วงล้อที่สิบห้า
ภาสกรยืนจด ๆ จ้อง ๆ มองบานประตูด้วยความลังเล เขาไม่รู้ว่าคนในห้องคือใครและข้างในจะมีอันตรายหรือไม่ แต่คิดว่าผู้จัดการคงไม่ใจร้ายกับเขาขนาดนั้นและที่สำคัญตอนนี้ก็หกโมงกว่าใกล้เจ็ดโมงเช้าแล้ว เขาง่วงเต็มที ตาแทบจะปิดอยู่รอมร่อ สุดท้ายความง่วงก็เอาชนะความกลัวให้ภาสกรเคาะประตูเป็นสัญญาณบอกคนในห้องให้รู้ตัว ทว่ากลับไม่มีเสียงตอบรับเขาจึงตัดสินใจทำตามที่ผู้จัดการบอกที่ให้เปิดประตูเข้าไปเลย
ชายหนุ่มค่อย ๆ เปิดประตูออกอย่างระวัง ความรู้สึกแรกเมื่อเข้ามาในห้องรับรู้ได้ถึงความเงียบที่ผิดปกติ ทั้งห้องมืดมิด ไฟไม่ได้ถูกเปิด ไม่มีเสียงเพลง ไม่มีเสียงพูดคุยใด ๆ เขาขมวดคิ้วหรือว่าสัญญาณไฟหน้าห้องจะเสีย ภาสกรจึงลองเปิดไฟในห้องดู ใจเต้นถี่รัวกลัวจะเห็นอะไรที่ไม่ควรเห็นเข้า ถ้าเห็นคนน่ะเขาไม่กลัว แค่กลัวว่าจะเห็นอะไรที่ไม่ใช่คนต่างหาก
ห้องสว่างวาบด้วยแสงไฟสีขาว ไม่ใช่แสงไฟสลัวเหมือนห้องวีไอพีที่เคยเห็น เขามองเห็นทุกอย่างในห้องชัดเจน ห้องนี้มีขนาดใหญ่กว่าห้องวีไอพีห้องอื่นกว่าเป็นเท่าตัว แล้วทำไมผู้จัดการบอกว่ามีขนาดห้องเท่ากันหมดล่ะ ภาสกรกวาดตามองไปรอบ ๆ ห้อง ทว่ากลับไม่เห็นใครเลย ในห้องนี้ไม่มีคนอยู่จริง ๆ สงสัยไฟหน้าห้องคงจะเสียแน่ ๆ เขาเตรียมจะปิดไฟและกลับออกไป พลางคิดในหัวว่าจะบอกผู้จัดการอย่างไรดีว่าเขาไม่เจอคนที่อีกฝ่ายกำลังตามหา แต่แล้วจังหวะที่เขาหมุนตัวกำลังจะออกจากห้อง สายตากลับเห็นบางอย่างที่มีสีดำลักษณะคล้ายเส้นผมอยู่ข้างโซฟา
ภาสกรตาโตเบิกกว้างด้วยความตกใจ อย่าบอกนะว่าเจอของดีเข้าให้แล้ว มือเท้าแข็งค้างขยับเขยื้อนไม่ได้ด้วยความกลัวสุดขีด อยากจะเปล่งเสียงร้องแต่ก็ไม่มีเสียงใด ๆ ออกมา ทันใดนั้นเขาก็เห็นเส้นผมสีดำนั้นขยับได้ ความคิดของมนุษย์นั้นล้ำลึกเสมอ เขาจินตนาการต่อไปแล้วว่าถ้าเส้นผมสีดำนั้นมีใบหน้าซ่อนอยู่ จะเป็นอย่างไร ภาสกรยิ่งตกใจเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณชายหนุ่มมั่นใจว่าถ้ามีใบหน้าใต้เส้นผมนั้นจริง ๆ เขาต้องเป็นลมหมดสติเพราะช็อกแน่นอน
หากเหตุการณ์กลับไม่เป็นอย่างที่คิด เขาเห็นมือหนึ่งวางแหมะหงายลงที่พื้นพรมพร้อมกับแก้วเปล่าที่กลิ้งออกมาจากมือข้างนั้น เอ..หรือว่าจะเป็นคน ภาสกรทำใจกล้าเดินเข้าไป เมื่อเดินเข้าไปใกล้มากขึ้นจึงเห็นว่าคนคนนี้นั่งอยู่ที่พื้นหลังพิงโซฟาอยู่ ชายหนุ่มถอนหายใจด้วยความโล่งอก ตอนที่เขามองหาคนในห้องเร็ว ๆ ในทีแรกจึงทำให้เขาไม่สังเกตเห็นอีกฝ่าย คราวนี้ภาสกรสูดหายใจเข้าลึก ๆ พร้อมบอกตัวเองว่าคนที่เห็นเขาเห็นคือคนจริง ๆ ไม่ใช่อย่างอื่นที่เขานึกกลัว
ภาสกรเดินเข้าไปนั่งยอง ๆ ตรงหน้าคนที่คิดเขาคิดว่าคนก่อนที่เขาจะผงะหงายหลังก้นจ้ำเบ้าด้วยความตกใจ
นี่มันยิ่งกว่าผีอีก!
บอสไม่ใช่หรือ
คุณอรรควัสมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร แล้วคุณอรรควัสใช่คนที่ผู้จัดการตามหาอยู่หรือเปล่า ความคิดของภาสกรตีกันวุ่นไปหมดในหัว ทำไมคนตรงหน้าถึงมีอาการหลับใหลไม่ได้สติซ้ำยังมีกลิ่นเหล้าโชยออกมาจากร่างกายอย่างแรงจนเขาต้องย่นจมูก
ภาสกรไม่เคยเห็นอรรควัสเมามายเลยสักครั้ง ควรทำอย่างไรดี ภาสกรทวนความจำที่ผู้จัดการบอกไว้ว่าคนในห้องจะบอกเขาเองว่าควรทำอย่างไรต่อไป
“บอสครับ” ภาสกรลองเรียกชื่ออีกฝ่ายดู
“...”
“บอสครับ” เขาลองเรียกซ้ำ
“อืม ว่าไง”
“บอสครับ ผับปิดแล้วบอสจะให้ผมทำยังไง เอ่อ..พาไปที่ไหนครับ”
“...” อีกฝ่ายไม่ตอบนอกจากชี้มือขึ้นไปข้างบน ภาสกรมองตามจึงเห็นว่าห้องนี้ก็มีชั้นสองเหมือนกับห้องวีไอพีห้องอื่น เพียงแต่ว่าด้านบนนั้นไม่ใช่โซฟาแต่กลับเป็นเตียงนอนหลังใหญ่แทน
“ให้ผมพาบอสขึ้นไปนอนบนนั้นเหรอครับ” ภาสกรคิดอย่างหวาด ๆ ประเมินขนาดตัวเขาและของบอสแล้วมันแตกต่างกันจนเกินไป
“...”
“ผมคิดว่าไม่น่าจะพาบอสขึ้นไปไหว ยังไงให้ผมตามพี่เฉินหรือพี่คุณมาพาบอสไปดีกว่าไหมครับ”
“ไม่ต้อง” อีกฝ่ายตอบแล้วลืมตาขึ้น “เธอเป็นใคร”
ภาสกรเม้มปากด้วยเพราะไม่รู้อีกฝ่ายหมายความว่าอย่างไร “ผม เอ่อ.. ภาสกรครับ”
“ใคร..จำไม่ได้ ช่างเถอะ ช่วยพยุงหน่อย” อีกฝ่ายพูดด้วยเสียงที่มั่นคงไม่ใช่เสียงอ้อแอ้ ยามที่มองเขาก็มองด้วยสายตาเหมือนเวลาที่เรียกภาสกรขึ้นไปดุทุกครั้ง
ถ้าภาสกรไม่ได้กลิ่นเหล้ารุนแรงคงไม่เชื่อว่าอรรควัสจะเมามาย
และถ้าไม่ได้มาเห็นภาพบอสหลับอยู่ข้างโซฟา เขาจะไม่มีวันเชื่อเลยว่าเคยมีเหตุการณ์นี้จริง
“ครับ” ภาสกรเข้าไปประคองแขนอีกฝ่ายให้มาคล้องคอเขาไว้ และค่อย ๆ พยุงอีกฝ่ายให้ลุกขึ้นยืน
เขาคิดว่าตนเองจะต้องเกร็งตัวรับน้ำหนักอีกฝ่ายให้มากที่สุด ภายนอกอาจดูไม่เมาแต่อาจจะออกอาการเวลาเดินก็เป็นได้ หากกลับต้องประหลาดใจเมื่ออีกฝ่ายไม่ได้ถ่ายน้ำหนักมาทางเขามากอย่างที่คาดการณ์ไว้และยังต้องแปลกใจเพิ่มขึ้นไปอีกเมื่อจังหวะก้าวเดินของอีกฝ่ายค่อนข้างมั่นคงแต่สิ่งที่แสดงให้เห็นว่าอีกฝ่ายนั้นไม่อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ก็คืออรรควัสก้าวเดินค่อนข้างช้าไม่ได้กระฉับกระเฉงเหมือนอย่างทุกที
ระยะทางไม่กี่ก้าวกลับทำให้ภาสกรเหงื่อตกท่ามกลางความเย็นภายในห้อง ถึงจะบอกว่าอีกฝ่ายประคองตัวได้เก่งแต่ก็คือคนเมาอยู่ดี ยิ่งต้องก้าวขึ้นบันไดด้วยแล้วยิ่งทุลักทุเลและต้องระวังให้มากพอควร เขายังไม่อยากกลิ้งตกบันไดไปหรอกนะ ตกบันไดคนเดียวยังไม่เท่าไหร่แต่ถ้าพาอีกคนตกไปด้วยล่ะก็ เขาคอขาดแน่ ๆ
ภาสกรแทบจะถอนหายใจออกมาเสียงดังเมื่อพาอรรควัสมาถึงเตียงหลังใหญ่ได้ เขาพาอีกฝ่ายให้นอนลง คิดว่าคงจะหมดเรื่องแล้วเตรียมจะขอตัวกลับออกไปพักผ่อนบ้างเหมือนกัน แต่กลับถูกอีกฝ่ายเรียกเอาไว้ได้ทัน
“เธอน่ะ”
“ครับ?”
“ปิดไฟให้หน่อย แสงมันสว่างเกินไป” คนพูดพูดทั้งที่ยังหลับตา
“ได้ครับ เดี๋ยวก่อนออกจากห้องผมจะปิดไฟให้ที่หน้าประตูครับ” ภาสกรรับคำแล้วเตรียมจะลงบันได
“ไม่ต้อง มีรีโมทอยู่ตรงมุมนั้น” อรรควัสชี้นิ้วไปที่มุมห้อง ภาสกรมองตามไปแต่ไม่เจอ เขาเลยเดินเข้าไปที่บริเวณนั้นจึงเห็นรีโมทตกอยู่ที่พื้นพรม เจ้าตัวจึงหยิบขึ้นมาก่อนจะปิดไฟแล้วนำรีโมทกลับไปวางในที่ที่มันควรอยู่
“เรียบร้อยแล้ว ผมกลับก่อนนะครับ” ภาสกรปรับสายตาในความมืดชั่วครู่แล้วเดินไปข้างเตียงบอกอีกฝ่ายให้รับรู้
จริง ๆ เขาไม่คาดหวังว่าอรรควัสจะได้ยิน คิดว่าอีกฝ่ายคงหลับไปแล้วด้วยซ้ำ แต่แล้วเขากลับต้องตกใจเมื่อแขนของตนเองถูกกระชากเต็มแรง ภาสกรตกใจเริ่มทำตัวไม่ถูกว่าเกิดอะไรขึ้น อรรควัสดึงเขาให้ลงมานอนด้วยกันที่เตียงทำไม
“นอนที่นี่”
“ผมอยากกลับไปนอนที่ห้อง”
“...” อรรควัสไม่ตอบ มือที่จับแขนภาสกรไว้ก็ยังไม่ปล่อย
“บอสครับ ผมคือภาสกร” ชายหนุ่มบอกให้อีกฝ่ายรู้ตัว
“ไม่รู้จัก” คนเมายังยืนยันคำเดิม
“ผมไม่ใช่คุณอลันนะครับ”
“ไม่รู้จัก” ภาสกรได้ยินคำตอบแล้วคิดว่าอรรควัสในคราบคนเมาคือคนที่ลืมทุกสิ่งทุกอย่างเลยใช่หรือไม่
“ขอผมกลับไปนอนที่ห้องผมเถอะครับ ถ้าบอสสร่างเมาแล้วตื่นขึ้นมาเห็นผม มันคงไม่ดีหรอกครับ บอสต้องตกใจแน่ ๆ เลย”
“ช่างมัน นอนที่นี่” คนดื้อด้านไม่พูดเปล่ายังกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้นไปอีกกว่าเดิม จนจมูกของภาสกรชนเข้ากับหน้าอกอีกฝ่ายเข้าอย่างจัง เขากลั้นหายใจเพราะเหม็นกลิ่นเหล้าและอีกไม่กี่นาทีต่อจากนี้เขาคงจะขาดใจตายเพราะขาดอากาศหายใจ
“ปล่อยผะ..ผม..ผม..หายใจ..ไม่ออก”
“...” คนเมาไม่ตอบแต่ยอมคลายแรงลง พอให้ภาสกรเขยิบตัวถอยห่างออกมาได้บ้าง
“นอนนิ่ง ๆ อย่าขยุกขยิก”
“ผมนอนไม่สบาย” ภาสกรพูดตามใจคิด
เขาไม่อยากนอนที่นี่ ข้อแรก ที่นี่ไม่ใช่ห้องของเขา ข้อสอง เขาไม่ควรนอนที่นี่เพราะอรรควัสอาจจะโมโหเอาได้เมื่อหายเมา ข้อสาม ใจเขามันเต้นแทบไม่เป็นจังหวะ เขาไม่อยากใจเต้นด้วยความรู้สึกแปลก ๆ เพราะถูกกอดจากคนเมา ข้อสี่ ตอนนี้เขาง่วงและเหนื่อยมาก
“นอนเฉย ๆ อย่าดื้อ ฉันไม่ชอบคนดื้อ ฟังไม่รู้ความ” ภาสกรชักฉุน อะไรกัน เขาสิต้องเป็นฝ่ายพูดประโยคนี้
“แต่ผม..ไม่ใช่”
“นอนได้แล้ว ฉันเหนื่อย อยากพัก” เขาอยากจะตอกกลับคนพูด วันนี้เขาเองก็เหนื่อยจะตาย ยังต้องมาเจอคนรับมือยากอย่างอรรควัสอีก คิดว่าเหนื่อยเป็นคนเดียวหรือไง
แต่แล้วความคิดที่จะโวยวายกลับหยุดชะงักลงเมื่อเขารู้สึกถึงความนุ่มและอุ่นที่ถูกทาบลงมาที่หน้าผากก่อนจะละเรื่อยลงมาที่ปลายจมูกและปิดท้ายที่ริมฝีปากของภาสกร
ภาสกรตาเบิกกว้าง ไม่รู้ว่าคืนนี้เขาต้องตกใจเพราะเรื่องอะไรบ้าง และกี่ครั้งแล้ว จะไม่ให้ตกใจยังไงไหว บอสที่ดุที่สุดในโลกกำลังจูบเขา และความตกใจยังไม่หยุดอยู่แค่นั้นเมื่อกระดุมเสื้อของเขากำลังถูกปลดทีละเม็ด ๆ อย่างไม่ทันตั้งตัว ต่อให้เขาไม่เคยนอนกับใครมาก่อนก็พอจะคาดเดาได้ว่าการกระทำแบบนี้อีกฝ่ายหมายถึงอะไร
ภาสกรคว้ามืออรรควัสเอาไว้ได้ทันแล้วรีบละล่ำละลักพูด “นอนครับ นอนแล้ว”
“อืม ดี” อีกฝ่ายครึมครางในลำคออย่างพึงพอใจก่อนจะลูบศีรษะทุยของภาสกรเบา ๆ เป็นเชิงกล่อมให้หลับ เพราะความเหนื่อย ผนวกกับความง่วงและอากาศเย็น ๆ ที่นอนนุ่ม ๆ ซ้ำยังได้การกระทำดังกล่าวจึงทำให้คนที่ทำงานมาทั้งคืนหลับไปได้โดยง่าย
บ่ายในวันเดียวกัน ภาสกรสะดุ้งตื่นขึ้นเพราะโทรศัพท์ที่สั่นไม่หยุดในกระเป๋ากางเกง เขาลุกขึ้นนั่งบนเตียงรีบหยิบโทรศัพท์ออกมารับ
“พายอยู่ไหนแล้ว” ภาสกรได้ยินเสียงคนโทรมาก็ตื่นเต็มตาทันที
“อ่อ..โทษที เราเพิ่งตื่นอะนน”
“เหรอ เมื่อคืนคนเยอะเหรอ ได้นอนกี่โมงน่ะ”
“จำไม่ได้ว่านอนตอนกี่โมงเหมือนกัน เมื่อคืนคนมาเที่ยวเยอะมหาศาลเลยล่ะ รอเราสักครึ่งชั่วโมงนะ เราจะรีบอาบน้ำแต่งตัวออกไปเดี๋ยวนี้” ภาสกรพูดจบก็ดีดตัวออกจากเตียงทันที อารามเร่งรีบเจ้าตัวเลยเกือบหน้าคะมำจังหวะที่ลงจากเตียง คนปลายสายได้ยินเสียงกุกกักผ่านทางโทรศัพท์จึงนึกเป็นห่วง
“เฮ้ย ไม่ต้องรีบ ๆ เราให้เวลาแกชั่วโมงหนึ่งค่อย ๆ มา”
“ขอบใจนะ”
วันนี้เป็นวันหยุดของนวพลและพวกเขาทั้งคู่ก็มีนัดกัน เมื่อตั้งสติได้ภาสกรลุกขึ้นหมายจะคว้าผ้าเช็ดตัวเพื่อไปอาบน้ำแต่กลับชะงักเมื่อเห็นว่าห้องนี้ไม่ใช่ห้องเขาและความทรงจำเช้านี้ย้อนกลับเข้ามาสู่ในความทรงจำว่ามันเกิดอะไรขึ้น เขาตบหน้าผากตัวเองเสียงดัง พลางสอดส่ายสายตามองหาคนที่นอนด้วยกันแต่กลับไม่เห็นร่างของอีกฝ่าย
อรรควัสคงออกไปแล้ว แปลว่าอีกฝ่ายคงเห็นแล้วว่านอนร่วมเตียงกับเขาที่ชื่อนายภาสกร ไม่ใช่อลัน
งานจะเข้าไหมเนี่ย!
ภาสกรกระวีกระวาดออกจากห้องนี้แล้วไปจัดการธุระส่วนตัวของตัวเองที่ห้องจนเรียบร้อยเสร็จแล้วจึงมุ่งหน้าไปหานวพลตามที่นัดไว้
“มาแล้ว ๆ ขอโทษทีที่มาสาย” เมื่อมาถึงจุดนัด ภาสกรก็รีบเอ่ยขอโทษขอโพย
“บอกแล้วไงว่าไม่เป็นไร เรารู้ว่างานที่ผับมันหนัก แล้วนี่แกกินอะไรมาหรือยัง”
“ยังเลย แต่งตัวเสร็จก็รีบออกมาเลย”
“งั้นกินข้าวก่อนจะได้มีแรง”
“อืม”
“งานเป็นไงบ้าง” นวพลชวนคุยเมื่อภาสกรเริ่มลงมือกินข้าวที่นับเป็นมื้อเช้าของตัวเองแม้ว่าตอนนี้จะเป็นเวลาบ่ายสองแล้วก็ตาม
“ก็ดี แต่เสียงในผับดังเป็นบ้า เราว่าชั้นปาจิงโกะในคาสิโนเสียงดังมากแล้วนะ ที่ผับก็ไม่ต่างกันเลย”
“เดี๋ยวก็ชินน่า อดทนไว้เพื่อเงิน”
“แน่นอนอยู่แล้ว”
“เออ ที่คาสิโนน่ะเขาประกาศออกมาว่าไล่แกออกแล้ว” นวพลเอ่ยเสียงเครียดปนเศร้า
“เหรอ...ก็คงต้องเป็นแบบนั้น ถูกต้องแล้วละ” ภาสกรชะงักช้อนที่เตรียมจะตักเข้าปากก่อนจะทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น รับรู้ได้ไม่น้อยว่านวพลก็ไม่สบายใจกับเรื่องนี้ไม่ต่างกับเขา
“แกสงสัยใครบ้างหรือเปล่า มีใครที่เข้ามาคุยกับแกบ้างหรือมีใครที่ไม่ชอบหน้าแก มีไหมวะ”
“ถ้าเขาไม่ได้แสดงออกมาชัดเจน เราจะไปรู้ได้ไงว่าใครชอบหรือไม่ชอบหน้าเราบ้าง” ภาสกรแค่นเสียงหัวเราะจังหวะที่ตอบเพื่อนสนิท
“งั้น..เอาใหม่ วันนั้นมีใครเข้ามาคุยกับแกบ้าง”
“วันนั้นเหรอ” ภาสกรทวนคำพูดอีกฝ่าย
“อืม”
“หลังจากที่เรากินข้าวกับพี่แอนดี้เสร็จ ก็กลับเข้ามาทำงานพร้อมกันที่ชั้นสอง มีบาร์เทนเดอร์ทักเรา แล้วก่อนจะเกิดเรื่องพี่แอนดี้เข้ามาคุยกับเรานิดหน่อยเพราะเดินสวนกัน ส่วนคนอื่น ๆ ก็มี พี่เฉิน พี่คุณ เจ แล้วก็แกด้วย คนรู้จักทั้งนั้น”
“ไม่มีคนอื่นนอกเหนือจากนี้แล้วเหรอ”
ภาสกรทำหน้าคิดต่ออีกครู่จึงส่ายหน้า “ไม่มีแล้ว”
“ถ้างั้นพี่แอนดี้ก็น่าสงสัยสุด”
“ทำไมถึงเป็นพี่แอนดี้วะ เขาทำอะไรน่าสงสัย พี่แกก็เข้ามาคุยกับเราเฉย ๆ เหมือนแก เจ คนอื่น ๆ นั่นล่ะ คิดมากไปแล้วนะนน” ภาสกรหรี่ตาลงมองคนตรงหน้าอย่างไม่เชื่อว่าแอนดี้จะทำเรื่องแบบนี้ได้
“ถ้าไม่ใช่แล้วใครล่ะ แกคิดดูว่าเราสองคนเคยเห็นเขาขึ้นลิฟต์ไปห้องของบอสอาจมีอะไรก็ได้”
“ไม่ใช่อย่างที่แกคิด วันนั้นเราถามพี่แอนดี้แล้วเขาก็ขึ้นไปส่งอาหารให้คุณอลันเหมือนเรา เอ้อ..พูดถึงคุณอลันแล้วนึกขึ้นได้ไม่รู้ป่านนี้เป็นไงบ้าง”
“เวลาอย่างนี้ยังจะไปนึกถึงคนอื่นอีก เขาไม่เป็นอะไรหรอกแต่แกน่ะสิเป็น ยังไงก็ต้องเป็นพี่แอนดี้ เรามั่นใจ เขาดูมีพิรุธ ทำตัวแปลกๆ”
“คิดมากไปแล้ว ช่างมันเถอะนน ยังไงเรื่องมันก็ผ่านไปแล้ว ตอนนี้เราได้งานใหม่ ไม่มีอะไรแล้วล่ะ” ภาสกรยักไหล่
“จะช่างมันได้ไงวะพาย แกถูกไล่ออกนะเว้ย มันไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ สักหน่อย” นวพลพูดด้วยน้ำเสียงที่แฝงอารมณ์ขุ่นมัวเล็กน้อย
“แกจะโมโหทำไม เราคือคนที่ถูกใส่ร้ายนะไม่ใช่แก”
“แกเป็นเพื่อนเรานะพาย แกถูกใส่ร้าย ซวย โดนไล่ออก มันสมควรแล้วเหรอ”
ภาสกรรีบวางช้อนแล้วตบบ่าเพื่อนรัก “ใจเย็นก่อนนะนน ขอบใจแกมากที่โมโหแทนเรา แต่ไม่ใช่ว่าเราจะไม่เคยคิดว่าใครเป็นคนทำ เราพยายามคิดหัวแทบแตกแล้วแต่ก็นึกไม่ออกจริง ๆ วันนั้นคนพลุกพล่านเยอะมากจนเราจำไม่ได้”
“ให้ตายสิ เราทำอะไรเพื่อแกได้บ้างไหมวะเนี่ย” นวพลยังหัวเสียอยู่
“หวังว่ากล้องวงจรปิดจะช่วยเราได้” ภาสกรบอกอย่างปลง ๆ
“ถ้ากล้องมันช่วยได้ ป่านนี้ก็คงรู้ตัวคนทำแล้ว”
“เอาน่า ตอนนี้ก็ไม่เป็นไรแล้วไม่ใช่เหรอ แกก็เห็นว่าเราได้งานใหม่แล้ว ถึงเงินจะได้น้อยลงแต่ก็ดีกว่าตกงานนะเว้ย ไม่เอาดิ อย่าอารมณ์เสียเลยวันนี้อุตส่าห์ได้มาเจอกันทั้งที” ภาสกรยิ้มให้อีกฝ่ายหวังจะให้นวพลอารมณ์ดีขึ้นมาบ้าง
“แกก็เป็นเสียอย่างนี้ มองโลกในแง่ดีเกินไป”
“เราไม่ได้มองโลกในแง่ดีอย่างที่แกเข้าใจหรอก แต่เราทำอะไรไม่ได้ไปมากกว่านี้ เรารู้ว่าพี่เฉินกับพี่คุณรวมทั้งแกด้วยนะนน ที่พยายามช่วยเหลือเรา แล้วพี่เฉิน พี่คุณ พวกเขาคงรีกล้องดูไม่รู้กี่ร้อยรอบ ยังไงบอสคงไม่ปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านไปง่าย ๆ หรอก แต่เช็กขนาดนั้นตอนนี้เขาก็ยังไม่เจออะไรเลยไม่ใช่เหรอ”
“...”
“หลักฐานที่น่าจะเป็นชิ้นสำคัญชิ้นเดียวยังช่วยเราไม่ได้เลย”
“มันต้องมีทางออกสิวะ”
“เรารู้ แต่เราค่อย ๆ คิดกันดีไหม ตอนนี้มันอาจจะยังคิดไม่ทัน นึกไม่ออก ให้เวลาสักหน่อยอาจจะคิดออกก็ได้ เราเองก็ไม่ได้อยากมีความผิดติดตัวตลอดไปเสียหน่อย”
“อืม แต่ก็เป็นอย่างที่แกพูด ตอนนี้บอสสั่งคนเข้มงวดตรวจตรามากขึ้นกว่าเดิมอีก แกรู้ไหมพอแกออกไปนะกล้องวงจรปิดถูกนำมาติดมากขึ้นกว่าเดิมอีก จนตอนนี้มีกล้องแทบจะทุกก้าวที่เดินแล้วมั้ง”
“แกก็พูดเกินไป”
“เราพูดจริง บอสหัวเสียกับเรื่องนี้มาก ช่วงนี้ของทุกปีปกติแล้วเป็นช่วงที่บอสจะไม่อยู่ที่คาสิโนเพราะบอสมีธุระที่ต้องไปทำ แกลองคิดดูนะบอสให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มากแค่ไหนถึงขนาดยกเลิกธุระที่ต้องไปน่ะ”
“ธุระอะไร” ภาสกรนิ่วหน้าพลางเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“ไม่รู้ว่ะ พนักงานอย่างพวกเราจะรับรู้เพียงว่าช่วงเวลานี้บอสจะไม่อยู่เพราะไปทำธุระ”
“งั้นเหรอ”
“แกถามทำไม”
“เมื่อคืน..ไม่ใช่สิ เมื่อเช้าตอนเราเลิกงานน่ะ” ภาสกรครุ่นคิดระหว่างที่บอกเล่าให้เพื่อนฟัง
“มีอะไร ทำไมทำหน้าแปลก ๆ”
“เราเจอบอสที่ผับว่ะ” ภาสกรพูดเสียงเบาลงจนแทบจะกระซิบ
“หา!! เจอบอสที่ผับ”
“เบา ๆ เสียงสิวะจะเรียกพ่อมาเหรอ”
“โทษที ๆ ตกใจมากไปหน่อย” นวพลขอลุแก่โทษทันที “บอสไปที่ผับทำไมวะ”
“ไม่รู้ แต่ที่รู้คือบอสเมามาก”
“เมา!”
“ชู่ว! บอกให้เสียงเบา ๆ”
“ก็คนมันตกใจนี่หว่า บอสเนี่ยนะเมา แกทำงานหนักจนตาลายมองเห็นคนอื่นเป็นบอสหรือเปล่าวะไอ้พาย”
“บ้าหรือไง บอสนะเว้ย หน้าตาแบบนั้นยังมีใครเหมือนอีกหรือไง” ภาสกรย้อนกลับอย่างรวดเร็ว
“ก็จริง ตกลงว่าแกเห็นว่าบอสเมา”
“ใช่ และไม่ใช่เมาธรรมดา แต่เมามากจนจำใครไม่ได้เลยด้วยซ้ำ”
“อย่าบอกนะว่าจำแกไม่ได้ด้วย”
“ใช่ บอสจำเราไม่ได้” ภาสกรพยักหน้า
“ทำไมบอสถึงเมาได้วะ”
“นั่นละคือคำถาม”
“หรือว่าบอสอกหัก” นวพลคาดเดา
“ไม่รู้ว่ะ แต่ตอนที่เจอ บอสมีแก้วเหล้าสองแก้ว แก้วหนึ่งน่ะของบอส แต่อีกแก้วหนึ่งน่ะของใครที่ทำให้บอสเมา”
“ตอนบอสเมาเป็นยังไงวะ” นวพลถามต่อด้วยความสงสัยเพราะตั้งแต่ทำงานที่นี่คาสิโนมาเจ้าตัวก็ไม่เคยเห็นคนที่ถูกพูดถึงเมาเลยสักครั้ง
“หมายถึงยังไง”
“ก็อาการ ท่าทางนอกเหนือจากที่แกบอกว่าบอสจำใครไม่ได้”
“ปกตินะ เหมือนไม่ใช่คนเมา”
“อย่างนั้นเชียว ดูไม่ออกเลยเหรอ”
“อืม ถ้าไม่ได้กลิ่นเหล้าหึ่งหรือเพราะบอสเดินช้าลง คงดูไม่ออกเลยล่ะ”
“แกบอกว่าบอสจำแกไม่ได้ แล้วบอสทำอะไรแกเปล่า”
“ทำอะไรวะ” ภาสกรเลิ่กลั่กดวงตากลิ้งไปมาอย่างมีพิรุธ รู้สึกถึงความเห่อร้อนบนใบหน้าขึ้นมาอย่างอัตโนมัติ
“ทำไมหน้าแดง ๆ วะ เราหมายถึงทำร้ายแกหรือเปล่า อะไรแบบนี้ โวะ! นี่คิดไปถึงไหน”
“ไม่มี ๆ เลย บอสจะทำอะไรเราวะ บอสเมาแล้วนิ่งมาก” ภาสกรรีบปฏิเสธเป็นพัลวัน
“เหรอ แล้วคนที่ทำให้บอสเมาได้แบบนั้นต้องเป็นคนแบบไหนยังไงวะ” นวพลมองเพื่อนรักอย่างเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
“นั่นสิคน ๆ นั้นคือใคร”
========================
เจ้าพายจะมาลงทุกวันพฤหัสน้าทุกคน
เอาละค่ะ เริ่มเข้าสู่เรื่องราวอะไรบ้างแล้วเนอะ สิบห้าตอนเข้าเรื่องสักที????
อ่านตอนนี้แล้วเป็นยังไงบ้างบอกเขมบ้างน้าา
HASHTAG #พนันท้ารัก ค่ะ
รักกกก
เขมกันต์