สิบ ช่วงเวลาตีห้าสี่สิบห้าในวันปกติแล้วคือช่วงเวลาแห่งการนิทรา
ถ้าไม่นับเพื่อนบางคนที่ออกมาซื้อไก่ย่างร้านเด็ดตอนเช้ากินน่ะนะ
"ต้องตื่นเช้าขนาดนี้เลยเหรอ"
"บางคนยังไม่ได้นอนด้วยซ้ำ"
มองซากงานกระจัดกระจายจากอดีตสนามรบที่ชื่อว่า 'คืนก่อนวันจริง' รอบกาย มีทั้งส่วนที่หมดแรงนอนสลบเหมือดไปแล้ว และบางคนอยู่ในชุดเสื้อค่ายกางเกงยีนส์ขายาวเตรียมพร้อมต้อนรับนักเรียนจำนวนเกือบหนึ่งร้อยคนที่กำลังเดินทางมาเข้ารับการคัดเลือก
นึกไม่ค่อยออกว่าช่วงเวลาเดียวกันนี้ของปีที่แล้วรู้สึกอย่างไรบ้าง ปรัญแค่ตามเพื่อนมาอย่างที่บอก คิดง่ายๆ แค่ว่าถ้าได้เข้าเรียนในโครงการนี้เลยก็ดี จะได้ไม่ต้องไปเจอการสอบอีกหลายสนาม
"แล้วจะทำงานไหวเหรอ..."
"ต้องไหว ทำไงได้"
สัจธรรมของชาวค่าย ผ่านมากี่ครั้งไม่เห็นมีการพัฒนาสักที
จากหน้าที่ฝ่ายใช้แรงงาน เลื่อนขั้นมาเป็นคนรับผิดชอบกิจกรรมใหญ่ เราสองคนได้รับความไว้วางใจให้เป็นคนจัดการทั้งหมดโดยที่ไม่ต้องมีการบรีฟอะไรเพิ่มเติมมากมายเหมือนอย่างที่บางกิจกรรมโดน
พูดไม่ผิดนะ เราสองคนคือทั้งเขาและเอื้อมอารัญ
เอื้อมดูสนุกกับการได้วางโครงสร้างกิจกรรมทั้งหมดใหม่อีกครั้ง จากการช่วยที่นึกว่าแค่แวะมาเพียงครั้งคราวกลายเป็นงานคู่ไปเสียได้ งานนี้ไม่ได้มีแต่พวกเด็กทุนมาทำอยู่แล้วเลยไม่ได้เป็นแกะดำ
อีกอย่างคือเขายังว่างจากสัปดาห์พักมืออยู่ด้วย อาการบาดเจ็บทั้งหมดหายไปแล้ว เหลือแต่ร่องรอยของสะเก็ดอีกนิดหน่อย ถึงจะเป็นอย่างนั้นมือซ้ายก็ยังมีพลาสเตอร์ติดเอาไว้เสมอเพื่อตบตาคนอื่น อารมณ์ประมาณว่าเขาไม่อยากจะตอบคำถามว่าถ้าไม่พันมือแล้วทำไมถึงยังไม่กลับไปซ้อม
เดินไปรับป้ายชื่อและเสื้อค่ายสีกรมท่าตามไซซ์ที่สั่งมาถือเอาไว้คนละตัว ขั้นต่อไปคือการเปลี่ยนชุดให้เรียบร้อย พื้นที่ของห้องเด็กทุนไม่เหมาะสำหรับการค้างในคืนก่อนวันงานเลยอนุญาตให้คนที่เคลียร์งานเสร็จหมดแล้วกลับไปนอนห้องตัวเองก่อนที่มาเจอกันช่วงเช้าแทน
นอกจากรับผิดชอบหน้าที่ฝ่ายกิจกรรมในวันที่สองช่วงเย็นแล้วปันกับเอื้อมไม่ได้มีงานชิ้นอื่นชัดเจน เลยโดนเด้งไปเป็นฝ่ายสวัสดิการด้วยเหตุผลว่าต้องการผู้ชายเอาไว้ยกข้าวยกน้ำ ตรงป้ายชื่อของพวกเขาเลยมีตำแหน่งเขียนเอาไว้เยอะกว่าคนอื่นนิดหน่อย
"แลกป้ายชื่อแกล้งเด็กกันไหม"
ระหว่างที่กำลังแก้ไขความยาวของเชือกสีขาวแดงข้อเสนอแผลงๆ ก็มาหา
"จะมีปัญหาอะไรหรือเปล่า"
"ไม่หรอก ยังไงเราก็อยู่กับปันตลอดอยู่แล้ว"
ชั่งใจอยู่ครู่หนึ่ง พอสบเข้ากับสายตาเปี่ยมหวังแล้วก็ได้แต่ยอมแพ้เช่นเดียวกับทุกครั้ง เอื้อมนี่ก็ชอบหาเรื่องเล่นอะไรแปลกๆ ไม่ต่างจากแผนงานใหม่ในกิจกรรมของเขาเลย
มองป้ายกระดาษด้านที่เขียนว่า 'ปัน' ในมือเป็นครั้งสุดท้าย จัดการคล้องมันผ่านศีรษะลงไปจนจบตรงช่วงคอ ลองดูความยาวว่ามันจะทำให้อึดอัดมากเกินไปหรือไม่
ส่วนป้ายชื่อของเอื้อมย้ายไปแขวนร้อยเอาไว้กับสายร้อยเข็มขัด ปรัญไม่ชอบให้มีอะไรแขวนอยู่ตรงคอเท่าไหร่ มันจั๊กจี้จนพาลให้หงุดหงิด แต่บางคนก็ไม่ชอบให้ทำอย่างนี้นะ บอกว่ามันดูไม่เป็นมืออาชีพทำนองนั้น บอกเลยว่าไม่เข้าใจเหมือนกันว่ามันเป็นเหตุเป็นผลตรงไหน
"สามวันนี้จะเป็นพี่ปัน ห้ามหลุดเลยนะ"
"ครับๆ" มีคำอื่นให้ตอบรับที่ไหน "ทำไมถึงอยากสลับล่ะ หรือว่าเคยทำมาก่อนเหรอ"
"เปล่า แค่อยากหลุดจากการเป็นคุณเอื้อมบ้างน่ะ" "งั้นเราต้องเป็นเอื้อมเวอร์ชันที่ประหลาดแน่เลย"
"มาแตะสลับร่างให้จบพิธีเร็ว"
ยกฝ่ามือทั้งสองข้างไว้ระดับอก ความห่างอยู่ในระดับที่พอดีกับการทาบมือตัวเองลงไป เทียบจากสายตาแล้วนิ้วเอื้อมจะเรียวสวยส่วนเขาจะหนาแล้วก็ยาวกว่า อิจฉามือนักดนตรีจังเลยนะ
ไม่มีการประสานนิ้วให้เชื่อมกันสนิท เขาฟังเอื้อมอารัญท่องบทคาถาที่ฟังออกบ้างไม่ออกบ้าง ประมาณว่าจงอย่าลืมแล้วเผลอหลุดออกมาไม่อย่างนั้นจะไม่สนุกแน่ ย้ำตรงช่วงที่บอกว่าตัวเองไม่ใช่เอื้อมจนรู้สึกตงิดในใจ
ไม่อยากจะเป็นตัวเองขนาดนั้นเลยเหรอ
"โอเคนะ ตอนนี้เราคือปันแล้วปันคือเรา"
"ครับ ตอนนี้ชื่อเอื้อมอารัญ"
"เรียนคณะอะไรก็ต้องเนียนนะ"
พอทักเรื่องนี้ก็เลยนึกขึ้นได้ "แล้วถ้าน้องถามว่าคณะพี่เรียนอะไรบ้างจะตอบยังไง"
"บอกว่าผ่านค่ายให้ได้ก่อนค่อยมาถามใหม่นะเด็กน้อย"
ทุกอย่างยังดำเนินตามแผนงานที่วางเอาไว้ได้เป็นอย่างดี ประทับใจที่อธิการบดีมาเปิดงานได้ตรงตามเวลาที่นัดหมายเอาไว้ ปรัญมองเด็กชายหญิงในชุดนักเรียนจากมุมหลังสุดของห้อง รู้สึกว่ายูนิฟอร์มของเด็กมัธยมนี่มันตอกย้ำความแก่เสียเหลือเกิน
นี่ยังไม่จบปีหนึ่งเลยนะ
"เราเคยคิดว่าตอนสอบเข้าเครียดแล้วนะ มาเจออย่างนี้รู้สึกสบายขึ้นมาเลย"
เอื้อมหรือพี่ปันในเวลานี้เขยิบเข้ามาใกล้ ใช้เสียงเบาในการพูดคุยกันไม่ให้รบกวนคนอื่น
"อะไรได้มากกว่าก็ต้องแลกเยอะกว่า" เป็นสัจธรรมที่ไม่อาจเลี่ยงได้ "ยิ่งมีจำกัดก็ต้องแข่งขันมากขึ้น"
เปอร์เซ็นต์คือหนึ่งในสิบ หมายความว่าจะเด็กเกือบร้อยจะมีเพียงสิบรายชื่อตัวจริงเท่านั้นปรากฎอยู่ในประกาศ เป็นการแข่งขันที่ไม่สูงจนน่ากลัวแต่ก็ไม่ได้คว้ามาได้ง่ายๆ หมายความว่าต้อง 'แซง' คนอีกเก้าชีวิตเพื่อให้ถึงเส้นชัยทันเวลา
"ของเราคนสอบไม่เยอะเลยอะ แบบ วันสัมภาษณ์เห็นหน้าคนไหนตอนเรียนก็เห็นเหมือนเดิม"
"เอาจริงคือเพิ่งรู้ว่ามีคณะนี้ก็ตอนฮิวบอก"
ยังต้องขอทวนอีกรอบเลยว่าชื่อคณะอะไร ไม่ได้เมกขึ้นมาเองใช่ไหม แค่ชื่อคณะยังยาวเป็นพรืดพอบอกว่าเรียนอะไรบ้างก็ปาเพิ่มเข้าไปอีกครึ่งคาบ เหมือนจะเข้าใจแต่ก็ยังสงสัยอยู่หลายอย่าง แล้วคงทำหน้าตาเด๋อใส่จนตอนเจอกันในชั่วโมงเรียนถัดมาเลยได้แผ่นแนะนำคณะเป็นของฝาก
"ไม่แปลกหรอก ก็แอบเหงานะมีกันแค่สองชั้นปี"
"ตอนนี้ต้องเป็นพี่ปันเศรษฐศาสตร์สิ" แกล้งแหย่ในสิ่งที่เป็นคนเริ่มต้นเอง
"ได้ครับพี่เอื้อม"
พิลึกดีกับการได้ยินเสียงเรียกชื่อ ด้านหลังของโต๊ะสวัสดิการและพยาบาลยังไม่ได้เริ่มใช้งานจริงจัง ต่อจากพิธีการเปิดที่เป็นทางการจนน่าง่วงนอนแล้วจะเป็นพาร์ตการแนะนำตัวพี่ค่ายทั้งหมด ไม่ได้หวังให้จำได้หรอก มันมีไว้เพื่อให้ตารางงานไม่โล่งเกินไปน่ะ
ท่องบอกตัวเองอีกครั้งว่าต้องอย่าลืมเรื่องสำคัญที่สุด เขาไม่เคยอยากจะเป็นคนอื่นมาก่อนเลย แบบว่ายังไงการเป็นตัวของตัวเองก็น่าจะดีที่สุดแล้วไม่ใช่หรือไง
"ปัน นี่ไม้นะ" ยังสับสนอยู่แต่ก็รับไม้กลองมัดหนึ่งมาจากเพื่อนที่ติดป้ายว่าฝ่ายพัสดุ "กลองทอมวางเอาไว้หน้าห้องแล้ว เดี๋ยวเตรียมไปเล่นได้เลย"
เหมือนว่าจะได้เจอเรื่องตื่นเต้นตั้งแต่หัววันเสียแล้ว "เราไม่ได้เป็นคนตีนะ"
ไม่มีใครมอบตำแหน่งนี้ให้สักหน่อย เขาเป็นแค่สองอย่างก็เหนื่อยแล้ว ทำไมต้องหาเรื่องมาเพิ่มตำแหน่งที่สามให้ด้วย ปรัญมั่นใจว่าในการประชุมทุกครั้งที่ผ่านมาไม่เคยมีสักใครพูดเรื่องนี้ หันไปถามเอื้อมก็ได้
"อ้าว แต่ประธานบอกว่าเป็นปัน"
ชื่อตำแหน่งที่ทำเขาหัวปั่นมาเป็นสัปดาห์ชวนโมโห นี่ต้องคิดเองจัดการเองอีกแล้วแน่ "อือ เดี๋ยวเราไปเคลียร์เอง"
เวลานี้เป็นช่วงของการจำใจพยุงให้งานดำเนินต่อไปได้ไม่มีสะดุด ปรัญมองไม้กลองราคาถูกที่แสนเปราะบางในมือด้วยความคิดที่ว่าถ้าลงแรงไปมากหน่อยมันจะต้องหักระหว่างการเล่นแน่ ก็บอกแล้วไงว่าเครื่องดนตรีชนิดเดียวที่เล่นได้ก็คือกลองสัน
"นี่เราต้องออกไปเล่นเหรอ..."
หันไปหาคนเปรยคำก่อนหน้า เห็นป้ายชื่อที่ยังห้อยคอเอาไว้แล้วก็หลุดขำออกมาได้นิดหน่อย "พี่ปันต้องเป็นมือกลองด้วยนะ"
"พี่ปันเล่นเป็นแต่ไวโอลินครับ"
"หืม ไหนใครบอกต้องเนียนไง"
"ทางเดี๋ยวที่เราจะเนียนได้คือต้องสลับวิญญาณกันแล้วล่ะ"
"นี่แสดงว่าพิธีกรรมเมื่อเช้าไม่ได้ผล" กระเซ้าพอให้อาการขุ่นมัวคลายลงไป ตอนนี้จะให้โวยวายก็ไม่ใช่ที่ ปรัญจะไม่มีปัญหาถ้ามันเป็นการตกลงตั้งแต่แรกแบ่งงาน นี่คือเขาเข้าใจมาตลอดว่าตัวเองต้องทำงานฝ่ายสวัสดิการ ตอนแบ่งสคริปงานเลยสนใจแต่ส่วนที่ต้องรับผิดชอบ "ผิดพลาดตรงไหนเนี่ย"
"เดี๋ยวขอไปเช็กก่อน ไว้จะมาแก้มือ"
ยิ่งรับมุกด้วยแล้วก็เริ่มไปกันใหญ่ ฝ่ายกิจกรรมที่คอยดูภาพรวมส่งสัญญาณยิกจากข้างเวทีให้เข้าไปประจำที่ คนเพิ่งได้รับมอบตำแหน่งมือกลองเป็นอย่างล่าสุดเดินเลาะไปตามริมกำแพงจนถึงหน้างาน คุยกับพิธีกรในช่วงถัดไปก่อนว่าจะต้องเล่นจังหวะอะไรบ้าง
ทดลองตีกับอากาศไปพลาง ตามองไปด้านหลังสุดของห้องเป็นระยะตามความห่วงที่ยังมีอยู่ เอื้อมเคยคุยกับคนร่วมฝ่ายแค่ไม่กี่ครั้ง แล้วปล่อยให้อยู่ตรงนั้นคนเดียวเดี๋ยวก็กลายเป็นอากาศ
"ต่อไปเป็นการแนะนำพี่ค่าย ช่วยมายืนกันตรงข้างหน้าด้วยจ้า"
รัวตามจังหวะปกติที่ใช้ เอื้อมถูกเพื่อนดันหลังให้ออกมาพร้อมกันทั้งฝ่าย ก็อยากจะไปอยู่ตรงนั้นด้วยกันมากกว่าต้องมายืนจังก้าอยู่คนเดียวตรงนี้
พอมันเป็นการแนะนำแบบแถวหน้ากระดานเลยง่ายหน่อย ชื่อเพื่อนร่วมโครงการและเพื่อนของเพื่อนเข้าโสตแล้วก็หายไปตามความไม่ใส่ใจ จากมุมนี้ไม่เห็นว่าสีหน้าของน้องนักเรียนเอนจอยกับช่วงเวลานี้แค่ไหนเพราะว่าโดนบังจนมิด
"ชื่อพี่ปันครับ อยู่สวัสกับกิจกรรม"
ไม่ได้หูฝาดแน่ๆ เสียงร้องและปรบมือยามชื่อของตัวเองออกไมค์ด้วยน้ำเสียงอีกคนมันได้รับการต้อนรับที่ดีจนน่าภูมิใจปนหมั่นไส้ไปพร้อมกัน
"และสุดท้ายพี่มือกลองของเรา..." เห็นหน้าเพื่อนก็รู้แล้วว่ามีคำถามเรื่องการแนะนำตัวที่ไม่ตรงกับความเป็นจริง ปันส่งยิ้มปลอบว่าไม่ต้องกังวล โน้มตัวเข้าไปใกล้เครื่องขยายเสียงโดยที่สายตาไม่หันเหไปมองใครอื่น
นอกจากผู้ชายที่กำลังยกมุมปากรู้แกวการตอบ
"พี่เอื้อมนะครับ"
ให้มันเป็นเรื่องที่รู้กันสองคนก็พอ
"สรุปแล้วชื่อพี่ปันหรือพี่เอื้อมคะ"
"เอื้อมครับ"
กลับมาประจำที่ฝ่ายสวัสดิการผู้แบกน้ำขนข้าวเป็นที่เรียบร้อย หลังจากการเดินไปเคลียร์กับประธานก็ได้คำตอบว่าวันนี้คงต้องช่วยไปก่อน แล้วพรุ่งนี้จะพยายามหาคนมาแทน ปรัญอ้างเรื่องที่ต้องคอยคุมกิจกรรมใหญ่ช่วงเย็นด้วยเลยมีภาษีดีกว่า
มีคนเดินมาถามหลายรอบแล้วเพราะว่าฝ่ายเอ็มซีดันหลุดชื่อออกมาตามความเคยชิน มันก็ไม่ได้เป็นเรื่องผิดอะไร เราสองคนก็เลยได้สนุกกับการปั่นหัวเด็กอย่างที่พูดเล่นกันเอาไว้
"แต่เมื่อกี้พี่แป้งบอกชื่อพี่ปัน"
"พี่ปันอยู่ตรงนั้น"
นี่แหละนะที่บอกว่าคนเรามักจะสนุกบนความทุกข์ของคนอื่น ปันในชื่อพี่เอื้อมกลั้นขำให้กับอาการสับสนของเด็กหญิงที่มาพร้อมกับขวดน้ำสำหรับวนเติม นี่เขายังเบาๆ เอื้อมอารัญตัวจริงน่ะมีวิธีการแพรวพราวเยอะยิ่งกว่า
"
พี่เอื้อม สงสารน้องแต่ก็สนุก ทำไงดี"
"เอาตามที่
พี่ปันเห็นสมควรเลยครับ"
มันกลายเป็นคำทั่วไปที่สร้างโลกส่วนตัวขึ้นมาได้อย่างง่ายดาย แค่มองหน้า สบตา และเรียกชื่ออีกฝ่ายเท่านั้นเอง
"ไว้ค่อยสารภาพก่อนจบค่ายแล้วกัน"
"ตามนั้น" เป็นฝั่งรับทราบและนำไปปฏิบัติตามอยู่แล้ว "เดี๋ยวอีกห้านาทีออกไปโทรเช็กข้าวกลางวันนะ"
เป็นหน้าที่ที่สำคัญอันดับต้นๆ ของฝ่าย นั่นคือการดูแลเรื่องอาหารการกินไม่ให้ขาดตกบกพร่อง เรื่องมื้อาหารไม่ค่อยมีปัญหาเพราะเป็นการทานที่ร้านเป็นส่วนใหญ่ ไม่ให้เป็นข้าวกล่องด้วยนโยบายลดขยะตามวิสัยทัศน์ของมหาวิทยาลัย นี่มันโครงการเชิดหน้าชูตาเลยนะ
"แล้วต้องเตรียมน้ำเพิ่มไหม เมื่อกี้เติมไปเยอะแต่เหมือนจะพร่องไปแล้ว"
เห็นเล่นไวโอลิน ไม่ค่อยออกกำลัง แต่เรื่องพละกำลังนี่ไม่ด้อยกว่าใครเลย ตอนแรกเพื่อนคนอื่นกังวลมากเกี่ยวกับแผลที่ฝ่ามือ จะให้ทำแต่งานที่ไม่ต้องใช้แรงมากเท่านั้น พ่อคุณคนเคยป่วยเลยโชว์แบกน้ำถังขุ่นจากด้านนอกเข้ามาอยู่ส่วนงานข้างในคนเดียว
ไม่บ่นเรื่องปวดแขนสักคำด้วย
"ยังหรอก เดี๋ยวกลางวันก็มีน้ำส่วนข้างนอกอีก" รายละเอียดตอนแบ่งงานบอกมาอย่างนี้ ก็จะเชื่อไป
"งั้นเราออกไปโทรเช็กข้าวแล้วนะ"
"โอเค"
ทำมือเป็นรูปตัวโอประกอบ ปล่อยให้เอื้อมอารัญเดินออกไปใช้โทรศัพท์ข้างนอกไม่ส่งเสียงรบกวนกิจกรรมแนะนำข้อมูลเบื้องต้นของมหาวิทยาลัย ปีที่แล้วแนะนำจริงแค่สามสิบเปอร์เซ็นต์ ส่วนที่เหลือเป็นการปลอบใจว่าถ้าไม่ติดในโครงการนี้มันยังมีทางเลือกใดให้ลองต่อไป
"สรุปคือสลับป้ายชื่อกันใช่ไหม จะได้ตามน้ำไปด้วย" ชำเลืองมองเพื่อนฝ่ายพยาบาล ป้ายชื่อหมุนหลายทบจนเห็นเพียงแค่ด้านหลัง เราเป็นรายชื่ออันดับหนึ่งและสองของโครงการผู้มีศักยภาพที่เลือกเรียนคณะเศรษฐศาสตร์ ที่บอกว่ามีคนได้ทุนค่าที่พักด้วยก็คนนี้แหละ
"ประมาณนั้น ที่จริงไม่ต้องช่วยก็ได้ ให้น้องสับสนไปเรื่อยๆ"
"ขี้แกล้งเหมือนกันเนอะ"
"ก็นะ"
เรื่องโกหกและการหลอกคือภาพลวงของความสนุกสนาน มันจะทำให้เคลิ้มจนหลงทางได้ง่าย
หนึ่งคำที่เอ่ยคือหนึ่งก้าวที่ขยับเข้าใกล้ปากเหวแสนอันตราย
"เอื้อมน่ารักดี"
ชอบเวลาที่ได้ยินคำพูดทำนองนี้ เขาเบื่อเรื่องเล่าของครายวูลฟ์แล้ว "เราก็ว่าอย่างนั้น"
"ไม่เหมือนที่ได้ยินมาเท่าไหร่ ...จากพวกออร์เคสตราน่ะ"
จากที่มีรอยยิ้มประดับหุบลงทันควัน ปรัญสูดลมหายใจเข้าลึกเป็นการเตือนไม่ให้โพล่งอะไรที่ไม่ค่อยดีออกไป มันไม่ใช่เรื่องแปลก เราเป็นเพื่อนร่วมตึกที่เจอหน้ากันตลอด การแลกเปลี่ยนเรื่องเล่าเกิดขึ้นได้เสมอ
"อยากให้เจอเอง"
"เราก็ว่างั้น แต่บางคนอาจจะไม่"
ฝืนเท่าที่จะทำได้สำหรับการปั้นหน้านิ่งไม่ถึงกับตึงเรียบ เขาเข้าใจว่าฐานะของเอื้อมในการทำงานครั้งนี้คือผู้ช่วยสำหรับกิจกรรมเงียบ ไม่จำเป็นต้องรู้จักทุกคนที่ทำงานหลักๆ เอาแค่ให้งานส่วนที่รับผิดชอบสำเร็จเรียบร้อยไม่มีข้อผิดพลาดก็พอแล้ว เลยไม่คิดว่าเรื่องนี้ก็กระจายมาถึง
ไม่ได้คิดว่าเป็นการสร้างสังคมให้อย่างที่ฮิวพยายามทำ อย่างน้อยแล้วก็เป็นตัวเอื้อมเองที่สมัครใจเข้ามาช่วยงานนี้ ไอ้เรื่องหนีงานไม่น่าจะเกิดขึ้นได้
"คนรู้เยอะไหม"
"บอกไม่ได้ เสียงมันกระจายได้ทุกทิศทาง"
บุคคลที่สามกลับมาพอดีจึงหมดเวลาสำหรับการแลกเปลี่ยนเรื่องราวแล้ว เก็บเรื่องน่าห่วงเอาไว้คนเดียวพลางรับฟังเอื้อมคอนเฟิร์มว่าทุกอย่างเตรียมพร้อมเอาไว้แล้วเรียบร้อย หน้าที่ต่อมาของพวกเราชาวสวัสจึงเป็นการเคลื่อนตัวออกไปแสตนด์บายที่โรงอาหารเตรียมให้พร้อมเอาไว้ ยังมีเรื่องของน้ำดื่มและอาหารว่างรอให้ไปจัดการอยู่
บางคนบอกว่าการเป็นสวัสดิการมีข้อดีคือได้ทานก่อนเพื่อน นี่อยากจะแย้งเหลือเกินว่าภาวนาให้มันยังเหลือมาถึงก่อนดีกว่าไหม พวกเรารอจนกระทั่งมั่นใจว่าเด็กเกือบร้อยชีวิตและพวกพี่เลี้ยงกลุ่มได้อาหารครบตามจำนวนแล้วจึงเริ่มมื้อเที่ยงบ้าง
"อยากกินชาเขียวปั่น..."
คิดอยู่เลยว่าวันนี้ยังไม่ลงแดง เอื้อมไม่ได้กินเครื่องดื่มโปรดมาตั้งแต่เมื่อวานแล้ว ตอนแรกก็ว่าจะเดินไปซื้อแต่งานมันประดังเข้ามาจนต้องพับเก็บ นี่ก็มาอยู่ในโรงอาหารที่ห่างออกจากร้านที่โอเคกับรสชาติเกือบคนละฝั่ง ไม่มีเวลาเอ้อระเหยพอหรอก
"ทนอีกสองวัน แล้วจะพาไปกิน"
"ไม่ไหวอะปัน นานไป" น่าจะอาการหนักจริง ไม่งั้นตั้งแต่เช้ามายังไม่เห็นหลุดเรียกชื่อที่ถูกต้องเลยสักครั้ง "ถ้าโบกวินไปจะกลับมาทันไหม"
"ทัน แต่อันตราย"
การเดินทางที่ไม่มีอะไรปลอดภัยสักอย่าง พี่วินแต่ละรายก็บิดเร็วท้าทายขีดจำกัดเสียเหลือเกิน เห็นป้ายติดว่าร้องเรียนเรื่องการขับขี่ที่เสี่ยงภัยแล้วเคยอยากไลน์ตอบไปเหมือนกันว่าร้องเรียนกี่ครั้งมันก็ไม่เห็นจะมีอะไรพัฒนาขึ้นมาให้ชื่นใจบ้าง
"เราจะบอกให้ขับช้าๆ นะ"
"พี่ปันไม่กินชาเขียว" งัดเอาเรื่องที่เพิ่งนึกออกขึ้นมาสู้
"...พี่ปันซื้อมาให้พี่เอื้อมไง"
"พี่เอื้อมทนไปกินหลังจบงานได้"
"พี่เอื้อมทนไม่ได้!"
โดนขึ้นเสียงใส่เสียแล้ว จะทำยังไงกับเอื้อมอารัญต่อดีนะ
"ทำงานภาคบ่ายก่อน มันจะมีช่วงว่างนี่" จำได้ว่าหลังจากช่วงแจกอาหารว่างภาคบ่ายมันจะมีเวลาว่างสำหรับการพักอยู่เกือบชั่วโมง "พี่ปันยังมีงานต้องทำนะ"
"ตอนนี้ก็ว่าง แป๊บเดียวเอง จะรีบกลับมา" หากอยู่ในสถานการณ์ทั่วไปท่าการอ้อนโดยการเกาะแขนแล้วเขย่าไปมาก็ดูน่ารักดี แต่ตอนนี้เขาชักจะไม่พอใจที่เราสองคนคุยกันไม่ลงตัวสักที "อยากกินชาเขียวปั่นมากเลย"
"ทำไมวันนี้ดื้อจัง"
"..."
หน้าก็ดุ เสียงก็แข็ง ถึงไม่แปลกใจเลยตอนเห็นเอื้อมอารัญไม่กล้าต่อปากต่อคำกลับ
"เรากำลังทำงานอยู่นะ อย่าเพิ่งเอาแต่ใจสิ"
จุดประสงค์คือการอธิบายให้เข้าใจ ยิ่งมารู้ว่ามีหลายคนได้รับข่าวสารเกี่ยวกับเอื้อมในมุมที่อาจจะไม่ถูกต้องทั้งหมดแล้วก็อยากทำให้ทุกอย่างรัดกุมมากที่สุด เขาไม่อยากให้คำพูดที่ผสมการแต่งเติมทำร้ายผู้ชายคนนี้อีก
เรื่องยังไม่ทันได้ข้อสรุปที่พอดีกับทั้งสองฝ่ายปรัญก็โดนเรียกให้ไปช่วยอธิบายงานฝ่ายสวัสภาคบ่าย เหมือนกับว่าทางอาจารย์เพิ่งได้ของทานเล่นมาเพิ่มเลยอยากเอามาแจกเป็นขวัญและกำลังใจ นี่ก็โอเวอร์เสียเหลือเกิน
ตกลงกันอยู่นานจนมาจบที่ว่าสวัสดิการจะเอาของส่วนนี้ไปแจกให้วันกลับเพื่อไม่ให้ไปรบกวนการจัดเตรียมเดิมที่วางเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว เขาเดินกลับมาภายในโรงอาหารอีกครั้งเพื่อพบว่าคนนั่งข้างที่บ่นเรื่องชาเขียวปั่นไม่อยู่แล้ว
"เอื้อมล่ะ"
"บอกว่าไปห้องน้ำ แต่ว่านานแล้วนะ"
ทำหน้าเครียดไม่รู้ตัว ปันรู้นิสัยอยากได้ต้องได้ของเอื้อมอารัญดี ที่กลัวไปเองคือนี่เป็นเรื่องโกหกเพื่อไปทำอย่างที่ต้องการหรือไม่
เดินเลี่ยงไปตามทางที่เขียนว่าห้องสุขา มือเตรียมกดโทรออกหาเบอร์ที่บันทึกเอาไว้ด้วยชื่อจริงแล้ว ปรัญอยากให้ทุกอย่างเป็นสิ่งที่คิดเยอะเกินเหตุ เอื้อมสัญญาแล้วว่าจะไม่โกหก แล้วมันต้องย้ำว่าแต่สำหรับคนอื่นแล้วนิสัยจอมแต่งเรื่องเท็จไม่ได้พัฒนาขึ้นมากเท่าไหร่
กวาดสายตาตามหาเพียงคนเดียว ก้าวเท้าเร็วขึ้นจนมันเกือบจะเป็นการวิ่งเหยาะได้
"โอ๊ย เจอพอดีเลย มาช่วยกันหน่อย"
หยุดชะงักไปพลันยามได้ยินเสียงคุ้นเคย เหมือนมีเรดาร์ที่แค่ได้ยินเสียงก็รู้ว่าควรหันไปทางไหน เอื้อมยืนหน้าตื่นอยู่ตรงหน้าห้องน้ำหญิง เป็นภาพที่ขัดตาแต่ว่าไม่มีเวลาซักไซ้เรื่องนั้น
"ช่วย?"
"น้องคนที่มาถามเรื่องชื่อเราสองคนประจำเดือนมาอะ แล้วน้องออกมาเจอเราพอดีเลยขอให้ช่วย" มันคือค่ายที่รวมเด็กจากหลายโรงเรียนเข้าไว้ด้วยกัน แล้วการมาเพื่อเป็นคู่แข่งไม่สามารถสร้างเพื่อนแท้ได้ง่าย "เราควรไปหาฝ่ายพยาบาลไหม ให้เขาช่วยจัดการต่อ"
เห็นด้วยกับข้อเสนอนั้น "เดี๋ยวเอื้อมไปบอกนะ เราอยู่ตรงนี้ให้"
ใจจริงคืออยากจะได้เวลาหายใจ ทั้งโล่งใจที่เรื่องค้างในความคิดไม่เป็นอย่างที่ระแวงรวมไปถึงอยากได้เวลาทบทวนสิ่งที่ตัวเองเป็น
เขาไม่เชื่อใจเอื้อมอารัญ
ทั้งที่อีกฝ่ายสัญญาและปฏิบัติตามมาได้เสมอ
น่าละอายจนไม่อยากจะสู้หน้าตอนที่เอื้อมกลับมาพร้อมกับเพื่อนหญิงฝ่ายพยาบาลคนเดิม เราปล่อยให้มันเป็นหน้าที่ของผู้หญิงถึงผู้หญิง มันไม่มีเวลาให้พักนานเพราะต้องเตรียมส่วนของภาคบ่ายแล้ว
พยายามสนใจแต่งานไม่วอกแวก จัดการทุกอย่างให้ตรงตามข้อตกลงตั้งแต่แรกเริ่ม แม้ว่าสุดท้ายแล้วก็ยังคิดโทษตัวเองเรื่องที่ผ่านมาอยู่ ถอนหายใจแรงพร้อมกับตัดสินใจทำอะไรบางอย่าง
"ถ้าไม่มีอะไรเร่งด่วนจะไปซื้อด้วย โอเคไหม"
เลยจบลงด้วยการรับรองว่าจะทำอย่างที่ต้องการในเงื่อนไขที่วางเอาไว้ ปรัญทำอะไรที่ดูแล้วไม่ค่อยเข้าท่าอย่างการยกนิ้วริมสุดขึ้นเตรียมเกี่ยวก้อย หวังว่าอย่างน้อยมันคงช่วยทดแทนความรู้สึกผิดที่ก่อตัวอยู่
"แค่ปล่อยให้เราซื้อก็พอ ปันไม่ต้องไปด้วยหรอก" อีกฝ่ายทำหน้าไม่เข้าใจเท่าไหร่แต่ก็ยื่นมือออกมาเกี่ยวเอาไว้โดยดี
"ไม่ได้สิ"
ปฏิเสธชัด กระชับช่วงนิ้วอีกฝ่ายเอาไว้แน่น
"ก็ตอนนี้เราเป็นเอื้อมไม่ใช่เหรอ"
***
ปุ่มบวกเป็ดหายไปเหรอคะ เจ้าจะกดบวกให้คอมเมนต์แต่หาไม่เจอ
ชอบที่แต่งเรื่องนี้แล้วชีวิตดูไม่เครียดมากๆ เลยค่ะ (ฮา) เอื้อมกับปันแต่งลื่นมากจริงๆ ไม่รู้เพราะอะไรเหมือนกัน ช่วงนี้ก็จะให้ทายกันไปก่อนแล้วจะเริ่มเฉลยไปเรื่อยๆ ค่ะ ขอบคุณสำหรับกำลังใจและอยู่ด้วยกันมาเสมอนะคะ
ลืมเอามาลงในนี้ว่าเรื่องสั้นประจำปีนี้มาแล้ว
ROOM (ex) MATE ตามลิงก์นี้เลยค่ะ (ยิ้ม)
#ไม่มีความจริง