สามสิบหก
งานโรงเรียน
ถึงแม้เมื่อวานจะถูกพิชญ์ผลักไสไล่ส่ง วันนี้อริญชย์ก็ยังคงมาถึงโรงพยาบาลแต่เช้าตรู่ พอมาถึงโรงพยาบาล อริญชย์ก็แวะดูอาการแม่พลอยก่อน ตอนเขาเปิดประตูห้องพักแม่พลอยเข้ามา ทันเห็นพยาบาลกำลังจะพาแม่พลอยไปเอกซเรย์ร่างกายพอดี อริญชย์เลยถือวิสาสะขอตามไปด้วย
“มาแต่เช้าเชียว คุณใหญ่” แม่พลอยเอ่ยทักอริญชย์ท่าทางแจ่มใส
หลังจากเมื่อคืนได้นอนหลับเต็มอิ่มด้วยฤทธิ์ยาของคุณหมอ เช้าวันนี้แม่พลอยก็ดูสดใสขึ้นกว่าเมื่อวาน ร่องรอยฟกช้ำยังปรากฏให้เห็นอยู่ลาง ๆ บนใบหน้า แต่ถือว่าดูดีขึ้นมากแล้ว พอเห็นบาดแผลของแม่พลอยชัดเจน อริญชย์เลยไม่แปลกใจที่พิชญ์จะโกรธเขาขนาดนั้น ถ้าหากเป็นเขา เขาก็คงโกรธเหมือนกัน เขาส่งยิ้มกลับไปให้แม่พลอยก่อนจะเอ่ยตอบ
“ว่าจะมาอยู่เป็นเพื่อนพีทน่ะครับ เห็นอยู่เฝ้าน้องหนูอยู่คนเดียว แล้วเมื่อวานผมก็มาเสียดึก เลยไม่ได้แวะมาเยี่ยมแม่ วันนี้เลยรีบแวะมาเยี่ยมแม่ก่อนด้วย”
แม้จะมีอำนาจอยู่เหนือคนนับร้อยนับพัน แต่ใช่ว่าอริญชย์จะเอาอกเอาใจผู้หลักผู้ใหญ่ไม่เป็น เพียงแต่เขาเลือกเท่านั้นว่าควรปฏิบัติต่อใครอย่างไร เมื่ออีกฝ่ายคือแม่พลอย สิ่งที่เขาทำคือปฏิบัติเสมือนว่าแม่พลอยเป็นแม่ของเขาอีกคน
“เห็นวันก่อน พิชญ์บอกแม่ว่าคุณใหญ่จะกลับจากฮ่องกงวันนี้ แล้วนี่กลับมาตั้งแต่เมื่อวานแล้วหรือ” ถึงอายุอานามจะเกือบหกสิบแล้ว แต่แม่พลอยก็ยังความจำดีเป็นเลิศ ลูกชายเธอเล่าอะไรให้ฟังบ้าง เธอจดจำได้ดีไม่มีตกหล่น
“เมื่อวานพอพีทโทรบอกผมว่าเกิดเรื่อง ผมก็ห่วงทางนี้ เลยรีบจองตั๋วเครื่องบินกลับมาน่ะครับ”
“ตายจริง เดือดร้อนคุณใหญ่จนเสียงานเสียการไหมเนี่ย”
“ไม่หรอกครับ ยังไงทางนี้ก็สำคัญกว่างานอยู่แล้ว”
แม่พลอยฟังอริญชย์แล้วก็อดยิ้มออกมาอย่างวางใจไม่ได้ เธอเองก็พอรู้และสังเกตเห็น ว่าอริญชย์ให้ความสำคัญกับพิชญ์ไม่น้อย อีกทั้งยังเผื่อแพ่มาถึงผู้เป็นแม่อย่างเธอด้วย
ทั้งคู่สนทนากันจนกระทั่งพยาบาลเข็นแม่พลอยมาถึงหน้าห้องเอกซเรย์ บทสนทนาถึงได้หยุดลง อริญชย์นั่งรอแม่พลอยอยู่หน้าห้องเอกซเรย์ ไม่ได้รีบไปดูน้องหนูอย่างที่แม่พลอยเข้าใจ หลังจากแม่พลอยเอกซเรย์ร่างกายเสร็จแล้วถูกเข็นออกมาก็เจออริญชย์นั่งรออยู่ คราวนี้เขาเป็นฝ่ายอาสาพาแม่พลอยกลับห้องพักด้วยตัวเอง พลอยทำให้แม่พลอยนึกชมชอบพี่ชายของไอลดามากขึ้นอีก
อริญชย์เข็นแม่พลอยกลับมาห้องพักด้วยตัวเองโดยไม่ปริปากบ่นแม้แต่น้อย ระหว่างทางยังชวนแม่พลอยคุยเรื่องนั้นเรื่องนี้ ส่วนมากจะเป็นเรื่องของพิชญ์ที่เขาพยายามตะล่อมถาม ซึ่งแม่พลอยก็เล่าให้ฟังโดยไม่เอะใจ
พอมาถึงห้องพักแล้วเปิดประตูห้องเข้าไป ทั้งอริญชย์และแม่พลอยก็ต้องแปลกใจเมื่อเห็นพิชญ์พาน้องหนูมานั่งรออยู่ก่อนแล้ว พิชญ์กำลังกระวนกระวาย หลังจากเข้ามาแล้วเห็นเพียงห้องว่าง ๆ แม้จะสอบถามพยาบาลจนได้ความว่าแม่พลอยไปเอกซเรย์ แต่เขาก็ยังอดกังวลไม่ได้ พอเห็นอริญชย์พาแม่พลอยกลับมาด้วยตัวเอง เขาถึงค่อยคลายคิ้วที่ขมวดเอาไว้เป็นปม
อริญชย์ประคองแม่พลอยลงจากรถเข็นด้วยท่าทางชำนิชำนาญ ก่อนจะพาแม่พลอยมานั่งบนเตียงที่ปรับไว้ให้ได้ระดับแล้ว แล้วก็หันมาย่อตัวลงอุ้มน้องหนูที่โผเข้ามาหาเขา เขามองสำรวจน้องหนูด้วยสายตา พอเห็นว่าน้องหนูดูปกติดี ถึงได้วางใจแล้ววางเจ้าตัวเล็กลงนั่งบนเตียง ข้าง ๆ แม่พลอย
“คุณย่าขา...” เจ้าตัวเล็กร้องเรียกแม่พลอยก่อนจะมุดเข้าซุกคุณย่า มือเล็กไล้ไปมาตามรอยฟกช้ำบนใบหน้าแม่พลอยก่อนจะเอ่ยถามเสียงเบา “พ่อพีทบอกคุณย่าหกล้ม เจ็บมากไหมคะ”
“นิดหน่อยลูก”
อริญชย์เห็นท่าทางน้องหนูดูร่าเริงเป็นปกติ ไม่น่าเป็นห่วงอย่างที่กังวล แต่เขาก็ยังไม่วางใจ อดไม่ได้ ต้องยื่นหน้าไปกระซิบถามพิชญ์เสียงเบา
“น้องหนูเป็นยังไงบ้าง มีอะไรน่าเป็นห่วงไหม”
พิชญ์หันมามองอริญชย์ที่ถือวิสาสะนั่งลงข้าง ๆ เขาแวบหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยตอบเสียงเรียบ ๆ ไม่บ่งบอกอารมณ์ใด ๆ
“เมื่อเช้าหมอเด็กมาดูอาการแล้วบอกว่าปกติดี มีแค่ได้รับยาสลบเกินขนาด ร่างกายของเด็กยังไม่มีภูมิต้านทานเลยทำให้หลับยาว แต่ก็เป็นโชคดีของน้องหนู แกเลยไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง ไม่ยังงั้นคงต้องพาไปพบจิตแพทย์เด็กกันอีก”
อริญชย์ฟังแล้วก็พยักหน้ารับ สิ่งที่เขากังวลที่สุดก็คือการที่เหตุการณ์เมื่อวานอาจจะกลายเป็นปมหรือบาดแผลในใจน้องหนู พอได้รู้ว่าน้องหนูไม่รู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง เขาก็วางใจ เห็นพิชญ์ดูนิ่ง ๆ เฉย ๆ เขาเลยพยายามชวนคุย ไม่ให้บรรยากาศดูน่าอึดอัด
“แล้ววันนี้ยังให้น้องหนูไปแสดงงานโรงเรียนอยู่ไหม”
“ก็คงต้องให้ไปล่ะครับ ไม่งั้นเดี๋ยวต้องมาคอยตอบคำถามน้องหนูแน่ ๆ ว่าทำไมถึงไม่ได้ไปงานโรงเรียน”
“ถ้าผลเอกซเรย์ของแม่พลอยออกแล้วไม่มีอะไร เดี๋ยวเราก็กลับบ้านกันเลยแล้วกัน”
พิชญ์หันหน้ามามองอริญชย์ พอเห็นสายตาของอีกฝ่ายที่ทอดมองมาที่เขา คำพูดร้าย ๆ ที่เตรียมจะเอื้อนเอ่ยออกมาเลยถูกเก็บกลืนลงคอไป เปลี่ยนเป็นพยักหน้ารับแทน
“แล้วเรื่องงานของคุณใหญ่ที่ฮ่องกงเรียบร้อยดีไหม”
“เรียบร้อยดี ไม่มีปัญหา...” อริญชย์เว้นช่วงนิดหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยต่อ “อดทนหน่อยนะ ปัญหาใกล้จะจบแล้ว”
พิชญ์กำลังจะเอ่ยปากถามถึงปัญหาที่อริญชย์พูดถึง แต่น้องหนูร้องเรียกหาลุงใหญ่เสียก่อน เขาเลยต้องเก็บคำถามทั้งหมดลงคอ พิชญ์มองอริญชย์อุ้มน้องหนูขึ้นมาจากเตียง คุยกระหนุงกระหนิงกันประสาลุงหลาน เจ้าตัวเล็กของเขาถามถึงของฝากเจื้อยแจ้ว พลอยทำให้คนมองได้แต่อมยิ้มด้วยความเอ็นดู อริญชย์หยอกเย้ากับน้องหนู พลางหันไปคุยกับแม่พลอยอย่างเป็นธรรมชาติ
บางที...การเดินไปบนเส้นทางเดียวกันกับอริญชย์อาจจะไม่ได้แย่อย่างที่พิชญ์คิด
เพียงแต่ตัวเขาเองอาจจะต้องคิดหาวิธีจัดการกับความสัมพันธ์เราสามคน ระหว่างเขา อริญชย์ และไอลดา ไม่ให้ทำร้ายใครคนใดคนหนึ่ง...แม้กระทั่งตัวเขาเอง
สุดท้ายแล้วเขาก็ต้องเลือกเผชิญหน้ากับความเป็นจริง ดีกว่าที่จะปล่อยให้ความสัมพันธ์มันคาราคาซังอยู่อย่างนี้ต่อไป
.
หลังจากรอผลเอกซเรย์ออกและพบคุณหมอเจ้าของไข้อีกรอบหนึ่งเพื่อเช็กอาการของแม่พลอย พอตกบ่ายอริญชย์ก็พาพิชญ์ แม่พลอย และน้องหนูกลับบ้าน พิชญ์ขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าอริญชย์เป็นคนขับรถมาด้วยตัวเอง แต่เห็นแม่พลอยอยู่ด้วย เขาเลยคร้านจะเอ่ยปากถาม เหมือนอริญชย์เองจะเดาจากสายตาของพิชญ์ออก เขาเลยเป็นฝ่ายเอ่ยอธิบายออกมาเอง
“ฉันออกจากบ้านมาตั้งแต่เช้า เลยขี้เกียจปลุกคนอื่นมาขับรถให้”
“คุณนอนไม่หลับหรือไง ไปแค่ฮ่องกง ไม่น่าเจ็ทแลคนะ” เพราะอารมณ์กรุ่น ๆ ตั้งแต่เมื่อวาน เลยพลอยทำให้พิชญ์กล้าต่อปากต่อคำกับอริญชย์
“ห่วงคนที่โรงพยาบาล เลยต้องรีบมาแต่เช้า”
พิชญ์เม้มริมฝีปากแน่น เลิกต่อความยาวสาวความยืดกับอริญชย์ คิดเองเออเองว่าอริญชย์คงหมายถึงน้องหนู
พอกลับถึงบ้าน ป้าน้อยก็เตรียมอาหารกลางวันชุดใหญ่ไว้รอทุกคนแล้ว หลังจากจัดการกับมื้อกลางวันกันเรียบร้อย แม่พลอยก็ขอตัวไปนอนพักผ่อนเอาแรง พิชญ์ได้ยินอริญชย์โทรเรียกตุลย์กับกริชมาเจอที่ห้องหนังสือ ก่อนเขาจะพาน้องหนูออกไปเดินเล่นที่สวนด้านนอก
“เบา ๆ ลูก อย่าวิ่ง” พิชญ์เอ็ดเจ้าตัวเล็กที่วิ่งปร๋ออยู่ข้างหน้า
“น้องหนูไม่หกล้มหรอก พ่อพีท” เจ้าตัวเล็กโตแล้ว เริ่มหัดเถียงคนเป็นพ่อ
“พ่อพีทไม่ได้กลัวหนูหกล้ม พ่อพีทกลัวหนูอ้วกต่างหาก เพิ่งกินข้าวมาอิ่ม ๆ”
น้องหนูหันมายิ้มกว้างให้พิชญ์ก่อนจะยอมผ่อนฝีเท้าให้ช้าลงเมื่อเห็นสายตาดุ ๆ ของผู้เป็นพ่อ แต่พอเห็นผีเสื้อเกาะอยู่บนกอดอกไม้ เจ้าตัวก็รีบวิ่งถลาเข้าไป เล่นเอาพิชญ์ถึงกับกุมขมับ ได้แต่ยืนดูเจ้าตัวแสบวิ่งไล่ผีเสื้อไปมา หลังจากวิ่งวนอยู่สี่ห้ารอบ น้องหนูก็เดินหน้าแดงกลับมาหาพิชญ์ที่ยืนรออย่างใจเย็น คนเป็นพ่อย่อตัวลง ก่อนจะล้วงเอาผ้าเช็ดหน้าขึ้นซับเหงื่อบนใบหน้าเล็ก
ถึงจะห้าขวบแล้ว แต่ใบหน้าของน้องหนูก็ยังเล็กแค่ฝ่ามือเขา พิชญ์ซับเหงื่อเบา ๆ ด้วยความรักก่อนจะถามเจ้าตัวที่ยืนยิ้มแป้น
“เหนื่อยไหม เข้าบ้านกันไหมลูก”
“น้องหนูหิวน้ำ” เจ้าตัวเล็กเริ่มโยเย
“งั้นเราเข้าบ้านไปให้พี่นวลเอาน้ำให้ดื่ม แล้วเดี๋ยวน้องหนูไปอาบน้ำแต่งตัวให้หายร้อนดีไหมลูก”
คนที่วิ่งเล่นจนเหนื่อยพยักหน้ารับอย่างว่าง่าย ปล่อยให้พิชญ์จูงมือเข้าบ้านไม่มีอิดออด พอเข้าบ้านมา นวลก็เตรียมน้ำเย็นรอไว้แล้วอย่างรู้ใจ รอให้น้องหนูนั่งพักจนหายเหนื่อย พิชญ์ก็ให้นวลพาน้องหนูไปอาบน้ำแต่งตัว
“ไปอาบน้ำกับพี่นวลนะ แล้วเดี๋ยวเราค่อยมาเจอกัน”
แยกจากน้องหนูแล้ว พิชญ์ก็เดินขึ้นไปที่ห้องของตัวเอง เมื่อคืนเขาได้นอนไม่กี่ชั่วโมง เพราะมีเรื่องให้คิดจนนอนไม่หลับ เวลานี้เลยตั้งใจว่าจะขึ้นไปนอนพักเอาแรงเสียหน่อย ไม่งั้นมีหวังตอนเย็นเขาต้องนั่งสัปหงกที่โรงเรียนน้องหนูแน่ ๆ
พอขึ้นมาถึงข้างบน พิชญ์ก็ได้ยินเสียงอริญชย์ดังลั่นออกมาจากห้องหนังสือ เขาชะงักเท้าที่กำลังจะเดินเข้าห้องตัวเอง นึกรู้ทันทีว่าอริญชย์กำลังเล่นงานกริชกับตุลย์ที่ปล่อยให้เกิดเรื่องขึ้นกับแม่พลอยและน้องหนู พิชญ์ยืนชั่งใจว่าจะทำเป็นไม่สนใจแล้วเดินกลับเข้าห้องตัวเองดีไหม แต่ตุลย์กับกริชก็พยายามช่วยเหลืออย่างเต็มที่ อย่างน้อยแม่พลอยกับน้องหนูก็ปลอดภัยกลับมา เขาถอนหายใจให้กับความใจอ่อนของตัวเอง แล้วเดินไปหยุดหน้าห้องหนังสือ ก่อนจะยกมือขึ้นเคาะประตูเบา ๆ
“ใคร...” เสียงที่เต็มไปด้วยโทสะของอริญชย์ตวาดดังมาจากข้างใน
ถ้าเป็นเมื่อก่อนพิชญ์คงกลัวจนขวัญหนีดีฝ่อ แต่ตอนนี้เขากลับใจกล้าขึ้นมาอย่างน่าประหลาด อาจจะเป็นเพราะรู้ว่าอริญชย์ไม่ได้มองเขาเป็นแค่ของเล่น พิชญ์เลยรู้สึกเหมือนคนที่ถือไพ่อยู่ในกำมือ
“ผมเอง”
“มีอะไร...”
พิชญ์ส่ายหน้าเมื่อได้ยินเสียงอริญชย์ตะโกนถามอีกครั้ง ดูท่าว่าจะไม่ยอมให้เขาเข้าไปจริง ๆ พิชญ์เองก็ไม่ได้อยากเสียมารยาทเท่าไหร่นัก เขาเลยเอ่ยบอกเจ้าของห้องเสียหน่อย ก่อนที่จะเปิดประตูเข้าไป
“ขอผมเข้าไปข้างในหน่อยครับ”
พอเปิดประตูเข้าไป พิชญ์ก็ต้องขมวดคิ้วกับภาพที่เห็น อริญชย์ยืนอยู่หลังโต๊ะทำงาน ส่วนตุลย์กับกริชยืนอยู่มุมหนึ่ง ห่างออกมาประมาณหนึ่งช่วงแขน บนพื้นมีที่ทับกระดาษแตกกระจายอยู่ พิชญ์กวาดสายตามองรอบห้องอย่างพิจารณา ก่อนจะเอ่ยถามเสียงเรียบ ๆ
“เกิดอะไรขึ้นครับ”
“ไม่มีอะไร” คนถูกถามเอ่ยปฏิเสธทันควัน
“คุณใหญ่...”
ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่พิชญ์กล้าทำเสียงแข็งใส่อริญชย์แบบนี้ แต่หน้าแปลกที่อริญชย์เองกลับไม่ยักโกรธ มิหนำซ้ำยังพอใจมากเสียด้วย แต่พอเหลือบไปเห็นลูกน้องสองคนยืนอยู่ ความพอใจก็ลดฮวบลง รีบถลึงตาดุ ๆ ใส่ก่อนจะโบกไม้โบกมือไล่ทั้งคู่ให้ไปให้พ้นหูพ้นตา
“พวกนายสองคน จะไปไหนก็ไป ออกไปได้แล้ว”
ทั้งตุลย์และกริชก็รู้หลบเป็นปีก รู้หลีกเป็นหาง รีบต่างคนต่างสะกิดกัน แล้วเดินออกจากห้องทันที ตุลย์เกือบจะหวังดีล็อคประตูห้องให้อริญชย์แล้ว แต่กลัวถูกด่าเลยยั้งมือไว้ก่อน เขาลืมไปว่าห้องหนังสือของอริญชย์ ถ้าเจ้าตัวไม่เอ่ยปากอนุญาต ใครหน้าไหนก็ไม่กล้าเข้า เพิ่งจะมีพิชญ์เป็นคนแรก ที่ไม่รอให้เจ้าของห้องอนุญาตก็เดินดุ่ม ๆ เข้าไปเลย
คล้อยหลังตุลย์กับกริชแล้ว ในห้องก็เหลือแค่อริญชย์กับพิชญ์ อริญชย์เดินอ้อมโต๊ะมาหาพิชญ์ที่ยืนอยู่กลางห้อง เขาเอาปลายเท้าเขี่ยเศษที่ทับกระดาษไปทางหนึ่งอย่างไม่ใส่ใจนัก ก่อนจะถามถึงหลานสาวที่เมื่อกี้ยังเห็นวิ่งเล่นอยู่ด้วยกันที่สวน
“น้องหนูล่ะ”
“ให้นวลจับอาบน้ำแต่งตัวแล้วครับ” ตอบแล้วก็นึกได้ว่าเจ้าตัวกำลังเฉไฉเปลี่ยนเรื่อง พิชญ์เลยรีบดึงกลับมาเรื่องเดิมที่คุยค้างไว้ “เมื่อกี้ก่อนผมเข้ามา เกิดอะไรขึ้น”
“ไม่มีอะไร คุยงานกันเฉย ๆ”
“คุยกันจนถึงกับเขวี้ยงที่ทับกระดาษเลยหรือครับ”
ถูกพิชญ์ยอกย้อนกลับมาแล้วอริญชย์ก็ถึงกับนิ่งไป ก่อนจะหัวเราะออกมาอย่างยอมแพ้
“เดี๋ยวนี้พีทของฉันฉลาดขึ้นทุกวัน”
สรรพนามที่อริญชย์เรียกเขาก็ชวนจั๊กจี้ขึ้นทุกวัน...พิชญ์ได้แต่คิดในใจ
“คุณใหญ่ว่าตุลย์กับกริชเรื่องเมื่อวานนี้ใช่ไหม เรื่องนี้คุณใหญ่เองก็มีส่วนผิดนะ ผมยังไม่หายโกรธคุณใหญ่เลย ถ้าแม่พลอยหรือน้องหนูเป็นอะไรขึ้นมาจริง ๆ ผมจะไม่ให้อภัยคุณไปตลอดชีวิตแน่”
ถึงแม้ก่อนหน้านี้เวลาอริญชย์จะชอบพูดจาร้าย ๆ กับเขา พิชญ์ก็ยังอดทนเพราะเป็นตัวเขา แต่หากคนที่เดือดร้อนคือแม่พลอยและน้องหนูเมื่อไหร่ พิชญ์ก็พร้อมเอาเรื่องกับอริญชย์เหมือนกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากต้นสายปลายเหตุของความเดือดร้อนนั้นเกิดจากปัญหาบ้า ๆ ระหว่างอริญชย์กับราชันย์
“ต้องทำยังไง...พีทถึงจะหายโกรธฉัน”
คนถูกเอ่ยถามกลับมาตรง ๆ หน้าร้อนวูบ แต่รีบคุมสติตัวเองแล้วเอ่ยตอบกลับไป
“อย่าให้เกิดเหตุการณ์แบบเมื่อวานขึ้นอีกได้ไหมครับ ผมขอร้อง...”
“ฉันสัญญา...จะไม่ยอมให้มีอะไรเกิดขึ้นกับนาย น้องหนู แล้วก็แม่พลอยเด็ดขาด”
ถ้อยคำที่เอื้อนเอ่ยสัญญานั้นจริงจังจนพิชญ์ต้องเป็นฝ่ายเฉไฉหลบตาหนี เขากลัว...กลัวความชัดเจนจากแววตาของอริญชย์ ตอนนี้เขายังเป็นคนมีพันธะอยู่ แม้จะยอมรับว่ารู้สึกดีกับอริญชย์ขึ้นมาไม่น้อย แต่เขาก็ยังไม่ควรปล่อยใจให้ถลำลึกลงไป ตราบใดที่เขายังสวมแหวนแต่งงานที่นิ้วนางข้างซ้ายอยู่
อริญชย์เห็นพิชญ์เสหลบตาจากเขาก็อยากจะถอนหายใจออกมา ระหว่างเขากับพิชญ์ตอนนี้ ยังเหมือนมีอะไรมาขวางกั้นอยู่ ทั้งที่เขายอมเดินหน้ามาไกลขนาดนี้แล้ว แต่พิชญ์เองกลับไม่กล้าที่จะเดินมาหาเขาเสียที
ถ้าถามว่าท้อไหม อริญชย์ตอบเลยว่ามีบ้าง แต่ถ้าถามว่าจะถอยไหม เขาก็ตอบได้เลยเหมือนกันว่าไม่
ถ้าเขาคิดจะถอย เขาคงไม่เลือกเดินบนทางนี้ตั้งแต่แรก เพราะตั้งใจไว้แล้วว่าชีวิตเขาหลังจากนี้จะต้องมีพิชญ์อยู่ด้วยกัน ในเมื่อพิชญ์ไม่ยอมเดินมาหาเขาด้วยตัวเองเสียที ก็อย่าหาว่าเขาใจร้ายแล้วกัน ถ้าเขาจะเป็นฝ่ายเดินไปลากพิชญ์ให้เดินไปด้วยกัน
“ที่เมื่อเช้าคุณใหญ่บอกผมว่าปัญหาใกล้จะจบแล้ว หมายความว่ายังไงหรือครับ”
“เดี๋ยวรอให้เรื่องทุกอย่างเข้าที่เข้าทางก่อนนะ แล้วฉันจะเล่าให้นายฟังทั้งหมด”
เห็นอีกคนยังไม่พร้อมที่จะอธิบาย พิชญ์ก็ไม่อยากซักไซร้ พอเห็นว่าไม่มีอะไรแล้วก็หมุนตัวเตรียมจะเดินออกจากห้อง แต่กลับถูกอีกคนรั้งข้อมือเอาไว้ พอเขาหันกลับมามอง เจ้าตัวก็เอ่ยว่า
“อย่าเพิ่งไป ฉันซื้อของมาฝากนายด้วย เดี๋ยวหยิบให้”
พอเอ่ยถึงของฝาก พิชญ์ถึงเพิ่งสังเกตเห็นว่ามุมห้องมีถุงกระดาษวางกองอยู่เกือบสิบใบ เจ้าของห้องเดินไปค้นของในกองถุงกระดาษ ก่อนจะเอ่ยพึมพำ แต่จงใจให้คนฟังได้ยิน
“ฉันซื้อของมาฝากแม่พลอยด้วยนะ ฝากนายเอาไปให้ที”
“คุณใหญ่เป็นคนซื้อมาก็เอาไปให้เองสิ”
“งั้นก็ได้... นี่ไง เจอของนายแล้ว”
อริญชย์เดินกลับมาหาพิชญ์พร้อมกล่องกระดาษสองกล่อง พอเห็นยี่ห้อแบรนด์เครื่องหนังอิตาลีที่ปรากฏอยู่บนกล่อง พิชญ์ก็ขมวดคิ้วทันที แม้เขาเองจะไม่ใช่คนที่ชื่นชอบแบรนด์เนมเท่าไหร่นัก เพราะเห็นว่าราคาค่อนข้างสูงเกินฐานะเขา แต่การใช้ชีวิตอยู่กับอริญชย์และไอลดาก็พลอยทำให้เขารู้จักของแบรนด์เนมพวกนี้ รวมทั้งมูลค่าของมัน
“รับไปสิ” อริญชย์เร่ง เมื่อเห็นว่าพิชญ์ยังยืนนิ่ง
“ผมบอกให้ซื้อแค่ขนมกลับมาไง ซื้อของฟุ่มเฟือยกลับมาอีกแล้ว”
“ฉันไม่ได้ซื้ออะไรให้นายบ่อย ๆ เสียหน่อย รับไปเถอะ”
พิชญ์รับมาก่อนจะเปิดออกดู กล่องเล็กเป็นกระเป๋าเงิน แบบที่เขาเห็นแวบแรกก็นึกชอบสีและดีไซน์แล้ว ต้องชมว่าอริญชย์รสนิยมดีจริง ๆ ส่วนอีกกล่องเป็นเข็มขัดยี่ห้อเดียวกันที่พิชญ์น่าจะได้ใช้บ่อย ๆ เวลาทำงาน ถ้าถามว่าชอบของฝากที่อริญชย์ซื้อกลับมาให้ไหม ตอบโดยสัตย์จริง พิชญ์ก็ตอบเลยว่าเขาชอบ
“ขอบคุณนะครับ...”
เวลาใครทำดีกับพิชญ์ พิชญ์ก็ทำดีตอบด้วย แม้แต่อริญชย์ ถ้าหากทำดีกับเขา เขาก็จะทำดีคืนกลับไปเหมือนกัน แต่ดูเหมือนคนได้รับคำขอบคุณจะไม่พอใจแค่นั้น อริญชย์ยื่นหน้ามาใกล้ เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ช่วงที่ฉันไม่อยู่สามวัน...” เขาเว้นช่วงนิดหนึ่งให้พิชญ์รอคอย “...คิดถึงฉันบ้างไหม”
คำถามโต้ง ๆ ของอริญชย์เล่นเอาคนถูกถามหน้าร้อนวูบขึ้นมาอีกระลอก เขากระดากเกินกว่าจะหาคำตอบให้ตัวเองและคนถาม พิชญ์ก้าวเท้าถอยหลังช้า ๆ เผลอแป๊บเดียวก็เผ่นหนีไปถึงประตูห้อง ก่อนจะไปยังอุตส่าห์หันมาบอกอริญชย์
“ผมไปดูน้องหนูหน่อยดีกว่าว่าเป็นยังไงมั่ง เดี๋ยวเจอกันข้างล่างเลยนะครับ คุณใหญ่”
อริญชย์มองตามแผ่นหลังคนที่หนีหายไปแล้วก็ได้แต่ส่ายหัว ดูท่าทางแล้วเขาคงไม่ได้คำตอบที่ตัวเองพอใจง่าย ๆ แน่ แต่เอาเถอะ เขายังมีเวลาอีกทั้งชีวิตที่จะเฝ้าถามและรอคำตอบของพิชญ์ หวังว่าคงมีซักวันที่เขาจะได้ยินคำตอบที่เขาวาดหวังจากปากของพิชญ์
.