแซนด์วิชแซลมอนโรลที่ถูกจัดตกแต่งเสิร์ฟให้ทานคู่กับชาร้อนกลิ่นหอมๆอีกด้วย

 

นทีรินและเพื่อนพูดคุยแลกเปลี่ยนเรื่องราวต่างๆกันไปเรื่อยๆอย่างสนุกสนานแต่หากจะสนุกกว่านี้หากบนสมาร์ทโฟนของนทีรินไม่ได้มีสิ่งผิดปกติแจ้งเตือนขึ้นมา

 

Pepper.official tagged you in photo
 

มือบางหยิบสมาร์ทโฟนเครื่องหรูของตัวเองขึ้นมาก่อนจะกดเข้าแอพพลิเคชั่นยอดนิยมอย่างอินสตาแกรมของตัวเองเมื่อมีแอคเคาต์ของใครสักคนแท็กรูปเขามา และเมื่อกดเข้าไปดูใจดวงน้อยก็กระตุกวูบพร้อมใบหน้าหวานที่หม่นแสงลงเมื่อมองไปที่รูปที่ถูกแท็กมานั้นเป็นรูปของผู้ชายหน้าหวานคนหนึ่งที่เคียงข้างนั้นมีสามีของเขาในภาพนั้นด้วยและใต้รูปภาพนั้นถูกเขียนว่า ‘Long time no see but always miss you ♥’ ท่าทางสนิทสนมของทั้งคู่ทำให้นทีรินรู้สึกวูบโหวงในใจอย่างบอกไม่ถูก

 

Pepper.official >> ขอโทษนะครับ แท็กผิด เดี๋ยวลบให้นะครับ J
 

ข้อความจากไดเร็กเมสเสจที่ถูกส่งมาหลังจากถูกแท็กภาพได้ไม่นานนั้นทำให้นทีรินรู้สึกไม่พอใจ เขาไม่ชอบเลยสักนิดที่คนของภวินท์เริ่มล้ำเส้นความเป็นส่วนตัวของเขาเช่นนี้ ทั้งๆที่ไม่ได้รู้จักกันแต่เขารู้ดีว่าเด็กคนนี้ก็จงใจที่จะแท็กรูปมาให้เขาเห็น ความรู้สึกดีๆที่มีต่อคนเป็นสามีในหลายวันผ่านมานี้มันได้มลายลงอย่างง่ายดาย

 

“นท เป็นอะไรเหรอ” ภาณินเปิดประเด็นถามขึ้นเมื่อเห็นท่าทีแปลกๆของเพื่อนรักที่เมื่อสักครู่ยังดีๆอยู่เลย

 

“…”

 

นทีรินนิ่งเงียบไม่ตอบอะไรไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากเล่าอะไรเพียงแต่ตอนนี้เขายังไม่มีอารมณ์ที่จะพูดอะไรออกมาทั้งนั้นความเจ็บหน่วงในใจมันตีขึ้นอกจนทำให้เขาพูดอะไรแทบไม่ออกเมื่อรู้ว่าสามีและผู้ชายคนนั้นยังมีความสัมพันธ์ต่อกัน นทีรินกำสมาร์ทโฟนเครื่องหรูของตัวเองแน่นจนมือแดงไปหมด เหมือนชนกอดห่วงไม่ไหวจึงถือวิสาสะหยิบสมาร์ทโฟนเครื่องหรูของเพื่อนมาดูให้รู้แล้วรู้รอดก่อนจะเริ่มแสดงความไม่พอใจขึ้นเช่นเดียวกัน

 

“เฮ้ย! นี่มันเป็ปเปอร์ดาราวัยรุ่นซีรี่ย์ชื่อดังใช่ไหม”

 

“คนนี้ที่เคยเป็นข่าวกับพี่ภพไม่ใช่เหรอ”

 

“ทำแบบนี้หมายความว่ายังไงกันน่ะ นายดารานั่นจงใจแท็กนทมาชัดๆ คงกำลังจะอวดน่ะสิว่าตัวเองอยู่กับพี่ภพน่ะ ร้ายที่สุดเลย!”

 

ภาณินเริ่มโมโหเมื่อรู้ว่าอะไรเป็นอะไร เขาเจ็บใจแทนเพื่อนที่จู่ๆก็โดนเด็กไม่รู้ความทำตัวกร่างประกาศศึกกับเพื่อนรักของเขาด้วยนิสัยที่เด็กๆ มือบางของเขาเลื่อนไปที่รูปที่ถูกแท็กมาก่อนจะไล่ลงอ่านคอมเมนต์ต่างๆที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ไปในแง่ต่างๆ แต่ที่เป็นประเด็นมากที่สุดก็คงจะเป็นประเด็นที่ว่าภวินท์และเด็กเป็ปเปอร์นั้นมีความสัมพันธ์ลับๆต่อกันและที่รุนแรงไปกว่านั้นคือมีการต่อว่ากระทบกระเทียบมายังนทีรินว่าโดนสวมเขา

 

“คอมเมนต์มีแต่แย่ๆทั้งนั้นเลย”

 

เหมือนชนกขมวดคิ้วมุ่นไม่พอใจกับการสร้างกระแสของดาราวัยรุ่นคนนั้นที่ดูก็รู้ว่าจงใจสร้างเรื่องขึ้นมาเพื่อให้เพื่อนของเขาโดนด่า

 

“ช่างเถอะเหมือน นิน นทไม่แคร์หรอก”

 

นทีรินถอนหายใจยาวเพราะเขาเหนื่อย เหนื่อยเหลือเกิน เขาเหนื่อยที่จะต้องกลับมาในวังวนเดิมๆที่ต้องถูกตราหน้าว่าโดนสามีสวมเขาเสียแล้ว เขาเจ็บปวดจนแทบจะทนไม่ไหวแล้ว

 

“ไม่แคร์ได้ไงกันนท ทำแบบนี้มันมากเกินไปแล้วนะ” ภาณินโวยขึ้นอย่างไม่ยอมแพ้

 

“ใช่ๆ นี่คงต้องการจะเปิดศึกกับนทเสียเต็มประดาสินะ ดีเอ็มไปด่าเลยดีไหมนิน” เหมือนชนกเองก็ไม่ยอมเช่นเดียวกันเขาอยากจะสั่งสอนดาราเด็กคนนั้นให้หลาบจำว่าไม่ควรเปิดศึกกับเพื่อนรักของเขา

 

 “อย่าทำแบบนั้นเลยนะทุกคน.. นทขอร้องล่ะ”

 

นทีรินขอร้องเว้าวอนเพื่อนรักทั้งสอง ไม่ใช่ว่าเขาไม่โกรธแต่เขาไม่อยากเอาตัวเองและเพื่อนๆไปเกลือกกลั้วกับคนที่มีความคิดและการกระทำที่ต่ำเพราะมันจะยิ่งทำให้ชีวิตตกต่ำตามลงไปซึ่งนทีรินไม่ต้องการให้เป็นแบบนั้น

 

“แต่ว่าเด็กบ้านั่นทำตัวไม่มีมารยาทกับนทนะ มีอย่างที่ไหนถ่ายรูปกับสามีคนอื่นแล้วแท็กภรรยาเขามาแบบนี้ นี่มันสันดารเมียน้อยชอบแย่งสามีชาวบ้านชัดๆ”

 

ภาณินยังคงไม่ยอมเพราะเขาทนไม่ได้หรอกที่ต้องเห็นเพื่อนรักถูกรังแกอยู่ฝ่ายเดียวต่อให้นายดารานั่นจะมีฐานแฟนคลับมากมายเพียงใดเขาก็ไม่กลัวเพราะตัวเขา นทีรินและเหมือนชนกก็เป็นเซเลบริตี้ของวงการไฮโซฯที่มีฐานคนติดตามไม่น้อยอยู่เหมือนกัน

 

“นิน… พอก่อนๆ นทเครียดหมดแล้ว” เหมือนชนกปรามเพื่อนรักที่ดูอารมณ์ขึ้นยิ่งกว่านทีรินเสียอีก

 

“ขอโทษนะนท อารมณ์มันพาไปอ่ะ”

 

ภาณินเอ่ยบอกเพื่อนรักด้วยเสียงอ่อยๆเพราะเห็นสีหน้าเป็นกังวลของเพื่อนรักภาณินก็พยายามดับไฟในอารมณ์ของตัวเองให้เย็นลงเพราะเขาไม่อยากทำให้นทีรินเกิดความกังวลและเครียดไปมากกว่านี้แล้ว

 

“แล้วนทจะไม่ทำอะไรจริงๆเหรอ” เหมือนชนกถามย้ำอีกคราและก็ได้รับคำตอบแบบเดิมในทุกๆครั้ง

 

“ไม่ทำอะไรทั้งนั้น นทเคยเฉยยังไงก็จะเฉยอย่างนั้นเหมือนเดิม”

 

นทีรินเอ่ยบอกเสียงหนักแน่นและไม่เคยหนักแน่นถึงเพียงนี้มาก่อน หัวใจของเขามันถูกทำให้บอบช้ำมามากมายหลายครั้งถึงแม้จะยังไม่ชินชากับมันแต่ในวันนี้เขารู้แล้วว่าเขาควรจะชินกับมันเสียที

 

“นทต้องคุยกับพี่ภพนะ เด็กนั่นกำลังปั่นกระแสให้นทกับพี่ภพแตกคอกันนะ” ภาณินเอ่ยบอกเพราะเขาเชื่อเหลือเกินว่าเป็ปเปอร์จงใจจะยั่วยุให้เพื่อนรักของเขากับภวินท์แตกคอกัน

 

“มันก็ไม่ได้ดีมาตั้งแต่แรกแล้วนี่ ไม่ต้องทำอะไรหรอกนิน”

 

เสียงที่เปล่งออกมาอย่างปลงๆของนทีรินมันช่างเบาหวิวจนแทบไม่ได้ยินราวกับว่าคนที่พูดนั้นหมดแรงที่จะพูดแล้วยิ่งเป็นแบบนั้นทั้งภาณินและเหมือนชนกก็ยิ่งเป็นห่วงเพื่อนรักไม่น้อยเลย

 

“แต่นทกับพี่ภพกำลังดีกันอยู่ไม่ใช่เหรอ”

 

เหมือนชนกรีบแทรกขึ้นมาทันควันเพราะตอนนี้ทั้งเขาและภาณินต่างทราบดีว่าเพื่อนรักของเขาและภวินท์นั้นกำลังปรับความเข้าใจและอยู่ในความสัมพันธ์ที่เริ่มดีขึ้นแล้วแต่ก็ดันมามีมารมาผจญเสียได้

 

“ไม่หรอก ไม่มีอะไรทั้งนั้น นทกับคุณภพยังเหมือนเดิมคือยังไงเราก็ต้องหย่าขาดจากกัน เพราะฉะนั้นเรื่องนี้มันเล็กน้อยมาก มากกว่านี้นทก็เจอมาแล้ว นทไม่อยากคิดหรือทำอะไรไปมากกว่านี้อีกแล้ว…”

 

นทีรินเอ่ยบอกเสียงเรียบนิ่งด้วยความรู้สึกที่มันผสมปนเปกันไปหมดทั้งโกรธทั้งเสียใจทั้งผิดหวัง เขาโกรธตัวเองที่ไปหลงหวั่นไหวเผลอไผลไปกับภวินท์ตั้งหลายครั้งหลายครา หลงเชื่อคำพูดแสนหวานที่ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเคยพูดกับใครมาแล้วบ้าง เขาไม่ควรคาดหวังอะไรจากภวินท์อีกต่อไปแล้ว นทีรินได้บอกตัวเองว่าเขาควรพอได้แล้วเพราะเขาเจ็บเกินที่จะทนเสียแล้วและในสักวันหนึ่งเขาหวังว่าเขาจะหายเจ็บจากบาดแผลในหัวใจนี้ได้ในสักวันหนึ่ง

 

 

 

“…นทพอแล้วจริงๆ”

 

 
To be continue
_________________________________________________________________________________________________



TALK WITH WRITER :: ขออภัยรีดเดอร์ทุกคนค่ะ ไรท์หายไปนานเหลือเกินเพราะเพิ่งกลับจากตปท.ได้ไม่กี่วันนี้เองค่ะ มีใครลืมพี่ภพน้องนทกันหรือยังคะ? 5555555555555 อย่าเพิ่งลืมกันน้าา สำหรับตอนนี้ก็ยังสงสารน้องนทของเราเช่นเคย แง... น้อนโดนรังแกอีกแล้ว มีใครอยากทุบพี่ภพเพราะหมั่นไส้ไหมคะเม้นบอกเราหน่อยน้าา เราจะได้ให้พี่ภพทำตัวเป็นเด็กดีกับน้อง 555555555555

เจอกันตอนหน้าค่า :)


* ทีรูม หรือ Tea room = เป็นคำที่ใช้เรียกร้านขายชาในรูปแบบต่างๆมีลักษณะเหมือนกับค็อฟฟี่ช็อป เพียงแต่ทีรูมจะนิยมเสิร์ฟชาคู่กับเซตอาหารว่างหรือขนมหวานเป็นส่วนใหญ่ซึ่งต่างกับค็อฟฟี่ช็อปตรงที่นิยมเสิร์ฟกาแฟและอาหารว่าง นิยมมากในประเทศอังกฤษเพราะคนอังกฤษนิยมจิบชายามบ่าย (afternoon tea) กันเป็นประจำอยู่แล้ว
 

หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๑๕ (5-6-62)
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 05-06-2019 16:40:23
ไม่ทุบแต่ขอต่อยหน้าที โมโหอ่ะ
แล้วเด็กนรกเปปเปอร์ ก้เลวมากก
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๑๕ (5-6-62)
เริ่มหัวข้อโดย: BABYBB ที่ 05-06-2019 20:00:00
เฮ้ออออ ภวินท์ต้องจัดการ ต้องเคลียร์ทุกอย่างให้จบ จะให้น้องเสียใจแบบนี้ไม่ได้!!!!!!!!!!!
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๑๕ (5-6-62)
เริ่มหัวข้อโดย: kungverrycool ที่ 05-06-2019 21:46:54
เซนต์ใบหย่า เจอะแบบนี้ ต้องเซนต์ใบหย่า 5555
 :m16:
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๑๕ (5-6-62)
เริ่มหัวข้อโดย: sailom_orn ที่ 05-06-2019 22:35:03
ภวินท์จะ้ไม๋ว่าน้องกำลังตัดสินใจจะทิ้งตัวนะตัวแล้วนะ  :hao4: :hao4:
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๑๕ (5-6-62)
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 05-06-2019 23:17:56
 :z3:
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๑๕ (5-6-62)
เริ่มหัวข้อโดย: muiko ที่ 05-06-2019 23:44:48
ไม่อยากให้จัดการอะไรพี่ภพทั้งนั้นเลย
อ่านมานี่น้ำตาไหล สงสารนทจริงๆ
พี่ภพนี่แบบ ทำให้คนมองนทเป็นควายอ่ะ
โดนสามีสวมเขา ไม่รู้นะที่ไปเจอเด็กนั่นเพราะอะไร
แต่ถ้าไม่คิดจะใส่ใจความรู้สึกกัน ไม่ให้เกียรติ ไม่แคร์กันแบบนี้
ก็แค่หย่ากันให้จบๆ โดยเร็วก็พอ #คืนอิสะให้นทนะ
แล้วอย่ามาเรียกร้องหน้าที่ภรรยาที่ดีจากนทอีก เพราะพี่ภพเองก็ไม่เคยทำหน้าที่สามี ที่ดีเลยซักครั้ง มาตลอด8ปี
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๑๕ (5-6-62)
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 05-06-2019 23:46:11
 :sad4: :o12: :sad4:
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๑๕ (5-6-62)
เริ่มหัวข้อโดย: Funnycoco ที่ 06-06-2019 01:06:14
อิคุณภพควรเคลียร์ตัวเองและอธิบายให้น้องฟังได้แล้วนะ
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๑๕ (5-6-62)
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 06-06-2019 02:09:06
พอแล้วจริงๆตามที่พูดตามที่ใจคิดซักทีเถอะนท เย็นชาอย่างร้ายกาจใส่จนกว่าจะหย่าไป นททำได้อยู่แล้ว //เพื่อนสองคนนี้ก็แบบ.... เห็นด้วยนะที่นทนิ่งเฉยไม่ดิ้นตาม มันก็ใช่ก็รู้ว่าเด็กคนนั้นมีเจตนา แต่ว่านะ ตบมือข้างเดียวไม่ดังไง ถ้าไม่ก่อเรื่องไว้มันจะเกิดได้ไหม ก็ต้องโทษที่คุณภพก่อนเลยสิ //ชอบความรู้สึกที่เวลานทคิดได้ว่าโกรธตัวเองที่หลงเผลอไปกับคำหวาน เขาพูดนิดหน่อยก็อ่อนแล้ว คือยังคิดได้ยังรู้ตัวไง แบบหมั่นไส้พี่ภพอ่ะ อะไรๆก็ยังไม่เคลียร์ให้ชัดเจนเป็นรูปธรรม แล้วมาทำรุ่มร่ามกับนท 8 ปีที่หายแล้วยังมีคนมาวอแวแบบนี้อีก เอาเลยนท พอเลย พอแล้ว ให้เขารู้สึกหนาวๆร้อนๆรนๆบ้าง สาสมกว่านี้ หึหึ!! 555555 อ๊ายยยยยสนุกกกกก ชอบบบบบ เออคิดถึงอยู่พอดีเลย เกือบจะลืมไปแล้ว 5555 ขอบคุณนะคะที่มาต่อ รอตอนต่อไปเล้ย นทจะทำไงบ้าง หึ!
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๑๕ (5-6-62)
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 06-06-2019 08:21:02
สงสารน้อง น้องก็ช่างอดทนจริงเป็นพี่นี่เอาคืนให้แสบสันต์เลย
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๑๕ (5-6-62)
เริ่มหัวข้อโดย: SoSweetCB ที่ 08-06-2019 02:17:00
ตอนนี้จะว่าสงสารน้องอยู่ก็ใช่ แต่แอบรำคาญน้องนิดๆ นะคะ 55555 คือเข้าใจว่าน้องยังรู้สึกไม่มั่นคงในตัวพี่เพราะพี่เพิ่งดีกับน้องเองอ่ะ แต่น้องคิดจะเฉย ไม่พูดไม่คุยให้เข้าใจกันเลย น้องก็จะไม่มีวันรู้ว่าจริงๆ แล้วเรื่องมันเป็นยังไง เพราะเราก็อยากรู้เหมือนกัน 55555 รอตอนต่อไปนะคะ


Sent from my iPhone using Tapatalk
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๑๖ (14-6-62)
เริ่มหัวข้อโดย: yokindy ที่ 14-06-2019 01:37:55
บทที่ ๑๖



ใบหน้านวลราวกับผู้หญิงและดวงตาหวานซึ้งที่ใครหลายๆ คนต่างชื่นชมว่าสวยงามราวกับอัญมณีที่มีค่ามหาศาลบัดนี้ได้มีน้ำใสๆ เอ่อคลออยู่ทั้งๆ ที่เจ้าของดวงตาคู่นั้นพยายามที่จะกลัดกลั้นมันไว้ไม่ให้ไหลแล้วแท้ๆ แต่ดูเหมือนน้ำใสๆ นั้นมันยังคงทรยศและไม่เชื่อฟังตามที่สมองเขาสั่งเลยแม้แต่น้อย นทีรินสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เพื่อกลืนก้อนสะอื้นลงคอไปอย่างลำบากเมื่อรถยนต์คันหรูได้ทะยานมาถึงคฤหาสน์กิจจานนท์สถานที่ที่ตอนนี้เขาไม่อยากแม้แต่จะกลับมา ไม่อยากกลับมาเพื่อจะเจอหน้าคนที่ทำให้เขาเสียใจซ้ำแล้วซ้ำเล่าแต่หากพลันนึกไปถึงชายชราผู้มีพระคุณของตัวเองแล้วนั้นเขาก็หลีกเลี่ยงที่จะไม่กลับมาไม่ได้ เขาทิ้งเจ้าสัวพีระไม่ได้เพราะเขาเป็นตัวแทนของคุณปู่ที่จะต้องทำหน้าที่ดูแลผู้มีพระคุณที่จะเหลือชีวิตอยู่กับเขาไม่มากแล้ว



นทีรินเดินลงรถด้วยท่าทีเรียบนิ่ง พี่นวลเดินมารับเขาอย่างเช่นเคย เขายิ้มบางให้อย่างฝืนๆ เพราะเขาไม่อยากไม่อยากร้องไห้ต่อหน้าใครๆ และแสดงความอ่อนแอให้ใครต่อใครได้รับรู้ แต่อาการแปลกๆ ของเขาก็ไม่ได้รอดพ้นสายตาของพี่นวลและเมื่อพี่เลี้ยงคนสนิทเอ่ยถามอย่างห่วงใยเขาก็ได้แค่ตอบไปว่ารู้สึกไม่สบายนิดหน่อยเท่านั้นเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายเป็นห่วงเขาไปมากกว่านี้



พี่นวลปล่อยให้คุณหนูของตัวเองเดินขึ้นไปพักผ่อนด้านบน ร่างบางพยายามพาร่างตัวเองขึ้นบันไดไปอย่างหมดแรงเขาเองก็เพิ่งรู้ว่าอาการเจ็บปวดที่หัวใจนั้นมันจะส่งผลต่อร่างกายให้หมดแรงได้ขนาดนี้



“นท.. ทำไมไม่กลับมาทานข้าวด้วยกัน”



เสียงทุ้มคุ้นเคยดังขึ้นแต่นทีรินกลับไม่หันไปมองคนถามเลยแม้แต่น้อยเพราะในตอนนี้แม้แต่ใบหน้าของอีกฝ่ายเขาก็ไม่อยากจะพบเจอไม่อยากจะพูดคุยอะไรด้วยทั้งนั้น



“ผมนัดทานกับเพื่อนๆ ครับ”



เสียงหวานเอ่ยตอบนิ่งๆ พลางเดินไปทางห้องนอนตัวเองให้เร็วที่สุดแต่ก็ยังมิวายได้ยินเสียงฝีเท้าของอีกคนตามมาไม่ห่างเช่นกัน



“แล้วทำไมกลับดึกครับ”



ภวินท์เอ่ยถามต่อด้วยความห่วงใยเพราะที่จริงแล้วเขาตั้งใจอย่างจดจ่อเพื่อรออีกฝ่ายกลับมาทานอาหารค่ำด้วยกันแต่รอจนแล้วจนเล่าก็ต้องเลิกรอเพราะพี่นวลแจ้งว่าคุณหนูของเธอจะทานอาหารมาจากข้างนอกและอาจจะกลับดึกนิดหน่อยเขาจึงได้ทานอาหารกับอากงไปก่อนแล้วแต่กระนั้นเมื่อเขาเห็นร่างบางกลับมาถึงก็อดที่จะถามอีกฝ่ายไม่ได้เพราะนี่มันก็เป็นเวลาสี่ทุ่มกว่าๆ แล้ว



“ผมจะไปไหนมาไหนหรือกลับกี่โมงจำเป็นต้องรายงานคุณภพด้วยเหรอครับ”



นทีรินหันมาตอบพร้อมตวัดสายตาที่สื่อถึงความรำคาญจนภวินท์ผิดสังเกตเพราะดวงตาหวานที่มีแต่ความเรียบนิ่งและเมินเฉยเช่นนั้นมันทำให้เขาสงสัยไม่น้อยเลยว่าอีกฝ่ายไม่พอใจอะไรในตัวเขาหรือเปล่า



“ที่พี่ถามเพราะพี่เป็นห่วง”



แม้จะกำลังไม่เข้าใจว่าภรรยาเป็นอะไรแต่เขาก็แสดงความห่วงใยออกไปให้อีกฝ่ายรับรู้เพราะว่าเขาเป็นห่วงนทีรินจริงๆ แต่คำตอบของอีกฝ่ายที่ตอบกลับมากลับทำให้เขายิ่งไม่เข้าใจไปกันใหญ่ว่าอีกฝ่ายกำลังไม่พอใจเขาด้วยเรื่องอะไรเพราะเขามั่นใจและแน่ใจนักว่าไม่ได้ทำอะไรผิด



“ไม่จำเป็นครับ ผมไม่ต้องการ”



ใช่ เขาไม่ต้องการความห่วงใยแสนจอมปลอมของอีกฝ่ายที่ไม่รู้ว่าความห่วงใยนี้ได้ถูกเผื่อแผ่ไปที่ใครบ้าง คำพูดสวยหรูหวานหูของภวินท์อาจจะกินใจใครหลายๆ คนหากมาได้ยินแต่ไม่ใช่กับเขาอีกต่อไปแล้ว มือบางที่กำลังจะเปิดประตูเข้าห้องนอนของตัวเองแต่ร่างสูงกลับไม่ยอมแพ้เดินไปขวางทางเข้าไว้ก่อน



“เดี๋ยวนท..”



“ถอยไปครับ ผมจะเข้าห้อง”



นทีรินวางท่าเรียบนิ่งทว่าภายในใจนั้นเริ่มมีอารมณ์คุกรุ่นขึ้นมาเมื่อภวินท์เซ้าซี้เขาไม่เลิก ถึงอย่างไรวันนี้เขาก็ไม่พร้อมที่จะเจอหน้าหรือพูดคุยกับอีกฝ่าย



“เป็นอะไรหรือเปล่า”



ภวินท์ยังคงถ่ายทอดความสงสัยผ่านดวงตาคมที่ส่งไปให้ภรรยาที่ตอนนี้อยู่ในอารมณ์ใดเขาเองก็เดาไม่ได้ รู้เพียงอย่างเดียวคือนทีรินโกรธเขาแน่ๆ แต่ที่ไม่แน่ก็คือเขาไม่รู้เรื่องเลยสักนิดว่ามันคือเรื่องอะไร



“ไม่เป็นอะไรทั้งนั้นครับ ผมจะเข้าห้อง กรุณาหลีกทางด้วยครับคุณภพ”



คำปฏิเสธและคำพูดที่หลีกเลี่ยงแบบนั้นมันช่างขัดแย้งกับการกระทำของอีกฝ่ายเสียเหลือเกินจนภวินท์เองก็เริ่มมีอารมณ์ที่คุกรุ่นขึ้นมาเช่นเดียวกันเพราะเขาไม่เข้าใจว่านทีรินกำลังเป็นอะไรและโกรธเขาด้วยเรื่องอะไร



“นทเป็นอะไรครับ บอกพี่มาสิ”



ภวินท์ไม่ยอมแพ้หากวันนี้เขาคุยกับอีกฝ่ายไม่รู้เรื่องเขาก็คงนอนไม่หลับเป็นแน่ ทางที่ดีเขาอยากเคลียร์ให้รู้เรื่องกันไปเลยดีกว่ามาทำปั้นปึ่งใส่กันแบบนี้



“ไม่เป็นอะไรทั้งนั้นครับ หลีกทางให้ผมเดี๋ยวนี้!”



นทีรินขึ้นเสียงใส่อย่างไม่ยอมเช่นเดียวกันแต่ทว่าใบหน้านวลไม่ได้ฉายเพียงความกรุ่นโกรธแต่หากยังมีความเหนื่อยอ่อนออกมาให้เห็นอย่างชัดเจนซึ่งนั่นก็ยิ่งเพิ่มความสงสัยและไม่เข้าใจให้ภวินท์เพิ่มไปอีกจนเขารู้สึกเป็นห่วงขึ้นมา



“ถ้าวันนี้เราคุยกันไม่รู้เรื่อง พี่ก็ให้นทเข้าห้องไม่ได้”



“อย่ามาออกคำสั่งกับผมนะครับ คุณไม่มีสิทธิ์ อ๊ะ!”



นทีรินร้องขึ้นอย่างตกใจเมื่อร่างสูงของคนเป็นสามีช้อนตัวเขาขึ้นไว้แนบอกก่อนจะรีบเดินไปทางห้องนอนของอีกฝ่าย ความตกใจปนความโกรธเคืองส่งผลให้นทีรินดิ้นขลุกขลักในอ้อมแขนแกร่งพลางใช้มือทุบตีไปที่ร่างหนาของอีกฝ่ายโดยไม่มีการยั้งมือ



“ปล่อยนะคุณภพ! ผมบอกให้ปล่อยเดี๋ยวนี้! คุณไม่มีสิทธิ์มาทำกับผมแบบนี้!”



ภวินท์ไม่สนใจเสียงโวยวายและแรงทุบตีจากอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย ร่างสูงพาร่างบางมาถึงในห้องนอนส่วนตัวของเขาก่อนจะวางร่างบอบบางลงก่อนจะรีบหันไปล็อกประตูอย่างแน่นหนาเพื่อไม่ให้ใครเข้ามารบกวนได้เพราะตอนนี้เขาต้องการเคลียร์กับนทีรินให้รู้เรื่องว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับอีกฝ่ายกันแน่และที่มากไปกว่านั้นคือเขาไม่ชอบใจเลยสักนิดเมื่ออีกฝ่ายเอ่ยคำว่าไม่มีสิทธิ์ออกมา



“ไม่มีสิทธิ์งั้นเหรอ หึ! ถ้าผัวไม่มีสิทธิ์ในตัวของเมีย แล้วใครที่ไหนจะมีสิทธิ์อีก”



เขามีสิทธิ์ในตัวของนทีรินเพียงคนเดียวเท่านั้น นั่นคือสิ่งที่ภวินท์คิดในใจมาตลอดและมันจะเป็นเช่นนั้นตลอดไป



“อย่ามาอ้างสิทธิ์ที่คุณกำลังจะไม่มีเลยนะครับ ผมกับคุณกำลังจะหย่ากันเพราะฉะนั้นเลิกอ้างสิทธิ์ของคุณเสียที คุณอยากจะไปใช้สิทธิ์การเป็นสามีกับใครก็เชิญ แต่ไม่ใช่กับผม!”



นทีรินสวนกลับทันควันด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว บอกตามตรงว่าจากที่เขากำลังโกรธภวินท์เป็นทุนเดิมอยู่แล้วในตอนนี้มันยิ่งทวีคูณหลังจากคำพูดแสดงความเป็นเจ้าของของอีกฝ่ายที่ได้ตอบกลับมา



“ถ้าไม่ให้พี่ใช้สิทธิ์กับเมียที่ถูกต้องตามกฎหมายของตัวเองจะไปใช้กับใครกัน พี่ต้องใช้กับนทเพราะนทเป็นเมียพี่ ได้ยินไหม!”



“เมียที่คุณไม่เคยให้เกียรติน่ะเหรอครับ คุณไม่รู้สึกกระดากปากบ้างเหรอเวลาที่พูดมันออกมา ต่อให้คุณจะบอกว่าผมเป็นเมียของคุณกี่ร้อยกี่พันครั้ง แต่สำหรับผมคุณไม่ใช่สามีของผม ทะเบียนสมรสที่คุณอ้างสิทธิ์มันก็แค่กระดาษใบหนึ่งที่ผมตวัดลายเซ็นลงไปเท่านั้… อื้อ!”



คำพูดแสนเกรี้ยวกราดทั้งหมดถูกระงับลงเมื่อกลีบปากบางถูกจู่โจมอย่างไม่ทันตั้งตัวมือหนาเกี่ยวเอวบางเข้ามาแนบชิดส่วนอีกมือหนึ่งนั้นจับคางมนไว้แน่นเพื่อไม่ให้ขยับหนีได้อีก ริมฝีปากหนาบดขยี้ไปยังปากบางสวยอย่างรุนแรงราวกับต้องการลงโทษที่ปากบางนั้นขยับพูดถ้อยคำที่กระตุกต่อมโมโหของเขาได้ง่ายๆ



“คุณภพ อึก.. ปล่อย อื้อ… หยุดนะ!”



มือบางทุบตีเข้าที่ร่างกายของสามีอย่างไม่ยั้งมือและพยายามดันร่างหนาของสามีให้ออกห่างแต่ไม่เป็นผลเมื่อมือหนาเกี่ยวเอวเขาไว้แน่น ปากหนาที่ประกบแน่นกับปากของเขามันช่างรุนแรง ดุดันและหยาบโลนจนนทีรินรู้สึกเจ็บจนตัวสั่นเทา



“ไม่หยุด! ถ้าวันนี้เราคุยกันไม่รู้เรื่อง พี่จะไม่หยุดอะไรทั้งนั้น”



เสียงทุ้มตวาดกร้าวดุดันราวฟ้าผ่าฟาดมากลางใจของร่างบางในอ้อมแขนและต้องรู้สึกตื่นตระหนกอีกคราเมื่อมือหนาช้อนตัวเขาขึ้นแนบอกแน่น



“คุณจะทำอะไร ปล่อยผมเดี๋ยวนี้!”



คนในอ้อมแขนแกร่งดิ้นขลุกขลักขณะที่ร่างสูงพาเขามายังเตียงขนาดคิงไซส์อันคุ้นเคย ร่างสูงวางร่างบอบบางของภรรยาลงบนเตียงก่อนจะล้มตัวลงทาบทับก่อนจะใช้มือตรึงข้อมือบางของอีกฝ่ายไว้เพื่อไม่ให้ร่างบางหนีไปไหนได้อีก



ยังไงวันนี้เขาต้องคุยกับนทีรินให้รู้เรื่องเท่านั้น เขาจะไม่ยอมให้อีกฝ่ายมาทำเมินเฉยใส่เขาอีกต่อไปแล้ว



“ก็ทำในสิ่งที่พี่มีสิทธิ์ที่จะทำมาตั้งนานแล้วแต่ยังไม่ได้ทำน่ะสิ!”



สิ้นคำพูดนั้นภวินท์ก็ระดมจูบที่ปากบางและซอกคอขาวนวลนั้นอย่างไม่ปรานี ปากหนาดูดเม้มเนื้อขาวนวลจนเกิดรอยแดงจางๆ ขึ้น นทีรินดิ้นขลุกขลักไปมาเพื่อหาทางหนีเพราะเขาเริ่มหวาดกลัวกับการกระทำของคนเป็นสามีแต่ยิ่งต่อต้านเขาก็ยิ่งไร้เรี่ยวแรงที่จะขัดขืนเนื่องจากพลังในร่างกายที่เหนื่อยสะสมมานานบวกกับกายสภาพที่ต่างกันโดยสิ้นเชิงทำให้เขาสู้แรงของอีกฝ่ายไม่ได้เลยแม้แต่นิดเดียว



“คุณภพ! อื้อ..”



ร่างบางเม้มปากแน่นเพื่อไม่ให้คนเป็นสามีรุกล้ำเข้ามาได้แต่ก็ไม่เป็นผลเมื่อปากหนาไล่งับขบเม้มริมฝีปากบางเสียจนเริ่มบวมเจ่อ จากความดุดันเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นความอ่อนโยนทีละนิดแต่ยังคงความเร่าร้อนไว้ในทีเดียวกัน ลิ้นร้อนพยายามเปิดปากบางเพื่อรุกล้ำเข้าไปทักทายลิ้นอุ่นชื้นด้านในได้จนสำเร็จ รสหวานในโพรงปากนุ่มทำให้ภวินท์เริ่มผ่อนคลายอารมณ์ที่คุกรุ่นภายในใจ ลิ้นร้อนไล่เล็มไปทั่วโพรงปากแสนหวานราวน้ำผึ้งดูดกลืนความหวานนั้นจนไม่เหลือสักหยาดหยด แม้แต่ที่น้ำหวานใสไหลมาติดมุมปากเล็กเขาก็ไล้ริมฝีปากตามมาดูดซับจนไม่เหลือราวเสียดายความหวานนั้นก่อนจะค่อยๆ ไล้ริมฝีปากมาหยุดที่ซอกคอหอมกรุ่นพลางกดจูบลงไปเบาๆ อย่างอ่อนโยนจนร่างบางครางฮือ



“อื้อ… พี่ภพ... ปล่อยนทเถอะนะครับ ได้โปรด..”



เสียงครางหวานหูพร้อมคำพูดแสนอ้อนวอนเช่นนั้นกระเซ่าดังขึ้นไม่สามารถทำให้ภวินท์หยุดการกระทำได้แต่อย่างใดแต่กลับจุดไฟสวาทในอารมณ์ให้ลุกโชนไปอีก ดวงตาหวานคลอไปด้วยน้ำตากลีบปากนุ่มบวมเจ่อเช่นนั้นยิ่งทำให้ภวินท์หยุดไม่ได้ สายตาคมสบดวงตาหวานก่อนจะประกบจูบไปที่ปากบางอีกคราราวกับโหยหาความหวานล้ำมานานแสนนาน

ร่างบางในอ้อมกอดเมื่อได้รับความอ่อนโยนก็เผลอไผลไปกับความหวานนั้นอย่างห้ามไม่อยู่ราวกับว่าเขาเองก็โหยหาความหวานนี้มานานแสนนานเช่นเดียวกัน



นทีรินสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อมือหนาสอดเข้ามาในเสื้อเชิ้ตสีฟ้าพาสเทลตัวบางของเขาก่อนจะลูบไล้ไปทั่วร่างเลยขึ้นมายังหน้าอกบางที่มีจุดสีชมพูที่เป็นจุดหวามไหวอยู่ นิ้วใหญ่บดบี้ตุ่มสีหวานทั้งสองข้างจนแข็งเป็นไตจนร่างบางครางลั่นด้วยความเสียวซ่านราวกับหลงอยู่ในห้วงภวังค์จากความหวามไหวที่ก่อเกิดภายในใจนทีรินรู้สึกถึงความร้อนรุ่มในร่างกายและเมื่อรู้ตัวอีกทีเสื้อเชิ้ตสีหวานของเขาก็อันตรธานหายไปจากร่างตั้งแต่เมื่อไรเขาเองก็ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ



“พี่ภพ อ๊ะ… อย่าทำกับนทแบบนี้ อย่าทำให้นทเกลียดตัวเองไปมากกว่านี้เลย ฮือ..”

เสียงหวานครางฮือเมื่อลิ้นร้อนไล่เลียมาที่ยอดถันสีหวานก่อนจะใช้ปากครอบจุกเล็กพลางดูดดึงสลับไปมาทั้งสองข้างทำให้เกิดเสียงน่าอายระงมไปทั่วห้องจนร่างบางเผลอแอ่นอกบางเข้าหาอย่างเผลอไผลนทีรินเอ็ดตัวเองในใจที่ไม่สามารถต้านทานความต้องการที่ก่อเกิดภายในกายของตัวเองได้ถึงปากจะสั่งร้องห้ามให้หยุดแต่ร่างกายนั้นไซร้ช่างทรยศเหลือเกิน



ลิ้นร้อนลากไล่เลียมาที่แอ่งสะดือสวยเลียวนหยอกล้อได้สักพักมือหนาก็จัดการอาภรณ์ชิ้นสุดท้ายที่ติดกายบางอยู่ออกให้หมดสิ้นจนเหลือเพียงร่างขาวนวลเปลือยเปล่า ภวินท์ลอบกลืนน้ำลายกับความสวยงามตรงหน้า ร่างบางขาวนวลที่เมื่อมองจากภายนอกนั้นเหมือนว่าจะผอมเกินไปแต่เมื่อได้สัมผัสจริงๆ แล้วนั้นภรรยาของเขาเป็นคนที่รักษาหุ่นได้ดีเลยทีเดียว



สวย…



คำๆ นี้ปรากฏในความคิดแรกของภวินท์เขาหลงใหลในร่างกายของนทีรินมากจนในตอนนี้แทบจะทนทานไม่ไหว ไม่รอช้าจากความคิดในหัวเมื่อมือหนาสัมผัสลูบไล้ไปที่แกนกลางกายของร่างบางอย่างนุ่มนวลและทะนุถนอมก่อนจะค่อยๆ ชักรูดขึ้นลงอย่างเชื่องช้า



“ม.. ไม่นะ ไม่ตรงนั้น อื้อ..”



ร่างบางครางหวานเมื่อได้รับสัมผัสที่อ่อนโยนจากมือหนาของคนเป็นสามี นทีรินยอมรับว่าตอนนี้เขาทั้งหวาดหวั่นและตื่นเต้นเพราะนี่เป็นการเปิดบริสุทธิ์ครั้งแรกของเขา ร่างกายของเขาที่ไม่เคยผ่านมือผู้ใดมากำลังจะกลายเป็นของภวินท์สามีทางนิตินัยของเขา คนที่เขารักมาตลอดแม้ว่าจะเจ็บปวดจากอีกฝ่ายมามากก็ตามแต่หากคนแรกของเขาคือภวินท์ นทีรินก็จะถือว่าเขาได้ทำหน้าที่เป็นภรรยาของภวินท์อย่างสมบูรณ์แบบแล้ว



“คนดี ชู่ว์.. พี่จะอ่อนโยนกับนท พี่สัญญาครับ”



ภวินท์ปลอบภรรยาในอ้อมกอดเสียงนุ่มก่อนจะกดจูบที่ปากบางเบาๆ เป็นการปลอบโยนก่อนจะใช้นิ้วเรียวยาวค่อยๆ กดไปที่ช่องทางสีสดคับแน่นและปิดสนิทที่ดูก็รู้ว่าไม่เคยผ่านสัมผัสใดๆ มาเลย ภวินท์ลอบยิ้มอย่างพึงใจทั้งๆ ที่เขาทราบดีอยู่แล้วว่าเขาเป็นคนแรกของนทีริน กายบางบิดเร่าจากความเสียวซ่านมือบางกำผ้าปูที่นอนแน่น นิ้วใหญ่ขยับเข้าออกก่อนจะค่อยๆ เพิ่มนิ้วเป็นสองนิ้วควงวนภายในช่องทางนุ่มหยุ่นเข้าออกไปมาเพื่อเป็นการเบิกทางให้กว้างพอที่จะให้เขารุกล้ำเข้าไปได้ มือหนาจัดการปลดเปลื้องอาภรณ์ของตัวเองออกให้ครบทุกชิ้นจนถึงปราการชิ้นสุดท้ายที่ห่อหุ้มแกนกายที่พองคับ นทีรินหันหน้าหนีเมินสายตาไปอีกฝั่งด้วยท่าทีเขินอายเพราะเขาเพิ่งเคยเห็นทุกส่วนของร่างกายสามีก็วันนี้ ร่างหนาเปล่าเปลือยทาบทับไปบนกายบางแนบชิดจนไม่เหลือช่องว่างระหว่างกันอีกต่อไป



“อ๊ะ! จ.. เจ็บ.. ฮึก”



น้ำใสๆ ไหลหล่นออกมาจากดวงตาหวานซึ้งเป็นทางเมื่อมีสิ่งแปลกปลอมสอดเข้ามาในร่างกายของเขา กายแกร่งค่อยๆ ดุนดันร่างให้เข้าไปลึกจนฝังแน่นท่ามกลางเสียงครางอื้ออึงด้วยความเจ็บปวดของภรรยา



“ทนหน่อยนะครับคนดี” ปากหนาก้มจูบซับน้ำตาไปที่แก้มนวลเพื่อปลอบประโลม



นทีรินหอบหายใจถี่เมื่อรู้สึกได้ถึงความคับแน่นที่เริ่มจะขยับกายตามจังหวะเชื่องช้าก่อนจะเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นจังหวะที่เร็วขึ้นเมื่อทุกสิ่งอย่างเริ่มเข้าที่เข้าทางและความเจ็บปวดได้เริ่มแปรเปลี่ยนเป็นความเสียวซ่านเข้ามาแทนที่ ปากหนาประทับจูบมาที่กลีบปากบางแนบแน่นขณะที่กายช่วงล่างเริ่มขยับเคลื่อนไหวในจังหวะเร็วขึ้นจนร่างบางครางแทบไม่เป็นภาษา



“Damn!”



เสียงทุ้มครางต่ำในลำคออย่างพึงใจเมื่อช่องทางตอดรัดแกนกายเขาแน่นจนเสียวซ่านไปทั่วร่างสะโพกสอบขยับเข้าออกเร็วขึ้นเป็นการเร่งจังหวะเพื่อให้ไปถึงจุดหมายปลายทางได้เร็วทันท่วงทีมือหนาตระกองกอดกายบางไว้ในท่าที่ถนัดถนี่ในขณะที่ร่างบางใช้เล็บขูดข่วนหลังแกร่งเพื่อระบายความเสียวซ่าน



“อ๊ะ.. อื้อ พ.. พี่ภพ ม.. ไม่ไหว”



เสียงครางหวานหูดังขึ้นเมื่อร่างบางใกล้จะถึงที่หมายพร้อมลมหายใจหอบถี่ที่รินรดกันและกัน เสียงเนื้อกระทบกันดังระงมทั่วห้องเป็นจังหวะถี่ขึ้นเรื่อยๆ จนเมื่อร่างบางฉีดปล่อยน้ำขาวขุ่นออกมาทันทีที่ต้านทานความเสียวซ่านไม่ไหว ร่างสูงขยับสะโพกเข้าออกถี่รัวจนกระตุกเกร็งปล่อยน้ำขาวขุ่นฉีดเข้าไปในช่องทางสีสวยเมื่อถึงวิมานฉิมพลีทั้งคู่แล้ว ปากหนาก็ประทับจูบลงไปที่กลีบปากบางก่อนจะลากเลื่อนมาซับจูบตามกรอบหน้านวลที่มีสีแดงพาดริ้วจางๆไปทั่วทั้งหน้า


ต่อข้างล่างค่ะ
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๑๖ (14-6-62) [ต่อ]
เริ่มหัวข้อโดย: yokindy ที่ 14-06-2019 01:42:41

“พอใจคุณแล้วใช่ไหมครับ ถ้าพอใจแล้วก็ปล่อยผมไปสักที”



เสียงหวานดังขึ้นเมื่อบทรักเมื่อสักครู่จบลงไปได้สักพักแล้วแต่ร่างสูงก็ยังไม่ปล่อยเขาออกจากอ้อมกอดเสียที นทีรินพยายามขยับตัวให้หลุดออกจากแขนแกร่งด้วยแรงที่น้อยนิดบวกกับความเจ็บปวดที่เริ่มก่อเกิดขึ้นนั่นก็ยิ่งทำให้เขาขืนตัวออกไม่ได้



“ไม่ครับ พี่ไม่มีวันปล่อยนทไปไหนอีกแล้ว…”



มือหนาคว้าตัวตระกองกอดร่างบางไว้แนบแน่นราวกับกลัวอีกฝ่ายจะหนีหายไป จมูกคมสูดดมความหอมหวานลงบนลาดไล่เล็กก่อนจะเลื่อนไปจูบที่แก้มนวลอย่างแสนรัก



“คุณภพ.. เราหย่ากันเถอะนะครับ” นทีรินเอ่ยขึ้นด้วยเสียงที่แหบแห้งเบาหวิวราวกับคนไม่มีแรงแต่กลับดังชัดเจนในหูของคนฟัง



“ไม่ครับ! พี่ไม่หย่า นทเป็นเมียพี่แล้วยังไงพี่ก็ไม่หย่าเด็ดขาด” ภวินท์โต้กลับทันควันขึ้นอย่างไม่ยอม



ภวินท์รักนทีริน เขารับรู้ตัวเองมาตลอดและในวันนี้นทีรินและเขาก็ถือว่าเป็นสามีภรรยากันอย่างสมบูรณ์แล้ว เป็นตายร้ายดีอย่างไรเขาจะไม่มีทางยอมปล่อยอีกฝ่ายไปเด็ดขาด



“คุณจะสนใจเมียที่คุณข่มเหงน้ำใจไปทำไมครับ ไปสนใจคนของคุณไม่ดีกว่าเหรอ”



เสียงประชดประชันดังขึ้นเรียบนิ่งเช่นเคย เพราะนทีรินไม่เข้าใจว่าทำไมภวินท์ถึงต้องกักกันตัวเขาไว้ ทำไมไม่ปล่อยเขาไปทั้งๆ ที่อีกฝ่ายก็มีใครอีกคนรออยู่



“นท… เราคุยกันดีๆ ได้ไหม พี่ขอร้องนะครับ”



ภวินท์เอ่ยวอนขอภรรยาด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง ไม่มีความแข็งขืนหรือกราดเกรี้ยวใดๆ อีกต่อไปหากมันจะทำให้นทีรินพูดจาดีๆ กับเขาได้บ้าง อะไรเขาก็ยอมทั้งนั้น



“ผมไม่มีอะไรจะคุยกับคุณทั้งนั้น คุณย่ำยีผมทั้งร่างกายทั้งจิตใจแล้วยังจะให้ผมคุยอะไรอีกครับ”



นทีรินเอ่ยบอกนิ่งๆ แต่ดวงตาคู่สวยกลับมีน้ำใสไหลออกมาเป็นทาง ถ้าเขาจะบอกว่าต้นเหตุของความเสียใจนั้นคือการที่ต้องตกเป็นของภวินท์มันก็ไม่ใช่เหตุผลนั้นร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ในความเสียใจนั้นมันมีความน้อยเนื้อต่ำใจที่ต้องทนเห็นสามีของตัวเองอยู่กับคนอื่นอีกแล้ว ที่ผ่านมาเขาเคยบอกคนอื่นว่าไม่สนใจแต่ใครเล่าจะรู้ว่าเขาแอบไปร้องไห้ทุกครั้งที่เห็นข่าวของสามีกับคนอื่น กายภายนอกที่ทำเป็นเข้มแข็งแต่ภายในใจมันแตกยับจนแทบไม่เหลือชิ้นดี



เหตุผลนี้มากกว่าที่ทำให้เขาต้องมาร้องไห้เสียใจอยู่แบบนี้



“นท…”



ภวินท์ครางชื่อภรรยาด้วยเสียงสั่นเครือเมื่อเห็นนทีรินร้องไห้จนตัวโยนภายในอ้อมกอดของเขา เขารับรู้ได้เลยว่าร่างบางกำลังเสียใจมากๆ ดวงตาคมหม่นแสงลงเพราะสาเหตุของความเสียใจของภรรยามันก็มาจากตัวเขาเอง แม้เขาจะไม่รู้ว่าวันนี้นทีรินไปรับรู้เรื่องอะไรมาแต่ขอแค่เพียงบอกเล่าให้ฟังเขาก็พร้อมที่จะทำทุกอย่างเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายเสียใจอีกต่อไป



“คุณทำให้ผมเกลียดตัวเอง เกลียดที่ต้องยอมให้คุณทำร้ายอยู่เรื่อยไป เกลียดที่ผมเกลียดคุณไม่ได้สักที ฮึก..”



เสียงสะอึกสะอื้นของภรรยาดังขึ้นทำให้ภวินท์ปวดหนึบในใจจนทานทนแทบไม่ได้ แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดไปมากกว่าที่เขาต้องรับรู้ว่านทีรินเกลียดเขา เพราะหากเป็นเช่นนั้นเขาคงทำใจไม่ได้จริงๆ



“คนดี.. อย่าเกลียดพี่เลยนะครับ”



เสียงทุ้มเอ่ยวอนขอพลางมือหนาจัดการพลิกตัวของภรรยาให้หันมาประชันหน้ากับเขาตรงๆ ใบหน้านวลที่เปรอะเปื้อนไปด้วยรอยน้ำตาที่ยังคงไหลมาไม่ขาดสาย มือหนากุมแก้มนวลทั้งสองข้างพลางใช้นิ้วโป้งเกลี่ยเช็ดน้ำตาให้อีกฝ่ายอย่างเบามือก่อนจะคว้าร่างบางมากอดไว้แนบอกแน่นพลางมือหนาลูบหลังปลอบประโลมอีกฝ่ายไปด้วย



“ที่พี่ทำไปทุกอย่างก็เพราะพี่รักนทนะครับ”



“ที่ผ่านมาพี่อาจจะมีทิฐิกับอากงจนทำร้ายนท แต่พี่ไม่เคยเลิกรักนทได้เลยนะครับ”



“พี่รักนท รักที่สุด…”



คำว่ารักที่ถูกเอื้อนเอ่ยออกมาทำให้นทีรินร้องไห้หนักกว่าเดิมหัวใจที่ห่อเหี่ยวเริ่มพองโตจนคับอกราวมีฝนตกในฤดูแห้งแล้งหล่นลงชโลมน้ำเติมเต็มให้ดอกไม้เจริญเติบโตบานสะพรั่ง ก็เปรียบเสมือนหัวใจของนทีรินที่รอคอยคำว่ารักจากปากของภวินท์แม้ว่าความหวังและการรอคอยมันจะช่างยาวนานและยากเย็นแต่เขาก็รอ



จนมาวันนี้คำว่ารักนั้นเขาได้ยินมันแล้ว หากแต่… เขาไม่มีความแน่ใจในคำว่ารักนั้นเลยสักนิดว่ามีให้แค่เขาเพียงคนเดียวหรือเปล่า



“ปากบอกว่ารัก แล้วทำไมถึงยังไปกับคนอื่น คำว่ารักของคุณผมจะเชื่อได้แค่ไหนกัน แล้วคำว่ารักของคุณก็คงไม่ได้มีให้ผมแค่คนเดียวใช่ไหมครับ”



ดวงตาหวานช้อนมองขึ้นอย่างคาดหมายในคำตอบแม้คำพูดจะประชดประชันแต่เขาอยากได้ความชัดเจนจากภวินท์เสียทีเพราะเขาจะได้รู้ว่าชีวิตของเขาควรที่จะไปต่อหรือควรพอกันแน่



“คนอื่น? นทหมายถึงใครครับ”



“หึ! คงจะมีหลายคนจนไม่รู้ว่าเป็นใครเลยใช่ไหมครับ”



“คนดี.. อย่าประชดกันเลยนะครับ ที่พี่ถามเพราะพี่ไม่รู้เรื่องอะไรเลยและพี่ก็ไม่ได้ไปทำอะไรกับใครทั้งนั้น วันๆ พี่ก็เอาแต่ทำงานโปรเจ็กต์ดิวตี้ฟรี นทก็เห็นนี่ว่าพี่หอบงานกลับมาทำที่บ้านแทบทุกวัน แค่ทำงานพี่ก็แทบไม่มีเวลาแล้วจะให้พี่ไปทำอะไรกับใครได้ยังไงครับ”



ภวินท์ไม่เข้าใจคำว่าคนอื่นและหลายคนในความหมายของภรรยา เพราะตั้งแต่กลับมาจากอเมริกาเขาก็ไม่ได้มีใครเลยยกเว้นนทีรินเพียงคนเดียว ชีวิตของเขาในตอนนี้ผูกพันกับการทำงานมากกว่าคนเสียอีกนั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงไม่เข้าใจ



“ก็ใครจะไปรู้ล่ะครับ คุณอาจจะนัดเขามาที่ทำงานก็ได้นี่ถึงได้ถ่ายรูปคู่กันแล้วแท็กผมมาขนาดนั้น”



“ถ่ายรูปคู่? นทหมายถึงเรื่องอะไรกัน” ยิ่งพูดภวินท์ก็ยิ่งไม่เข้าใจว่าภรรยากำลังพูดถึงใครและเรื่องอะไร



“ถ้าคุณอยากรู้ก็ลองไปถามคนของคุณดูสิครับ เขาน่าจะรู้เรื่องดีว่าทำไมถึงได้อยากล้ำเส้นผมถึงขนาดที่แท็กรูปของคุณกับเขามาให้ผมดู”



นทีรินบอกเพียงแค่นั้น น้ำเสียงเรียบๆ แต่ทว่าเยียบเย็นของภรรยาทำให้ภวินท์รู้สึกเสียวที่สันหลังอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน แต่ด้วยลางสังหรณ์นั้นมันน่าจะไม่ใช่เรื่องที่ดีสักเท่าไร ไม่รอช้าร่างสูงเอื้อมมือไปคว้าสมาร์ตโฟนเครื่องหรูของตัวเองมาเปิดเพื่อที่จะโทรฯ หาอินทนิลให้จัดการสืบข่าวต่างๆ ที่เขายังไม่รู้ แต่ไม่ทันจะได้โทรฯ เสียงแจ้งเตือนของแอพฯ แชทชื่อดังก็เด้งขึ้นสู่สายตาสุดท้ายภวินท์ก็รับรู้แล้วว่าข่าวที่กำลังดังในตอนนี้คือเป็ปเปอร์อัพรูปที่ถ่ายคู่กับเขาพร้อมในรูปนั้นถูกแท็กชื่อไปยังแอคเคาต์ของนทีริน



ภวินท์ถอนหายใจยาวอย่างเหนื่อยหน่ายกับการกระทำของรุ่นน้องทั้งๆ ที่รู้ว่าตัวเองเป็นคนดังแต่ไม่เคยคิดจะทำอะไรให้ระมัดระวังเลย



“คนดีฟังพี่นะครับ.. มันไม่ใช่อย่างที่นทคิดเลยนะเป็ปเปอร์กับพี่เราเป็นแค่รุ่นพี่รุ่นน้องกันเท่านั้น และที่ได้ถ่ายรูปคู่กันวันนั้นก็เพราะว่าพี่จ้างเขามาเป็นหนึ่งในพรีเซ็นเตอร์ของโปรเจ็กต์ดิวตี้ฟรีเท่านั้น เขาก็เลยขอถ่ายรูปกับพี่ ทุกอย่างมันเป็นแค่งาน ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่านั้นเลยนะครับ”



เมื่อเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดแล้วภวินท์ก็รีบอธิบายให้คนในอ้อมกอดฟังทันท่วงทีเพราะเขาห่วงที่สุดคือความรู้สึกของนทีรินว่าจะเข้าใจผิดและคิดไปไกลมากกว่าเรื่องจริงที่มันเกิดขึ้น



“คุณบอกว่าไม่มีอะไรแล้วเด็กคนนั้นล่ะครับเขาคิดยังไงกับคุณ ถ้าเขาไม่คิดอะไรเขาคงไม่ทำแบบนี้กับผมหรอกนะครับ”



“เขาจะคิดอะไรยังไงมันก็คือเรื่องของเขา เพราะมันเป็นสิทธิ์ของเขา แต่พี่ไม่เคยคิดอะไรกับเขานอกจากความเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องกันเท่านั้น”



ภวินท์บริสุทธิ์ใจที่จะบอกตามตรง ต่อให้เขาจะรับรู้ว่าเป็ปเปอร์คิดอย่างไรมันก็เป็นสิทธิ์ของคนๆ นั้นแต่ที่เขาไม่คิดอะไรกับรุ่นน้องคนนั้นมันก็เป็นสิทธิ์ของเขาเช่นเดียวกัน เพียงแต่เขาไม่คิดว่าเป็ปเปอร์จะกล้าทำอะไรที่มันสิ้นคิดแบบนี้เท่านั้นเอง



“แล้วที่ผ่านมาคุณกับเขามีความสัมพันธ์กันแบบไหนครับ”



นทีรินเอ่ยถามขึ้นด้วยความใคร่รู้ ที่จริงเขาก็อยากรับรู้เรื่องของสามีมาตลอดนั่นแหละเพียงแต่เขาต้องทำเป็นนิ่งเฉยเพื่อไม่ตอกย้ำให้ตัวเองเจ็บไปมากกว่านี้เท่านั้นเอง



“ไม่ได้มีอะไรลึกซึ้งทั้งนั้นครับ ถ้านทจะหมายถึงข่าวที่พี่กับเขาไปญี่ปุ่นด้วยกันแค่สองคนมันก็ไม่ใช่ความจริง พี่ไปดูงานที่ญี่ปุ่นจริงๆ และก็บังเอิญเจอเป็ปเปอร์ที่มาถ่ายซีรี่ย์แล้วเขาก็ขอไปเที่ยวกับพวกพี่ก็แค่นั้น และอีกอย่างพี่ก็ไม่ได้ไปคนเดียวแต่พี่ไปกับพวกไอ้ปรินซ์”



ในตอนนั้นภวินท์เองก็งงมากเช่นเดียวกันกับข่าวที่ถูกเผยแพร่ออกไป ที่มีปาปารัสซี่ตามถ่ายรูปที่ติดเพียงเขาและเป็ปเปอร์แค่สองคนทั้งๆ ที่ทริปนั้นมีคนไปด้วยกันตั้งเยอะแยะ แต่ในเวลานั้นเขาไม่ได้ให้ความใส่ใจกับข่าวอะไรแบบนั้นอยู่แล้วก็เลยไม่ได้จัดการอะไร



“ถ้านทไม่เชื่อจะโทรฯ ถามพวกไอ้ปรินซ์ไอ้ซานหรือไม่ก็ไอ้นายดูก็ได้นะครับ”



ภวินท์เอ่ยบอกร่างบางในอ้อมกอดแต่นทีรินไม่ได้ตอบอะไรเพราะกำลังใช้ความคิดกับสิ่งที่ภวินท์อธิบาย แต่แล้วสิ่งที่ภวินท์บอกกล่าวมันก็ทำให้เขาเชื่อได้อย่างสนิทใจเมื่อเขาย้อนกลับไปในตอนที่เขาเคยวานให้ภาณินบอกปริญญ์ให้ติดต่อภวินท์ให้ ภาณินก็บอกว่าปริญญ์และภวินท์นั้นไปเที่ยวด้วยกันที่ญี่ปุ่นพอดีจึงทำให้ติดต่อได้ง่าย นทีรินลอบถอนหายใจด้วยความโล่งอกที่อย่างน้อยภวินท์ก็ไม่ได้โกหกเพื่อให้เขาหลงเชื่อคำของอีกฝ่าย



“หายโกรธนะครับ” ภวินท์เห็นภรรยานิ่งไปก็เริ่มใจเสียแต่ก็มิวายเอ่ยวอนขอด้วยน้ำเสียงออดอ้อน



“ไม่โกรธได้ยังไงครับ ก็ผมไม่ชอบที่คนของคุณมาล้ำเส้นความเป็นส่วนตัวของผมแบบนั้น”



นทีรินโต้กลับด้วยความไม่พอใจ เพราะต่อให้เด็กคนนั้นจะเป็นหรือไม่ได้เป็นอะไรกับภวินท์ก็ไม่มีสิทธิ์มาทำตัวล้ำเส้นกับเขาที่ไม่เคยแม้แต่จะรู้จักหรือสนิทกันและมันก็ไม่ใช่เรื่องดีเลยที่เด็กดาราคนนั้นพยายามจะสร้างกระแสข่าวให้สังคมติดลบกับตัวเขา



“พี่จะจัดการเองครับ”



“คุณจะทำยังไง ในเมื่อตอนนี้สังคมภายนอกเขาเข้าใจว่าคุณกับเด็กคนนั้นมีความสัมพันธ์กันส่วนผมก็โดนว่าว่าโดนสามีสวมเขา”



เขายังไม่เข้าใจว่าภวินท์จะจัดการอย่างไรและถ้าเป็นตัวเขาเองเขาก็คงจะไม่ทำอะไรนอกจากปล่อยให้ข่าวซาไปเอง เพราะถ้าให้พูดตามตรงนทีรินห่วงภาพลักษณ์การเป็นสะใภ้ของกิจจานนท์มากจนไม่อยากให้ชื่อเสียงตระกูลโดนมองไม่ดีไปด้วย อย่างที่ใครๆ หลายคนบอกรอให้ข่าวเงียบและให้ผู้คนลืมไปเองดีกว่าต้องไปตอบโต้ให้ภาพลักษณ์ที่สร้างสมมาต้องเสียหายเพียงข่าวที่ไร้สาระ



“พี่จะทำให้ทุกอย่างชัดเจนเองครับ นทไม่ต้องคิดมากนะที่พี่พูดแบบนี้เพราะพี่ก็ไม่อยากให้นทไปให้ค่ากับคนที่ทำอะไรที่มันสิ้นคิด นทของพี่มีค่ามากกว่านั้นเยอะรู้ไหมครับ”



สิ้นคำพูดนั้นนทีรินก็รู้สึกร้อนที่หน้าอย่างห้ามไม่อยู่หัวใจดวงน้อยพองโตขึ้นจนคับอกเมื่อได้ยินคำพูดของสามี เป็นคำพูดที่ปกป้องความรู้สึกของเขาได้ดีทีเดียว นทีรินปฏิเสธไม่ได้ว่ารู้สึกดีที่อย่างน้อยภวินท์ก็มองเห็นค่าในตัวของเขา



“หายงอนพี่นะครับ”



มือหนาจับคางมนให้เงยขึ้นก่อนจะประทับจูบลงไปที่ปากบางเบาๆ ก่อนจะเลื่อนขึ้นไปจูบที่จมูกรั้นเบาๆ เพื่อเป็นการง้อภรรยาแสนรักจนใบหน้านวลขึ้นสีแดงเรื่อ



“ผมไม่ได้งอนคุณสักหน่อย” ใบหน้านวลซุกเข้าที่อกแกร่งก่อนจะเอ่ยบอกเสียงอุบอิบ



“ไม่งอนก็เลิกทำหน้ามุ่ยเลิกทำเสียงแข็งใส่พี่เถอะนะครับ คราวหลังมีอะไรเราคุยกันตรงๆ นะ นทถามพี่ได้ทุกเรื่องเพราะนทมีสิทธิ์ในตัวพี่ทุกอย่าง ไม่ใช่เพียงเพราะทะเบียนสมรสใบนั้นแต่เพราะนทเป็นเจ้าของหัวใจพี่ต่างหาก”



สิ้นคำพูดนั้นนทีรินก็เงยหน้าช้อนสายตาขึ้นมองสามีอย่างมีความคาดหมาย เพราะคำว่าเจ้าของหัวใจมีอิทธิพลต่อหัวใจเขามากเหลือเกินจนเขาอดที่จะคาดหวังในตัวของอีกฝ่ายไม่ได้ นทีรินไม่ได้เอื้อนเอ่ยอะไรออกไปหากแต่ดวงตาหวานที่จ้องดวงตาคมนิ่งนั้นได้แสดงออกแทนคำพูดไปหมดแล้ว



นทเชื่อใจพี่ภพได้ใช่ไหมครับ.. พี่ภพจะไม่ทำให้นทเสียใจอีกแล้วใช่ไหม..


“พี่จะไม่ทำให้นทเสียใจอีกนะครับคนดี… พี่รักนทนะครับ”



ภวินท์เอ่ยบอกเสียงหนักแน่นก่อนจะคว้าร่างบางมากอดแนบอกอีกครา เขาอยากกอดร่างบางนี้ไว้เพื่อปกป้องไม่ให้ดวงใจดวงนี้ต้องบอบช้ำอีกแล้วและภวินท์ก็ต้องยิ้มออกมาเมื่อมือบางกอดเขาตอบแน่นเช่นเดียวกันนั้นเขาก็รับรู้ได้แล้วว่าเราทั้งสองคนทั้งสองกายได้หล่อหลอมให้ดวงใจเป็นหนึ่งเดียวกันแล้วโดยที่เขาไม่จำเป็นต้องได้ยินคำว่ารักจากปากของนทีรินแต่เขารู้สึกได้ดีว่ามันคือความรู้สึกเดียวกันที่เขามีให้อีกฝ่าย



นทก็รักพี่ภพครับ…









Instagram

{photo}

Liked by Saan_three, Sadith.9 and 17098 others

Phawin.K >> No matter how long the time goes by, you’ re the only one of mine. I love you ♥ @Noth.Nateerin

View all 456 comments

1 hour ago





______________________________________________________________________________________________

TALK WITH WRITER : เชิญสรรเสริญพี่ภพได้เต็มที่ค่าทุกคน!!! คุยดีๆ กับพี่เค้าไม่ได้พี่เค้าก็จับน้อนปล้ำเลยค่า ด่าพี่เค้าได้แต่อย่าแรงมากนะคะ เห็นพี่เค้าไบโพลาร์แบบนี้พี่เค้าก็รักยัยน้อนนะเออ ถ้ามีคนคิดว่าแล้วทำไมน้องถึงยอมทำไมถึงต้องเผลอใจไปกับพี่ภพ ที่จริงความรู้สึกของน้องชัดเจนมากว่ารักอีพี่มากแค่ไหน ทั้งที่เจ็บก็ยังรักเพราะรักคำเดียวเลยทำให้น้องยอมได้ทุกอย่าง แต่!!! ต่อให้น้องรักอีพี่มากแค่ไหนก็ไม่ได้หมายความว่าน้องจะไม่ให้บทเรียนกับอีพี่นะจ๊ะ อิอิ ตอนต่อไปเอาความหวานไปก่อนส่วนหลังจากตอนต่อไปความขมมาแน่นวล

P.S. ขออภัยหากช่วงนี้มาช้า เอาจริงๆ คือตอนหลังๆ นี้เป็นตอนที่เขียนยากมากกกกก ก.ไก่ร้อยล้านตัว เรื่องของความรู้สึกมันต้องอธิบายให้ลึกซึ้งมากจริงๆ เพื่อความเข้าถึงตัวละคร ที่จริงเราเคยแต่งแต่ฟีลกู๊ดมาตลอดพอมาแต่งดราม่าก็ทำเอาเราแทบไปไม่เป็นเหมือนกันแต่เราอยากบอกว่าเราตั้งใจเขียนเรื่องนี้มากจริงๆ ยังไงฝากติดตามพี่ภพน้องนทไปเรื่อยๆ เลยนะคะ เจอกันตอนหน้าค่า :)

หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๑๖ (14-6-62)
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 14-06-2019 01:57:03
ต้องจัดหนักอิเด็กเปปเปอร์ โดยการเลิกจ้างงานจ้ะ
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๑๖ (14-6-62)
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 14-06-2019 02:09:42
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๑๖ (14-6-62)
เริ่มหัวข้อโดย: sailom_orn ที่ 14-06-2019 02:49:03
รีบๆไปจัดการเลยนะนายภวิน
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๑๖ (14-6-62)
เริ่มหัวข้อโดย: muiko ที่ 14-06-2019 03:59:57
ล้ำเส้นขนาดนี้ ต้องจัดการจริงจังนะ
รุ่นน้อง ถ้ามันจะล้ำเส้น สร้างข่าวขนาดนี้ก็ตัดๆมันไปนะ
ถ้าไม่ตัดมัน นทได้ตัดพี่ภพในอนาคตแหง

หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๑๖ (14-6-62)
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 14-06-2019 10:57:00
เหมือนทุกอย่างจะดีขึ้น ไม่รู้ว่าจะมีอะไรมาจุดชนวนอีกนะเนี่ย
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๑๖ (14-6-62)
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 14-06-2019 11:00:40
 :pig4:
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๑๖ (14-6-62)
เริ่มหัวข้อโดย: arjinn ที่ 14-06-2019 11:18:53
ไม่อยากขม ไม่อยากดราม่า ...

อย่าหนักนักนะคะ
อยากให้ทั้งคู่มีความสุขสักทีค่ะ :)
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๑๖ (14-6-62)
เริ่มหัวข้อโดย: Funnycoco ที่ 14-06-2019 11:39:40
ภพควรจัดการตั้งนานแล้วปล่อยให้ตัวเองมัข่าวโดยไม่สนใจความรู้สึกของคนที่บ้านเลย
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๑๖ (14-6-62)
เริ่มหัวข้อโดย: NaunaeZaa ที่ 14-06-2019 12:57:45
ขอบคุณค่า
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๑๖ (14-6-62)
เริ่มหัวข้อโดย: BABYBB ที่ 14-06-2019 20:55:03
นังเปปเปอร์ อีเวนนนนนนนน :z6:
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๑๖ (14-6-62)
เริ่มหัวข้อโดย: HISY ที่ 14-06-2019 22:09:19
ดีมากค่ะที่คุยกัน
ส่วนนังเด็กเปปเปอร์ต้องโดนสั่งสอนน!!
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๑๖ (14-6-62)
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 14-06-2019 23:34:42
 :hao7: :hao7: :hao7:  ขอหวานๆตลอดเลยไม่ได้เหรออ. ไม่ชอบดราม่าเลย
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๑๖ (14-6-62)
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 15-06-2019 16:05:09
กรี๊ดดอัพรูปไรรรรรร ผ่านไปชั่วโมงเดียวไลค์เกือบ2หมื่น เม้นท์เกือบ500 อร๊ายยยภาพเด็ด ตอกหน้าทุกคน I love you ♥  หู้ยยยยยคุณภพ ฮ่าๆ อะรีบๆไปจัดการเอาให้เคลียร์ให้รู้ว่าใครเป็นใคร ไม่งั้นอย่าหาว่าเตือน ใช่ไหมนท ต้องเอาสามีให้อยู่ นิ่งๆหยิ่งๆอย่ายอมง่ายๆ เดี๋ยวได้ใจ หมั่นไส้คุณภพอ่ะ 5555 มันต้องมีแก้ตัว ครั้งแรกของนทมันได้มาด้วยการข่มเหง ต่อไปต้องจัดหนัก หวานๆ สายหื่น กร๊าก ฮ่าๆ สนุกกก รอเปิดตัว ขอบคุณนะคะที่แต่งมาต่อ รอตอนต่อไปเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๑๖ (14-6-62)
เริ่มหัวข้อโดย: วายซ่า ที่ 16-06-2019 11:50:35
คุยปกติไม่ได้ พี่ก็เลยปล้ำน้องซะเลย ร้ายจริงๆ

เป็นสามีภรรยากันทั้งนิตินัยและพฤตินัยแล้ว ก็อยู่กันดีๆ นะคะ  อากงคงดีใจ  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๑๖ (14-6-62)
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 16-06-2019 16:10:08
รอดูว่าคนพี่จะจัดการแล้วจบเลย

หรือต้องรอให้น้องจัดการรร
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๑๖ (14-6-62)
เริ่มหัวข้อโดย: SoSweetCB ที่ 17-06-2019 02:53:27
พี่อัพรูปอะไรค้าาาา ขอดูด้วยยยย -,,-


Sent from my iPhone using Tapatalk
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๑๖ (14-6-62)
เริ่มหัวข้อโดย: SoN ที่ 21-06-2019 07:36:32
^^
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๑๗ (23-6-62)
เริ่มหัวข้อโดย: yokindy ที่ 23-06-2019 19:07:40
บทที่ ๑๗




“คุณภพครับ คุณเป็ปเปอร์มาขอพบครับ”



อินทนิลเดินเข้ามารายงานเจ้านายที่นั่งตรวจเอกสารในมืออย่างเคร่งเครียด แต่คนที่มาขอพบในตอนนี้น่าจะทำให้เจ้านายของเขาเครียดกว่าเดิมเสียอีก ยิ่งคิดอินทนิลก็ยิ่งหวั่นใจและรู้สึกสงสารเจ้านายของเขาที่ต้องมาจัดการเรื่องไร้สาระที่ตัวเองก็ไม่ได้เป็นคนก่อด้วยซ้ำ



“อืม ให้เข้ามาเลย” ภวินท์ตอบเลขาฯ ด้วยสีหน้าเรียบนิ่งทว่าก็ยังคงความน่าเกรงขามไว้ภายใน



อินทนิลพยักหน้ารับคำก่อนจะออกไปแล้วปรากฏร่างของรุ่นน้องที่เขาคุ้นเคยเป็นอย่างดี เป็ปเปอร์หรือในวงการบันเทิงต่างรู้ดีในชื่อ ‘เป็ปเปอร์ ปาลิน’ นักแสดงวัยรุ่นซีรีย์วายที่ตอนนี้กำลังเป็นเบอร์หนึ่งของวงการบันเทิง ภายใต้ใบหน้าหล่อติดหวานนั้นมีความหวาดหวั่นไม่น้อย ขาเรียวเดินมาหยุดตรงหน้าโต๊ะของเขาก่อนจะเอ่ยเข้าประเด็นโดยไม่มีการทักทายเลยแม้แต่น้อย



“พี่ภพครับ… ทำไมถึงถอนเปอร์ออกจากพรีเซนเตอร์ล่ะครับ”



เป็ปเปอร์เข้าประเด็นทันทีอย่างไม่รอช้าเพราะต่อให้เขาจะรู้ว่าเพราะอะไรแต่เขาก็ยังเลือกที่จะมาถามรุ่นพี่คนนี้ให้เข้าใจว่าสิ่งที่เขาทำนั้นมันร้ายแรงถึงขั้นต้องถอนเขาจากการเป็นพรีเซนเตอร์เลยหรือไง



“เปอร์ยังต้องถามพี่อีกเหรอว่าทำไม” ภวินท์เลิกคิ้วเชิงถามเล็กน้อย ใบหน้าหล่อคมเรียบนิ่งและเยียบเย็นจนคนถามเริ่มตะกุกตะกัก



“ต.. แต่เรื่องไอจีมันเป็นอุบัติเหตุนะครับ เปอร์ไม่ได้ตั้งใจแท็กคุณนทเมียพี่ภพเลยนะครับ”



เป็ปเปอร์เอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงสั่นเครือพลางทำหน้าสลดลงอย่างน่าสงสารแต่นั่นไม่ได้ทำให้ภวินท์รู้สึกสงสารแต่อย่างใด ร่างสูงยกยิ้มมุมปากเมื่อรุ่นน้องเริ่มติดกับดักที่เขาสร้างไว้



“พี่ยังไม่ได้บอกเลยนะว่าเป็นเรื่องอะไร ทำไมถึงร้อนตัวล่ะ”



สิ้นคำพูดของรุ่นพี่เป็ปเปอร์ก็ยิ่งรู้สึกหวั่นวิตก เหงื่อกาฬเริ่มซึมออกบริเวณกรอบหน้าอย่างห้ามไม่อยู่ สายตาของภวินท์ที่เขาเคยรู้จักไม่เคยน่ากลัวถึงเพียงนี้มาก่อนจนเขาเองก็เริ่มทำตัวไม่ถูก



“ก… ก็ เอ่อ… เปอร์คิดว่าพี่ภพจะโกรธเปอร์เรื่องนั้นนี่ครับ”



“โกรธน่ะโกรธ.. แต่เรื่องที่พี่ถอนเปอร์จากพรีเซนเตอร์เพราะพี่ไปรู้มาว่าตอนนี้เปอร์กำลัง… เล่นยา”



“พี่ภพ!”



คำพูดท้ายประโยคนั้นทำเป็ปเปอร์เบิกตากว้างขึ้นอย่างตกใจ เขาเริ่มทรงตัวแทบจะไม่อยู่เมื่อได้ยินคำนั้นออกมาจากปากของรุ่นพี่และเขาไม่รู้ว่าทำไมภวินท์ถึงรู้เรื่องนี้ทั้งๆ ที่เขามีเส้นสายสำหรับเรื่องนี้และมั่นใจว่ายังไงเรื่องที่เขาใช้สารเสพติดก็ไม่มีทางหลุดไปได้



“พี่คงให้พรีเซนเตอร์ที่มีประวัติไม่ดีแบบนี้มาทำงานด้วยไม่ได้หรอกนะ แล้วยิ่งเป็นคนดังเป็นคนที่ต้องใช้ชีวิตผ่านสื่อฯ ตลอดทำไมถึงได้ปล่อยให้มีข่าวแบบนี้กับตัวเองได้ล่ะ” ภวินท์ตีหน้าขรึมพลางเอ่ยถามรุ่นน้องที่สภาพตอนนี้ไม่ต่างอะไรจากลูกนกที่กำลังตื่นตระหนกจากฟ้าผ่าเลยแม้แต่น้อย



“ท.. ทำไมพี่ภพถึงรู้เรื่องนี้ครับ”



เป็ปเปอร์ก้มหน้าลงพลางเอ่ยถามเสียงสั่นๆ ทั้งที่จริงเขาก็รู้ดีว่าภวินท์คงหาข่าวเขามาได้ไม่ยากหากจะหาจริงๆ เป็ปเปอร์รู้สึกว่าตัวเองกำลังพลาด พลาดมากๆ ที่ปล่อยให้ภวินท์รู้เรื่องไม่ดีของตัวเอง



“เปอร์คิดว่าการที่เปอร์ใช้เส้นสายของการเป็นเด็กของเสี่ยอัคราจะกลบข่าวนี้ได้มิดเหรอ… อำนาจของเงินน่ะยิ่งมีมากก็ยิ่งทำอะไรได้เยอะ.. เปอร์ว่างั้นไหมล่ะ”



ภวินท์ย้อนถามรุ่นน้องด้วยท่าทีสบายๆ แต่ไม่ได้ทำให้อีกฝ่ายสบายใจเลยแม้แต่น้อยเพราะคำพูดเหล่านั้นราวกับฟ้าผ่าลงมากลางใจของเป็ปเปอร์อีกครา เมื่อคำว่าเด็กของเสี่ยอัคราได้หลุดออกมาจากปากของรุ่นพี่ที่เขาแอบหลงรักมาตั้งนานแสนนาน เรื่องที่เขาใช้ยาเสพติดเขาก็คิดว่ามันน่าอับอายเพียงพอแล้วแต่ภวินท์ยังรับรู้มาอีกว่าเขาเป็นเด็กของเจ้าของสังกัดช่องที่เขาเซ็นต์สัญญาอยู่แบบนี้มันยิ่งทำให้เป็ปเปอร์รู้สึกเจ็บใจเป็นอย่างมาก



“แล้วเปอร์ก็รู้ใช่ไหมว่าพี่สามารถทำให้เปอร์หลุดจากวงการนี้ได้ง่ายมากๆ …”



ภวินท์เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบๆ แต่ทว่ากลับดุดันในความรู้สึกของเป็ปเปอร์ เขารู้เลยว่ากำลังโดนรุ่นพี่ขู่เสียแล้ว และก็ไม่ใช่การดีเลยที่เขาจะกล้าต่อกรกลับรุ่นพี่คนนี้เพราะภวินท์มีอำนาจเกินที่เขาจะกล้าทำแบบนั้น



“ไม่นะครับพี่ภพ เปอร์ขอโทษ ขอโทษที่ไปยุ่งกับคุณนท ต่อไปเปอร์จะไม่ทำแบบนี้อีก พี่ภพให้อภัยเปอร์นะครับ”



ดาราดังที่ใครๆ ก็ต้องสยบยอมเพียงเพราะหน้าตาแสนหวานบัดนี้มีน้ำตาไหลอาบทั้งสองข้าง พร้อมมือนั้นก็ยกประนมขึ้นอย่างวอนขอ การเป็นดาราดังไม่ใช่ว่าใครจะมาถึงจุดนี้ได้ง่ายๆ เขาเองก็เช่นกันกว่าที่จะมาเป็นนักแสดงชื่อดังได้เขาเองก็ผ่านอุปสรรคมามากเหลือเกิน



“…อย่าทำอะไรแบบนี้อีก นทไม่ใช่คนที่เปอร์จะไปยุ่งด้วยได้”



เสียงทุ้มดังขึ้นหนักแน่นและเขาก็หวังว่ามันจะฝังลึกลงไปในหัวสมองของรุ่นน้องว่าอะไรควรและมิควรกระทำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่เข้าไปวุ่นวายกับภรรยาของเขานี่มันเป็นอะไรที่ควรจดจำไว้เลยว่าเป็นสิ่งมิควร



“เปอร์ขอโทษครับ แต่ที่เปอร์ทำไปเพราะเปอร์รักพี่ภพ… เปอร์รักพี่มาตั้งแต่สมัยมหา’ลัยแล้ว เปอร์ผิดด้วยเหรอครับที่เปอร์อยากเป็นคนเคียงข้างพี่บ้าง”



เป็ปเปอร์เอ่ยบอกเสียงอ่อยแต่ในใจพลันคิดเจ็บใจขึ้นมา สิ่งที่เขาทำทุกอย่างก็เพราะเขารักภวินท์ เขาแค่อยากเป็นคนของภวินท์บ้างก็เท่านั้น



“เปอร์ไม่ผิดที่จะรักพี่หรือรักใคร แต่เปอร์ผิดที่กำลังดิสเครดิตพี่และเมียของพี่เพราะความคิดมักง่ายของตัวเอง!”



ภวินท์ตวาดกร้าวเสียงดังเมื่อสิ้นคำพูดของรุ่นน้อง เขาไม่อินกับสิ่งที่อีกฝ่ายพร่ำบอกเลยสักนิดเดียวเพราะถ้าอีกฝ่ายรักเขาจริงก็ต้องไม่ใช้วิธีสกปรกๆ แบบนี้เพื่อให้ได้เขามา และเขาเองก็คงไม่คว้าเอาคนที่ไม่มีความคิดมาเป็นภรรยาเช่นกัน



“ก็เปอร์อยากให้พี่กับเขาหย่ากัน! เปอร์รักพี่นะครับพี่ภพ เปอร์รักของเปอร์มาตั้งนานแล้ว เปอร์ยอมทำทุกอย่างจนได้เป็นดาราดังเพื่อให้มายืนเคียงข้างกับพี่ได้ เขาดีกว่าเปอร์ตรงไหนเหรอ! ทำไมต้องเป็นเขาที่ได้แต่งงานกับพี่!”



เป็ปเปอร์ตวาดกลับเช่นกันเมื่อได้ยินคำว่าเมียออกจากปากภวินท์ เขาโกรธที่ภวินท์ทำเหมือนว่ารักนทีรินเสียนักหนาทั้งๆ ที่สิ่งที่เขารู้มาตลอดก็คือภวินท์กำลังจะหย่ากับนทีรินซึ่งนั่นมันเป็นสิ่งที่เขารอคอยมาตลอด เขาไม่ได้มีฐานะดีเทียมเท่ากับภวินท์แต่เขาก็ยอมทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มาเป็นดาราดังจนถึงทุกวันนี้ ยอมทำแม้กระทั่งจ้างปาปารัสซี่ส่วนตัวเพื่อไปแอบถ่ายรูปเขากับภวินท์ที่ญี่ปุ่นเพื่อมาสร้างกระแสให้สังคมรับรู้ก็เพราะเขารักอีกฝ่ายมากและหวังเพื่อที่สักวันเขาจะได้ยืนอยู่ตรงนั้นยืนอยู่ตรงที่นทีรินยืน แต่แล้วทำไมวันนี้มันถึงไม่เป็นแบบนั้นอย่างที่เขาหวัง เขาเจ็บใจที่สิ่งที่เขาทำทุกอย่างมันกำลังจะพังทลายไม่เป็นท่า



“พอสักที! แล้วก็อย่าพูดถึงเมียพี่แบบนั้นอีก นทคือคนที่พี่รักและพี่ก็ไม่มีวันหย่ากับเขา”



ภวินท์ตวาดอย่างเหลืออดเพราะจากอากัปกิริยาของรุ่นน้องนั้นดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่สำนึกอะไรเลยกับสิ่งที่ทำลงไป เป็ปเปอร์คงไม่รู้หรอกว่าการที่ดิสเครดิตนทีรินนั้นมันเกิดปัญหาอะไรตามมาบ้าง มันไม่ใช่แค่เขาโดนภรรยาโกรธแต่มันยังรวมไปถึงความไม่น่าเชื่อถือของการเป็นผู้บริหารอย่างเขาด้วย



“ฟังนะ… ถ้าเปอร์จะบอกว่าทำทุกอย่างเพราะรักพี่ ก็คิดใหม่ได้เลยว่าการใช้วิธีสกปรกๆ แบบนี้มันจะทำให้พี่รักเราได้ไหม… สิ่งที่เปอร์ทำน่ะเปอร์ไม่ได้รักพี่หรอกแต่เปอร์รักตัวเองต่างหาก”



ภวินท์พยายามอ่อนลงเมื่อรุ่นน้องเริ่มร้องไห้หนักขึ้น เขารับรู้ว่าเป็ปเปอร์ชอบเขามาตลอดแต่เขาก็ไม่เคยล้ำเส้นความเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องกับอีกฝ่ายเลยแม้แต่ครั้งเดียว



“และที่สำคัญ… ต่อให้พี่ไม่ได้แต่งงานกับนท พี่ก็ไม่เคยคิดจะรักเราหรือแต่งงานกับเรา สิ่งที่พี่จะให้เปอร์ได้ก็แค่การเป็นรุ่นพี่เท่านั้น แต่ถ้ามันยังมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกับครอบครัวของพี่และคนที่พี่รักอีก… แม้แต่การเป็นรุ่นพี่ พี่ก็ให้เปอร์ไม่ได้”



“พี่ภพ…” เป็ปเปอร์เอ่ยชื่อรุ่นพี่อย่างไม่เชื่อหูเพราะเขาไม่คิดว่าสิ่งที่เขาทำลงไปมันจะทำให้เขาได้รับผลแบบนี้



“ถ้าเรายังอยากได้งานจากพี่ก็รู้ใช่ไหมว่าควรต้องแก้ปัญหานี้ยังไง… แล้วถ้าเปอร์ยังดึงดันที่จะทำแบบนี้พี่ก็ไม่รับรองว่าอนาคตการเป็นนักแสดงของเปอร์มันจะจบยังไง”



คำพูดของภวินท์เป็นดังประกาศิตที่บีบให้เขาต้องกระทำตามเพราะเขารู้ว่านิสัยของภวินท์เป็นอย่างไร ภวินท์เป็นคนพูดจริงทำจริงหากลองได้เอ่ยออกมาแล้วไม่มีสิ่งใดที่ภวินท์ทำไม่ได้ เป็ปเปอร์น้ำตาไหลพรากเมื่อผลที่ได้รับมันไม่ได้เป็นอย่างที่หวังไว้เลย เขาทำให้ตัวเองดูแย่ในสายตาของภวินท์ซ้ำยังไม่ได้รับความเมตตาใดๆ เลยแม้แต่น้อย



เป็ปเปอร์ยอมรับว่าเขาสร้างกระแสเพื่อให้สังคมเข้าใจว่าเขาและภวินท์กำลังมีความสัมพันธ์ต่อกัน และต้องการให้สังคมไปถล่มนทีรินเพื่อบีบให้หย่ากับภวินท์โดยเร็ว แต่เขาไม่คาดคิดว่ามันจะทำให้เขากลายเป็นคนที่ต้องหลุดออกจากชีวิตของภวินท์ไปเสียเองซึ่งเขาไม่ต้องการให้เป็นแบบนั้นเลย เขายังอยากอยู่ในชีวิตของภวินท์อยู่เหมือนเดิมต่อให้เขาต้องเป็นแค่รุ่นน้องของอีกฝ่ายเขาก็ยอม



“เปอร์เข้าใจแล้วครับ”



เขายอมที่จะกระทำตามแต่โดยดีเพื่อรักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับรุ่นพี่คนนี้ไว้แม้ตัวเองจะไม่สมหวังอีกต่อไปก็ตาม



***
ต่อข้างล่างค่ะ
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๑๗ (23-6-62)
เริ่มหัวข้อโดย: yokindy ที่ 23-06-2019 19:11:26
- ไฮโซฯ ภพหรือภวินท์ กิจจานนท์ นักธุรกิจหมื่นล้านเจ้าของห้างฯ ดังลงรูปในไอจีในรอบปี!!! อู๊ยยยยย มาดามเม้าท์ไม่อยากจะเม้าท์เลยค่ะว่าหนุ่มหล่อไฮโซฯ คนนี้ไม่ค่อยอัพไอจีสักเท่าไร แต่พอคุณภพสุดหล่อได้อัพทีนั้นไอจีก็แทบแตกเลยค่าเพราะรูปที่คุณภพอัพนั้นก็ไม่ใช่รูปใครที่ไหน แต่เป็นรูปคุณนทหรือนทีริน กิจจานนท์ภรรยาผู้เป็นเซเลบริตี้ของวงการไฮโซฯ ซึ่งในภาพเป็นภาพที่ทั้งคู่ถ่ายคู่กันซึ่งเดาโลเคชั่นได้ว่าน่าจะเป็นทะเลที่ไหนสักแห่งค่ะและดูจากสายตาที่คุณภพมองคุณนทแล้วมาดามอยากสิงร่างคุณนทเลยค่าาาา ที่สำคัญนะคะแคปชั่นใต้ภาพนั่นก็หวานเสียจนมดแทบไม่อยากกลับรังเลยค่าคุณผู้โช้มมมมม-



-เป็ปเปอร์โป๊ะแตก! รีบลบรูปคู่ไฮโซฯ ภพแทบไม่ทันหลังเผลอแท็กไอจีภรรยาของอีกฝ่ายไป นักข่าวกรูเข้าสัมภาษณ์เรื่องราวทั้งหมดแต่เจ้าตัวได้แต่ปิดปากเงียบ ชาวเน็ตฯ รุมแห่ให้กำลังใจคุณนทก่อนจะตำหนิเป็ปเปอร์ว่าทำตัวไม่เหมาะสมก่อน -



-เป็ปเปอร์สร้างกระแสเก่ง!! อุ๊ปส์ การตลาดเก่ง เมื่อเจ้าตัวยอมให้สัมภาษณ์แล้วว่ากับไฮโซฯ ภพเป็นแค่รุ่นพี่รุ่นน้องกันและที่ได้ถ่ายรูปคู่กันเพราะได้ไปทำงานร่วมกันเท่านั้น ก่อนจะกล่าวขอโทษคุณนทภรรยาของไฮโซฯ ภพผ่านสื่อฯ สำหรับความผิดพลาดที่เกิดจากความไม่ตั้งใจของตัวเอง ซึ่งตนก็ไม่สบายใจเช่นกันหลังจากมีชาวเน็ตฯ ไปถล่มด่าตัวเองในไอจี…-




กระแสข่าวดังของวงการบันเทิงที่กำลังเป็นที่นิยมในโลกโซเชียลต่างๆ ก็คงไม่พ้นเรื่องของภวินท์ นทีรินและเป็ปเปอร์ ซึ่งก็มาจากข่าวที่เป็ปเปอร์ได้สร้างกระแสและปั่นกระแสเสียจนนทีรินโดนว่าแต่นทีรินก็ทำได้แค่นิ่งเฉยแล้วจู่ๆ คดีกลับพลิกเมื่อสังคมเริ่มเสาะหาต้นตอและเรียบเรียงเหตุการณ์ว่าแท้จริงแล้วนั้นนทีรินไม่ใช่คนที่สมควรจะโดนด่าแต่เป็นเป็ปเปอร์ต่างหากที่ควรจะโดนกระแสสังคมตอกกลับว่ามีความประพฤติที่ไม่ดี



แม้นทีรินจะงงงวยและสงสัยกับข่าวที่ดันพลิกผันมาที่ทุกคนในโลกโซเชียลต่างก็มาให้กำลังใจเขาและกลับกลายเป็นว่าเป็ปเปอร์เป็นคนตกหลุมที่ตัวเองขุดไว้เสียเองแต่ในใจลึกๆ เขาก็รู้สึกดีที่ไม่ได้โดยสังคมติฉินนินทาไปในทางเสียหายอย่างเช่นที่ผ่านมา



หลังจากที่ทุกคนเริ่มเสพข่าวลืออย่างมีสติกันแล้วนั้นความสัมพันธ์ของนทีรินและภวินท์ก็ดีขึ้นเรื่อยๆ ภวินท์ไม่ได้บอกภรรยาว่าเขาจัดการเรื่องทุกอย่างอย่างไรกอปรกับที่อีกฝ่ายก็ไม่ได้สอบถามหรือตามติดอะไรเพราะทั้งคู่รู้ๆกันดีว่าเรื่องบางเรื่องก็ไม่สมควรที่จะนำมาพูดเพื่อให้เสียอารมณ์อีก



“อ๊ะ.. คุณภพ!”



ร่างบางสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อมีมือหนากอดมาจากทางด้านหลังพร้อมยื่นจมูกคมมาสูดดมความหอมหวานจากแก้มนวลฟอดใหญ่ทั้งสองข้างจนคนโดนขโมยหอมแก้มต้องเอียงหน้าหนี



“ตื่นแล้วไม่ปลุกพี่เลยนะครับ” เสียงทุ้มนุ่มเอ่ยอ้อนภรรยาจนใบหน้านวลขึ้นสีแดงเรื่อ



“นทเห็นคุณกำลังหลับสบายนี่นา วันนี้ก็วันหยุดทำไมไม่นอนต่ออีกสักหน่อยล่ะครับ”



ภรรยาเอ่ยบอกเสียงนุ่ม เขาไม่ยอมปลุกอีกฝ่ายเพราะที่ผ่านมาภวินท์ทำงานหนักมากทั้งงานที่เดอะแกรนด์ฯ และงานที่บริษัทซูเปอร์คาร์ทำเอาเจ้าตัวแทบไม่มีเวลาพักผ่อน ซึ่งนทีรินเองก็ได้ดุอีกฝ่ายอยู่บ่อยครั้งและถ้าหากวันใดที่เป็นวันหยุดของสามี เขาก็เลือกที่จะให้อีกฝ่ายนอนหลับให้เต็มอิ่ม



“เมียตื่นแล้ว ก็อยากรีบตื่นมาเจอเมียนี่ครับ” ใบหน้าหล่อคมวางบนลาดไหล่มนพร้อมเอ่ยออดอ้อนก่อนจะฝังจมูกคมลงไปบนแก้มนวลอีกหลายๆ คราจนร่างบางต้องปรามเสียงดุ



“คุณภพ! อย่ารุ่มร่ามสิครับ เดี๋ยวใครมาเห็นเข้า”



“เห็นก็เห็นสิครับ สามีหอมแก้มภรรยาผิดด้วยเหรอหืม”



แต่ภวินท์หาได้ใส่ใจคำดุนั้นไม่ จมูกคมสูดดมไปยังแก้มนวลซอกคอหอมกรุ่นหลายๆ ทีจนนทีรินหัวเราะเบาๆ เพราะความจั๊กจี้จนต้องร้องปรามอีกครา



“พอแล้วครับ พอแล้วนะ…”



เสียงเว้าวอนเชิงออดอ้อนของภรรยาทำเอาคนขี้แกล้งใจเต้นแรงเพราะใบหน้านวลที่ขึ้นสีแดงเรื่ออย่างน่ารักกอปรกับร่างบางขาวเนียนไปทุกส่วนทำเอาเขาแทบคลั่งจนปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเขาชักหลงใหลในกายของภรรยาขึ้นทุกวันจนกลายเป็นเสพติดไปเสียแล้ว



“ทานข้าวเช้าเลยไหมครับ วันนี้นททำเกี้ยมอี๋ใส่เกี๊ยวปลาด้วยนะครับ” ร่างบางเอ่ยบอกสามีเสียงใสร่าเริง ในมือบางมีทัพพีคู่ใจเตรียมตักอาหารเช้าที่เขาบรรจงทำขึ้นด้วย



“หอมมากเลยครับ” จมูกคมสูดดมความหอมของน้ำซุปในหม้ออย่างสนใจ



“นทใส่กระเทียมพริกไทยเยอะน่ะครับ กลิ่นเลยหอมเป็นพิเศษ…”



นทีรินนำเสนออย่างภูมิใจกับอาหารที่เขาตั้งใจทำมากๆ

หม้อน้ำซุปกระดูกหมูที่ถูกเคี่ยวเป็นเวลานานพร้อมกับกระเทียมพริกไทยและรากผักชีที่โขลกรวมกันใส่ผสมลงไปนั้นทำให้ซุปหม้อนี้ส่งกลิ่นหอมยั่วน้ำลายได้เป็นอย่างดี เส้นเกี้ยมอี๋สีขาวที่ถูกลวกกับน้ำเดือดในอุณหภูมิที่พอเหมาะทำให้เส้นไม่เละเสิร์ฟพร้อมเกี๊ยวปลาเจ้าดังที่นทีรินตั้งใจซื้อมาเพราะเจ้าสัวพีระนั้นโปรดปรานมากๆ



“แต่ไม่หอมเท่านท” ว่าไม่พอคนจอมเจ้าเล่ห์ก็กอดหมับเข้าที่ร่างบางอีกคราก่อนจะหอมไปที่ข้างขมับของภรรยาอย่างแสนรัก



“คุณภพ! หยุดเลยนะครับ อ.. อายพี่นวลบ้างสิครับ”

มือบางตีเข้าที่ไหล่แกร่งเบาๆ เป็นการปรามความเจ้าเล่ห์และชอบฉวยโอกาสของสามีที่มีเพิ่มขึ้นทุกวันจนเขาเองก็แทบปรามไม่อยู่แล้ว แล้วยิ่งเห็นสายตาเป็นประกายของพี่เลี้ยงคนสนิทของตัวเองแล้วนั้นเขาก็ยิ่งรู้สึกเขินอาย



“พี่นวลไม่ว่าอะไรใช่ไหมครับถ้าผมจะกอดคุณหนูของพี่นวล” ภวินท์หันไปเอ่ยเป็นเชิงขออนุญาตจากพี่เลี้ยงคนสนิทของภรรยาด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม



“กอดได้ค่ะคุณภพ แต่กอดแล้วห้ามปล่อยคุณหนูของพี่แล้วนะคะไม่งั้นพี่จะไม่ให้กอดอีกตลอดไปเลย”



พี่นวลเอ่ยบอกเสียงติดดุที่ดูเหมือนจะไม่จริงจังทว่าก็จริงจังมากเพราะใบหน้าที่สื่อออกมานั้นเธอตั้งใจให้ภวินท์ทำตามที่เธอพูดจริงๆ คุณหนูของเธอนั้นเจ็บปวดมามากเหลือเกินจนเธอเองก็อยากให้คุณหนูมีความสุขกับคนที่รักมาตลอดอย่างภวินท์เสียที



“ไม่ปล่อยแน่นอนครับ”



ภวินท์เองก็เอ่ยตอบเสียงหนักแน่นกลับไปเช่นเดียวกันสายตามุ่งมั่นและมั่นคงทำให้พี่นวลเบาใจไปได้มากจนต้องเผยรอยยิ้มดีใจออกมาก่อนจะหันไปยิ้มล้อเลียนคุณหนูของเธอ



“พี่นวลอ่า… ทำไมไม่ช่วยนทเลยล่ะครับ”



นทีรินเอ่ยบอกพี่เลี้ยงกระเง้ากระงอดใบหน้าหวานยู่ขึ้นอย่างขัดใจที่พี่เลี้ยงคนสนิทเข้าขากับสามีของเขาดีเหลือเกิน พี่นวลหัวเราะน้อยๆ ก่อนจะแกล้งทำท่าไม่รู้ไม่ชี้



“พี่ไปจัดอาหารให้ท่านเจ้าสัวดีกว่าค่ะ คุณนทกับคุณภพกอดกันเสร็จแล้วก็ไปทานข้าวได้แล้วนะคะ… อ้อ คุณหนูขา ทานเกี้ยมอี๋ไม่ต้องใส่น้ำตาลแล้วนะคะเพราะหวานอยู่แล้ว”



พี่นวลทิ้งท้ายพร้อมรอยยิ้มล้อเลียนเต็มที่จนคุณหนูหน้าแดงกว่าเดิมซึ่งนั่นก็เป็นที่พึงพอใจให้ทั้งภวินท์และพี่นวลเป็นอย่างดี



“พี่นวล! -- เห็นไหมครับ… โดนพี่นวลแซ็วใหญ่เลยอ่ะ” มือบางทุบไปที่ไหล่แกร่งหลายๆ ทีอย่างขัดใจเมื่อโดนล้อเลียน จะว่าขัดใจมันก็ใช่แต่เขาเขินมากกว่าที่ต้องโดนแกล้งแบบนี้



“ฮ่ะๆ เขินแล้วอย่าลงไม้ลงมือสิครับ” มือใหญ่ปัดป้องไปมาขณะหัวเราะชอบใจที่แกล้งภรรยาได้



“พอเลยครับ หยุดหัวเราะเลยไม่งั้นนทจะโกรธคุณภพแล้วนะ”



เสียงภรรยาขู่ไม่ได้ทำให้ภวินท์กลัวแต่อย่างใดกลับกันเขาดันชอบความน่ารักที่คนตรงหน้าแสดงออกมาเสียด้วยซ้ำ เพราะมันเหมือนแมวน้อยตัวเล็กๆ กำลังขู่อย่างไรอย่างนั้นเลย



“คนอารมณ์ดีหัวเราะแล้วผิดเหรอครับ” ดวงตาคมแสนกรุ้มกริ่มจับจ้องไปที่ใบหน้านวลที่ขึ้นสีแดงระเรื่อไปทั่วแก้มขาว



“อารมณ์ดีที่ได้แกล้งนทเหรอครับ” ร่างบางยู่ปากใส่สามีอย่างงอนๆ แต่ก็ต้องรีบก้มงุดเขินอายอีกคราเมื่อได้ยินประโยคต่อมาของสามี



“อารมณ์ดีที่ได้อยู่กับนทแล้วพี่มีความสุขต่างหากครับ”



เสียงทุ้มเอ่ยชิดใบหูเล็กเบาๆ แต่ทว่ากลับดังชัดเจนในความรู้สึกของนทีริน เขาอมยิ้มไปพร้อมหัวใจที่พองโตจนคับอกและปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเขากำลังมีความสุขและไม่อยากให้ความสุขนี้จางหายไปเลย



และเขาก็อยากเก็บความสุขที่มันสุขล้นหัวใจไว้แบบนี้นานๆ เลย



***



ช่วงเวลาแห่งความสุขของภวินท์และนทีรินยังคงดำเนินไปเรื่อยๆ แต่ทว่ามันยิ่งมากขึ้นทุกวันในความรู้สึกของคนสองคน การมีความรักหากมันถึงคราวจะสุขมันก็สุขเสียจนล้นหัวใจ ทั้งคู่ใช้ชีวิตฉันท์สามีภรรยาที่แท้จริงโดยการไม่มีการแยกห้องนอนอีกต่อไปแม้นทีรินจะอยากกลับไปนอนห้องตัวเองแต่ก็พ่ายแพ้ให้แก่ความเจ้าเล่ห์ปนลูกอ้อนของสามีอยู่ร่ำไปจนเขาเองก็จนใจจะต้านทานไหวแล้วจึงต้องยอมจำนน



เฉกเช่นเดียวกับวันหยุดสุดสัปดาห์ในวันนี้ร่างสูงใหญ่นอนพาดไปกับโซฟาหลังใหญ่โดยที่ศีรษะหนุนตักนิ่มของภรรยาที่กำลังนั่งอ่านหนังสือวรรณกรรมต่างประเทศเล่มโปรดอยู่โดยมีคนตัวใหญ่คลอเคลียอยู่ไม่ห่าง



“วันนี้เราไปเดตกันดีไหมครับ” เสียงทุ้มเอ่ยถามภรรยาเสียงอ้อนพลางจับมือบางมาจรดจูบเบาๆ



“เดตเหรอ…” นทีรินทวนซ้ำก่อนจะเอียงคอเล็กน้อยเป็นเชิงสงสัย



“ใช่ครับ นทอยากไปไหนอยากทำอะไรวันนี้พี่ภพตามใจทุกอย่างเลย” ภวินท์เอ่ยเอาใจภรรยาที่รักสุดๆ



“แน่ใจนะครับว่าจะตามใจนททุกอย่าง” นทีรินหรี่ตาเล็กน้อยอย่างนึกสนุกพลางเอ่ยถามย้ำเพราะเขากำลังคิดอะไรดีๆ ได้



“แน่ใจมากครับ” ถึงภวินท์จะสงสัยกับสายตาหวานซึ้งที่ฉายความสนุกของภรรยาแต่ก็ตอบรับเสียงหนักแน่นกลับไป







“อะไรครับ?”



ภวินท์ถามขึ้นอย่างสงสัยเมื่อภรรยาพาเขาลงมาที่สวนของที่บ้านและตรงหน้าเขาก็มีต้นไม้เรียงรายเต็มไปหมดจน ร่างสูงนึกแปลกใจเพราะเขาชวนภรรยาไปออกเดตแต่แล้วทำไมถึงมาจบที่สวนของที่บ้านแบบนี้ได้



“ปลูกต้นไม้ไงครับ” นทีรินเอ่ยบอกเสียงใสร่าเริงเป็นพิเศษ ใบหน้าหวานฉายแววความสนุกพร้อมรอยยิ้มหวาน


“หืม?”



“ก็เดตของนทคือการที่คุณภพต้องช่วยปลูกต้นไม้ทั้งหมดนี่ไงครับ”



นทีรินเฉลยสามี เพราะสำหรับเขาแล้วการเดตไม่ได้แปลว่าจะต้องออกไปนอกบ้านเสียหน่อย อยู่บ้านก็สามารถเดตด้วยกันได้เพียงแค่หากิจกรรมทำร่วมกันเท่านั้นเอง และที่สำคัญการปลูกต้นไม้ก็เป็นกิจกรรมที่เขาโปรดปรานมากพอๆ กับการทำอาหารเลยทีเดียว



“สบายมากครับ”



ภวินท์ยักคิ้วกวนๆ ให้ภรรยาก่อนจะถลกแขนเสื้อขึ้นในท่าทีสบายๆ แค่ปลูกต้นไม้เขาทำได้สบายๆ อยู่แล้วเพราะที่จริงแล้วตอนเด็กๆ เขาก็ช่วยนทีรินปลูกต้นไม้อยู่บ่อยครั้ง



“ถ้าอย่างนั้นเริ่มจากต้นกุหลาบพวกนี้เลยครับ เอาลงดินให้หมดเลย” นทีรินชี้ไปที่ต้นกุหลาบสวยงามที่วางเรียงรายกันหลายต้นเลยทีเดียว



“หอม…”



ภวินท์จับต้นกุหลาบขึ้นมาดมเพราะกลิ่นของมันนั้นหอมชื่นใจโชยมาแตะจมูกจนเขาไม่สามารถละเลยที่จะดอมดมได้เลย



“นี่เป็นพันธุ์ดับเบิ้ลดีไลท์*ครับ กลิ่นมันจะหอมสดชื่นมากกว่าพันธุ์อื่นๆ พอเช้าๆ มามีแดดอ่อนๆ รับกับลมเย็นๆ กลิ่นมันจะฟุ้งตามลมหอมมากเลยครับ นทอยากปลูกไว้รอบๆ บ้านเช้าๆ มาเวลาเปิดหน้าต่างจะได้มีกลิ่นหอมๆ ของมันลอยขึ้นมาให้ดมทุกเช้าเลย”



นทีรินอธิบายก่อนจะเอาต้นกุหลาบขึ้นมาดมบ้าง เขาชอบกุหลาบพันธุ์นี้มากๆ เพราะว่ากลิ่นมันช่างหอมรัญจวนใจราวกับฉีดน้ำหอมกลิ่นกุหลาบลงบนร่างกายเลยทีเดียว และที่สำคัญนทีรินโปรดปรานน้ำหอมที่มีส่วนผสมของกุหลาบมากๆ



“แต่พี่ว่าไม่หอมเท่าอีกพันธุ์นึงนะ” ภวินท์เอ่ยขึ้นจนนทีรินทำหน้าสงสัย



“หือ? พันธุ์ไหนเหรอครับ”



“สำหรับพี่กุหลาบพันธุ์นทีรินคือกลิ่นที่หอมที่สุด”



เสียงทุ้มยั่วแหย่พร้อมดวงตาคมจับจ้องลึกลงไปในดวงตาหวานซึ้งพลางยกยิ้มมุมปากเจ้าเล่ห์ก่อนจะไล่สายตาไปหยุดที่ริมฝีปากแดงฉ่ำราวกลีบกุหลาบจนเจ้าของใบหน้านวลวางหน้าไม่ถูกจนต้องหลบสายตาคมไปเอง



“ไม่มีกุหลาบชื่อนี้สักหน่อยครับ.. คุณภพมั่วที่สุดเลย”



เสียงหวานเอ่ยขึ้นอย่างประหม่าปนขัดเขินเมื่อรู้ว่าพันธุ์กุหลาบที่ภวินท์กล่าวถึงนั้นมันไม่มีจริง แถมชื่อนั้นก็เป็นชื่อของเขาต่างหาก แต่กระนั้นก็อดเขินไม่ได้ซึ่งท่าทางแบบนั้นทำให้ภวินท์อดหัวเราะออกมาไม่ได้ เขาชอบบรรยากาศแบบนี้ ชอบที่ได้หยอดนทีรินเพราะมันทำให้เขาได้หวนกลับไปนึกถึงบรรยากาศเก่าๆ ที่เขาและนทีรินมีด้วยกัน



นทีรินกำลังมองผู้ชายตัวโตกำลังปลูกต้นไม้อย่างขะมักเขม้นด้วยสายตาขบขัน ใบหน้าหล่อที่บนหัวประดับไปด้วยหมวกสานของคนสวนทำเขาอดที่จะยกสมาร์ตโฟนขึ้นมาถ่ายไม่ได้ ใบหน้าหวานที่มีรอยยิ้มหวานประดับอยู่บนนั้นแสดงให้เห็นเลยว่าเขากำลังมีความสุขกับช่วงเวลาเหล่านี้



บรรยากาศเก่าๆ เริ่มกลับมาเขายังจำได้ดีในวันที่ภวินท์มาช่วยเขาปลูกต้นไม้เป็นร้อยๆ ต้นเลยทีเดียว ในวันนี้ก็เหมือนกันแต่ไม่เพียงแค่ปลุกต้นไม้เท่านั้น ภวินท์ยังออกแบบแปลงดอกไม้ก่อนจะจัดอย่างเป็นระเบียบ ถึงแม้จะดูไม่สวยหวือหวาทันสมัยเท่าใดนักแต่ก็ดูสวยเรียบง่ายจนนทีรินคนที่เชี่ยวชาญด้านการจัดสวนเองยังแปลกใจเลยว่าฝีมือของภวินท์นี่ก็ไม่ธรรมดาเหมือนกัน



“เสร็จแล้วครับ… เป็นไงบ้างพี่ปลูกพอใช้ได้ไหม”



ภวินท์ใช้มือปาดเหงื่อตัวเองเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยถามอย่างลุ้นๆ เพราะเขาไม่แน่ใจว่าสวนที่เขาตั้งใจออกแบบนั้นจะถูกใจนทีรินหรือเปล่า ถ้าถามว่าเขาจัดสวนเป็นไหมเขาตอบเลยว่าพอทำได้แต่ไม่ได้เชี่ยวชาญเท่ากับนทีรินที่ชอบจัดสวนเป็นพิเศษซึ่งนั่นเลยทำให้เขาแอบกังวลว่าอีกฝ่ายอาจจะไม่ชอบหรือไม่พอใจเอาได้



นทีรินไล่สายตาตรวจตราไปทั่วสวนดอกไม้ที่ถูกจัดตกแต่งโดยภวินท์ แต่แล้วเขาก็ต้องแอบยิ้มขำเมื่อมองใบหน้าลุ้นๆ ของสามีที่เดินตามมาไม่ห่าง



“อืม.. เป็นระเบียบเรียบร้อยดีครับ”



นทีรินเอ่ยบอกพร้อมรอยยิ้มจนคนที่ทำหน้ากังวลคลายความกังวลออกมาได้โดยการพรูลมหายใจยาวออกมาอย่างโล่งใจที่อย่างน้อยสวนที่เขาตั้งใจจัดครั้งแรกก็ผ่านมาตรฐานจากภรรยา



“แต่ไม่ใช่แค่นี้นะครับ เสร็จจากนี้คุณภพต้องช่วยนททำอาหารเย็นไว้ทานเย็นนี้ด้วย” นทีรินเอ่ยบอกภารกิจการเดตให้กับสามีจนร่างสูงเบิกตากว้างแปลกใจอีกคราจนนทีรินหัวเราะออกมา



“ทำไม่ได้เหรอครับ” ร่างบางเอ่ยล้อพร้อมใบหน้าที่ติดขำ



“ใครว่าล่ะครับ ต่อให้พี่ไม่เก่งเท่านทแต่พี่จะทำให้ดีที่สุด” ภวินท์ยักคิ้วให้ภรรยาอย่างกวนๆ แต่ใบหน้าคมกลับฉายความหนักแน่นไว้ภายใน



ทั้งคู่เดินเข้ามาในครัวใหญ่ของคฤหาสน์สถานที่ที่นทีรินคุ้นเคยเป็นอย่างดีซึ่งต่างจากภวินท์ที่ไม่ค่อยย่างกรายเข้ามาในนี้สักเท่าใดนัก นทีรินให้แม่บ้านเตรียมของสำหรับทำอาหารไว้เย็นนี้ไว้เรียบร้อยแล้วเหลือแค่ไม่กี่อย่างที่ยังต้องจัดเตรียม ร่างบางให้สามีช่วยเตรียมผักและหั่นเนื้อสัตว์ต่างๆ ส่วนตัวเขาก็จะทำการปรุงรสและจัดตกแต่งจาน



“โอ๊ย!” เสียงทุ้มใหญ่ดังขึ้นจนนทีรินตกใจรีบวิ่งเข้าไปหาทันที



“คุณภพ! เป็นอะไรหรือเปล่าครับ! อ๊ะ..” ความตกใจมลายหายสิ้นไปเมื่อจมูกคมกดลงมาบนแก้มนวลของเขาฟอดใหญ่



“ชื่นใจจัง” ใบหน้าหล่อคมไม่มีความเจ็บปวดใดๆ เจือปนเลยแม้แต่น้อยมีก็แต่สายตากรุ้มกริ่มและรอยยิ้มเจ้าเล่ห์เท่านั้นที่ประดับอยู่



“คุณภพ! นี่หลอกนทเหรอครับ”



เสียงใสแหวขึ้นเมื่อเขาโดนภวินท์หลอกอีกจนได้ ใบหน้าหวานสะบัดหนีงอนๆ แต่นั่นไม่ได้ทำให้คนขี้แกล้งสลดแต่อย่างใดกลับหัวเราะชอบใจขึ้นอีกต่างหากจนนทีรินหมั่นไส้



ทั้งคู่ทำอาหารช่วยกันไปจนเสร็จเรียบร้อยก่อนที่นทีรินจะให้พี่นวลยกสำรับอาหารขึ้นไปให้เจ้าสัวพีระเช่นเคย ส่วนเขาและภวินท์ในวันนี้เลือกที่จะตั้งโต๊ะที่ในสวนของบ้านเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศและเพื่อความเป็นส่วนตัวสำหรับการเดตในวันนี้ จานอาหารที่ทั้งคู่ช่วยกันทำถูกวางเรียงรายเต็มโต๊ะพร้อมกับแชมเปญยี่ห้อดังอย่างดอม เปอริญง* ที่ภวินท์ตั้งใจซื้อมาเพื่อการเดตกับนทีรินวันนี้โดยเฉพาะ



เสียงแก้วกระทบกันดังขึ้นก่อนที่ทั้งคู่จะยกขึ้นดื่ม



“เหนื่อยไหมครับ” นทีรินเปิดประเด็นก่อนเพราะวันนี้เขาแกล้งให้ภวินท์ปลูกต้นไม้ให้ตั้งครึ่งค่อนวันเลยทีเดียว



“ไม่เลยครับ ถึงเหนื่อยแต่ก็มีความสุขดี”



เสียงทุ้มเอ่ยตอบภรรยาพร้อมรอยยิ้ม เขาไม่ได้รู้สึกเหนื่อยอย่างที่เหนื่อยจากการทำงาน ความเหนื่อยในวันนี้มันคล้ายกับการได้ออกกำลังกายมากกว่าและเขาก็รู้สึกว่าการได้ปลูกต้นไม้และทำอาหารทั้งวันมันยังเหนื่อยเท่าที่เขาทำงานในบริษัทไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นแค่นี้ถือว่าเบสิกมากสำหรับเขา



“แล้วเบื่อไหมครับที่เดตกับนทวันนี้” เสียงหวานเอ่ยถามอีกครา



“ทำไมถามแบบนั้นล่ะครับ”



“ก็คงไม่มีใครชวนเดตอยู่ที่บ้านหรอกครับ มันดูธรรมดาจะตาย”



นทีรินเอ่ยบอกตามที่ใจคิดเพราะถ้าเอาจริงๆ แล้วในความคิดของใครหลายๆ คนการเดตนั้นคือการที่คู่รักออกไปเที่ยวด้วยกันข้างนอกทำกิจกรรมที่สนใจร่วมกัน นทีรินเลยคิดว่านี่อาจจะเป็นเดตที่น่าเบื่อที่สุดของภวินท์เลยก็ว่าได้



แต่เขาคิดผิดเมื่อได้ยินประโยคต่อมาของสามี



“ถึงนี่จะเป็นการเดตที่บ้านธรรมดาๆ ในสายตาคนอื่น แต่สำหรับพี่มันคือเดตที่มีความสุขที่สุด เพราะการเดตของพี่ก็คือการใช้เวลาร่วมนทในทุกๆ อย่าง”



ภวินท์เอ่ยบอกออกไปตามที่เขาคิดเพราะถึงเดตในวันนี้จะเป็นการเดตที่บ้านธรรมดาและกิจกรรมที่เขาและนทีรินทำร่วมกันก็แค่ปลูกต้นไม้กับทำอาหารทานด้วยกัน สำหรับภวินท์แล้วนี่แหละคือสิ่งที่เขามีความสุขที่สุด เพราะการได้ใช้เวลาร่วมกับนทีรินเป็นสิ่งที่เขาชอบมากที่สุดและที่สำคัญการปลูกต้นไม้และการทำอาหารก็เป็นกิจกรรมที่เขาและนทีรินเคยทำร่วมกันในตอนเด็กๆ มันจึงทำให้เขาหวนคิดถึงช่วงเวลาเหล่านั้นซึ่งเขาเองก็หลงรักช่วงเวลาเหล่านั้นมากๆ และในวันนี้นทีรินก็ได้ทำให้เขาหลงรักช่วงเวลานั้นอีกครั้ง



“พี่รักนทนะครับคนดี” เสียงทุ้มเอ่ยออกมาพร้อมดวงตาคมจับจ้องเข้าไปในดวงตาหวานซึ้งที่มองมาอยู่แล้ว



นทีรินยิ้มกว้างพลางเสตาหลบดวงตาคู่คมนั้นเพราะความเขินอาย เขาไม่ชินเลยเวลาที่ได้ยินคำว่ารักจากปากของภวินท์เสียงทุ้มที่ดังขึ้นไม่ได้ดังเพียงในโสตประสาทแต่ยังคงก้องดังในหัวใจของเขาวนไปมาจนหัวใจแทบจะหลุดออกจากอก



“จะไม่พูดอะไรกับพี่หน่อยเหรอครับ” ภวินท์ยิ้มล้อคนขี้อายทำให้คนตรงหน้ายิ่งประหม่าทำตัวไม่ถูกไปกันใหญ่



“น… นทก็… รั..” เสียงหวานกำลังจะเอ่ยคำๆ นั้นออกมาแต่ทว่าถูกขัดด้วยเสียงของใครบางคนก่อน



“คุณหนูคะ! คุณภพคะ!”



พี่นวลวิ่งหน้าตาตื่นมาทางภวินท์และนทีรินจนทั้งคู่รีบลุกขึ้นยืนเพราะใบหน้าที่พี่นวลฉายมานั้นมีแต่ความตื่นตระหนกและสีหน้าที่ไม่สู้ดีนัก



“มีอะไรเหรอครับพี่นวล” ภวินท์เอ่ยถามขึ้นแล้วก็ต้องใจเสียมากกว่าเดิมเมื่อพี่เลี้ยงคนสนิทของภรรยามีน้ำตาไหลอาบแก้มทั้งสองข้าง



“ท่านเจ้าสัวค่ะ…” พี่นวลสะอึกสะอื้นก่อนจะเอ่ยออกมาเพียงเท่านั้นแต่ภวินท์และนทีรินต่างรับรู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น



ทั้งคู่รีบวิ่งเข้าบ้านไปเพื่อไปยังห้องของชายชราทันทีด้วยใจที่ร้อนรน ทั้งๆ ที่เคยเตรียมใจกันมานานแล้วแต่พอถึงวันนี้ที่เป็นวันที่ต้องสูญเสียทีไรไม่มีใครเลยที่จะทำใจได้อย่างที่ใครหลายคนเคยกล่าวไว้





ความตายเป็นการจากลาที่เราไม่อยากจะรับรู้แต่เราหลีกเลี่ยงไม่ได้และต้องรับให้ได้…


To be continue

__________________________________________________________________________________
TALK WITH WRITER :: หวานได้ไม่เท่าไรขมก็มาเสิร์ฟแล้วจ้าาาา แง้ อากงเสียแล้วนะคะ ชีวิตต่อจากนี้ของทั้งคู่จะเป็นยังไงฝากเป็นกำลังใจให้น้องนทกับพี่ภพด้วยนะคะ สัญญาว่าจะพยายามไม่ขมมาก (มั้งนะ)

เจอกันตอนหน้าค่ะ :)

* กุหลาบพันธุ์ดับเบิ้ลดีไลท์ =  เป็นพันธุ์กุหลาบที่ปลูกง่าย ออกดอกง่ายและมีกลิ่นหอมชื่นใจเป็นพิเศษ ลักษณะพิเศษของกุหลาบพันธุ์นี้คือกลีบดอกจะเป็นสีขาวครีมแซมสีชมพูแดงๆบริเวณปลายกลีบ 

* ดอม เปอรีญง (Dom Pérignon) = เป็นแชมเปญยี่ห้อเก่าแก่ของฝรั่งเศสผลิตโดยโรงแชมเปญชื่อดังอย่างโมเอ้ เตช็องดง ยี่ห้อดอม เปอรีญงถือเป็นแชมเปญระดับสูงสุดของโมเอ้ เตช็องดง ซึ่งเริ่มมีการผลิตในปี ค.ศ.1921 โดยชื่อยี่ห้อตั้งตามนักบวชคณะเบเนดิกต์ที่เป็นผู้บุกเบิกแชมเปญที่ชื่อว่าดอมปีแยร์ เปรีญง (Dom Pierre Pérignon)
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๑๗ (23-6-62)
เริ่มหัวข้อโดย: BABYBB ที่ 23-06-2019 21:25:53
ฮืออออออออ อากงงงงงงงง :m15:
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๑๗ (23-6-62)
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 23-06-2019 22:07:23
 :hao5:แง้
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๑๗ (23-6-62)
เริ่มหัวข้อโดย: sailom_orn ที่ 23-06-2019 22:51:23
 :z3: ท่านเจ้าสัว อยู่รอดูหลานๆมีความสุขก่อน
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๑๗ (23-6-62)
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 23-06-2019 23:07:05
 :serius2:
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๑๗ (23-6-62)
เริ่มหัวข้อโดย: วายซ่า ที่ 23-06-2019 23:13:23
ทำไมพอหลานจะมีความสุข ท่านเจ้าสัวถึงรีบจะจากไปเล่า. สงสารน้อง.   :mew6:
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๑๗ (23-6-62)
เริ่มหัวข้อโดย: Funnycoco ที่ 23-06-2019 23:22:01
อากง :sad11:
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๑๗ (23-6-62)
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 23-06-2019 23:31:03
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๑๗ (23-6-62)
เริ่มหัวข้อโดย: HISY ที่ 24-06-2019 01:10:07
อากงงง T_T
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๑๗ (23-6-62)
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 24-06-2019 01:35:13
อากงคงสบายใจแล้วแหละ
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๑๗ (23-6-62)
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 24-06-2019 14:33:46
 :sad4: :sad4: :sad4:
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๑๗ (23-6-62)
เริ่มหัวข้อโดย: Bernini ที่ 25-06-2019 01:55:21

เหมือนนทลืมเรื่องที่ภพมีคนอื่นไปเลย คือผู้ชายเจ้าชู้ไม่ควรเป็นเรื่องปกติและไม่ได้รับผลตอบแทนนะคะ นี่ไม่เขินตามเลยค่ะ รู้สึกยังไม่มีอะไรสะสางเลย


หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๑๗ (23-6-62)
เริ่มหัวข้อโดย: SoSweetCB ที่ 25-06-2019 03:35:56
แงงงง ที่บอกว่าจะมีดราม่าคือเรื่องอากง ไม่ใช่เรื่องมือที่สามใช่มั้ยคะ เข้าใจกันแล้วไม่อยากให้มีปัญหาความสัมพันธ์กันอีก


Sent from my iPhone using Tapatalk
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๑๗ (23-6-62)
เริ่มหัวข้อโดย: nikpook ที่ 25-06-2019 10:06:26
รอๆท่านเจ้าสั่ว :sad4:
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๑๗ (23-6-62)
เริ่มหัวข้อโดย: PINE J. ที่ 24-07-2019 19:55:06
มาต่อเถอะนค้าาา
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๑๗ (23-6-62)
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 24-07-2019 22:26:47
หายไปนานจังเลย
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๑๗ (23-6-62)
เริ่มหัวข้อโดย: zenesty ที่ 25-07-2019 10:17:44
คนเขียนเป็นอะไรกันกับคุณนาวาร้อยตรีค่ะ​ แอบงง​  เพราะดันไปเจอหนังสือนิยายเล่มนึง​ ใช้ชื่อนิยายเดียวกัน​ นางเอก​ (นายเอก)​ เดียวกันกับเรื่องนี้​ เพียงแต่เรื่องนั้นเป็นช-ญ​ เรื่องนี้เป็น​ ช-ช​
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๑๗ (23-6-62)
เริ่มหัวข้อโดย: sailom_orn ที่ 05-08-2019 03:00:19
คิดถึงคนแต่ง
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๑๗ (23-6-62)
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 08-08-2019 03:25:39
หายไปนานจัง
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๑๗ (23-6-62)
เริ่มหัวข้อโดย: ซีเนียร์ ที่ 19-08-2019 21:35:59
ติดตามจ้า  :L2:
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๑๗ (23-6-62)
เริ่มหัวข้อโดย: mickeyz.min ที่ 16-11-2019 23:02:04
เศร้าแล้ววววว :ling3:
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๑๗ (23-6-62)
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 21-11-2019 16:16:10
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๑๗ (23-6-62)
เริ่มหัวข้อโดย: TheDoungJan ที่ 17-04-2020 17:01:30
 :hao5:
หัวข้อ: Re: Husband-in-law {yaoi} ;up! บทที่ ๑๗ (23-6-62)
เริ่มหัวข้อโดย: Kirana9165 ที่ 18-04-2020 12:06:53
รอมาต่อ อยู่นะคะ