“อ้าวคุณหนู… อรุณสวัสดิ์ค่ะ” เสียงพี่นวลเอ่ยทักทายเมื่อเห็นร่างบางของคุณหนูเดินลงมาข้างล่างด้วยท่าทีเหนื่อยอ่อนจนเธอเองอดเป็นห่วงไม่ได้
“อรุณสวัสดิ์ครับพี่นวล… ขอโทษนะครับนทตื่นสายไปหน่อย” นทีรินยิ้มบางๆให้พี่เลี้ยงคนสนิทก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้ที่โต๊ะอาหารขนาดใหญ่ที่เขาต้องนั่งทานอาหารที่นี่ทุกวัน
“ไม่เป็นไรเลยค่ะ… ที่จริงจะนอนต่ออีกสักหน่อยก็ได้นี่คะเมื่อคืนกว่าจะกลับจากงานเลี้ยงก็ดึกมากแล้ว อีกอย่างวันนี้คุณหนูก็ไม่ต้องเข้าประชุมกับบอร์ดไม่ใช่เหรอคะ” พี่นวลเอ่ยบอกพลางยกกาต้มกาแฟรินใส่ถ้วยกาแฟให้คุณหนูอย่างที่ทำเป็นประจำ
“ครับ วันนี้ไม่ต้องเข้าบริษัท… แต่นทยังทำรายงานรายจ่ายในบ้านกับเงินเดือนของพนักงานยังไม่เสร็จเลยครับก็เลยรีบตื่นมาทำ เดี๋ยวจะเสร็จไม่ทันน่ะครับ” นทีรินเอ่ยบอกพร้อมรอยยิ้มบางๆจนพี่นวลรู้สึกสงสารขึ้นจับใจ
เพราะนอกจากงานที่บริษัทแล้วคุณหนูของเธอก็มีหน้าที่ในบ้านที่ต้องจัดการอีกหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการทำรายจ่ายต่างๆภายในบ้าน รายงานเงินเดือนของพนักงานทุกคนในบ้านกิจจานนท์และสารพัดการจัดการภายในบ้านทุกอย่างที่คุณหนูของเธอต้องรับผิดชอบ ต้องยอมรับเลยว่าหากบ้านกิจจานนท์ขาดนทีรินไปแม้แต่คนเดียวบ้านก็คงไม่เรียบร้อยมาจนถึงทุกวันนี้แน่นอน
“โถ เหนื่อยแย่เลยคุณหนูของพี่… ถ้าอย่างนั้นมาทานข้าวเช้าก่อนนะคะค่อยไปทำงาน -- วันนี้พี่ทำโจ๊กเป๋าฮื้อให้ทานด้วยนะคะ” พี่นวลยิ้มเป็นกำลังใจให้คุณหนูอย่างที่ทำเป็นประจำ แม้เธอจะมีความรู้น้อยและไม่สามารถช่วยเหลืออะไรนทีรินได้มากนักแต่เธอเองก็อยากจะช่วยคุณหนูให้กินดีอยู่ดีมีความสุขอย่างที่ควรจะเป็น และยิ่งเห็นใบหน้าของคุณหนูแสดงความดีใจเหมือนเด็กๆที่เธอทำอาหารโปรดไว้ให้พี่นวลก็ยิ่งรู้สึกสุขใจตามไปด้วย
“ว้าว… มีปาท่องโก๋ด้วยไหมครับพี่นวล”
“มีสิคะ พี่จัดการให้คุณหนูเรียบร้อยแล้วค่ะพร้อมทานเลย”
“น่ารักที่สุดเลยครับ แบบนี้นทมีแรงทำงานทั้งวันเลย”
นทีรินยิ้มกว้างกับความเอาใจใส่ของพี่เลี้ยงคนสนิทที่ไม่ว่าเขาจะเจอเรื่องอะไรแย่ๆและหนักหน่วงมามากเพียงใดแต่เขาก็ยังมีพี่นวลอยู่เคียงข้างเขาเสมอ เขาจึงไม่เคยคิดว่าพี่นวลเป็นเพียงพี่เลี้ยงเลยเพราะนอกจากครอบครัวของเขาเองแล้วก็เจ้าสัวพีระ พี่นวลก็เป็นเหมือนคนในครอบครัวของเขาอีกคนเช่นกัน
“ทานเยอะๆนะคะ ช่วงนี้คุณหนูซูบลงไปเยอะนะคะ”
พี่นวลเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงพลางวางชามโจ๊กเป๋าฮื้อที่ส่งกลิ่นหอมยั่วน้ำลายลงตรงหน้าคุณหนู และเธอสังเกตุได้ว่าตั้งแต่ที่คุณหนูต้องเข้าไปทำงานรับหน้าที่แทนเจ้าสัวพีระนั้นคุณหนูของเธอดูซูบผอมลงไปเยอะ อาจจะเป็นเพราะงานบริหารที่มีทั้งความเครียดและกดดันมากเกินที่คนๆนึงจะรับได้ไหวและตอนนี้คุณหนูก็ยังต้องมารับมือกับปัญหาต่างๆที่เกี่ยวกับภวินท์อีกเหตุผลพวกนี้คงทำให้นทีรินเกิดภาวะความเครียดจนส่งผลต่อการทานอาหารได้ง่าย
“ได้เลยครับ วันนี้นทจะทานโจ๊กของพี่นวลสองชามเลย” นทีรินสูดดมกลิ่นเย้ายวนเข้าเต็มปอดก่อนจะยิ้มกว้างออกมาเพราะรู้สึกดีใจที่ได้ทานอาหารโปรด มือบางหยิบช้อนตักโจ๊กเข้าปากอย่างเอร็ดอร่อยจนพี่นวลรู้สึกโล่งใจที่คุณหนูทานข้าวได้เยอะ
“แล้วงานเลี้ยงเมื่อคืนราบรื่นดีใช่ไหมคะ เอ่อ… พี่เห็นข่าวของคุณหนูกับคุณภพเต็มโซเชียลไปหมดเลยค่ะ”
พี่นวลถามเสียงตะกุกตะกักเล็กน้อยเพราะไม่แน่ใจว่าควรจะถามเรื่องนี้ออกไปหรือไม่ แต่อีกใจหนึ่งก็อยากจะรู้ความเป็นไปของคุณหนู เพราะในข่าวที่เธออ่านพร้อมรูปถ่ายที่เห็นนั้นมันทำให้เธอแปลกใจไม่น้อยเลย
“ข่าวไวจังเลยนะครับ” นทีรินถอนหายใจเบาๆอย่างปลงๆ
“ค่ะ มีลงทั้งในโซเชียลมีเดียแล้วก็เว็ปสำนักข่าวต่างๆด้วยนะคะ… พี่เพิ่งรู้ว่าผู้คนภายนอกเขาสนใจชีวิตคุณหนูของพี่เยอะขนาดนี้เลยเหรอคะ”
แม้ภวินท์และนทีรินจะไม่ใช่ดาราดังแต่ด้วยความที่เป็นไฮโซฯตระกูลดังทั้งคู่ก็เลยทำให้ผู้คนภายนอกนั้นอยากติดตามข่าวเป็นอย่างมาก เพราะไม่ว่าจะไปไหนทำอะไรกับใครผู้คนก็ต่างจับจ้องมาตลอด ตอนแรกนทีรินก็รู้สึกอึดอัดและประหม่าไปบ้างแต่ตอนนี้เขาเองก็เริ่มชินเสียแล้ว
“นทชินแล้วล่ะครับ เดี๋ยวสักพักข่าวก็ซาๆไปเองแหละครับคนเดี๋ยวนี้ลืมเร็วจะตายครับพี่นวล” นทีรินเอ่ยบอกพี่เลี้ยงอย่างปลงๆเพราะเขาเองก็ไม่อยากให้พี่นวลมาเครียดหรือเก็บเอาข่าวพวกนี้ไปคิดมาก
“เอ่อ… คุณหนูคะ พี่ว่าคุณภพดู…” เสียงเว้นวรรคอย่างตะกุกตะกักถูกเอื้อนเอ่ยออกมาพร้อมสีหน้าของพี่นวลที่ดูเป็นกังวลนั้นทำให้นทีรินถามขึ้น
“ทำไมเหรอครับ”
“แปลกๆไปนะคะ… ปกติคุณภพไม่มายุ่งหรือวุ่นวายอะไรกับคุณหนูเลยนี่คะแต่ภาพในข่าวที่พี่เห็นมัน…”
พี่นวลพูดเสียงอ้อมแอ้มพลางหลุบตาลงไม่กล้าสบตากับคุณหนูเพราะเธอเองก็ไม่อยากจะถามอะไรให้มากความจนคุณหนูเกิดความไม่พอใจเพียงแต่เธอเป็นห่วงความรู้สึกของคุณหนูเท่านั้นเอง เพราะภาพข่าวที่เธอเห็นนั้นมันทำให้เธอรู้สึกแปลกใจกับการกระทำของภวินท์ไม่น้อยเลย
นทีรินรับรู้ถึงความห่วงใยผ่านสายตาของพี่นวลได้เป็นอย่างดีและเขาเองก็ซาบซึ้งกับมันอย่างมาก การที่มีคนเป็นห่วงเรามันรู้สึกดีจริงๆ
แต่หากถ้าเขาจะนึกไปถึงงานเมื่อคืนมันก็ราบรื่นดีไม่มีอะไรต้องเป็นกังวลเพราะสิ่งที่ทุกคนรับรู้นั้นมันก็เป็นแค่เพียงละครฉากหนึ่งที่เขาและภวินท์แสดงออกไปเท่านั้น
“พี่นวลไม่ต้องคิดอะไรหรอกนะครับ มันก็แค่ละคนฉากหนึ่งเท่านั้นแหละครับพี่นวลก็ทราบดีนี่ครับว่าอะไรเป็นอะไร ที่เขาทำแบบนั้นก็เพราะอยากหาเรื่องแกล้งนทเท่านั้นแหละครับ -- แล้วนทก็ทำอะไรไม่ได้เพราะต่อหน้าคนอื่นนทไม่อยากแสดงอะไรที่ไม่ดีออกไปทั้งๆที่ความจริงนทอยากจะว่าเขาแรงๆจะแย่อยู่แล้ว”
นทีรินเอ่ยบอกพี่เลี้ยงด้วยอารมณ์ที่เริ่มคุกรุ่นเมื่อนึกไปถึงใบหน้าหล่อคมที่มีแต่ความกวนประสาทประดับอยู่ รอยยิ้มมุมปากอย่างร้ายกาจแบบนั้นทำให้นทีรินพ่นลมหายใจออกจมูกแรงๆด้วยความกรุ่นโกรธ แล้วไหนจะสิ่งที่ร่างสูงทำกับเขาบนรถอีกยิ่งคิดก็ยิ่งนึกเอ็ดตัวเองที่เคลิบเคลิ้มไปตามภวินท์ หัวใจดวงน้อยเริ่มเต้นรัวขึ้นมาเมื่อนึกไปถึงเหตุการณ์บนรถและเหตุการณ์ตอนที่อยู่ต่อหน้านักข่าว สายตาคู่คมนั้นมองมาที่เขาอย่างอ่อนละมุนแบบนั้นมันทำให้เขาอดนึกไปถึงภวินท์พี่ชายที่แสนดีของเขาไม่ได้เพราะภวินท์มักจะใช้สายตาแบบนี้มองมาที่เขาเสมอๆ
“ไม่เอาค่ะ... ไม่พูดเรื่องนี้แล้วนะคะ ยิ่งพูดเดี๋ยวจะยิ่งอารมณ์ไม่ดีค่ะ -- ทานข้าวต่อดีกว่านะคะเดี๋ยวพี่ไปตักมาทานเป็นเพื่อน”
พี่นวลตัดบทขึ้นเพราะไม่อยากให้คุณหนูรู้สึกอารมณ์ไม่ดีพลางนึกเอ็ดตัวเองในใจว่าเธอไม่ควรถามถึงภวินท์ให้คุณหนูรู้สึกเจ็บใจเลย พี่นวลกำลังจะเดินเข้าไปในครัวเพื่อตัดข้าวต้มมานั่งทานเป็นเพื่อนนทีรินแต่ต้องชะงักเท้าเสียก่อนเมื่อได้ยินใครสักคนเรียกชื่อตัวเอง
“พี่นวล พี่นวลครับ!” มองไปก็พบว่าเป็นโต๋นั่นเองที่ทั้งวิ่งตึงตังและเรียกเสียงดังมาแต่ไกลเหมือนเด็กๆจนพี่นวลอดเอ็ดขึ้นมากับความโตแต่ตัวของโต๋ไม่ได้
“มีอะไรเจ้าโต๋… เสียงดังลั่นบ้านเชียว กลัวคนข้างบ้านไม่ได้ยินหรือไงกัน”
“อ้าวคุณนทก็อยู่เหรอครับ งั้นดีเลยครับ” โต๋เอ่ยบอกเมื่อเห็นนทีรินกำลังนั่งทานข้าวอยู่พอดี
“มีอะไรเหรอครับพี่โต๋” นทีรินเลิกคิ้วถามอย่างสงสัย
“อ่า… ผมว่าคุณนทไปดูเองข้างนอกดีกว่าครับ”
โต๋ไม่ได้บอกอะไรนอกจากชี้ไปทางหน้าบ้านซึ่งมันก็ทำให้นทีรินถอนหายใจเบาๆพลางส่ายหัวอย่างเหนื่อยหน่ายกับท่าทีแปลกประหลาดของโต๋ที่ดูปิดบังและทว่าแฝงใบหน้าซ่อนความดีใจไว้ด้วย
นทีรินไม่รอฟังอะไรนอกจากสาวเท้าออกไปตามที่โต๋บอก เมื่อไปถึงบริเวณเทอร์เรสหน้าบ้านก็พบว่ามีรถสปอร์ตสีขาวคันหรูติดยี่ห้อ Aston Martin จอดอยู่ข้างๆมีใครสักคนยืนเช็คความเรียบร้อยอยู่บริเวณรถอย่างจดจ่อก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาพบเขาแล้วยกมือไหว้ทักทาย
“สวัสดีครับคุณนทีริน… เดี๋ยวรบกวนช่วยเซ็นต์รับตรงนี้ด้วยครับ” ชายหนุ่มอายุประมาณสามสิบกว่าๆยื่นใบเซ็นต์รับมาให้ นทีรินรับมาด้วยความงงงวย
“เซ็นต์อะไรกันครับ… แล้วนี่รถของใครกัน” นทีรินเอ่ยถามอย่างสงสัยเมื่ออ่านรายละเอียดในใบเซ็นต์รับคร่าวๆแล้ว
ข้อมูลในนั้นระบุเกี่ยวกับข้อมูลรถยนต์ต่างๆอย่างละเอียดและด้านล่างมีที่เว้นว่างไว้เพื่อรอให้เขาเซ็นต์ชื่อลงไป นทีรินอ่านรายละเอียดภายในกระดาษแผ่นนั้นอย่างถี่ถ้วนก่อนจะมองไปบนหัวกระดาษที่ระบุชื่อบริษัทที่นทีรินรู้จักดีเพราะเป็นบริษัทของสามีเขาเอง
“ของคุณนทีรินนั่นแหละครับ… เจ้านายสั่งซื้อและให้เอามาให้ครับ” พนักงานคนนั้นเอ่ยบอกพร้อมรอยยิ้ม
“ของผม? -- คุณภพเป็นคนซื้อมาเหรอครับ” นทีรินถามซ้ำอย่างสงสัย เพราะไม่เข้าใจว่าภวินท์จะซื้อรถคันนี้มาให้เขาทำไมกัน
“ใช่ครับ”
“ขอบคุณนะครับ แต่ผมไม่รับ… แล้วก็จะไปคุยกับเจ้านายของคุณเองครับ -- คุณเอารถกลับไปได้เลย ขอโทษนะครับที่ทำให้เสียเวลา”
นทีรินเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงราบเรียบก่อนจะยื่นใบเซ็นต์รับคืนไป พนักงานคนนั้นรับคืนไปด้วยสีหน้างงงวยที่ภรรยาของเจ้านายไม่ยอมรับรถไป แต่ก่อนจะได้พูดอะไรออกไปเสียงทุ้มคุ้นเคยก็ดังขึ้นก่อน
“มาส่งแล้วเหรอ” ภวินท์ที่กำลังจะออกไปทำงานเดินเข้ามาถามพอดี
นทีรินมองหน้าคนเป็นสามีนิ่งเพราะไม่เข้าใจกับสิ่งที่อีกฝ่ายทำและวันนี้เขาต้องคุยกับภวินท์ให้รู้เรื่อง
“สวัสดีครับเจ้านาย” พนักงานคนนั้นยกมือไหว้เจ้านายอย่างนอบน้อม ภวินท์รับไหว้ก่อนจะเดินมาที่รถคันหรูเพื่อเช็คความเรียบร้อยต่างๆ
“อืม ทุกอย่างเรียบร้อยไหม”
“อ่า… ครับ -- แต่ว่าคุณนทีรินไม่เซ็นต์รับครับเจ้านาย”
พนักงานคนนั้นตอบเสียงตะกุกตะกักเล็กน้อยด้วยท่าทีเกรงใจ สิ้นเสียงของพนักงานภวินท์ก็หันมาถามคนเป็นภรรยาที่ยืนมองมาที่เขานิ่งๆ
“ทำไม… ไม่ถูกใจตรงไหนหรือเปล่า”
เสียงทุ้มของสามีที่ถามออกมาด้วยท่าทีปกติยิ่งทำให้นทีรินไม่เข้าใจไปกันใหญ่ ร่างบางพรูลมหายใจออกมาเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงราบเรียบทว่าเยียบเย็นอยู่ภายใน
“คุณภพ ผมขอคุยกับคุณเป็นการส่วนตัวสักครู่ได้ไหมครับ”
“คุณภพซื้อรถให้ผมทำไมครับ”
นทีรินเอ่ยถามทันทีที่เขาและภวินท์เดินเข้ามาคุยกันเพียงลำพังในห้องรับแขกใหญ่ของบ้าน ภวินท์ทรุดนั่งที่โซฟาหลังใหญ่แขนแกร่งพาดไปที่พนักพิงด้วยท่าทีสบายๆในขณะที่นทีรินยืนประชันหน้าเขาอยู่ไม่ห่าง
“ก็อยากได้ไม่ใช่เหรอ” เอ่ยบอกพลางไหวไหล่ขึ้นเล็กน้อย
สิ้นสุดคำพูดนั้นนทีรินก็คิดได้ว่าที่งานเลี้ยงเมื่อวานนี้เขาแกล้งพูดเล่นกับญาติๆของภวินท์ว่าเขาอยากได้รถคันนี้ เพราะเป็นแบบนั้นภวินท์ก็เลยซื้อมาให้เขาอย่างนั้นเหรอ
“ผมไม่ได้อยากได้ครับ… ที่ผมพูดเมื่อวานเพราะแค่อยากแหย่พวกพี่ๆเขาเล่น แล้วอีกอย่างผมเองก็มีรถส่วนตัวอยู่แล้วด้วยครับ”
นทีรินปฏิเสธออกไปทันที และเขาก็รู้ว่าภวินท์รู้ว่าเขาพูดเล่นแต่ทำไมอีกฝ่ายถึงยังซื้อรถคันนี้มาให้เขาอีก เขาไม่ได้อยากได้เสียหน่อยแล้วอีกอย่างเขาเองก็มีรถส่วนตัวอยู่แล้วและมันก็ยังใช้การได้ดีอยู่ด้วย
“คันนั้นมันเก่าแล้วนี่ ใช้มาหลายปีแล้วไม่ใช่เหรอ เปลี่ยนๆไปเถอะ” เสียงทุ้มเอ่ยบอกนิ่งๆพลางเลื่อนดูอะไรสักอย่างในแท็ปเล็ตเครื่องหรูไปด้วย
นทีรินกลอกตาบนขึ้นอย่างอ่อนใจที่อีกฝ่ายไม่สนใจอะไรที่เขาพูดเลยหนำซ้ำยังมาตัดสินใจอะไรแทนเขาอีก ถึงแม้รถของเขาจะใช้มาหลายปีแล้วแต่เขามันก็ไม่ได้เก่าขนาดที่จะต้องเปลี่ยนเลยนี่
“ถึงมันจะเก่าจะหลายปีแต่สภาพของมันยังดีและใช้งานได้อยู่ครับและอีกอย่างรถคันนั้นอากงเป็นคนซื้อให้ผม เพราะฉะนั้นผมจะไม่เปลี่ยนครับ” น้ำเสียงจริงจังและหนักแน่นทว่าแฝงไปด้วยความไม่พอใจอยู่ภายในดังขึ้นจนคนฟังต้องเงยหน้าจากแท็ปเล็ตเครื่องหรู
“ก็ซื้อมาแล้ว แค่รับไปมันคงไม่ยากอะไรหรอกนะ คุณจะเอาไปขับสลับกับคันเก่าก็ได้นี่”
ภวินท์ไม่สนใจก่อนจะหาทางออกให้นทีรินรับของที่เขาซื้อมาไปให้ได้ซึ่งนทีรินก็ยิ่งไม่เข้าใจไปใหญ่ว่าภวินท์ทำแบบนี้เพราะอะไรทั้งๆที่รู้อยู่เต็มอกว่าเขาไม่ได้อยากได้รถคันนี้จริงๆเสียหน่อย
“ผมไม่เข้าใจคุณเลยสักนิด คุณก็รู้ว่าผมพูดเล่นกับพวกพี่ๆเค้าแต่ทำไมคุณถึงยังต้องซื้อมาครับ -- ผมทราบนะครับว่าคุณภพมีเงินมากมายที่จะซื้อรถราคาเป็นร้อยล้านพันล้านได้ง่ายๆ แต่อย่าเอาเงินของคุณมาซื้ออะไรที่สิ้นเปลืองให้ผมเลยครับเพราะผมไม่ได้อยากได้อะไรจากคุณเลย”
นทีรินร่ายยาวตามที่ใจคิดเพราะยิ่งคุยกันเขาก็ยิ่งไม่รู้เรื่องและไม่เข้าใจในจุดประสงค์ของภวินท์ว่าทำแบบนี้ทำไมหรืออีกฝ่ายแค่อยากจะแกล้งเขาเล่นอีก
“ผมก็ไม่ได้ซื้อให้คุณฟรีๆนี่ ก็ถือซะว่าผมซื้อให้คุณเป็นของขวัญตอบแทนที่คุณดูแลอากงมาตลอด” เสียงทุ้มเอ่ยบอกตามความรู้สึก
เพราะว่าเขาซื้อรถคันนี้มาเพียงเพราะนทีรินพูดว่าอยากได้มันก็เท่านั้น และเขาเองก็ไม่เข้าใจว่านทีรินจะเครียดไปทำไมกับแค่รถคันเดียวที่เขาเป็นคนซื้อให้
หลังจากสิ้นเสียงเหตุผลของการซื้อรถคันนี้ของสามีทางนิตินัยแล้วนทีรินก็ได้แต่พ่นลมหายใจออกมา เพราะเหตุผลนี้มันฟังไม่ขึ้นเลยสักนิด หน้าที่ที่ดูแลเจ้าสัวพีระมันเป็นสิ่งที่เขาเต็มใจทำอยู่แล้วเพราะท่านคือผู้มีพระคุณของเขา
“เรื่องดูแลอากงผมทำด้วยความเต็มใจและไม่ได้ต้องการอะไรตอบแทนจากคุณทั้งนั้นครับ -- แต่ถ้าคุณอยากตอบแทนจริงๆก็ช่วยทำหน้าที่เป็นหลานที่ดีของอากงก็พอครับ”
นทีรินเอ่ยบอกด้วยเสียงนิ่งเรียบและไม่พอใจ แต่เขาเหนื่อยที่จะคุยกับภวินท์แล้วเพราะยิ่งคุยภวินท์ก็ยิ่งทำให้เขารู้สึกโมโห เขากลัวว่าตัวเองจะทนไม่ไหวกับความกวนประสาทของอีกฝ่ายไปเสียก่อน ร่างบางกำลังจะเดินออกไปจากห้องรับแขกใหญ่แต่เสียงทุ้มกวนประสาทดังขึ้นก่อน
“ถ้าอย่างนั้นก็ถือเสียว่าผมซื้อมาแลกกับจูบของคุณเมื่อวานเป็นไง…”
นทีรินหันหน้ากลับมาเผชิญกับสามีที่ยิ้มมุมปากเย้ยหยันและแฝงไปด้วยความกวนประสาทมาที่เขาอยู่แล้ว นทีรินขบกรามแน่นเพื่อหวังว่ามันจะช่วยระงับความกรุ่นโกรธได้ ประโยคที่อีกฝ่ายเอ่ยออกมานั้นแสนสั้นแต่ทำให้เขาเจ็บใจได้ไม่น้อยเลย
ซื้อรถมาแลกกับจูบอย่างนั้นเหรอ… น่าเกลียดที่สุด! “ว่าไง… จะรับไปได้หรือยัง”
ภวินท์ยกคิ้วข้างนึงพลางถามด้วยท่าทีเรียบเฉยแต่แฝงไปด้วยความกวนประสาทไม่น้อย ดวงตาคมจับจ้องที่ริมฝีปากอวบอิ่มอย่างจาบจ้วงจนนทีรินคิดว่านั่นเป็นการกระทำที่หยาบคายที่สุด
“ถ้าอย่างนั้นผมยิ่งรับไม่ได้ใหญ่เลยครับเพราะผมไม่ได้ยินยอมและต้องการมัน -- กรุณาเอารถของคุณคืนไปด้วยครับ” นทีรินเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว เพราะเขาไม่ได้ยินยอมทั้งรถและทั้งจูบที่ภวินท์ฉวยโอกาสกับเขาเมื่อคืน
“หึ! รถของผมมันคงไม่มีค่าเท่าแจกันใบละหลายสิบล้านสินะ… ถึงได้อิดออดไม่อยากจะรับ”
เสียงทุ้มหัวเราะในลำคอก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงกระทบกระเทียบ ใบหน้าหล่อนั้นนิ่งเฉยแต่สายตาคมนั้นแฝงไปด้วยความไม่พอใจที่ภรรยาทางนิตินัยมีท่าทีอิดออดและไม่พึงใจกับสิ่งที่เขาซื้อมาให้ซึ่งมันทำให้เขารู้สึกอารมณ์คุกรุ่นขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้
นทีรินได้ยินเช่นนั้นก็แสยะยิ้มกับคำพูดประชดประชันของภวินท์ ในเมื่อภวินท์จะอยากเข้าใจอย่างไรเขาก็ไม่สนใจและจะไม่มีคำอธิบายใดๆออกจากปากเขาแม้แต่นิดเดียว เพราะเขาไม่จำเป็นต้องใส่ใจกับคนที่พูดจาร้ายกาจใส่เขาอยู่ตลอดเวลาแบบภวินท์เลยสักนิด
“ครับ รถของคุณมันก็ไม่มีค่าพอๆกับจูบของคุณนั่นแหละครับ”
น้ำเสียงเย็นชาดังขึ้นกระแทกอารมณ์ที่คุกรุ่นของภวินท์ได้อย่างดี ร่างสูงหัวเราะในลำคอแต่สายตาคมแข็งกร้าวขึ้นแสดงให้เห็นถึงอารมณ์ขุ่นมัวได้ดีแต่นทีรินไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะรู้สึกอย่างไร
“ไม่มีค่าอะไรสำหรับผมเลยแม้แต่นิดเดียว”
ร่างบางเอ่ยทิ้งท้ายประโยคหนักแน่นก่อนจะเดินออกจากห้องรับแขกใหญ่ไปด้วยความโมโหทิ้งให้ภวินท์มองท่าทีเมินเฉยนั่นด้วยอารมณ์คุกรุ่นที่เริ่มปะทุแรงขึ้นมาอย่างรวดเร็วแต่เขาไม่อยากจะยอมรับหรอกว่าไม่พอใจ มือหนาหยิบบุหรี่ไฟฟ้าขึ้นมาจุดสูบเพื่อคลายอารมณ์เพราะเขาไม่อยากจะไปทำงานด้วยอารมณ์ที่ขุ่นมัวจนไม่เป็นอันทำงาน แต่หากนึกไปถึงคำพูดของภรรยาเมื่อครู่และใบหน้านวลแฝงไปด้วยอารมณ์กรุ่นโกรธใบหน้าหล่อคมก็กระตุกยิ้มเย็น
ไม่มีค่าอย่างนั้นเหรอ หึ! To be continue
_____________________________________________________________________________________________
TALK WITH WRITER :: ล่าสุดซื้อรถมาแลกกับจูบน้องแล้วจ้า ร้ายที่สุด! ร้ายแบบนี้แล้วมีใครจะอยู่ทีมพี่ภพกันไหมเนี่ย รีดเดอร์รอสาปส่งนางไปทุกตอนเลยนะคะ 55555555555 เจอกันตอนหน้าค่ะ
ชาดาร์จีลิง = เป็นชาที่ที่ถูกผลิตในเมืองดาร์จีลิงอยู่ทางรัฐเบงกอลตะวันตก ประเทศอินเดีย สีของชาจะเป็นสีทองสว่างจึงทำให้ได้รับฉายาว่าเป็น "แชมเปญแห่งชา"คานาเป้ = เป็นอาหารชิ้นเล็กๆที่สามารถถือได้ด้วยนิ้วและมักรับประทานได้ในคำเดียว คานาเป้มักจะถูกนำมาใช้จัดงานเลี้ยงแบบค็อกเทลAston Martin = ชื่อบริษัทผลิตรถยนต์สปอร์ตหรูซึ่งมีฐานการผลิตที่เมือง Geydon ประเทศสหราชอาณาจักร ซึ่งชื่อยี่ห้อนั้นตั้งตามชื่อนามสกุลของ ลีโอเนล มาร์ตินซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งบริษัท