ฉาวครั้งที่๒๒
คืนนี้ภาคินอยู่ค้างกับผมด้วย เห็นมันบอกว่านิตยสารดังกล่าวจะวางจำหน่ายพรุ่งนี้ พี่มิวต้องเต้นเป็นเจ้าเข้าแน่ๆ
“นายมีหลักฐานแน่นหนาแล้วใช่ไหม”ผมถามท่ามกลางความมืด ภาคินนอนตะแคงมองผมอยู่
“ใช่แล้วล่ะ เพราะจัดการกับผู้หญิงคนนั้นต้องมีหลักฐานแน่นหนา รอให้น้ำขุ่นกว่านี้ฉันจะจัดแถลงข่าวพร้อมกับหลักฐาน”ภาคินพูดด้วยเสียงที่เริ่มง่วงงุ่นต่างจากผมที่ไม่ค่อยง่วงสักเท่าไหร่ ผมเป็นกังวลเล็กน้อยเกี่ยวกับเรื่องพี่มิว ผมถอนหายใจ
“คิดมากเหรอ”
“นิดหน่อยน่ะ ฉันเป็นห่วงนายจริงๆนะ”ผมพลิกตัวไปมองภาคิน เห็นอีกฝ่ายยิ้มจางๆ
“อืม ฉันรู้แล้ว ไม่ต้องห่วงหรอก ฉันดักทางพี่เขาไว้หมดแล้ว อย่าคิดมาก หลับเถอะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ตื่นสายนะ”
“อืม”ผมหลับตาลง ถึงจะนอนเบียดบนเตียงแคบๆแต่ก็ไม่ได้ทำให้ผมอึดอัดแต่อย่างใด
“เดี๋ยวร้องเพลงให้ฟัง”ภาคินนอนฮัมเพลงของตัวเองให้ผมฟังเบาๆ ก่อนที่ผมจะหลับอย่างไร้กังวล
ตอนเช้าผมกับภาคินแวะตลาดเพื่อซื้อผลไม้ไปฝากลุงสุข ภาคินมันพิถีพิถันเป็นพิเศษ
“คุณลุงเขาไม่มีลูกหลานน่ะ ที่เป็นข่าวดังมาได้เพราะฉันเมาแล้วขับ”ภาคินบอกระหว่างที่ขับรถมุ่งหน้าไปเรื่อยๆ
“แล้วลุงเขาอยู่คนเดียวไม่เหงาเหรอ”
“ก็คงจะมีบ้างนั่นแหละนะ ฉันเองก็อยากจ้างคนมาเฝ้า แต่ลุงเขาไม่ยอม รู้ไหม เห็นลุงทีไรฉันแอบรู้สึกแย่ทุกที แต่เรื่องนี้ก็ถือว่า
เป็นบทเรียนครั้งสำคัญของฉันเลยล่ะ”ผมมองบ้านปูนหลังไม่ใหญ่มากเมื่อรถของภาคินหยุดลง ผมเห็นคุณลุงสีหน้าแจ่มใสคนหนึ่งกำลังรดน้ำต้นไม้ ท่าทางนั้นดูปกติดี แต่ถ้าสังเกตดีๆแล้วก็เห็นว่าคุณลุงใส่ขาเทียม และเมื่อคุณลุงเห็นว่ารถของใครจอดอยู่หน้าบ้าน คุณลุงก็หยุดงานตรงหน้าแล้วเดินช้าๆมาต้อนรับด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
“เป็นไงบ้างครับ วันนี้ผมพาใครบางคนมาด้วย”ภาคินชี้มาที่ผม ลุงสุขหัวเราะรับไหว้ผม
“ไม่คิดว่าจะพามาพบลุงจริงๆ”ลุงสุขมองผมกับภาคินด้วยแววตาเอ็นดู
“มาๆ เข้ามาในบ้านกันก่อน”ลุงสุขชวน ผมกับภาคินเดินตามเข้าไป ด้านในบ้านมีข้าวของเครื่องใช้ครบครัน มีวิลแชร์พับอยู่มุมห้อง
“ลุงอย่าฝืนตัวเองมากสิครับ”ภาคินบ่นก่อนจะเข้าไปช่วยพยุงคุณลุง ผมเข้าไปในครัว ก่อนจะปอกเปลือกมะม่วง ได้ยินคุณลุงคุย
กับภาคินแว่วมา
“เมื่อคืนผจก.ของเราโทรมาหาลุงด้วย บอกจะให้ลุงไปออกสัมภาษณ์อะไรสักอย่างนี่ล่ะ แต่ลุงปฏิเสธไปเพราะรู้ว่าเขาคงไม่ได้มาดีแน่ อีกอย่างเราก็ดีกับลุงแบบนี้จะให้ลุงไปร้องเรียกอะไรอีก”ฟังจากเสียงแล้ว ลุงสุขดูเครียดมากทีเดียว
“ถ้าลุงไม่สบายใจก็เปลี่ยนเบอร์ก็ได้ครับ ไม่อย่างนั้นเขาก็มากวนลุงอยู่แบบนี้ ว่าแต่พี่เขาโทรมาบ่อยเหรอครับ”มันเองก็ดูเครียดไม่แพ้กัน
“ช่วงหลังๆโทรมาบ่อยเลยล่ะลุงห่วงเรานะ ทำอะไรก็มีสติคิดให้รอบคอบ รู้ไหม”
“ครับ ลุงอย่าคิดมากสิ เดี๋ยวแก่ไว”มันพูดเสียงหยอกล้อเพื่อไม่ให้บรรยากาศเครียดเกินไป ผมออกมาจากห้องครัวพร้อมกับจานมะม่วง ลุงสุขคลี่ยิ้มทันที
“พ่อหนูนี่ ใช้ได้เลยนะ”ลุงหันไปพูดกับภาคิน ผมเลิกคิ้วมองมันที่ไหวไหล่มองผม
“เฮ้อ ลุงไม่มีญาตพี่น้องก็เห็นภาคินเหมือนเป็นหลานคนหนึ่ง ลุงดีใจที่เห็นมันมีชีวิตดีๆเสียที รู้อะไรไหม เมื่อก่อนนะ มันนิสัยไม่ได้เรื่องเลย มีข่าวแย่ๆเป็นว่าเล่น เราต้องคอยดูไม่ให้มันออกนอกลู่นอกทางล่ะ ถ้ามันยังเอาดีไม่ได้ ก็ทิ้งมันเลยนะ”ลุงสุขหันมาสั่งผมด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ภาคินนิ่วหน้าโอดครวญ
“ลุงก็ ...ผมไม่ได้นิสัยแย่ขนาดนั้นเสียหน่อย”ผมหัวเราะ
“ไม่ต้องห่วงหรอกครับลุง ผมจัดการมันแน่”คุณลุงหัวเราะชอบใจ ผมปล่อยให้ภาคินอยู่คุยกับก่อนจะออกมานั่งหน้าบ้าน คุยไลน์กับพวกเพื่อนๆไปเรื่อย แต่ผมเห็นในเฟสมีคนแชร์กระทู้อะไรบางอย่าง ที่เกี่ยวกับตัวผมและภาคิน ชื่อกระทู้ทำให้ผมต้องกดเข้าไปอ่าน
'ปีแห่งความล้มเหลวของภาคิน และเรื่องคาวๆของคู่ขา'ผมใจเต้นระรัวในขณะที่ไล่สายตาอ่านเนื้อหาในกระทู้ ที่บอกว่าภาคินมีข่าวฉาวที่ทำให้ภาพลักษณ์แย่มากมายและมีมากขึ้นเรื่อยๆตั้งแต่คบกับผม เพลงห่วยน้ำเน่าบ้าบอ ไม่ได้รับรางวัลใดๆเลย ยกเว้นรางวัลปลอบใจไก่กา ที่ได้มาเพราะสนิทกับพี่โหน่ง แถมยังหลงคู่ขา ปกป้องมากเกินความจำเป็นจนน่าหมั่นไส้
ผมกะจะหยุดอ่านแล้วเพราะหงุดหงิดกับคำว่าคู่ขา แต่ก็ต้องอ่านต่อเพราะบรรทัดต่อมามีชื่อของผม ว่าผมเคยมั่วกับผู้ชายหลายคน แถมยังเป็นเด็กขายมาก่อน ถ้าปกติผมคงบอกว่าเป็นข่าวซุบซิบไร้สาระ ผมใจกระตุกเมื่อเห็นว่าเรื่องของผมถูกขุดคุ้ยมากเพียงใด เรื่องที่ผมเคยมีความสัมพันธ์แบบ One Night Stand มาก่อน ผมเม้มปากแน่นเมื่อกวาดตาไปเจอท็อปคอมเม้นที่อ้างว่าคือคนที่ผมเคยมีสัมพันธ์ด้วย
ผมสูดหายใจเข้าลึกๆ เมื่อคนที่อ้างว่าเคยนอนกับผมมาก่อนไม่ได้มีแค่คนเดียว แต่เป็นสองคน แถมยังมีคนขุดคุ้ยสืบหาเฟสของบุคคลดังกล่าวพบเสียด้วย ผมลองกดเข้าไปดู แค่แวบแรกที่ผมเห็นรูปโปรไฟล์ผมก็จำได้ทันที ผู้ชายคนนี้...ไม่ได้พูดโกหก ผมปิดโทรศัพท์ อารมณ์ตีปนเปกันอย่างบอกไม่ถูก ทั้งโกรธ ตกใจ รู้สึกแย่ ผมหวังว่าเรื่องนี้จะไม่กระจายในวงกว้าง
ผมปรับอารมณ์ให้เป็นปกติ แต่ก็ทำได้ไม่ดีนัก ถึงผมจะเคยบอกภาคินว่าไม่ได้ใสซื่อ และมันเองก็บอกว่าไม่ซีเรียสเรื่องที่ผมไม่ซิงก็เถอะ...แต่ผมไม่ได้บอกมันเสียหน่อยว่าเคยมีความสัมพันธ์ชั่วคืนมาก่อน ผมมั่นใจว่ามันคงรับได้ เพราะมันก็ใช่ว่าจะไม่เคยมีความสัมพันธ์แบบนี้มาก่อน แต่ผมก็อดกังวลไม่ได้ ผมกัดปากอย่างเป็นกังวล ทำไมจู่ๆ สองคนนั้นถึงออกมาพูดเอาตอนนี้ ตอนที่ทุกอย่างกำลังสงบ ทำไมผมต้องมาเจอเรื่องแย่ๆแบบนี้ด้วยนะ
“คิดอะไรอยู่”ภาคินออกมายืนข้างๆผมดูท่าเตรียมจะกลับแล้ว
“เปล่าแค่ง่วงนอนน่ะ”ผมตอบตามปกติ มันก้มหน้ามองผมเหมือนจะสำรวจความผิดปกติ
“จะกลับแล้วเหรอ”ผมเปลี่ยนมาถาม เพื่อดึงความสนใจ
“อือ ไปลาลุงหน่อยไหม”ผมเข้าไปบอกลาลุงสุข ลุงเขาก็ดูเหนื่อยๆหากจะเดินออกมาส่งคงต้องใช้พลังงานอีกเยอะ
“ผมไปก่อนนะครับ ว่างๆจะมาใหม่”ผมส่งยิ้มให้ กอดลุงสุขแน่นๆ ก่อนจะออกมา ภาคินกำลังกดโทรศัพท์ด้วยสีหน้าเคร่งเครียดและดูโมโห ผมเดาว่ามันคงได้อ่านกระทู้นั้นแล้วแน่ๆ
“มาว่าเพลงฉันห่วยเหรอ เหอะ ใครเป็นคนเขียนกระทู้วะ ฟ้องแม่งให้หมด”ดูมันจะหงุดหงิดมากได้ยินมันพึมพำระหว่างที่เข้าไปนั่งในรถ
“ใจเย็นน่า”ผมปลอบมันทั้งๆที่ในอกร้อนรุ่มไม่ต่างกัน
“ใจเย็นได้ไง ถึงจะแค่กระทู้มโนบ้าบอก็เถอะ แต่นายโดนใส่ความนะ มีแต่คนมองนายไม่ดี แบบนี้ฟ้องร้องได้เลย”ภาคินดูไม่พอใจ มันหันมามองผมด้วยสีหน้าจริงจัง
“ช่างเถอะน่า อย่าทำให้เป็นเรื่องใหญ่เลย”ก็เรื่องที่สองคนนั่นพูดเป็นเรื่องจริงนี่นา ภาคินกลับหงุดหงิดมากกว่าเดิม
“เมฆ นายเลิกใจดีแบบนี้สักทีเรื่องนี้นายเป็นคนเสียชื่อนะ”
“ฉันไม่ได้ใจดี คือแบบนี้ ฉันไม่เคยบอกนายมาก่อน”มันขมวดคิ้วรอฟัง
“ฉันเคยมีความสัมพันธ์ One Night Stand มาก่อน”ภาคินดูตกใจเล็กน้อย มันกลับไปมองหน้าจอโทรศัพท์ที่เปิดกระทู้ปัญหาดังกล่าวไว้ เหมือนมันเริ่มเข้าใจในสิ่งที่ผมจะบอก เกิดความเงียบขึ้นมา
“ทำไมนายไม่เคยบอกฉันล่ะ กลัวฉันจะรับไม่ได้เหรอ”มันทำหน้าเหมือนคนโดนหักหลัง
“ฉันแค่คิดว่าไม่จำเป็นต้องพูดเรื่องเก่าๆน่ะ”
“ฉันยังบอกนายทุกเรื่องเลย”
“แล้วนายอยากรู้เรื่องแบบนี้เหรอ ฉันคิดว่าไม่”ภาคินถอนหายใจ มันเก็บโทรศัพท์ก่อนจะออกรถ ดูจากสีหน้าของอีกฝ่ายแล้ว มันคงโกรธผมแน่ๆ แต่ไม่แน่ใจว่าเรื่องไหน
“แล้ว...เมื่อก่อนนายทำแบบนี้บ่อยไหม”มันถามขึ้นมาด้วยเสียงลังเล ผมมุ่นคิ้ว น้ำเสียงของมันก็ไม่ได้ฟังดูเหมือนต่อว่า แต่ทำไมผมถึงร้อนใจนักก็ไม่รู้
“นายเห็นฉันเป็นคนมั่วเหรอ”มันหันมามองผมด้วยสีหน้าตกใจ
“ไม่ได้หมายความว่าแบบนั้น ฉันแค่...ฉันจะได้รับมือถูกไง ถ้าหากว่ามีคนออกมาพูดแบบนี้อีก”ผมกลอกตามองมัน ยิ่งพูดมันก็ดูเหมือนต่อว่าผม ผมรู้สึกเหมือนอกจะระเบิดนี่เป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกเหมือนคุมความเยือกเย็นของตัวเองไว้ไม่ได้
“ฉันย้ำอีกครั้งว่า ฉันไม่ใช่คนมั่วไม่เลือก”
“ฉันก็ไม่ได้พูดแบบนั้นนี่เมฆ”มันหันมามองผม สีหน้าขุ่นเคืองเหมือนกัน ผมถอนหายใจ พยายามข่มอารมณ์ให้คงที่
“แล้วนายโกรธอะไร นายรับไม่ได้เหรอ”
“เปล่า ฉันรับได้ ...แต่ฉันไม่ชอบให้คนอื่นมาพูดไม่ดีถึงนายแบบนั้น”ผมมองเสี้ยวหน้าหงุดหงิดของคนข้างๆ ผมเองก็เห็นความ
เห็นที่ว่าทั้งผมทั้งภาคิน
“มันก็แค่ความเห็นในเน็ต จะสนใจทำไม”ผมเม้มปากกล้ำกลืนคำพูดที่อยากพูดลงคอหรือมันหงุดหงิดที่ได้อ่านข้อความที่ว่ามันแบบเสียๆหายๆเรื่องผม ผมก็เข้าใจดีที่มันหงุดหงิด ไม่มีผู้ชายคนไหนชอบหรอกที่คนที่เคยมีซัมติงด้วยมาพูดถึงคนด้วยถ้อยคำแบบนั้น ผมรู้สึกอัดอั้นในอก
“ไม่ต้องคิดมากหรอก”มันพูดขึ้นเบาๆเอื้อมมือมาแตะไหล่ของผม ผมเบือนหน้ามองไปด้านนอก เมื่อไหร่มรสุมพวกนี้จะผ่านพ้นไปเสียที ตอนแรกก็คิดว่าจบเรื่องแล้วแท้ๆ
“เดี๋ยวฉันจะสืบเองว่าใครเป็นคนตั้งกระทู้พวกนี้ จะใช้คนเดียวกับที่ฉันเดาไหม”ผมหันไปมองหน้าภาคิน มันหมายถึงใคร...เมื่อตั้งสติได้ มันก็เห็นได้ชัดอยู่แล้ว พี่มิวเหรอ...แต่ทำไมต้องดึงผมมาด้วย คงหาทางเล่นงานภาคินไม่ได้แล้วใช่ไหม ถึงมาเล่นงานผมแทน ที่เขาว่าใส่ก่อนได้เปรียบคงจะจริง ผมเหมือนโดนหมัดฮุกเสยเข้าที่ปลายคาง
“นายคิดว่าเป็น ผจก.นายเหรอ”
“แค่เดาน่ะ พี่เขาอาจจะรู้มาจากสายว่าฉันกำลังจะแถลงข่าว ก็เลยชิงเล่นงานก่อน ตอนแรกฉันก็กะจะแค่แฉ ให้สังคมประนามพี่เขาเอง แต่ตอนนี้ฉันตัดสินใจแล้วว่าจะฟ้อง”มันพูดด้วยน้ำเสียงโกรธเคือง
“ส่วนเรื่องข่าวลือของนาย ฉันจัดการเอง”
“ไม่ต้องหรอก อยู่เงียบๆก่อนดีกว่า ยังไม่รู้เลยว่าพวกนั้นจะทำอะไรต่อ”
“แล้วจะให้รอไอ้พวกนั้นมาแฉนายมากกว่านี้เหรอ”มันขึ้นเสียงใส่
“ถ้าอยู่เงียบๆไม่ดิ้นตาม มีแค่คำพูดลอยๆของสองคนนั่น ก็ไม่มีปัญหาไม่ใช่เหรอ ภาคิน”
“เมฆ สองคนนั่นน่ะ ไม่หยุดแค่นี้หรอก มันพิมพ์แบบนั้นลงโลกโซเชี่ยลไปแล้ว คิดเหรอว่าเรื่องจะจบง่ายๆ นายเชื่อฉันสักครั้งเถอะ ให้ฉันจัดการเอง”ดูเหมือนมันจะอดกลั้นเต็มที่
“แต่นี่มันเป็นเรื่องของฉัน ฉันอยากจัดการเอง”
“ ...นายมันดื้อ แบบนายตามเกมส์พี่มิวไม่ทันหรอก”มันพูดเสียงอ่อน
“ฉันไม่ได้คิดจะเล่นเกมส์อะไรทั้งนั้น ฉันไม่เหมือนนายหรอกภาคิน ฉันจะจัดการด้วยวิธีของฉัน”ภาคินมองผมด้วยสีหน้าหงุดหงิด ผมอยู่คุยกับมันตอนนี้ไม่ได้แล้ว ไม่อย่างนั้นคงปรี๊ดแตกทั้งคู่
“ช่วยจอดรถด้วย”มันหันมามองผมทันที
“คุยให้รู้เรื่องก่อนสิ”
“แน่ใจเหรอว่านายจะไม่ตะคอกใส่ฉันอีก”ได้ยินมันถอนหายใจ มันเสยผมก่อนจะตบไฟเลี้ยวเข้าข้างทาง
“ฉันรู้ว่านายหงุดหงิด แต่ช่วยฟังฉันหน่อยเถอะ เรื่องนี้มันไม่เหมือนข่าวก่อนๆนะคิน ข่าวพวกนั้นมันไม่มีมูล แต่นี่มันเรื่องจริง ฉันกลัวว่าถ้าเคลื่อนไหวพลาดแล้วมันจะยิ่งแย่กว่านี้”ผมมองใบหน้าเครียดเขม็งของอีกคน ผมไม่รู้ว่าที่ผ่านมามันทนข่าวฉาวๆแย่ๆได้ยังไง
“อือ ฉันขอโทษที่หงุดหงิดใส่ แต่เรื่องนี้ทำฉันฟิลขาด ฉันทนไม่ได้เลยที่ไอ้สองคนนั่นมาใช้คำแบบนั้นกับนาย”มันถอนหายใจ
สีหน้าดูเป็นทุกข์ ทำเอาผมร้อนผ่าวที่กระบอกตา
“ขอโทษที่...”ผมเงียบไปเพราะไม่รู้จะพูดว่ายังไง นี่ก็เป็นครั้งแรกที่ผมเถียงใส่อารมณ์กับมันขนาดนี้
“เอาเถอะ อย่าเพิ่งคิดมาก อย่าลืมว่าพรุ่งนี้เรามีนัดถ่ายโปสเตอร์ฟีโน่”ผมลืมเสียสนิทเลย
“ฉันมีเรื่องต้องจัดการต่อ พรุ่งนี้จะมารับ อย่านอนดึกนะ หน้าจะหม่นเอา ยิ่งนายสีหน้าไม่ดี มันจะยิ่งย้ำชัดว่าที่ไอ้พวกนั้นพูดมีผลกระทบกับนาย”ผมพยักหน้า ก่อนจะหลับตาเอนพิงเบาะรถ ภาคินมาส่งผมที่บ้าน ผมส่งยิ้มให้มัน ก่อนจะลงจากรถด้วยจิตใจห่อเหี่ยว
RRRRRR
ไอ้เชษโทรมา เดาว่าคงเรื่องกระทู้นั่นแน่ๆ
“ว่า...”ผมรู้สึกเหนื่อยมากๆ
[มึงโอเคไหม] แค่คำพูดสั้นๆก็ทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นมาบ้าง ในบ้านเงียบตามปกติเพราะแม่อยู่ร้านอาหาร
“ไม่ค่อยว่ะ กูกลัวไปหมดเลยว่ะเชษ ไม่รู้จะเกิดอะไรขึ้นอีก”
[มึง ใจเย็นๆเว้ย พวกกูกำลังเร่งสืบหาไอ้สองตัวนั่น แล้วมึงก็นอนซะ ไม่ต้องไปเปิดอ่าน อะไรทั้งนั้น เข้าใจไหม]
“อือ แค่นี้ก่อนนะเว้ย ขอบใจพวกมึงมาก”
ผมเข้ามานอนพักในห้อง ผมไม่กล้าเปิดโทรทัศน์เพราะกลัวจะเห็นข่าวของตัวเอง ผมไม่เข้าใจเลยจริงๆว่าทำไมต้องขุดคุ้ยเรื่องผมขนาดนี้ ทั้งๆที่ผมก็ไม่ใช่คนมีชื่อเสียงอะไร การตกเป็นข่าวเม้าท์ไม่ใช่เรื่องสนุกเลย ผมไม่เคยรู้สึกแย่ขนาดนี้มาก่อน ที่ผ่านมาผมมีสติ มีเหตุผลเสมอ แต่คราวนี้มันเป็นเรื่องจริงที่ผมเคยทำเมื่อนานมาแล้ว ผมยังจำข้อความที่ด่าทอรุนแรงถึงโคตรเหง้าของผม ถึงจะบอกกับตัวเองว่าไม่ต้องใส่ใจก็เถอะ แต่ก็อดรู้สึกแย่ไม่ได้จริงๆ
ดูเหมือนคนพวกนี้ที่นั่งอยู่หน้าจอคอม มือกดแป้นคีย์บอร์ดจะสนุกกับการได้ขุดคุ้ย ได้ด้าทอเอามันส์กันเหลือเกิน ผมถอนหายใจ กระแสในโลกโซเชี่ยลค่อนข้างเร็วและแรง ผมไม่กล้ากดพิมพ์ข้อความอะไร เพราะกลัวจะเป็นการฆ่าตัวตายทางอ้อม ผมนอนหลับตาเหมือนคนหมดแรง อยากให้พรุ่งนี้กลายเป็นอีกเดือน เพราะผมไม่กล้าตื่นมาเผชิญหน้ากับความจริง ลางสังหรณ์บาง
อย่างย้ำเตือนว่า เรื่องไม่หยุดอยู่แค่นี้แน่ๆ
*********************************************
ผมพยายามตีหน้าสดใสเมื่อมาถึงสตูถ่ายโปสเตอร์กับภาคินมีแฟนคลับจำนวนหนึ่งมาเกาะกลุ่มรอเหมือนเคย พี่แต้วเองก็มีสีหน้าดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ผมไม่รู้ว่าตอนนี้กระแสเรื่องของผมแรงแค่ไหน เพราะไม่ได้เปิดข่าวดูเลย การทำงานผ่านไปอย่างสนุกสนาน หรือดูเป็นอย่างนั้น ภาคินยิ้มแย้ม ขี้เล่นเหมือนเคย
“วันนี้น้องคินกับน้องเมฆทำงานกันเต็มที่มาก ไม่หลุดเลย พี่คิดว่าจะเปลืองฟิล์มมากกว่านี้ซะอีก”ช่างภาพแซวขำๆ ผมหัวเราะตาม น่าแปลกเหมือนกันที่ผมไม่หลุดเลย ทั้งๆที่สภาวะอารมณ์ของผมตอนนี้เหมือนลูกโป่งที่อัดแก๊สแน่นจนเกินไป
“จะกลับเลยไหม”ภาคินถาม ระหว่างที่ทีมงานพูดคุยกันเสียงดัง
“กลับเลยก็ได้ ว่าแต่นายเถอะ บอกให้ฉันพักผ่อน แต่ตัวเองกลับดูแย่ซะเอง”
“ฉันแค่ตื่นเต้นกับงานนี้ต่างหาก”มันไหวไหล่ ผมเบ้ปาก โกหกได้ไม่เนียนเอาซะเลย ภาคินกับผมขอตัวกลับก่อนเพราะ พวกพี่เขาจะไปทานข้าวเที่ยงกัน ภาคินลงมาโดยใช้ประตูหลัง เพราะไม่อยากเจอกับกลุ่มแฟนคลับ แต่ดันมีนักข่าวรู้ทันมาดักรอเสียก่อน
“เวรเอ้ย”ได้ยินภาคินสบถ มันกระชับมือผมให้เดินตามมา
“น้องเมฆคะ ข่าวตอนนี้ เป็นมายังไงคะ”
“พวกพี่ครับตอนนี้ ผมไม่สะดวก ผมมีธุระ”ผมพยายามไม่ทำเสียงหงุดหงิด ส่งยิ้มให้พี่นักข่าวสองคนที่เดินตามมา
“แล้วภาคินว่าไงบ้างคะ กับข่าวที่เกิดขึ้น”ภาคินหยุดชะงักทันที มันหมุนตัว ไปเผชิญหน้ากับพี่นักข่าวด้วยสีหน้าไม่พอใจอย่างที่ผมเคยเห็นเมื่อนานมาแล้ว
“ไม่มีอะไรจะพูดเพราะไม่ใช่เรื่องจริง”
“แล้วที่มีไลน์หลุดออกมาล่ะ ที่ภาคินคุยกับคู่นอนคนก่อนของเมฆ”นักข่าวผู้ชายอีกคนถาม มือที่กุมมือผมอยู่บีบแน่นจนผมเจ็บ ผมเห็นว่ามันกำลังโกรธกับถ้อยคำของพี่นักข่าว ก็เลยรีบดึงให้มันเดินไปที่รถ
“อย่าสร้างเรื่อง ขอร้อง”ผมกระชากแขนมันเต็มแรงให้ตามมา ผมคว้ากุญแจรถมาจากมือของภาคินก่อนจะเป็นคนขับรถเอง ภาคินกดโทรศัพท์เหมือนกำลังอ่านอะไรบางอย่าง
“นักข่าวคนนั้นหมายความว่าไง ไลน์อะไร”ผมจอดรถที่ริมถนนเพื่อจะคุยกับมันให้รู้เรื่อง ภาคินดูลำบากใจ ผมถอนหายใจก่อนจะดึงโทรศัพท์มาจากมือของภาคิน มันกำลังคุยกับพี่เพชรดูเหมือนพี่เพชรจะส่งอะไรบางอย่างมาให้มัน มันคือกระทู้เดิมแต่มีการต่อยอดออกไปอีกคือบทสนทนาระหว่างภาคินและไอ้บอลคู่กรณีของผม บทสนทนานั้นดูเหมือนภาคินจะเอาเงินฟาดหัวให้อีกฝ่ายจบเรื่อง และภาพต่อมาคนที่เขียนกระทู้เอาภาพจากกล้องวงจรปิดมาจากโรงแรมว่าคนที่มากับไอ้บอลคือผมในสภาพเมาปลิ้น ถึงภาพจะไม่ชัดแต่ก็เห็นว่าเป็นผมกับไอ้บอล ผมเงยหน้ามองภาคินอย่างหมดคำพูด
“เมฆ”
“ทำไมนายไม่ฟังฉันล่ะ ตกลงกันแล้วไม่ใช่เหรอว่าจะเงียบเรื่องนี้ไปก่อน โดนแคปหน้าจอแบบนั้น ยิ่งทำให้เรื่องมันแย่กว่าเดิมอีก”
“ฉัน--”
“ตอนนี้มันก็แก้อะไรไม่ได้แล้ว...”ผมมองมันฉุนๆ
“ก็พี่อยากให้เรื่องมันจบนี่ แล้วมันยัง...มันยังพูดถึงเมฆในแง่ไม่ดีๆอีก”
“นายก็เลยสติแตกใช่ไหม”ผมพ่นลมหายใจออกมา ไม่สมกับเป็นวายร้ายภาคินเลย โดนตลบหลังง่ายๆแบบนี้
“นายควรไปจัดการกับพี่มิวมากกว่า”ผมไม่น่าโลกสวยคิดว่าพี่เขาจะหยุดเรื่องนี้
“พี่ขอโทษที่ทำให้เรื่องมันแย่ลง พี่แค่ไม่อยากเห็นนายโดนโจมตีด้วยถ้อยคำหยาบคายพวกนั้น”มันพูดเสียงแผ่ว สีหน้าทุกข์ทน
“ฉันทนได้ นายเองยังเคยเจอหนักกว่านี้เลยไม่ใช่เหรอ”ภาคินเบือนหน้าหนีไปอีกทาง
“ใช่ ฉันทนได้ แต่ถ้าเป็นเรื่องของนายฉันทนไม่ได้ไง ประเด็นมันอยู่ตรงนี้...จะด่าว่าฉันโง่ก็ได้”ผมไม่เห็นว่าสีหน้ามันเป็นอย่างไง แต่เสียงพูดแผ่วเบาทำให้ผมหน่วงในอก
“ฉันเป็นคนดึงนายมาเจอสังคมแย่ๆ วันนั้นฉันไม่น่าดึงนายเข้ามายุ่งเลย”
“นี่ ฉันเข้าใจว่าตอนนี้นายอารมณ์เปราะบาง แต่อย่าพูดแบบนี้ได้ไหม หรือว่าอยากให้ฉันออกไปจากโลกของนายจริงๆ”ผมไม่ชอบให้มันอ่อนแอแบบนี้เลย มันหันกลับมามองผม
“คำพูดน่าตบใช่ไหม ตบได้นะเพื่อฉันจะมีสติมากกว่านี้ โกรธฉันมากไหม”มันถามเสียงอ่อน
“โกรธ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ไง ”ผมรู้สึกเหมือนไม่มีแรงจะโกรธภาคินแล้ว แค่มีเรื่องนี้ผมก็สมองแทบระเบิดถ้าหากต้องมาโกรธกับมันอีก ผมคงรับมือไม่ไหวแน่
RRRRRRR
ผมถอนหายใจก่อนจะหยิบโทรศัพท์ออกมา พี่แก้ว คนงานที่ร้าน ผมมองหน้าจออย่างแปลกใจ ปกติพี่แก้วไม่ค่อยจะโทรหาผมหรือว่ามีเรื่องอะไรสำคัญ
“ครับพี่แก้ว”
[เมฆ ตอนนี้แม่เมฆอยู่ที่โรงบาลนะ แกเป็นลม]
“อะไรนะ แล้วแม่เป็นอะไรมากไหม โรงบาลไหนพี่”ผมละล่ำละลักถาม ภาคินมองผมด้วยสีหน้าตกใจ พี่แก้วบอกที่อยู่โรง
พยาบาลให้
[ก็แกดูข่าวแล้วอยู่ดีๆก็เป็นลมไปเลย สงสัยจะเครียด]
ผมเม้มปากรู้สึกแย่ไม่รู้กี่หนของวันแล้ว หรือว่าแม่เห็นข่าวของผมแล้ว
“เมฆ แม่เป็นอะไร”ภาคินถามเสียงเป็นกังวล
“แม่เป็นลมอยู่โรงบาล ช่วยพาไปหน่อยได้ไหม”ผมพูดเสียงอ่อน รู้ตัวเองดีว่าขับรถไปเองไม่ได้แน่ๆ
ผมมาถึงโรงพยาบาลและพบว่าพี่แก้วเฝ้าแม่ผมอยู่ที่เตียงผู้ป่วยในห้องผู้ป่วยรวม พี่แก้วลุกจากเก้าอี้ข้างเตียงมาหาผม
“แม่เป็นยังไงบ้างพี่”ผมมองแม่ที่นอนให้น้ำเกลืออยู่บนเตียง
“เห็นหมอบอกว่าเครียดสะสม”ผมถอนหายใจกลุ้มๆ
“เมฆ แกเครียดเรื่องเรามานานแล้วนะ พี่ก็ไม่อยากจะพูดซ้ำเติมหรืออะไรหรอก แต่แกอาการไม่ค่อยดีมาตั้งนานแล้ว”พี่แก้ว
เหลือบมองภาคินที่อยู่ข้างๆก่อนจะแตะศอกผมเมื่อคุณหมอเดินมาที่เตียง
“เป็นญาติคนไข้ใช่ไหมครับ”
“ผมเป็นลูกชาย”ผมตอบด้วยสีหน้ากังวล กลัวแม่จะมีโรคแทรกซ้อน
“อาการของคุณแม่ไม่ร้ายแรงมากหรอกครับ แค่เป็นอาการเครียดสะสม ไม่ใช่เป็นโรคร้ายแรงอะไร ร่างกายอ่อนเพลียเพราะพักผ่อนน้อย พักสักครู่ก็กลับไปพักผ่อนที่บ้านได้ แต่ช่วงนี้อย่าเพิ่งให้คุณแม่ทำงานหนักหรืออย่าให้ท่านคิดมาก เดี๋ยวหมอจะจัดยาบำรุงไว้ให้”
“ครับ”ผมเหลือบมองแม่อีกครั้ง นี่ผมทำให้แม่เครียดและเป็นทุกข์มากขนาดนี้เลยหรือ ผมหันไปมองภาคิน
“ขอยืมโทรศัพท์หน่อย”มันทำหน้างงๆ แต่ก็ยอมส่งให้ผม ผมเดินเข้าไปคุยในห้องน้ำ กดโทรหาพี่มิว ตอนแรกก็คิดว่าจะไม่รับ
สายซะอีก
[ว่าไง คิน] เพื่อความรอบคอบผมกดบันทึกเสียงไว้
“พี่สะใจมากไหม”ผมถามด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยอารมณ์โกรธ
[นึกว่าใคร เป็นไงบ้างล่ะ หลับสบายดีไหม]
“ทำไมพี่ต้องดึงผมมาเกี่ยวด้วย ผมไปทำอะไรให้พี่นักหนา ถึงต้องลงทุนไปขุดภาพผมจากโรงแรม พี่นี่พยายามมากเลยนะ”
[พี่ก็แค่เปิดเผยความจริง เหมือนที่ภาคินทำกับพี่ไง ทั้งๆที่พี่ก็หยุดแล้ว แต่ภาคินก็ไม่หยุดทำร้ายพี่อีก จะมาโทษกันก็ไม่ได้หรอกนะ]
“ผมไม่เข้าใจเลยว่ะ พี่ทำร้ายมันก่อนแท้ๆ อย่ามาทำนางเอก เรียกร้องความยุติธรรมหน่อยเลย พี่เล่นนอกเกมส์ด้วยซ้ำ”
[โกรธมากเลยเหรอ จะมาตบพี่รึเปล่า] อีกฝ่ายหัวเราะ
“ถ้าพี่เป็นผู้ชายก็ไม่แน่ ผมคงเข้าไปต่อยแล้วล่ะ แต่พี่เป็นผู้หญิง ผมเลยไม่อยากทำ ที่ผมโทรมาผมแค่ต้องการพูดให้ชัดเจน ไม่
ว่าพี่จะพยายามแค่ไหน บอกไว้เลยว่า พี่ทำร้ายผมกับภาคินไม่ได้หรอก”เมื่อพี่มิวเงียบไม่ตอบ ผมจึงพูดต่อ
“พี่คอยดูก็แล้วกันว่า ใครจะเละกว่ากัน ผมมันก็แค่คนธรรมดา ไม่มีเส้นมีสายแบบพี่ คนด่าสนุกปากเดี๋ยวเดียวก็ลืม แต่พี่มีหน้ามีตาในสังคม ก็คิดดูนะว่าจะยืนอยู่ตรงไหนได้ อ้อ แล้วถ้าคิดจะอัดเสียงแล้วเอาไปลงล่ะก็…ลงเลย เพราะผมก็จะทำเหมือนกัน ไว้เจอกับภาคินในชั้นศาลนะครับ พี่มิว ถึงพี่จะเอาเรื่องนี้มาเบี่ยงประเด็น แต่คนอย่างภาคินไม่ยอมให้พี่จบสวยแน่นอน”ผมกดวางสาย พลางสูดหายใจเข้าแรงๆ แค่นี้ก็ทำให้ผมโล่งเป็นปลิดทิ้งเหมือนมียาดมมาจ่อจมูก เวลาหายใจไม่ออก หันไปเจอภาคินที่ยืนฟังอยู่พอดี มันส่งยิ้มให้ผม แต่ดูเป็นรอยยิ้มเศร้าๆชอบกล มันยกนิ้วโป้งให้ผม
“นายแกร่งกว่าที่ฉันคิดอีกนะ”ผมหัวเราะ
“แน่นอน เป็นแฟนคนดังอย่างนายนี่นา ฉันจะไปแพ้เพราะเรื่องแบบนี้ได้ยังไง ชีวิตนายยุ่งยากกว่าที่คิดอีกนะ”ภาคินย่นหน้า
“ลำบากมากเลยล่ะสิ”
“ก็ไม่เท่าไหร่ อันที่จริงก็ใช่…ช่วงที่ผ่านมาฉันยอมรับว่าฉันรู้สึกแย่ชะมัดเลย แต่ตอนนี้ฉันก็ทำได้แค่ยอมรับแล้วสู้กับมัน นายไม่จำเป็นต้องสู้ให้ฉันคนเดียวหรอกนะ”ภาคินมองหน้าผมด้วยสีหน้าแปลกๆก่อนจะยิ้ม มันเดินเข้ามากอดผมก่อนจะถอนหายใจ
“ฉันมีธุระต้องจัดการ…ฉันกำลังเตรียมทนายแล้วก็ยื่นหลักฐานต่างๆ”
“นายไปเถอะ คราวนี้ฉันสนับสนุนให้นายเล่นพี่มิวได้เต็มที่”
“แล้วเจอกัน”
ผมเดินกลับไปหาแม่ ปรากฏว่าแม่ฟื้นแล้วหน้าตายังดูเซียวๆอยู่ ผมนั่งลงที่เก้าอี้ข้างเตียง
“พี่แก้วกลับไปแล้วเหรอ”
“แม่ไล่กลับไปเอง…”แม่ตอบเสียงอ่อน
“ภาคินก็ด้วย”หืม? ผมเลิกคิ้วมองหน้าซีดเซียวของแม่ ผมรู้ว่าที่ผ่านๆมาแม่มักจะไม่ค่อยชอบภาคินเท่าไหร่เวลาที่มีข่าวไม่ดี และทำให้ผมถูกโยงไปด้วย
“แม่ เรื่องข่าวครั้งนี้ เป็นความผิดของเมฆเอง”แม่ยกมือห้ามไม่ให้ผมพูด
“อยากทำให้แม่เครียดอีกเหรอ แม่ไม่อยากคุยถึงเรื่องนี้แล้ว แม่ไม่โกรธหรอก”แต่ดูจากสีหน้าของแม่ ผมว่าแม่โกหกได้ไม่เนียนเลย
“เมฆขอโทษที่ทำให้แม่ผิดหวังซ้ำซาก”แม่ถอนหายใจ ก่อนจะหันมามองหน้าผม
“เมฆ…แม่อยากพัก”
“ดีเลยแม่ ผมว่าแม่ทำงานหนักไป หมอก็บอกให้แม่หยุดทำงานด้วย”แม่ยิ้มบางก่อนจะจับมือผมไปบีบ
“แม่เหนื่อยที่ต้องรับรู้ข่าวต่างๆจากคนนู้นคนนี้ก็ดี หรือจากหนังสือพิมพ์ เมฆไม่รู้หรอกว่าคนแถวนี้เขาพูดกันว่าอะไรบ้าง”
“แม่ไม่จำเป็นต้องไปฟังคำพูดไร้สาระของคนพวกนั้นหรอก”
“แม่ไม่อยากให้ใครๆมองเราไม่ดี…แม่อยากกลับไปบ้านพ่อ”บ้านพ่อเหรอ…บ้านของพ่ออยู่ต่างจังหวัดที่ไกลจากที่นี่มากทีเดียว
“แม่อยากพักสมองจริงๆสักที รอให้ข่าวเงียบ แล้วค่อยกลับมาดีไหมลูก”ผมมองใบหน้าซีดเซียวแฝงแววเหนื่อยล้าที่จ้องมองมาที่ผม ผมเข้าใจความรู้สึกของแม่ดี ขนาดผมเองก็ยังไม่ชินที่โดนโจมตีแบบนี้ แล้วความรู้สึกของแม่ล่ะ…ที่ผ่านมาผมเองก็ไม่ได้ใส่ใจความรู้สึกของแม่มากพอ
“แม่บอกภาคินแล้วใช่ไหม”ถึงว่ามันถึงทำสีหน้าแปลกๆ
“ใช่ ภาคินเขาก็เข้าใจ ไม่ต้องทำหน้าแบบนั้น ไม่ได้ให้แยกกันตลอดไปเสียเมื่อไหร่ แม่แค่อยากอยู่เงียบๆสักพักโดยที่ไม่ต้องได้ยินเรื่องนินทาพวกนี้…เมฆทำให้แม่ได้ไหม”ผมบีบมือแม่กลับเบาๆ
“ครับ เรากลับบ้านพ่อกันนะ”แม่ยิ้มอ่อนโยนให้ผม ก่อนจะยกมือลูบศีรษะผมเบาๆ แย่จังที่ผมไม่ได้อยู่ให้กำลังใจภาคิน ผมหวังว่ามันจะต่อสู้กับเรื่องครั้งนี้ได้อย่างเข้มแข็งเหมือนที่มันเคยทำเมื่อครั้งที่ยังไม่เจอผม
สู้ๆล่ะ ภาคิน
TBC.
ปรับอารมณ์กันทันไหมน้อ
นี่เป็นพายุลูกสุดท้ายแล้วค่ะ ตอนหน้าเอาใจช่วยภาคินต่อสู้กับนังพี่มิวกัน
ขอบคุณที่ติดตามเสมอๆ