เสน่หา...รักเอย ตอนที่๖
“เอ่อ คือ กานต์...”
รพีกานต์เอ่ยน้ำเสียงตะกุกตะกักด้วยความประหม่า สายตาคมปลาบยังคงจดจ้องมาไม่วางตา รพีกานต์แก้มร้อนผ่าวอย่างทำอะไรไม่ถูก กลีบปากอิ่มสีธรรมชาติเผยอน้อย ๆ อย่างคิดคำพูดไม่ออกดูเย้ายวนชวนให้อัครวินท์ย่างเท้าเข้าหาใกล้กว่าเก่าจนได้กลิ่นน้ำหอมราคาแพงผสมกลิ่นกายของเขาชวนให้หัวใจเต้นตึกตัก รพีกานต์หัวใจสั่นไหวรุนแรง ทั้งที่เคยถูกณัฐธีร์จับมือถือแขนแต่ทุกอย่างเป็นไปอย่างทะนุถนอมแตกต่างจากสายตาของอัครวินท์ในตอนนี้ สายตาอันตรายแต่กระนั้นรพีกานต์ก็ไม่อาจละสายตาไปจากคนตรงหน้า
“น้องกานต์รังเกียจที่จะทานข้าวกับพี่หรือครับ อ้อ ลืมไป น้องกานต์คงลำบากใจถ้าแฟนรู้เข้าว่ากานต์ไปทานข้าวกับพี่”
อัครวินท์ทำเสียงน้อยใจเสียเต็มประดา
“ไม่ใช่นะครับ กานต์กับพี่ณัฐยังไม่ได้เป็นแฟนกัน”
รพีกานต์ส่ายหน้าปฏิเสธทันควันด้วยท่าทีร้อนรนเมื่อเห็นสีหน้าผิดหวังของเขา ก่อนจะเอ่ยเสียงอ่อยด้วยประโยคต่อมา
“คือ พี่ณัฐชอบกานต์แล้วขอโอกาสให้กานต์พิจารณาดู กานต์สนิทกับพี่ณัฐมานานก็เลย เลย...”
“ไม่กล้าปฏิเสธ กลัวพี่ณัฐเสียใจ”
อัครวินท์ต่อคำพูดให้ สายตาคมวาววับอย่างได้ใจที่ได้รู้อะไร ๆ จากปากรพีกานต์ ใบหน้าขาวพยักหน้าหงึกหงอย ๆ อย่างยอมรับเหมือนเด็กยอมรับว่าทำผิด อัครวินท์ย่ามใจที่คิดจะรุก
...แค่รักหรือไม่รักยังไม่รู้ใจตัวเอง ใสซื่อไม่ทันคนแบบนี้ ไม่นานคงได้ตัวมานอนกอดฟรี ๆ บนเตียง หึ...
“แล้วแบบนี้คนที่ชอบน้องกานต์จะกล้าเข้าหาหรือครับ แล้วถ้าน้องกานต์เจอคนที่ชอบขึ้นมา น้องกานต์จะบอกพี่ณัฐยังไง หรือว่า จริง ๆ แล้วน้องกานต์ก็รักพี่ณัฐเหมือนกัน”
อัครวินท์เอ่ยถามเสียงเรียบขรึม
“กานต์ คือ กานต์”
รพีกานต์อึกอักไม่รู้จะตอบยังไง ดวงตาคู่สวยฉายแววสับสนอย่างปิดไม่มิด เปิดโอกาสให้อัครวินท์ย่ามใจขยับเท้าเข้าหา ใบหน้าคมโน้มลงกระซิบเหนือกลุ่มผมนุ่ม กลิ่นแชมพูหอมอ่อน ๆ ลอยเข้าจมูกให้อัครวินท์สูดดม
“เราไปหาที่คุยที่อื่นกันนะครับ พี่หิวแล้ว ตรงนี้ใกล้ทางเข้าหอพักน้องกานต์ คนผ่านไปผ่านมาตลอด”
รพีกานต์เพิ่งรู้สึกตัวเหลียวมองซ้ายขวาเห็นจริงดังที่อัครวินท์ว่า ถึงตอนนี้จะไม่มีใครผ่านมา แต่ก็ไม่แน่หรอก ร่างโปร่งสบตากับกับร่างสูงอีกครั้งก่อนจะตัดสินใจก้าวขึ้นรถไปกับเขา รถของอัครวินท์ติดฟิล์มรอบคันรถจึงไม่ต้องกังวลเรื่องคนเห็น แม้จะรู้สึกไม่สบายใจนัก แต่ความรู้สึกลึก ๆ ก็กระซิบยุยงให้รพีกานต์ก้าวขึ้นรถมากับเขา
รพีกานต์ทำสีหน้าแปลกใจไม่น้อยกับร้านอาหารที่อัครวินท์พามา ร้านเป็นร้านออกแนวคลาสสิกบรรยากาศดีติดริมแม่น้ำ ดนตรีในร้านเป็นแนวเรโทร ออกไปทางแนวลีลาศเพราะมีฟลอร์เล็ก ๆ กลางร้านสำหรับให้ลูกค้าได้ออกมาเต้นรำหลังดื่มด่ำกับบรรยากาศสุดแสนโรแมนติกในขณะที่ลิ้มรสชาติอาหารเสร็จแล้ว ซึ่งดูไม่น่าจะใช่สไตล์ของอัครวินท์เท่าไหร่แต่อีกฝ่ายกลับดูคุ้นเคยกับที่นี่เป็นอย่างดี รพีกานต์อดคิดถึงคุณพ่อรพินทร์ขึ้นมาไม่ได้ เพราะคุณพ่อชอบฟังเพลงเก่าแนวอมตะคลาสสิกนัก ยิ่งเพลงของศิลปินแห่งชาติอย่างคุณสุเทพ วงศ์กำแหง คุณพ่อรพินทร์ของรพีกานต์ยิ่งชื่นชอบมาก หากมีโอกาสคุณพ่อรพินทร์แวะมาเยี่ยม รพีกานต์จะชวนคุณพ่อมาฟังเพลงไพเราะที่นี่ด้วยกัน
กำลังคิดเพลิน ๆ ผู้จัดการร้านก็เดินสีหน้ายิ้มแย้มออกมาทักทายพูดคุยอย่างเป็นกันเองกับอัครวินท์ คล้ายกับรู้จักมักคุ้นกันดีก่อนจะเดินนำพาสองหนุ่มไปมุมที่ค่อนข้างเป็นส่วนตัวสำหรับทั้งคู่
“ครอบครัวพี่มักมาทานอาหารกันที่นี่บ่อย ๆ น่ะ”
อัครวินท์ไขความกระจ่างหลังจากหย่อนก้นลงนั่งเรียบร้อย ก่อนหน้าชายหนุ่มไม่วายแสดงความเป็นสุภาพบุรุษด้วยการเลื่อนเก้าอี้ให้รพีกานต์ได้นั่งก่อน สีหน้ารพีกานต์อ่านง่าย แค่น้องทำคิ้วขมวดอัครวินท์ก็รู้ความคิดแล้ว
“กานต์อยากทานอะไรสั่งได้เลยนะครับ มื้อนี้พี่เลี้ยงเอง อุตส่าห์ล่อลวงชวนมาทานเป็นเพื่อนได้ นี่พี่เสี่ยงกับสหบาทาเด็กวิศวะมาก ๆ เลยนะ อาหารที่นี่อร่อยมาก กุ้งนี่ใช้กุ้งแม่น้ำสด ๆ ปลาก็เหมือนกัน เอาไว้วันหลังพี่จะชวนกานต์มาทานข้าวกับครอบครัวพี่นะครับ”
อัครวินท์ร่ายยาวหว่านล้อมก่อนจะปล่อยหมัดฮุกที่ทำเอาคนฟังถึงกับตาโต
“พี่วิน...”
รพีกานต์ครางเรียกชื่ออีกฝ่ายเสียงแผ่วด้วยความอึ้ง อัครวินท์หันไปสั่งเมนูอาหาร มีหันมาถามความต้องการของรพีกานต์ในการตัดสินใจด้วย เมื่อบริกรรับเมนูไปแล้วชายหนุ่มจึงหันมาคุยกับคนตรงหน้าระหว่างรออาหารลำเลียงมาเสิร์ฟ
“ว่าแต่เอ กานต์เองก็รู้จักกับยัยรินน้องสาวของพี่นี่นา ยัยรินเผาอะไรพี่ให้กานต์ฟังบ้างนะ ไม่พ้นต้องบอกว่าพี่เจ้าชู้จีบผู้หญิงเรี่ยราดแน่ ๆ กานต์ถึงทำสีหน้าหวาดระแวงพี่ขนาดนี้”
อัครวินท์เอ่ยแทงใจดำราวกับหยั่งรู้ รพีกานต์หลบสายตาคมวูบเพราะเป็นอย่างที่อัครวินท์พูดมาจริง ๆ
“กานต์ก็เห็นนี่ครับว่าพี่เป็นยังไง มันก็ไม่แปลกไม่ใช่หรือที่จะมีคนเข้าหาพี่มากมาย ลำพังแค่หน้าตาพวกเขาเหล่านั้นพี่จะรู้ได้ยังไงล่ะครับว่าใครเป็นยังไง พี่ก็ต้องลองคบดูก่อนจริงไหม พอคบแล้วรู้ว่าไม่ใช่ มันก็ต้องเลิกรากันเป็นธรรมดา แบบนี้สินะที่กานต์มองว่าพี่คบใครเรี่ยราด”
อัครวินท์เบือนหน้ามองออกไปข้างนอกยังวิวแม่น้ำพลางถอนหายใจเหนื่อยหน่าย
“สมัยนี้คนมองกันแค่เปลือกนอก หน้าตาดีมีรถขับ ผู้หญิงก็ดาหน้าเข้ามาไม่หวาดไหว เห็นแบบนี้พี่เองก็เสียใจนะ ที่ถูกมองแบบนั้นทั้งที่พี่ไม่มีโอกาสได้แก้ตัวอะไรเลยกับคนที่...พี่ต้องใจตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้เจอ”
อัครวินท์แสร้งเอ่ยความในใจเพื่อชักจูงยืดยาวก่อนจะเว้นระยะนิดหนึ่งแล้วจู่โจมให้คนตรงหน้าหน้าแดง รพีกานต์ได้ยินชัดเจนทุกอย่าง แก้มขาวร้อนผ่าวแดงปลั่งขณะที่ดวงตาคู่หวานหลุบลงหลบสายตาคม รพีกานต์ไม่ได้เอ่ยคำพูดอะไรนอกจากนั่งเขินอายให้อีกฝ่ายมองเป็นอาหารตาเล่น อาหารที่สั่งไปถูกลำเลียงมาเสิร์ฟช่วยให้รพีกานต์ได้เงยหน้าขึ้นมา อัครวินท์ไม่รอช้า เนื้อปลาชิ้นโตถูกตักไปวางในจานอีกฝ่ายเพื่อเอาใจทันที
รพีกานต์เอ่ยขอบคุณเสียงแผ่วก่อนจะตักชิ้นเนื้อปลาเข้าปาก อาหารที่นี่รสชาติดีอย่างที่อัครวินท์ว่า เสียงบทเพลงแว่วหวานขับกล่อมให้บรรยากาศการรับประทานอาหารเต็มไปด้วยความโรแมนติกโดยมีสายตาคมคอยจ้องมองผ่านแสงเทียนบนโต๊ะเป็นระยะ มื้ออาหารผ่านไปท่ามกลางอาการเก้อเขินของรพีกานต์ที่มีอัครวินท์คอยตักอาหารเอาใจให้เป็นระยะ จวบจนนักดนตรีขึ้นอินโทรเพลงที่รพีกานต์แสนคุ้นเคยเพราะคุณพ่อรพินทร์เปิดแผ่นเพลงนี้ให้ฟังบ่อย ๆ ดังขึ้น
...เพียงคำเดียว...
“น้องกานต์ให้เกียรติเต้นกับพี่เพลงนี้ได้ไหมครับ”
อัครวินท์ลุกจากโต๊ะพร้อมโค้งให้ มือหนายื่นออกมาตรงหน้าร่างโปร่งที่กำลังทำอะไรไม่ถูก
“พี่วิน กานต์เป็นผู้ชายนะครับ แล้ว...”
“ไม่เป็นไรหรอก เราไม่ต้องไปเต้นที่ฟลอร์ก็ได้ เต้นกันสองคนตรงนี้ มุมนี้จัดพิเศษเผื่อคู่รักอยากเต้นกันสองคนน่ะ นะครับ เดี๋ยวเพลงจะจบแล้ว”
อัครวินท์เร่งเร้าในที รพีกานต์อึกอักนิดหน่อยก่อนจะตัดสินใจวางมือบนมือหนาด้วยความตื่นเต้น ในเมื่อเขาไม่แคร์ รพีกานต์ก็จะไม่แคร์เหมือนกัน
...เพียงคำเดียวที่ปรารถนา อยากฟังให้ชื่นอุรา ใจพะว้าภวังค์...
หัวใจดวงน้อยเต้นกระหน่ำยามได้แนบชิดในระยะใกล้ สายตาหลุบต่ำมองแผ่นอกหนาแต่กระนั้นก็ยังรู้สึกถึงสายตาร้อนแรงจากเขาที่มองมา มือบางเย็นเฉียบด้วยความตื่นเต้น ภาวนาขออย่าให้เขาได้ยินเสียงหัวใจกันเลยหนา
“น้องกานตื่นเต้นหรือครับ มือเย็นเชียว งั้นพี่จะร้องเพลงกล่อมนะ จะได้หายกลัวพี่”
มือหนาเกลี่ยหลังมือบางเบา ๆ เสียงทุ้มนุ่มเอ่ยร้องคลอตามบทเพลง รพีกานต์เงยหน้าสบตาเขาอย่างคาดไม่ถึงว่าคนอย่างอัครวินท์จะร้องเพลงท่วงทำนองนี้ได้ แถมยังขับร้องได้ไพเราะจับใจจนคนฟังอย่างรพีกานต์รู้สึกราวกับตกอยู่ในห้วงมนตร์แห่งความฝันที่มีเพียงรพีกานต์กับเขาแค่สองคน สายตาคมจ้องสบกับดวงตาคู่หวานสื่อความหมายลึกซึ้งขณะที่ริมฝีปากได้รูปเอื้อนเอ่ยบทเพลงราวกับจะสารภาพความในใจออกมาเป็นบทเพลงแสนหวานสะกดหัวใจคนฟัง รพีกานต์รู้สึกราวกับตัวลอย หูไม่ได้ยินเสียงอะไรรอบข้างนอกจากเสียงเพลงจากคนตรงหน้า และสายตาของเขาที่ราวกับจะสะกดหัวใจดวงนี้ให้ยอมสิโรราบ
เพียงคำเดียวที่ปรารถนา อยากฟังให้ชื่นอุรา ใจพะว้าภวังค์
นานเท่านาน พี่คอยจะฟัง คำนี้คำเดียวที่หวัง จะฟังจากปากดวงใจ
คำคำนี้มีค่าใหญ่หลวง พี่รัก พี่แหน พี่หวง เพียงดั่งดวงฤทัย
พี่ไม่เคยเฉลยกับใคร แต่แล้วพี่บอกเจ้าไป เพื่อให้เจ้าตอบเช่นกัน
..มีหลายคราที่เคย เหมือนเจ้าจะเอ่ย เปิดเผยเฉลยคำนั้น
โอ แล้วใยอัดอั้น มิกล้าจำนรรจ์ กลับตื้นกลับตัน ทรวงใน
ฤา เจ้ามีคู่เคียงอุรา เจ้ารักเป็นหนักเป็นหนา ตรึงติดตราหัวใจ
จึงจดจำถ้อยคำพี่ไว้ แอบเอาไปบอกคู่ใจ ทอดทิ้งพี่ให้อกตรม
ฤา เจ้าลืมถ้อยคำคำนี้ จึงทำไม่รู้ไม่ชี้ ดังไม่มีเยื่อใย
แม้น..เจ้าลืมเจ้าเลือนเคลื่อนคลาย พี่เตือนให้อีกก็ได้
ก็รักอย่างไร เจ้าเอย“แม้น..เจ้าลืมเจ้าเลือนเคลื่อนคลาย พี่เตือนให้อีกก็ได้ ก็ “รัก”อย่างไร เจ้าเอย”
เสียงร้องเพลงคลอเบา ๆ ในรถกับบทเพลงสุดไพเราะและหวานซึ้งติดตรึงตราใจคนฟังที่เพิ่งได้ยินมาจากร้านอาหารแล้วครั้งหนึ่ง คนขับร้องบทเพลงแสนหวานเหลือบมองคนข้างกายที่นั่งรถกลับมาด้วยกันเป็นระยะ รพีกานต์นั่งเม้มปากเงียบไม่เอ่ยคำพูดใดออกมา ดวงตาคู่สวยหวานมีแววสับสนเล็ก ๆ หัวใจยังคงเต้นกระหน่ำไม่เป็นจังหวะ หลังเสร็จจากเต้นรำด้วยกัน เจ้าของใบหน้าหวานก็เอาแต่หลบสายตาคมที่คอยแต่จะจดจ้องราวกับจะยั่วล้อกันให้ปั่นป่วน อัครวินท์จ่ายเงินค่าอาหารซึ่งรพีกานต์ยื่นความจำนงหารจ่ายกันคนละครึ่งแต่ก็ถูกอีกฝ่ายรั้งมือบางเอาไว้พร้อมเกลี่ยเบา ๆ ให้รพีกานต์หน้าแดงสบจังหวะให้อัครวินท์จ่ายค่าอาหารมื้อนั้นเองและพากลับมาส่ง
กึก
จู่ ๆ เมอร์เซเดสคันหรูก็จอดลงกะทันหัน รพีกานต์หันมองคนขับที่เปิดประตูรถออกไปโดยไม่พูดอะไร ร่างโปร่งกำลังจะอ้าปากเรียก หากอัครวินท์ก็ปิดประตูลงพร้อมเดินอ้อมมาเปิดประตูฝั่งรพีกานต์ออก
“น้องกานต์มากับพี่หน่อยนะครับ”
รพีกานต์ขมวดคิ้วอย่างสงสัยแต่กระนั้นร่างโปร่งก็ลงจากรถเดินตามเขามา อัครวินท์จอดรถชิดไว้มุมหนึ่งก่อนจะพารพีกานต์เดินขึ้นไปกลางสะพาน ใบหน้าหล่อเหลาแหงนมองพระจันทร์ใกล้คืนวันเพ็ญพร้อมเอ่ยคำพูดที่คนฟังแก้มแดงเรื่อ
“ใกล้วันลอยกระทงแล้ว ปีนี้คนที่พี่อยากลอยกระทงด้วย เขาจะเมตตายอมมาลอยกับพี่ไหมน้า”
อัครวินท์ยืนเกาะราวสะพานเอ่ยรำพึงรำพัน รพีกานต์เดินมาหยุดยืนข้าง ๆ พร้อมเงยหน้ามองพระจันทร์ส่องสว่างใกล้จะเต็มดวงด้วยความรู้สึกอบอุ่นปนสับสนอย่างบอกไม่ถูกที่ได้ยืนเคียงกันกับเขามองพระจันทร์ด้วยกันแบบนี้
“อย่างพี่วินจะมีใครกล้าปฏิเสธ ขี้คร้านสาว ๆ จะแย่งกันเป็นตุ๊กตาหน้ารถเสียมากกว่า”
รพีกานต์เอ่ยขึ้นเบา ๆ ขนาดในร้านอาหารตอนเดินเข้าไปและเดินกลับออกมายังไม่วายมีหญิงสาวแอบมองชายหนุ่มไม่วางตา
“แล้วไงล่ะครับ พวกนั้นไม่ใช่คนที่พี่อยากลอยกระทงด้วยนี่นา คนที่พี่อยากลอยด้วย มีคนหวงอย่างกับไข่ในหิน”
สายตาคมจับจ้องใบหน้าสวยภายใต้แสงจันทร์ แวบหนึ่งอัครวินท์อดยอมรับไม่ได้ว่าอีกฝ่ายผุดผ่องดูมีเสน่ห์อย่างบอกไม่ถูก ใบหน้าที่ไม่ได้ปรุงแต่งดูงดงามตามธรรมชาติด้วยเครื่องหน้าที่ลงตัว คิ้วยาว ปาก จมูก สวยแบบไม่ต้องทำอะไรเพิ่ม แพขนตาที่งอนยาวขับให้ดวงตาดูหวานติดตรึงตา มองได้ไม่รู้เบื่อ สายลมอ่อนพัดพรายกลิ่นกายหอมอ่อนละมุนละไมของรพีกานต์ลอยเข้าจมูกให้ความรู้สึกดีจนเกือบจะลืมไปว่าตนเองนั้นชิงชังพวกลักเพศแค่ไหน
...แม่ของเขาต้องเจ็บช้ำเพราะพ่อรักผู้ชาย อัครวินท์เกลียดและอยากทำลายความรักที่ผิดเพี้ยนนี้ นั่นเป็นเหตุผลที่เขาจงเกลียดจงชังรพีกานต์กับณัฐธีร์ เกลียดแบบงี่เง่าไร้เหตุผล อยากทำลายความรักผิดธรรมชาติให้ย่อยยับ...“พี่มีคอนโดแถวบางแสน น้องกานต์อยากไปนั่งรถเลียบชายหาด ทานอาหารทะเลอร่อย ๆ กับพี่ไหมครับ แล้วยังไงเราไปเที่ยวต่อที่เกาะล้านก็ได้”
อัครวินท์หันมาเอ่ยชวนคนข้างกาย เมื่อเห็นรพีกานต์ดูสับสนและกังวลชายหนุ่มจึงเริ่มรุกต่อ
“น้องกานต์คงรังเกียจและไม่ไว้ใจพี่ ใช่สิ พี่มันเจ้าชู้ นิสัยแย่ รินคงบอกกานต์แบบนั้น เพราะพี่เคยทำให้เพื่อนของรินต้องเสียใจ ตั้งแต่นั้นมารินก็ไม่เคยมองพี่ดีอีกเลย”
อัครวินท์เอ่ยอย่างตัดพ้อ รพีกานต์เกาะราวสะพานแน่น สูดลมหายใจเข้าปอดลึกก่อนตัดสินใจเอ่ยถามบางอย่างออกมา
“พี่วินครับ กานต์ขอถามอะไรสักหน่อยได้ไหม กานต์ต้องการความชัดเจน ไม่อยากรู้สึกว่ากานต์คิดเข้าข้างตัวเองไปคนเดียว สิ่งที่พี่วินกำลังแสดงออกกับกานต์มันคืออะไรหรือครับ”
รพีกานต์สบตาด้วยใบหน้าจริงจังกับเจ้าของใบหน้าหล่อเหลาที่สะกดหัวใจตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอหน้า
“พี่ยังไม่บอกตอนนี้หรอก คำ ๆ นั้นมันมีค่ามากไม่ใช่หรือครับ พี่ไม่บอกให้กานต์ได้ยินง่าย ๆ หรอก แต่สิ่งที่กานต์กำลังรู้สึก กานต์คิดไม่ผิดหรอกครับคนดี”
อัครวินท์ยิ้มอ่อนสบตากับเจ้าของดวงตาคู่สวย กลายเป็นรพีกานต์ที่เก้อเขินสายตาของเขาเสียเองจนต้องหันหลบ ปากบางเม้มเข้าหากันอย่างคิดหนัก
“แต่เราเพิ่งจะได้เจอกันนะครับ”
มือรพีกานต์บีบกับราวสะพานอย่างตื่นเต้น หัวใจเต้นกระหน่ำจนประหม่าไปหมด กระนั้นก็ยังพยายามควบคุมน้ำเสียงให้ปกติที่สุด ไม่ให้เขารู้ได้ง่าย ๆ หรอกว่ารพีกานต์ตื่นเต้นแค่ไหน อัครวินท์นับเป็นผู้ชายคนแรกที่ทำให้ร่างโปร่งเสียการควบคุมตัวเองได้แบบนี้
“สำหรับกานต์อาจใช่ แต่สำหรับพี่ พี่เคยเจอกานต์มาก่อนหน้านี้แล้วตั้งแต่เทอมที่แล้ว ช่วงเปิดเทอมใหม่ ถึงขั้นเก็บเอาไปฝันถึงก็หลายครั้ง กานต์เป็นเพื่อนกลุ่มเดียวกับน้องสาวพี่ พี่เห็นกานต์เดินไปไหนกับพวกยัยรินบ่อยไป แต่ไม่กล้าเข้าหา องครักษ์พิทักษ์กานต์ไม่เปิดช่องว่างให้เลย กานต์ดูนี่สิ”
คำตอบของอัครวินท์มาพร้อมกับโทรศัพท์ที่ยื่นมาให้ดู เป็นรูปแอบถ่ายรพีกานต์ตอนไม่รู้ตัวในอิริยาบถต่าง ๆ ทำเอารพีกานต์อ้าปากค้าง แก้มขาวร้อนผ่าว ดวงตาสวยหวานหลุบลงลอกแลกหลบทำอะไรไม่ถูก มือไม้ไปไม่เป็นจนต้องจับราวสะพานแน่นกว่าเก่า
“แต่กานต์...กานต์เป็นผู้ชายนะครับ กานต์มีสรีระร่างกายที่เหมือนกันกับพี่วิน กานต์...อาจให้ความสุขกับพี่วินได้ไม่เท่าผู้หญิง แล้วกานต์อาจทำให้พี่วินถูกมองแปลก ๆ”
“ที่กานต์พูดมานั่น พี่ณัฐเองก็ชอบกานต์ที่เป็นแบบนี้ไม่ใช่หรือไง แล้วทำไมเป็นพี่บ้างจะไม่ได้”
อัครวินท์ยื่นมือกุมมือบางที่จับราวสะพานแน่น ความอุ่นของฝ่ามือที่ส่งถึงกันทำให้รพีกานต์กัดริมฝีปากแน่นอย่างพยายามจะหักห้ามใจไม่ให้หวั่นไหว
...หยุดนะหัวใจ อย่าเต้นแรงถึงเพียงนี้ กลัวเขาจะไม่รู้หรือว่า หวั่นไหวกับเขาแค่ไหน...
“มันไม่เหมือนกันนะครับ พี่ณัฐเป็นแค่ผู้ชายธรรมดาคนหนึ่ง ไม่ได้เป็นลูกชายไฮโซมีชาติตระกูลที่คนในแวดวงสังคมต่างรู้จักอย่างพี่วิน เวลาเราไปไหนมาไหนด้วยกัน เราอาจถูกนินทาหรือมองอย่างประหลาดสำหรับคนที่ไม่เข้าใจ แต่เดี๋ยวมันก็ผ่านไป นามสกุลของพี่ณัฐก็ไม่ได้ทำให้เป็นที่จับตามองอย่างพี่วิน พี่วินจะทนกับคำนินทาได้หรือครับ แล้วยังจะครอบครัวพี่อีก”
รพีกานต์พูดอย่างหดหู่ด้วยความหวาดกลัวเล็ก ๆ
กลัว...ว่าเขาจะมาลวงหลอก เพราะว่าเขาทั้งหล่อและรวย ตัวเลือกมีมากมาย
กลัว...ว่าครอบครัวเขาจะรับไม่ได้ สุดท้ายก็ต้องเลิกรา
กลัว...ว่าแวดวงสังคมไฮโซของเขาจะไม่เหมาะกับตัวเอง นกน้อยโผผินขึ้นสูงเกินกำลังตน หลงไปอยู่ในหมู่หงส์ สุดท้ายตกลงมาเจ็บเจียนตาย
...ยอมรับว่ากลัวเหลือเกิน...
แต่เหนือกว่าความกลัวใด คือ กลัวหัวใจตัวเอง ที่พลอยจะไม่อยู่กับเนื้อกับตัว แล่นถลาจะไปหาแต่เขาเสียเรื่อย
“กานต์เชื่อเรื่องรักแรกพบไหมล่ะ ถ้ากานต์ได้เจอใครแล้วคนนั้นทำให้กานต์ใจเต้นรัวเหมือนจะกระดอนออกมาจากอก นั่นล่ะคือความรัก" คำพูดณัฐธีร์ที่เคยว่าไว้ผุดขึ้นหัวทำให้จิตใจยิ่งว้าวุ่นสับสน อัครวินท์มองคนคิ้วขมวดแทบผูกปมพลางฉวยโอกาสรุกคืนทำคะแนน
“กานต์กลัวเรื่องนี้เองหรือ ไม่ใช่เรื่องที่พี่เป็นคนไม่ดีใช่ไหม ถ้าอย่างนั้นก็ดีเลย พี่จะถือโอกาสนี้พิสูจน์ให้กานต์ได้เห็น ว่าพี่รู้สึกต่อกานต์จริง ๆ ไม่ใช่ความรู้สึกฉาบฉวย ให้โอกาสพี่นะครับ ถึงเราจะเพิ่งรู้จักกันแต่กานต์รู้ไหม พี่รู้สึกอิจฉาพี่ณัฐมากเลยนะที่เขาได้เจอและใช้เวลากับกานต์มาตั้งนาน”
อัครวินท์กุมมือบางพลางหันตัวบางให้หันมาเผชิญหน้ากันด้วยสายตาแน่วแน่
“ให้เวลานับจากนี้เป็นของพี่ได้ไหม ให้โอกาสพี่แล้วเราจะร่วมฝ่าฟันทุกอย่างไปด้วยกัน ถ้าครอบครัวยอมรับไม่ได้พี่ก็จะออกมา ยกทุกอย่างให้ยัยรินดูแลก็ได้ พี่ไม่ต้องการอะไรนอกจากกานต์”
“พี่วิน คือกานต์...”
รพีกานต์อึกอักอย่างสับสนด้วยณัฐธีร์เองก็เคยขอโอกาสนี้เช่นกัน ตอนนั้นรพีกานต์ไม่รู้จักอะไรคือความรัก คิดแค่ว่าถ้าเป็นพี่ชาย รพีกานต์ก็สามารถอยู่กับพี่ณัฐได้ตลอดไป ไม่คิดเลยว่าจะได้เจอกับอัครวินท์ด้วยความรู้สึกสับสนไม่เป็นตัวของตัวเองแบบนี้ สีหน้าลำบากใจ ดวงตาสั่นไหวอย่างประหม่า คิดไม่ตก แต่ไม่ได้ชักมือออกปฏิเสธ ทำให้อัครวินท์ถือโอกาสรุกต่อ
“กานต์ยังไม่ต้องตอบพี่ตอนนี้ เพราะกานต์เองก็ให้โอกาสพี่ณัฐเหมือนกัน ขอแค่พี่ได้เป็นเพียงตัวเลือกของกานต์ก็ยังดี ให้เวลาเป็นคำตอบสำหรับกานต์นะครับ ถึงผลสุดท้ายคำตอบจะออกมาแบบไหนพี่ก็จะยอมรับให้ได้ พี่รอกานต์ได้เสมอ พี่รอคนที่ใช่มาได้ตั้งนาน ทำไมพี่จะรอกานต์ไม่ได้ล่ะ”
อัครวินท์ยิ้มอบอุ่นปลอบประโลมให้ร่างบางคลายกังวล รพีกานต์เงยหน้าขึ้นยิ้มละไมอย่างขอบคุณที่เขาไม่เร่งรัดกัน รอยยิ้มสว่างไสวตราตรึงใจจนอัครวินท์ชะงักไปครู่หนึ่ง
“ขอบคุณพี่วินที่เข้าใจกานต์นะครับ”
“ไม่เป็นไร กานต์สบายใจได้ นี่พี่พากานต์มาเถลไถลนานแล้ว เรากลับกันนะครับ”
อัครวินท์ยิ้มอ่อนโยนพลางยีผมนุ่มหยอกเย้าก่อนทั้งคู่จะพากันไปขึ้นรถเพื่อไปส่งรพีกานต์ยังที่พัก
“พี่วินจอดตรงนี้นะครับ เดี๋ยวกานต์เดินเข้าไปเอง”
รพีกานต์บอกเพราะเมื่อกี้ณัฐธีร์เพิ่งส่งข้อความมาหาบอกว่าเลิกประชุมแล้วและกำลังจะมาหารพีกานต์ที่หน้าหอพัก เมอร์เซเดสคันหรูจอดเทียบฟุตบาทเพื่อให้ร่างเล็กได้ลงพร้อมยื่นถุงใส่เสื้อนิสิตที่เปื้อนคราบน้ำให้ รพีกานต์ยื่นมือออกมารับ ถือโอกาสให้อัครวินท์ได้จับมือบางนุ่มนิ่มพร้อมส่งสายตาเสน่หาหวานหยาดเยิ้มปานจะกลืนกินให้อีกฝ่ายได้เขินอาย ก่อนร่างโปร่งจะรีบรับถุงเสื้อและเปิดประตูรถลงไปเดินนำหน้าลิ่ว ๆ ขาแทบขวิด อัครวินท์ยกยิ้มพอใจก่อนจะออกรถโดยไม่วายแกล้งชะลอตามร่างบาง รพีกานต์หันมาค้อนควักให้อีกฝ่ายหัวเราะขำก่อนจะแล่นรถจากไป เหลือบมองกระจกหลังเห็นสายตาร่างบางมองตามรถของเขาอยู่ อัครวินท์ก็ย่ามใจนัก
รถของอัครวินท์แล่นมาถึงหน้าหอพักรพีกานต์ สายตาคมเหลียวมองร่างสูงในชุดชอปวิศวะกำลังยืนรอรพีกานต์อย่างกระวนกระวายก่อนจะยกยิ้มเย้ย
...มดแดงเฝ้าพวงมะม่วง เฝ้ารักเฝ้าหวงมานานนม สุดท้ายมะม่วงนั้นก็ถูกคนอื่นเชยชมไม่เหลือหรอ...
“พี่ณัฐมารอกานต์นานไหมครับ”
รพีกานต์เอ่ยถามเมื่อเดินมาถึงหน้าหอพักแล้วเจอณัฐธีร์ยืนรออยู่ก่อนแล้ว
“กานต์ไปไหนมา พี่เพิ่งมาถึงเมื่อครู่ กานต์หิวไหม ทานอะไรหรือยัง”
ณัฐธีร์ถามอย่างเป็นห่วงเป็นใย
“กานต์ทานกับเพื่อนมาแล้วครับพี่ณัฐ พอดีกานต์ทำเสื้อเพื่อนเลอะน่ะครับ เลยไปเอาเสื้อมาซักคืนให้”
รพีกานต์บอกพลางชูถุงใส่เสื้อให้ดูด้วยความรู้สึกผิดลึก ๆ ที่โกหกพี่ชาย แต่รพีกานต์ยังไม่ได้เป็นอะไรกับอัครวินท์เสียหน่อย อายุน้อยกว่าหน่อย เรียกเพื่อนคงไม่ผิดมากใช่ไหม ถึงอัครวินท์จะสารภาพว่ารู้สึกอย่างไรกับรพีกานต์ก็เถอะ
“พี่ซักให้นะ รับรองจะรีดให้เรียบกริบเลย กานต์จะได้ไม่ต้องเหนื่อย”
ณัฐธีร์กุลีกุจอขันอาสาเอาใจพร้อมยื่นมือมาดึงถุงเสื้อไปจากมือรพีกานต์ หากแต่รพีกานต์เบี่ยงมือหนีเสียก่อน
“ไม่เป็นไรครับพี่ณัฐ กานต์ทำเลอะ กานต์ก็ต้องรับผิดชอบ กานต์โตแล้วนะ”
รพีกานต์บอกพี่ชาย
“ขอโทษครับ พี่ลืมตัวคิดว่ากานต์ยังเป็นน้องน้อยของพี่อยู่เรื่อย อ้อ จริงสิ ใกล้ลอยกระทงแล้ว พี่แวะมาจองตัวกานต์ก่อนเลย ห้ามไปกับใครที่ไหนด้วยล่ะ หรือกานต์จะกลับบ้านไปลอยกับคุณพ่อ พี่จะได้ขับรถให้”
ณัฐธีร์บอกน้องน้อย
“พี่ณัฐ”
รพีกานต์ครางเรียกชื่อพี่ชายอย่างพูดไม่ออก
“สระน้ำของมหาวิทยาลัยเรามีตำนานนี่นา พี่จะพากานต์ไปลอยกับพี่นะครับ น้องน้อยของพี่ชาย”
ณัฐธีร์มองรพีกานต์ด้วยแววตามีประกายเปี่ยมไปด้วยความหวัง รพีกานต์ยิ้มบางแบ่งรับแบ่งสู้ขณะเดินนำณัฐธีร์กลับขึ้นห้องเพื่อไปเที่ยวหาเหมือนเคย ทั้งคู่พักกันคนละที่ ณัฐธีร์แชร์ค่าห้องกับเพื่อนร่วมคณะเพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย ส่วนรพีกานต์ไม่มีปัญหาด้านการเงินจึงพักอะพาร์ตเมนต์ที่สะดวกสบายกว่า
“ใกล้วันลอยกระทงแล้ว ปีนี้คนที่พี่อยากลอยกระทงด้วย เขาจะเมตตายอมมาลอยกับพี่ไหมน้า”
“อย่างพี่วินจะมีใครใกล้กล้าปฏิเสธ ขี้คร้านสาว ๆ จะแย่งกันเป็นตุ๊กตาหน้ารถเสียมากกว่า”
“แล้วไงล่ะครับ พวกนั้นไม่ใช่คนที่พี่อยากลอยกระทงด้วยนี่นา คนที่พี่อยากลอยด้วย มีคนหวงอย่างกับไข่ในหิน”อัครวินท์เดินแกว่งกุญแจผิวปากเล่นอย่างอารมณ์ดีเข้ามาในบ้าน ขณะขายาวกำลังจะก้าวขึ้นบันไดชั้นสองก็บังเอิญเจอกับไอยวริญท์น้องสาวที่กำลังเดินลงบันไดมาชั้นล่างพอดี ไอยวริญท์อดแปลกใจไม่ได้ที่ได้เห็นพี่ชายอารมณ์ดีกว่าปกติ แถมกลับเข้าบ้านเร็วกว่าทุกทีจึงเอ่ยถาม
“พี่วินไปอารมณ์ดีอะไรมาคะ ผิวปากหวือเชียว”
ไอยวริญท์กระเซ้าพี่ชายน้อย ๆ หากอัครวินท์กลับส่งยิ้มขอบคุณมาให้
“พี่ต้องขอบคุณรินนั่นแหละที่ช่วยให้พี่อารมณ์ดีขนาดนี้” ขอบคุณรูปที่เธอแอบถ่ายรพีกานต์เอาไว้ให้พี่ฉกมาเป็นข้ออ้างป้ออีกฝ่าย
“รินน่ะหรือคะ รินว่ารินยังไม่ได้ทำอะไรเลยนะคะ”
ไอยวริญท์ถามด้วยความสงสัยเต็มประดา
“ขอบคุณสำหรับคำแนะนำเรื่องเพลงไง พี่ไปล่ะ วันนี้พี่อารมณ์ดีสุด ๆ”
อัครวินท์ยีผมน้องสาวเล่นก่อนจะละมือเดินขึ้นบันไดชั้นบนไปเพื่อจะส่งข้อความทำคะแนนกับใครบางคน ไอยวริญท์มองตามพี่ชายด้วยใบหน้าฉงนไม่เข้าใจนักก่อนจะส่ายหน้าก้าวเท้าลงบันไดต่อ อันที่จริงมุกพาไปรับประทานอาหารท่ามกลางแสงเทียนในบรรยากาศโรแมนติกก็มาจากที่อัครวินท์หลอกถามน้องสาวจนได้รู้ความจริงว่า รพีกานต์ชอบเพลงอะไรแนวไหน ก่อนจะโทรไปเตี๊ยมกับร้านอาหารไว้เพื่อขอมุมส่วนตัวในการเต้นรำเพื่อให้เขาได้มีโอกาสใกล้ชิดกับรพีกานต์ ส่วนเรื่องร้องเพลงไม่ใช่ปัญหาสำหรับเขาเพราะตอนเด็กอัครวินท์เคยเข้าประกวดร้องเพลงชิงรางวัลถ้วยพระราชทานจนได้เข้าถึงรอบสุดท้าย แม้จะไม่ได้รางวัลชนะเลิศ แต่ก็แพ้คะแนนคนชนะไปเพียงนิดเดียว แน่นอนว่าแม้โตขึ้น ชายหนุ่มก็ยังคงมีทักษะการร้องเพลงได้ไพเราะ เสียแต่อัครวินท์ไม่เอาอ่าวนอกจากเสเพลไปวัน ๆ
แกรก แอ๊ด
เสียงประตูลูกบิดจากห้องฝั่งตรงข้ามเปิดออกพร้อมร่างของผู้เป็นประมุขของบ้านก้าวออกมาจากห้อง “อินทัช” มองร่างของบุตรชายที่ถอดแบบความหล่อเหลามาจากเขาเมื่อครั้งยังเป็นหนุ่มอย่างไม่ผิดเพี้ยน
“วันนี้อารมณ์ดีอะไรมาเจ้าวิน ผิวปากหวือเชียว”
“ก็นิดหน่อยครับ อ้อ ขอบคุณคุณพ่อนะครับที่ทำให้ผมคิดหาอะไรสนุก ๆ เล่นก็เบื่อได้”
อัครวินท์บอกก่อนจะหันหน้าหนีเดินไปที่ห้องตนเองพร้อมเปิดประตูเข้าห้องไปโดยไม่สนใจผู้เป็นบิดาอีก อินทัชมองบุตรชายด้วยความหนักใจ อัครวินท์ไม่สนิทใจกับเขาเหมือนเก่าตั้งแต่เด็กชายบังเอิญไปเจอรูปเขากับคนรักเก่า แถมถูกผดาชไม ภรรยาที่เขาจำต้องแต่งงานด้วยใส่ร้ายป้ายสีต่าง ๆ นานาเพื่อให้ลูกเกลียดเขา เกลียดในสิ่งที่เขาเป็นและรัก เพียงเพราะเขาไม่สามารถรักหล่อนได้ หล่อนได้เขามาเพียงร่างกายเท่านั้น
เพราะความรักที่แสนดีงามอย่างรพินทร์ยังคงติดตรึงในใจเขาจวบจนวันนี้
“คุณสบายดีนะ รพินทร์ แสงสว่างของผม”
มีต่อด้านล่างค่ะ