[ อังคารที่ 20 ธ.ค 59 ] ตอนที่ 35
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49086.1290[ อาทิตย์ที่ 25 ธ.ค 59 ] ตอนที่ 36
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49086.1320_ _ _ _ _ _ _ _ _ _
ตอนที่ 37
..ไฟ..ระยะทางระหว่างรถไฟฟ้าและการเดินเท้ามาวัดค่อนข้างไกลพอสมควร ตามจริงแล้วผมเป็นคนเอ่ยปากเองว่าจะเดิน ผมไม่แปลกใจกับเส้นทางที่กำลังไป ตามตรงแล้วก็คุ้นเคยเป็นอย่างดี การเดินตามหลังของแผ่นหลังที่เดินตรงไปอย่างแน่วแน่ทำให้ภาพในอดีตย้อนกลับมา ไม่ใช่ภาพของเขาเสียคนเดียวซะทีเดียว ใช้เวลาไม่ถึงสิบห้านาที ความเหนื่อยเกิดจากอากาศที่ร้อนมากกว่าระยะทาง เราทั้งคู่หยุดยืนอยู่หน้าสถานที่ที่แสนเงียบสงบแห่งหนึ่งในเมืองหลวง ต้นไม้ใหญ่ล้อมรอบปกคลุมเหนือหัว ได้ยินเสียงนกร้องเพราะหู
วัดนี้เป็นวัดประจำที่ตระกูลของผมมักเลือกใช้ทำพิธีให้กับคนในครอบครัวที่เสียชีวิต ไม่ว่าจะลูกน้องหรือคนสนิท เป็นมาอย่างนี้ตั้งแต่สมัยของปู่หรือพ่อของปู่โน่นล่ะ เช่นเดียวกันว่าพ่อของคนที่มาด้วยกันกับผมก็เผาที่นี่เช่นกัน เผาแบบไร้ญาติมิตร มีแต่เพียงเพื่อนร่วมงานและคนในครอบครัวผมเท่านั้น ผมหยุดยืนนิ่ง แม้จะไม่แปลกใจหรือตื่นตระหนกต่อการมาถึง แต่แค่สงสัยนิดหน่อยว่าคนตรงหน้ากำลังรู้สึกอย่างไร
“ไปกันเถอะครับ”
ผมเงยหน้าขึ้นมองสมุทรที่หันกลับมาเรียกสติผมด้วยน้ำเสียงสุภาพ เขาก้าวเข้าไปในตัววัดก่อน ผมจึงก้าวตามไป ระหว่างทางมีร้านดอกไม้ธูปเทียนวางขาย โดยปกติแล้วผมไม่จุดธูปไหว้พระ แต่เนื่องจากยังไม่รู้นิสัยใจคอของคนที่มาด้วยมากนักและเกรงว่าจะเป็นการเสียมารยาทผมจึงเดินไปเพื่อจะซื้อดอกไม้ธูปเทียนติดมือไปด้วย
สมุทรหยุดเดินหันกลับมา ผมจึงชี้นิ้วบอกจุดประสงค์เล็กน้อย ไม่รู้ว่าคำพูดหายไปไหนหมด แต่จู่ ๆ อีกฝ่ายก็เข้ามาคว้าแขนผมไว้ ผมหยุดมองอย่างสงสัย เขาไม่พูดอธิบายใด ๆ แต่กลับดึงแขนผมให้เดินตามเขาไปทั้งอย่างนั้นจนเรามาหยุดอยู่ที่หน้าโบสถ์ รองเท้าที่ด้านหน้าไม่มีสักคู่ทำให้รู้ว่าด้านในคงจะไม่มีใคร รอบ ๆ ตัวที่เห็นหนาตาหน่อยก็เป็นผ้าขาว สมุทรปล่อยมือออกพร้อมถอดรองเท้า ผมจึงทำตาม
สัมผัสแรกที่เข้ามาถึงด้านในคือความเย็นสบายที่มีมากกว่าด้านนอก ผมนั่งลงข้าง ๆ กับคนที่มาด้วย เราต่างไหว้พระ ทุกอย่างเป็นไปอย่างเงียบเชียบและสงบ ผมที่ไหว้พระเสร็จก่อน เป็นการไหว้อย่างไม่มีการขอใด ๆ เสร็จแล้วจึงได้แต่นั่งมองสมุทรอย่างรักษาความเงียบเอาไว้ อีกฝ่ายลืมตาขึ้นช้า ๆ ก่อนก้มกราบสามครั้ง ผมเหสายตามองไปที่ตักของเขาแทนที่เราจะสบตากันตรง ๆ
“วัดนี่นะ สถานที่ที่พิเศษสำหรับฉัน” ผมเปลี่ยนเรื่องพูดติดตลก
“ไม่ดีเหรอครับ” อีกฝ่ายยิ้มตอบ ผมเงียบ ได้เพียงแต่ยิ้มมุมปากนิดหน่อยเท่านั้น ผมขยับขาเปลี่ยนเป็นนั่งขัดสมาธิ
“พ่อฉันจัดพิธีศพให้พ่อนายที่นี่” ผมพูดขึ้นโต้ง ๆ โดยหันหน้าออกไปทางประตูโบสถ์
“ครับ ผมทราบ” สมุทรตอบ ผมทิ้งช่วงเงียบลงอึดใจหนึ่ง
“ทำพิธีเจ็ดวัน นานพอ ๆ กับญาติผู้ใหญ่ในครอบครัว พ่อฉันต้องการแบบนั้น ปกติ.. ถ้าลูกน้องคนไหนที่ญาติไม่สะดวกนำกลับไปทำพิธีที่บ้านเกิด เรามักจะทำพิธีกันที่วัดนี้ ครอบครัวฉันจะช่วยเหลือค่าทำศพครึ่งหนึ่ง แล้วเป็นเจ้าภาพแค่บางวัน แล้วแต่คน”
“แต่ลุงยอด พ่อฉันไม่ให้ใครแตะเลย จัดการเองหมด” ผมเล่า ทิ้งเสียงจากผมเราก็เงียบกันหลายนาทีเห็นจะได้
“ผมเคยเห็นคุณที่นี่..” สมุทรพูดขึ้นทำให้ผมหันขวับไปมองเขาในทันที อีกฝ่ายเหสายตาลงไม่สบตา
“สมัย ที่พ่อเอาแต่..โอ๋คุณละมัง”
“หึ” ผมหัวเราะกับคำพูดติดตลกที่ประชดประชันนั่น
“ผมแอบมา ตอนนั้นหน้าวัดยังมีแต่ป่าอยู่เลย กลับถึงบ้านโดนแม่ตีใหญ่ว่าหายไปไหนมาดึกดื่น คืนนั้นเป็นงานศพของลูกน้องพ่ออีกทีมั้งครับ ที่สำคัญ..ผมว่าคุณหน้าตากวนประสาทตั้งแต่เด็กเลย” สมุทรช้อนตาขึ้นมอง ผมจ้องจนเกือบจะหลุดขำ
“ผมจำหน้าคุณไม่ได้หรอก แต่จำความคิดตัวเองในใจตอนนั้นได้น่ะ”
“สาบานต่อหน้าพระนะว่านั่นพูดออกมาจากใจ” ผมพูดด้วยใบหน้านิ่งเฉย
“ครับ ไม่จำเป็นต้องโกหกนี่” อีกฝ่ายย้อน ผมยิ้มนิดหน่อยอย่างไม่ปฏิเสธ บทสนทนาถูกจบลงหลังจากนั้น เราออกจากตัวโบสถ์เมื่อมีคนทยอยมากราบไหว้
“ฉันสงสัยน่ะ..” ผมเข้าไปยืนขวางตรงหน้าสมุทรไม่ให้อีกฝ่ายเดินต่อ
“ที่เขาบอกว่า การที่คนเราได้มาเจอกันอีกเพราะทำบุญทำกรรมร่วมกันมานี่มัน ..นายว่ามันจริงไหม ?” ผมถามหน้าเป็น สมุทรจ้องเขม็ง สีหน้ายังไม่บอกอารมณ์ไม่ชอบใจใด ๆ
“กรุณาสำรวมด้วยครับ” เขาตอบ
“ไม่สำรวมตรงไหน ก็แค่ถาม” ผมเบ้ปาก กะพริบตาพลางยกไหล่ขึ้นทั้งสองข้าง
“ครับ คงงั้นมั้งครับ” สมุทรตัดบทตอบปัดประเด็นไปที เขาเบี่ยงตัวเดินผ่านหน้าผมไป ผมได้แต่แสยะยิ้มมอง อีกฝ่ายคงไม่อยากที่จะโกหกถึงได้ตอบรับมาเช่นนั้น สมุทรเดินตรงไปที่แม่ค้าขายน้ำอ้อยตรงทางประตูเข้าบริเวณวัด
“เอาไหมครับ” เขาหันมาถามพร้อมทำท่าจะซื้อให้ผมอีกถุง
“ไม่” ผมตอบแทบไม่ต้องคิด เห็นก็รู้แล้วว่ามันคงจะหวานมาก สมุทรับถุงน้ำอ้อยมาพร้อมกับจ่ายเงินให้แม่ค้าไป ไม่ทันให้หลอดน้ำอ้อยเข้าปากคนซื้อ ผมก็คว้ามือไปแย่งถุงมาก่อนจนยายคนขายมองตามแล้วหัวเราะ สมุทรอมยิ้มส่ายหัวน้อย ๆ ไม่ว่าอะไร น้ำอ้อยถูกดูดเข้าไปหลายอึกพร้อม ๆ กับเดินออกมาหยุดยืนที่ริมถนนใหญ่
“อ้า หวานฉิบ” ผมขมวดคิ้วบ่นหน้าแหย ยื่นถุงกลับคืนให้เจ้าของ
“หึ” สมุทรอมยิ้ม รับถุงกลับคืนไปดูดต่อ
ครั้งนี้ผมเป็นฝ่ายเดินนำออกมาก่อน ในหัวที่ไม่มีแบบแผนมาตั้งแต่ก่อนหน้ากำลังนึกไปต่าง ๆ นา ๆ ว่าควรไปที่ไหนต่อเพื่อที่จะไม่ให้อีกฝ่ายเบื่อ คิดไปคิดมาแล้ว บางทีหมอนี่อาจจะเบื่อตั้งแต่ก่อนมาแล้วก็ได้น่ะนะ ดังนั้น
ช่างหัวปะไรสมุทรเดินตามหลังมาเงียบ ๆ เราทั้งคู่ออกมายืนอยู่ที่หน้าปากซอยอีกครั้ง ครั้งนี้ผมเป็นฝ่ายโบกเรียกแท็กซี่เองคล้ายกับกึ่ง ๆ บังคับให้คนที่มาด้วยไปต่อด้วยกัน สถานที่ต่อไปเป็นเขตพระนคร พิพิธภัณฑ์ ผมเคยได้ยินข้อมูลเกี่ยวกับพิพิธภัณฑ์แห่งนี้จากปากของยู เขาสนใจทางด้านนี้แต่ผมไม่เคยมีโอกาสได้มาสักที ไม่วนเวียนอยู่กับแหล่งทำมาหากินก็อยู่แต่บ้านกับค่ายมวย หากผมมีโอกาสมาที่นี่ปกติผมคงมาคนเดียวหรือไม่ก็คงจะชวนให้ยูมาด้วยกัน สรุปแล้วสถานที่เช่นนี้ผมว่าการมาคนเดียวสะดวกกว่า แต่วันนี้ถือว่าเป็นโอกาสพิเศษละมัง เหมือนกับว่าไม่มีที่จะไปด้วยกันทั้งคู่ ถ้าจะเป็นห้างสรรพสินค้าก็คงไม่ต่างอะไรจากทุกที อีกอย่างสมุทรก็คงไม่ได้พิสมัยห้างสักเท่าไหร่
“เบื่อก็บอกล่ะ” ผมพูดขึ้นหลังจากที่จ่ายเงินค่าเข้าพิพิธภัณฑ์สำหรับสองคนเสร็จ
“ยังไม่เคยมาที่นี่เหมือนกันครับ” สมุทรพูดพร้อมเงยหน้าขึ้นมองตัวตึกของอาคารแห่งนี้ ไม่รู้เป็นบอกกล่าวหรือบ่นให้ฟังกันแน่
“ใช่สิ คุณไม่ต้องกินยาเหรอครับ” อีกฝ่ายขมวดคิ้วด้วยสีหน้าเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้
“ไม่ต้อง” ผมตอบปัด ตามจริงแล้วยังมียาที่จำเป็นต้องกินเหลืออยู่แม้จะหายดีแล้ว ผมไม่ได้พกมาด้วยเพราะมันน่ารำคาญ
“คุณนี่นะ” คนฟังถึงกับถอนหายใจ ดูท่าเขาจะรู้ทัน
ผมพลิกนาฬิกาข้อมือดูก่อนที่จะเริ่มสำรวจด้านใน เวลาตอนนี้เกือบห้าโมงเย็นแล้ว ดังนั้นจึงมีเวลาเหลือไม่มากสำหรับที่นี่ เราสองคนไม่ได้เกาะกลุ่มกันเดิน ใครใคร่สนใจในสิ่งไหนก็อยู่กับจุดนั้นนานหน่อย มีเพียงระหว่างเปลี่ยนไปชั้นอื่น ๆ เราก็แค่เดินตามไปด้วยกันก็เท่านั้น ที่พิพิธภัณฑ์แห่งนี้บอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับความเป็นมาของประเทศไทยในแบบที่เข้าใจง่ายสำหรับเด็กนักเรียน ส่วนใหญ่จึงมีแต่วัยรุ่นเข้ามาศึกษาหาข้อมูล สิ่งที่ทำให้ผมกับสมุทรตื่นเต้นกันมากที่สุดก็คงจะเป็นพวกวัฒนธรรมเก่า ๆ ที่เราได้เคยสัมผัสกันในสมัยเด็ก แต่ตอนนี้กลับเลืองรางเต็มทีและแทบไม่ได้เห็นว่าเด็กสมัยนี้จะได้สัมผัสถึงสิ่ง ๆ นั้น
“หิวเลย” ผมเอ่ยปาก ตาหยุดนิ่งมองรถเข็นส้มตำที่ทางพิพิธภัณฑ์จำลองเอาไว้ สมุทรหัวเราะในลำคอคล้ายเห็นด้วยกันกับผม
“สมัยเป็นเด็กผมเคยปิ้งปลาหวานขายที่หน้าบ้านด้วยนะครับ” สมุทรบอกขึ้นด้วยสีหน้าสนใจ นิ้วชี้ไปที่ปลากระเบนหวานย่างบนเตา
“ฉันกับพี่ธานชอบซื้อมาปิ้งที่บ้านบ่อย ๆ” ผมสมทบ ปลากระเบนหวานย่างคือหนึ่งในของเล่นและอาหารกินเล่นที่หลังบ้านของผมกับพี่ธาน
เราเดินต่อไปเรื่อย เล่นเกมที่ทางพิพิธภัณฑ์มีไว้ให้บ้าง สุดท้ายมาจบที่ชั้นหนึ่งตามที่ผมตั้งใจไว้ว่าจะดูภาพยนตร์ปิดท้ายก่อนกลับออกไป ภาพยนตร์ที่ฉายเป็นเนื้อหาภาพยนตร์สั้นที่เกี่ยวกับความเป็นมาของประเทศไทย คล้ายกับว่าสรุปให้เข้าใจโดยง่าย มีเด็กเล็กบ้าง ผู้ใหญ่บ้างไม่มากนักนั่งอยู่ ที่นั่งแบ่งเป็นสำหรับผู้ใหญ่นั่งได้สองคน หากเป็นเด็กเล็กก็อาจจะจุได้สามถึงสี่คน โดยเก้าอี้แต่ละตัวเว้นระยะห่างเท่าช่วงแขน
แสงลอดผ่านผนังสีน้ำเงินเข้มส่องให้ความสว่างทำให้การดูเป็นไปโดยไม่มืดสนิทเสียทีเดียว ผมแอบเหลือบมองคนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เขาดูตั้งอกตั้งใจมากกว่าผมเสียอีก
“ถ้านายเบื่อ หลังจากนี้เราจะกลับกันเลย” ผมพูดขึ้นขณะที่กำลังดูภาพยนตร์อยู่ ใช้น้ำเสียงที่เบาได้ยินกันเพียงแค่สองคน เวลานี้ก็จวนจะหมดวันเต็มแก่แล้ว
“คุณจะพูดเพื่อให้ผมเลือกทำไมละครับ” อีกฝ่ายย้อนทั้งที่ยังไม่ยอมมองมาที่ผมดี ๆ
“ถ้าผมเลือกกลับขึ้นมาล่ะ..” สมุทรเลิกคิ้วหันหน้ามาทางผม
“ฉันคิดว่าฉันจะตามนายไปด้วย ว่าจะขอฝากท้องฝีมือดาวสักหน่อย กำลังหิวข้าวพอดี” ผมตอบหน้าตาย ทำให้สมุทรเบือนหน้าหันกลับไปดูภาพยนตร์ต่อ
“เอาเป็นว่า ฉันจะคิดเอาเองว่านายไม่เบื่อก็แล้วกันนะ” ผมสรุปส่ง ๆ รวบรัดเข้าหาตัว แน่นอนว่าไม่มีเสียงตอบรับจากคนข้าง ๆ เราดูจนภาพยนตร์จบ กลับออกมาฟ้าก็เริ่มมืดครึ้มผิดปกติ บางส่วนแจ้งบางส่วนสว่าง พยากรณ์อากาศเมื่อเช้าที่เพิ่งฟังมาชวนให้นึกถึงและอดด่าปรามไม่ได้ว่า “อย่าตกนะมึง”
“ไปไหนครับ” สมุทรหันมาถามเมื่อแท็กซี่คันหนึ่งหยุดจอดเทียบคล้ายกับรู้ว่าเราต้องการใช้บริการ
“เยาวราช” ผมตอบ เขาหันกลับไปบอกที่หมาย คนขับรถผงกหัวเป็นการตอบรับว่า “กูไป” เวลานี้เป็นเวลาที่ผู้คนกำลังออกนอกบ้านออกจากที่ทำงาน ทำให้ระยะทางที่ไม่ไกลมากก็ไกลในบัดดล รถค่อนข้างติด ใช้เวลาเกือบครึ่งชั่วโมงกว่าจะถึง
..
ส้มตำเจ๊เป็ด ครกระเบิด “ปกตินายกินตำอะไร” ผมถามข้อมูลประกอบการสั่งอาหาร เสร็จจากมื้อนี้ผมคงปล่อยเขาไปไม่ยื้อไว้อีก
ลูกค้าที่มาร้านนี้ถ้าเลยหกโมงเย็นคนจะเยอะเป็นพิเศษกว่าเวลาอื่น ๆ หรือเรียกง่าย ๆ ว่า “เยอะฉิบหาย” ปกติผมไม่ค่อยได้มากินบ่อยเพราะเวลาอยากกินมักจะสั่งให้แม่บ้านทำให้หรือไม่ก็ให้แม่บ้านไปซื้อที่ตลาดแล้วนำกลับมากินที่บ้านจะสะดวกกว่า
“ปูปลาร้าครับ เอ่อ..ผมกินได้หมด” สมุทรแบ่งรับแบ่งสู้
“คุณสั่งเลยครับ” เขาสรุป
“โอเค” ผมรับทราบอย่างไม่เกรงใจ
“ตำปูปลาร้าหนึ่ง ตำปูม้าดองหนึ่ง ตำผลไม้รวมไข่เค็มหนึ่ง” ผมบอกพนักงาน ความเคยชินของผมคือการสั่งแบบไม่ยั้งเมื่อกินอาหารประเภทนี้ มันเกิดจากความเคยชินที่ชอบกินกับลูกน้องและเราสามารถสั่งหลายอย่างได้เพราะมีคนช่วยกิน มันสนุก มันอร่อย แต่ถึงกินคนเดียวหรือกินแค่กับพี่ธานผมก็ยังชอบสั่งเยอะอยู่ดีน่ะนะ
“เผ็ดไหมครับ ?” พนักงานถาม
“เอารสเจ๊” ผมตอบห้วน ๆ
“เอาแน่น้า~ งั้นไม่เกรงใจน้าคร้าบ” มันขานรับเสียงทะเล้นก้มหน้าก้มตาจดทำเอาผมกับสมุทรได้แต่อมยิ้มให้กัน
“แล้วก็ตับหวานหนึ่ง ลาบวุ้นเส้น ปีกไก่ทอดน้ำปลา คอหมูย่าง ไก่ย่างด้วย..เอาเฉพาะตรงอกนะ สองไม้แล้วกัน” ผมร่ายยาว สมุทรมองกะหลับกะเหลือก ไม่เว้นแม้แต่พนักงาน
“เอ่อ คุณไฟครับ” สมุทรเอ่ยปากเตรียมเบรก ผมยกมือขึ้นปรามเพราะใกล้จะพูดจบแล้ว
“ข้าวเหนียวสองกระติบ”
“ครับ” พนักงานพยักหน้ารับ
“น้ำแข็งถังนึง” ผมบอก
“ได้ครับ รอสักครู่นะครับ” พนักงานรับปากห้วน ๆ มันทวนอาหารอีกครั้งและเดินไปอย่างคล่องแคล่ว มีเด็กผู้ชายที่เป็นพนักงานอีกคนนำแก้วเปล่ากับน้ำแข็งมาวางให้ สมุทรเป็นฝ่ายจัดการรินน้ำใส่แก้วให้เรียบร้อย
“สั่งเยอะไปไหมครับ เดี๋ยวก็ท้องแตกตายหรอก” อีกฝ่ายบ่น
“หึ ๆ” ผมหัวเราะ
“ก็ไม่จำเป็นต้องกินหมดทุกอย่างสักหน่อย” ผมพูด
“เฮ้อ เอาจริง ๆ นะ” ผมถอนหายใจมองหน้าคนตรงหน้า สมุทรจ้องมองกลับอย่างสนใจว่าผมจะพูดอะไร
“ส้มตำนี่มันที่สุดของชีวิตเลยนะ มันคืออาหารช่วยชีวิตน่ะ” ผมพูดด้วยสีหน้าจริงจัง อีกฝ่ายหลุดหัวเราะ
“ปกติฉันชอบกินที่บ้านมากกว่าที่ร้าน” ผมบอก
“บางทีก็เลยใช้ให้คนที่บ้านไปซื้อ กินกับไอ้พวกนั้นอร่อยกว่า รึบางทีแม่บ้านก็จุดชุดใหญ่..ตำให้กินกับมือ ส่วนไอ้พวกเวรก็สนุก ได้ปิ้งโน่นนี่กันที่หลังบ้าน ครัวกระจายก็โดนพายุด่าไปตามระเบียบ” ผมเล่า
“หึ ๆ” สมุทรยิ้มกว้าง
“แล้วนายล่ะ” ผมถามกลับ
“กินที่บ้านครับ ปกติก็กินกับดาวกับยาย ดาวชอบกินส้มตำมากเลย เธอชวนผมกินบ่อยมากจนบางทีผมต้องเบรกไว้บ้าง วัน ๆ นึกอยากแต่ส้มตำ”
“กินคนเดียวก็ไม่ได้ซะด้วย บังคับว่า..กินเป็นเพื่อนหน่อย กระเพาะก็คนละกระเพาะแท้ ๆ” สมุทรยิ้ม ๆ ผมหัวเราะ เราหุบยิ้มลงทีละนิดก่อนจะเปลี่ยนเรื่องคุย แม้จะเป็นการคุยแบบเว้นช่วงไปบ้าง ส่วนใหญ่จะเว้นช่วงโดยไม่พูดมากกว่าแต่ก็ไม่ได้มีความกระอักกระอ่วนเกิดขึ้น
อาหารถูกนำมาเสิร์ฟไร่เรี่ยกันโดยแต่ละอย่างรอให้หลังกันไม่นานเท่าไหร่ ทั้งผมและเขาดูเหมือนจะกินอาหารรสชาติเดียวกัน เรียกว่าเป็นการกินที่เป็นไปอย่างเงียบ ๆ แต่กลับไม่มีการหยุดขยับปากเลย มีเพียงเสียงสบถชมถึงรสชาติให้ได้ยินเป็นระยะ เวลาผ่านไปพักหนึ่ง ร่างกายของพวกเราเริ่มขยับช้าลงไปโดยธรรมชาติ บริเวณท้องมีน้ำหนักมากขึ้น อาหารตรงหน้าเหลือเพียงไม่กี่อย่างและดูเหมือนเราจะยัดกันเข้าไปไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว
เสียงฝนลงเม็ดทำให้ต้องเหลียวหลังกลับไปมอง ลูกค้าต่างบ่นอิดออดในทันทีที่ฝนตกแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย
ครู่หนึ่งสมุทรดูแปลกไป ทีท่าคล้ายกับมีกังวลอย่างเห็นได้ชัดทั้งที่เจ้าตัวพยายามที่จะซ่อนมันไว้
ให้หลังไม่เท่าไหร่เขาก็ขอตัวลุกไปเข้าห้องน้ำ ในมือถือโทรศัพท์มือถือติดมือไปด้วย ที่หน้าจอกะพริบสว่างขึ้นจนสังเกตได้ทัน ผมยังคงเมินเฉย หยิบน้ำเปล่าที่เหลือครึ่งแก้วขึ้นดื่มจนหมด เว้นช่วงเวลาระยะหนึ่งถึงลุกตามหลังเขาไป ร้านส้มตำธรรมดา ๆ ที่มีลูกค้ามากมายทำให้ต้องเตรียมพร้อมเรื่องห้องน้ำไว้ถึงสามห้องโดยแยกชายหนึ่งและหญิงสอง
“หยาอยู่ไหน” เสียงแว่วมาจากทางด้านหลังเลยประตูห้องน้ำชาย ผมหยุดเท้าจงใจยืนฟัง
“ที่บ้านคุณเป็นห่วงกันมากนะ ทำไมทำตัวแบบนี้” น้ำเสียงของคนที่พูดฟังดูไม่พอใจและดุนิดหน่อย เขาเงียบลงครู่หนึ่ง ลมหายใจพ่นออกมาค่อนข้างยาวจนได้ยินชัดเจน
“บอกมาครับว่าอยู่ไหน เดี๋ยวผมไปหา” สมุทรตัดบท ผมฟังเท่านั้นและสังเกตสถานการณ์ดูแล้วว่าบทสนทนาน่าจะจบลงในไม่ช้านี้ ผมจึงเลือกกลับมานั่งที่โต๊ะและเรียกเก็บเงิน สมุทรกลับออกมาทั้งที่บิลค่าอาหารยังไม่มาถึงด้วยซ้ำ ผมแกล้งทำเฉยเพราะเขาเองก็ทำเช่นกัน ดวงตาสีดำสนิทกำลังมองขึ้นผ่านหัวผมเหนือไปเพียงเสี้ยววิ ผมเอ่ยปากว่าจะจ่ายเงินเอง วางเงินใส่ถาดเรียบร้อยแล้วจึงลุกขึ้นทันที เมื่อมองขึ้นไปยังจุดหมายของสายตาเมื่อครู่นี้จึงรู้ว่าอีกฝ่ายมองนาฬิกาที่ฝาผนังของร้าน
“เดี๋ยวผมเรียกแท็กซี่นะครับ” สมุทรพูด เราหยุดยืนเยื้อง ๆ ข้างร้านส้มตำซึ่งติดกับถนน ที่จริงที่ยืนมันไม่พอดีหรอกแต่ไม่มีตรงไหนให้หลบฝนได้แล้วนอกจากตรงนี้ ผมล้วงมือเข้ากระเป๋ากางเกง ซ้ำแล้วเสียงฝนที่เทสาดมาเต็มแรงดูเหมือนจะหนักขึ้นเรื่อย ๆ อีกด้วย
“มีธุระก็ไปก่อนได้เลย” ผมพูดขึ้นทำให้คนข้าง ๆ หันขวับมามอง ผมเหล่ตามองไปที่เขาทั้งที่ใบหน้ายังคงตั้งตรงนิ่งเฉย
“ฉันเห็นว่านายดูให้ความสนใจกับนาฬิกาน่ะ” ผมขยายความเพื่อให้อีกฝ่ายหายสงสัย สมุทรไม่ปฏิเสธ ก็ไม่ได้หวังให้ปฏิเสธอยู่แล้วละนะ
“เดี๋ยวผมเรียกแท็กซี่ให้นะครับ” อีกฝ่ายสรุป ประโยคเดิมเดียวกันกับก่อนหน้าแต่มีคำเสริมเติมแต่งเข้ามานิดหน่อย หากฟังไม่ดีก็คงจะคลุมเครือ สมุทรเดินออกไปที่ริมถนนจนตัวเขาเกือบเปียกฝน การยืนเพื่อให้ตนเป็นที่สังเกตได้ถนัด ผมไม่คิดห้าม คนเราก็ต้องบากบั่นเพื่อให้ได้อะไรมา ความพยายามของเขาทำให้เรียกแท็กซี่ได้ภายในเวลาไม่นาน คนที่กระโดดเข้ากระโดดออกได้แต่ชะโงกมองยังคงต้องดำเนินต่อไป สมุทรจัดการบอกจุดหมายของแท็กซี่ให้เรียบร้อยโดยไม่สอบถามผมก่อน มือเปิดประตูฝั่งผู้โดยสารรอ แม้ทุกอย่างจะเคลื่อนไหวไปอย่างปกติแต่ผมกลับดูออกว่าเขามีความรีบร้อนจนแทบปิดไม่มิด
“ขอบใจ” ผมบอกเท่านั้น อีกฝ่ายผงกหัวผลิยิ้มน้อย ๆ พอประตูรถปิดสนิทคนขับก็เคลื่อนรถออกทันที
“โทษนะครับ” ผมเอ่ย เจ้าของรถเหลือบมองผมผ่านกระจกมองหลัง
“จะขอให้เสียเวลาสักหน่อย”
“เลี้ยวขวาซอยข้างหน้าจะมีที่จอดรถ ผมขอเหมาสองพัน..จะขอให้คุณรอไม่กี่นาทีหรอก” ผมพูดโดยย่อ แม้สีหน้าของคนขับจะงุนงงในทีแรกแต่เขาก็ผงกหัวทำตามที่สั่ง ฝนยังคงกระหน่ำลงมาอย่างต่อเนื่อง แท็กซี่ได้ที่จอดรถไม่ยากจนเจ้าตัวก็ดูแปลกใจ ร้านอาหารร้านดังที่ผมรู้จักกับเจ้าของร้านเป็นอย่างดี เมื่อพนักงานรักษาความปลอดภัยเห็นว่าคนที่นั่งแท็กซี่มาเป็นผมเขาก็โบกอนุญาตให้เข้าไปจอด ผมลงจากรถตรงเข้าร้านสะดวกซื้อที่หน้าปากซอย ร่มคันเล็กถูกนำไปจ่ายเงินที่เคาน์เตอร์ ไม่นานนักผมก็มาหยุดยืนอยู่ที่หัวมุมของร้านอาหารตามสั่งฝั่งตรงกันข้ามกับที่สมุทรยืนอยู่
เขายังคงยืนอยู่ที่เดิม ฝนก็คงไม่หยุดง่ายเร็ว ๆ นี้ เนื้อตัวเริ่มเหนียวชื้นน่ารำคาญใจ ดูเหมือนสมุทรจะถูกแท็กซี่ปฏิเสธไปแล้วหลายคัน สีหน้าของเขาเริ่มแสดงออกมากขึ้น เวลาผ่านไปเกือบสิบห้านาทีก็โชคดีที่มีแท็กซี่บอกรับ เลขทะเบียนรถและลักษณะของรถอยู่ในหัวเรียบร้อยจึงกลับมาขึ้นรถของตนพร้อมบอกจุดหมายที่ต้องการ รวมถึงราคาค่าเสียเวลาที่เพิ่มขึ้นให้ก็ด้วย
“เตรียมรถด้วย อีกครึ่งชั่วโมงจะให้ออกมารับ” ผมสั่ง ไอ้เด่นขานรับทราบก่อนที่ผมจะตัดสาย ในแท็กซี่เงียบสนิท คนขับแอบมองผมผ่านกระจกมองหลังกะหลับกะเหลือกมาหลายครั้งแล้ว ครั้งนี้เป็นการตัดรำคาญจึงช้อนมองตอบกลับไป เพลงลูกทุ่งถูกปิดไปเมื่อครู่นี้หลังจากที่ผมเอ่ยปากว่า
“ไม่ต้องรีบ ตามคันข้างหน้าอย่าให้รู้ตัวก็พอ” เขาเองก็คงต้องการสมาธิละมัง
จากเยาวราชไปถึงจุดหมายของสมุทรไกลพอดู ใช้เวลาอยู่บนถนนเกือบสองชั่วโมง ที่นานคงเพราะอุปสรรคบนท้องถนนและสภาพอากาศเป็นเหตุด้วย ผมให้ค่าเสียเวลากับคนขับไปทั้งหมดห้าพันบาทและสั่งว่าไม่ต้องรอ อีกฝ่ายรับเงินไปด้วยน้ำเสียงสุภาพปนดีใจ สมุทรลงจากรถแล้ว เขาไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าถูกผมตามอยู่ อีกฝ่ายเดินตากฝนทั้งอย่างนั้นไปตามตรอกซอกซอยที่ดูเหมือนจะคุ้นชิน เท้าหยุดชะงักอยู่ริมฟุตปาธเมื่อคนที่กำลังตามอยู่หยุดยืนอยู่ที่หน้าโรงแรมหรูของอีกฝั่งถนนหนึ่ง ผมกวาดตามองตาม ผู้หญิงที่ชื่อหยาปรากฏตัวออกมาจากโรงแรมดังกล่าว สมุทรหันรีหันขวารีบข้ามถนนไปหา เธอเห็นว่าคนที่มาถึงเปียกโชกก็ดูจะตกใจ ร่มที่เธอถือมาด้วยกางขึ้นเหนือหัวของสมุทร ทั้งคู่หยุดยืนไร้บทสนทนาด้วยความใกล้เพียงฝ่ามือ
ร่มถูกสับเปลี่ยนคนถือก่อนที่ทั้งคู่จะเดินตรงเข้าโรงแรมไป- - - - - - - - - - - - - - -