พิชญ์ลงมากินข้าวอีกทีตอนเกือบสิบเอ็ดโมง ส่วนอริญชย์ลงมาก่อนหน้านั้นแล้ว ตอนพิชญ์เดินลงมาถึงข้างล่าง แม่พลอยกับน้องหนูจัดการกับมื้อเช้ากันเสร็จเรียบร้ยอแล้ว แม่พลอยกำลังรอเจอลูกชายคนเดียวเพื่อร่ำลาก่อนจะเดินทางกลับประจวบคีรีขันธ์ พิชญ์เดินมากอดเอวแม่พลอยขณะเอ่ยร่ำลา
“เดินทางปลอยภัยนะแม่”
“จ้ะ เราก็ดูแลตัวเองด้วยนะพีท”
หลังจากเอ่ยร่ำลากันแล้ว แม่พลอยก็อุ้มน้องหนูขึ้นมาหอมแก้มซ้ายขวา ก่อนจะเดินออกไปขึ้นรถที่กริชนำมารอไว้ น้องหนูวิ่งตามออกไปโบกมือบ๊ายบายคุณย่าหน้าบ้าน มีนวลคอยตามดูแลอยู่ห่างๆ
พิชญ์ยืนดูจนกระทั่งรถแล่นออกจากรั้วบ้านแล้ว เขาถึงเดินกลับมาจากจัดการกับมื้อเช้า ส่วนน้องหนูวิ่งเล่นอยู่ข้างนอกกับนวล อริญชย์จัดการมื้อเช้าเสร็จแล้ว กำลังนั่งจิบกาแฟพลางอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ พิชญ์นั่งลงตรงข้ามอริญชย์ พอเห็นหน้าอริญชย์ก็พาลทำตัวไม่ถูก ร่างกายพลันร้อนผ่าว ภาพที่อริญชย์แตะต้องเขาวนเวียนอยู่ในหัวจนพิชญ์นึกละอาย
“คุณพีทคะ...คุณพีท...”
ป้าน้อยเอ่ยเรียกพิชญ์สองสามที เมื่อเห็นว่ายกอาหารมาวางแล้วพิชญ์ยังนั่งเหม่ออยู่ พิชญ์สะดุ้งก่อนจะเลื่อนจานข้าวมาตรงหน้า แล้วรีบก้มหน้าก้มตาจัดการกับมื้อเช้า วันนี้วันจันทร์ เดี๋ยวเขายังต้องเข้าบริษัทพร้อมอริญชย์อีก
พอพิชญ์กินข้าวเสร็จ อริญชย์ก็ขยับตัวลุกทันที พิชญ์รีบคว้าน้ำมาดื่มแล้วเดินตามหลังอริญชย์ เกือบจะสวนกับน้องหนูที่วิ่งตื๋อเข้ามา
“พ่อพีทกับลุงใหญ่จะไปไหนคะ”
“ไปทำงานลูก” พิชญ์ตอบพลางย่อตัวลงหอมแก้มน้องหนู เด็กหญิงตัวน้อยเอียงคอมองก่อนจะเอ่ยถาม
“พาน้องหนูไปด้วยได้ไหมคะ”
พิชญ์กำลังจะเอ่ยปฏิเสธ แต่คนที่ยืนอยู่ข้างหน้าเขากลับหันมาย่อตัวลงอุ้มน้องหนู พลางเอ่ยเสียงอ่อนโยน
“ได้สิคะ คนเก่ง”
พออริญชย์อนุญาต พิชญ์เลยไม่ได้เอ่ยห้ามปรามอะไร เขาเดินตามหลังคุณลุงที่อุ้มคุณหลานเดินไปที่รถ น้องหนูกวักมือเรียกพิชญ์ให้รีบเดินตามมา พลางส่งเสียงอย่างร่าเริง
“พ่อพีท เร็วๆ”
พิชญ์ส่งยิ้มให้ลูกสาวตัวน้อย ก่อนจะรีบเร่งฝีเท้าไปจนตามทัน อริญชย์เบี่ยงตัวหลบให้พิชญ์ก้าวขึ้นรถก่อน แล้วถึงอุ้มน้องหนูขึ้นรถ ส่วนตัวเขาเองขึ้นเป็นคนสุดท้าย
น้องหนูนั่งอยู่ตรงกลางระหว่างอริญชย์และพิชญ์ เด็กหญิงลูบกระโปรงของตัวเองที่พองๆ ให่แนบเข้ากับลำตัว พอเห็นพิชญ์มองด้วยความฉงน เจ้าตัวน้อยก็ยิ้มแฉ่งพลางเอ่ยเสียงเจื้อยแจ้ว
“เป็นเจ้าหญิงต้องเรียบร้อยค่ะ”
พิชญ์กับอริญชย์หลุดยิ้มออกมาพร้อมกันให้กับความแก่แดดแก่ลมของน้องหนู ขณะที่คนขับรถอย่างตุลย์ถึงกับหัวเราะออกมาเบาๆ โดยไม่เกรงใจ เล่นเอาเจ้าตัวน้อยเอ่ยถามทันควัน
“อาตุลย์หัวเราะอะไรคะ”
“หัวเราะที่คุณหนูน่ารักครับ”
ฟังคำตอบของคนสนิทแล้วอริญชย์ก็ถึงกับต้องกระแอมเบาๆ ด้วยความหมั่นไส้ รอยยิ้มผุดบนริมฝีปากของอริญชย์จางๆ เขาเหลือบมองพิชญ์กับน้องหนูที่นั่งคุยกันเบาๆ อยู่ด้านข้าง ยอมรับด้วยความสัตย์จริงเลยว่า อริญชย์ชอบบรรยากาศแบบนี้ มันเหมือนว่าความสัมพันธ์ระหว่างเขากับพิชญ์กำลังดีขึ้นทีละเล็กทีละน้อย
หลังจากฝ่าการจราจรอันคับคั่งบนท้องถนนมาร่วมชั่วโมง ตุลย์ก็พาทุกคนมาถึงบริษัท พนักงานรักษาความปลอดภัยพอเห็นอริญชย์กับพิชญ์มาถึงก็ยกมือทำความเคารพ อริญชย์พยายามผ่อนฝีเท้าให้ช้าลงกว่าปกติ เพื่อให้พิชญ์ที่เดินจูงน้อยหนูอยู่ข้างหลังเดินตามมาทัน เขาชำเลืองมองพิชญ์กับน้องหนูเป็นระยะ หลานสาวตัวน้อยส่งเสียงเจื้อยแจ้วคุยกับเป็นผู้เป็นพ่อตลอดทาง
จนกระทั่งเกือบจะถึงลิฟต์ พนักงานต้อนรับก็รีบร้อนเดินออกมาทำความเคารพอริญชย์กับพิชญ์ ก่อนจะเลี่ยงมาหาตุลย์ เอ่ยกระซิบกระซาบกับคนสนิทของอริญชย์หน้าตาเคร่งเครียด ตุลย์รับฟังพลางพยักหน้ารับช้าๆ ขณะเหลือบสายตามามองอริญชย์กับพิชญ์ที่กำลังยืนรอลิฟต์ หลังจากตัดสินใจอยู่เสี้ยววินาที ตุลย์ก็ตัดสินใจเดินตรงไปหาอริญชย์
“คุณใหญ่ครับ พอดีมีเรื่องนิดหน่อย” ตุลย์เอ่ยพลางมองอริญชย์ ก่อนจะชำเลืองมองพิชญ์
อริญชย์เองพอจะเดาความหมายจากสายตาของตุลย์ออก แต่เขาก็เพียงแค่พยักหน้าน้อยๆ ก่อนจะเอ่ยปาก
“ว่ามา...”
“เสี่ยเล้งมาหา รออยู่ห้องรับแขกส่วนตัวด้านบนครับ” ตุลย์หมายถึงห้องรับแขกส่วนตัวของอริญชย์ ซึ่งอยู่ติดกับห้องทำงานของเจ้าตัว
พิชญ์ซึ่งกำลังคุยอยู่กับน้องหนูถึงกับชะงักกึก เมื่อชื่อของ ‘เสี่ยเล้ง’ ดังเข้าโสตประสาท เขาหันขวับมากำลังจะเอ่ยปากถามอริญชย์ แต่อริญชย์ก็ชิงตัดบทด้วยการเอ่ยสั้นๆ ว่า
“ลิฟต์มาแล้ว”
พิชญ์จูงน้องหนูเดินตามอริญชย์เข้าลิฟต์ คิ้วขมวดมุ่นจนแทบจะชนกัน เขากำลังพยายามหาเหตุผลร้อยแปดพันเก้าถึงสาเหตุที่ราชันย์มาเยือนถึงที่นี่ ดูเหมือนตอนที่ตุลย์เดินมาบอก อริญชย์เองจะไม่ได้แปลกใจแม้แต่น้อย ราวกับคาดเดาได้อยู่แล้วว่าราชันย์จะมา
พอประตูลิฟต์เปิดออก ปกติแล้วพิชญ์กับอริญชย์จะต้องเดินแยกไปห้องทำงานของตัวเองกันคนละทาง เนื่องจากห้องทำงานของพิชญ์กับอริญชย์อยู่กันคนละฝั่ง แต่วันนี้พอเดินออกมาจากลิฟต์แล้ว พิชญ์กลับจับแขนเสื้ออริญชย์เอาไว้ คนถูกจับหันมาเลิกคิ้วมองนิดๆ
“ผมขอไปเจอเสี่ยเล้งด้วยได้ไหม”
อริญชย์มองหน้าพิชญ์ พอเห็นสายตาที่มองสบมาที่เขาแล้วก็ไม่ได้เอ่ยปฏิเสธ พยักหน้าแทนคำตอบ ขณะกำลังจะเอ่ยถามว่าแล้วน้องหนูล่ะ เจ้าตัวเล็กก็จับข้อมือพิชญ์แกว่งไปมาก่อนจะเอ่ยเสียงเบา
“พ่อพีท น้องหนูปวดฉี่”
“แป๊บนะลูก” เอ่ยบอกน้องหนูแล้ว พิชญ์ก็หันกลับมาหาอริญชย์ “เดี๋ยวผมพาน้องหนูไปเข้าห้องน้ำแล้วรีบตามเข้าไป”
พิชญ์จับจูงมือน้องหนูเดินตรงไปที่ห้องทำงานของเขา ห้องทำงานของพิชญ์มีห้องน้ำอยู่ข้างใน หลังจากรอให้น้องหนูเข้าห้องน้ำจนเสร็จเรียบร้อยแล้ว พิชญ์ก็เตรียมสมุดระบายสีกับดินสอสีให้เจ้าตัวเล็ก
“น้องหนูนั่งระบายสีอยู่ในห้องนะคะ พ่อพีทไปทำงานแป๊บเดียว เดี๋ยวมา”
“นานไหมคะ”
“ไม่นานครับ”
เจ้าตัวเล็กพยักหน้ารับอย่างว่าง่าย หยิบสมุดระบายสีกับดินสอสีมาจากพิชญ์แล้วปีนขึ้นไปบนโซฟา พิชญ์ยืนดูน้องหนูอยู่ครู่หนึ่งจนวางใจก่อนจะเดินออกมาจากห้อง ก่อนพิชญ์จะออกมา น้องหนูยังโบกมือให้พิชญ์หยอยๆ
พอเดินออกมาจากห้องทำงานของตัวเองแล้ว พิชญ์ก็เปลี่ยนจากใบหน้าอ่อนโยนยามอยู่กับน้องหนูมาเป็นสีหน้านิ่งเฉย เหตุผลที่วันนี้เขาอยากเจอราชันย์ เพราะเขามีคำถามที่อยากจะถามอีกฝ่าย เขาอยากรู้ว่า...
คนที่ลักพาตัวแม่พลอยและน้องหนูไป...ใช่ราชันย์หรือไม่
พิชญ์เดินมาถึงห้องรับแขกส่วนตัวของอริญชย์ เขาชะงักฝีเท้าเล็กน้อยเมื่อเห็นตุลย์เพิ่งเดินออกมาจากห้อง
“คุณใหญ่อยู่ข้างในใช่ไหมครับ” พิชญ์เอ่ยถามคนสนิทของอริญชย์
“ครับ อยู่ข้างในกับเสี่ยเล้ง”
พิชญ์พยักหน้ารับ ก่อนจะยกมือขึ้นเคาะประตูเบาๆ ตามมารยาท แล้วถึงเปิดประตูเข้าไปในห้องรับแขก อริญชย์กับราชันย์กำลังนั่งประจันหน้ากันอยู่ แต่บรรยากาศกลับดูสบายๆ จนพิชญ์นึกแปลกใจ แขกที่มาเยือนกำลังยกน้ำชาขึ้นจิบ พอได้ยินเสียงพิชญ์ก็เงยหน้ามอง ยิ้มมุมปากเล็กน้อย โดยไม่เอ่ยอะไร พิชญ์เสียอีกที่เป็นฝ่ายค้อมหัวลงเป็นเชิงทักทาย อย่างน้อยด้วยวัยวุฒิและประสบการณ์ เขาก็ยังจำเป็นต้องให้เกียรติราชันย์
พิชญ์เลื่อนเก้าอี้ข้างๆ อริญชย์ออกก่อนจะนั่งลง ทั้งอริญชย์และราชันย์ต่างสาละวนกับน้ำชาตรงหน้า ไม่มีใครเอ่ยอะไรออกมา จนพิชญ์เกือบจะเป็นเริ่มต้นบทสนทนาเองแล้ว แต่ด้วยมารยาท เขาจึงทำได้เพียงนั่งเงียบๆ
พิชญ์ทบทวนถ้อยคำที่เขาตั้งใจจะเอ่ยราชันย์อยู่ในหัว ก่อนจะสะดุ้ง เมื่อจู่ๆ อริญชย์ก็เอ่ยขึ้นมาเสียงเรียบๆ โดยไม่มีปี่มีขลุ่ย
“กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่”
คนถูกถามมีท่าทีสบายๆ ค่อยๆ วางถ้วยชาลงบนโต๊ะกลางก่อนจะเอ่ยตอบเสียงเรื่อยๆ แฝงความเกียจคร้านไว้นิดๆ
“กลับมาถึงเมื่อคืน” ราชันย์มองพิชญ์แวบหนึ่ง ก่อนจะเบนสายตากลับมาที่อริญชย์เหมือนเดิม ขณะเอ่ยถามประโยคถัดไป “น้องหนูเป็นยังไงมั่ง”
“ปลอดภัยดีแล้ว”
พอได้ยินชื่อลูกสาวตัวเอง พิชญ์ก็ถึงกับนั่งไม่ติด เขารอจนกระทั่งอริญชย์ตอบราชันย์แล้ว ถึงได้เอ่ยถามคำถามที่วนเวียนอยู่ในหัวมาตลอดหลายวัน
“เสี่ยเล้ง...”
“พอได้ยินนายเรียกแบบนี้ แล้วฉันรู้สึกว่าตัวเองดูเป็นพวกตาแก่หัวล้านยังไงก็ไม่รู้”
พิชญ์ไม่สนใจถ้อยคำหยอกล้อของอีกฝ่าย เขายังคงเอ่ยถามคำถามที่ตัวเองอยากรู้ออกไป
“คุณมีส่วนรู้เห็นกับเรื่องที่แม่และลูกของผมถูกลักพาตัวไปเมื่อวันก่อนหรือเปล่า”
ราชันย์ปรายตามองอริญชย์แวบหนึ่ง เห็นเพื่อนรักยังคงนั่งนิ่ง เขาเลยเอ่ยออกมาตรงๆ แบบไม่ปิดบัง
“ฉันไม่ได้อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้หรอกนะ แต่ถ้าถามว่ามีส่วนไหม...ก็อาจจะมีนิดหน่อยล่ะมั้ง”
“หมายความว่ายังไง” คราวนี้อริญชย์เป็นฝ่ายเอ่ยถามเสียงเยียบเย็น พลางตวัดตามองราชันย์
ราชันย์ไม่สนใจเพื่อนรัก เขารู้ว่าความจริงแล้วเขาก็ทำไม่ถูกนักที่เลือกใช้เล่ห์กลแบบนี้ แต่บางครั้งชีวิตก็ไม่ได้มีทางให้เลือกเดินมาก มีใครบ้างที่อยากเดินอ้อม ถ้าเกิดเจอทางลัด เขามองสบตากับพิชญ์ ก่อนจะเลือกเล่าเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับเขาเท่านั้น
“หลิวเป็นคนสั่งลักพาตัวแม่และลูกของนาย ไม่ใช่ฉัน”
แม้คำตอบจะไม่ผิดจากที่อริญชย์คาดเดานัก แต่พอได้ยินราชันย์เอ่ยออกมาเอง ย่อมแปลว่าเจ้าตัวมีหลักฐานแน่ชัดแล้ว อริญชย์อดเดือดดาลขึ้นมาอีกรอบไม่ได้
ถึงแม้รัญญาจะเป็นน้องสาวของราชันย์ แต่ลองว่าราชันย์เอ่ยยืนยันออกมาด้วยตัวเองว่าอีกฝ่ายเป็นคนอยู่เบื้องหลังแล้ว ย่อมหมายความว่าครั้งนี้ราชันย์จะจัดการรัญญาให้ถึงที่สุด ซึ่งแน่นอนว่าอริญชย์เองก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องเพิกเฉยและปล่อยรัญญาไป ในเมื่อกล้ากระตุกหนวดเสือ ก็ต้องกล้ายอมรับผลที่จะตามมาด้วยเช่นกัน
แค่คราวที่เกิดเรื่องขึ้นกับอธิษฐ์ เขาก็ใจดีกับรัญญามามากพอแล้ว
“หมายความว่ายังไง ผมไม่เข้าใจ” ฟังถ้อยคำของราชันย์แล้ว พิชญ์ก็รู้สึกว่าเรื่องนี้มีเงื่อนงำ หรือเขาพลาดตรงไหนไป
พิชญ์รู้ว่ารัญญาเองก็ไม่ใช่คนดีอะไรนัก แต่เขาแปลกใจตรงที่คนเป็นพี่ชายอย่างราชันย์เอ่ยออกมาง่ายๆ ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นฝีมือของรัญญา ราวกับไม่แยแสน้องสาวตัวเองเลยแม้แต่น้อย
“หลิวคิดว่าน้องหนูเป็นลูกของฉัน ก็เลยตั้งใจจะลักพาตัวน้องหนู แต่บังเอิญว่าวันนั้นแม่ของพีทอยู่ด้วยก็เลยถูกลักพาตัวไปพร้อมกัน”
อริญชย์จับใจความแค่ประโยคแรกที่ราชันย์เอ่ยออกมา โดยไม่สนใจข้อความหลังจากนั้น เขาจ้องหน้าเพื่อนรักสายตาดุดันขณะเค้นเสียงถามออกมา
“อย่าบอกนะว่ามึงเป็นคนปล่อยข่าวเรื่องน้องหนูเป็นลูกมึง”
พอราชันย์พยักหน้ารับแทนคำตอบ พิชญ์ก็ลุกพรวดพราดขึ้นมาจากที่นั่ง มารยาทและกาลเทศะถูกเขาโยนทิ้งไปอย่างไม่สนใจไยดี พิชญ์ตั้งใจจะต่อยหน้าราชันย์แรงๆ เสียที ให้สมกับความโมโหที่อีกฝ่ายมีส่วนทำให้แม่พลอยกับน้องหนูถูกลักพาตัวไป แต่แค่เขาจะถลาเข้าไปหาราชันย์ เสียงร้องเรียกชื่อก็ดังมาจากข้างหลังทำเอาเขาถึงกับชะงักกึก
“อย่านะพีท!”
ไม่ใช่อริญชย์ที่เอ่ยห้ามปรามพิชญ์ แต่เป็นปฐพีที่รีบร้อนวิ่งเข้ามาในห้อง ข้างหลังมีน้องหนูเดินตามมาต้อยๆ ก่อนจะปฐพีจะวิ่งไปแทรกระหว่างพิชญ์กับราชันย์ ขณะที่น้องหนูเอียงคอมองพิชญ์น้อยๆ แล้วเอ่ยถามผู้เป็นพ่อที่กำลังยืนอยู่ในท่าทางแปลกๆ
“พ่อพีททำอะไรอยู่คะ”
คำถามของน้องหนูทำเอาพิชญ์ต้องลดมือลงด้วยความไม่เต็มใจนัก อย่างน้อยเขาก็ไม่ควรใช้ความรุนแรงต่อหน้าน้องหนู
“น้องหนูทำไมไม่รอพ่อพีทอยู่ในห้องล่ะลูก”
“น้องหนูหิวน้ำ พอเดินออกมาก็เจอคุณอาคนนี้” เจ้าตัวเล็กว่าพลางชี้มือไปยังปฐพีที่ยืนก้มหน้าก้มตาอยู่
จิ๊กซอว์บางอย่างเหมือนต่อกันอย่างลงตัว แต่พิชญ์รู้ดีว่าบนโลกนี้ไม่มีความบังเอิญ เขาจ้องมองเพื่อนที่ยืนนิ่งด้วยความผิดหวังก่อนจะเอ่ยถามเสียงเย็นชา ทั้งที่พอเดาที่มาที่ไปได้อยู่แล้ว
“นายมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”
“ฉันพามาเอง” ราชันย์เป็นคนตอบก่อนจะดึงปฐพีให้เดินมาอยู่ข้างเขา
พิชญ์มองภาพเหตุการณ์ตรงหน้าด้วยความไม่เข้าใจ แม้จะเริ่มพอเดาอะไรได้ลางๆ แต่เขาก็ยังไม่อยากจะเชื่อว่ามันคือความจริง วินาทีนี้เขารู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนโง่ ที่ถูกปิดหูปิดตา ไม่เคยรับรู้เรื่องราวอะไรเลย แม้กระทั่งความสัมพันธ์ระหว่างปฐพีกับราชันย์
“หมายความว่ายังไง ดิน”
“ฉันอยู่กับเฮียมาหลายปีแล้ว”
พิชญ์สูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ สัมผัสของน้องหนูที่แตะข้อมือเขาเบาๆ เรียกสติพิชญ์ให้คืนกลับมา อย่างน้อยตอนนี้เขาก็ไม่สามารถโมโหหรือโวยวายต่อหน้าน้องหนูได้ พิชญ์นับหนึ่งถึงสิบในใจก่อนจะหันมาปั้นหน้ายิ้มใส่น้องหนู
กลับไปนั่งเล่นที่ห้องพ่อพีทกันค่ะ คนเก่ง”
พิชญ์ก้มลงย่อตัวอุ้มน้องหนูขึ้นมาแนบอก เขาเดินผ่านทุกคนตรงไปยังประตูโดยไม่เอ่ยอะไร ไม่สนใจกระทั่งปฐพีที่พยายามเรียกชื่อเขา พิชญ์พาน้องหนูกลับมาที่ห้องทำงาน หลังจากหาน้ำให้น้องหนูแล้ว ตุลย์ก็เคาะประตูห้องก่อนจะเดินเข้ามา
“คุณพีท มีคนมารออยู่ข้างนอกครับ”
พิชญ์มองน้องหนูที่นั่งเล่นอยู่ตรงโซฟาก่อนจะชั่งใจ ยอมรับเลยว่าตอนนี้อารมณ์เขาไม่มั่นคงนัก กระทั่งจะอยู่กับน้องหนูตามลำพัง พิชญ์ยังไม่ไว้ใจตัวเอง อย่างน้อยเขาก็อยากรู้ความจริงทั้งหมด เขาไม่อยากถูกปิดหูปิดตาเหมือนคนโง่ พิชญ์ตัดสินใจฝากน้องหนูไว้กับตุลย์ในที่สุด
“งั้นฝากคุณตุลย์ช่วยดูน้องหนูทีนะครับ”
พอเดินออกมาจากห้องแล้วเห็นปฐพียืนรออยู่ พิชญ์ก็ไม่ได้นึกแปลกใจนัก เขาเดินนำปฐพีไปยังห้องรับแขกของเขาก่อนจะทิ้งตัวลงนั่ง โดยไม่แม้แต่จะเอ่ยปากเชื้อเชิญอีกฝ่าย ปฐพีนั่งลงตรงข้ามพิชญ์ เขาลอบสังเกตสีหน้าท่าทางของพิชญ์ ก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยความกระอักกระอ่วน
“นาย...โกรธฉันใช่ไหม”
พิชญ์จ้องหน้าปฐพีนิ่งๆ ก่อนจะยอมเปิดปากในที่สุด
“นายปิดบังฉันไว้เยอะเลยนี่ ทั้งเรื่องงานที่นายทำ เรื่องหอพักที่นายอยู่ สรุปว่าทุกครั้งที่เราเจอกันมันคือเรื่องโกหกทั้งหมดเลยใช่ไหมดิน”
พอพิชญ์เอ่ยออกมาแบบนั้น ปฐพีก็หลบตาวูบหนึ่งก่อนจะเอ่ยตอบไม่เต็มเสียงนัก
“ฉันก็ไม่ได้อยากทำแบบนี้ ฉันอธิบายได้นะพีท ฟังฉันก่อน”
พิชญ์มองเพื่อนเก่านิ่ง ยอมรับว่าเขาเคยคิดจะชวนปฐพีมาทำงานด้วยกัน เคยอยากจะหยิบยื่นความช่วยเหลือต่างๆ ให้ปฐพี เพราะเห็นใจและเห็นแก่ความเป็นเพื่อนเก่า แต่ในเมื่ออีกฝ่ายเป็นคนของราชันย์ คงไม่ต้องการอะไรจากเขาแล้วมั้ง
“นายเป็นอะไรกับเสี่ยเล้ง”
พอคำถามถูกโยนออกมา ปฐพีก็ถึงกับนิ่ง เขาจะเอ่ยออกไปได้อย่างไรว่าเขาเป็นแค่นายบำเรอ เป็นแค่ของเล่นคลายเหงา คนถูกถามหรุบตาลงต่ำด้วยความละอาย แต่กลับทำให้คนมองเข้าใจผิดจนต้องเอ่ยเสียงเยาะหยัน
“ทำไมตอบไม่ได้ คำตอบมันยากมากนักหรือ”
“ฉัน...มีความสัมพันธ์กับเขา” คำตอบของปฐพีเบาจนแทบเป็นเสียงกระซิบ
ฟังคำตอบของปฐพีแล้ว พิชญ์ก็ถึงกับสะอึก คำตอบของอีกฝ่ายอยู่นอกเหนือความคาดหมายของเขาไปไกล ให้ปฐพีบอกว่าเป็นผู้ช่วย เป็นเลขา เขายังยินดีจะเชื่อเสียมากกว่า แต่พิชญ์รู้ดีว่าปฐพีคงไม่มีทางเอาสถานะและศักดิ์ศรีของตัวเองมาล้อเล่น ถ้อยคำที่เขาเอ่ยออกไปเลยไม่ได้เย็นชาเหมือนเมื่อครู่
“ตั้งแต่เมื่อไหร่...”
ปฐพีค่อยย้อนความไปถึงเหตุการณ์วันที่เขาเจอกับราชันย์ เคยคิดว่าคงจะอายจนไม่กล้าสู้หน้าใคร หากมีคนอื่นรู้ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับราชันย์เข้า แต่เมื่อถึงเวลาที่ต้องเล่าออกมาจริงๆ เขาก็พบว่ามันไม่ได้ยากเกินไปนัก
“ตอนฉันเรียนอยู่มหาวิทยาลัย พ่อป่วยหนักมาก ฉันไม่มีเงินรักษา มันต้องใช้เงินจำนวนเยอะ ฉันคิดไม่ออกว่าจะหาเงินยังไงให้ได้เร็วๆ คิดได้แต่วิธีโง่ๆ เท่าที่สมองของฉันจะคิดออกในตอนนั้น แล้วฉันก็เจอเขา...”
“อย่าบอกนะว่าเขาให้เงินนาย”
“ใช่ เฮียให้เงินฉัน รักษาพ่อจนถึงที่สุด เฮียสัญญาว่าจะส่งน้ำเรียนต่อจนจบมหาวิทยาลัย แล้วก็พาฉันไปอยู่ฮ่องกงด้วยกัน ส่งเสียให้ฉันเรียนหนังสือจนจบ”
“ทั้งหมดที่นายได้มาต้องแลกกับอะไรบ้าง”
“แค่อย่างเดียวเองพีท...อิสรภาพของฉัน”
ทั้งที่เอ่ยตอบเพื่อนไปแบบนั้น แต่ปฐพีรู้ดีว่าตลอดเวลาที่เขาอยู่กับราชันย์นั้น สิ่งที่ราชันย์เอาไปจากเขาไม่ได้มีแค่อิสรภาพ แต่ยังรวมถึงหัวใจและความจงรักภักดีของเขาด้วย หัวใจที่เขาใส่พานวางไว้ในกำมือของราชันย์โดยไม่คิดจะเอากลับคืน
“แล้วเขาก็สั่งให้นายเข้ามาหาฉันใช่ไหม”
“ไม่ใช่พีท ฉันเป็นคนที่อยากเจอนายเอง เฮียแค่สั่งไม่ให้ฉันพูดอะไรกับนายมาก เฮียเขาไม่ได้เลวร้ายอย่างที่นายคิดนะพีท”
ฟังคำของปฐพีแล้วพิชญ์ก็ถึงกับต้องกลอกตา อย่างน้อยเขาก็ไม่ได้โกรธปฐพีมากเท่าเมื่อกี้แล้ว พอได้รับรู้ความจำเป็นของปฐพี เขาก็พอเดาได้ว่าอีกฝ่ายคงไม่มีทางเลือก ปฐพีเองก็ไม่ได้ต่างอะไรจากเขามากนัก บางครั้งเราก็ไม่รู้ว่าชีวิตจะเจอทางตันเขาตอนไหน
“นายอยากเป็นอิสระไหมดิน ฉันอาจจะช่วยนายได้...”
พิชญ์รู้ว่ามันไม่ง่ายนัก หากเขาคิดจะต่อรองกับราชันย์เพื่อคืนอิสระให้ปฐพี แต่เขาก็ยังอยากลองหยั่งเชิงถามปฐพีเพื่อดูท่าทีของอีกฝ่าย แต่ปฏิกิริยาที่ได้รับกลับมาทำเอาพิชญ์ถึงกับขมวดคิ้ว ปฐพีดูเหมือนไม่ได้ต้องการอิสระแม้แต่น้อย ดูลำบากใจกับคำถามที่เขาเพิ่งเอ่ยถามเสียด้วยซ้ำ ท่าทางหลุกหลิกแบบนั้นทำเอาพิชญ์พอจะเดาอะไรออกลางๆ
“ฉันไม่คิดว่าตัวเองอยากได้อิสระ”
“ทำไม...”
พิชญ์ถามทั้งที่รู้คำตอบดีแก่ใจ แววตาของปฐพีเปิดเผยทุกอย่างออกมาจนหมด จนเขาอดนึกสงสัยไม่ได้ว่า คนอย่างราชันย์มีอะไรดีถึงขนาดที่ปฐพีต้องยอมเอาตัวไปผูกติดด้วย แต่เพราะพิชญ์ไม่ใช่ปฐพี เขาเลยไม่เข้าใจ และคงไม่มีวันเข้าใจ
“นายชอบเขาเข้าแล้วใช่ไหม”
พอปฐพีพยักหน้ารับเบาๆ พิชญ์ก็อยากจะร้องไห้ออกมาเสียเดี๋ยวนี้ เขากับปฐพีเหมือนคนโง่สองคน ติดอยู่ในวังวนความสัมพันธ์บ้าๆ บอๆ เหล่านี้ ไม่รู้ว่าจะสลัดหรือหนีพ้นยังไง ไม่ว่ามองดูความสัมพันธ์ระหว่างปฐพีกับราชันย์ยังไง พิชญ์ก็รู้สึกว่าปฐพีไม่ได้รับความเป็นธรรมแม้แต่น้อย
ตัวพิชญ์เอง ยังน่าอิจฉากว่าที่อริญชย์ผลักเขาออกมาอยู่หน้าแสงไฟ ให้เขาได้ส่องประกาย ขณะที่ปฐพีนั้นกลับถูกราชันย์ซุกซ่อนเอาไว้ในความมืด ไม่มีใครรับรู้การมีตัวตนของปฐพีเลยแม้แต่น้อย
พอปฐพีเห็นพิชญ์เริ่มอารมณ์เย็นขึ้นมาแล้ว ก็รวบรวมความกล้าแตะประเด็นที่อ่อนไหวที่สุดสำหรับพิชญ์
“น้องหนูไม่เป็นอะไรใช่ไหม”
พิชญ์ชะงักไปนิดหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยตอบเสียงเรียบๆ
“ไม่เป็นไร ฉันพาคนไปช่วยไว้ได้ทันพอดี มีแค่แม่พลอยที่บาดเจ็บนิดหน่อย”
“แล้วแม่พลอยเป็นอะไรมากไหม”
“มีแค่รอยฟกช้ำภายนอก”
เห็นท่าทีของพิชญ์แล้ว ปฐพีก็นึกโกรธราชันย์หน่อยๆ ครั้งนี้ราชันย์ทำเกินไปจริงๆ ที่จงใจปล่อยข่าวว่าน้องหนูเป็นลูกตัวเองเพื่อให้รัญญาเข้าใจผิด ใช้น้องหนูเป็นเหยื่อล่อในแผนการบ้าๆ นี้ พิชญ์จะโมโหจนเกือบต่อยหน้าราชันย์ก็คงไม่แปลก แต่คนที่น่าโมโหยิ่งกว่าใครก็คือรัญญาที่กล้าลงมือแม้กระทั่งกับเด็กและคนแก่
หลังจากนี้ รัญญาคงต้องลงมือมากกว่านี้ จะผิดไหม ถ้าเขาจะแย้มพรายเรื่องบางเรื่องให้พิชญ์ได้รับรู้ อย่างน้อยก็ถือว่าชดเชยที่เขาปิดบังพิชญ์เรื่องที่เขาอยู่กับราชันย์ก่อนหน้านี้ ปฐพีถอนหายใจออกมาเบาๆ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองพิชญ์นิ่ง
“ฉันมีอะไรอยากบอก ไม่รู้ว่านายอยากฟังไหม”
“ว่ามาสิ” พิชญ์ตอบอย่างไม่ใส่ใจนัก
ปฐพีปิดบังเขามาจนกระทั่งวันนี้ที่ความจริงเปิดเผย ยังมีเรื่องราวอะไรที่เขายังไม่รู้อีกหรือไง
“ความจริงแล้ว...” ปฐพีเว้นจังหวะอึดใจหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยออกไปในที่สุด “...เฮียกับคุณใหญ่เขาไม่ได้ทะเลาะกันจริงๆ”
TO BE CONTINUE
มาลงตอนใหม่แล้วค่ะ
อาจจะไม่ได้มาบ่อยๆ แต่จะพยายามมาเรื่อยๆ นะคะ
ปมเริ่มทยอยคลี่คลายแล้ว รอคุณใหญ่ค่อยๆ เคลียร์ทีละเปาะ
พีทก็เริ่มใจอ่อนทีละนิดแล้ว >///< ฮึบๆ